Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ฮูปแต้มนรกในหลวงพระบาง สปป.ลาว

ฮูปแต้มนรกในหลวงพระบาง สปป.ลาว

Published by kanikl, 2020-08-02 23:22:19

Description: บทความ:ฮูปแต้มนรกในหลวงพระบาง สปป.ลาว

Keywords: หลวงพระบาง,ฮูปแต้ม,นรก

Search

Read the Text Version

1 บทความจากพืน้ ที่สนาม-หลวงพระบาง สปป.ลาว ฮูปแต้มนรกในหลวงพระบาง สปป.ลาว จีรวุฒิ บญุ ช่วยนำผล Mr.Jeerawut Boonchuaynampon นกั ศึกษำปริญญำเอก สำขำวฒั นธรรม ศิลปกรรมและกำรออกแบบ คณะศิลปกรรมศำสตร์ มหำวิทยำลยั ขอนแก่น -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ในกำรเผยแพร่ศำสนำ หรือแมก้ ระทงั่ กำรสร้ำงศำสนสถำนข้ึน มำ เพื่อให้ศำสนิกชนไดท้ ำพิธีหรือ เคำรพบูชำ และศึกษำเรียนรู้ เช่น จิตรกรรมวดั เชียงทอง แขวงหลวงพระบำง กระทงั่ ศิลปะกบั ศำสนำ มี ควำมสัมพนั ธ์ใกลช้ ิดกนั มำกข้ึน จนศิลปิ นมีควำมประทบั ใจและนำมำสร้ำง เป็นผลงำนทำงดำ้ นจิตรกรรม เพือ่ สื่อในกำรเผยแพร่ศำสนำไปยงั ศำสนิกชน หรือ สร้ำงเป็นสัญลกั ษณ์ของศำสนำ โดยบทบำทของศิลปะที่ มีต่อศำสนำอย่ำงเห็นได้ชดั ในสำธำรณรัฐประชำธิปไตยประชำชนลำวก็คือ ทำให้คำสอน ธรรมะ ปรำกฏ เป็นรูปธรรมซ้ึงงำนฮูปแตม้ หรือจิตรกรรมฝำผนงั เมืองหลวงพระบำง สุเนตร โพธิสำร (2544) ไดอ้ ธิบำยไวม้ ี งำนจิตรกรรม 3 ประเภท ดงั น้ีคอื 1. จิตรกรรมฝาผนังฟอกคา เป็ นลวดลำยที่ฟอกดว้ ยทองคำเปลวบนพ้ืนสีแดงซ่ึงทำด้วยชำด (น้ำ หำง) หรือพ้ืนสีดำท่ีทำดว้ ยนำ้ รัก (น้ำเกล้ียง) จิตรกรรมฝำผนังฟอกคำมกั จะนิยมสร้ำงกนั ไวใ้ นท่ีร่ม บนฝำ ผนังของสิมและบนเสำ โดยพยำยำมหลีกเลี่ยงจำกกำรคุมคำมจำกภยั ธรรมชำติ เช่นแสงแดด น้ำฝน เพรำะ จิตรกรรมประเภทน้ีไม่มีควำมทนทำนมำกนก จิตรกรรมฟอกคำในเมืองหลวงพระบำงมีท่ี วดั เชียงทอง วดั คี ลี วดั ปำกคำน วดั เชียงม่วน และวดั แสน ซ่ึงจะขออธิบำยจิตรกรรมฟอกคำที่โดดเด่นคือ จิตรกรรมฟอกคำ วหิ ำรวดั เชียงทอง ดงั น้ีวดั เชียงทองสร้ำงข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2103 ในสมยั พระไชยเชษฐำธิรำช วดั เชียงทองตำม ควำมหมำยแลว้ คงแปลว่ำ วดั ของเมืองเชียงทอง แต่อีกตำนำนหน่ึงกลบั กล่ำวว่ำ เป็ นวดั ที่สร้ำงข้ึนในป่ ำ ตน้ ไมท้ องใหญ่ มีตน้ หน่ึงท่ีวดั โอบลอ้ มรอบได้ 27 วำ สูง 117 วำ วดั เชียงทองเป็นวดั หน่ึงท่ีมีฝำผนงั ดำ้ นใน ทิศตะวนั ออก จะเป็นเรื่องวทิ ูรบณั ฑิตตอนที่ไปเทศนำให้พระอินทร์ฟังเร่ืองพระเวสสนั ดรต้งั แต่กณั ฑท์ ศพร จนถึงนครกัณฑ์ และยงั มีเร่ืองสังข์ทอง ตอนนำงรจนำเลือกคู่ตอนสังข์ทองเนรมิตกระท่อมให้กลำยเป็ น พระรำชวงั ฝำผนงั ดำ้ นในทิศใตห้ ลงั พระประธำน เป็ นเร่ืองทศชำติชำดก เท่ำท่ีเห็นเป็ นเร่ืองพระมหำชนก และสุวรรณสำม 2. จิตรกรรมฝาผนังติดแก้วสี กำรประดบั ผนงั อำคำรดว้ ยแกว้ สีนับว่ำเป็ นวตั ถุที่ค่อนขำ้ งจะคงทนต่อ แสงแดด ลมฝนไดก้ วำ่ งำนจิตรกรรมประเภทอ่ืน เรื่องรำวท่ีสร้ำงมกั จะยงั คงเกี่ยวพนั กบั พทุ ธศำสนำ ตำนำน กำรสร้ำงเมืองหลวงพระบำง หรือนิทำนพ้ืนเมือง สำหรับเทคนิคกำรสร้ำงน้นั หลงั จำกที่วดั ขนำดเน้ือท่ีของ

2 ผนงั ที่จะติดแกว้ สีแลว้ ช่ำงจะออกแบบเขียนรูปตวั ละครและรูปต่ำงๆที่ตอ้ งกำรใชล้ งบนกระดำษแข็งก่อน แลว้ จึงตดั แกว้ สีเป็ นลวดลำยที่ออกแบบไวบ้ นกระดำษให้เรียบร้อย จำกน้ันจึงนำไปติดบนผนังจนไดร้ ูป ตำมที่ตอ้ งกำร หลงั จำกติดแกว้ สำเร็จแลว้ จึงลงพ้นื ดว้ ยสีตำ่ งๆ ตำมช่องวำ่ งของรูป จิตรกรรมฝำผนงั ติดแกว้ สี ในเมืองหลวงพระบำงมีท่ีวดั เชียงทองแลหอพิพิธภณั ฑ์ (พระรำชวงั เก่ำ) 3. จิตรกรรมภาพเขียนสี จิตรกรรมประเภทน้ีในเมืองหลวงพระบำงมีท่ี วิหำรวดั ป่ ำฮวกวิ หำรวดั สีพุทธบำท วิหำรวดั ป่ ำไผ่ และวิหำรวดั ใหม่สีสุวรรณพูมำรำม ที่เมืองเชียงเงินมีที่วิหำรวดั ดอนโม ที่ เมืองจอมเพ็ดมีที่ วิหำรวดั ล่องคูน และวิหำรวดั หำดเส้ียว ท่ีเมืองปำกอูมีท่ีวิหำรวดั ปำกอูสีท่ีใช้ในงำน จิตรกรรมมกั เป็นสีที่มำจำกธรรมชำติ ผสมกบั กำวเมด็ มะขำมและกำวหนงั สตั วเ์ ทคนิคกำรเขียนภำพเป็นภำพ แบนๆ ไม่นิยมใชแ้ สงเงำ ไม่มีกำรจำแนกภำพใกลห้ รือไกล ไม่ไดค้ ำนึงถึงสดั ส่วนระหวำ่ ง คน สัตว์ ปรำสำท รำชวงั หรือส่ิงของอ่ืนๆ แต่อยำ่ งใด เรื่องรำวท่ีนิยมเขียนกนั ส่วนใหญ่ไดแ้ ก่ พุทธประวตั ิ พระเวสสันดร ทศ ชำติชำดก และเร่ืองท่ีมีเขียนอยูเ่ ฉพำะแห่งเป็นพิเศษ คือ เร่ืองรำมเกียรต์ิที่วดั สีพุทธบำท และเร่ืองชมพูบดีที่ วดั ป่ ำฮวก ภำยในภำพจิตรกรรมฝำผนงั น้นั จิตรกรรมไดส้ อดแทรกเร่ืองรำวต่ำงๆ ไวใ้ ห้ศึกษำมำกมำยอำทิ ภำพกำรดำเนินชีวิตของคนเร่ืองรำวดำ้ นวฒั นธรรม ควำมเชื่อถือ ฮีตคองประเพณี กำรเมืองกำรปกครอง กำรคำ้ ขำย กำรแต่งกำยฯลฯ จิตรกรรมภำพเขียนสีของหลวงพระบำงจะขอยกตวั อยำ่ งเพียงแห่งเดียวเท่ำน้นั คือ จิตรกรรมท่ีวิหำรวดั ป่ ำฮวก เรื่องรำวที่ปรำกฎในฮูปแตม้ หรือจิตรกรรมฝำผนงั เมืองหลวงพระบำงส่วนใหญ่จะได้รับ อิทธิพลจำกพระพุทธศำสนำซ่ึงวรรณกรรมท่ีเก่ียวกบั นรกในในฮูปแตม้ หรือจิตรกรรมฝำผนงั เมืองหลวงพระ บำงมกั จะปรำกฎเป็นวรรณกรรมเร่ืองพระมำลยั และไตรภูมิ ซ่ึงขอ้ สังเกตุคือในฮูปแตม้ รูปนรกจะตอ้ งมีพระ เป็ นสัญญลกั ษณ์ของพระมำลยั เสมอ ถำ้ หำกไม่มีอำจต้งั ขอ้ สังเกตุว่ำน่ำจะเป็ นวรรณกรรมเร่ืองไตรภูมิซ่ึง ลกั ษณะนรกและสัตวท์ ี่ปรำกฎในวรรณกรรมพระมำลยั และไตรภูมิจะเป็นกำรนำในส่วนของ”อบำยภูมิ”ใน พระพทุ ธศำสนำมำใชใ้ นกำรเลำ่ เร่ืองรำว ซ่ึงอบำยภมู ิจะแบง่ ภพภูมิดงั น้ี 1 เดรัจฉานภูมิ เดรัจฉำนภูมิ คือ ภูมิของสตั วเ์ ดียรัจฉำน หมำยถึง สตั วผ์ ไู้ ปโดยส่วนขวำง (ลำตวั จะไม่ต้งั ตรงจะ ขวำง) หรือสตั วท์ ี่ขวำงจำกมรรคผลนิพพำน (ไมส่ ำมำรถบรรลุมรรคผลนิพพำนได)้ ซ่ึงเป็นผลมำจำกกำรทำ ผิดศีล5, อกศุ ลกรรมบถ 10 เนน้ ไปทำงโมหะ (หลง) ส่วนใหญ่เป็นสัตวท์ ่ีอำศยั อยบู่ นพ้ืนดิน ในน้ำ ในอำกำศ แบง่ ออกเป็น 4 ประเภท คือ (1) สัตวไ์ มม่ ีขำ เช่น ปลำ งู ไสเ้ ดือน (2) สัตวม์ ี 2 ขำ เช่น นก เป็ด ไก่ (ไม่รวม คน ซ่ึงจดั อยใู่ น มนุสสภมู ิ ผมู้ ีจุดศูนยก์ ลำงกำยอยจู่ ุดเดียว (อยใู่ นทอ้ งเหนือสะดือสองนิ้วมือ) อยใู่ นแนวเสน้ ตรงเดียวกนั กบั แนวยนื ซ่ึงสัตวเ์ ดียรัจฉำนจะไมม่ ีส่ิงน้ี (3) สัตวม์ ี 4 ขำ เช่น ชำ้ ง มำ้ ววั ควำย สุนขั แมว เต่ำ จระเข้

3 (4) สัตวม์ ีขำมำกกวำ่ 4 ขำ เช่น ก้ิงกือ ตะขำบ แมลง 6 ขำ แมงมมุ 8 ขำ นอกจำกน้ีก็ยงั มีสัตวท์ ี่มองเห็นดว้ ยตำเน้ือมนุษยแ์ ละมองไม่เห็นดว้ ยตำเน้ือมนุษยเ์ ช่นสัตวท์ ิพยก์ ่ึง เทวดำก่ึงสัตวเ์ ดียรัจฉำน (บุญก็ทำเยอะ บำปก็ทำเยอะ) มีหลำยชนิดจะอำศยั อยใู่ น หิมพำนต์ อยู่ในชมพูทวีป ผูม้ ีบุญหรือบำเพ็ญเพียรทำงจิตได้อภิญญำก็จะได้รู้ได้เห็นหิมพำนต์ได้)หรือนอกโลกมนุษยอ์ อกไปเช่น พญำนำค พญำครุฑ; กินนรี/กินนรำคือ รำชสีห์, ชำ้ งชนิดพิเศษ เช่น พญำฉทั ทนั ต์; ปลำชนิดพิเศษ เช่น ปลำ ติม ปลำอำนนั ทะ เป็นตน้ อำยุของสัตวเ์ ดียรัจฉำนจะแตกต่ำงกนั มำกบำงพวกก็ 1 สัปดำห์ไปถึงเป็นร้อยสองร้อยปี ก็มี แต่บำง พวก เช่น กำละพญำนำคมีอำยมุ ำต้งั แต่พระพุทธเจำ้ องคท์ ่ี 1 (พระกกุสันธะ) มำถึงพระพุทธเจำ้ องคป์ ัจจุบนั องค์ท่ี 2 (พระสมณโคดม) และจะมีอำยุไปถึงพระพุทธเจำ้ องคท์ ่ี 5 (พระศรีอริยเมตไตรย) เน่ืองจำกบำป/ อกศุ ลท่ีทำไว้ หลำกหลำยโดยเฉพำะเรื่องโมหะ; ส่วนควำมคิดควำมช่ืนชมยนิ ดี ( สัญญำ) ของสัตวเ์ ดียรัจฉำน มีอยู่ 3 อยำ่ ง คือ 1. รู้จกั เสพเมถุนกิจ 2. รู้จกั หำกิน 3. รู้จกั กลวั ตำย กลวั ภยั 2. เปตตวสิ ัยภูมิ เปตตวิสัยภูมิ คอื ภมู ิของเปรต เปรตเป็นสัตวโ์ ลกที่มีควำมเป็นอยู่อย่ำงผหู้ ิวกระหำย ไร้ควำมสุขมีท่ี อยู่ อำศยั ไมแ่ น่นอน ตำมป่ ำ ตำมเขำ ตำมป่ ำชำ้ เหว เกำะ ทะเลมหำสมทุ ร มีรูปร่ำงน่ำเกลียด น่ำสะอิดสะเอียน ผอมโซ บำงชนิดก็มีรูปร่ำงคลำ้ ยสัตวแ์ ตกต่ำงกนั ไปตำมกรรมที่มีแต่ละตนสร้ำงไว้ บำงพวกอดขำ้ วอดน้ำ เพียงไปกินเศษอำหำรของโสโครก บำงพวกกินน้ำลำย อุจจำระ บำงพวกก็เสวยทุกขท์ รมำน ไฟไหมต้ ำมตวั เหมิน สำบสำงไดร้ ับทุกขเ์ วทนำคลำ้ ยสตั วน์ รก ซ่ึงส่วนใหญ่ทำผิดศีลธ, อกุศลกรรมบถ10 เนน้ ไปทำงโลภะ (โลภ) กำรแบ่งชนิดของเปรตบำงแห่งแบ่งเป็ น 4 จำพวกบำ้ ง, 12 จำพวกบำ้ ง, 21 จำพวกบำ้ ง ดงั น้ี(หอสมุด แห่งชำติ กรมศิลปำกร,2530) 1. เปรต 4 จาพวก คือ ในอรรถกถาเปตวตั ถุ มีดังนี้ (1) ปรทตั ตปู ชีวิกเปรต คือ เปรตท่ีมีกำรเล้ียงชีวิตอยไู่ ดโ้ ดยอำศยั อำหำรที่ผอู้ ื่นอุทิศให้และเป็นเปรต ชนิดเดียว มีโอกำศรับส่วนบุญท่ีเหลำ่ ญำติอุทิศให้ เน่ืองจำกมกั ไปเกิดอยใู่ กลบ้ ำ้ นญำติของตนเอง เช่น เปรต ท่ีเป็นญำติของพระเจำ้ พิมพิสำร (2) ขปุ ปปำสิกเปรต คือ เปรตท่ีถูกเบียดเบียนดว้ ยกำรหิวขำ้ วหิวน้ำ (3) นิชฌำมตณั หกั เปรต คือ เปรตท่ีถูกไฟเผำใหเ้ ร่ำร้อนอยู่นำน (4) กำลกญั จิกเปรต คือ เปรตที่เป็นอสุรำจำพวกหน่ึง เปรตชนิดน้ีมีร่ำงกำยสูงถึง 3 คำวุต (4 คำวุต เท่ำกบั 1 โยชน)์ ไมค่ ่อยมีแรง เพรำะมีเลือดและเน้ือนอ้ ย สีของร่ำงกำยคลำ้ ย ใบไมแ้ หง้ ตำถลนออกมำ เหมือนตำของปแู ละมีปำกเทำ่ รูเขม็ ต้งั อยตู่ รงกลำงศีรษะ

4 2. เปรต 12 จาพวก (ทวาทสวิธเปรต) คือ เปรตพวกนมี้ ีทอ่ี ย่เู ป็ นหลกั แหล่งบนผืนโลกมนุษย์นี้ จดั วำ่ เป็นพวกใกลช้ ิดมนุษยม์ ำกกวำ่ เปรตพวกอื่น แตม่ นุษยธ์ รรมดำมองไม่เห็นเพรำะเป็น อทิสมำนกำย ผทู้ ่ี จะมองเห็นไดต้ อ้ งมีตำทิพยเ์ ทำ่ น้นั เปรต 12 จำพวกมีดงั น้ี (โกศลศิลป์ อนุ่ ใจ ,2547) (1) วนั ตำสำเปรต คอื เปรตที่กินเสลด กินน้ำลำย เสมหะ อำเจียน เป็นอำหำร (2) กุณปขำทำเปรต คือ เปรตที่กินอสุภ ซำกศพของสตั วเ์ ป็นอำหำร (3) คถู ขำทำเปรต คอื เปรตท่ีกินอุจจำระต่ำงๆ เป็นอำหำร (4) อคั คีชำลมขำเปรต คือ เปรตที่มีเปลวไฟแลบออกมำจำกปำกตลอดท้งั วนั ท้งั คืน (5) สูจิมุขำเปรต คือ เปรตที่มีเทำ้ โต คอยำวมำก ปำกเลก็ เท่ำรูเขม็ จะกินอำหำรแต่ละคร้ังก็ลำบำก มำก (6) ตณั หำชิตำเปรต คือ เปรตท่ีถูกตณั หำเบียดเบียนเป็นเหตุใหอ้ ดขำ้ ว อดน้ำเป็นกำลงั ทำใหห้ ิวโห ตลอดเวลำ (7) นิชฌำสักกำเปรต คือ เปรตที่มีลำตวั ดำเหมือนตอไมท้ ี่ถกู เผำ สูงชลูดดำทมิ่น กล่ินเหมน็ เน่ำตีน มือเป็งอ่ ย ฟันยำวมีเข้ยี วออกจำกปำก (8) สพั พงั คำเปรต คือ เปรตที่มีร่ำงกำยใหญโ่ ต มีเลบ็ ยำว คมเหมือนมีดงอไดเ้ หมือนเบด็ กินเลือดเน้ือ ตนเองเป็ นอำหำร (9) ปัพพต้งั คำเปรต คือ เปรตท่ีมีร่ำงกำยสูงใหญ่เหมือนภูเขำ กลำงวนั มีควนั กลำงคืนมีไฟคลอกเผ ตลอดเวลำ (10) อชรคเปรต คือ เปรตที่มีรูปร่ำงประหลำดคลำ้ ยสัตวเ์ ดียรัจฉำนตำ่ งๆ เช่น ควำย,เสือ, มำ้ , หมำ, จระเข,้ งูเหลือม และมีไฟไหมเ้ ผำ่ ร่ำงกำยท้งั วนั ท้งั คืน (11) เวมำนิกเปรต เปรตที่สมบตั ิเป็นวิมำน บำงคร้ังเสวยสุขรำวเทวดำ บำงคร้ังเสวยทุกข์ เนื่องจำก เคยทำทำนไวม้ ำก แตไ่ ม่รักษำศีล หรือกลำงวนั ผิดศีล กลำงคนื ถือศีล เป็นตน้ (12) มหิธิกำเปรต คือ เปรตท่ีมีฤทธ์ิรูปงำมดงั เทวดำ แต่ยำกไร้หิวโหยอำหำรยง่ิ นกั เน่ืองจำกเคย รักษำศีล แต่หวงหำ้ มอำหำรท่ีพกั หรือของส่วนกลำงไมแ่ บ่งใหผ้ อู้ ื่นไดใ้ ช้ 3. เปรต 21 จาพวก คือ ในพระวนิ ัย/พระไตรปิ ฎกบาลฉี บับสยามรัฐเล่ม 16 มดี งั นี้ (1) อฏั ฐิสังขสิกเปรต คือ เปรตท่ีมีกระดูกติดต่อกนั เป็นท่อน ๆ แต่ไม่มีเน้ือ

5 (2) มงั สเปสิกเปรต คือ เปรตที่มีเน้ือเป็นชิ้น ๆ แตไ่ ม่กระดูก (3) มงั สปิ ณฑเปรต คอื เปรตท่ีมีเน้ือเป็นกอ้ น (4) นิจฉวิปริสเปรต คือ เปรตที่ไม่มีหนงั (5) อสโลมเปรต คอื เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์ (6) สตั ติโลมเปรต คือ เปรตท่ีมีขนเป็นหอก (7) อสุ ุโลมเปรตคือ เปรตที่มีขนยำวเป็นลกู ธนู (8) สูจิโลมเปรต คือ เปรตที่มีขนเป็นเขม็ (9) ทุติยสูจิโลมเปรต คอื เปรตท่ีมีขนเป็นเขม็ ชนิดท่ี 2 (10) กุมภณั ฑเปรต คือ เปรตที่มีอณั ฑะใหญ่โตมำก (11) คถู กูปนิมคุ คเปรต คือ เปรตที่จมอยใู่ นอุจจำระ (12) คถู ขำทกเปรต คอื เปรตท่ีกินอจุ จำระ (13) นิจฉวติ กเปรต คือ เปรตหญิงท่ีไม่มีหนงั (14) ทกุ คนั ธเปรต คือ เปรตที่มีกล่ินเหมน็ เน่ำ (15) โอคิลินีเปรต คือ เปรตที่มีร่ำงกำยเป็นถ่ำนไฟ (16) อสีสเปรต คือ เปรตท่ีไม่มีศีรษะ (17) ภิกขเุ ปรตคือ เปรตที่มีรูปร่ำงสณั ฐำนเหมือนภิกษุ (18) ภิกขนุ ีเปรต คอื เปรตท่ีมีรูปร่ำงสัณฐำนเหมือนภิกษุณี (19) สิกขมำนเปรต คือ เปรตท่ีมีรูปร่ำงสณั ฐำนเหมือนสิกขมำนำ (20) สำมเณรเปรต คือ เปรตท่ีมีรูปร่ำงสัณฐำนเหมือนสำมเณร (21) สำมเณรีเปรต คือ เปรตท่ีมีรูปร่ำงสัณฐำนเหมือนสำมเณรี อำยขุ องเปรต ไมแ่ น่นอน แลว้ แต่กรรม บุญ/บำปที่ทำไว้ สำหรับเปรตที่สำมำรถรับส่วนกศุ ลที่มี ผู้ อุทิศให้ เช่นปรทตั ตปู ชีวกิ เปรต หำกมีกำลงั บุญมำกพอก็จะหลดุ พน้ จำกอบำยภมู ิทนั ทีในขณะท่ีอนุโมทนำ ส่วนบญุ น้นั เช่น เปรตท่ีเป็นญำติพระเจำ้ พมิ พสิ ำรสมยั พทุ ธกำล 3. อสูรกายภูมิ อสุรกำยภูมิ คือ ภูมิท่ีอยู่ของสัตว์โลกน้ีเป็ นพวกอสูรท้งั หลำย (เรียกว่ำ อสุรกำย) ที่หวำดหวนั่ ไร้ ควำมร่ืนเริงซ่ึงปรำศจำกควำมสนุกสนำน ไม่สว่ำงรุ่งโรจน์ มีควำมเป็ นอยู่ไม่สมบูรณ์ กระหำยน้ำจัด

6 (อสุรกำยจะมี ควำมละมำ้ ยคลำ้ ยกบั เปรตเป็นส่วนมำกท้งั ควำมเป็นอยู่และอกุศลกรรม ที่เคยทำไวใ้ นชำติปำง ก่อน แต่มีลกั ษณะท่ีแตกต่ำงกนั พอสังเกตได้ คือ เปรต ส่วนใหญ่มีควำมอดอยำกอำหำร แต่อสุรกำยส่วน ใหญม่ ี ควำมกระหำยน้ำจดั (หอสมดุ แห่งชำติ กรมศิลปำกร,2530) อสูร มี 3 ประเภท คอื 1. เทวดำอสูร คอื อสูรที่เป็นเทวดำ, เทวอสุรำ 2. เปรตอสูร คือ อสูรที่เป็นเปรต, เปรตติอสุรำ 3. นิรยอสูร คือ อสูรที่เป็นสตั วน์ รก, นิรกำยอสุรำ โดยมีรำยละเอียดดงั น้ี 1. เทวดำอสูร มี 6 อยำ่ ง ไดแ้ ก่ (1)-(5) พวกท่ีอยใู่ นอสูรเทพพภิ พ ไดแ้ ก่ (1) เวปจิตติอสูร (2) สุพลิ อสูร (3) รำหูอสูร (4) ปหำรอสูร (5) สัมพรุติอสูร หำ้ พวกแรกน้ีเคยอยใู่ นสวรรคช์ ้นั ดำวดึงส์มำก่อน แต่มีกำร แยง่ ภพกนั ระหวำ่ งพระอินทร์ แต่แพพ้ ระอินทร์เลยถูกพวกพระอินทร์จบั โยนลงมำอยใู่ ตภ้ ูเขำสุเมรุ มีควำม เป็นอยคู่ ลำ้ ยดำวดึงส์ แตด่ อ้ ยกวำ่ เลก็ นอ้ ย (รำยชื่ออสูร ตำมท่ีไดก้ ล่ำวไวข้ ำ้ งตน้ เรื่องสวรรค์ ช้นั ดำวดึงส์ ชื่อ ไม่ตรงกนั ทีเดียวนกั เขำ้ ใจวำ่ เป็นภำษำบำลีบำ้ ง ภำษำสันสกฤตบำ้ ง) วนิ ิปำติกอสูร คอื เป็นบริวำรของ ภมู ม เทวดำ มีรูปร่ำงเลก็ อำศยั อยตู่ ำมพ้นื ดิน ป่ ำ ภูเขำ แมน่ ้ำ ทะเลในโลกมนุษยน์ ้ี 2. เปรตอสูร มี 3 อยำ่ ง ไดแ้ ก่ (1) กำลญั จิเปรตอสูร คือ เปรตอสูรที่อำศยั อยตู่ ำมป่ ำ ภูเขำ หุบเหว ทะเล มหำสมทุ ร และตำมเกำะใน โลกมนุษยน์ ้ี (2) วิมำนิกเปรตอสูร คือ เปรตอสูรที่เสวยทกุ ขใ์ นเวลำกลำงวนั แต่พอเวลำกลำงคนื กลบั ไดเ้ สวยสุข เหมือนเหมือนเทวดำในสวรรคช์ ้นั ดำวดึงส์ (เน่ืองจำกผลของกรรมในอดีต กลำงวนั ผิดศีล กลำงคนื ถือศีล) (3) อำวุธิกเปรตอสูร คือ เปรตอสูรที่ประหตั ประหำรซ่ึงกนั และกนั ดว้ ยอำวธุ ต่ำงๆ เนื่องนิจ 3. นิรยอสูร คือ พวกอสูรท่ีเคยทำชว่ั มำกตำยแลว้ จึงไปเกิดเป็นสตั วน์ รก ส่วนพวกอสูรท่ีเคยทำชว่ั ที่สุดทำบำปมหนั ต์ มีมิจฉำทิฏฐิแรงกลำ้ เห็นถกู เป็นผิด เห็นผดิ เป็นถกู (เช่นปลอมปนสัทธรรมคำสอนให้ ผิดเพ้ยี นจำกควำมเป็นจริง) บุญบำปไมม่ ีผล ตำยแลว้ สูญ มำรดำบิดำไม่มีพระคณุ ทำบำปเป็น อำจิณทกุ วนั ตำยแลว้ จึงไปเกิดในโลกนั ต์ ซ่ึงมีสภำพสุดหนำวจดั เยอื กยะเยน็ เป็นทะเลน้ำกรด

7 4. นิรยภูมิ (มหานรกภูม)ิ นิรยภูมิ หรือ นรก คือ ท่ีอนั เร่ำร้อนไมม่ ีควำมสุขควำมเจริญ เป็นสถำนที่ที่ไปเกิดและเสวยทกุ ขข์ อง สัตวโ์ ลก ผมู้ ีบำปหนำ (รองมำจำกโลกนั ต)์ ส่วนใหญ่จะผิดศีลธ, ทำอกศุ ลกรรมบถ10 โดยเนน้ หนกั ไปทำง โทสะหรือ โกรธ) ซ่ึงพอสรุป ประเด็นสำระสำคญั หลกั ๆ ไดด้ งั น้ี 1. นรก 3 ระดบั จากบาปมากไปหาบาปน้อย นรกขมุ ใหญ่ (มหำนรก) มี 8 ขมุ ใหญ่ แต่ละชุมใหญ่จะ มี นรกบริวำรช้นั ใน (อุสสทนรก หรือนรกบ่ำว) อยู่ 4 ทิศ ทิศละ 4 ขมุ ใน รวมเป็น 128 ขมุ ใน และมีนรก บริวำรช้นั นอก (ยมโลกนรก หรือนรกขมุ เลก็ ) อยู่ 4 ทิศ ทิศละ 10 ขมุ นอก รวมเป็น 320 ขมุ นอก ดงั น้ี (1) นรกขมุ ใหญ่ (มหำนรก) มีบำปมำก บำปหนกั รวม 8 ขมุ ใหญ่ (2) นรกบริวำรช้นั ใน (อสุ สทนรกหรือนรกบำ่ ว) มีบำปรองลงมำ รวม 128 ขมุ ใน (3) นรกบริวำรช้นั นอก (ยมโลกนรกหรือนรกขุมเล็ก) รวม 320 ขุมนอก บำปน้อยลงกว่ำ 2 ระดบั แรก นรกรวมท้งั หมด 456 ขมุ ใหญ่ในนอก หมำยเหตุ คือ หำกผใู้ ดสงสัยวำ่ นรก มีจริงหรือไม่ ใหไ้ ปศึกษำ คน้ ควำ้ เพิม่ เติมไดใ้ น “มูลปัณณำสก์ มชั ฌิมนิกำย มหำสีหนำทสูตร” ซ่ึงพระสมั มำสมั พุทธเจำ้ ไดท้ รงตรัสกบั พระสำรีบุตร เก่ียวกบั อบำย ทุคติ วินิบำต นรก ไวอ้ ย่ำงชดั เจน ว่ำนรกมีจริงเพรำะไดร้ ับกำรยืนยนั จำกพทุ ธ ฎีกำเป็นพระบำลีท่ีออกจำก พระโอษฐอยำ่ งชดั เจน 2. นรกขุมใหญ่หรือมหานรกมี 8 ขุมใหญ่ โดยสัตวน์ รกเคยเคยทำผดิ เก่ียวกบั อกศุ ลกรรมบถ 10 ตำมควำมเบำ/หนกั แลว้ ตกมหำนรกขมุ ใดขุมหน่ึง ซ่ึงจะแสดงไวจ้ ำกขมุ ท่ีบำปเบำสุดอยู่บน ( ขมุ ท่ี 1) ไป หำขุมท่ีบำปหนักสุดอยู่ล่ำงสุด (ขุมที่ 8) โดยต้งั ซ้อนเรียงกันอยู่เป็ นช้ัน ๆ ห่ำง กันช้นั ละประมำณ 1,500 โยชน์ ดงั น้ี (โกศลศิลป์ อุ่นใจ ,2547) นรกขมุ ใหญ่ หรือ มหำนรก มี 8 ขมุ ใหญ่ ดงั น้ี 1. สญั ชีวนรก 2. กำฬสุตตนรก 3. สังฆฎนรก 4. โรรุวนรก 5. มหำโรรุวนรก 6. ตำปนนรก 7. มหำตำปนนรก 8. มหำอวจี ีนรก (อเวจีมหำนรก) (1) สัญชีวนรก ( นรกตำยฟ้ื นตำยฟ้ื น) คอื นรกท่ีมีนำยนิรยบำลลงโทษดว้ ยกำรใชอ้ ำวุธฟันแทงจน

8 ตำย แลว้ กฟ็ ้ื นข้นึ มำไดร้ ับโทษใหม่อีกตำยฟ้ื นตำยฟ้ื นต่อๆไปอยเู่ ช่นน้นั จนกวำ่ จะหมดเวร อำยขุ ยั 500 ปี นรก 1,620,000 ลำ้ นปี มนุษย์ (1วนั 1คนื นรกขมุ น้ี 9 ลำ้ นปี มนุษย)์ บรุ พกรรมของสัตวท์ ี่เกิดในนรกขมุ น้ี เมื่อคร้ัง เป็นมนุษยเ์ คยปลน้ ฆ่ำสตั วต์ ดั ชีวติ ผอู้ ื่นใหไ้ ดร้ ับควำมเดือนดร้อนอยเู่ ป็นนิตย์ (2) กำฬสุตตนรก (นรกเชือกดำ) คอื นรกที่สตั วน์ รกถูกนำยนิรยบำลตีเป็นแนวเสน้ ดว้ ยเส้นเชือกดำ แลว้ ถำกหรือตดั ดว้ ยเครื่องประหำรต่ำงๆ ขำดเป็นท่อน ๆ ตำมแนวเสน้ ที่ตีไวจ้ นตำย แลว้ กก็ ลบั ฟ้ื น ข้นึ มำรับ กรรมใหม่ต่อ ๆ ไปจนกวำ่ จะสิ้นเวร อำยขุ ยั 1,000 ปื นรก 12,960,000 ลำ้ นปี มนุษย์ (1วนั 1คืน นรกขมุ น้ี 36 ลำ้ นปี มนุษย)์ บุรพกรรมของสัตวท์ ี่เกิดในนรกขมุ น้ี เมื่อคร้ังเป็นมนุษยเ์ คยประทษุ ร้ำยมำรดำ บิดำ ญำติมิตร ท้งั หลำยผมู้ ีพระคุณ (3) สังฆำฏนรก ( นรกภูเขำบดขย)ี คอื นรกที่สตั วน์ รกถกู ภูเขำเหลก็ สูง มีแสงไฟอนั ลุกโพลงบดขย้ี เป็นจุณดุจหินบดบดเมลด็ งำ แลว้ กฟ็ ้ื นข้ึนมำรับกรรมใหม่ต่อๆไปจนกวำ่ จะสิ้นเวร อำยขุ ยั 2,000 ปี นรก 103,680,000 ลำ้ นปี มนุษย์ (1วนั 1คืน นรกขมุ น้ี 144 ลำ้ นปี มนุษย)์ บรุ พกรรมของสตั วท์ ี่เกิดในนรกขมุ น้ี เม่ือคร้ังเป็นมนุษยเ์ คยทำรุณสตั วฆ์ ำ่ สัตวเ์ ป็นประจำโดยขำดควำมเมตตำ (4) โรรุวนรก (ฐมโรรุวะ, นรกร้องโหยหวลครวญครำง) คือ นรกท่ีสัตวน์ รกถูกรมดว้ ยควนั ไฟอนั แสบร้อนอบย่ำง เขำ้ สู่ทวำรท้งั 9 ทุกขท์ รมำนมำก จึงร้องเสียงดงั ขรม โหยหวล ครวญครำงไปหมด อำยุขยั 4,000 ปื นรก 831,040,000 ลำ้ นปี มนุษย์ (1วนั 1คนื นรกขมุ นี 576 ลำ้ นปี มนุษย)์ บรุ พกรรมของสตั วท์ ่ีเกิดใน นรกขมุ น้ี เมื่อคร้ังเป็นมนุษยเ์ คยทำควำมเดือนร้อนท้งั กำยและใจแก่ ผูอ้ ่ืนเช่น เป็นผพู้ ิพำกษำ อยั กำร ตำรวจ ตดั สินคดี/ทำคดีควำม ไมย่ ตุ ิธรรมโดยเจตนำ, พวกชอบ เบียดบงั ทรัพยส์ มบตั ิของสงฆข์ องวดั มำเป็นของตน, พวกชอบรุกท่ีดินไร่นำสวนผอู้ ื่น, พวกที่ฆ่ำสำมี/ภรรยำ ผอู้ ื่นแลว้ เอำภรรยำ /สำมีเขำมำเป็นของตน (5) มหำโรรุวนรก (ชำลโรรุวะ, นรกร้องโหยหวลสำหสั ดว้ ยเปลวไฟ) คือ นรกที่สัตวน์ รกถูกเปลว ไฟลุกโพลง ไหมเ้ ขำ้ สู่ทวำรท้งั 9 ทุกขท์ รมำนมำก จึงร้องเสียงดงั โหยหวลครวญครำงสำหัสดว้ ย ควำมทุกข์ ทรมำนยิ่งกว่ำธุมโรรุวะนรกอีก อำยุขัย 8,000 ปี นรก 6,635,520,000 ลำ้ นปี มนุษย์ (1วนั 1คืน นรกขุมน้ี 2,304 ลำ้ นปี มนุษย)์ บุรพกรรมของสัตวท์ ี่เกิดในนรกขุมน้ี เมื่อคร้ังเป็ น มนุษยเ์ คยปลน้ ฆ่ำผูอ้ ื่นด้วยจิตใจ โหดร้ำย ตดั ศีรษะมนุษย์ สัตวด์ ว้ ยอำนำจโทสะ ทำโจรกรรมปลน้ ขโมยของสงฆ์และผูอ้ ื่นให้ไดร้ ับควำม เดือนร้อน (6) ตำปนนรก (จูฬตำปนะ, นรกเพลิงเร่ำร้อน) คือ นรกที่สัตวน์ รกถูกนำยนิรยบำลเสียบตรึงดว้ ย เหลก็ หลำว ประหำรฟำดฟันดว้ ย อำวธุ อนั ร้อนแดงลกุ โพลงดว้ ยไฟอยตู่ ลอด และมีสุนขั นรกตวั ใหญ่ เท่ำชำ้ ง ค่อยไลง่ บั กดั อำยขุ ยั 16,000 ปื นรก 53,084,160,000 ลำ้ นปี มนุษย์ (1วนั 1คืน นรก ขมุ น้ี 9,216 ลำ้ นปี มนุษย)์ บุรพกรรมของสตั วท์ ่ีเกิดในนรกขมุ น้ี เมื่อคร้ังเป็นมนุษยเ์ คยฆำ่ สตั วต์ ำยเป็นจำนวนมำก เช่น พวกชอบเผำป่ ำ (7) มหำสำปนนรก (ตำปนะ, นรกเพลิงเร่ำร้อนสำหสั ) คือ นรกท่ีสตั วน์ รกถูกนำยนิรยบำลเสียบตรึง ดว้ ยเหล็กหลำว ประหำรหรือฟำดฟันดว้ ยอำวุธอนั ร้อนแดงดว้ ยไฟใหข้ ้ึนสู่ภูเขำเหล็กที่ร้อน เช่นน้ี แลว้ ถูก

9 ลมซ่ึงมีกรรมเป็นปัจจยั (กมั มะชวำต) พดั สัตวน์ รกเหล่ำน้นั ตกลงไปหวั ทิ่ม สู่เหลก็ หลำวท่ีร้อนแรงดว้ ยเปลว ไฟลุกโชนอยู่ ทรมำนยิง่ กว่ำจุฬตำปนะนรกอีก อำยขุ ยั เท่ำกบั คร่ึงอนั ตรกปั มนุษย์ บุรพกรรมของสัตวท์ ่ีเกิด ในนรกขมุ น้ี เมื่อคร้ังเป็นมนุษยเ์ คยชอบประกำศควำมเห็นที่ผิดของตนเช่นวำ่ กำรทำดีทำชว่ั ไม่มีผล, ทำให้ หมู่มวลมนุษยแ์ ละสตั วโ์ ลกอ่ืน ๆ เดือนร้อน (8) อวีจินรก (อเวจีมหำนรก, นรกยอดทุกขส์ ุดร้อนสุด) คือ มหำนรกขุมสุดทำ้ ยที่ต่ำํ สุดโต่งของภพ สำมและบำปหนกั ท่ีสุด ท่ีสัตวน์ รกถูกไฟเผำอยูต่ ลอดเวลำ จะหำช่องวำ่ งเป็นสุขสักนิดก็ไม่มี อำยุขยั เท่ำกบั หน่ึงอนั ตรกปั มนุษย์ บุรพกรรมของสัตวท์ ่ีเกิดในนรกขมุ น้ี เมื่อคร้ังเป็นมนุษยเ์ คย ทำกรรมชว่ั บำปหนกั มำก เช่นอนันตริกรรม 5 ( ฆ่ำแม่, ฆ่ำพ่อ, ฆ่ำพระอรหันต์, ทำให้สงฆ์แตกแยก, ทำร้ำยพระพุทธเจำ้ ให้ห้อพระ โลหิตข้ึนไป), ฆ่ำพระโพธิสัตว์, ฆ่ำผูท้ ่ีมีพระคุณมำกมำก ในกรณีของ พระเทวทตั (คู่เวรคู่อำฆำตกับ พระพุทธเจำ้ พระสมณโคดม) ก็ตกอยใู่ นนรกขมุ น้ี เน่ืองจำกไดก้ ลิ้ง หินลงมำจำกภเู ขำเพ่ือทำร้ำยพระพุทธเจำ้ จนถึงพระโลหิตหอ้ งข้ึนไป และยงั ทำใหส้ งฆแ์ ตกแยกกนั แต่ในกำลต่อมำพระเทวทตั ก็สำนึกผิดได้ กลบั มำ ขอขมำต่อพระพุทธองค์ แต่ถูกแผ่นดินสูบเสียก่อน ในช่วงที่พระเทวทตั ถูกแผ่นดินสูบจมลงถึงคอ และ ขณะที่คำงจรดถึงพ้ืนดิน พระเทวทตั ไดก้ ล่ำว “ขอถึงพระพุทธเจำ้ ว่ำเป็ นที่พ่ึงดว้ ยกระดูก (ร่ำงกำย) พร้อม ดว้ ยลมหำยใจ” แลว้ พระเทวทตั ก็จมลงในพ้ืนดินไปบงั เกิดในอเวจีนรกทนั ที อน่ึงจำกอรรถกถำธรรมบท กล่ำวไวว้ ่ำ จำกกำรสำนึกผิดของพระเทวทตั ในวำระจิตคร้ังสุดทำ้ ยน้ี ทำใหใ้ นอนำคตกำลพระเทวทตั จกั ได้ ตรัสรู้ เป็นพระปัจเจกพุทธเจำ้ พระนำมวำ่ “พระอฏั ฐิสสระ” จำกลกั ษณะของนรกที่กล่ำวมำขำ้ งตน้ จะเห็นได้ว่ำลกั ษณะและสัตวท์ ี่อยู่ในนรกจะมีควำมทุกข์ ทรมำนเป็ นอนั มำกซ่ึงโดยพ้ืนฐำนในกำรส่ือสำรน้นั ส่ิงเหล่ำน้ันเป็ นไปตำมเหตุและผลหรือกฎแห่งกรรม ตวั อยำ่ งเช่น สัญชีวนรก นรกที่มีนำยนิรยบำลลงโทษดว้ ยกำรใชอ้ ำวุธฟันแทงจนตำย แลว้ ก็ฟ้ื นข้ึนมำไดร้ ับ โทษใหม่อีกตำยฟ้ื นตำยฟ้ื นต่อๆไปเหตุและผลหรือกฎแห่งกรรมของสัตว์ท่ีเกิดในนรกขุมน้ี คือคร้ังเป็ น มนุษยเ์ คยปลน้ ฆ่ำสัตวต์ ดั ชีวิตผอู้ ื่นใหไ้ ดร้ ับควำมเดือนดร้อน อีกนยั ยะของนรกท่ีผพู้ บเห็นหรือศึกษำคือกำร ละเวน้ ต่อกำรกระทำบำป,กำรละอำยต่อบำป ดว้ ยกฎแห่งกรรมและหลกั ทำงพระพุทธศำสนำจึงส่งผำ่ นทำง เพื่อใหเ้ กิดจินตภำพและผคู้ น ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั คำกล่ำวของ ศิลป พีระศรี (2502) ว่ำ “จิตรกรรมฝำผนังนิยม เขยี นข้ึนไวเ้ ป็นพุทธบูชำ ตำมผนงั โบสถ์ วหิ ำร ศำลำ กำรเปรียญ ผนงั ถำ้ํ มีจุดมุ่งหมำยเพอ่ื ประดบั ตกแต่งพ้ืน ผนงั โนม้ นำ้ วชกั นำใหผ้ คู้ นให้ เกิดควำมศรัทธำตอ่ พทุ ธศำสนำ ส่วนผทู้ ่ีศรัทธำอยแู่ ลว้ เมื่อไดส้ มั ผสั จะทำให้ ซำบซ้ึง ตอ่ พระธรรมคำสัง่ สอนยงิ่ ข้ึน”

10 เอกสารอ้างองิ หอสมุดแห่งชำติ กรมศิลปำกร.(2530),ไตรภูมิฉบบั ภาษาเขมร.กรุงเทพฯ: อมรินทร์กำรพิมพ์ โกศลศิลป์ อุ่นใจ .(2547). เลือกเกดิ ได้ทกุ ภพทกุ จกั รวาล สุดนพิ พาน ภพสาม โลกนั ต์.กรุงเทพฯ: โรง พมิ พม์ หำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร์ สุเนตร โพธิสำร. (2000). ประวัติศาสตร์ลาว. นครเวยี งจนั ทน์: แห่งรัฐ. ศิลป พรี ะศรี .(2502).วิวัฒนาการแห่งจติ รกรรมฝาผนงั ของไทย. แปลโดย สุภทั รดิส ดิสกุล.กรุงเทพฯ : กรม ศิลปำกร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook