Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การส่งเสริมเครื่องดนตรีพื้นบ้าน (แคน) ในจังหวัดขอนแก่น

การส่งเสริมเครื่องดนตรีพื้นบ้าน (แคน) ในจังหวัดขอนแก่น

Published by kanikl, 2023-05-09 02:25:15

Description: การส่งเสริมเครื่องดนตรีพื้นบ้าน (แคน) ในจังหวัดขอนแก่น

Keywords: แคน,เครื่องดนตรี,เครื่องดนตรีพื้นบ้าน

Search

Read the Text Version

การส่งเสรมิ เครือ่ งดนตรีพ้นื บ้าน (แคน) ในจังหวัดขอนแกน่ นางสาววิไลพร แพงไทย 623080477-9 ภาคนิพนธน์ ้ีเปน็ ส่วนหน่งึ ของการเรยี นการสอนรายวิชา HS424785 (สหกิจศกึ ษาทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา) กลุ่มวิชาสังคมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา สาขาวิชาสังคมศาสตร์ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ภาคการศกึ ษาปลาย ปกี ารศึกษา 2565

การส่งเสรมิ เครือ่ งดนตรพี ้นื บ้าน (แคน) ในจังหวัดขอนแกน่ นางสาววิไลพร แพงไทย 623080477-9 ภาคนิพนธน์ ้ีเปน็ ส่วนหน่งึ ของการเรยี นการสอนรายวิชา HS424785 (สหกิจศกึ ษาทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา) กลุ่มวิชาสังคมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา สาขาวิชาสังคมศาสตร์ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ภาคการศกึ ษาปลาย ปกี ารศึกษา 2565

ภาคนิพนธ์สหกิจศกึ ษาทางสงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยา ประจำปกี ารศกึ ษา 2565 ช่อื ภาคนพิ นธ์ : การส่งเสริมเคร่ืองดนตรีพื้นบ้าน (แคน) ชื่อผจู้ ดั ทำภาคนพิ นธ์ : นางสาววิไลพร แพงไทย ชือ่ สถานประกอบการ : ศูนยศ์ ิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ทีอ่ ยู่ : มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ , 123 ถนนมติ รภาพ, ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวดั ขอนแกน่ 40002 โทรศัพท/์ โทรสาร 043-202-663 043-332-760 email : [email protected] website : https://cac.kku.ac.th/cac2021/ ช่อื พ่ีเล้ียง : นางคณิตตา อกั ษร ตำแหน่ง : กล่มุ ภารกจิ สง่ เสริมศิลปวฒั นธรรม งานวิชาการและหอภาพยนตร์ อสี าน ............................................. อาจารย์ท่ีปรึกษา (ผศ.ดร. รักชนก ชํานาญมาก) วันที่ เดือน เมษายน พ.ศ. 2566 ........................................................ ........................................................ (ผศ. ดร. กีรตพิ ร จตู ะวริ ิยะ) (ผศ. ดร. จกั รพนั ธ์ ขัดช่มุ แสง) ประธานกรรมการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑติ ประธานคณะกรรมการสหกิจศกึ ษา สาขาวิชาสงั คมศาสตร์ ทางสงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวิทยา

ลขิ สทิ ธิ์ของคณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น

ก กติ ติกรรมประกาศ จากการปฏิบัติสหกิจศึกษา ณ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ถึงวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2566 ผู้วิจัยได้รับประสบการณ์และได้รับความ ความรู้ที่มีค่าเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการส่งเสริมเครื่องดนตรีพื้นบ้าน (แคน) ในจังหวัดขอนแก่น ทำให้ ขา้ พเจ้าสามารถจดั ทำภาคนพิ นธ์ฉบบั นี้สำเรจ็ ลลุ ว่ งไปไดด้ ้วยดี จากการสนบั สนุนหลายฝา่ ย ดังนี้ ขอขอบพระคุณ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม วงศ์ พงษ์คำ รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ ผู้อำนวยการศูนย์ ศิลปวัฒนธรรม ที่ให้โอกาสข้าพเจ้าในการฝึกปฏิบัติสหกิจศึกษาเพื่อเพิ่มความรู้ ความสามารถ ตลอดจนประสบการณท์ ำงานจริง ขอขอบพระคุณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่เปิดโอกาส และอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้เขา้ รว่ มการฝึกปฏบิ ตั สิ หกจิ ศึกษาในคร้ังนี้ ขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. รักชนก ชํานาญมาก ที่มอบความรู้ คำแนะนำ ชี้แนะแนวทางและให้คำปรึกษาตั้งแต่เริ่มไปปฏิบัติสหกิจศึกษา ให้ด้วยความใส่ใจ ห่วงใย ตั้งใจ ดูแล ท้ังเรอื่ งการทำงาน การทำภาคนพิ นธ์ ตลอดจนการปฏิบัติตนในการทำงานการใชช้ วี ติ และใหโ้ อกาสให้ การเรยี นร้กู ารทำงานจรงิ ขอขอบพระคุณคณาจารย์สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ ประสาทวิชาความรู้ และทักษะต่าง ๆ ทำให้ข้าพเจ้าสามารถนำวิชาความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้ในการ ทำงานไดเ้ ป็นอยา่ งดี ขอขอบพระคุณนางคณิตตา อักษร พเ่ี ลีย้ งฝึกปฏบิ ตั สิ หกิจศกึ ษาและเจา้ หนา้ ทที่ ่านอ่นื ๆ ของ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ให้ความเมตตา กรุณา ต่อข้าพเจ้า และมอบโอกาส สำคัญให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้การทำงาน ทักษะการสื่อสารร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งงานด้านอื่น ๆ ซึ่งให้ คำแนะนำตา่ ง ๆ และใหก้ ารดแู ลเป็นอยา่ งดี ขอขอบพระคุณผู้ให้ข้อมูลทุก ๆ ท่าน ที่ได้เสียสละเวลาในการให้สัมภาษณ์ของข้อมูล เกย่ี วกบั การสง่ เสริมเครื่องดนตรีพน้ื บา้ น (แคน) ในจังหวดั ขอนแก่น จงึ ทำให้ได้ข้อมูลมาครบถ้วนและ ตามวตั ถุประสงค์ สดุ ทา้ ยนี้ ขอขอบพระคุณบดิ าและมารดาที่คอยใหก้ ำลงั ใจ ใส่ใจ หว่ งใยและดแู ลข้าพเจ้าเป็น อย่างดี และขอขอบคุณพี่ น้อง เพื่อน ๆ รวมทั้งผู้ที่ไม่ได้กล่าวนาม และข้าพเจ้าขอขอบคุณในความ พยายามของตนเองที่ได้ศึกษาเล่าเรียน ขยันและอดทนในการฝึกปฏิบัติสหกิจศึกษา จึงทำให้การฝึก ปฏบิ ตั ิสหกจิ ศึกษาผ่านไปไดด้ ว้ ยดี วไิ ลพร แพงไทย เมษายน 2566

ข วิไลพร แพงไทย. (2565). การส่งเสริมเครื่องดนตรีพื้นบา้ น (แคน) ในจังหวัดขอนแก่น. ภาคนิพนธ์ หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศาสตร์ (วิชาเอกสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา) คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ . อาจารย์ทปี่ รกึ ษา: ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. รักชนก ชาํ นาญมาก พ่ีเลยี้ งสหกจิ ศึกษา: นางคณติ ตา อักษร บทคัดยอ่ งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน และเพื่อศึกษาแนวทางอนุรักษ์สืบสานเคร่ืองดนตรีพื้นบ้านแคน ใช้ระเบียบวิธีวจิ ัยเชิงคุณภาพ มีผู้ให้ ข้อมูลจำนวน 8 คน ได้แก่ หมอแคน 5 คน ช่างแคน 2 คน และผู้อำนวยการศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแกน่ 1 คน เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยวธิ ีการสัมภาษณ์แบบกงึ่ โครงสรา้ ง และเกบ็ ข้อมูล ทุติยภูมิโดยการค้นคว้าจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลปฐมภูมิ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลกึ ผลการวิจัยพบว่า ประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน หมอแคนและช่างแคน สว่ นใหญ่ไดก้ ล่าวถึงเสยี งของแคนท่ีมคี วามคล้ายคลงึ เหมือนกับเสยี งของนกการเวก จากนนั้ หญงิ หมา้ ย หนึ่งในสมาชิกของชมุ ชนทีไ่ ด้ไปประสบกับเหตุการณ์การได้เห็นและได้ยินเสียงของนกการเวก จึงเกิด ความประทับใจและหลงใหลกับเสียงของนกการเวก ดังนั้นจึงทำให้หญิงหม้ายได้ประดิษฐ์คิดค้น ดดั แปลงเคร่ืองดนตรีคอื เครือ่ งดนตรปี ระเภทเปา่ หรอื เรียกว่าแคน แคนเปน็ คำทพี่ ระราชาได้ตั้งชื่อน้ี ใหห้ ลงั จากท่ีหญงิ หม้ายไดน้ ำแคนไปเปา่ ให้พระราชาดู ส่วนแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน หมอแคน ช่างแคน และผู้อำนวยการ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งหมด 8 คน ส่วนใหญ่ได้ให้ข้อมูลของคำตอบที่คล้ายคลึงกันโดยผู้วิจัยได้ สัมภาษณ์ตั้งแต่การเลือกไม้ในการทำแคน วิธีการทำแคน การถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง กระบวนการ ส่งเสริมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และใช้วิธีการอย่างไรในการส่งเสริม นอกจากนี้หมอแคนและช่าง แคนส่วนใหญ่ใช้วิธกี ารสอนการเรยี นรู้เกีย่ วกับแคนแบบตวั ต่อตวั และในโซเชยี ลมีเดียรวมท้ังการแสดง เกี่ยวกับแคนเพื่อให้คนทั่วโลกได้รู้จักเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคนมากยิ่งขึ้น และผู้อำนวยการศูนย์ ศลิ ปวัฒนธรรมใช้วธิ กี ารจัดกจิ กรรมการประกวดการแข่งขันเป็นสว่ นใหญ่ คำสำคญั : การส่งเสริม, เครอ่ื งดนตรี, แคน

สารบญั ค กิตตกิ รรมประกาศ หน้า บทคดั ยอ่ ก สารบญั ข สารบัญภาพ ค จ บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์การวิจยั 2 1.3 ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะได้รับ 2 1.4 ขอบเขตการวจิ ัย 2 1.5 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 2 3 บทที่ 2 แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยทเี่ กี่ยวข้อง 3 2.1 แนวคดิ เกี่ยวกบั ดนตรีพนื้ บ้าน 8 2.2 เอกสารและงานวิจัยทเี่ ก่ียวข้อง 11 2.3 กรอบแนวคิดการวจิ ยั 13 13 บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย 13 3.1 หนว่ ยในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 13 3.2 พนื้ ทีใ่ นการวจิ ัย 14 3.3 กลุ่มเป้าหมายและผู้ใหข้ ้อมูล 16 3.4 ขอ้ มูล วธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูล และเคร่ืองมือวจิ ยั 17 3.5 การตรวจสอบข้อมูลและการวเิ คราะห์ข้อมลู 17 3.6 การนำเสนอผลการศึกษา 3.7 จรยิ ธรรมการวจิ ยั

สารบัญ (ต่อ) ง บทท่ี 4 ผลการวจิ ัยและอภิปรายผล หน้า 4.1 เครอ่ื งดนตรีพน้ื บา้ นแคน 18 4.2 ประวัติความเป็นมา ววิ ฒั นาการเคร่ืองดนตรีพื้นบา้ น 18 4.3 แนวทางอนุรักษส์ ืบสานเครื่องดนตรีพ้ืนบ้าน 20 4.4 อภปิ รายผลการวิจยั 26 4.5 สรปุ ทา้ ยบท 46 50 บทท่ี 5 บทสรปุ และข้อเสนอแนะ 52 5.1 สรปุ ผลการวิจยั 52 5.2 ข้อเสนอแนะ 54 55 บรรณานุกรม 57 ภาคผนวก 58 62 ภาคผนวก ก ข้อมูลของหนว่ ยงานทป่ี ฏบิ ัตสิ หกจิ ศกึ ษา 65 ภาคผนวก ข เครอื่ งมอื วจิ ัย 70 ภาคผนวก ค แบบบนั ทึกปฏิบัตสิ หกจิ ศกึ ษา 79 ภาคผนวก ง ภาพกจิ กรรมขณะปฏบิ ตั ิสหกิจศึกษา 81 ภาคผนวก จ หนังสอื รับรองการปฏิบตั ิสหกจิ ศึกษา ภาคผนวก ช ผลการตรวจสอบการคดั ลอกผลงานวิชาการ (Turnitin)

สารบัญภาพ จ ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั หน้า 12

1 บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ดนตรีพื้นบ้านอีสานเป็นดนตรีที่แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดแต่งขึ้นโดยศิลปินพื้นบ้าน ดนตรีพื้นบ้านอีสานจึงสะท้อนถึงขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีวัฒนธรรมสภาพความเป็นอยู่ความ อุดมสมบูรณ์ความแห้งแล้ง โดยเครือ่ งดนตรีพื้นบ้านจะใชว้ ัสดอุ ุปกรณ์ท่ีหาไดใ้ นท้องถิ่นในจังหวะการ บรรเลงกค็ ่อนข้างเร็วและมลี ีลาทคี่ ึกคักกระชับและสนุกสนาน นอกจากน้ีเคร่ืองดนตรีพื้นบ้านอีสานมี หลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป เช่น แคน ปี่ภูไท พิณ ไหซอง ซอกะลา โปงลาง กลองยาว โหวด เปน็ ตน้ (เจรญิ ชยั ชนไพโรจน์, 7 มกราคม 2559) แคนเป็นเครื่องดนตรีที่ถ่ายทอดความเป็นตัวตนทางวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน จัดเป็นเครื่อง ดนตรีที่เก่าแก่มีประวัติมายาวนานหลายพันปีและเป็นที่นิยมแพร่หลายในภูมิภาคเอเชีย โดยสืบทอด ต่อกันมาตั้งแต่โบราณจนกระทั่งถึงปัจจุบัน (สราวุฒิ สีหาโคตร, 2557 : 37) แคนคือเครื่องดนตรี พื้นบ้านที่สอดประสานไว้ด้วยภูมิปัญญาชาญฉลาดของบรรพชนท่ีประดิษฐ์วัสดุจากธรรมชาติ เป็น เครอื่ งดนตรีที่มคี ุณคา่ ท้ังทางกาย จติ ใจและความหมายสอดแทรกอยู่ทกุ สำเนียงทดี่ ังลอดมาจากปลาย แคน หากได้ยินเสียงแคนจึงทำให้นึกถึงความเป็นมรดกอีสานความเป็นเอกลักลักษณ์ของภาคอีสาน ซึ่งเป็นเครือ่ งดนตรีพื้นบ้านอันทรงคุณคา่ อยู่คู่กับคนไทยในภาคอีสานมาอย่างยาวนาน แคนไม่ได้เป็น เพียงเครื่องดนตรีที่มีไว้ประกอบกิจกรรมสังสรรค์ ความเพลิดเพลินและความบันเทิงต่างๆของคนใน ชุมชนเท่านั้น แต่แคนยังสามารถนำไปเป่าหรือร้องรำทำเพลงในพิธีกรรมต่าง ๆ ในชุมชนได้ เช่น พิธี เลีย้ งผีปผู่ ยี า่ พิธีรำผฟี ้า เป็นต้น นอกจากนี้เครอื่ งดนตรีพ้นื บ้านแคนยังถูกนำไปประกอบอาชีพในคณะ หมอลำที่เราเห็นได้ทั่วไป คือ หมอแคน ที่มีหน้าที่เป่าแคนให้เข้ากับจังหวะของเพลงโดยสร้างความ สนกุ สนานให้แกผ่ ้รู ับชมได้เปน็ อยา่ งดี และอกี อาชพี คือ ช่างแคน จากความสำคัญดังกล่าวจึงทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาวิจัยเรื่อง การส่งเสริมเครื่อง ดนตรีพื้นบ้าน (แคน) ในจังหวัดขอนแก่น เพื่อให้เห็นถึงคุณค่าและประวัติความเป็นมาของแคน รวมถึงแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน สืบทอดและเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาอัน เก่าแก่ที่เป็นเครื่องดนตรีศิลปวัฒนธรรมที่มีค่า และในปัจจุบันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกบั การก้าวกระโดดของเทคโนโลยีทีท่ ันสมัย ซง่ึ ทำให้ศลิ ปวฒั นธรรมอนั เก่าแก่อาจถูกลืมหรือ สูญหายไปได้ เนื่องจากมีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแทนที่ หากหน้าที่การอนุรักษ์ สืบทอด ศลิ ปวฒั นธรรมภูมปิ ัญญาอนั เกา่ แกเ่ ป็นเพียงหน้าท่ีของคนรนุ่ ก่อน ในทา้ ยท่ีสุดสง่ิ เหล่าน้คี งไม่ได้ถูกสืบ ทอดและเผยแพร่อีกต่อไป ฉะนน้ั จึงต้องอนุรักษ์และสบื สานรวมทั้งให้คนรุน่ ใหมส่ ืบทอดวัฒนธรรมภูมิ ปัญญาอันเก่าแก่นี้ไว้เพ่อื ไมใ่ หจ้ างหายไป

2 1.2 วัตถุประสงคก์ ารวิจยั 1.2.1 เพื่อศึกษาประวัติความเปน็ มา ววิ ฒั นาการเครือ่ งดนตรพี ้ืนบา้ นแคน 1.2.2 เพื่อศึกษาแนวทางอนรุ ักษ์สบื สานเครื่องดนตรพี ้นื บา้ นแคน 1.3 ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะไดร้ บั 1.3.1 ได้รับความรู้ ความเข้าใจ และได้รู้ถึงประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรี พนื้ บ้านแคน 1.3.2 ไดร้ ู้แนวทางในการส่งเสรมิ อนุรักษเ์ คร่ืองดนตรพี นื้ บา้ นแคน 1.4 ขอบเขตการวิจยั 1.4.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพื้นบ้าน แคน และเพื่อศึกษาแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน และทบททวนวรรณกรรม ท่ี เก่ียวขอ้ งกับการส่งเสริมเครื่องดนตรพี ื้นบ้านแคน ตลอดจนการลงพ้นื ที่สมั ภาษณ์ 1.4.2 ขอบเขตด้านผู้ให้ข้อมูล ผู้วิจัยมุ่งศึกษาการส่งเสริมเครื่องดนตรีพื้นบ้าน (แคน) ใน จังหวัดขอนแก่น คือ หมอแคน 5 คน ช่างแคน 2 คน และผู้อำนวยการศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ รวมท้ังสน้ิ จำนวน 8 คน 1.4.3 ขอบเขตดา้ นพ้ืนที่ ผู้วิจยั มงุ่ ทำการศึกษาในพ้ืนทจ่ี งั หวดั ขอนแก่น เนื่องจากเป็นพนื้ ที่ที่ สอดคล้องกับงานวิจัยของผู้วิจยั และในจังหวัดขอนแกน่ ค่อนข้างมผี ู้มีความรู้เรื่องแคนคอ่ นข้างมาก โดยเฉพาะหมอแคนและช่างแคน 1.5 นยิ ามศัพท์เฉพาะ 1.5.1 การส่งเสริม หมายถึง การให้ความสำคัญและการขยายขอบเขตในโครงการหรือ กิจกรรมให้ดีมีคุณภาพสมบูรณ์ขึ้นด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ อาคารสถานท่ี บคุ ลากร ความรู้ โอกาส และกำลังใจ เพอ่ื ให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายท่มี ีความเป็นไปได้อย่าง เป็นรูปธรรม สามารถจะดำเนนิ การได้อยา่ งตอ่ เน่อื ง และยั่งยืน 1.5.2 อนรุ กั ษ์ หมายถงึ การรกั ษาไว้ใหน้ านที่สุด และสามารถนํามาใชใ้ ห้เป็นประโยชน์มาก ทสี่ ดุ 1.5.3 เครื่องดนตรี หมายถึง อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมาหรือดัดแปลงจากอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อการ ผลิตเสยี งดนตรี หรือสร้างเสยี งสำหรบั ใช้ประกอบในการรอ้ งรำทำเพลง 1.5.4 พืน้ บา้ น หมายถงึ เฉพาะทอ้ งถิน่ ใดท้องถ่นิ หนงึ่

3 1.5.5 แคน หมายถึง เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองชนิดหนึ่งของประเทศลาวและภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ในประเทศไทย

4 บทท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้อง การศึกษาเร่ือง “การสง่ เสริมเครื่องดนตรีพ้ืนบ้าน (แคน) ในจังหวัดขอนแกน่ \" มีวัตถุประสงค์ เพอื่ ศึกษาประวัติความเป็นมา ววิ ฒั นาการเครอ่ื งดนตรีพ้นื บ้านแคนและเพ่ือศึกษาแนวทางอนุรักษ์สืบ สานเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน ทั้งนี้ผู้วิจัยได้ทําการศึกษาค้นคว้าจากเอกสารเพื่อรวบรวมแนวคิดและ ทฤษฎีรวมไปถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนํามาใช้พัฒนากรอบแนวคิดการวิจัย โดยมีรายละเอียด ดังตอ่ ไปน้ี 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับดนตรพี น้ื บา้ น 2.1.1 ความหมายของดนตรีพ้นื บา้ น ดนตรีพ้นื บา้ น คอื ดนตรแี ละเพลงทป่ี รากฏอยู่ในท้องถ่ินของแต่ละภมู ภิ าค ทแี่ สดงออกถึงภูมิ ปัญญาเฉพาะของทอ้ งถนิ่ นน้ั ๆ ดนตรีพื้นบ้าน เป็นดนตรีประเภทหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมากจากรุ่นสู่รุ่น เป็นกิจกรรมที่ ช่วยผ่อนคลายความเครยี ดจากการทำงาน และสร้างความบันเทิงสร้างความรักและสามัคคีให้เกิดขน้ึ ในแต่ละท้องถน่ิ ซงึ่ แต่ละภาคก็มเี อกลกั ษณ์ที่ต่างกันดว้ ยดังต่อไปน้ี ดนตรีพื้นบ้านภาคกลาง ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ดีด สี ตี เป่า โดยเครื่องดีดจะมี จะเข้ จ้องหน่อง เครื่องสีก็พวกซอด้วง ซออู้ เครื่องตีจะเป็นระนาด ฆ้อง โหม่ง ฉิ่ง ฉาบ ส่วนเครื่องเป่าจะ เป็นขลุ่ย ปี่ โดยจุดเด่นของวงดนตรีพื้นบ้านภาคกลาง คือ วงปี่พาทย์จะผสมผสานกับวงดนตรีหลวง ในตอนแรกใช้ปี่และกลองเป็นหลัก ต่อมาจึงเพิ่มระนาดและฆ้องวงเข้าไป ทำให้วงดนตรีขนาดใหญ่ และยงั มกี ารขับร้องท่คี ล้ายคลงึ กบั ป่พี าทยข์ องหลวงเพราะไดร้ ับการถา่ ยทอดวัฒนธรรม ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ ในตอนแรกเน้นเครื่องดนตรีประเภทตีเพราะจะใช้ในการประกอบ พิธีกรรมต่าง ๆ โดยเน้นไปที่กลองเป็นหลัก เช่น ถ้าเป็นกลองที่ขึงด้วยหนังสัตว์ด้านเดียวจะมีกลอง ยาว กลองแอว และกลองรำมะนา ส่วนกลองที่ขึงด้วยหนังสัตว์สองหน้าจะมีกลองมองเซิง กลองสอง หน้า และตะโพนมอญ และยังมีเครอื่ งดนตรที ีท่ ำดว้ ยโลหะ เช่น ฉิ่ง ฉาบ เครอื่ งดนตรปี ระเภทเปา่ เชน่ ขลุ่ย ปี่ไฉน เครื่องสีประเภทสะล้อ รวมถึง พิณและซึง ลักษณะเด่นของดนตรีนี้ คือ ท่วงทำนองและ สำเนียงที่พลิ้วไหวตามธรรมชาติ ได้รับการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมในราชสำนักทั้งการบรรเลงดนตรี และทว่ งทำนองซง่ึ ถือเป็นเอกลักษณข์ องดนตรีทางภาคเหนือ ดนตรีพื้นบ้านภาคอีสาน หรือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แรกเริ่มมีการใช้วัสดุท้องถิ่นมาทำ เลียนเสียงธรรมชาติ จะเป็นเสียงสั้นไม่ก้อง และยังมีการนำวัสดุจากธรรมชาติมาเป่าให้เกิดเสียงด้วย เช่น ใบไม้ ปล้องไม้ไผ่ เป็นต้น และช่วงหลังๆได้นำหนังสัตว์และเครื่องหนังมาสร้างเครื่องดนตรี โดย

5 การละเล่นดนตรีพืน้ บ้านของอสี านจะแบ่งเป็น 3 กล่มุ คือ อีสานเหนอื และกลาง โดยจะเน้นหมอลำที่ มกี ารใชแ้ คนและพณิ ในการบรรเลงและขบั ร้องสว่ นอสี านใตจ้ ะนิยมแนวกันตรมึ ดนตรพี ้นื บา้ นภาคใต้ เปน็ การทำเครอื่ งดนตรจี ากวัสดุใกล้ตัวโดยในระยะแรกมาจากซาไกท่ีใช้ ไม้ไผ่ลำต่าง ๆ มาตัดเป็นทอ่ น ๆ สั้นบ้างยาวบ้างและนำปากกระบอกไม้ไผ่ที่มีการตัดตรงหรือเฉยี งมา ใช้ตีประกอบจังหวะ และต่อมามีการพัฒนาเป็นแตร กรับ กลอง และยังมีเครื่องเป่าอีก เช่น พวกปี่ นอก รวมทัง้ เครอื่ งสีดว้ ย โดยมีการรับวฒั นธรรมมาจากหลายท่ี ทำใหเ้ กดิ การผสมผสานเกิดเป็นดนตรี พ้ืนบ้านและวัฒนธรรมทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์ของภาคใต้ เชน่ รองเงง็ มโนราห์ ลเิ กฮูลู เป็นตน้ ลกั ษณะของดนตรีพ้นื บ้าน คอื เป็นดนตรีท่เี กดิ จากความคดิ สร้างสรรคข์ องชาวบา้ นมุ่งสื่อสาร เรอื่ งราวจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวมกี ารปรับปรุงให้มีความสอดคล้องกบั ความต้องการของ คนในชุมชน มีความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนทั้งด้านทำนองเพลง จังหวะ ภาษา เนื้อร้อง และวิธีการ บรรเลง โดยใช้ฉันทลักษณ์ที่ไม่ซับซ้อน ไม่เคร่งครัดเรื่องสัมผัสนอก สัมผัสใน ทำนองและเนื้อร้องไม่ คงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของศิลปิน นอกจากนี้ยังเพื่อความบันเทิงหรือเพื่อร่วม กิจกรรมที่เป็นพิธีกรรมตามความเชื่อ และไม่มีการจดบันทึกแต่จะสืบทอดกันทางมุขปาฐะ (การสืบ ทอดระหวา่ งครูกบั ศิษย์โดยตรง โดยเน้นการจดจำและการปฏิบัตติ าม) ดนตรีพื้นบ้าน คือ ผลผลิตของสมาชกิ ของสังคมเกษตรในชนบทถ่ายทอดด้วยการจำและการ ปฏิบัติจริงโดยไม่ใช้ลายลักษณ์อักษร มีเนื้อหาครอบคลุมกิจกรรมและประเพณีทุกอย่างไว้ในวิถีชีวิต ของคนในสังคม และมีสถานะเป็นสมบัติของส่วนรวม ซึ่งไม่สามารถระบุได้ชัดว่ามีที่มาอย่างไรและ ยาวนานเท่าไหร่และยังกล่าวอีกวา่ เพลงพื้นบ้านน้ัน เกิดจากชาวบ้านเป็นผู้สร้างบทเพลง เป็นทำนอง คำรอ้ งแบบสนั้ ๆ มเี น้ือหาสอดคล้องกับท้องถ่ินท้องถิ่นนน้ั ๆ จึงทำใหเ้ พลงพนื้ บ้านของไทยภาคต่างๆ นัน้ มีความแตกต่างกันออกไป (คมกริช การินทร์, 2557) ดนตรพี น้ื บา้ นอีสานเป็นอีกกลุ่มของดนตรีพ้ืนบ้านทเ่ี กิดจากการคิดค้นจนเป็นเอกลักษณ์ โดย มีการถ่ายทอด พัฒนาและสืบทอด จนได้ชื่อว่าเป็นดนตรีพื้นบ้านอีสาน ที่เข้าถึงชีวิตจิตใจ สามารถ กลอ่ มเกลาจิตใจ ตลอดจนให้ความสนุกสนาน เพลดิ เพลนิ ต่อผู้ท่ีไดร้ ับชมรับฟังและผบู้ รรเลงเองก็ตาม เครื่องดนตรีบางชนิดไม่ทราบแหล่งที่มาอย่างชัดเจน แต่ยังคงมีการสืบทอด ปรับปรุงและพัฒนากัน อย่างแพร่หลายจนถึงปัจจบุ ัน โดยภาคอีสานนั้น แบ่งเครื่องดนตรีออกเป็น 4 ประเภทคือ 1.ประเภท ดดี ได้แก่ พิณ, พิณเบส, ไหซอง 2.ประเภทสี ไดแ้ ก่ ซอ 3.ประเภทตี ได้แก่ โปงลาง, กลองยาว, กลอง หาง, กลองตุ้ม, กลองเพลง, ฉาบ, เกราะลอ, โปงผางฮาด, ฆ้อง, ระฆัง 4.ประเภทเป่า ได้แก่ แคน, โหวด, ป,ี ภไู ท, สะไน (อุดม บวั ศรี, 2546) เปน็ ต้น เจริญชัย ชนไพโรจน์ (2526: 1) สรุปว่าดนตรีพื้นบ้าน หมายถึง ดนตรีที่เกิดขึ้นมาจาก ความคิดสร้างสรรค์ของชาวบ้านนำเอาวัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องดนตรีตามภูมิ ปัญญาของตนเพ่ือความบันเทงิ และสนองต่อความเชอื่ ของตน ดนตรีพน้ื บา้ นด้ังเดมิ จะเปน็ เพยี งการขับ

6 ร้องแต่ต่อมาชาวบ้านได้คิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการขับร้องขึ้น ส่วนดนตรีพื้นบ้าน อีสานหมายถงึ ดนตรีท่ีเกดิ ข้ึนมาจากความคดิ สร้างสรรคข์ องชาวอีสานในการนำเอาวัสดุที่มใี นท้องถนิ่ มาคิดประดิษฐ์ทำเครื่องดนตรีสำหรับใช้ประกอบการขับร้องแบบดั้งเดิมเพื่อความบันเทิงและความ เชื่อของตนการขับร้อง และการเล่นเครื่องดนตรีของแต่ละท้องถิ่นในภาคอีสานมีความแตกต่างกันไป ตามวัฒนธรรมด้านดนตรีและวัฒนธรรมด้านอื่น ๆ เช่นวัฒนธรรมทางด้านภาษาวัฒนธรรมทางการ แตง่ กายวัฒนธรรมทางดา้ นชีวิตความเป็นอยู่ โดยสรุปแล้ว ดนตรีพื้นบ้าน หมายถึง ดนตรีที่ประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึ้นโดยนักดนตรีพื้นบ้าน ด้วยเนื้อหาสำนวนและสำเนียงของชาวบ้านและถา่ ยทอดสืบต่อกันมาด้วยความจำมีการบรรเลงโดยใช้ เครื่องดนตรีของท้องถิ่นซึ่งจะแตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ธรรมชาติตลอดจนขนบธรรมเนียม ประเพณแี ละวัฒนธรรมของแต่ละภมู ิภาค 2.1.2 แนวคิดเกยี่ วกบั ภมู ิปญั ญา ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ความเชื่อ ที่นำมาไปสูก่ ารปฏิบัติเพื่อแกไ้ ขปัญหา ของมนุษย์ หรือ ภูมิปัญญา คือ พื้นความรู้ของปวงชนในสังคมนั้น ๆ และปวงชนในสังคมยอมรับรู้ เชอื่ ถือ เขา้ ใจรว่ มกัน เรียกวา่ ภูมิปญั ญา ภูมิปัญญา หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและทักษะอันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ ท่ีผ่านกระบวนการเรียนรู้ เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนา และถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อใช้แก้ปัญญาและ พัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยให้สมดุลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัย ภูมิปัญญานี้มีลักษณะ เปน็ องค์รวม มีคุณคา่ ทางวัฒนธรรมเกดิ ข้นึ ในวิถชี วี ิตซงึ่ ภูมปิ ัญญาท้องถ่ินอาจเป็นที่มาขององค์ความรู้ ที่งอกงามขึ้นใหม่ทจ่ี ะช่วยในการเรียนรู้ การแกป้ ัญหา การจัดการและการปรบั ตัวในการดำเนนิ วิถีชีวิต ลักษณะองค์รวมของภูมิปัญญามีความเด่นชัดในหลายด้านเช่น ด้านเกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรม และหตั ถกรรม ด้านการแพทย์แผนโบราณ ดา้ นการจัดการทรัพยากรและส่งิ แวดล้อม ด้านกองทุนและ ธุรกิจชุมชน ด้านศิลปกรรม ด้านภาษาและวรรณกรรม ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี และด้าน โภชนาการ วฒั นธรรม พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตร์ เอกลักษณะและภูมปิ ัญญา ประเวศ วะสี (2530:6) คำว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาชาวบ้านเรียกชื่อต่างกัน แต่มี ความหมายเดียวกันและเป็นแนวคิดคิดที่มีการหยิบยกขึ้นมาอย่างจริงจังมากว่า 20 ปี โดยประมาณ ซึง่ กลุม่ พัฒนาองคก์ ารเอกชน ทท่ี ำงานในระดบั หมูบ่ า้ นเปน็ กลุ่มแรกทเ่ี ริม่ ร้ือฟนื้ เร่ืองภูมปิ ญั ญาท้องถิ่น นีเ้ พ่ือนำมาเช่ือมโยงกับกจิ กรรมการพัฒนาที่พวกเขารบั ผิดชอบอยู่ก่อนหน้าทีจ่ ะศกึ ษาเรื่องภูมิปัญญา ท้องถ่ินอยา่ งจรงิ จังนน้ั ไดม้ ีการศึกษา เรื่องราวทำนองนแี้ ต่เรียกช่ือว่า การศึกษาวฒั นธรรมชุมชนหรือ การพึ่งพาตนเองของชาวบ้าน ทำให้ประเด็นสำคัญในการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงไม่ได้นำมาใช้ โดยตรงในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ความสนใจจึงเป็นเพียงการกระตุ้นให้เกิดการ ตระหนักในภูมิปัญญาชาวบ้านและวัฒนธรรมท้องถิ่น นอกจากนี้ภูมิปัญญาท้องถิ่นทำให้ชาติและ

7 ชุมชนผ่านพ้นวิกฤติและดำรงความเป็นชาติหรือชุมชนได้ซึ่งภูมิปัญญาเป็นองค์วามรู้ที่มีคุณค่าและ ความดีงามที่จรรโลงชีวิตและวิถชี ุมชนให้อยู่กับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมได้อย่างกลมกลืน อีกท้ัง ยังเป็นพื้นฐานการประกอบอาชีพและรากฐานการพัฒนาที่เริ่มจากการพัฒนาเพื่อการพึ่ง พาตนเอง การพัฒนาเพื่อการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันและการพัฒนาทีเ่ กิดจากการผสมผสานองค์ความรูส้ ากล บนฐานภูมิปัญญาเดิม และเพื่อเป็นภูมิปัญญาใหมท่ ี่เหมาะสมกับยุคสมัยดงั นั้นภูมิปัญญาจงึ มีคุณค่ามี ความสำคญั ไม่เพียงแต่ต่อท้องถิ่นและผคู้ นเท่านั้น แต่ยงั เอ้อื ประโยชน์อย่างใหญห่ ลวงต่อการวางแผน พฒั นาประเทศอยา่ งยั่งยนื อีกดว้ ย (กรมส่งเสรมิ การเกษตร, 2553) ภูมิปญั ญา หมายถึง ผลึกขององค์ความรทู้ ่ีมเี อกลักษณซ์ ่ึงมนุษยใ์ นสงั คมหนึง่ ๆ คดิ คน้ ข้ึนจาก การบูรณาการระหว่างความคิดและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งรอบตัว ภูมิปัญญาจึงเป็นสิ่งที่ มนุษย์ได้มาโดยผ่านกระบวนการสั่งสม สืบทอด ปรับปรุงและประยุกต์ต่อเนื่องกัน เป็นระบบคุณค่า ดั้งเดิมที่สะท้อนออกมาให้เห็นในชีวิตประจำวันของบุคคลด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ภูมิปัญญาจึงมีความ เชื่อมโยงกับระบบต่าง ๆ ของสังคมทั้งระบบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีความหลากหลายไม่หยุดน่ิง และแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม (พัชรินทร์ สิรสนุ ทร) สิริมาส เฮงรัศมี (2547) กล่าวว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นเปรียบได้กับ ความรู้ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมที่หยั่งรากฐาน สืบทอดสั่งสม และผ่านกาลเวลาไม่ว่าจะยาวหรือสั้นอยู่ใน สังคมแตล่ ะพ้ืนที่ ซ่ึงสว่ นใหญ่เป็นความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตประจำวันและสืบ ทอดความรู้นน้ั จากรนุ่ สรู่ ุ่นตงั้ แต่บรรพบรุ ษุ ซง่ึ อาจเหมือนหรือแตกต่างกนั ไปตามทอ้ งถิ่น หรือกลุ่มชาติ พันธ์ุ ข้ึนอยกู่ บั ระบบสงั คมและวฒั นธรรมของกลุ่มชนนั้น ๆ ซง่ึ สอดคล้องกับ นธิ ิ เอ่ียวศรีวงศ์ (2539) ที่กลา่ วไวว้ า่ ภูมิปญั ญาท้องถ่นิ ประกอบด้วยลักษณะสำคัญ 4 อย่างคือ 1. เปน็ ความร้แู ละระบบความรู้ 2. เกดิ จากการสั่งสม การเข้าถงึ ความรู้ และการกระจายความรู้ 3. การถ่ายทอดความรแู้ ละระบบความรู้ 4. การสรา้ งสรรค์และการปรบั ปรุงภูมิปัญญาความรู้ พัชรินทร์ สิรสุนทร กล่าวว่า แนวคิดเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้เกิดขึ้นจากข้อจำกัดของการ พัฒนาในอดีตที่ไม่ให้ความสำคัญกับองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น และการละเลย ระบบวัฒนธรรม และเศรษฐกจิ ฐานราก ภมู ปิ ญั ญาจึงมีลกั ษณะคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมคือ เป็นสิ่งที่ไม่ คงที่ (Dynamics) มีความหลากหลาย (Differentiation) และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง ประกอบดว้ ยสาระสำคัญสองประการคือ 1. สว่ นท่เี ป็นรูปธรรม ได้แกผ่ ลผลิตทางภมู ปิ ญั ญา เช่น ผ้าทอ งานจักสาน 2. สว่ นที่เป็นนามธรรม ได้แก่ ระบบคิด ความเชอ่ื ทศั นคติและคา่ นยิ ม

8 สามารถ จนั ทรสรู ย์, 2536:146 , ประเวศ วะสี, 2530:6 , ชลทติ ย์ เอย่ี มสำองค์และ วิศนี ศิล ตระกูล, 2533:241 (อ้างใน กนกพร ฉิมพลี, 2555:8-10) กล่าวว่า สิ่งที่ถ่ายทอดจากชนรุ่นหนึ่งไปยงั อีกชนรุ่นหนึ่งโดยยังคงความเป็นเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของความเป็นตัวตน โดยเชื่อมโยงจากปัจจัย หลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมหรือสภาพของสังคมที่เป็นอยู่ ผ่านขั้นตอนวิธีการทำออกมา เป็นผลงานที่มคี วามโดดเด่นและผ่านการทำด้วยมือซึง่ หากจะมองย้อนจากอดีตจนถึงปัจจุบัน คนไทย มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับภูมิปัญญาท้องถิ่นมานานแล้ว เพราะสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นงานภูมิปัญญาจะ เห็นได้จากวถิ ีชีวิตท่ีเรียบง่ายและการพึ่งตนเองและการใช้งานของอปุ กรณ์เคร่ืองมือเลีย้ งชีพ โดยการ ได้นำเอาวัสดุจากธรรมชาติมาดัดแปลงหรือประดิษฐ์คิดค้น ซึ่งล้วนแล้วมาจากความคิดของคนเรา ทัง้ น้ันไม่ไดพ้ ง่ึ เทคโนโลยีอันทนั สมัย รวมไปถงึ การใช้ฝมี อื ในการทำท้งั สิน้ เรามักจะเรยี กวา่ “ภมู ปิ ญั ญา ชาวบ้าน” เอกวิทย์ ณ ถลาง (2540:11-12) ให้ความหมายไว้ว่า “ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ ความคดิ ความเช่ือ ความสามารถ ความชดั เจนที่กลุ่มชนได้จากประสบการณ์ทส่ี ัง่ สมไว้ในการปรบั ตวั และดำรง ชีพในระบบนิเวศ หรือสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรมที่ได้ พัฒนาการสืบสานกันมาในภูมิปัญญาเป็นความรู้ความสามารถที่เป็นผลของการใช้สติปัญญาชาญ ฉลาด โดยได้ปรับตัวกับสภาวะต่าง ๆ ในพื้นที่ที่กลุ่มชนนั้นตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานอยู่และมีการ แลกเปลย่ี นสรา้ งสรรคท์ างวฒั นธรรมกับกลุม่ ชนอืน่ จากพน้ื ทส่ี ่งิ แวดล้อมอ่นื ท่ีได้มีการตดิ ต่อสัมพันธ์กัน และกัน ดังนั้นจึงรับเอาและปรับเปลี่ยนนำมาสร้างประโยชน์หรือแก้ปัญหาในสิ่งแวดล้อมและบริบท ทางสังคม วฒั นธรรมของกลุม่ ชนนัน้ ภมู ปิ ญั ญาจึงมที ัง้ ภมู ปิ ญั ญาอนั เกิดจากประสบการณ์ในพื้นที่ ภูมิ ปัญญาที่มาจากภายนอก และภูมิปัญญาที่ผลิตใหม่หรือผลิตซ้ำเพื่อมาแก้ปัญหา และการปรับตัวให้ สอดคล้องกบั ความเป็นอย่แู ละความเปลยี่ นแปลงท่ีจะเกดิ ข้ึน” จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (2561:36) กล่าวไว้ว่าภูมิปัญญา หมายถึง พื้นฐาน ความรู้ ความสามารถ ความคิด ความเชอ่ื ความสามารถทางพฤตกิ รรม ความสามารถในการแก้ไขปัญหา โดย ใช้ ประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ในการปรับตัว และดำรงชีพในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติโดยใช้ ประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ในการปรับตัวของชนกลุ่ม และได้ดำรงชีพในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ มทางสังคมและวฒั นธรรมที่ได้มีการพัฒนาสืบสานกันมาตั้งแตบ่ รรพบรุ ุษอนั เป็นผลของการ ใช้สติปัญญาปรับตัวให้เข้ากับสภาพต่าง ๆ ในพื้นที่ที่กลุ่มชนเหล่านั้นที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ รวมทั้งได้มีการ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับกล่มุ อนื่ นันทสาร สีสลับ (อ้างถึงใน สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ, 2547 เล่มที่ 23) กล่าวว่า ภูมิ ปัญญาตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Wisdom หมายถึง ความรู้ความสามารถ ทักษะความเชื่อและ ศักยภาพในการแก้ปัญหาของมนุษย์ท่ีสืบทอดกนั มาจากอดีตถึงปจั จุบันอย่างไม่ขาดสายและเชื่อมโยง กัน ทั้งระบบทุกสาขาภมู ิปัญญาไทยหมายถึง ความรู้ความสามารถ ทักษะและเทคนิควิธีการตัดสนิ ใจ

9 ผลิตงานของบุคคล อันเกิดจากการสะสมความรู้ทุกด้านที่ได้รับการถ่ายทอดในการพัฒนาปรับปรุง และเลือกสรรมาแล้วเป็นอย่างดีจนสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสมกับยุค สมัย ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือภูมิปัญญาชาวบา้ นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวบา้ นคิดขึ้นมาได้และได้มี การนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่งอาศัยศักยภาพที่มีอยู่แก้ปัญหาการดำเนินชีวิตในท้องถิ่นได้ อย่างเหมาะสมกับยุคสมัยความเหมือนกันของภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ เป็นองค์ ความรู้และเทคนิคที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจซึ่งได้สืบทอดและเชื่อมโยงมาอย่าง ต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันความต่างกันของภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ภูมิ ปัญญาไทยเป็นองค์ความรู้และความสามารถโดยส่วนรวมและเป็นที่ยอมรับในระดับชาติส่วนภูมิ ปัญญาทอ้ งถนิ่ เป็นองค์ความรู้และความสามารถในระดับท้องถิ่น และมขี อบเขตจำกัดในแต่ละท้องถิ่น เช่น ภาษาไทยเปน็ ภูมิปัญญาไทย ในขณะที่ภาษาอสี านเป็นภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น เป็นตน้ ผู้ทรงภมู ิปัญญา ไทย หมายถึง บุคคลผู้เปน็ เจ้าของภมู ิปัญญาหรือเปน็ ผู้นำภูมิปัญญาตา่ ง ๆ มาใช้ประโยชน์จนประสบ ความสำเร็จมีผลงานดีเด่นเปน็ ที่ยอมรบั และได้รับการยกย่องในฐานะเป็นผู้เชีย่ วชาญสามารถเผยแพร่ และถ่ายทอดเชื่อมโยงคุณค่าของภูมิปัญญาในแต่ละสาขานั้น ๆ ให้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง ปราชญ์ชาวบ้าน หมายถึง บุคคลผู้เป็นเจา้ ของภมู ิปัญญาชาวบ้านและนำภมู ิปญั ญามาใช้ประโยชน์ใน การดำรงชีวิตจนประสบผลสำเร็จสามารถถ่ายทอดเชื่อมโยงคุณค่าของอดีตกับปัจจุบันได้ อย่าง เหมาะสม สรุปได้ว่า ภูมิปัญญาท้องถิน่ หรือภูมิปัญญาวฒั นธรรม คือ ความรู้ความคิด ความเชื่อ ความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์และความเฉลียวฉลาดของคนแต่ละคนผ่าน กระบวนการเลือกสรร เรียนรู้ปรุงแต่ง พัฒนา และมีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษจากรุ่น หนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งอาจจะมกี ารประยุกต์และเปลีย่ นแปลงไปบ้างจนอาจเกิดความรู้ใหม่ขึน้ มาอีกตาม สภาพ สังคม วฒั นธรรม และสง่ิ แวดล้อมต่าง ๆ เพ่ือใหเ้ หมาะสมกับยคุ สมัย 2.2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง จากการศึกษาข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่ เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมเครื่องดนตรี พน้ื (แคน) ในจงั หวัดขอนแก่น ผูว้ ิจัยไดท้ บทวนถึงงานวจิ ัยที่เกี่ยวกับประวตั ิความเป็นมา วิวัฒนาการ เครื่องดนตรีพื้นบ้านแคนและแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน โดยมีรายละเอียด ดังตอ่ ไปน้ี 2.2.1 งานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั ประวัติความเปน็ มา ววิ ัฒนาการเครอ่ื งดนตรพี น้ื บา้ นแคน จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารงานวิจัย บทความ ที่เกี่ยวข้องกับการทำแคน พบว่า แคนเป็น เครื่องดนตรีที่สําคัญที่สุดของภาคอีสาน ( เจริญชัย ชนไพโรจน์, 2526) เป็นเครื่องดนตรีที่นิยมที่สุด ของชาวอีสานซึ่งมีมาตั้งแตส่ มยั โบราณมีหลักฐานเก่าแก่ท่ีสุดในยุคโลหะและวัฒนธรรมดองซอน และ เป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ของราชสํานักทุกแห่งในสวุ รรณภูมิ ซึ่งหลักฐานปรากฏลวดลายรูปคนเป่าแคน

10 บนกลองมโหระทกึ มีอายุประมาณสามพันปี (สุจิตต์วงษ์เทศ, 2549) นอกจากนี้แคนเป็นส่วนหนึ่งของ ศิลปะการแสดงที่สําคัญของคนอีสานที่มีวิถีชีวิตมีความผูกพันกับแคน แคนนั้นถือว่าเป็นวิถีชีวิตเป็น รากเหง้าของความคิดและเพลงขับเคลื่อนคนอีสานเป็นพลังสร้างสรรค์ซึ่งส่งผลให้วัฒนธรรมอีสาน ยงั่ ยืนและดำรงอยู่ได้ (ชิงชยั มงคลธรรม, 2541) นอกจากนีย้ ังเปน็ เอกลักษณ์ที่มคี ุณค่าและสร้างความ เพลดิ เพลินบนั เทิงสำราญใจ รวมทัง้ มีคุณคา่ ในดา้ นพิธกี รรมของกลุ่มชน (ทรงคณุ จนั ทจร, 2540) อดินันท์ แก้วนิล (2550) ได้กล่าวถึงประวัติแคนว่า แคน เป็นชื่อเครื่องดนตรีพื้นเมืองภาค อีสานที่ เก่าแก่มีมาแต่โบราณ แคนเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ปากเป่าให้เป็นเพลง ใครเป็นผู้คิดประดิษฐ์ เครื่องดนตรีที่ เรียกว่า “แคน” เป็นคนแรก และทําไมจึงเรียกว่า “แคน” นั้น ยังไม่มีหลักฐานท่ี แนน่ อนยนื ยนั ได้ แตก่ ม็ ปี ระวัติทเ่ี ล่าเปน็ นิยายปรัมปราสบื ต่อกันมาท่ีเกยี่ วกับเสียงของนกกรเวกจนถึง ปัจจุบันนี้ แต่บางคนก็มีความเห็นว่าคำว่า“ แคน” คงเรียกตามไม้ที่ใช้ทำเต้าแคนกล่าวคือไม้ที่นำมา เจาะใช้ทำเต้าแคนรวมเสียงจากไม้ไผ่น้อยหลาย ๆ ลำนั้นเขานิยมใช้ไม้ตะเคียนซึ่งภาษาท้องถิ่นทาง ภาคอีสานเรียกว่าไม้แคน แต่บางท่านก็ให้ความเห็นที่แตกต่างกันออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าคิดอยู่บ้าง คือ“ แคน” นี้น่าจะทำขึ้นโดยผู้หญิงยังเป็น“ หญิงหม้าย” เสียด้วยด้วยเหตุผลที่ว่าส่วนประกอบที่ใช้ ทําแคนอันสําคัญคือส่วนที่ใช้ปากเป่ายังเรียกว่า“ เต้าแคน” และมีลักษณะคล้าย ๆ“ เต้านม ” ของ ผู้หญิง การเป่าแคนก็ใช้วิธีการเป่าและดูดจนสามารถทำให้เกิดเสียงอันไพเราะที่สำคัญคือเสียงของ แคนเป็นเสียงที่ไพเราะอ่อนหวานซาบซึ้งเหมือนเสียงนกการเวกตามนิทานเรื่องดังกล่าวเหมือนเสียง ของหญิงหม้ายที่ว้าเหว่เดียวดายดังนั้นถ้าจะกล่าววา่ “ หญิงหม้าย” เป็นผู้ประดิษฐ์คิดทำแคนขึ้นเป็น คนแรกจงึ เปน็ เหตุผลที่น่ารับฟงั ไดม้ ากพอสมควร ชัยสิทธิ์ ดํารงวงศ์เจริญ (2561) ชาวบ้านหนองตาไก้เชื่อว่าเสียงแคนมผี ลทำให้สิง่ ลึกลบั หรือ ผี ที่มีอํานาจเหนือธรรมชาติพึงพอใจและบันดาลให้มนุษย์มีความสุขความเจริญบังเกิดความอุดม สมบูรณ์และปลอดภัย ดังนั้น พิธีกรรมหลายอย่างที่เกี่ยวของกับชีวิตของชาวบ้านหนองตาไก้จึงใช้ เสียงแคนเป็นเครื่องดนตรีประกอบหลัก หรืออาจกล่าวได้ว่าผีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ในการดำเนิน ชีวิตประจำวันของชาวบ้านหนองตาไก้ ผีเป็นสิ่งที่รู้สึกสัมผสได้อาจจะไม่ใช่ด้วยระบบประสาททั้งห้า การนบั ถือผีสางปัจจุบนั ชาวบ้านหนองตาไก้และในท้องถ่ินใกล้เคยี งเช่ือว่าผีก็ยังคงมีอิทธิพลต่อวิถีการ ใช้ชีวิตชีวิตของชุมชน้อยพอสมควร ความเชื่อเรื่องผีอันเป็นความเชื่อที่มีมาแต่เดิมและผสมผสานกับ ความเชื่อในพระพุทธศาสนาจนแทบแยกกันไม่ออก พิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อในพระพุทธศาสนา หรือพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อในเรื่องผี ชาวบ้านหนองตาไก้มีความเชื่อถือต่อ \"ผี\" มากเพราะมี ความเชื่อว่าเหตุที่เกิดเภทภัยการเจ็บป่วยได้ไข้ แห้งแล้งและนํ้าท่วม เป็นสิ่งที่เกิดมาจากผีสางเทวดา ดังนน้ั พวกเขาจึงเซน่ ไหว้บวงสรวงผตี ่าง ๆ จากการทมี่ ีความเช่ือดงั กลา่ วกท็ ําให้เกิดประเพณี พิธีกรรม ท่เี กย่ี วกบั ผหี ลายลักษณะและพิธีบชู าผีฟ้าก็เปน็ อีกพิธีหนึ่งท่ีชาวบ้านหนองตาไก้เช่ือว่าผู้ที่ป่วยอาการ รักษายากมีอาการน่าเป็นห่วงรักษาเท่าใดก็ไม่หาย แบบนี้ต้องไปตามแม่ครูมาตรวจดูอาการ ด้วยเช่ือ

11 กนั วา่ การที่มนุษย์เกิดการเจ็บปว่ ยได้ไข้นั้นเนื่องจากไปละเมิดต่อผีการละเมิดต่อบรรพบุรุษ การรักษา ต้องมีการเชิญผีฟ้ามาสิงสถิตอยู่ในร่างของคนทรง หรือที่เรียกกันแม่ครูในการรําผีฟ้าของชาวบ้าน หนองตาไก้นั้นมีองค์ประกอบทั้งหมด 4 ส่วนคือ หมอลําผีฟ้า (แม่ครู) หมอแคน (หมอม้า) ผู้ป่วยและ เครื่องคาย (เครื่องเซ่นบูชา) เสียงแคนและการแสดงที่มีแคนเป็นส่วนประกอบ จะทําให้ผู้เข้าร่วม กิจกรรมมีความ สนุกสนาน ในส่วนของความสำคัญทางพิธีกรรม เสียงแคนมีผลทำให้สิ่งลึกลบั หรือผี ที่มีอํานาจเหนือ ธรรมชาติพึงพอใจ และบันดาลให้มนุษย์มีความสุขความเจริญในการใช้ชีวิต ดังน้ัน พิธีกรรมหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้านหนองตาไก้ตําบลสีแก้วอ ำเภอเมืองร้อยเอ็ด จงั หวดั ร้อยเอด็ แคนจึงมบี ทบาทและความสำคัญเปน็ อยา่ งมาก 2.2.2 งานวิจัยที่เกยี่ วขอ้ งกับแนวทางอนรุ กั ษ์สืบสานเครื่องดนตรีพืน้ บ้านแคน จุฑาศิริ ยอดวิเศษ (2554) ได้ศึกษาการอนุรักษ์และพัฒนาดนตรีในศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ไทยมุสลิม กรุงเทพมหานคร พบว่า แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาดนตรีในศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ไทยมุสลิมกรุงเทพมหานครต้องเป็นการร่วมมือกันระหว่างสมาชิกในชุมชนองค์กรของรัฐและองค์กร ท้องถิ่นการอนุรักษ์ดนตรีในศิลปะการแสดงพื้นบ้านไทยมุสลิมกรุงเทพมหานครให้คงอยู่อย่างมีชีวิต และมีบทบาทเหมือนเดิมคงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่อาจทำได้ในขณะนี้ก็คือการอนุรักษ์เพื่อช่วย ให้วัฒนธรรมของชาวบ้านซึ่งถูกละเลยมานานปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของสังคมไทยเช่นเดียว วัฒนธรรมที่เราถือเป็นแบบฉบับ ได้แก่ การอนุรักษ์ตามสภาพดั้งเดิมที่เคยปรากฏและการพัฒนาโดย การประยกุ ต์จากส่ิงที่มอี ยจู่ ากการอนุรักษ์ ณัฐพจน์ โพธเ์ิ จรญิ (2559) ไดศ้ กึ ษาการสืบทอดและอนรุ ักษ์ดนตรีของกลุ่มชาติพันธ์ุลาวเวียง ตำบลดอนคา อำเภออทู่ อง จังหวดั สุพรรณบรุ ี พบวา่ การสืบทอดและอนุรักษด์ นตรีกลุ่มชาติพันธุ์ลาว เวียงตำบลดอนคาอำเภออู่ทองจังหวัดสุพรรณบุรี การสืบทอดและอนุรักษ์ดนตรีกลุ่มชาติพันธุ์ลาว เวยี งโดยไดม้ ีการสบื ทอดแบบปากต่อปากมุขปาฐะ ซงึ่ สอดคล้องกับ ทนิ กร อตั ไพบลู ย์ (ม.ป.ป. : 116- 117) ในหนังสือ \"ดนตรีพื้นบ้านอีสานลาวเขมร\" ได้กล่าวให้มีการจัดตั้งหลักสูตรจัดตั้งสถานศึกษา วางแผนพัฒนาหลกั สูตรให้กา้ วหน้าและมีคณุ ภาพสรา้ งบคุ ลากรสบื ทอด เพือ่ ก้าวไปสู่ระดบั วทิ ยาลัยใน ระบบแบบแผนบรรลุตามเปา้ หมายของการเรียนในระดบั มาตรฐานชาตแิ ละสากล วีรยทุ ธ สีคณุ หลิว่ (2560) ได้ศึกษาการอนรุ ักษ์วัฒนธรรมดนตรีพื้นบ้านอีสาน กรณีศึกษาวัด พรหมคุณารามเมืองฟีนิกซ์ มลรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา พบว่า 1. การอนุรักษ์วัฒนธรรมดนตรี พื้นบ้านอีสานมีการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมไทยโดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการ วัฒนธรรมแห่งชาตแิ ละวดั พรหมคุณารามซึ่งเป็นสภาวัฒนธรรมไทยแห่งที่ 3 ในสหรัฐอเมรกิ า เพื่อให้ คนไทยที่อยู่ในมลรัฐแอริโซนารวมถึงชาวอเมริกันและชาติอื่นๆได้เรียนรู้ดนตรีพื้นบ้านอีสาน ดนตรี ไทย และศิลปวัฒนธรรมไทย 2. สภาวฒั นธรรมไทย ได้มีการจดั โครงการสอน ศิลปวัฒนธรรมไทย โดย มีความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาในประเทศไทย 3 สถาบัน คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้าน

12 สมเด็จเจ้าพระยา มหาวิทยาลัยนเรศวรและมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อให้ครูอาสาที่มีความรู้ ความสามารถมาสอนในด้านดนตรีพื้นบ้านอีสาน ด้านดนตรีไทย และด้านศิลปวัฒนธรรมไทย นอกจากนั้นได้เชญิ วิทยากรที่อยู่ในสหรัฐอเมริกามาสอนวิชาเฉพาะดา้ นเพื่อใหเ้ กิดผลสัมฤทธ์ิทางด้าน การเรียนสงู สดุ 3. แนวโน้มการอนรุ ักษว์ ฒั นธรรมดนตรีพื้นบ้านอีสาน พบว่ามคี วามตอ่ เนื่องโดยมีการ จัดกิจกรรมการแสดงดนตรพี น้ื บ้านอสี านทง้ั ในวัดและสถานท่ีอน่ื ๆ ฉัตรวลี ทองคํา (2557) ได้ศึกษาดนตรีพื้นบ้านกับการเป็นแหล่งเรียนรู้ของจังหวัดน่าน ซ่ึง แนวทางการอนุรักษ์ และเผยแพร่ดนตรีพื้นบ้านจังหวัดน่าน โดยเชิญครูศิลปินพื้นบ้าน จากแหล่ง เรียนรู้ดนตรีพื้นบ้านจังหวัดน่านจํานวน 7 แห่ง รวมทั้งสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน ร่วมแสดง ความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าว โดยสรุปดังต่อไปนี้ 1. ด้านการแสดงดนตรีพื้นบ้านนั้น ทางสมาคม ดนตรีพื้นบ้านได้มีการจัดเวทีแสดงดนตรีเป็นประจําตามสถานที่ต่าง ๆ อีกทั้งสํานักงานวัฒนธรรมยัง สนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมแสดงดนตรีสอดแทรกในงานวัฒนธรรมต่าง ๆ ด้วย นอกจากนั้น ควรมี การจัดประกวดแขง่ ขันดนตรพี ้ืนบา้ นทั้งด้านการบรรเลง และด้านการขบั ซอ อกี ทงั้ การจดั ค่ายเยาวชน ดนตรีพื้นบ้าน เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มีแรงกระตุ้นในการพัฒนาทักษะทางด้านน้ีอย่างจริงจัง และ ควรมีการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง 2. การส่งเสริมด้านการจัดการเรียนการสอน เนื่องจากหลักสูตรในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือในระดับอุดมศึกษาไม่มีการส่งเสริมในเรื่องของ ดนตรีพื้นบ้าน ดังนั้น นักเรียนที่จบจากชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษาจึงไม่ได้ศึกษา เรอื่ งของดนตรีพืน้ บ้านของตนเองอย่างจริงจัง ส่งผลให้ขาดผสู้ บื ทอด สํานกั งานวฒั นธรรมจังหวัดเอง ก็ตระหนกั ถงึ เร่ืองน้ี จงึ มกี ารจดั ต้งั ชมรมดนตรีพื้นบ้านเพื่อให้นักเรียนและผทู้ ี่สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้ ทั้งในด้านการบรรเลงดนตรี และการขับซอ โดยเชิญครูศิลปินที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาสอน นอกจากนั้นควรมีการจัดตั้งสถาบันสอนครูดนตรีพื้นบ้าน เพื่อสร้างครูสอนดนตรีพื้นบ้านให้สอนได้ ครบทง้ั ดดี สี ตี เปา่ และควรมีการจดั อบรมเร่ืองดนตรีพน้ื บ้านอย่างครบวงจรและต่อเนื่อง 3. ด้านการจัดเอกสารเพื่อเผยแพร่ ควรมีการจัดระบบของเพลงพื้นบ้านน่าน ทั้งที่เป็นกลุ่มเพลง บรรเลง และกลุ่มทาํ นองซอ รวมถึงการบนั ทกึ โน้ตหลักใหเ้ ป็นไปในทิศทางเดียวกนั ท้งั ระบบโน้ตสากล และโน้ตไทย และมีการบันทึกบทเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ของน่านเพื่อเผยแพร่ในวงกว้าง นอกจากนั้น ควรมกี ารรวบรวมองค์ความร้ดู นตรพี ืน้ บ้านจากแหล่งการเรยี นรู้ในจังหวัดน่าน เพอ่ื จดั ทําานามานุกรม หรือสารานุกรมดนตรีพื้นบ้านของน่าน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของดนตรีพื้นบ้าน น่าน อกี ทั้งยงั เป็นการลดความขดั แย้งในด้านขอ้ มูลที่ไมต่ รงกัน 2.3 กรอบแนวคิดการวิจัย จากการทบทวนแนวคิดและทฤษฎี รวมท้ังงานวจิ ัยที่เกย่ี วข้อง ผู้วิจัยได้กำหนดกรอบแนวคิด การวจิ ัยเรือ่ งการส่งเสริมเคร่ืองดนตรีพื้นบ้าน (แคน) ในจังหวัดขอนแกน่ ซึง่ ในกรอบแนวคิด ประกอบ

13 ไปด้วย 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ในส่วนของปัจจัยภายใน ประกอบไปด้วย บริบทชุมชน เศรษฐกิจชุมชน และองค์กรชุมชน ส่วนปัจจัยภายนอกประกอบไปด้วย ภาครัฐฯและ เอกชน นอกจากนี้ยังมีส่วนข้อจำกัดและอุปสรรคที่ ส่งผลต่อแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรี พนื้ บา้ นแคน แล้วนำไปสกู่ ารสง่ เสริมเคร่อื งดนตรีพืน้ บ้าน(แคน) ในจงั หวดั ขอนแก่น ปจั จัยภายใน ปัจจยั ภายนอก -บรบิ ทชมุ ชน -ภาครฐั ฯ -เศรษฐกจิ ชมุ ชน -เอกชน -องค์กรชมุ ชน -ประวตั ิความเปน็ มา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพ้ืนบ้าน แคน -แนวทางอนุรกั ษ์สืบสานเคร่ืองดนตรีพื้นบ้านแคน การส่งเสรมิ เครื่องดนตรีพื้นบ้าน (แคน) ในจงั หวัดขอนแก่น ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย

14 บทท่ี 3 ระเบยี บวิธีวิจัย การวิจัยครั้งนี้ได้ใช้วิธีการศึกษาระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research Methodology) โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรี พื้นบ้านแคน และเพื่อศึกษาแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน ซึ่งมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 3.1 หน่วยในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู หน่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้หน่วยวิเคราะห์ระดับบุคคล คือ ผู้มีความรู้เกี่ยวกับเครื่อง ดนตรีพื้นบ้านแคน มีจำนวนทั้งหมด 8 คน ได้แก่ หมอแคน 5 คน ช่างแคน 2 คน และผู้อำนวยการ ศูนยศ์ ลิ ปวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ 3.2 พน้ื ท่ีในการวิจยั การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้เลือกพื้นที่ในการวิจัยและเก็บข้อมูลแบบเจาะจง โดยเลือกจังหวัด ขอนแก่นในการเก็บข้อมูล เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่สอดคล้องกับงานวิจัยของผู้วิจัยและในจังหวัด ขอนแก่นค่อนข้างมีผู้มีความรู้เรื่องแคนค่อนข้างมากโดยเฉพาะหมอแคนและช่างแคน โดยเฉพาะใน ภาคอีสานจังหวัดขอนแก่นที่มีผู้มคี วามรูใ้ นเรื่องเคร่ืองดนตรพี ื้นบ้านแคน เช่น หมอแคน ช่างแคน ใน การใช้เครอื่ งดนตรีพ้นื บ้านที่ใช้ประกอบการแสดงในคณะหมอลำท่เี หน็ ได้ทวั่ ไป ซง่ึ ในคณะหมอลำจะมี หมอแคนประจำคณะที่มีหน้าทีเ่ ปา่ แคนให้เขา้ กบั จังหวะดนตรีอื่น ๆ หรือใช้เฉพาะแคนเครือ่ งเดียวใน การทำการแสดง ซึ่งหมอแคนไม่เพียงแต่มีความรูใ้ นเร่ืองจังหวะดนตรีของแคนแต่ยงั มีความรู้เกี่ยวกบั ประวตั ิความเป็นมาของแคนดว้ ยเช่นกัน ไม่เพยี งแต่หมอแคนที่มีความรู้เรื่องแคนแต่รวมทั้งช่างแคนที่ มีความรู้เกี่ยวกับแคน โดยในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับแคน เช่น วิธีการทำ ประวัติความเป็นมา เป็นต้น ผู้วิจัยจึงได้เลือกพื้นที่ในการวิจัยและเก็บข้อมูลแบบเจาะจง ในการศึกษาประเด็นของประวัติความ เป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน และศึกษาแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรีพื้นบ้าน แคน 3.3 กลมุ่ เป้าหมายและผู้ใหข้ ้อมลู 3.3.1 กลุ่มเปา้ หมาย ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน จำนวน 8 คน ได้แก่ หมอแคน 5 คน ชา่ งแคน 2 คน และผู้อำนวยการศนู ย์ศลิ ปวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่

15 3.3.2 ผ้ใู หข้ ้อมูล ผู้ให้ข้อมูลในการวจิ ัยในคร้งั นี้ ถกู เลือกอย่างเจาะจง (Purposive Selection) คือ ผู้ ทมี่ คี วามรเู้ กย่ี วกับเคร่ืองดนตรีพน้ื บ้านแคน จำนวน 8 คน ไดแ้ ก่ หมอแคน 5 คน ช่างแคน 2 คน และ ผูอ้ ำนวยการศนู ยศ์ ิลปวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ เพือ่ ให้ไดข้ ้อมลู ท่หี ลากหลายและครบถ้วน 3.4 ขอ้ มูล วิธีเก็บรวบรวมขอ้ มลู และเคร่ืองมอื วจิ ัย 3.4.1 ข้อมูลปฐมภูมิ ประกอบด้วย ประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพื้นบ้าน แคน และแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน โดยใช้แนวทางการสัมภาษณ์กับการ สัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่มีความถูกต้องและครบถ้วนในการศึกษาและมี คณุ ภาพน่าเชอ่ื ถอื สำหรบั นำไปใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล 3.4.2 ข้อมูลทุติยภูมิ ประกอบด้วย เอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยเพื่อวิเคราะห์หา ความสัมพันธ์ของปัญหาการวิจัย และแนวคิดรวมทั้งทฤษฎีตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นองค์ ความรู้ที่นำมากำหนดกรอบแนวคิด และกรอบในการศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการ เครื่องดนตรีพืน้ บ้านแคน และแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรพี ื้นบา้ นแคน จากเอกสาร รายงาน รวมทง้ั แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้อง 3.4.1.1 วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล หลังจากผู้วิจัยได้รับการพิจารณารับรองจากศูนย์ ศลิ ปวฒั นธรม มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ กอ่ นเก็บขอ้ มูลดว้ ยการสมั ภาษณผ์ วู้ จิ ัยไดว้ างแผนการสัมภาษณ์ โดยเตรียมแนวทางการสัมภาษณส์ ำหรบั ผู้ให้ข้อมลู จำนวนทง้ั หมด 8 คน คือ หมอแคน 5 คน ชา่ งแคน 2 คน และผู้อำนวยการศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น กำหนดวันและช่วงเวลาในการ สัมภาษณ์ เพือ่ ให้ไดข้ อ้ มลู สำคัญตลอดจนจัดเตรียมอุปกรณท์ ีใ่ ช้ในการสัมภาษณ์ โดยได้ขออนญุ าต ขอ ความร่วมมือ และนัดหมายในการสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้มีความรู้เรื่องเคร่ืองดนตรีพื้นบ้าน แคน จำนวน 8 คน โดยคาดวา่ จะดำเนินการเก็บข้อมูลกบั กลุม่ ผใู้ หข้ ้อมลู ช่วงวันท่ี 2 มกราคม 2566 – 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 3.4.1.2 เครอ่ื งมอื วิจยั 1) การสัมภาษณ์ เป็นการสัมภาษณ์โดยใช้แนวทางการสัมภาษณ์เป็น เครือ่ งมือวิจัยเพ่อื เกบ็ รวบรวมข้อมลู เก่ียวกับประวัติความเป็นมา ววิ ัฒนาการเครอื่ งดนตรีพื้นบ้านแคน และแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน ซึ่งมีผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ ผู้มีความรู้เกี่ยวกับ เครื่องดนตรีพื้นบ้านแคนจำนวน 8 คน ได้แก่หมอแคน 5 คน ช่างแคน 2 คน และผู้อำนวยการศูนย์ ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแกน่ โดยมีแนวทางการสัมภาษณเ์ ปน็ เครอ่ื งมือในการรวบรวมข้อมูล และผู้วิจัยยังได้มีการปรับแนวทางการสัมภาษณ์เพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ

16 เพ่ือใหเ้ กิดความครอบคลุมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และกรอบแนวคิดที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ซ่ึง ประกอบดว้ ยแนวทางการสมั ภาษณ์ ดังต่อไปน้ี 1.1) แนวทางการสัมภาษณ์ชุดที่ 1 ใช้ในการสัมภาษณ์กลุ่มหมอแคน ได้แก่ - ประวัติความเป็นมา ววิ ฒั นาการเครื่องดนตรพี ืน้ บา้ นแคน - แนวทางอนุรักษส์ บื สานเคร่อื งดนตรีพน้ื บ้านแคน 1.2) แนวทางการสัมภาษณ์ชุดที่ 2 ใช้ในการสัมภาษณ์กลุ่มช่างแคน ได้แก่ - ประวัติความเป็นมา ววิ ฒั นาการเครอ่ื งดนตรพี ืน้ บา้ นแคน - แนวทางอนรุ ักษส์ บื สานเครือ่ งดนตรีพน้ื บ้านแคน 1.3) แนวทางการสัมภาษณ์ชุดที่ 3 ใช้ในการสัมภาษณ์ผู้อำนวยการ ศนู ยศ์ ลิ ปวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ไดแ้ ก่ - แนวทางอนุรักษส์ ืบสานเครือ่ งดนตรพี น้ื บ้านแคน 2) การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ผู้วิจัยเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ แบบกึ่งโครงสร้างโดยใช้แนวทางการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเป็นเครื่องมือวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ี ยืดหยุ่นและหลากหลายและใช้ในการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคนและแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรี พื้นบ้านแคน ผู้ให้ข้อมูลหลักได้แก่ หมอแคน ช่างแคน และผู้อำนวยการศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ เพอ่ื ใหเ้ กิดความครอบคลุมและสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ และกรอบแนวคิดท่ี ใช้ในการศึกษาวิจยั ซ่งึ แนวทางการสมั ภาษณ์ มีดังต่อไปนี้ 2.1) แนวทางการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ชุดที่ 1 สำหรับกลุ่ม หมอแคน ขอ้ มลู ในประเดน็ - ประวตั คิ วามเปน็ มา วิวัฒนาการเครือ่ งดนตรีพน้ื บา้ นแคน - แนวทางอนรุ ักษ์สบื สานเคร่ืองดนตรีพน้ื บา้ นแคน 2.2) แนวทางการสมั ภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ชดุ ท่ี 2 สำหรับกลุ่มช่าง แคน ขอ้ มูลในประเดน็ - ประวตั ิความเป็นมา วิวฒั นาการเครื่องดนตรพี ้นื บา้ นแคน - แนวทางอนรุ กั ษส์ ืบสานเครอ่ื งดนตรพี ื้นบา้ นแคน

17 2.3) แนวทางการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ชุดที่ 3 สำหรับ ผู้อำนวยการศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ข้อมูลในประเด็น - แนวทางอนรุ ักษ์สบื สานเครอ่ื งดนตรีพ้ืนบา้ นแคน 3) การบันทึกข้อมูล ในการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างการสัมภาษณ์เชิง ลึกกับผู้ให้ข้อมูล ผู้วิจัยได้มีการบันทึกข้อมูลโดยการบันทึกข้อมูลในสมาร์ทโฟนในการบันทึกเสียง พร้อมทง้ั บันทึกภาพในการสัมภาษณ์ ซึ่งกอ่ นการสัมภาษณ์กบั ผู้ให้ข้อมูลทางผวู้ ิจัยได้มีการขออนุญาต กับผู้ให้ข้อมูลในการบันทึกเสียงลงในสมาร์ทโฟนและบันทึกภาพลงในสมาร์ทโฟน เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ี ครบถ้วนและสามารถนำมาตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู ในภายหลงั ได้ 3.5 การตรวจสอบข้อมลู และการวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวิจัยครัง้ นใี้ ช้การรวบรวมข้อมลู จากการสัมภาษณ์และการสบื ค้นจากเอกสารและงานวิจัย ทีเ่ กย่ี วข้องจงึ ทำการวิเคราะห์ข้อมลู โดยมขี ั้นตอนการวเิ คราะห์ขอ้ มูลดงั ต่อไปนี้ 3.5.1 การตรวจสอบความถกู ต้อง ผูว้ ิจัยได้ทำการตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเช่ือถือ ของขอ้ มลู ทไี่ ด้จากการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 3.5.2 การวิเคราะห์เน้อื หา ผู้วจิ ยั ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา โดยมีการอา่ นข้อมูลท่ีได้จากการจด บนั ทึกไวเ้ พ่ือนำขอ้ มูลท่ีได้มาตรวจสอบ ทบทวนและจดั กลุ่มแยกออกอยา่ งเปน็ ระบบ และเช่ือมโยงหา ความสัมพันธข์ องข้อมูล ผ่านการวิเคราะห์เปรียบเทยี บของข้อมูล โดยนำข้อมูลทีไ่ ด้จากการจัดกล่มุ ที่ แยกออกมามาเปรียบเทียบหาความเหมือนและแตกต่างของข้อมูล เพื่อให้เป็นแนวทางในการ วิเคราะห์แนวโน้มของข้อมูลในการอธิบายประเด็นความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการส่งเสริมเครื่อง ดนตรพี ืน้ บ้านแคน ในจังหวดั ขอนแก่น จากน้ันจะนำข้อมูลที่ไดจ้ ากผู้ให้ข้อมลู มาตรวจสอบข้อมูลด้วย วิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า เพื่อหาความครบถ้วนและความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยผ่านการ ตรวจสอบข้อมูลจากผู้วิจัย รวมไปถึงทบทวนแนวคิดทฤษฎีเอกสารที่เกี่ยวข้องที่มีความสอดคล้องกับ งานวิจัยของผู้อื่น พร้อมทั้งตรวจสอบข้อมูลที่ได้มามีความสอดคล้องตรงตามวัตถุประสงค์และหากมี ความคลาดเคลื่อนของข้อมูลจะทบทวนเพม่ิ เติมและทำการวิเคราะหซ์ ้ำอีกครัง้ 3.6 การนำเสนอผลการวิจัย ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิจัยในรูปแบบการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจใน รายละเอยี ด ผูว้ ิจัยใชก้ ารเชื่อมโยงและวเิ คราะหร์ ะหว่างขอ้ มลู ภาคสนามกับข้อมลู จากเอกสารจากการ ทไี่ ด้ทบทวนแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่ีเกีย่ วข้อง เพื่อนำมาสรปุ อภิปรายและขอ้ เสนอแนะ จากการวิจัยเรื่องการส่งเสริมเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน ในจังหวัดขอนแก่น โดยกำหนดการนำเสนอ

18 ผลการวิจัยไว้สองส่วน คือ 1) ประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน และ 2) แนวทางอนุรักษ์สบื สานเครื่องดนตรพี นื้ บา้ นแคน 3.7 จรยิ ธรรมการวจิ ยั ผู้วิจัยได้ยึดหลักจริยธรรมการวิจัยในคนทั่วไป ประกอบด้วย 3 ประการ (สํานักงาน คณะกรรมการวจิ ยั แหง่ ชาติ, 2550) ดังน้ี 1. หลักความเคารพในบุคคล (Respect for person) คือ การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็น มนษุ ย์ (Respect for human dignity) อันเปน็ หลกั สําคัญของจรยิ ธรรมการทําวิจัยในคน มแี นวทาง การปฏบิ ัติ ไดแ้ ก่ 1.1 เคารพในการขอความยินยอมโดยใหข้ ้อมลู อยา่ งครบถ้วนและให้อาสาสมัครตดั สนิ ใจอย่าง อิสระ ปราศจากการขม่ ขู่ บงั ครบั หรอื ใหส้ ินจา้ งรางวัล 1.2 เคารพในความเป็นส่วนตัวของอาสาสมัคร (Respect for privacy) ความเปน็ ส่วนตัวสิทธิ ส่วนบุคคล พฤตกิ รรมส่วนตัว เคารพในความเป็นส่วนตวั ของอาสาสมัคร โดยดาํ เนินการสัมภาษณ์ผู้ให้ ข้อมูลในวันและเวลาที่ผู้ให้ขอมูลสะดวก รวมถึงดําเนินการสัมภาษณ์เมื่อผู้ให้ข้อมูลมีความพร้อมต่อ การให้ขอ้ มลู 1.3 เคารพในการเก็บรักษาความลับของข้อมูลส่วนตัวของอาสาสมัคร ( Respect forconfidentiality) ในการวิจยั คร้งั นผ้ี ้วู จิ ัยจะไม่ทาํ การเปดิ เผยข้อมลู ส่วนตัวของผใู้ ห้ขอ้ มลู 1.4 เคารพในความเป็นผูอ้ อ่ นดอ้ ย เปราะบาง (Respect for vulnerable persons) 2. หลักคุณประโยชน์ ไม่ก่ออันตราย (Beneficence) คือ การประเมินความเสี่ยงหรือ อันตรายที่อาจเกิดจากการวิจัย ได้แก่ 1) อันตรายต่อร่างกาย (Physical harm) 2) อันตรายต่อจิตใจ (Psychological harm) 3) อันตรายต่อสถานะทางสังคม และฐานะทางการเงิน (Social and economic harms) และ 4) อันตรายทางกฎหมาย เช่น ถูกจับกุม ในการเก็บข้อมูล ผู้วิจัยให้คํา รับรองว่าจะรักษาข้อมูลความลับของผู้ให้ข้อมูล รวมถึงผลการวิจัยจะต้องไม่ทําให้เกิดผลกระทบทั้ง ทางตรงและทางอ้อมแก่ผู้ให้ข้อมูล 3. หลักความยุติธรรม (Justice) คือ การคัดเลือกอาสาสมัคร ที่ไม่มีอคติ โดยผู้วิจัยได้ใช้การ เลือกผูใ้ ห้ขอ้ มูลแบบเจาะจงตามคณุ สมบตั ิของผูใ้ ห้ข้อมูลทไ่ี ด้กําหนดไวใ้ นการศึกษา

19 บทที่ 4 ผลการวิจัย และอภปิ รายผล งานวจิ ัยเร่อื ง “การสง่ เสรมิ เคร่ืองดนตรีพนื้ บ้าน (แคน) ในจงั หวัดขอนแกน่ ” เปน็ การวิจัยเชิง คุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน และ แนวทางอนุรกั ษส์ ืบสานเครื่องดนตรีพน้ื บ้านแคน โดยใชว้ ิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมลู ด้วยการสัมภาษณ์ใช้ แนวทางการสมั ภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง มีจำนวนผูใ้ หข้ อ้ มูลทั้งส้นิ 8 คน ซึ่งมผี ลการวจิ ยั ดังตอ่ ไปนี้ 4.1 เครื่องดนตรพี นื้ บ้านแคน จากจำนวนเครื่องดนตรีในโลกนี้มีมากมายหลายชนิดตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันในแต่ละยุค ซึ่งต่างได้มีการสรรค์สร้างเครื่องดนตรีไว้มากมายนับไม่ถ้วน เครื่องดนตรีที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นได้ทำมา จากวัสดุรอบ ๆ ตัวเป็นส่วนใหญ่ ทำนองเดียวกันได้มีการศึกษาการกำเนิดของเครื่องดนตรีจาก แหล่งข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ คน้ พบวา่ ในชว่ งยคุ หินมนษุ ยไ์ ด้มีการนำเขาสตั ว์มาประดิษฐ์ ดดั แปลง มาเป็นเครื่องเป่า หรือเรียกว่า ขลุ่ยที่ได้ทำมาจากกระดูกของสัตว์ โดยค้นพบที่เมือง Gei benkiosterle มีทั้งกรับและกรองที่ทำมาจากไม้ ได้พบจากร่องรอยภาพวาดตามผนัง จากนั้นใน สัมฤทธิ์มนุษย์ได้เรียนรู้การนำโลหะมาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน จึงเป็นผลทำให้เครื่อง ดนตรีถูกพฒั นาขึ้นตามด้วยเชน่ กัน เชน่ ระฆงั ฉาบ แตร เปน็ ต้น (Donald J. Grout, 2006: 5) ตอ่ มา เครื่องดนตรเี หล่านนั้ ไดถ้ กู พัฒนาจนกลายเปน็ เครือ่ งดนตรีหลากหลายชนดิ จนถึงปจั จบุ ันน้ี ในภูมภิ าคเอเชีย มเี คร่อื งดนตรที ี่มลี ักษณะเอกลักษณเ์ ฉพาะตัว ในแต่ละเครื่องดนตรีน้ันต่างมี ต้นกำเนิดมาอย่างยาวนาน ซึ่งจากหลักฐานที่คน้ พบนัน้ คือ เครื่องดนตรีโบราณภาพเขียนการละเลน่ ดนตรีตามโบราณสถานต่าง ๆ เปน็ ตน้ และในลักษณะเครื่องดนตรีของประเทศไทยก็ถือได้ว่าเป็นส่วน หนึ่งของภูมิภาคเอเชียด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ในลักษณะเดียวกันที่ภาคอีสานของประเทศไทยก็มี เครื่องดนตรีชนิดต่างๆมากมาย ที่เป็นเอกลักษณเ์ ฉพาะตัวประจำภาค เครื่องดนตรีของภาคอีสานน้นั ได้เกิดขึ้นจากความคิดที่มีความสร้างสรรค์ ภูมิปัญญาดั้งเดิม ที่มาจากวัสดุธรรมชาติสรรค์สร้างและ ประดิษฐ์จนกลายมาเป็นเครื่องดนตรีไว้หลากหลายชนิด ได้แก่ เครื่องดนตรี แคน โหวด พิณ ซอ เป็น ต้น เครื่องดนตรีเหล่านี้มีไว้เพื่อความบันเทิงสนองต่อความเชื่อของตนและพัฒนาขึ้นมาอีกจนเป็น ดนตรีพนื้ บ้านอีสาน แคน เป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคอีสานชนิดเป่าที่มีความไพเราะเสนาะหู ผู้เป่าสามารถ กำหนดเสียง จังหวะของเครื่องดนตรีแคนได้ในขณะเป่าแคน ผู้เป่ายังสามารถเต้นหรือขยับตัวให้เข้า กับจังหวะของแคนได้ แคนยังเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่มานานหลายพันกว่าปีที่อยู่คู่กับคนอีส านมา ยาวนาน และแคนจดั เปน็ เคร่ืองดนตรีเป่าชนิดหน่ึงเปน็ เคร่อื งดนตรีทส่ี ำคัญที่สดุ ของคนอสี าน ซ่ึงแคน

20 นั้นมีเสียงคลา้ ยออรแ์ กน แคนมีส่วนประกอบที่สำคญั คอื เตา้ แคน ไมก้ ูแ่ คน ลนิ้ แคน ข้สี ิ่วและมดี เจาะ เป็นโพรง เพื่อสอดลูกแคนเรยี งไว้ในเต้าแคน เจาะส่วนหน้าเป็นรปู เป่าเพ่ือบงั คับลมเป่าให้กระจายไป ยังลิ้นแคนอย่างทว่ั ถึง ไม้ก่แู คน ทำดว้ ยไม้ซางหรอื ไม้รวกเล็ก ๆ ทีม่ ขี นาดและความหนาพอเหมาะและ ลดหลั่นกัน นำมาเจาะให้ทะลุข้อตัดให้ตรงตัดให้ได้ขนาดสั้นยาวได้สัดส่วน เจาะรูสำหรับใส่ลิ้น ลิ้น แคนทำจากโลหะทองแดงหรอื ทองแดงผสมเงนิ นำไปหลอมและนำมาตีเป็นแผน่ ให้ได้ขนาดและความ หนาบางตามต้องการ นำมาตัดให้ได้ตามขนาดต่าง ๆ แล้วนำไปสอดใส่ในกู่แคนแต่ละอันตามแผนผัง เสียงของแคน ในภาคอีสานเครื่องดนตรพี ื้นบ้านแคน ไม่เพียงแต่มีไว้เพื่อใช้ในการแสดงต่าง ๆ ร้องรำ ทำเพลงขบั กลอ่ มบรรเลงให้ความสนุกสนานเพลิดเพลนิ อย่างเดียวเท่านั้น แตเ่ ครื่องดนตรพี ้นื บ้านแคน ยังใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น ตามประเพณีความเชื่อของคนอีสานการไหว้เคารพผีปู่ตา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต นาข้าวมีผลผลิตที่ดี ชีวิตมีความสุขราบรืน่ ทั้งในหน้าที่การงานการเงิน จะใช้แคนในการบรรเลงเป็นจงั หวะเพลงเพื่อขบั กล่อมในพิธีกรรม เปน็ ต้น เหน็ ไดว้ ่าแคนมีความสำคัญ มากเพียงใดต่อคนภาคอสี านเพยี งเคร่ืองดนตรีพื้นบา้ นท่ีทำขึน้ มากจากวสั ดุในท้องถ่ิน หรือ ภูมิปัญญา ดง้ั เดมิ เคร่ืองเดียวกส็ ามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอยา่ ง เช่น ขับกล่อมบรรเลงในเวลายามว่าง ใช้ ในการประกอบพธิ กี รรมต่าง ๆ ใช้ในการแสดงต่าง ๆ เป็นตน้ 4.2 ประวตั ิความเปน็ มา ววิ ัฒนาการเครอ่ื งดนตรพี ืน้ บ้านแคน เครื่องดนตรีพ้ืนบ้านแคน เป็นเครื่องดนตรีท่ีเกา่ แก่มีมาอย่างยาวนานเป็นเครื่องดนตรีที่อยู่คู่ กับคนภาคอีสานรวมทั้งในจังหวัดขอนแก่นด้วยเช่นกัน ผู้วิจัยจึงได้มีการลงพื้นที่ในการสัมภาษณ์กับ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 7 คน ในจังหวัดขอนแก่น ประกอบไปด้วย หมอแคน จำนวน 5 คน และช่าง แคน 2 คน และผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ท่านแรกคือ หมอแคนวัชระพล ที่ได้เล่าถึงประวัติความ เป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพน้ื บา้ นแคนให้แก่ผู้วจิ ยั ฟงั วา่ \"จะเลา่ ถงึ ประวตั คิ วามเป็นมากวา้ ง ๆ อย่างนีม้ นี กั คน้ คว้าชาวฝรั่งเศสคนหนง่ึ ได้ไปขุดพ้บก้อน สำรดิ ในหลมุ ฝงั ศพในจงั หวัดถัง่ หวั ประเทศเวยี ดนาม แตล่ ายสำรดิ มีลายสลกั เป็นลายเส้นเป็น คนนุ่งผ้าปล่อยชายมีเครื่องประดับหัวคล้าย ๆ เป็นภาพลายเส้นที่อยู่ในขวัญ มีถือเครื่อง ดนตรีๆคล้ายๆแคนมรี ูปคนฟ้อนและขวัญสำริดน้ีมีอายุประมาณสองพันห้ารอ้ ยปีมาแล้วและ เปน็ ไปไดว้ ่าแคนมีตน้ กำเนิดมาหลายพันปี กค็ อื สมยั ก่อนพุทธกาล ทีน.ี้ .หมอแคนยุคแรกๆจะ เป็นผู้หญิงคนฟ้อนยุคแรก ๆ จะเป็นผูห้ ญงิ ซึ่งผู้หญงิ จะรับหน้าท่ีเป็นเจ้าพิธีอ่า..ในการนำจติ วิญญาณ และทีนี้แคนจะถูกยกเป็นเครื่องดนตรีศักดิ์สิทธิ์ไว้ติดต่อสื่อสารสิ่งเหนือธรรมชาติ พูดง่ายๆก็คือผีนัน่ แหละ สังเกตดูนะเกี่ยวกับในพิธีกรรมจะมีผีฟ้า พญาแถน ฟ้อนแคน จะใช้ แคนในพิธีกรรมอย่างนี้ อ่า..ผู้หญิงจะเป็นเจ้าพิธีกรรมเปน็ ผู้นำทางความเชื่อ เป็นผู้นำทางจิต วิญญาณ ส่วนผู้ชายจะเป็นบริวารของผู้หญิง ล่ะทีนี้พอศาสนาพุทธนิเข้ามามีบทบาทในแถบ

21 อษุ าคเนย์ เข้ามามบี ทบาทมันก็เลยเป็นแบบวา่ ..แล้วพอมีศาสนาศาสนาอ่ืนเขา้ มาแทรกมาซึ่ง ในศาสนาพทุ ธ ศาสนาผีกจ็ ะถกู กลบแต่ก็ไม่ถึงกบั กลบแตก่ ็จะมีอยู่ ตอ่ มาทนี เ้ี ครอ่ื งดนตรีแคน ที่เป็นเคร่ืองดนตรีเกี่ยวกับสิ่งลี้ลบั อยู่แลว้ ท่ีทำหน้าที่เกี่ยวกับสิ่งศกั ด์ิสิทธิ์ พอศาสนาพุทธเขา้ มาแคนก็เลยถูกผลักดันมาให้เป็นเครื่องดนตรีศักสทิ ธิป์ ระจำศาสนาพราหมณ์ฮนิ ดูแล้วก็พุทธ นั่นแหละ ล่ะทีนี้แคนถูกยกเป็นเครื่องดนตรีศักดิ์สิทธ์ทีนี้ก็แต่งนิทานขึ้นมา ได้ความว่า มี พรานคนหนึ่งได้เข้าป่าได้ยนิ เสียงนกการเวกร้องไพเราะมากเมื่อกลับมาจากป่าถงึ บ้านเลยได้ เล่าเร่ืองที่ตัวเองได้ไปเจอมา คือ เสียงนกการเวกร้องด้วยเสียงไพเราะนั้นให้แก่ชาวบ้านฟัง หน่ึงในน้ันท่ีมาฟังเรื่องดังกล่าวนัน้ มหี ญิงหมา้ ยคนหน่ึงเลยเกดิ ความอยากฟังเสียงร้องของนก การเวก จึงได้ขอติดตามนายพรานไปในป่าด้วยเพื่อจะได้ฟังเสียงร้องของนกตามท่ีนายพราน ได้เล่าให้ฟัง เมือ่ หญิงหม้ายไดย้ ินก็ว่าไพเราะจงึ เกิดความสนใจเลยคิดคน้ ก็ได้คดิ อา่ นทําเคร่ือง ดนตรีต่าง ๆ ลองผิดลองถูกหลายครั้ง ทั้งเครื่องดีด สี ตี เป่า ในที่สุดนางก็ได้ไปตัดไม้ไผน่ ้อย ชนดิ หนงึ่ เอามาประดิษฐด์ ัดแปลงลองผิดลองถูกหลาย ๆ ครงั้ จนกวา่ จะได้เป็นเครื่องเป่าชนิด หน่งึ แล้วลองเป่าดูก็รสู้ ึกค่อนข้างไพเราะจงึ ได้พยายามดัดแปลงแก้ไขอีกหลายครั้งจนกระทั่ง เกิดเป็นเสียงและท่วงทํานองไพเราะเหมือนเสียงนกการเวก จึงได้ไปเข้าเฝ้าเจ้าเมืองปเสนทิ โกศลนางกไ็ ด้เปา่ ดนตรีจากเครอ่ื งมือทีน่ างได้คิดประดษิ ฐข์ ้นึ น้ีถวายแกเ่ จ้าเมือง เมือ่ เพลงแรก จบลงนางจึงได้ทูลถามว่า “เป็นจั๋งได๋ ม่วนบ่ ข้าน้อย” พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ตรัสตอบว่า “เออ พอฟังอย”ู่ และหญิงหม้ายเจา้ ของเครอื่ งดนตรจี ึงทูลถามวา่ “ เคร่ืองดนตรีอันน้ีควรเอิ้น ว่าอิหยังข้าน้อย” พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตรัสว่า“ สูจงเอิ้นดนตรีนี้ว่า“ แคน” ตามคำเว้า ของเฮาอนั ท้ายน้ีสืบไปเม่อื หน้าเทอญ” ด้วยเหตุนี้เครอื่ งดนตรีท่ีหญิงหม้ายประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้ ไม้ไผ่น้อยมาติดกันใช้ปากเป่าจึงได้ชื่อว่า แดน มาตราบเท่าทุกวันนี้\" (หมอแคนวัชระพล, สัมภาษณ์ 8 มกราคม 2566) ผูใ้ ห้ขอ้ มูลในการสมั ภาษณท์ า่ นท่สี องคือ หมอแคนกฤตภพ ที่ได้เลา่ ถึงประวัตคิ วามเปน็ มา ววิ ฒั นาการ เครอ่ื งดนตรพี นื้ บา้ นแคนให้แก่ผู้วิจยั ฟังว่า \"อ่า..ประวัติความเป็นมาวิวัฒนาการของเครือ่ งดนตรีพ้ืนบ้านแคน คือ..แคนเป็นเครือ่ งดนตรี ท่ีโบราณทส่ี ดุ เลยก็วา่ ได้ เปน็ ดนตรีไม่ใช่ประจำชาติใดคือเป็นดนตรีอยู่ในอ่า..เซาท์อีสท์เอเชีย อ่า..เป็นเครือ่ งดนตรีแห่งลุ่มน้ำโขงก็ว่าได้มจี ากหลักฐานพบเห็นประมาณหกประเทศ คือ จีน พม่า เวียดนาม ลาว ไทย แล้วก็กัมพูชา ตามหลักฐานหลักฐานที่ประวัติศาสตร์ค้นมาคือเห็น ในกลองมโหรทึก กลองมโหรทึกก็คือฆ้องบ้ังอยู่ในสมัยตามที่ผมได้ยินตามประวัติศาสตร์ มานะครับ เค้าวา่ น่าจะประมาณห้าพันปีได้นะครับในเครื่องดนตรีแคน แตเ่ ป็นดนตรีคล้าย ๆ กันอาจจะเรียกไม่เหมือนกัน คำว่าแคน ลาวไทย ตอนล่างลงมาจะเรียกว่าแคน คือคนจีนจะ

22 เรียกอีกอย่างหนึ่งแต่ว่าใช้วัสดุเหมือนกันทุกอย่างแล้วก็คล้ายๆกันประมาณนี้ เอ่อส่วนการ วิวัฒนาการของแคนก็คือถา้ จะให้พูดเข้าใจอย่างง่าย ๆ มันมีแคนแลว้ ก็จะมีหมอลำอยู่ด้วยกัน อ่า..ตามหลักฐานที่ผมเห็นมาก็คือการแอ่วลาวเป่าแคน แอ่วลาวเป่าแคนก็มาจากตามเห็น บันทกึ ของพระป่ินเกลา้ วังหน้าท่ีมีการเปา่ แคนแอ่วลาวแลว้ ก.็ .ในแต่ก่อนต้ังแต่โบราณมันไม่มี เสียงครบ การวิวัฒนาการก็คือการเพิ่มเสียงเข้ามาเสียงโน๊ตให้มันเต็มให้มันครบ แล้วก็อ่า... แต่ก่อนเป็นแคนเจ็ดต่อมาเอาอีกโน๊ตตัวหนึ่งเข้ามาใส่เป็นแคนแปดให้มันครบเสียงเสียง ประสานของแคน เอ่อคือ..ยุคที่เฟื่องฟูตอนนั้นก็คือพระปิ่นเกล้าเขียนเอาไว้แล้วก็มีอยู่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติก็คือแคนที่พระปิ่นเกล้าทรงเป่าประมาณ สี่ ห้า เต้าแคน มีเต้า ทองคำ เต้างาชา้ ง เต้าท่ีมันมมี ูลค่าที่คนไทยไม่ค่อยรู้เทา่ ไหร่ เพราะสมัยนั้นมพี ระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระปิ่นเกล้าวังหน้า พระจอมเกล้าวังหลัง คนไทยอาจจะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่า กษัตริยไ์ ทยกค็ ือพระปิน่ เกล้าได้เป่าแคนดว้ ยทรงมีมเหสีเปน็ คนลาวด้วย แอว่ ลาวดว้ ยแอ่วลาว ก็เป็นในสมัยนั้น ทำให้พระจอมเกล้าทรงเป็นห่วงของดนตรีไทยเอ่อทรงเป็นห่วงอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่ให้แอว่ ลาว ห้ามแอ่วลาวเป่าแคนเด็ดขาดแล้วกม็ ีการยุติตรงนี้ไปในช่วงพระป่ินเกล้า เสียประมาณนี้ แล้วก็มีการกดขี่เรื่องเป่าแคนแอ่วลาวแล้วก็มาสมัยจอมพล ป. เหมือนกันได้ เสียภาษีนะครับ ให้มีการเสียภาษีการเล่นมหรสพมันถูกกดขี่มาโดยตลอดในของคนไทย ทีน้ี ปจั จุบนั ประเทศลาวก็กลายเป็นดนตรปี ระจำชาติของประเทศลาวไปแลว้ กไ็ ด้มีขึน้ ทะเบียนกับ ยเู นสโกวา่ เคร่อื งดนตรีแคนเป็นเครื่องดนตรีประจำชาติไปแล้ว และการววิ ฒั นาการตอนน้ีก็มี การเฟื่องฟูอยู่ เพราะว่ามีหมอลำมีคนรุ่นใหม่เข้ามาต่อยอดคือพัฒนาไปดนตรีสากลสามารถ ไปแจมกับ เช่น ดนตรีออเคสตรา้ ไปแจมวงสตรงิ ไปแจมวงร็อค ไปแจมวงทุกอยา่ งได้หมดนะ ครับ เพราะว่าตามยุคตามสมัยเนอะก็วิวัฒนาการประมาณนี้\" (หมอแคนกฤตภพ, สัมภาษณ์ 10 มกราคม 2566) ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ท่านที่สามคือ หมอแคนภานุพงศ์ ที่ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมา วิวฒั นาการเคร่อื งดนตรพี ื้นบา้ นแคนให้แกผ่ ู้วิจยั ฟงั ว่า \"สำหรบั ที่มาของแคนคอื อา่ ..ก็เปน็ ตำนานทค่ี นแกเ่ ขาเล่ามา มนี ายพรานเขา้ ไปในปา่ เลยได้ยิน เสียงนกกรเวก โอ้..เสยี งนกกรเวกทำไมเพราะจังทำยงั ไงจะได้เสียงนกนีม้ าฟังเสียงนกกรเวกนิ ก็เลยกลับไปบ้านไปหาเมียก็เลยลองเอาไม้มาลองทำเอามาใส่เสียงทีนี้เสร็จแล้วก็ไปเป่าให้ พญาฟังพญาก็เลยชอบเมื่อชอบเสียงของเครื่องดนตรีชิ้นนี้ก็เลยคิดที่จะตั้งชื่อให้กับเครื่อง ดนตรีชิ้นนี้ สรุปคิดไปคิดมาก็ได้ชื่อว่า แคน แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าใครทำมาก่อนก็มีแต่ว่านายพราน ไปหามาแล้วก็มีแม่หม้ายแต่ว่าแม่หม้ายเป็นคนทำแคน พวกผู้ชายก็ทำปี่ ผู้หญิงทำแคนล่ะนี่ แหละคอื ท่ีมา ทีนว้ี วิ ัฒนาของแคนนะคือมันมนั หลักฐานมีภาพในกลองมโหรทึกประมาณสอง

23 พนั ห้ารอ้ ยปี ไมก่ ็นานกวา่ น้นั อยู่นะ ชว่ งของววิ ฒั นาการแคนก็จะเรม่ิ ทแ่ี คนหกหรอื แคนสามที่ มีสามลูกอาจจะเริ่มที่แคนหกแล้วพัฒนามาเป็นแคนเจ็ด แคนแปด แคนเก้า ประมาณนี้\" (หมอแคนภานพุ งศ,์ สัมภาษณ์ 17 มกราคม 2566) ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ท่านทีส่ ีค่ ือ หมอแคนมะพร้าว ที่ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการ เคร่อื งดนตรีพื้นบ้านแคนใหแ้ ก่ผู้วิจัยฟังวา่ \"ประวตั ิความเป็นมาอา่ ..อันน้จี ะเลา่ ตำนานให้ฟังก่อนมนั มีอยู่สองอย่างประวัติความเป็นมานิ ในตำนานก็คือมีหญิงหม้ายได้ทำแคนแล้วก็คือ..นายพรานนี่แหละได้ไปเจอนกไปหาล่าสตั ว์นี่ แหละแล้วไปเจอนกกรวิก นกกรวิกมันร้องได้หลายเสียงทีนี้นายพรานจึงได้นำเรื่องที่ตนเจอ ในป่าไปเล่าให้สู่ชาวบ้านฟังหนึ่งในนั้นมีหญิงหม้ายที่ได้ฟังด้วย แม่หม้ายเลยบอกว่าอยากได้ ยนิ เสียงนกทำยงั ไงแม่หม้ายก็เลยขอนายพรานเข้าป่าไปด้วยจากนั้นเมื่อไดเ้ ข้าไปในป่าก็ได้ฟัง เสียงนกกรวิกและจำ ๆ เสียงของนกกรวกิ แล้วก็ไปหาวสั ดุอปุ กรณ์ในการทำเครื่องดนตรีท่ใี ห้ มีเสียงเหมือนกับเสียงนกกรวิก และหญิงหม้ายก็ได้ไปเห็นไม้ไผ่ไม้เฮี่ยนี่แหละก็เลยเอามาตัด ทำเป็นแคนคือมันเกิดในสมัยพระเจ้าปเสนทิโกศลและมอี ีกตำนานหนึ่งกค็ ือองคพ์ ระเจ้าทา่ น ได้ไปล่าสัตว์นี่แหละแล้วทีนี้ก็ได้ไปพักหายเหนื่อยที่ใดที่หนึ่งนี่แหละจากนั้นก็ได้นอนหลับไป ขณะหลับอยู่นัน้ ก็ได้ฝัน ฝันว่าได้ยินเสียงมีทั้งหมดเจด็ เสียงแล้วทีนี้เลยต่ืนขึน้ มาท่านก็เลยรบี ตามหาว่าเสียงมันอยู่ไหนเพราะว่าเสียงมันก็ได้ยินอยู่ใกล้ ๆ ทีนี้เมื่อตามหาเสียงนั้นเจออ่า.. ต้นสายปลายเหตุมันก็คือเป็นน้ำตกลดหลั่นกันลงมามีทั้งหมดเจ็ดชั้นเสียงที่น้ำตกลดหล่ัน กันลงมาก็เลยเป็นเจ็ดเสียงอ่า..อันนี้ก็เป็นตำนานนะ อ่า..ต่อมาเป็นหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์แล้วก็โบราณคดีก็คือแคนนี่พบตั้งแต่จีนตอนใต้จนมาถึงบุโรพุทโธอินโดนีเซยี มี หมดทุกประเทศแล้วก็พบหลักฐานนี่คือเป็นรูปสลักในขวัญสำริดอ่า..พบในหลุมศพอ่า..อันน้ี พบในจีน แล้วก็อีกที่หนึ่งก็คือในจังหวัดถ่ังหัวไปพบรูปเกี่ยวกับสลักคนกำลังเป่าแคนแบบ เหมือนคนกำลังทำพิธีกรรมอ่า..อยู่ในกองทองมโหรทึกอยู่ที่แม่น้ำซองมา ในแถวนั้นจะเป็น ชาวตระกูลในตระกูลไทตระกูลไตกระกูลไตนี่แหละเป็นไทขาวกับไทดำที่อยู่ในเวียดนามหรือ ว่าในปัจจุบันก็คือเมืองเดียนเบียนฟูนี่ล่ะเป็นที่ ๆ พบหลักฐานแล้วก็จะมีหลักฐานอยู่ที่ จิตรกรรมฝาผนังต่าง ๆ เช่น อ่า..อยู่ในพม่าก็มีจิตรกรรมอยู่ในเมืองย่างกุ้งอยู่ในนั้นแหละ แล้วก็มีในหนังสือห้าปีในสยามในช่วงสมยั รัชกาลท่ีห้าที่มีนาย..อะไรนะเป็นคนฝรั่งนี่แหละอ่า ..แล้วทีนี้สมัยนั้นมันยังมีแคนเจ็ดอยู่แล้วฝรั่งคนนั้นได้ไปพบว่ามีคนทำแคนคู่แปดขึ้นมาทีนี้ก็ เลยได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้นหนังสือห้าปีในสยามอันนี้ก็คือเรื่องประวัติของแคน\" (หมอแคน มะพร้าว, สัมภาษณ์ 22 มกราคม 2566)

24 ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ท่านที่ห้าคือ หมอแคนค็อปเตอร์ ที่ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการเครื่องดนตรีพืน้ บ้านแคนใหแ้ ก่ผวู้ จิ ัยฟังว่า \"ก็มีนิยายตำนานที่คนเฒ่าคนแก่เขาเล่าต่อ ๆ กันมาประมาณว่าในอดีตสมัยก่อนได้มี นายพรานคนหนึง่ ไดเ้ ข้าไปในปา่ เพ่ือไปลา่ สตั วห์ าอาหารกินตามปกติเหมือนทกุ ๆวัน แต่พอมา วันหนึ่งกไ็ ปลา่ สตั ว์หาอาหารตามปกตนิ ่ีแหละแต่จู่ ๆ ขณะที่กำลังหาสัตว์หาอาหารอยู่นั้นก็ได้ ยินเสียงนกร้องขึ้นมาอยู่ในป่า อ่า..เสียงมันไพเราะมากเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของเสียงนกตัว นั้นนกตัวนั้นมีชื่อว่านกกรวิกหรือกรเวกนั่นแหละก็เรียก ๆ ได้ทั้งสองชื่อ ทีนี้สักพักไป นายพรานก็กลบั มาได้สติอีกครัง้ จากนั้นก็ได้กลบั เข้าหม่บู า้ นไปก็นำเรื่องราวทีต่ นได้เจอไปเล่า ให้ชาวบ้านได้ฟังกัน หนึ่งในชาวบ้านที่ได้ฟังด้วยนั้นคือหญิงหม้ายคนหนึ่งหลังจากที่หญิง หม้ายได้ฟังแล้วจึงอยากได้ยินเสียงของนกกรวิกตัวนั้นเลยขอติดตามนายพรานเข้าไปในป่า ด้วยแต่นายพรานไม่ให้เข้าไปเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายแต่แม่หม้ายไม่ยอมก็เลยตามต้ือ นายพรานและสุดท้ายนายพรานก็ยอมให้แม่หม้ายเข้าไปในป่าด้วย วันต่อมานายพรานกับ หญงิ หม้ายก็ไดเ้ ขา้ ไปในป่าแลว้ ก็ไปไปฟังเสยี งของนกกรวิกเหมือนเช่นเดิมพอหญงิ หม้ายได้ฟัง แล้วก็พูดขึ้นวา่ เสยี งชา่ งไพเราะจริง ๆ เมื่อได้ฟังเสียงของนกเสร็จแล้วก็พากันกลับหมูบ่ า้ น ที นีห้ ญงิ หม้ายเลยพูดขึ้นมาวา่ ทำยังไงดีนะทจ่ี ะไดย้ นิ เสียงของนกกรวิกอีกคร้ัง หญิงหม้ายก็เลย คิดประดษิ ฐเ์ ครื่องดนตรีตา่ งๆนานาท้ังดีด สี ตี เป่า กย็ งั ไม่ถูกใจและใกล้เคยี งกับเสียงของนก และสุดท้ายก็ได้เครื่องดนตรีหนึ่งขึ้นมาที่มีเสียงใกล้เคียงกับนกกรวิกมากที่สุด หญิงหม้ายก็ เลยคิดว่าพรุ่งนี้จะนำเครื่องดนตรีอันนี้ไปถวายแก่พญาหรือผู้ที่เป็นเจ้าครองเมือง พอถึงตอน เช้าก็ได้ไปถวายและเป่าบรรเลงให้พญาฟังเมื่อหญิงหม้ายเป่าบรรเลงเสร็จแล้วก็ได้ถามพญา ว่า ที่ข้าพเจ้าเป่าบรรเลงเพราะหรือไม่ พญาเลยตอบว่าช่างไพเราะมาก หญิงหม้ายเลยถาม กลับอีกว่าแล้วจะตั้งชื่อเครือ่ งดนตรีอันน้ีวา่ อย่างไรดี พญาเลยตอบว่าต่อไปนี้ให้ทุก ๆ คนจง เรียกเคร่อื งดนตรนี ีว้ า่ แคน กเ็ ลยเรยี กๆกันตามตำนานนดี้ ว้ ยแหละ และที่ไดย้ ินมาเผ่าภูไทก็มี หลาย ๆ เผ่าที่ใช้เครื่องดนตรีแคนมาใช้ประกอบพิธีกรรมและการละเล่นแล้วในสมัยใหม่นี่ก็ คือเค้านำมาประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่แล้วก็นำมาแปลงนำมาสร้างใหม่เพื่อให้มันบรรเลงเข้ากับวง ดนตรีแบบทั่วไปได้สามารถใช้เล่นกับการละเล่นทั่วไปได้ให้มันมีความหลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้เครื่องดนตรีพื้นบ้านแคนก็ไม่เพียงมีแต่ในไทยนะก็มีทั่วเอเชียอย่างในภูมิภาค อาเซียนก็มีและอาจมีอิทธิพลเครื่องดนตรีของทางจีนด้วยเขาก็มีการปรับปรุงปรับใช้กันไป\" (หมอแคนคอ็ ปเตอร์, สัมภาษณ์ 22 มกราคม 2566) ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ท่านแรกคือ ช่างแคนเบลล่า ที่ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการ เครอ่ื งดนตรีพ้ืนบา้ นแคนใหแ้ กผ่ ู้วจิ ยั ฟงั วา่

25 \"ประวัติของแคนนี้มันมีแต่เป็นนิทานปรัมปรานะ เขาพูดกันตั้งแต่สมัยนานมาก ๆ ก็..มีแม่ หม้ายคนหนึ่งไปได้ยินเสียงนกกรเวกซึ่งเสียงของนกมีความไพเราะมากก็เลยคิดว่าทำยังไงดี นะที่จะได้ยินเสียงแบบนี้อีกครั้งเพราะนกกรเวกมันอยู่ในป่าลึก ทีนี้ก็มีคนคิดดัดแปลง ประดิษฐ์เครื่องดนตรีต่าง ๆ มากมายทำอย่างนัน้ ทำอย่างน้ี บางคนก็ได้ออกมาเป็นโหวตบ้าง บางคนทำออกมาเป็นปี่บ้าง แต่แม่หม้ายทำออกมาเป็นลำแคนก็เลยได้สืบทอดมาเป็นแคน และมีประวัติอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำแคนถวายพระราชาของลาวน่ีแหละสมัยแต่ก่อนทีนี้คน หนึ่งทำจะเป็นโหวตบ้าง เอ่อ..แต่ว่าแคน คำว่าแคนนี่คือไคนะภาษาลาวน่ะ แคนแหน่ แคน แล้ว ๆ ก็คือไคแล้ว ๆ ดีแล้วอย่างนี้แหละก็เลยเอานี่ไปถวายนี่แหละ เอาไปถวายก็เลยเป่าดู บรรเลงเป็นเพลงจากนั้นก็ เอ้อ แคนแล้ว ๆ ก็เลยได้ชื่อแคนอีกตำราหนึง่ นะนิก็ประมาณนี้ ที นีว้ ิวัฒนาตามทไ่ี ปค้นหาแลว้ ก็ไปสืบถามชา่ งทางประเทศลาวด้วยมนั ก็มีแคนแบบน้ำเต้าส่ี ห้า ลูก มันจะเป็นลักษณะของชนเผ่าอาจจะเป็นม้งเป็นอะไรนี่แหละชนเผ่าแต่ก่อนนะ แต่ว่าลิ้น แคนทีแรกอาจจะลิ้นเป็นไม้ก่อนก็ค่อยมาเป็นแบบนี้คือลักษณะนี้ลิ้นผสมจากเงินผสมใส่ กัน กับสตางค์แดงเหรยี ญสตางค์แดงทองแดงเงนิ กบั ทองแดงผสมกนั มาตีมารีดจนกว่าได้เป็นแผ่น บาง ๆ วิวฒั นาการมาเปน็ แคนน้ำเตา้ เอามาเสียบใส่น้ำเต้าอย่างน้ีเป่าอยู่น้ำเต้านั่นแหละ เห็น แคนม้งมั้ยอันยาว ๆ มันจะเป็นอย่างนั้นก่อนค่อยมาเริ่มแคนสาม แคนเจ็ดขึ้นมาแคนเจ็ด หมายถึงขา้ งละเจด็ ลูก แล้วก็มาเป็นแคนแปดแบบน้ีปจั จุบนั กเ็ ป็นแคนเก้า สว่ นมากใช้ในแคน วงด้วยและพิธีกรรมประมาณสองเมตรกว่าอันนั้นคือท่ีสุดของแคนแล้ว คือถ้าจะพูดถึงเครือ่ ง ดนตรีทั้งหมดในโลกมันก็จะเริ่มจากทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าทำบวงสรวงผีบวงสรวงเทพเจ้าที่ เคารพนั่นแหละ คือเกิดความกลัวถ้าฟ้าผ่าก็ว่าผี อันนั้นอันนี้ก็ว่าผี คนเจ็บไข้ได้ป่วยก็ว่าผี มี อะไรสนกุ ๆ ก็ไปถวายท่านอยา่ งนี้น่ะ ตั้งแตก่ ารออกเสยี งการการลำทำคล้องจองก็เอาไปเอา มากลายมาเป็นหมอลำ ทางคนฝรั่งเขาก็ยังมีออร์แกนมีนั่นนีไ่ ว้บรรเลงในโบสถ์ประสานเสียง คอื กนั แล้วกเ็ สียงเหมอื นกันนะโด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด แต่วา่ อนั นพ้ี ูดถงึ ตามหลักสากลนะ ถา้ หากพูดตามชา่ งแคนมนั จะฟังยากหน่อย เช่น ลกู โป้ซ้าย ลกู สะแนน ลูกเซ อะไรประมาณนี้ แต่ว่ามันพูดยากคนฟังก็ฟังยากกเ็ ลยเอาตามหลักสากลคือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โดไปเลย ค่อยง่าย แต่ว่าแคนนีน่ ะเป็นเคร่ืองดนตรีของอีสานชิ้นแรกเลยนะของลุ่มแม่นำ้ โขงของอีสาน ชิ้นแรก เสียงครบ สเกลแบบสากล เอ่อ..หมายถึงว่าโดเรมีฟาซอลลาทีโดนี่ก็ครึ่งเสียง เหมือนกันตามบันไดของสากล ไม่เหมือนทางดนตรีไทยนะคือ โดเรมีฟาซอลลาทีโด เสียงมนั จะเต็มตลอดถ้าไปเล่นใส่สากลก็จะไม่เข้ากัน แต่แคนเนี่ยเป๊ะกับสากล\" (ช่างแคนเบลล่า, สัมภาษณ์ 23 มกราคม 2566)

26 ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ท่านที่สองคือ ช่างแคนบาส ที่ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมา วิวัฒนาการ เครอ่ื งดนตรพี ืน้ บ้านแคนให้แก่ผวู้ ิจยั ฟงั ว่า \"ประวัติความเป็นมาของแคนก็..เขาก็เล่าถึงเรื่องนกกรเวกอันนี้เป็นตำนานว่ามีแม่หม้ายได้ เข้าไปในป่าอา่ ..มีนายพรานเข้าไปในป่าทีนไ้ี ดย้ นิ เสียงนกกรเวกแม่หม้ายก็ไดย้ นิ เหมือนกันทีน้ี อยากได้ยินเสียงอีกก็เลยหาประดิษฐ์คิดค้นทำเป็นเครื่องดนตรีออกมา คือ กลายเป็นเครื่อง ดนตรีแคน แต่ว่าวิวัฒนาการจริง ๆ มันอาจจะเป็นแบบว่าเริ่มจาก..แต่ว่าส่วนใหญ่มันเป็น ลิ้นน่ะ ลิ้นที่แรกน่ะมันเป็นไม้ไผ่นะใช่เขาเอาไม้ไผ่มาอันนี้แหละและทำมันให้บาง ๆ และเอา มาใส่ อ่า..มันเริ่มจากไม้ไผ่ก่อนทีนี้พัฒนามาเป็นลิ้นแคน คือ ตอนยุคที่มีเหล็กแล้วยุคโลหะ สำริดมีทองมีเงินอย่างนี้นะ ถ้าพูดถึงยุคสำริดก็จะประมาณ พ.ศ.ได้นะ อืม..หลังจากนั้นก็ พัฒนามาเรื่อย ๆ จาก สอง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด จนมาถึง แปด เก้า หมายถึงแคน นะ ทีแรกเจ็ดก่อนทีนีฝ้ รั่งกเ็ ลยเข้ามาคดิ ฝร่ังเปน็ คนคิดคู่ท่ีแปดแตไ่ ม่รู้นะว่าคนชาติอะไร ทีนี้ พัฒนาขนึ้ มาใน พ.ศ.อะไรน่ีแหละประมาณน้ี แลว้ กใ็ นปัจจบุ ันนี่ก็นิยมกนั ก็คือแคนแปด ส่วน จะแยกใช้แคนนี่ เช่น ตามพิธีกรรมตามการแสดงหรืออะไรก็ตามมันก็แล้วแต่คนนะว่าจะใช้ แคนอะไรคือมันก็ใช้ได้หมดแหละ และแคนไม่ได้มีแค่แคนแปดนะ มันเริ่มจากแคนสอง จน มาถงึ แคนเก้าเก้าคู่แต่ว่ามันก็ทำไปอีกอยมู่ นั ก็แค่ไม่ได้ใชง้ านอะไรสว่ นใหญเ่ ราก็ใชแ้ ค่น้ีเกินไป นนั้ เรากไ็ มไ่ ด้ใช้แล้วประมาณน้ีแหละครบั \" (ชา่ งแคนบาส, สมั ภาษณ์ 4 กุมภาพนั ธ์ 2566) 4.3 แนวทางอนรุ กั ษส์ ืบสานเคร่ืองดนตรีพ้ืนบ้านแคน เครื่องดนตรีพื้นบ้านแคนเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่มีมาอย่างยาวนานเป็นเครือ่ งดนตรีที่อยู่คู่ กับคนภาคอีสานรวมทั้งในจังหวัดขอนแก่นและแคนยังเป็นเครื่องดนตรีที่สามารถเลี้ยงชีพได้จึงมี คุณค่าต่อชีวิตและจิตใจ ผู้วิจัยจึงได้มีการลงพื้นที่ในการสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 7 คน ใน จงั หวดั ขอนแก่น ประกอบไปด้วย หมอแคน จำนวน 5 คน และชา่ งแคนจำนวน 2 คน และผู้ให้ข้อมูล ในการสัมภาษณ์ท่านแรกคือ หมอแคนวัชระพล ที่ได้เล่าถึงแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่องดนตรี พนื้ บ้านแคนให้แกผ่ ู้วิจยั ฟังว่า \"ไมจ้ ะอยแู่ ถบทางเวยี งจนั ทน์ประเทศลาว คือ..เป็นไมต้ ระกูลไผ่นแ่ี หละแต่เปน็ ไม้ไผ่น้อย บาง คนก็เรียกว่าไม้ไผอ่ ้อมันไม่เชิงเป็นไม้ไผแ่ ต่เป็นไม้อ้อมันเป็นลำตน้ เล็ก ๆ เท่านิ้วน่ีแหละ ก็จะ เอามาเป็นตน้ แห้ง ๆ มาเลยแต่วา่ ก็จะอาจจะตัดมาไว้ตอนสด ๆ แลว้ เอามาตากไว้ให้แห้งท้ังนี้ ทั้งนั้นก็ไม่รู้ลึกถึงขนาดนั้นนะ จากนั้นเอาไม้มาวัดขนาดความยาวเมื่อได้ไม้แล้วประมาณน้ี ขนาดนี้ที่เหมาะที่จะทำแคนเต้าแคนดวงหนึ่ง แต่ถ้าตามธรรมชาติไม้มันไม่ตรงก็จะเอาไปลน ไฟทำไฟอ่อน ๆ ก่อไฟขึ้นเอาไม้ไปลนไฟ และก็จะมีที่ดัดไม้ให้มันได้รูปร่างที่เหมาะสมเมื่อได้ รปู ร่างทีเ่ หมาะสมก็จะเอามดี มากรีดข้างๆลำต้นไม้ไผ่เปดิ เปน็ ช่องเล็ก ๆ แตไ่ ม่ได้ตัดออกหมด

27 เรียกว่า รูแพ นี่แหละจะเอาลิ้นใส่ตรงนี้ ลิ้นแคนน่ะ ทีนี้สมัยแต่ก่อนลิ้นแคนน่ะจะเอาเงินมา ทำเงินพวกนี้ไปซื้ออยู่ที่ลาวเพราะอยู่ไทยมันหายาก เรียกว่า เงินฮาง คล้าย ๆ เรือลักษณะ คล้าย ๆ รางเป็นร่อง นั่นแหละจะเอามาทำเป็นลิ้นแคน ส่วนเต้าแคนจะเอาเป็นรากไม้เป็น แก่นบางคนก็เอาไม้ดู่ ไม้จิก ไม้ฮัง ประมาณนั้นแหละมาทำเต้าแคนจากนั้นก็เอามา ปรับเปลี่ยนให้ได้รูปร่าง และแคนเนี่ยจะแบ่งออกเป็นเจ็ดแบบ แคนสาม แคนห้า แคนเจ็ด แคนแปด แคนเกา้ แคนสิบเอ็ด และแคนสิบจะใหญ่ท่ีสุด แต่ว่าเขาไมน่ ิยมไปถึงสิบสองหรอก ส่วนมากจะนิยมไปถึงเก้า แคนเก้าส่วนมากจะไปใช้ประกอบพิธีกรรม เช่น ผีฟ้า บูชา การ แสดง แต่แคนเจ็ดจะใช้ประกอบการแสดง แต่ทั้งนี้ก็ไม่เสมอไปมันก็ขึ้นอยู่กับการแสดงด้วย เอ่อ..เช่น หมอลำกลอนโอละนอ..อันนั้นน่ะจะข้ึนกบั หมอลำนะว่าจะใชแ้ คนอะไรเพราะว่าใช้ ตามเสียงหมอลำ หมอลำแต่ละคนนี้ต้องได้ใช้แคนประจำตัวของตัวเอง คือ..หมอลำต้องมี แคนประจำตัวของตัวเองนะ ไม่ใช่ว่าจะเอาหมอแคนมาเป่าให้ยังไงก็ได้ เพราะว่าหมอลำ จะต้องมีคีย์ของตัวเอวด้วยหมอลำทุกคนก็ต้องมีแคนเป็นของตัวเองมันจะได้เข้ากับจังหวะ เสียงของตัวเอง ง่าย ๆ คือเราจะรู้เองว่าแคนดวงนี้เราจะลำยังไง ส่วนมากหมอลำมีแคนก็ไม่ เกินสองถึงสามดวง แคนเนี่ยต้องสั่งตัดนะไม่ใช่ไปหาซื้อตามท้องตลาดทั่วไป คือจะมีครูภูมิ ปัญญาที่ทำแคนในแถบทางภาคอีสาน เอ่อ..และก็โทนเสียงแคนของผู้หญิงกับของผู้ชายจะ ต่างกันนะ แคนหมอลำผู้หญิงจะโทนต่ำ ๆ ส่วนแคนหมอลำผู้ชายจะสูง ๆ ส่วนถ่ายทอดภูมิ ปัญญาให้กับคนรุ่นหลังในเรื่องวิธีการทำคือ มันจะมีครูภูมิปัญญาท่ีทำอยู่แล้วการทำแคนนิก็ ทำจากรุ่นสู่รุ่น ถ้าจะไปเรียนเอาวิชากับครูก็ต้องไปอยู่อาศัยอยู่กับครูด้วยส่วนจะเป็นช้าเป็น เรว็ ก็อยู่ที่ตวั บุคคลนะซึ่งไม่ไดก้ ำหนดระยะเวลาวา่ ต้องเป็นภายในวันนนั้ หรือภายในวนั นี้ อ่า.. และแรกๆเนี่ยก็ดูการทำก่อนคร่าว ๆ แต่ถ้าบางคนมีพรสวรรค์ก็จะแตกฉานไปเอง คือ..เราก็ ต้องสังเกตไปด้วยแล้วครูกจ็ ะสอนเราทีละขั้นตอนตามภูมิปัญญาสมัยก่อนทีใ่ ช้การจดจำและ ปฏิบัติเอง ซึ่งไม่มีลายลักษณ์อักษรในการทำ เอิ่ม..และการสอนเนี่ยมีค่าครูด้วยนะ คือ..บาง ครูอาจารยเ์ น่ียมีกำหนดคา่ ครูดว้ ยท่ีกำหนดกเ็ พราะวา่ ค่าครูถูกกำหนดตามรุ่นสู่รุ่นท่ีถ่ายทอด แกศ่ ษิ ย์ อา่ ..คอื มันเปน็ ศาสตร์ท่ยี ากอยู่นะไม่ง่ายเลย บางคนก็แล้วแต่ศรัทธาท้ังน้ีก็ตามความ สมควรด้วยก็ประมาณนั้น เอ่อ..ค่าครูเท่าที่ได้รู้มามากสุดก็เปน็ หมื่นเลยนะ ถ้าน้อยที่สุดก็หา้ พันได้เพราะว่าการเรียนแคนก็สามารถทำมาหากินได้ และมีขันธ์ห้าด้วยเพื่อมอบตัวเป็นสิทธิ์ ท่ีใชข้ ันธ์ห้าเพราะวา่ มนั เปน็ ของสูง สว่ นขันธ์ห้าประกอบไปด้วยก็มีดอกไมส้ ีขาวห้าคู่หรือดอก พุทธห้าคู่ เทียนห้าคู่ บางคนก็ใช้ธูปบางคนก็ไม่ใช้นะแล้วแต่คนแต่ถ้าไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร อืม.. ขันธ์ห้าก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ห้า อย่างนี้ประกอบกันก็เป็นคน หนึ่ง คน เพราะฉะนั้นขันธ์ห้าเอาไว้แทนจิตแทนใจตัวเอง ส่วนการถ่ายทอดการเรียนแคนนี่คือ..ก็ คล้ายๆกันเลยมีค่าครูเหมือนกันการเรียนการสอนจะเป็นการจดจำและปฏิบัตินะไม่มีจดเปน็

28 ลายลักษณ์อักษร โดยที่ครูหมอแคนเนี่ยจะเป่าแคนและให้ลูกศิลป์เป่าตามให้ดูมือในการเป่า แคนไปด้วยว่าต้องทำอย่างไร ใช้มือปิดรูยังไง และสอนเรื่องวิธีการตัดลม แคนเนี่ยมันใช้ ประสาทสัมผสั เยอะนะทั้งหู ตา ปาก ลน้ิ มอื ตอ้ งควบคกู่ ันไปนะถึงจะไปกันได้ ขอยกตัวอย่าง ตัวเองนะ คือ..ใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับแคนมากๆเลยนะทั้งจดทั้งจำมาและต้องใจเย็น ๆ ด้วย ประมาณนั้น เอ่อทำนองของแคนเนี่ยจะเป็นเสียง โด เร มี ฟา ซอน ลา ที โดแต่มันจะแบ่ง เสียงออกเปน็ สูงกบั ต่ำ แคนเตา้ หนง่ึ จะมีข้างละแปดลูกรวมกันก็เป็นสิบหก โน๊ตหน่ึงจะมีสอง เสียง เสยี งสงู กับเสียงตำ่ แบบน้ันแหละ ส่วนหนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวข้องกอ็ ่า..สภาวฒั นธรรมจังหวัด กระทรวงใหญ่อยนู่ ะและก็ชมรมอนรุ ักษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมอสี าน เออ่ ..ชมรมนจ่ี ะเป็นองค์กรย่อย เล็กๆออกมาแต่ว่าเขาก็จะมีแผนการส่งเสริมของเขาแหละแบบว่าจะทำยังไงให้แคนถูก เผยแพร่ อ่า..ได้นำศิลปวฒั นธรรมการแสดงของคนอีสานที่เป็นเครื่องดนตรอี ีสานไปเผยแพร่ และมีการแสดงให้คนรุ่นใหม่ได้พบเห็น แต่ก็พบเห็นได้ทั่วไปตามงานต่าง ๆ เช่น งานไหม ท่ี ส่งเสริม และแนวทางก็คือมีการประกวดเดี่ยวแคน ประกวดหมอลำกลอน อย่างงานไหมก็ ประกวดขึ้นทุกปีและการประกวดเดี่ยวแคน หมอลำกลอนก็ส่งเสริมโดยองค์การบริหารส่วน จังหวัดขอนแก่นจะจัดทุกปีอยู่ที่ศาลาผูกเสี่ยวอันนี้ก็คือตัวอย่างให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าได้รับ การส่งเสริมในจดุ นี้ เออ่ ..นอกจากหน่วยงานนี้กม็ ีคนธรรมดาด้วยทสี่ ่งเสริมนะก็ชมรมอนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรมอีสานนั่นนะ ก็ประมาณนี้เขาก็ช่วยในเรื่องการส่งเสริมการแสดงที่เก่ียวกับ เครื่องดนตรีอสี าน หมอลำพื้นบ้าน และมีการตั้งการประกวดขึ้นมาเองโดยไมไ่ ด้ไปหางบจาก ส่วนกลาง คือเขาตั้งกลุ่มเป็นชมรมหนึ่งข้ึนมาเฉพาะกลุ่มคนท่สี นใจก็มาตั้งชมรมด้วยกัน งบก็ งบตัวเองนะและมีสปอนเซอร์หรือผู้สนับสนุนด้วยและก็มีพระด้วยนะที่สนับสนุนหมอลำน่ะ ล่ะทีนี้สมัยนี้ก็มีโซเชียล เช่น เฟซบุ้ค ก็มีการตั้งกลุ่มตั้งเพจขึ้นมาคนส่วนใหญ่ก็ใช้เฟซก็ไปอยู่ ในกลุ่มนั้น และมีคนรุ่นใหม่ขึ้นมามากมายที่สนใจเรื่องนี้ ประมาณนั้น เอ้อ..มีเพจขายแคน ด้วยนะเป็นช่างทำแคนนี่แหละ อ่า..ขอย้อนไปนิดนึงยังมีคนทั่วไปนะที่เขาสืบสานแคนน่ะท่ี ลองมาจากชมรมก็ดนี ะที่มีคนสนใจอยู่โดยเฉพาะคนรุน่ ใหม่ ส่วนกลมุ่ คนทสี่ นใจก็คือคนทั่วไป เลยไม่เกีย่ วกับวา่ อยชู่ ว่ งอายไุ หนแต่มนั อยู่ท่ีจิตใตส้ ำนึกถ้าสนใจก็เลน่ เลย\" (หมอแคนวัชระพล, สมั ภาษณ์ 8 มกราคม 2566) ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ท่านที่สองคือ หมอแคนกฤตภพ ที่ได้เล่าถึงแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่อง ดนตรพี ้นื บา้ นแคนใหแ้ ก่ผูว้ จิ ัยฟังวา่ \"เอ่อการเลือกไม้ในการทำแคนผมเคยไปตัดนะ ผมเคยไปตัดอยู่อำเภอเขาวงติดกับดงหลวง มันจะเป็นอ่า..ที่มุกดาหารตรงนั้นมันอยู่ตรงนั้นเทือกเขาตรงนั้น เหลือไม้ไผ่อยู่ไผ่เฮี่ยตระกูล ไผ่บางคนกเ็ รียกไม้กูแ่ คนก็หลงเหลืออยนู่ ะครับ กต็ อนนเี้ หลอื น้อยมากในประเทศไทยตอนนี้ก็

29 นำเข้าจากต่างประเทศคือประเทศลาวเขาส่งมามัดประมาณละมัดละสามร้อย ทีนี้การเลือก ไม้ก็คือไม้ทำแคนมันจะหนาพอดีไม่บางไปไม่หนาไปคือพอดีตามรูปก็ไล่เรียงตามช่างๆก็จะ เรียงรูปใหม้ ันเหมาะสมใหม้ ันสวยให้มันพอดี ทีนี้การทำแคนคนรุ่นหลังตอนนีเ้ จอเห็นอยู่สาม คนทำเป็น อ่า..ช่างแคนอยู่ร้อยเอ็ด ช่างแคนแป๋มผู้หญิงนะอยู่สารครามแล้วก็ช่างเบลล่าเค้า อยู่น้ำพอง แล้วก็ช่างบาสรุ่นเดียวกับผมนี่แหละเป็นคนรุ่นใหม่ที่สืบทอดก็ถือว่าใช้ได้ไม่ขี้เหร่ เลยทำดีคณุ ภาพดีดีกว่าแคนที่ตลาดเนอะ อันนี้คือส่ังทำคือเราจะเลือกให้มันดี เป็นอาชีพเลย ครับเปน็ ช่างแคนมอื อาชพี มี ส่ี คน คนรุ่นใหมต่ ามทผ่ี มเห็นในภาคอีสาน ช่างแคนอนั ทจ่ี รงิ ไม่ มีเพยี งแตภ่ าคอีสานมีอย่สู ุพรรณบรุ ี กาญจนบรุ เี ค้ากท็ ำแคนเปา่ แคนเหมือนกัน เพราะว่าอย่า ลืมว่าที่กาญจนบุรี ชลบุรี ลพบุรีพวกนี้เอ่อ..ลาวไทดำที่อพยพมาอยู่ตั้งแต่สมัยเจ้าอนุวงศ์ที่น่ี ปักหลักอยู่ที่นี่เขาก็มีช่างแคนหมอแคนเหมือนกันแต่เขาจะเป็นแคน เจ็ดเค้าจะเป่าในมโหรี พิธีกรรมของไทดำ ไททรงดำบางทีก็อาจจะมีแคนแปดด้วยแล้วก็ไม่ได้ใช้แคนเจ็ดกับแปด เสมอไป แต่วา่ ใช้แปดก็ได้แต่ๆส่วนมากเห็นช่างทำแคนเจ็ดที่อยู่กาญจนบุรี สุพรรณบุรี แต่ไม้ แถวสุพรรณ กาญจบุรีจะหนากว่าเสียงก็จะแน่น แต่แคนทางฝั่งอีสานก็คือก็พอดีเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันอยู่ตรงที่เสียงกับขนาด แล้วตอนนี้คนรุ่นใหม่มีความสนใจแคนเยอะมาก ๆ สามารถเอาไปประกอบอาชีพได้เลยนะ คือแคนเต้าหนงึ่ ขายได้ประมาณส่ีพันเดือนหนึ่งถ้าทำ สิบเต้าก็ได้สี่หมื่นก็ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจมากแล้วก็เป็นงานอิสระว่างเราก็ทำไม่ว่างเราก็ทำ แล้วแต่คนสั่ง และและสำหรับความคิดผมนะผมอยากให้มันเป็นวิสาหกิจชุมชนหรือหมู่บ้าน ทำแคนเฉพาะขึ้นมาซึ่งส่งออกต่างประเทศได้สร้างรายได้ให้กับชุมชนด้วย นอกจากทำแคน แล้วก็มีการสอนด้วยคือเป็นการสืบทอดรุ่นต่อรุ่นทีนี้คนรุ่นใหม่ถ้ามีไอเดียดี ๆ มันน่าจะต่อ ยอดได้มากกว่านี้แต่ตอนนี้ก็มีการบริโภคแคนมากขึ้นคือแต่ก่อนไม่รู้ๆว่าเป็นอะไรแคนถือไป บ้านนอกอะไรไม่รู้บ้านนอก ทีนี้โลกมันเปิดกว้างมีสื่อโซเชียลเข้ามามันทำให้เป็นที่น่าสนใจ แล้วก็ไม่ได้อายใครถือไปไหนก็ไม่ได้อายใครเป็นอีสานอเมซิ่งไปให้ฝรั่งดูก็ไม่ได้อายฝรั่งไม่ได้ อายต่างชาติคือเป็นอเมซิ่งอีสานอยู่แล้วเป็นอเมซิ่งของเอเชียอยู่แล้ว เอ่อ..มีชาวต่างชาติคน หนึ่งนะเป่าแคนมาเรียนอยู่ประเทศไทยประมาณห้าถึงหกปีได้แต่เขาก็ไปลาวด้วยนะเขาช่ือ จอร์นนี่หรืออะไรนี่แหละอยู่สหรัฐอเมริกาเขาเป่าได้หมดนะลายอีสานลายของลาวแกเป่าได้ หมดก็โอเค แต่ว่าสเน่ห์จะไม่เหมือนคนบ้านเราคือมันจะเป็นอีกแบบหนึ่งแต่ถือว่าเก่งมาก แล้วก็การสืบทอดเนี่ยสมัยก่อนจะเป็นโน๊ตจะเป็นคู่เขาจะเล่นเป็นคู่ คู่คือ แคนคือเสียง ประสาน โด เร มี ฟา ซอน ลา ที โด อ่า..โดจะมีเสียงสูงกับเสียงต่ำประสานกันขึ้นมาแล้วก็ เกิดอกี เสียงหน่ึงขึน้ มา เรกม็ สี องตวั มกี ็มีสองตัว มีต่ำมีสงู นะเปน็ เสยี งผสาน ทำให้คน...อ่าทำ ได้ยังไงคนสมัยกอ่ นทำไดย้ ังไงเสียงผสานตรงนี้ทำไรยังไงกเ็ ปน็ อะไรที่อเมซ่ิง ส่วนวิธีการทำก็ อันดับแรกเลือกไม้ตากให้แห้งคือให้ไม้มันแห้งตากให้แหง้ คือเท่าที่ผมไปทำมานะอ่า..ตากไม้

30 ไว้ประมาณคร่ึงปหี รือปีหนงึ่ คือไมเ้ คา้ จะส่ังมาปีต่อปี จากนน้ั ก็ลนไม้ตัดไม้ให้พอดีก่อนแล้วมา ลนไม้ให้มันตรงแล้วก็เจาะไม้ให้ทะลเุ พราะว่าถ้าไม่ให้มันทะลุมันจะแตกได้ในการลนไม้ดัดให้ มันตรง ทีนี้ลิ้นลิ้นแคนนี่สำคัญการทำลิ้นแคนคือ โลหะ โลหะที่มาตีลิ้นแคนสำคัญต้องใช้ เหรียญสตางค์แดงห้าเหรยี ญกับเหรยี ญเงินหน่ึงเหรียญประมาณนี้ เหรียญเงนิ เป็นเงินสมัยเก่า นะ เงินช้างสามหัว เงินรัชกาลที่ห้า เงินไรพวกนี้มาผสมเงินสมัยใหม่ทำไม่ได้เพราะว่าการ สปริงตัวค่าของเงินมันต่ำมันไม่เท่ากัน อืม..มันเป็นสูตรของใครของมันของช่างแคนที่จะทำ ตรงนีน้ ะเค้ากจ็ ะถ่ายทอดให้แกล่ ูกศิษยเ์ ท่านน้ั อา่ ..การตีลิ้นหลอมเองนะหลอมแล้วก็มาตีเป็น แผ่นตีลิ้นเป็นแล้วก็มาสับลิ้นแล้วก็โขดลิ้นอีกแล้วก็ทำรางลิ้นตรงไม้แล้วก็เอาลิ้นใส่รางแล้วก็ ทำลิ้นให้มันดังเทียบเสียงอีกนะมีรูแพเทียบเสียง ยาก..มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก อันนี้ ผมเล่าคร่าว ๆ เฉย ๆ เพราะมันละเอียดอ่อนมากจึงต้องไปถามช่างแคนหากละเอียดจริง ๆ มาตอ่ ..สมมุติทำเสรจ็ แลว้ แตล่ ะคู่ๆกเ็ หลาเตา้ แคนให้พอดีกบั ลูกแคนที่เราวัดไว้เอาใส่เต้าแล้ว ก็ขี้สูดหรือชันโรงหาอันอื่นทดแทนไม่ได้ตามที่ทดลองทำมาหลาย ๆ อย่างมาทดแทนชันโรง ไม่ได้ เพราะว่าของธรรมชาติก็ต้องใช้ของธรรมชาติในการปิดรูแคน แล้วก็หลายคนบอกว่า แคนเป็นเครื่องเป่าลมแต่ว่าแคนเป็นเคร่ืองเป่าล้ินโลหะหลายคนเถียงผมวา่ เป็นเครื่องเป่าไม้ เอ่อ..มันไมใ่ ช่ จนผมถอดลูกแคนให้ดมู ันมีโลหะ แต่แคนนิถือวา่ ยากต้องคนใจเย็นใจเย็นที่สดุ ถึงจะทำแคนได้ ส่วนการสอนแคนมีค่าครูก็แล้วแต่ครูอาจารย์ช่างแต่ละท่าน เอ่อ..ตามที่ผม เหน็ ประมาณสองถึงสามหม่ืนค่าเรียนกอ็ ันนีท้ ำจนเป็นนะ เงินสองสามหมนื่ น้ีเค้าเอาไปทำไรรู้ ไหม เค้าไปเอาอุปกรณ์มาใหท้ ำนีแ่ หละ มีสิ่ว สับลิ้น มีค้อนมีอะไรพวกนีค้ รูอาจารยเ์ ค้ากม็ ีให้ หมดก็ไม่ต้องไปซื้อ ก็ไปอยู่ด้วยกันเลยนะเอ่อ..ผมเห็นช่างเบลไปอยู่กับช่างสุดที่ชัยภูมิสอง อาทิตย์อยู่ด้วยกันจนเป็นแล้วก็ไป ๆ มา ๆ หากันก็จนเป็น สามารถขายออกตลาดได้สร้าง รายได้ให้กับตัวเองได้ มีแบบออนไลน์ด้วยเอ่อ..มีคนต่างประเทศมาสั่งด้วยต่างประเทศก็ส่ัง เยอะ ส่วนคนที่สนใจนี่คนทั่วไปเลย กลางคนก็เยอะ คนแก่ก็เยอะ คนประมาณห้าสิบมาหัด ใหม่กม็ ีก็มนั ๆ ทุกช่วงอายุแล้วแต่คนสนใจ ผหู้ ญงิ หมอแคนกเ็ ยอะนะผมก็เห็นหมอแคนท่ีเป็น ผู้หญิงเยอะนะ ดงั ๆ เมอื่ กก้ี .็ .นอ้ งอุ๋มหมอแคนอุ๋ม ผ้หู ญงิ หมอแคนตันหยงกม็ ี เป็นเยาวชนน่ะ ผู้หญิงกเ็ ยอะ ส่วนหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องนะ กเ็ ห็นนแ่ี หละจดั การประกวดของงานไหมก็ เป็นของสำนักงานวฒั นธรรมจังหวัดกม็ าเผยแพร่อ่า..เอกชนกม็ ีตอนน้ันผมไปงานของจิมทอง สันฟาร์มจิมทองสันฟาร์มเขาก็มกี ารจัดประกวดคอื การจัดเผยแพร่หมอแคนหมอลำของภาค อีสานเหมอื นกันนะ แลว้ กก็ ็หลายองคก์ ร เอ่อ..หนว่ ยงานวัฒนธรรมเกือบทุกจงั หวัดแต่..อยาก ให้เข้มข้นมากกว่านี้แต่นี่ถือว่าไม่เข้มข้นมากเท่าไหร่ตามที่ผมเห็นมาเนอะ แต่ว่าก็มีการ ส่งเสริมเยอะอยู่เช่นกัน ส่วนเอกชนก็มีสมาคมหมอแคนจังหวัดขอนแก่นนะ ล่ะก็มีของพระ นะพระมาส่งเสริมอ่า..ก็คือวัดป่าแสงอรุณเจ้าคุณพระธรรมดิลกอดี ตเจ้าคณะภาค เก้า ที่

31 ปรึกษาเจ้าคณะภาคเก้าแกก็มาส่งเสริมของวัฒนธรรมอีสานคือหมอแคนหมอลำ แล้วก็อยู่ สุพรรณบุรีคือ..พระเอกพระคุณพระครูประชานุกูลแกก็ทำเป็นชมรมนะชมรมหมอลำประชา นุกูล อ่า..คือแกส่งเสริมภาคอีสานทั้งระเทศใครเป็นหมอลำก็ส่งเสริม แล้วก็มีคือพระราช พรมจรยิ คณุ จงั หวัดร้อยเอ็ดแกกส็ ง่ เสริมในฝ่ายสงฆส์ ่งเสริมตรงนี้ดว้ ยแลว้ ก็มฝี ่ายบริษัทก็เห็น จิมทองสันฟาร์มนั่นแหละครับส่งเสริมเอ่อ..ประมาณนี้ผมเห็นประมาณนี้ แล้วถ้าเป็น หน่วยงานรัฐฯก็สำนักวัฒนธรรมจังหวัดในงานประจำปีเท่านั้นนอกจากนั้นก็ไม่ค่อยมีแล้วก็ สองปีก่อนหรือปีที่แล้วนี่แหละ ผมเห็นมหาลัยมหามงกุฎวิทยาเขตขอนแก่นเนี่ยที่อยู่อีสาน เนยี่ แกจดั ประกวดแคนวงผมวงหนึง่ ทีเ่ ขา้ ไปประกวดแคนวงเหน็ จดั ปีเดยี วม้ังแลว้ กห็ ายไปเลย ประมาณนี้ และการส่งเสริมแนวทางการส่งเสริมจะไม่ค่อยมีนะพวกโครงการอะไรพวกน้ี เท่าไหร่ แตว่ ่าการแสดงบูธโชว์ตรงนนั้ ตรงน้ผี มเคยเห็นนะผมเห็นของบ้านนาหวา้ นะนครพนม บ้านนี้ทำเครื่องดนตรีอีสานทั้งหมู่บ้านเลยนะ บ้านท่าเรือ ตำบลนาหวา้ นครพนมทั้งหมู่บ้าน ทำแคน ทำโปงลาง ทำพณิ ทำโหวต ทำพวงกุญแจ ประมาณนนั้ ผมเห็นหม่บู ้านนี้แหละทำท้ัง หมู่บ้านแต่ว่าคุณภาพก็อีกเรื่องหนึ่งก็คือคุณภาพจะไม่เท่าไหร่แต่เค้าทำเป็นอาชีพเลยนะแต่ เค้ามีนายทุนนะพอได้เงินมาก็ต้องทำตามที่สั่งว่าต้องการแคนกี่เต้าส่งเท่านี้ พิณส่งเท่านี้ มี นายทุนอยู่ตรงนั้นแหละตามที่ได้ยินมานะ และในส่วนจังหวัดขอนแก่นไม่มีทุนให้นะส่วนนี้ เอ่อ..ในจังหวัดขอนแก่นในเฉพาะหมู่บ้านไม่มีนะที่อนุรักษ์แคนแบบจริงจังก็มีแต่เฉพาะบ้าน หลังหนึ่งเปน็ ช่างแคน เปน็ บุคคลไปกอ็ ยู่ใครอยูม่ ันคือ เคา้ ไม่ไดส้ ำคัญกบั เร่ืองนี้มากเค้าสำคัญ แค่ปากท้องเท่านั้นตามสังคมที่เห็นมา ส่วนในอนาคตผมคิดว่าแคนในอนาคตผมบอกเลยไม่ หายไปมีเพิ่มขึ้นด้วยเพราะว่าหมอแคนรุ่นใหม่เยอะเลย มัธยมเยอะนะหมอแคนเด็กเยาวชน รุ่นใหม่ที่เป่าแคนเยอะเลยนะมีหลายโรงเรียนเลยก็มีวงโปงลาง วงที่ถ่ายทอดให้กันเนอะรุ่น หลังก็ถ่ายทอด ๆ ให้ ทีนี้มันเกิดการแสวงหามันเกิดการต่อยอดทำไงก็ไม่ลดครับไม่หายไป ส่วนในการเผยแพร่ผมก็ถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่อย่างเดียว คือ ใครสนใจผมก็ให้หมดเลยนะ แลว้ ผมกพ็ าไปงานดว้ ยพาขึ้นเวทีด้วยพอเป็นแลว้ ก็ขึ้นเวทผี มจงู มือข้นึ เวทีเลยอายก็ช่างขอให้ มีประสบการณ์บินไม่เป็นเดี๋ยวผมพาบิน เอ่อ..ประสบการณ์มันจะเกิดขึ้นได้ในการกระทำ บ่อย ๆ ทำบ่อย ๆ มันก็จะเกิดทักษะมันก็จะมีแตกออกไปอีก ส่วนตัวผมก็มีกลุ่มของผมนะก็ อยู่ด้วยกันนี่แหละรับงานกันมีงานเข้ามาก็รับและถ้าผมไม่ว่างก็ให้คนนั้นคนนี้ไปก็ให้รุ่นน้อง บ้างไปแต่ผมไม่มีศิษย์นะมีรุ่นน้องก็จริง อ่า..ผมก็บอกรุ่นน้องพวกนั้นนะว่าเราไม่ได้เป็น อาจารย์ลูกศิษย์กันเรามาแชร์ความรู้กันดีกว่าจะดีกว่ามาเกร็งกันและกันอ่า..เป็นการแชร์ ความรจู้ ะดีที่สุด บางอยา่ งผมไมร่ ู้เคา้ รู้ เอ้อ บางอยา่ งผมรูเ้ ค้าไม่รู้ ก็ดีกวา่ เปน็ อาจารย์ลูกศิษย์ กัน ส่วนโซเชียลผมไม่มีนะแบบสอนเกี่ยวกับแคนทั้งทำและเป่าผมไม่มีนะและผมไม่เก่งเรื่อง โซเชียลเท่าไหร่ และสิ่งที่ผมอยากจะฝากเกี่ยวกับเครื่องดนตรีพื้นบ้านแคน คือ มันมีเสน่ห์

32 และมนต์ขลังแล้วก็ผมพยายามทุกครั้งไปไหนก็ช่างผมจะเอาแคนไปด้วย แล้วก็พยายาม เผยแพร่พยายามให้คนรู้จกั พยายามให้โลกใบน้ีรู้จักว่ามนต์ขลังสเน่หต์ รงนี้มันยังอยู่กับคนรนุ่ ใหมย่ ังอยู่กับคนรนุ่ หลังแล้วกย็ ังอยู่กับแผ่นดินลาว ทรายน้ำโขง ทรายนำ้ ชี ทรายน้ำมูลตรงน้ี แล้วกม็ ันไม่มีวนั จะหายไปเพราะคนรุ่นใหม่สบื ทอดอย่คู รบั \" (หมอแคนกฤตภพ, สมั ภาษณ์ 10 มกราคม 2566) ผ้ใู ห้ข้อมลู ในการสมั ภาษณ์ทา่ นที่สองคือ หมอแคนภานุพงศ์ ทไี่ ดเ้ ลา่ ถงึ แนวทางอนุรักษ์สืบสานเคร่ือง ดนตรีพื้นบ้านแคนใหแ้ กผ่ วู้ ิจยั ฟังวา่ \"อันดับแรกเลยก็เลือกไม้ในการทำแคนก่อน อ่า..ไม้อ่อนไม้บางเสียงก็ปลิวไม้หนาเสียงก็เป็น ออกทุ้ม ๆ สักนิดคือ..ต้องเลือกขนาดที่พอดีนะ ไม้นี่ก็ต้องเป็น..วัสดุเอ่อ..แต่ว่าตามจริงเขามี การพัฒนานะคอื ..ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งเปน็ ไม้กไ็ ด้คือท่อแอรเ์ ล็ก ๆ ก็ได้แต่ว่าท่อแอรห์ รอื วา่ ทอ่ ท่ีเป็น ตะกั่วหรือเหล็กเสาอากาศนี่แหละวัสดุพวกนี้จะให้เสยี งแหลมเสียงมันใส แต่ว่าไม้ที่ใช้จริง ๆ คือไม้เฮี่ยหรือไม้กู่แคนอ่า..อยู่ในประเทศไทยก็มีแต่ว่าเขาไม่ให้ตัดเพราะว่ามันอยู่ในเขตป่า สงวนซึ่งจริง ๆ ไม้พวกนี้อยู่ในประเทศไทยก็เยอะอยู่แต่ไม้พวกนี้ก็เอามาจากลาวด้วย ส่วน การขายเขาน่าจะขายมัดละร้อยหรือมัดละเท่าไหร่นี่แหละ ส่วนวิธีการทำแคน คือ ต้องตีล้ิน หลอมโลหะผสมกันหลอมออกมาแล้วก็เอามาตีให้เป็นแผ่นยาว ๆ พอมันได้ขนาดที่ต้องการ แล้วกม็ าสบั ล้นิ แลว้ กม็ าเอาเสียงเราตอ้ งการเสียงไหนเสียงเล็กเสยี งใหญเ่ สยี งสูงเสยี งต่ำเม่ือได้ เสยี งแล้วค่อยไปเลอื กไม้ เม่ือเลอื กไมท้ ำลกู แคนกบั ไม้ทำเตา้ แคนได้แล้วเราก็มาทำเปน็ รูให้มัน โล่งแล้วก็ดัดไม้ให้มันตรงแล้วก็ค่อยมาปาดตรงใส่ลิ้นแล้วก็ประกอบประกอบกับเต้าแคนใส่ ขีส้ ูดตรงเตา้ แคนและก็แตง่ เสียงนิด ๆ หน่อย ๆ สว่ นเสียงแคนนถี้ ้าจะไลเ่ สยี งตามในเต้านะมัน เหมือนกันหมดทุกเต้า แต่ว่าเสียงที่ไปออกผ่านเครื่องจูนบ้างเครื่องนั้นนี้บ้างมันอาจจะไม่ ตรงกันหมด ยกตัวอย่างเช่นแคนที่ใช้ประกอบหมอลำถ้าเป็นของสมัยแต่ก่อนแคนที่ใช้ ประกอบหมอลำมันจะไม่ค่อยตรงเสียงเท่าไหร่อาจจะเป็นครึ่งหนึ่งหรืออาจจะไม่เต็มเสียง หรือไม่ก็เฉียดกนั นิดหนึ่งแต่กข็ ึน้ อยู่กับผูแ้ ตง่ แต่จะใหเ้ สียงแคนตรงกับโน๊ตเลยนั้นมันจะไม่ได้ สำเนียงเลย และแคนนะกระจายอยู่ทั่วอาคเนยห์ รอื เอเชียตะวันออก อ่า..ลาวก็มี ม้งก็มีแคน นะ เขมรก็มีพวกจีนนี่ก็มีซึ่งแคนไม่ได้ซ่ึงแคนไม่ได้มีเพียงเฉพาะแค่ภาคอีสานมีทั่ว ๆ แถว อาเซียน อ่า..และแคนเปน็ เครื่องดนตรีประจำชาตลิ าวนะ ส่วนการถ่ายทอดใหค้ นรนุ่ หลังนี่คือ สอนเริม่ จากสอนเลยนะทำใหเ้ ขาดูทำยังไงใหเ้ ด็กสนใจอ่า..ควรมีกจิ กรรมไม่เพียงแต่การสอน หรอกการใช้ชีวิตหรือการที่ดูการที่ํฟังให้คนรุ่นหลังได้ซึมซับไป การถ่ายทอดนี่ถ่ายทอดมา ต้งั แต่บรรพบุรุษต้ังแตเ่ ร่ิมทำแคนกว็ า่ ได้การถ่ายทอดนะและการถา่ ยทอดของครูอาจารย์อาจ มีคา่ ครูแตค่ ่าครูก็ขนึ้ อยูก่ ับอาจารย์ทีส่ อนวา่ จะเอาแบบไหน บางคนก็บอกว่ามาเลยก็ข้ึนอยู่ที่

33 ดุลยพินจิ ของอาจารย์แตล่ ะท่าน อา่ ..คา่ ครนู แ่ี ต่ก่อนมขี ันธ์หา้ มเี หลา้ มีไข่มีเงินหกสลึงหรือเงิน ห้าบาทแคน่ ั้น แตว่ า่ จะใหเ้ ปน็ สนิ น้ำใจก็แล้วแต่ผู้เรยี นและก็ผู้ถา่ ยทอดจะคยุ กันเองตามจริงก็ มีแค่นี้ขันธ์ห้านะ ในปัจจุบันค่าเรียนแคนก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายนะแต่ แต่ว่า..ถ้าเชิงธุรกิจนะก็ อาจจะมเี สียคา่ ใช้จา่ ยนะแต่ก็ไม่รวู้ า่ เสยี ค่าใชจ้ ่ายเทา่ ไหร่ไม่ก็อาจจะคดิ เป็นชว่ั โมง ชัว่ โมงละสี่ ร้อย ห้าร้อย ประมาณนั้น การสอนแคนก็สอนจนกว่าจะได้เลยนะและการสอนจะสอนสอง รูปแบบ แบบเชิงธรุ กิจกบั แบบบอกปากตอ่ ปากลมตอ่ นิว้ ตอ่ นิว้ หรือก็คือเอาแคนคนละเต้าเป่า ด้วยกัน แบบอย่างที่สองนี่คือเป็นการอนุรักษ์ด้วยนะ อ่า..และการสืบทอดแคนเนี่ยไม่มีการ จดนะมีแต่การจำสว่ นมากสงั เกตลายเก่า ๆ ของคนแก่จะไม่มีการบันทึกโน๊ตไว้แต่ว่าจะมกี าร จำเป็นเสียง เอ่อ..ลายนี้เป่าแบบนี้นะเคยได้ยินมาเขาจะเป่าแบบนี้แหละมันจะใช้การจำเอา มากกว่าจดในการต่อลายแคนรวมทั้งเทคนิกของอาจารย์ดูว่าทำอย่างยังไงประมาณนี้ การ เป่าแคนนี้มัน..ยากพอสมควรเพราะว่าถ้าเป่าแคนเป็นมันจะเป็นหมดทุกอย่างนะเพราะว่า แคนยากท่ีสุดมนั ใช้ท้งั ประสาทสมองจำ น้วิ ปาก ลม ล้นิ ส่วนหนว่ ยงานทีเ่ ขา้ มาสง่ เสริม เอ่อ ..คอื ตอนน้ียังไมม่ ีหน่วยไหนท่เี ขา้ มาชว่ ยเหลอื กล่มุ ทำแคนหรือกลุ่มหมอแคนแบบมนั ไม่ค่อยมี ถึงมีก็น้อย เอ่อ..อย่างสำนักวัฒนธรรมขอนแก่น สมาคมหมอแคนขอนแก่น องค์การบริหาร ส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล วัด อืม..พวกนี้เขาช่วยเหลือไม่เต็มที่ คือ เขาจะ ชว่ ยเหลอื เมือ่ เขามงี านเทา่ นั้นถา้ เขาไม่มีงานก็ไม่ไดช้ ่วยหรือเรียกใช้หมอแคนกบั หมอลำ อ่า.. ช่วยเฉพาะงานคิดแคน่ ั้น ถ้าเป็นเอกชนคือเวลาไปงานเขาก็ดูแลกนั เองหมอแคนก็ดูแลกันเอง หมอลำหมอแคนดแู ลซ่ึงกันและกนั เปน็ พี่น้องกัน และเงินสนับสนุนน่กี ็หมอแคนไม่ค่อยได้เงิน สนบั สนนุ เหมือนกบั หมอลำนะ หมอแคนคือออกเอง สมาคมหมอแคนนา่ จะเปน็ ของรฐั ฯ สว่ น งบประมาณไม่ ๆ ค่อยมีนะคือส่วนใหญ่จะเป็นการออกกันเองอ่า..ให้บุคคลภายนอกส่งเสริม กนั เอง แบบเช่น เออ้ คนนเ้ี ปา่ แคนดนี ะสอนดีนะไปเรียนกับเขาเลยนะไปหาเขานะ ประมาณ นี้ และที่เขาส่งเสริมก็เห็นๆมีการจัดประกวดเดี่ยวแคนงานไหมที่ผ่านมาและมันแทบจะไม่ คอ่ ยเหน็ งานเก่ียวกบั หมอแคนส่วนมากจะจัดรว่ มกับหมอลำกับหมอแคนเขาจะจัดคู่ใส่กันเลย ถ้าพูดส่งเสริมเขาก็ส่งเสริมอยู่แหละแต่ว่ามันก็ยังหาคนที่เป็นนักวิชาการด้านแคนมาตัดสิน มันก็ยังไม่สมกับผู้เข้าประกวดเป่าแคน บางทีเอากรรมการที่เป่าแคนไม่เป็นบางทีเอา กรรมการที่เป่าแคนด้อยมาตัดสิน ก็ยังไงล่ะคนดูก็บอกว่ากรรมการเป่าแคนไม่เป็นทำไมเอา มาเป็นกรรมการคือมันจะมีการติฉินนินทาได้ประมาณนี้ แต่ไม่ได้หมายถึงใครนะอันนี้แค่เลา่ ให้ฟัง เอ่อ..การที่เอาคนที่ไม่มีความรู้เรื่องแคนมาตัดสินมันมีผลกระทบนะ หนึ่งมีผลกระทบ ด้านผลลัพธ์ลายแคนเขาอาจไม่เคยฟังหรือไม่เคยรู้แล้วเขาอาจจะพูดไปไม่ถูก เช่น ลมเป็น อย่างนี้เขาไม่สามารถมาชี้ชัดได้ว่าลายนี้คุณใช้ลมไม่ถูกลายนี้ลมคุณต้องเป็นแบบนี้ๆแบบว่า เขาอาจจะไม่ได้ชี้แจงไม่ได้ละเอียดเหมือนกับคนที่เป่าแคน และแคนเนี่ยแคนก็เป็นเครื่อง

34 ดนตรีเก่าแก่นะก็กลัวอยู่นะว่าวันหนึ่งมันจะจางหายไปเพราะในยุคปัจจุบันก็เทคโนโลยีน่ี แหละ มนั กม็ ีส่วนนะอ่า..ทรัพยากรนะมันก็หมดไปเรื่อย เช่น ข้ีสดู เรม่ิ หายากแล้ว ข้ีสูดก็คือสี ดำ ๆ ที่เขาติดไว้ในแคนหรือขี้ชนั โรงมันหายากคือ..ปกติมันจะอยู่ตามเนินดินไร่นามนั หายาก กิโลหนึ่งก็แปดร้อย ถ้าไม่มีขี้สูดก็ต้องหาวัสดุมาแทนขี้สูดซึ่งตอนนี้มันยังไม่มี คือ ขี้สูดมัน สำคัญนะเพราะว่ามันเป็นตัวประสานลูกแคนกับเต้าแคนเข้าด้วยกันแล้วก็มันอัดช่องว่าง ระหวา่ งลูกแคนกบั เต้าแคนให้กันเผ่ือให้สามารถเปา่ แลว้ ลมไมอ่ อกข้างนอกได้คือให้ไปโดนกับ ลิ้นแคนข้างในได้ ขี้สูดมันเหนียวเหมือนดินน้ำมัน สีคล้าย ๆ ยางมะตอยเหนียวประมาณนั้น ล่ะและตอนนี้ก็ไม่เคยเห็นใครเอาอย่างอื่นมาติด แม้เอาดินน้ำมันแท้ก็ติดไม่อยู่มันไม่ติดให้ แล้วก็อยากจะฝากถึงคนรุ่นหลังนะว่าชว่ ยกันสบื สานชว่ ยกันพฒั นาอาจจะมีคนรุ่นใหม่อาจจะ มีความคิดต่างจากเก่าไปอาจจะมีความคิดดีก็ได้เราก็ไม่ควรไปว่าเขาวา่ ความคิดเขาไม่ดีไม่ได้ หรอกเพราะว่าเรากย็ ังไม่รู้ว่ามันจริงไหมหรือว่าของเราจริงไหมหรือของเขาจรงิ ไหม ก็ฝากไว้ ว่าอย่าทง้ิ แคนนะแคน่ ี้ละ่ \" (หมอแคนภานพุ งศ,์ สมั ภาษณ์ 17 มกราคม 2566) ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ท่านที่สี่คือ หมอแคนมะพร้าว ที่ได้เล่าถึงแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่อง ดนตรพี ืน้ บ้านแคนให้แก่ผวู้ จิ ยั ฟงั วา่ \"มันเริ่มตั้งแต่..มันมีอุปกรณ์อยู่นะอุปกรณ์ก็จะมีหลักๆนะ มีไม้ลูกแคน มีไม้ทำเต้าแคน มี โลหะ มีขี้สูดหรือขี้ผ้ึงชันโรงมันเป็นขี้ผึ้งทีม่ ีลกั ษณะพิเศษก็คือไม่แข็งเกินไปไม่อ่อนเกินไปมัน ปั้นทำเทียนไม่ได้ถ้าโดนแดดก็จะอ่อนถ้าโดนอากาศเย็น ๆ ก็จะแข็งมันเป็นขี้ผึ้งที่มีลักษณะ พิเศษถ้าขี้ผึ้งทั่วไปจะแข็งถ้าจะให้มันอ่อนต่องผสมอันนั้นอันนี้เข้าไป ส่วนโลหะนี่ก็คือเป็น โลหะที่ผสมได้จากทองแดงกับเงินหรือว่าเขาเรียกเงินหัวหนาม เงินหัวหนามก็คือเป็นเงิน เหรียญสหรัฐสมัยก่อนที่เข้ามาใช้ในไทยนั่นแหละเงินตัวนั้ นมันจะเป็นเงินของจริงและเงิน สตางคร์ สู ตางค์จะเป็นทองแดงก็เอามาผสม ชา่ งกจ็ ะมีสัดสว่ นของเขาพอมาสมยั ใหมน่ ่ีเขาก็ใช้ เมด็ เงนิ เม็ดเงินในการผสมเม็ดเงนิ หนงึ่ ร้อยเปอรเ์ ซน็ ต์ในการผสมเขา้ ไปให้มนั อ่อนลงให้นิ่มลง ให้มันทำง่ายขึ้น ส่วนไม้เต้าแคนไม้เต้าแคนแต่ก่อนจะใช้ไม้ลักป่าหรือจะเรียกไม้น้ำเกลี้ยงจะ ใช้รากมันบางคนเขาก็แพ้ไม้ชนิดนี้เมื่อขณะเป่าแคนก็อาจจะเมาบ้างคันที่ปากบ้างเขาก็เลย เปลี่ยนใช้ไม้ที่หาได้งา่ ย ๆ เช่น รากไม้ดู่ ไม้โมกป่า ไม้สักทองนั่นแหละเอามาทำเป็นเต้าแคน ทีนี้เขาก็จะมีอุปกรณ์ในการทำหลายอย่างแล้วก็ในการทำอนั ดับแรกก็เลือกไม้กอ่ น คือ เลือก ไมไ้ ผพ่ อเลือกไม้ได้แลว้ กเ็ อามาตากไว้ตากใหแ้ ห้งเลยพอแหง้ แล้วก็ต้องมาดัดไม้ให้มันตรงแล้ว ก็เจาะรูเล็ก ๆ ตรงกลางไม้ให้ทะลุไปหากันได้จากนั้นก็วัดความยาวของไม้แต่ละอันเพราะไม้ มันจะมีตั้งแต่ขนาดใหญ่ไล่เรียงไปหาขนาดเล็ก พอวัดขนาดไม้ได้แล้วก็หลอมโลหะก่อนซะ ก่อนก่อนจะมาทำลิ้นแคนพอหลอมเสร็จแล้วก็นำโลหะมาตีให้มันเป็นแผ่นพอตีได้แล้วมาตัด

35 เป็นเส้นเลก็ ๆ จากนั้นกน็ ำมาตีอีกใหม้ นั ออ่ นให้มันได้ที่แล้วก็นำมาสบั เป็นลิ้นแคนล้ิน แต่ว่ามี ขนาดที่แตกต่างกันมันจะมีขนาดใหญ่มีขนาดเล็กเลก็ ท่ีแบบวา่ แหลมเลยนะเขาก็ตัดท้ิงไว้แล้ว ทีนี้ก็เอามาใส่ไม้ลูกแคนแล้วก็มาแต่งไม้ทำรูแพวเพื่อหาเสียงที่ต้องการแบบ..จนกว่าจะได้ เสยี งของมันและจะทำแบบน้ีไปเร่ือย ๆ และจากน้ันก็มาทำเต้าแคนคือช่างจะมีความชำนาญ นะก็..เต้าแคนเขาจะวัดเอาแบบง่ายๆเลยว่าขนาดเท่าไหร่พอทำเต้าแคนเสร็จแล้วก็มาทำไม้ คั่นพอทำไม้คั่นเสร็จแล้วก็มาทำขี้สูด ขี้สูดการทำมีหลายวิธี เช่น บ้านท่าเรือ อำเภอนาหว้า นครพนม เขาก็จะเอาขี้สูดมาต้มก่อนให้มันอ่อนๆและปล่อยทิ้งไว้แล้วค่อยเอามาทำในวิธีข้ัน ตอ่ ไป จากนัน้ กฆ็ ่าขีส้ ดู คือเอาข้ีสูดมาทบุ มาทบุ ใสน่ ำ้ มนั โซล่าน้ำมันดีเซลพวกนนั้ แหละ พอทุบ เสร็จแล้วเอาไม้คั่นมาใส่กลางเต้าทีนี้ก็เอาขี้สูดค่อย ๆ ปิดทีละลูก ๆ ใส่เป็นคู่ ๆ ไปเมื่อแต่ง อะไรเสร็จหมดแล้วก็นำมาเจาะรูและวัด วัดแล้วก็ปาดไปเจาะรูประมาณนี้เพื่อจะเอาเสียง แคนพอได้รู้นับแล้ว ก็มาทำไม้คั่นสองอันข้างล่างข้างล่างหนึ่งข้างบนหนึ่งแล้วก็เอาเครือ ยา่ นางมามัดพอมดั เสร็จก็ทิ้งไวป้ ระมาณสักอาทิตยห์ น่งึ แล้วค่อยเอามาเปา่ แล้วถ้าเป่าแล้วมัน ไม่ดีค่อยดึงออกมาและแต่งเสียงใหม่ แต่งเสียงก็คือขูดลิ้นแคนมีขูดตรงโคลนและปลายพอ แต่งเสียงแล้วปั๊บ ถ้าแต่งลิ้นแคนจนแล้วจนเล่าแล้วไม่ได้ก็มาแต่งที่รูแพวคือจะปาดออกหรือ ว่าปดิ รแู พวใหม้ นั ออกมาอีกอนั นีก้ ็เปน็ วธิ ีแต่งเสยี ง ทีนีแ้ คนแคนดวงหน่งึ ใชเ้ วลาประมาณ3วัน แต่กว่าจะได้ไม้มาใช้เวลาเป็นเดือนแคนเนี่ยทำแบบประณีตเลยนะและวิธีเก็บรักษาเนี่ยก็ให้ พน้ แสงแดดแต่โดนความเย็นไดเ้ พราะขี้สูดที่อยู่แคนอาจละลายได้และแคนทุกอันก็ต้องมีซอง ใสแ่ คนหรือผา้ กไ็ ด้ หนึ่ง กันมอดกันแมลงกันอะไรเข้าไปแตห่ ัวมดตวั เล็ก ๆ น่ีเข้าไปตายในล้ิน นิเปา่ แคนกไ็ ม่ออกเลยและแคเ่ สี้ยนไม้นดิ เดียวเข้าไปอุดตันก็ไม่ได้เลยมันก็เลยให้เราดูแลแคน เป็นอย่างดี ส่วนการซ่อมแคนนี่เราก็ต้องดูว่ามันเป็นอะไรก่อนถ้าสมมุติว่าเป่าลูกนี้แล้วไม่มี เสียงทั้งเคาะทั้งอะไรก็ไม่มีเสียงก็จะดึงออกมา มีมดตายมีเสี้ยนเข้าไปติดข้างในก็จะขยับลิ้น แคนสกั หน่อยมันก็จะออกมาเสร็จแล้วก็เทส ๆ สกั หนอ่ ยลองดกู ่อนว่าเสยี งออกไหม สมมุติว่า ไม่มีอะไรติดอยู่ข้างในแล้วไม่มีเสียงเลย สันนิษฐานได้เลยว่าลื้นแคนไม่ขยับเพราะว่ามันจะ จาดถ้าลิ้นขาดก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนลิ้นใหม่แต่ว่าถ้าเปลี่ยนลิ้นแคนใหม่ก็ต้องเปลี่ยนลูกใหม่ ด้วยเพราะช่างก็ต้องเอามาตกแต่งใหม่นั่นแหละ แต่ถ้าเป่าแล้วเมื่อยลมมันออกก็ต้องมาอัด ขี้สูดและแทงไม้เข้าไปให้มันแน่น และการเป่าแคนเนี่ยยากนะนับได้ว่าเป็นเครื่องดนตรี พื้นบ้านที่ยากที่สุดแล้วมันตอ้ งใช้ทัง้ ปาก ลิ้น ปอด ท้อง กระบังลม กระพุ้งแก้ม นิ้ว มือ ต้อง ไปด้วยกันหมด ตานี่จะมองไม่มองก็แล้วแต่หากชำนาญนี่ไม่ต้องมองก็ได้เพราะมันจำได้ไง และไม้แคนเนี่ยส่วนใหญ่เลยนะจะใช้ไม้ตระกูลเดียวกับไม้ไผ่ คือ ไม้เฮี่ย พวกนี้ตระกูล เดียวกันประมาณนั้น ส่วนโน๊ตเสียงของแคนก็ปัจจุบันจะใช้เหมือนกัน คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โดครบ แต่สมัยก่อนเขาก็มีเรียกอยู่มันยากกน่อย ก็เปรียบเทียบกัน เช่น อย่างเสียงโด

36 เรียกโป้ซ้ายก็มีทั้งซ้ายและขวาอันนี้นะเรียกแบบไทยประมาณนั้น แต่ว่าทางบ้านท่าเรือ นา หวา้ ก็เรียกอีกแบบหนงึ่ อยชู่ ยั ภูมิก็เรยี กอีกแบบหนง่ึ อยรู่ ้อยเอด็ กเ็ รียกอีกแบบหน่ึงยิ่งอยู่ลาว ก็อีกแบบหนึ่งไม่เหมือนกันแต่ว่านี่เป็นกลางสุดแล้ว พอมาสมัยใหม่พอมีทฤษฎีอะไรเข้ามาก็ เป็น โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โดก็เรียก ๆ ตาม ๆ กันแบบนี้ท่องโน๊ตก็เรียกแบบนี้ แต่โน๊ตอัน เดิมเขาไม่ได้เรียกกันแล้วก็มีแต่คนเฒ่าคนแก่รู้จัก อ่า..และโน๊ตเสียงปัจจุบนั เนี่ยมันเริ่มเรียก ตามความนิยมของ..ดนตรีไทยเรียกตามความนิยมของดนตรีไทยเพราะว่ามันมีช่วงหนึ่งห้าม แอ่วลาวเป่าแคนสมัยช่วงรัชกาลที่สี่แม้กระทั่งพระปิ่นเกล้าเป่าแคนท่านเป่าแคนเป็นนะและ มาเล่นบ้านทางที่โคราชทางโนนสูงและได้เมียอยู่ที่นั่นท่านก็พูดลาวได้ทีนี้มันเริ่มขยายแคน อะไรพวกนี้มันเริ่มขยายแพร่ขยายนั่นแหละเพราะมันไมม่ ขี นบนะดนตรีไทยมันมีขนบนะกวา่ จะเล่นอะไรได้ โอ้ย..เขาก็เลยแพร่ขยายไปแลว้ ทีนี้มีช่วงหนึ่งเกิดฤดูแล้งขึ้นฝนไม่ตกต้องตาม ฤดูกาล รัชกาลที่สี่ก็เลยพูดขึ้นวา่ ดูซิจะลองประกาศห้ามดูฝนมันจะตกคืนกลับมาเหมือนเดิม ไหม เอ่อ..เอาสักสามปีพอประกาศเสร็จแล้วมันล่ะไปโดนกับจังหวะฝนตกพอดีไม่รู้เป็นยังไง อากาศก็เป็นใจขนาดเลยฝนก็เลยตกทนี ี้ท่านก็เลยหยดุ ไมใ่ ห้เลน่ มาตัง้ แต่นั้นแต่ก็ไม่รู้วา่ มาถกู กฎหมายอะไรยังไงตอนไหนนั่นแหละ พอมารัชกาลท่ีหกเป็นช่วงที่ดนตรีไทยรุ่งเรืองที่สุดใน บรรดาสิบรชั กาลแล้วก็เริ่มจะมีพวกทฤษฎีของดนตรีไทยเข้ามาและมีโน๊ตสากลมอี ะไรเข้ามา ก็สันนิษฐานว่าน่าจะเข้ามาในรชั กาลที่หกเพราะว่าเริ่มมีการสอนมีโน๊ตมีอะไรหมดที่เป็นของ ดนตรไี ทยเขากเ็ ลยยึดตามตรงนนั้ แหละยึดตามความนิยม อ่า..แตก่ อ่ นนะผเู้ ฒ่าคนแกไ่ ม่มีโน๊ต นะทำยังไงละ่ กจ็ ะเป่าให้ฟังแล้วลูกศษิ ย์ก็จำเอาแต่ถา้ จำไม่ได้ก็จะทำแบบน้ีกจ็ ะยนื อยู่ข้างหลัง ใกล้ๆกันเลยแต่ลูกศิษย์เป็นคนเป่าแต่อาจารย์ผู้สอนจะนบั ลูกแคนให้ดแู ละลูกศิษย์จะค่อย ๆ จำ เรยี นครงั้ เดียวมันไม่เป็นหรอกนะต้องไป ๆ มา ๆ หาอาจารย์บ่อย ๆ ถงึ จะจำได้ เออ่ ..และ แคนนเี่ สียงของแคนก็มีความเช่ือนะคือ มาด้วยแคนก็ไปด้วยแคน ผู้ทีเ่ ปา่ แคนเรียกว่าหมอม้า ก็คือเป็นผู้สื่อสารเป็นผู้ไปรับและเป็นผู้ไปส่งสิ่งที่เหนือธรรมชาติอันนี้ในพิธีกรรมนะ แล้วก็ แคนนี่เป็นเครื่องดนตรีที่อัศจรรย์มาก ๆ เลยนะเป็นเครื่องดนตรีที่สื่อสารได้ไม่ว่าจะเป็นผีไม่ ว่าจะเป็นคนนั่นแหละ ส่วนการถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังนะมันต้องดูก่อนว่าเขามีความตั้งใจจะ เอาจริงจังไหม เราก็ต้องใช้คำพูดที่มันดูฮึกเหิมให้คนสนใจวิชาเราก็ไม่ได้มีน้อย ๆ เราจะเอา ยังไงให้วิชาพวกนี้ที่มีอยู่ถ่ายทอดให้เขาจนหมดไส้หมดพุง ส่วนการสอนของครูบาอาจารย์ เรอื่ งค่าใชจ้ ่ายน่มี ีแค่บางคนนะบางคนกม็ ีขนั ธ์คายในขันธ์คายจะมีหกสลงึ แตถ่ ้าครูอาจารย์ว่า ไม่เป็นไรหรอกถ้ามาหาพ่อครั้งหน้าก็ซื้อของมาฝากก็ได้นะอันนี้ครูอาจารย์ก็ไม้ได้ว่าอะไรเรา ในกรณีถ้าไม่มีค่าใช้จ่ายในการสอนประมาณนั้นแต่ถ้าไปเรียนก็ซื้อข้าวของไปกินกับครู อาจารย์ประมาณนี้ที่แน่ ๆ ก็ต้องมีขันธ์5กับเงินใส่คายนะหกสลึงที่ครูอาจารย์พูดและถ้าได้ เป่านะจะไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยถ้าได้กินเหล้ากว่าจะลงเวทีได้และปัจจุบันคายก็ยังมีใช้อยู่นะ

37 ส่วนผมกม็ ีนะเรยี กว่าอ้อหลวงผมไปเอากบั หมอลำเพราะว่าจะไปเรียนรำแล้วทีนี้กเ็ ลยเอาคาย ตรงนั้นเป็นพราหมณ์สู่ขวัญก็มรี ักษาคนด้วยประมาณนัน้ ส่วนหน่วยงานที่เข้ามาส่งเสริมนะ คอื ทำความเข้าใจว่าเขามีงบประมาณต่อปีคล้าย ๆ ทำโครงการปลูกปา่ นีแ่ หละพอปลูกแล้วก็ เงียบหายไม่มีใครมาดูแลก็เหมือนกันส่งเเสริมให้มีการเรียนการเป่าแคนทำได้อยู่อาทิตย์แรก คือ...ก็อยากบอกว่าอยากให้เขาทำเป็นโครงการระยะยาวให้มันเห็นผลสัมฤทธิ์ไปเลยไม่ใช่ ผลสัมฤทธิ์ะยะสั้น ผลสัมฤทธิ์ระยะยาวก็คือ คุณทำโรงเรียนแล้วใช่ไหมคุณเอาเด็กนักเรียน คณุ ไปประกวดที่เท่าไหร่ก็ได้แตถ่ ้าคุณทำให้เดก็ ของคุณขึ้นไปประกวดได้นั่นแหละผลสัมฤทธ์ิ ของคุณล่ะไม่ใช่ว่าผลสัมฤทธิ์คนมาเข้ามากคนมาเข้าน้อยแต่ผลสัมฤทธิ์คือเด็กสามารถไป ประกวดได้เด็กสามารถเข้าวงโปงลางได้สามารถไปเป่าแคนกับหมอลำได้นั่นคือผลสัมฤทธิ์ แล้วทนี ้ีสง่ เสริมการทำแคนผลติ แคนมีแต่ไปเรียนรู้แต่ไม่ได้ทำจริง ๆ ถา้ ทำจริง ๆ เงินพอไหม ล่ะหนึ่งล้านน่ะมันมีเครื่องมือแต่ละคนนะพอมีเครื่องมือแต่ละคนช่างแคนก็ต้องว่างมาทำให้ คุณแต่ว่าช่างแคนก็มีคิวทำแคนของเขามันก็เลยจำเป็นที่ว่าถ้าจะเอามาจริงๆมันต้องคำนวน หลายอย่าง เช่น ค่าแรงของเขาแต่ละวันที่เขาเคยเรียนเคยสอนมันเท่าไหร่เป็นคลอสล่ะก่ี หมื่นอย่างนี้ แล้วทำนะมันไม่ได้ทำเล่น ๆ แต่ใช้ระยะเป็นปีการทำแคนนิก็เลยคิดว่ามันต้อง สง่ เสริมระยะยาวไม่ใชร่ ะยะสั้นแตก่ ็เข้าใจอยหู่ นว่ ยงานรฐั ฯนะ ส่วนเอกชนไมค่ อ่ ยเห็นนะอ่า.. เอกชนไปร่วมกบั เขาเอกชนนี่จัดกันเองแต่บางครัง้ ก็ไปร่วมกบั เขาอ่า..โครงการนัน้ นี้เพราะวา่ หนว่ ยงานรฐั ฯเขาขอสนับสนุนมางบอาจไม่พอเลยขอมา แต่หนว่ ยงานเอกชนกแ็ ปบ้ เดียวนะก็ ทำกับเขานั่นแหละ บางคนก็เป็นตัวบุคคลก็มีอ่า..สมมุติเขาจะเขียนโครงการขึ้นมาเป็นตัว บุคคลก็ต้องระบุเข้าไปบุคคลนั้นบุคคลนี้มีจำนวนทั้งหมดห้าบุคคลกลุ่มเป้าหมายห้าคน ผลสัมฤทธิ์เท่าไหร่อะไรยังไงอยา่ งนี้ แต่ส่วนมากเขาจะเอาคนเยอะ ๆ เพราะว่าคนเยอะเวลา ไปของบประมาณเขาจะคิดเป็นรายคนก็จะได้เยอะแต่ไม่ได้นึกถึงถึงผลสัมฤทธิ์ที่ออกมา ประมาณนนั้ \" (หมอแคนมะพรา้ ว, สมั ภาษณ์ 22 มกราคม 2566) ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ท่านทีห่ ้าคือ หมอแคนค็อปเตอร์ ที่ได้เล่าถึงแนวทางอนุรักษ์สืบสานเครื่อง ดนตรีพื้นบา้ นแคนใหแ้ กผ่ วู้ จิ ยั ฟงั ว่า \"มันก็ต้องดูตั้งแต่การเลือกไม้เป็นต้นมาเอ่อ..การเลือกไม้นี่ก็..เอ่อ..ตอนนั้นได้ไปฝึกงานกับพ่ี เบลอยู่บ้านคำบง พี่เบลก็เปรียบเสมือนเป็นครูอาจารย์ในการสอนทำแคนน่ะครับ ทีนี้แกก็ บอกว่าไม้ทีด่ ีเลยก็คือไมท้ ่ีนำเข้ามาจากลาว เออ่ ..ส่วนใหญเ่ ป็นไม้กู่แคนหรือภาษาไทยที่เรียก กันก็คือ ไม้ไผ่เฮี่ย ไม้พวกนี้เป็นไม้ตระกูลเดียวกันกับไม้ไผ่ อยู่ไทยก็มีนะแต่เป็นพวกแถวภู ภานมันชอบขึ้นตามอุทยานแต่ส่วนใหญ่เอามาจากลาว ส่วนวิธีการขนส่งไม้จากลาวก็คือขน ข้ามเรือมาเลย อ่า..มัดก็จะมัดรวมใส่กันใหญ่ๆเลยเป็นมัด หนึ่งมัดละสามร้อยบาทจะมีอยู่

38 ประมาณร้อยลำแต่เราก็ต้องมาเลือกออกอีกเลือกออกเรื่อยๆ อีกว่าขนาดนี้ได้ไหมมันมีเล็ก ใหญ่ปะปนกันไป ก็คือในจำนวนหนึ่งร้อยลำมันก็อาจใช้ได้ไม่หมดทุกลำประมาณนี้ครับ และ ไม้ไผ่นี้นะครับที่โตเต็มที่ที่จะเอามาทำแคนก็..ประมาณช่วงเดือนมีนา เมษาก็น่าจะตัดได้แล้ว เพราะว่ามันช่วงเข้าหน้าแล้งอยู่แล้ว ถ้าเป็นช่วงฤดูฝนไม้ไผ่มันก็เพิ่งแตกขึ้นมามันยังโตไม่ เตม็ ท่ี แต่วา่ ก่อนจะเอามาทำเป็นแคนน่ีก็มันมขี น้ั ตอนอยูน่ ะก็คือ..ตอนท่ีไปเอาไม้มาไม้มันเริ่ม แก่แล้วมีตามีอะไรขึ้นมโี คง้ งอตามธรรมชาติเราก็เอาไม้ที่มีขนาดตามที่เราตอ้ งการจะทำแคน มาดดั ใหม้ ันตรงก่อนดดั ให้ตรงเสรจ็ แล้วก็ตดั ตามขนาดแล้วก็เอาเหล็กที่ร้อน ๆ ทใี่ ช้ความร้อน แหย่เข้าไปในปล้องให้ปล้องมันทะลุออกให้มันโล่งหมดเลยครับ ส่วนการซ่อมแคนนี่มันจะมี อยู่สองประเภทนะ คือเสียหายท่ีในตวั ไม้กู่แคนแลว้ ก็ตวั ลิน้ ท่ีเหน็ หลกั ๆ คือ ถ้าแคนที่เขาทำ แลว้ มันตกแตกแล้วทนี ้ีการซอ่ มก็คือเราตอ้ งหากาวหยอดตามท่รี อยแตกมนั แลว้ ก็ใช้เทปใสพัน รอบ ๆ ให้มีความมดิ ชดิ เพ่อื ไม่ใหเ้ กิดเสียงท่ีแตกต่างออกไปอกี มันเป็นการซ่อมเบ้ืองต้นแต่ถ้า สมมุติเกิดว่าไม่ไดเ้ สียหายตรงลำไม้ไผ่ไม้กู่แคนนี่แต่ถ้ามนั เกิดการเสียหายที่ลิ้นแคนเราก็ต้อง เอาไม้ของลำนั้นดึงออกมาก่อนจากตัวแคนน่ะดึงออกมาแล้วก็มาดูว่าลิ้นโลหะมันลงหรอื ปา่ ว หรือว่าลิ้นมันหัก ถ้าลิ้นหักเราก็ต้องได้เปลี่ยนลิ้นใหม่ ถ้าสมมุติว่าลิ้นมันลงเราก็ต้องได้จูน เสียงใหม่ถ้าคนพอมีความรู้พอทำได้พอแก้ไขไปได้ก่อนแต่ถ้าแบบอยากให้แคนออกมา สมบรู ณ์จรงิ ๆก็คือต้องไปหาชา่ งจะเร็วทสี่ ุด แตข่ อ้ ควรระวังกค็ ือถ้าเราซ่อมได้ก็เป็นพวกลำไม้ ไผ่ประมาณนี้ แล้วส่วนค่าใช้จ่ายในการซ่อมแคนน่ีมันแลว้ แต่ความเสียหายถ้าสมมุติไม้กู่แคน เสียหายแตกหักก็จะคิดอยู่ประมาณสองร้อยถึงสามร้อย หรือถ้าไม้แตกหักด้วยแล้วก็มีลิ้นที่ เสียงมันลงหรือเสียงมันไม่ตรงให้ช่างเขาไปจูนมันนี่ก็ประมาณห้าร้อยบาท และอีกก็คือขี้สูด นะข้สี ูดนีเ่ หมือนดินน้ำมันเลยนะ อ่า..มันมคี วามยืดหยุ่นในตัวเพราะว่าคลา้ ย ๆ ข้ีผึ้งมนั สำคัญ มากนะเพราะว่าเราใช้มาปิดรูลมอัดรูลมไม่ให้ลมมันสอดแทรกออกมาจากเต้าแคนก็เพื่อให้ เสียงมันจะอยู่ภายในกู่แคนไม่ให้เสียงมันออกข้าง ๆ แต่ถ้าไม่มีขี้สูดก็คงอาจจะใช้ดินน้ำมัน แทนแต่ว่าไม่แนะนำเพราะว่าแบบนี้มันเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือมันไม่ทนความร้อน กว่าขี้สดู ขี้สูดก็เหมือนกันคือถ้าอยู่ที่อากาศร้อนจัด ๆ มากมันก็ไม่ทนเหมือนกันและที่สำคัญ ขี้สูดทุกวันนี้หายากนะ อ่า..แต่ก่อนนี่ตามต้นไม้ใหญ่ๆมันก็พอเห็นแต่ทุกวันนี้มันเกิดพวกเชิง พาณิชยก์ ต็ ามในป่าหายากแลว้ เหมือนกนั แต่ ๆ วา่ มขี ายอยนู่ ะราคาอยู่ทป่ี ระมาณกิโลละหก ร้อยบาท ก็ประมาณนั้น แต่ภาพรวมแล้วไม้ในการทำแคนที่ไทยมันก็ดแี ต่ว่าความยาวขนาด ทางลาวของเขาจะดีกว่า ส่วนเสียงของโน๊ตแคนจะใช้เหมือนกับโน๊ตสากลคือ โด เร มี ฟา ซอน ลา ที โด แล้วกจ็ ะมีการไลเ่ สียงการหาเสียงก็เป็นจูนเนอร์ จูนเนอรจ์ ะเป็นตัวช่วยสำคัญ เลยในการหาเสียงวา่ แคนทเี่ ราทำเนี่ยเสียงมนั ตรงไหมอีกอย่างหน่ึงใช้หูพยายามฟังๆดีเพื่อให้ เสียงมันเข้ากัน แต่ก่อนโน๊ตแคนพวกไล่เสียงโน๊ตแคนไม่ได้ไล่ตามโน๊ตสากลนะแต่จะเรียกวา่

39 แมโ่ ป้ แม่ก้อยประมาณนน้ั และแคนท่เี ราเหน็ ไม่ได้มีแบบเดียวท่เี ราเหน็ ทั่วไปนะแต่แคนมันมี เจ็ดแบบนะ มีแคนสาม แคนส่ี แคนห้า แคนหก แคนเจ็ด แคนแปด แคนเก้า ที่เรียกว่าแคน สาม ส่ี หา้ อะไรแบบนเ้ี พราะวา่ เรียกตามลูกแคนแต่ละฝ่ัง เชน่ แคนสี่มนั จะมีอยู่สี่ลูกท่ีอยู่ใกล้ กันก็แต่ละแคนเรียงจำนวนลูกไป แต่แคนหนึ่งไม่มีนะเพราะว่าถ้าเอาเป็นลำเดียวเค้าจะใช้ เป็นปีมากกว่าซึ่งส่วนใหญ่แล้วเค้าจะใช้แคนหกแคนแปดที่จะใชท้ ั่วไป บางครั้งมันก็แยกดว้ ย นะการใช้แคนในการแสดงกับพิธีกรรม การแสดงก็..จะเปน็ แคนหกเป่าโปงลางธรรมดาแต่ถา้ พิธีกรรมก็จะเป็นพวกแคนแปดบ้างที่มีโทนเสียงต่ำใหญ่ ๆ และแคนที่เราเห็น ๆ กันไม่ได้มี เพียงเฉพาะภาคอีสานนะเอ่อ..มันจะเป็นอิทธิพลการรั่วไหลของอีสานบ้านเราก็คือทางลาว.. อยู่ที่สุพรรณบุรี อำเภออู่ทอง ที่นั่นก็มีหมู่บ้านลาวเวียงอ่า..บ้านอะไรน่ี แหละเค้าก็มี การละเล่นพื้นบ้านทางโน้นก็คือทางสุพรรณบุรีเค้าก็อนุรักษ์ไว้อยู่ให้แบบเอ่อ..ว่าทางโน้นมี ลาวอพยพมานะให้อยู่ทางนู้นประมาณนั้น ทีนี้มาที่วิธีการทำนี่เริ่มที่ลิ้นโลหะคือไปหาซื้อ เหรียญสตางค์แดงหรือเหรียญที่มีส่วนผสมของเนื้อเงินเนื้อโลหะหรือเนื้อทองแ ดงก็แล้วแต่ ลิ้นน่ะว่าเราจะผสมอะไรใสก่ ันเนื้อเงินบ้างเนื้อทองแดงบ้างอย่างนี้ครับ อ่า..อันนัน้ ก็เป็นส่วน ตามผสมแล้วก็มาหลอมทำข้ันตอนกค็ ือจะยากนิดนึงจะละเอียดนดิ นงึ ส่วนวิธีการถา่ ยทอดน่ี ถา้ แตก่ ่อนเค้าเครง่ นะเรื่องพวกส่ิงท่ีมองไม่เห็นถา้ คนที่อยากไดจ้ ริง ๆ กค็ อื ต้องไปอยู่กับครูคน นัน้ เลยก็มีคาย คายก็เปน็ ของถวาย ขันธ์ห้าด้วยกข็ อยกตวั เป็นศิษย์ก็อยู่กนิ กนั ดว้ ยมันเป็นการ ครูพักลักจำเป็นการฟังเรื่อยๆแล้วก็จำแล้วก็มาพัฒนาตัวเอง ซึ่งในการถ่ายทอดส่วนใหญ่จะ เป็นการฟังและจำอย่างเดียวคือในสมัยก่อนเราถามหมอแคนถามหมอแคนในสมัยก่อ นกับ สมัยน้ีแบบตัวเราไปถามประมาณวา่ พ่ออันน้ีมันโนต๊ อะไรแกก็จะบอกวา่ พ่อไมร่ ้พู ่อจำแต่เสียง เอาว่าเสียงน้ี ๆ นะ แต่พอมาสมัยใหม่การถ่ายทอดก็อาจมีค่าใช้จ่ายยกขันธ์ห้าพวกคายก็มี บ้างเรื่องค่าใช้จ่ายมันก็แล้วแต่ว่าจะตกลงกับครูเค้ายังไง และสมัยใหม่นี้เด็กเค้าอ่านโน๊ ตได้ เขยี นโน๊ตได้ฟังโน๊ตได้มันกจ็ ะเป็นตัวชว่ ยหนึ่งในการเรียนรู้ในการพัฒนาตัวเองให้มันไวข้ึนแต่ ว่าการถ่ายทอดต่อผู้ที่รับมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเองว่ามีใจรักขนาดนั้นไหมจะใส่ใจกับชิ้นงานที่เรา สนใจไหมประมาณน้ี แคนในการเป่าแคนมันยากนะเพราะมนั ตอ้ งจำโนต๊ ให้ได้ทั้งปาก ลนิ้ มือ มันต้องสัมพันธ์กันแต่ถ้าสมมุติเป่าเป็นแล้วคนอื่นจะบอกเลยว่าถ้าเป่าแคนเป็นแล้วเครื่อง ดนตรีชิ้นอื่นจะง่ายไปเลยก็มันเป็นเครื่องดนตรที ี่ยากพอสมควร เพราะใช้ทั้งลมความอึดของ ปอดของลมของเราให้เปา่ ยงั ไงให้มีเวลานานอยู่ได้นานๆไม่เหนื่อย แตม่ เี ทคนคิ อย่กู ค็ อื ใช้เวลา อยู่กับแคนเยอะ ๆ เป่าเรื่อยๆแล้วก็เวลาเป่าให้ลมมันออกจากข้างในไม่ใช่ให้แต่ปอดช่วย อย่างเดียว และการที่จะเป่าแคนให้เป็นเนี่ยมันแล้วแต่คนอย่างของผมเนี่ยเริ่มเป่าตั้งแต่ ป.ส่ี จนถึงตอนน้ียี่สิบสามปีแล้วครับแต่ว่าลมยังไม่อึดพอ อ่า..มีอีกนะการถ่ายทอดมันก็จะแบ่งได้ อยู่สองอย่างก็คือคนที่สนใจคนที่สนใจที่จะเล่นเอ้ออยากเป่าแคนเป็นเอ่อ..อยากรู้ว่ามันเป่า

40 ยงั ไงอันนีก้ เ็ ป็นการอนรุ ักษแ์ ล้วเป็นการท่สี นใจแล้ว อย่างทส่ี องก็คอื คุณอยากสืบทอดต่อไม่ว่า จะเป็นคุณเป่าเป็นอยู่แล้ว แล้วก็ลูกหลานหรือผู้คนที่สนใจแบบเอ่อ..ฝึกให้หน่อยอยากเป่า เป็นบ้าง แล้วก็คนที่ทำแคนเป็นแล้วก็มีคนที่อยากต่อยอดอยากสืบทอดมีความสนใจก็.. แนะนำ ถ้ามนั มีคนทส่ี นใจมาเร่ือย ๆ เด็กสมยั ใหมท่ ส่ี นใจมาเรื่อย ๆ อย่างน้อยมนั ก็ไม่หายไป ไหนหรอกครับ ส่วนการสนับสนุนอ่า..ช่วยเหลือจากรัฐฯและเอกชนก็..ถ้าให้มองเป็นทาง วิสาหกิจนะครับก็น่าจะมีหน่วยงานอย่างนครพนมเขาทำเป็นสินค้าโอท็อปตามชุมชนก็มัน อาจจะมีเหมือนกัน ถ้าเป็นหน่วยงานรัฐฯที่สนับสนุนก็มี องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การ บริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สำนักวัฒนธรรม พวกนี้ก็เป็นการจัดสถานที่งานอำนวยความ สะดวก ส่วนในการเข้ามาสนับสนุนทางรัฐฯโดยมีบทบาทแบบว่าเราต้องมีผลงานเราจะทำ อะไรสักอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของขอนแก่นต้องทำหนังสือไปยื่นกับหน่วยงานศาลากลาง นายอำเภอเผื่อเค้าจะมีงบเข้ามาเพิ่มเพราะว่าไม่มีหน่วยงานไหนติดต่อมาโดยตรงคือเราต้อง ทำหนังสอื ไปให้เขาบทบาทเขากค็ ือการสนบั สนุนงบประมาณ ถ้าเป็นของเอกชนนจี่ ะเป็นพวก ค่ายเพลงบ้าง ทางวัดก็มีนะจะเป็นสถานที่ข้าวของเครื่องใช้ก็อื่น ๆ ด้วย อย่างวัดม่วงศรีก็ สนบั สนุนนะในการทำงานคณะศิลปกรรมทุก ๆ ปจี ะเปน็ โปรเจกต์แตล่ ะปกี ็เป็นการสนับสนุน พวกขา้ วของเคร่ืองใช้หลายๆอย่างทง้ั สถานที่ดว้ ย แล้วก็มวี ัดในละแวกมหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็จะสนับสนุนตลอดสนับสนุนเฉพาะเรื่องอุปกรณ์สถานที่เวลาจัดงาน และก็บทบาทของ เอกชนน่สี ่วนใหญจ่ ะวิ่งกันเองหาผสู้ นบั สนนุ กันเองช่วยเหลือกันเองน่ะ ย้อนนิดหน่งึ นะของรัฐ ฯในการแสดงอย่างเนี่ยรัฐฯจะติดต่อมาพวกเทศบาลเนี่ย อย่างเช่น งานไหม ก็วงโปงลางสิน ไซก็ได้ไปเล่นการแสดงอยู่ทุกปีเค้าติดต่อมาทุกปีก็มีอยูเรื่อย ๆ\" (หมอแคนค็อปเตอร์, สัมภาษณ์ 22 มกราคม 2566) ผู้ใหข้ อ้ มูลในการสัมภาษณ์ทา่ นแรกคือ ชา่ งแคนเบลล่า ที่ได้เลา่ ถึงแนวทางอนุรกั ษส์ ืบสานเครอื่ งดนตรี พ้ืนบ้านแคนให้แก่ผู้วจิ ยั ฟังว่า \"การเลือกไม้ในการทำแคนสังเกตดูนะมันจะมีต้นเล็กต้นใหญ่ที่เขาตัดมา เราก็เลือกไม้ที่มัน พอดีไม่น้อยเกินไปไม่ใหญ่เกินไปและเลอื กไม้แก่ ๆ หน่อย ๆ ออกสีแดง ๆ สักหน่อยและก็ไม่ บางด้วยนะคือถ้าบีบแล้วแตกก็ไม่เอามันก็เลยได้คัดเลือกยาก ไม้ที่ใช้นี่เขาเรียกหลายชื่ออยู่ อันนึงกว็ า่ ไมเ้ ฮ่ียน้อยแลว้ ก็ทางลาวเรียกวา่ ไม้กะแสนมันเรียกหลายอย่างแต่ว่ามันเป็นตระกูล ไมไ้ ผ่ ไมไ้ ผ่น้อยเป็นก่อไผ่เลย ทนี มี้ าวิธกี ารทำแคน ก็เร่มิ ต้งั แต่การคัดเลือกไม้ให้ได้ขนาดตาม คีย์ก็จะมีคีย์เล็กคียใ์ หญ่ อ่า..ถ้าแคนยาวเสียงก็จะใหญ่ ถ้าแคนสั้นเสียงก็เล็กประมาณนี้ จาก เลือกไมไ้ ด้ตามคีย์แลว้ ก็มาตีล้ินแคนคือใช้เงินจรงิ ๆนะมาผสมกันตอ้ งเป็นเงินสมัยก่อนนะแต่ก็ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาผสมมายังไงมนั แข็งพอเอามาทำแล้วมนั สปริงตัวดี เอาเหรียญเงินเนี่ยมา

41 ต้มใส่กันให้มันละลายจากนั้นก็ทิ้งไว้สักพักก็ทำให้มันเป็นก้อนแล้วก็ตีให้มันเป็นแผ่นแบน ๆ บาง ๆ แตว่ า่ เอาสตางค์ทองแดงผสมก็ได้แต่ถ้าให้ดมี ันก็ต้องผสมกันท้ังเงินทั้งสตางค์แดงหาก ผสมแค่อย่างเดียวมันจะอ่อนไปถ้าหากเอาเงินตามร้านทองเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ได้ไหมก็ได้ แต่มันจะให้เสียงไม่ดีเหมือนพวกนี้ แต่ก็อยากรู้นะว่าเงินสมัยก่อนเขาผสมอะไรบ้างเพราะ ต่อไปเผื่อมันหายาก เงินสมัยก่อนมันหายากแต่ทุกวันนี้ของปลอมมันเยอะคือเงินสมัยก่อน ของอะไรก็ได้ว่าแต่ขอให้เป็นเนื้อเงินจริงๆแต่ถ้าไม่มีเนื้อเงินก็เอาอย่างอื่นไม่ได้เลยต้องเนื้ อ เงินเท่านน้ั เพราะลองหลายอย่างเชน่ พวกแรส่ ังกะสีเสยี งมันก็ดังไมด่ ีแคนก็ไม่ดัง ทีนี้เมื่อได้ลิ้น แคนแบบเป็นแผ่นบาง ๆ แล้วก็เอามาสับเป็นอันเล็กๆพอได้ลิ้นแคนแล้วก็ไปเจาะรูไม้โดยใช้ เหล็กในการเจาะรูแล้วดัดไม้ให้มันดีๆตรงดีๆแต่ทีจ่ ริงไม้น่ะเอาไปตากก่อนและเอามาขัดแลว้ ค่อยได้ดัดแต่ที่เห็นไม้เป็นทรงดีๆก็มีการเอาไมไ้ ปลนไฟดว้ ยนะ พอเสร็จแล้วก็มาเลอื กไม้จาก ใหญ่ไปหาเล็กมันค่อยสวยเลอื กเสร็จแล้วก็มาทำที่ใสล่ ิ้นแคนก็ตัดลิ้นแคนมันอันเลก็ ก็ใส่แค่นี้ แล้วก็ทำเต้าแคนใช้มีดในการทำอย่างเดียวพอทำเต้าแคนแล้วก็มาประกอบกัน ใช้ขี้สูดมา ติดๆให้มันแน่นขีส้ ูดนี้หายากนะเป็นขี้ของแมลงชนิดหนึ่งอยู่ตามไร่นา ทีนี้ประกอบเรียบร้อย แล้วก็มัดด้วยเครือย่านางและเจาะรูนับก็เสร็จสมบูรณ์ และแคนเนี่ยมันมีทั้งแคนสาม แคน เจ็ด แคนแปด แคนเก้า แคนที่ใช้หลักๆคือแคนแปดคือมาตรฐานที่สุดเป่าใส่เพลงก็ได้เป่าใส่ อะไรก็ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทีนี้การซ่อมแคนหากแคนมันมีปัญหาอาจจะเป็นลักษณะเอ้าสมมติ เป่าไปไมด่ งั ที่มันไม่ดังเพราะมนั จะมีอะไรสักอย่างติดๆขดั ๆอยู่ตรงล้ินแคนเสียงก็เพ้ียนได้ด้วย ทีน้ีสองลูกแตกลำไม้แตกต้องเอามาเปลี่ยนลูกถ้ามันแตกนิดเดียวก็เอากาวติดได้แต่ถ้าแตก มากก็ต้องเปล่ียนและถ้าลน้ิ มนั พังมากกต็ ้องเปลีย่ นด้วยเชน่ กนั มแี ค่นีต้ รงซ่อมแคนซ่อมไม่ยาก หรอกและแคน1ตัวมันใช้ได้นานเป็นปีหลายปเี ลยอยา่ งแคนของครบู าอาจารย์สามสิบถึงส่ีสิบ ปียังเป่าได้ดีเลยนะ แต่ถ้าเป็นของตลาดทั่วไปปีเดียวก็อาจไปแล้วส่วนราคานี่ถ้าของครูบา อาจารยเ์ ชน่ ของชา่ งสุดหรือพ่อสุดกัญหารัตน์ช่างแคนมือหน่ึงของเมืองไทยราคาเริ่มต้นที่เจ็ด พันหา้ รอ้ ยไปจนถึงห้าหมื่นผมก็ไปเรียนกบั พ่อสุดดว้ ยไปหาทีบ่ ้านเลยแต่ทจ่ี ริงผมเรียนสามครู นะ คนแรกจากอดุ รลูกศิษย์ของพ่อสุดน่ีแหละแลว้ ก็ไปเรียนกบั ช่างบวั ที่ร้อยเอ็ดแล้วก็ค่อยไป หาพ่อสุดแต่ขั้นตอนการถ่ายทอดเรื่องแคนน่ีมันมีวิธีของมันอยู่ไม่ยากแต่มันจะทำยงั ไงให้เขา อยากมาเรียนมันก็ถือว่ายากอยู่ อันนี้ผมคิดเองนะคือมันเป็นอาชีพที่ว่ามันไม่เหมือนครู เหมือนอาชีพอื่นคือคนไม่ค่อยรู้จักอะไรยังไงมันมั่นคงหรอื เปลา่ และคนก็ไมค่ ่อยเหน็ รู้เห็นแค่ แคนแต่ไมร่ วู้ ่าช่างแคนอยู่ไหนแต่เราก็ทำออกไปทางเฟซบุ้คทำเพจบ้างยทู ูปบ้างคนเขาก็บอก เล่าต่อ ๆ กันแล้วก็บางครั้งมีรายการทีวีมาถ่ายแต่ก็ถือว่าเขาเป็นผู้ช่วยนะที่มาถ่ายทำให้คน เห็นวา่ เอ่อ..ว่ายังมชี า่ งแคนนะอย่างนนั้ อย่างน้เี ผยแพร่ไป แตว่ ่าหน่วยงานที่เขาเข้ามาช่วยมัน ไม่ค่อยมีในเรื่องการผลิตนะแต่ถ้าเป็นหมวดอาจารย์มีนะแต่แบบเขาเชิดชู เช่น ครูมรดก