Psychology for teachers จิตวิทยา สำหรับครู นำ เ ส น อ สู่ นำ เ ส น อ โ ด ย อาจารย์เขมินต์ธารากรณ์ บัวเพ็ชร นางสาวอารดา จันทร์เพ็ญ รหัสนักศึกษา 6506810057
คำนำ หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับหนังสืออิเล็กทรอนิกนิกส์ (E-BOOK) เรื่องจิตวิทยาสำหรับครู โดยเป็นส่วน หนึ่งในรายวิชา จิตวิทยาสำหรับครู เพื่อนำไปใช้ในการเรียนรู้เพื่อจะได้ทราบวิธีการเรียนรู้การศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับจิตวิทยาสำหรับครูเพื่อศึกษาพึงพอในของการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-BOOK) เรื่อง จิตวิทยา สำหรับครู เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการรจัดการเรียนการสอน นางสาวอารดา จันทร์เพ็ญ ผู้จัดทำ
สารบัญ หน้า เรื่อง 1-4 บทที่ 1 5-12 ความรู้เบื่อต้นเกี่ยวกับจิตวิทยาสำหรับครู 13-19 บทที่ 2 ปัจจัยที่มีต่อพฤติกรรมมนุษย์ 20-24 บทที่ 3 25-30 พัฒนาการของมนุษย์ 31-33 บทที่ 4 การจำและการลืม 34-39 บทที่ 5 40-44 การคิดเชาว์ปัญญา บทที่ 6 45-54 ทฤษฎีการรับรู้และการเรียนรู้ บทที่ 7 การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู็ บทที่ 8 การแนะแนวและการให้คำปรึกษา บทที่ 9 การศึกษา
บทที่ 10 55-54 ปรัชญาแนวคิดทฤษฎีตามจิตวิทยา บทที่ 11 สติปัญญา 55-60 บทที่ 12 การจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กปกติและเด็กพิเศษ 66-73
บทที่ 1 ความรู้เบื่อต้นเกี่ยวกับ จิตวิทยาสำหรับครู 1
ความรู้เบื่องต้นสำหรับครู จิตวิทยาสำหรับครูเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเพื่อให้ผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจความ แตกต่างและความต้องการของผู้เรียนในอันที่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ของผู้เรียนไปสู่แนวทางอันพึงประสงค์ได้โดยผู้สอนควรมีความรู้ ความเข้าเข้า ดังนี้ ความพร้อมของผู้เรียน 1.ความพร้อมทางด้านร่างกาย ซึ่งหมายถึง ความพร้อมอันเกิดจากความเป็น ปกติทางร่างกาย เช่น ไม่อดนอน ไม่หิวโหย ไม่เจ็บป่วย ไม่ร้อนหรือหนาวจน เกินไป เป็นต้น 2.ความพร้อมทางด้านจิตใจและด้านอารมณ์ เรื่องนี้ครู อาจารณ์มีความ เกี่ยวข้องมากขึ้นแต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นความรับผิดชอบของนิสิตนักศึกษาอยู่ เหมือนเดิม ส่วนทีร่เกิดมากจากนิสิตนักศึกษาเอง 3.ความพร้อมทางด้านสติปัญญา หมายถึง การมีพื้นฐานทางวิชาการเพียงพอที่ จะเรียนรู้หรือรับรู้สิ่งใหม่ๆทางวิชาการ 2
หลักการสำคัญของการเรียนรู้ 1.ผู้เรียนควรจะมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ อย่างจริงจิง (Active Participation) 2.ผู้เรียนควรจะได้เรียนรู้ทีละขั้นละตอนจากง่ายไปยากและจาก ไม่ซับซ้อนไปสู่รูปแบบซับซ้อน (Gradual approximation) 3.ให้นักเรียนได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เหมาะสมและไม่เนิ่นนานจน เกินไป (Immediate feedback) 4.การเสริมแรงหรือให้กำลังใจที่เหมาะสม (Appropriate Reinforcement) 3
ทฤษฎีพัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระโครงสร้างของร่างกายและอวัยวะต่างๆซึ่งเป็นการ เปลี่ยนแปลงในเชิงประมาณ เช่น เด็กที่มีการเจริญเติบโตจะมีน้ำหนัก ส่วนูงเพิ่ม ขึ้น เป็นต้น ทฤษฎีการเรียนรู้ การเรียนรู้คือกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถ เรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและ ผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วย การเรียนในห้องเรียน การซักถาม ผู้ใหญ่มัก เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำ เสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้าง บรรยากาศ ทางจิตวิทยาที่เอื่ออำนวยต่อการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้าง เงื่อนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้ผู้เรียนกังนั้ ผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบ การสอน รวามทั้งการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนรู้ 4
บทที่ 2 ปัจจัยที่มีต่อพฤติกรรม มนุษย์ 5
ปัจจัยที่มีต่อพฤติกรรม ปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่อมนุษย์ ได้แก่ ปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งมีปัจจัย ย่อยอยู๋หลายปัจจัย ปัจจัยทางจิตวิทยา จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการรับรู้และตี ความสิางเร้าก่อนที่ร่างกายจะแสดงพฤติกรรมต่างๆปัจจัยทางจิตวิทยยาสำคัญ ประกอบด้วย แรงจูงใจ และการเรียนรู้ 1.แรงจูงใจ ความหมาย ประเภทและปัจจัย แรงผลักดันจากภายในที่ทำให้มนุษย์เกิด พฤติกรรมตอบสนองอย่างมีทิศทางและเป้าหมายเรียกว่า แรงจูงใจคนที่มี แรงจูงใจที่จะทำพฤติกรรมหนึ่งสูงกว่าจะใช้ความพยายามนำการกระทำไปสู่ เป้าหมายสูงกว่าคนที่มีแรงจูงใจต่ำกว่าแรงจูงใจของมนุนษ์จำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ประเภทแรง ได้แก่แรงจูงใจทางกายที่ทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมสนอง ความต้องการที่จำเป็นทางกาย เช่น หาน้ำและอาหารมาดื่มกินเมื่อกระหาย และหิว ประเภทสอง ได้แก่ แรงจูงใจทางจิตซึ่งเกี่ยวข้องกับความต้องการทางสังคม เช่น ความต้องการความสำเร็จ เงิน คำชม อำนาจกลุ่มและพวกเป็นต้น 6
2.ทฤษฎีแรงจูงใจ นักจิตวิทยาได้พัฒนาทฤษฎีเพื่ออธิบายถึงแรงจูงใจของมนุยษ์เพื่อตอบคำถามเกี่ยว กับพฤติกรรมที่ปรากฎแต่ละทฤษฎีมีจุดที่เป็นแนวความคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของ มนุษย์ที่แตกต่างกันไปที่สำคัญ ได้แก่ ทฤษฎีสัญชาตญาณ ทฤษฎีแรงขับ ทฤษฎี การตื่นตัว และทฤษฎีสิ่งล่อใจ ทฤษฎีสัญชาตญาณ (Instinct Theory) สัญชาตญาณ เป็น พฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกโดยอัตโนมัติตามธรรมชาติของ ชีวิต เป็นความพร้อมที่จะทำพฤติกรรมได้ในทันที เมื่อรกฎ สิ่งเร้า เฉพาะต่อ พฤติกรรมนั้น สัญชาติญาณ จึงมีความสำคัญต่อความอยู่รอดของชีวิตในสัตว์ บางชนิง เช่น ปลากัดตัวผู้จะแสดงความก้าวร้าว พร้อมต่อสู้ทันทีที่เห็นตัวผู้ตัว อื่น เช่น ควาใกล้ชิด ระหว่าง ชายหญิงทำให้เกิดความต้องการทางเพศได้ พฤติกรรมนี้ไม่ต้องเรียนรู้ เป็นรู้ปแบบพฤติกรรมที่ตายตัวแน่นอนซึ่งกำหนดมา ตามธรรมชาติจากปัจจัยชีวภาพในปัจจุบันการศึกษาสัญชาตญาณเป็นความ ต้องการศึกษา ละกษณะการตอบสนองขั้นพื่นฐานเพื่อเข้าใจพฤติกรรมเบื่องต้น เท่านั้น 7
ทฤษฎีแรงขับ (Drive Reduction Theory) แรงขับ (Drive) เเป็นกลไกภายในที่รักษาระบบสทางสรีระ ให้คงสภาพ สมดุลในแรื่องต่างๆไว้เพื่อทำให้ร่างกายเป็นปกติหรืออยู่ในสภาพ โฮมิโอ สแตซิก (Homeostasis) โดยการปรับระบบให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้น ทฤษฎีแรงขับอธิบายว่า เมื่อเสียสมดุลในระบบ โฮมิโอแตชิส จะ ทำให้เกิดความต้องการ (Need) ขึ้นเป็นความต้องการทางชีวภาพเพื่อรักษา ความคงอยู่ของชีวิต และความต้องการนี้จะทำให้เกิด แรงขับอีกต่อหนึ่งแรง ขับเป็น สภาวะตื่นตัว ที่พร้อมจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้กลับคืนสู้สภาพ สมดุลเพื่อลดแรงขับนั้น (Drive Reduction) ตัวอย่างเช่น การขาดน้ำคือ ความกระหาย จูงใจให้เราดื่มน้ำหรือหาน้ำมาดื่ม หลังจากดื่มแล้ว ความ ต้องการ แรงขับลดลง กล่าวได้ว่า แรงขับผลักดันให้เรามีพฤติกรรมตอบ สนอง ความต้องการ เพื่อทำให้แรงขัลดลงสำหรับร่างกาย จะต้องกลับสู่ สภาพสมดุลอีกครั้งหนึ่ง แรงขับ แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือแรงขับปฐมภมิ (Primary Drive) และแรงขับทุติยภูมิ (Secondary Drive) 8
ทฤษฎีการตื่นตัว (Arousal Theory) มนุษย์ถูกจูงใจให้กระทำพฤตกรรมบางอย่าง เพื่อรักษาระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะ (Optimal level of arousal) เมื่อมีระดับการตื่นตัวต่ำลงก็จะถูกกระตุ้งให้เพิ่มขึ้น และเมื่อการตื่นตัวมีระดับเกินไปก็จะถูกถึงให้ลดลง เช่น เมื่อรู้สึกเบื่อ ก็จะแสวงหา การกระทำที่ตื่นตัว เมื่อตื่นตัวเร้าใจมานานระยะหนึ่งจะต้องการพักผ่อน เป็นต้น คน แต่ละคนจะมีระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะแตกต่างกัน การตื่นตัว คือ ระดับการทำงานที่เกิดขึ้นในหลายๆระบบของร่งกายสามารถ วัดระดับการทำงานนี้ได้จากคลื่นสมอง การเต้นของหัวใจการเกร็งของกล้าม เนื้อ หรือจากสภาวะของอวัยวะต่างๆขณะที่หลับสนิทรัดัเับการตื่นตัวจะต่ำ ที่สุด และสูงสุดเมื่อตกใจหรือตื่นเต้นสุดขีด การเต้นตัวเพิ่มขึ้นได้จากความหิว กระหายน้ำหรือแรงขับทางชีวภาพอื่นๆ หรือจากสิ่งเร้าที่เข้มข้น รุนแรง เหตุการณ์ไม่คาดหวังไว้ก่อน หรือจากสารรกระตุ้นในกาแฟ และยาบางชนิด การทำงานจะมีประสิทธภาพสูง เมื่อมีระดับการตื่นตัวปานกลาง ระดับการตื่น ตัวสูงเกินไปจะรบกวนรความใส่ใจ การรับรู้ การคิด สมาธิ กล้ามเนื่อทำงาน ประส่นกันได้ยาก เมื่อระดับการตื่นตัวต่ำ คนเราทำงานที่ยากและมีราย ละเอียดได้ดี แต่ถ้าเป็นงานที่ง่ายจะทำได้ดีเมื่อระดับการตื่นตัวสูง คนที่มี ระดับการตื่นตัวสูงเป็นนิสัย มักสูบบุรี่ ดื่มสุรา กินอาหารรสจัด ฟังดนตรีเสียง ดัง มีความถี่เรื่องเพศสัมพันธ์ชอบการเสี่ยง ความแตกต่างในระดับพอเหมาะ ของการตื่นตัว เกิดจากพื่นฐานทางชีวภาพเป็นเรื่องหลักและทำให้มี บุคลิกภาพแตกต่างกันไปด้วย 9
ทฤษฎีสิ่งจูงใจ (Incentive Theory) ปัจจัยภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมที่จูงใจจะดึงดูดให้คนมุ่งไปหาสิ่งนั้น มนุษย์ กระทำกิจกรรมต่างๆเพื่อแสวงหาสิ่งที่พอใจ (Positive Incentives) เช่น รางวัล คำยกย่อง สิทธิพิเศษ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พอใจ (Negative Incentives) เช่น ถูกลงโทษ ถูกตำหนิ ทำให้เจ็บกาย การที่คนมีพฤ๖ิกรรมแตก ต่างกันหรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับความแตกต่างในคุณค่า (Values) ของสิ่งจูงใจ ถ้าคิดว่าการกระทำอย่างใด อย่างหนึ่งจะได้รับผลคุ้มค่า ก้จะมีแรงจูงใจให้บุคคลกระทำอย่างนั้น 3.การเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการปรับพฤติกรรมของ มนุษย์ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์หรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมพฤติกรรมการ เรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อพฤติกรรมมีความสัมพันธ์ระหว่งสิ่งเร้ากับการตอบสนองต่อสิ่งเร้า หลักการเรียนรู้ที่สำคัญได้แก่การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก 10
การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของ พาฟลอฟ (Pavlov) แนวคิดนี้เชื่อว่ามนุษย์ถูกวางเงื่อนไขเพื่อแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้า ได้ตามรูปอยู่ตลอดเวลาเงื่อนไขจะถูกวางในขณะที่มีสิ่งเร้าอื่นที่มีอิทธิพลต่อ การกระตุ้นเร้าอินทรีย์อยู่ทำให้มีพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้าทั้งสองอย่าง พร้อมๆกับเมื่อเกิดการเรียนรู้ก็จะทำให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ถูกวางเงื่อนไขไว้ ได้นอกจากนี้การตอบสนองต่อสิ่งเร้ายังสามารถแผ่ขยายไปยังสิ่งเร้าอื่นๆที่มี ลักษณะคล้ายคลึกกันได้อีกด้วยการนี้ทำให้เข้าใจเรื่องความรู้สึกหรือการอา มรณ์ของมบุคคล 11
4.การเรียนรู้ทางสังคม การเรียนรู้ทางสังคมเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่กล่าวว่าพฤติกรรมของคนเราส่วนใหญ่ เกิดจากการสังเกตตัวแบบแล้วลอกเลียนพฤติกรรมของตัวแบบเฉพาะที่ตัวแบบได้ รับการเสริมแรงเป็นรางวัลโดยที่ไม่จำเป็นที่จะแบบทันทีแต่อาจจะเก็บจำไว้ไปคิด หรือทดสอบดูก่อนก้ได้การที่ได้สังเกตตัวแบบเป็นเวลานาน เช่น ลูกจะมีพ่อแม่เป็น ตัวแบบการเรียนรู้และจะทำตามอย่างพ่อแม่ีโดยไม่รู้ตัวเพราะการเรียนรู้แบบนี้จะ แฝงอยู่ในความคิดก่อนที่จะแสดงออกมาให้เด่นชันพฤติกรรมของบุคคลหลายอย่าง เกิดจากการกระทำตามตัวแบบที่เขานิยมชมชอบ เช่น เพื่อน ดาราภาพยนตร์ นัก ร้อง นักกีฬา บุคคลที่มีชื่อเสียง พฤติกรรมการเรียนรู้ทางสังคมเกิดจาก กระบวนการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานและส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายนอกการเรียนรู้ทาง สังคมจึงสามารถถูกปรับเปลี่ยนไปได้ตามลักษณะของการเสริมแรงการสังเกตตัว แบบพัฒนาการที่สูงขึ้นระดับความคาดหวังค่านิยมและรูปแบบการคิด 12
บทที่ 3 พัฒนาการของมนุษย์ 13
พัฒนาการของมนุษย์ พัฒนาการของมนุษย์ (Human Development) หมายถึง การ เปลี่ยนแปลงไปไหนทางที่ดี ในทางที่ปรารถนาทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย อารมณ์ ทางสังคม และทางสติ ปัญญาซึ่งจะเกิดติดต่อไปเรื่อยๆจากระยะหนึ่งไปสู่อีกระยะหนึ่ง 14
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาของบุคคล 1. การเจริญเติบโต หมายถึง การเปลี่ยน โครงสร้างร่างกายที่มีความเกี่ยวข้องกับ ขนาด น้ำ หนัก ส่วนสูง กระดูก กล้ามเนื้อ รูปร่าง ซึ่ง เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงปริมาณ เช่น ส่วนสูงที่ เพิ่มขึ้น เป็นต้น 2.วุฒิภาวะ หมายถึง การเจริญเติบโตของ โครงสร้างทางร่างกายอย่างเป็นลำดับขั้นตาม ธรรมชาติจงถึงจุด สูงสุด ใมีผลให้เกิดความพร้อมที่ จะประกอบกิจกรรมได้เหมาะสมกับวัย เป็นภาวะที่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ใช้การเรียนรู้หรือ ประสบการณ์ 3.การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมค่อนข่างถาวร อันเนื่ิองมาจากการ ฝึกฝน ฝึกหัด หรือประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ และ การฝึกฝนที่ผ่านมามาจะทำให้ เชี่ยวชาญหรือชำนาญของพฤติกรรมนั้น 15
พัฒนาการในวัยต่างๆ 1.วัยทารก ช่วงเวลาตั้งแต่แรกเกิด - 2 ปี เป็นวัยที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ต้อง อาศัยความช่วยจากบุคคลอื่น วัยนี้จะมีการเติบดตอย่างรวดเร็วและสามารถเห็น พัฒนาการทางด้านร่างกายได้อย่างชัดเจน สิ่งที่สำคัญคือ การพัฒนาด้านกล้าม เนื้อ 2.วัยเด็ก ในช่วงอายุ 2-11 ปี มีการพัฒนากล้ามเนื้อที่ใช้ในการเล่น มี พฤติกรรมเลียนแบบผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้พัฒนาการทางสติปัญญาจะก้าวหน้าอย่าง รวดเร็วในตอนปลายของวัย พฤติกรรมของเด็กจะมีความสัมพันธ์กับบุคคล อื่นมากขึ้นเนื่องมากขึ้นเนื่องจากสังคมขยายกว้าง เพื่อนจะมีอิทธิพลต่อเด็ก 16
3.วัยรุ่น การเข้าสู้วัยรุ่นของเด็กชายและเด็ฏหญิงจะแตกต่างกัน เด็กชายจะมีอายุ ประมาณ 13 ปี เด็กผู้หญิงจะมีอายุประมาณ 11 ปี และสิ้นสุดเมื่ออายุ 18-20 ปี เด็กผู้ หญิงจะเริ่มมีประจำเดือน เด็ฏผู้ชายจะเริ่มฝันเปียก การสร้างมิตรภาพ วัยรุ่นจะมีบุคลิกภาพความสนใจเดียวกัน -วัยรุ่นชาย จะพัฒนาความสัมพันธ์โดยการทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน -วัยรุ่นหญิง จะพัฒนาความสัมพันธ์โดยการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน วัยรุ่นเป็นวัยที่มีปัญหาการฆ่าตัวตายเนื่องจากการเป็นโรคซึมเศร้า และความรู้สึกด้อย ค่าตัวเอง และปัญหาของยาเสพติด ปัญหาสุขภาพจิต 4.วัยผู้ใหญ่ จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงอายุ คือ -วัยผู้ใหญ่ตอนต้น 18-45 ปี จัดว่าเป็นระยะที่ดีที่สุดของชีวิต ร่างกายมีการเจริญ เติบโตมากที่สุดตอนอายุ 20 ปี มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ -วัยกลางคน 45-65 ปี ร่างกายจะค่อยๆเสื่อมลง จากวัยผู้ใหญ่ตอนต้น -วัยชรา หรือ ผู็ใหญ่ตอนปลาย อายุ 65 ปี กระบวนการเสื่อมในร่างกายมักปรากฎ อย่างรวดเร็ว ร่างกายจะสูญเสียความสามารถที่ปกป้องของโรคต่างๆ 17
ทฤษฎีพัฒนาการที่สำคัญ 1.ทฤษฎีวิเคราห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ (Freud 1865- 1939) เป็นชาวออสเตรีย มีความเชื่อว่า บุคลิกภาพของ ผู้ใหญ่ที่แตกต่างกันเนื่องมาจากประสบการณ์ของแต่ละ คน เมื่อเวลาอยู่ในวัยเด็ก และขึ้นอยู่กับว่าเด็กแต่ละคน แก้ปัญหาของความขัดแย้งของแต่ละวัยอย่างไร โดย 5 ปี แรกของชีวิตจะมีความสำคัญมาก ฟรอยด์ได้แบ่งจิตของ มนุษย์ออกเป็น 3 ระดับ 2.ทฤษฎีการพัฒนาการทางจิตสังคมของอีริคสัน ทฤษฎี พัฒนาการทางจิตสังคม (Psychosocial Development) ของอีริคสัน (Erik H. Erikson) เน้นถึง องค์ประกอบทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อ พัฒนาการหรือบุคลิกภาพของบุคคลซึ่งในแต่ละช่วงระยะ ของการพัฒนาการที่บุคคลจะต้องประสบกับปัญหา หรือ ความขัดแย้งต่างๆ ที่จะต้องแก้ไข ถ้าบุคคลสามารถแก้ไข และผ่านขั้นของพัฒนาการแต่ละขั้นไปได้ตามที่ควรจะ เป็นก็จะมีพัฒนาการขั้นตอนต่อๆไป มีบุคลิกภาพที่เหมาะ สมกับตัวได้ 18
3.ทฤศฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ เพียเจท์ (Jean Piaget) เป็นทฤษฎีที่เห็นถึงพัฒนาการของกระบวนการ ทางการรับรู้ การคิด และ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ของแต่ละบุคคลซึ่งเพียเจท์เสนอหลักของการพัฒนาการ ไว้ 4.ทฤษฎีของโคห์ลเบิร์ก เห็นว่า เหตุผลที่คน หนึ่งๆมีการกระทำต่อพฤติกรรมของเขาแต่ละ อย่างเป็นเครื่องชี้ระดับจริยธรรมว่าสูงหรือต่ำ อายุไม่ใช่เกณฑ์กำหนดระดับจริยธรรม เพราะ พฤติกรรมนั้นสำคัญกว่า 19
บทที่ 4 การจำและการลืม 20
การจำและการลืม 1.ระบบการจำ ความจำเป็นระบบการทำงานที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา (Active system) ในการที่จำรับ (Receives) เก็บ (Stores) จัดการ (Organizes) เปลี่ยแปปลง (Alters) และนำข้อมูล ออก (Recovers) การทำงานของการจำคล้ายๆกับเครื่องคอมพิวเจอร์ คือ เริ่มจาก การใส่รหัส ข้อมูลไปจากนั้นจะเก็บข้อมูลไว้ในระบบ (ซึ่งการจำของมนุษย์จะมีระบบ การเก็บข้อมูล 3 ระบบ) เมื่อต้องการข้อมูลใดเรียกออกมาได้ เช่นเดียวกับ คอมพิวเตอร์เราสามรถเก็บข้อมูลที่ต้องการจำมากมายและสามารถนำข้อมูลที่ต้องการ ออกมาได้ทั้งนี้เพราะข้อมูลถูกจัดไว่อย่างเป็นระบบและลำดับ เสมือนห้องสมุเคลื่อนที่ นักจิตวิทยาแบบ่งความจำ เป็น 3 ระบบ การจักชดเก็บข้อมูลใดๆต้องผ่านขั้นตอนทั้ง 3 นี้ ดังแผ่งภาพต่อไปนี้ 21
1.2ความจำจากการรับสัมผัส (S2e0nsory memory) เป็นข้อมูลเกี่ยวกับความรู้สึกที่เก็บไว้น้อยกว่า 1 วินาทีหลังจากเกิดการรับรู้สิ่งที่มา กระทบประสาทสัมผัส ความสามารถในการเห็นวัตถุหนึ่งแล้วจำได้ว่าเหมือนกับอะไร โดยดู (หรือจำ) ใช้เวลาเพียงไม่ถึงวินาที เป็นตัวอย่างของความจำอาศัยความรู้สึก เป็นความจำนอกเหนือการควบคุมทางประชานและเป็นการตอบสนองอัตโนมัติ แม้ว่า จะมีการแสดงให้ดูเพียงระยะสั้น ๆ ผู้ร่วมการทดลองมักจะรายงานว่าเหมือนจะ \"เห็น\" รายละเอียดมากกว่าที่จะรายงานได้จริง ๆ (เพราะกว่าจะบอกสิ่งที่เห็นหมด ก็ลืมไป ก่อนแล้ว) 1.3ความจำระยะสั้น (Shot-term memory -STM) คือหน่วยความจำที่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ และเก็บข้อมูลได้จำกัด ความแตกต่างระหว่างความจำสองแบบนี้ก็คือ ความจำระยะสั้น อาจจะอธิบายได้ว่า เป็นการจดจำบางอย่างไว้ ณ ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เราจะลืมหรือส่งต่อไปที่ความจำ ระยะยาว อย่างเช่น การจำหมายเลขโทรศัพท์ให้นานพอที่จะเขียนมันลงไปใน กระดาษ เป็นต้น แต่ (working memory) ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลเพียง อย่างเดียวแต่รวมไปถึงการจัดการข้อมูลอย่างคล่องแคล่วด้วย เช่น การจำหมายเลข โทรศัพท์แล้วต้องท่องหมายเลขเหล่านั้นจากหลังไปหน้าให้ถูกต้อง เป็นต้น 22
1.4ความจำระยะยาว เป็นหน่วยความจำที่เปรียบเสมือนคลังข้อมูลที่เราจะสามารถดึงมาใช้ได้ในอนาคต สามารถเก็บข้อมูลได้ไม่จำกัด เป็นระยะเวลานาน ความจำชนิดนี้สามารถแบ่งแยก ย่อยได้อีกคือ ความจำที่เรียกคืนโดยใช้ความคิดระดับสูง )Explicit Memory) ซึ่ง ต้องอาศัยประสบการณ์และความเข้าใจของบุคคลนั้น ๆ เช่น การจำได้ว่าใครมางาน วันเกิดของเราบ้างเมื่อเดือนที่แล้ว หรือ จำชื่อผลไม้เขตร้อนทุกชนิด เป็นต้น ความ จำอีกชนิดคือ ความจำที่สามารถเรียกคืนกลับโดยอัตโนมัติ (Implicit Memory) ซึ่ง ได้มาจากการฝึกทำซ้ำ ๆ เช่น การปั่นจักรยาน, การขับรถ เป็นต้น 2.การลืม (Forgetting) อาจกล่าวได้ว่า การลืมส่วนใหญ่เกิดขึ้นทันทีภายหลังการจำ เฮอร์แมน เอบบิงเฮาส์ (Herman Ebbinghaus, 1885 ) ทำการทดสอบ ความจำ หลังการเรียนรู้คำที่ไม่มี ความหมายในช่วงเวลาที่ต่างๆ กัน และได้สร้างโค้งการลืมออกมา ดังรูป จะเห็นได้ ว่า การลืมจะมีมากในช่วงแรก และน้อยลงในช่วงหลังๆ ถ้าต้องการให้จำสิ่งที่เรียนรู้ ได้ดี จึงควรอ่านหนังสือวันละเล็กละน้อย ทุกวันและทบทวนอีกครั้งก่อนสอบ 23
การลืม (Forgetting) เป็นภาวะที่ระบบความทรงจำลบข้อมูลที่ได้เคยจำไว้ได้ นั้นออกไป ทำให้จำไม่ได้ ซึ่งเกิดได้จากกระบวนการลืม 4 ประเภท ได้แก่ 1. การไม่ได้ใช้ความจำนั้น (decay through dis-use) เป็นการลืมเนื่องจากจดจำ ข้อมูลไว้นานแล้ว หากแต่ไม่มีตัวกระตุ้นที่เหมาะสมจึงไม่ได้นำความจำในเรื่องนั้นๆกลับมา ใช้เป็นเวลานาน 2. ผลของการแทรกสอดจากสิ่งที่เรียนรู้เพิ่ม (interference effect) เป็นการรบกวน กันของข้อมูลใหม่ต่อข้อมูลเก่าผ่านกระบวนการเรียนรู้ โดยเกิดผล 2 แบบได้แก่ 1) การย้อนระงับ (retroactive inhibition) เป็นการที่ข้อมูลที่เรียนรู้ใหม่ไประงับ สิ่งที่เรียนรู้ไว้เดิม โดยถือว่าความรู้เดิมขาดความสำคัญและเกิดการลืมเลือนไป 2) การตามระงับ (proactive inhibition) เป็นการที่ข้อมูลที่เรียนรู้ไว้แต่เดิม แสดงบทบาทยับยั้งการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ เมื่อข้อมูลใหม่ขัดแย้งกับข้อมูลเดิม และเกิด ภาวการณ์ยึดติดกับข้อมูลเดิมไว้ ทำให้ลืมเลือนข้อมูลใหม่ไป 3. การจงใจลืม (motivated forgetting) เป็นความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของบุคคลในการ ที่จะลืมข้อมูลบางส่วน อันเนื่องมาจากสถานการณ์บางอย่าง เช่น อุบัติเหตุ การตกใจ 4. ความล้มเหลวในการเรียกคืนความจำ(retrieval failure theory) เป็นการที่บุคคล นำข้อมูลเก็บไว้เป็นความทรงจำระยะยาว แต่ไม่สามารถเรียกออกมาได้ เนื่องจากมีการ จดจำที่ผิดพลาด ไม่จัดหมวดหมู่ไม่ถูกต้อง และการขาดสิ่งกระตุ้นความทรงจำที่เหมาะสม ทำให้กลายเป็นความทรงจำที่ปิดสนิท 24
บทที่ 5 การคิดเชาว์ปัญญา 25
การคิดเชาว์ปัญญา หมายถึง ความสามารถที่จะเข้าใจโลกตามความเป็นจริงคิดอย่างมีเหตุผลและใช้ ทรัพยากรต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อต้องเผชิญกับการท้าทายเชาวน์ปัญญายัง หมายถึง ความสามารถทางการรู้ การเรียนรู้ ความจำทั้งในอดีตและปัจจุบันการ จัดแนวคิดทั้งในการใช้คำพูดและตัวเลข ความสามารถในการเปลี่ยนความคิดเชิง นามธรรมเป็นภาษาเขียนหรือคำพูดและการใช้ภาาากลับไปเป็นความคิดเชิง นามธรรมยังรวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์รูปทรงและการจัดการปัญหา ต่างๆอย่างมีความหมายและแม่นยำตามลำดับก่อนหลังความสามารถของบุคคล ในการเรียนรู้การปรับตัวต่อปัยหาอย่างเหมาะสมและความสามารถในอันที่จะทำ กิจกรรมต่างๆได้อย่างมีจุดมุ่งหมายและคุณค่าทางสังคม สามารถคิดอย่างมี เหตุผลปรับตัวเข้าสิ่งแวดล้อมและสัวคมอย่างมีประสิทธิภาพ นิยามของเชาว์ปัญญา เชาว์ปัญญา คือ ความสามารถโดยรวมของบุคคลที่แสดงออกอย่างมีเป้าหมายคิดอย่างมี เหตุผลและจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ (J.P. Gilford) กล่าวว่าเชาว์ปัญญา มีองค์ประกอบ 3 มิติ ก้วยกัน คือ วิธีการคิดสิ่งที่ก่อให้เกิดเป็นความคิด เช่น ภาพ ลักษณ์หรือเรื่องราวต่างๆผลของความคิดสามารถดัดแปลงนำไปใช้กิจกรรมต่างๆ (Charles Spearman) กล่าวถึงเชว์ปัญญาซึ่งประกอบด้วย 2 โครงสร้าง คือ ความ สามารถทั่วไป เช่น เข้าใจความสัมพันณ์ของเหตุการณ์ต่างๆ การวางแผนและการคิด อย่างมีเหตุผลความพิเศษ เช่น ความสามารถด้านกีฬา ศิลปะ ดนตรี 26
ทฤษฎีเชาวน์ปัญญา ทฤษฎีพหุปัญญาของโฮวาร์ดการ์ได้เสนอว่า เชาว์ปัญญามนุษย์ มี 8 ด้าน แต่ละด้านเหล่านี้ ไม่ได้ทำงานแยกจากกันทำงานร่วมกันโดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีบทบาทต่างที่สลับซับซ้อนจะ มีการผสานการใช้สติปัญญาด้านต่างๆเข้าด้วยกันในการปฏิบัติบทบาทของตน เชาวน์ ปัญญาทั้ง 8 ด้าน ประกอบด้วย 1.ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence) บุคคลผู้มีความสามารถด้านี้จะ ไวกับความหมายของเล่นนี้ คำนี้ ความสามารถใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องตามหลักไว ยกรณ์และบางครั้งก็ออกนอกกฎเมื่อไตร่ตรองดีแล้ว เป็นผู้มีความสามารถด้าน ภาษาในระดับสูงสามารถสื่อสารเชื่อมโยงได้อน่างมีประสิทธิภาพใช้ภาษาได้อย่าง สละสลวยตลอดจนการใช้ภาษากระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกบุคลกลุ่มนี้ได้แก่ กวี นักเขียน นักการเมือง นักพูด นักข่าว ทนายความและพิธีกร 2.ปัญญาด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาตศาสตร์ (Logical Mathematical Intelligence) ผู้มีปัญญาด้านนี้สูงจะสามารถจัดเก็บตัวแปรหลายๆ ตัวแปรและสร้างสมสุติฐานได้มากมายสามารถประเมินและยอมรับหรือปฎิบัติเสธ สมมุติฐานแต่ละข้อได้อย่างรวดเร็วความสามารถจะรวมทั้งคณิตศาสตร์และวิทยาศสตร์ นักคณิตศาสตร์นั้นรักที่จะค้นคว้ากับสิ่งที่เป็นนามธรรมสนุกกับการแก้ปัญหาที่ต้องสรร หาดหตุผลมากมายมาประกอบสีวน นักวิทยาศสตร์จะได้แรงจูงใจจากความต้องการที อธิบายทุกสิ่งให้เป็นรูปธรรมบุคคลกลุ่มนี้ ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักฟิสิกสื คอมพิวเตอร์ โปรแกรมเมอร์ และนักวิจัย 27
3.ปัญญาทางด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial Intelligence) ปัญญาด้านนี้เป็น ความสามารถที่จะเข้าใจโลกที่เรามองเห็นอญุ่ได้อย่างถูกต้องเป็นเรื่องที่จำเป็นใน การเดินทาง การเดินเรือ และการใช้แผ่นที่ผู้มีความสามารถด้านี้จะสามารถนำเส นอข้อมูมด้านมิติให้ออกมาเป็นภาพได้มีความเฉียบแหลมในการดึงภาพจาก ความคิด ความฝันมาทำให้ปรากฎมาสร้างเป็นชิ้นงานศิลปะ บุคคลกลุ่มนี้ ได้แก่ วิศกร ศัลยแพทยื นักวาดแผนที่ ปฏิมากรและสถาปนิก 4.ปัญญาทางด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ (Bodily-Kinesthetic Intelligence) ผู้มีปัญญาด้านนี้สูงจะค้นพบความสามารถของคตนทันทีที่เข้าไป อยู่ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวนั้นๆโดยยังไม่ทันได้รับการฝึกมาก นักมีความสามารถในการหยิบจับวัตถุต่างๆได้อย่างคล่องแคลว เช่น นักประดิษฐ์ และ นักแสดง ร่างกายจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในอาชีพ บุคคลกลุ่มนี้ ได้แก่ นัก เต้นรำ นักกีฬี และ นักกายกรรม 5.ปัญญาทางด้านดนตรี (Musical Intelligence) คนทุกคนล้วนมีความ สามารถทางด้านดนตรีในระดับหนึ่งทุกคนสามารถสนุกไปกับเสียงดนตรี ไดแก่ จังหวพท่วงทำนองระดับเสียง ซึ่งบางคนจะมีทักษะด้านนี้มากกว่าคนอื่น สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในการเล่นเครื่องดนตรีปัญญาด้านนี้ครอบคลุม ความสามารถทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับดนตรีผู้มีความสามารถด้านนี้สูง ได้แก่ นัก ประพันธ์เพลง นักร้อง นักดนตรีผู้ที่ควบคุมวงดนตรีและผู้เข้าซึ้งถึงดนตรี 28
6.ปัญญาทางด้านการเข้ากับผู้อื่น (Inter-Personal Intelligence) ปัญญา ด้านนี้เป็นความสามารถที่มองไปที่ผู้อื่นหรือบุคคลที่อยู่ภายนอก ผู้ใหญ่ที่มีความ ชำนาญด้านนี้สามารถรับรู้ความตั้งใจและความปรารถนาของผู้อื่นได้แม้เขาจะไม่ แสดงออกให้เห็นหรือปิดบังไว้ก็ตามจะความไวต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่น บุคคลใน กลุ่มนี้ได้แก่ ผู้นำทางศาสนา ผู้นำทางการเมือง พ่อแม่ ครู นักบำบัด และ นักแนะแนว 7.ปัญญาทางด้านการเข้าใจตนเอง (Intra-Personal Intelligence) ปัญญาด้าน นี้ คือ การเข้าใจความรู้สึกของตนเองทุกแง่มุมรู้จักระดับและของเขตอารมณ์ของตน สามารถระบุอารมณ์นั้นได้และใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของตน ปรับ ปรุ่งการกระทำของตนผู้มีปัญญาด้านนี้สูงจะมีควาวเข้าใจภายในตนเองสูงจะรูปแบบ การดำเนินชีวิตของตนเองสดชื่นและประสิทธิภาพบุคคลกลุ่มนี้ ได้แก่ืนักเขียน นัก แต่งนิยาย ผู้ทรงปํญญา และ นักจิตวิทยา 8.ปัญญาทางด้านความเข้าใจธรรมชาติ (Naturalistic Intelligence) ปัญญา ด้านนี้เป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อม ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้สูงจะ รู้จักจำแนกชนิดแลพสายพันธุ์ของพื่นและสัตว์สามารถแยกแยะความแตกต่างจัด หมวดหมู่ จัดประเภทของสิ่งที่มีอนยู่ในธรรมชาติของโลกได้กร บุคคลกลุ่มนี้ ได้แก่ นักเดินทาง นักพฤษศาสตร์ นักวิทยาศสตร์สัตว์ และ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า 29
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อเชาวน์ปัญญา 1.พันธุกรรมกับเชาวน์ปํญญาพันธุกรรมเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกต่อเชาวน์ ปัญญาของบุคคลการที่เด็กจะมีระดับเชาวน์ปัญญา เช่น ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของ ฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่เป็นสำคัญ กล่าวคือ ถ้าพ่อแม่ฉลาดลูกจะฉลาดเหมือนพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ไม่ฉลาดลูกก็จะไม่ฉลาดเหมือนพ่อแม่ 2.สิ่งแวดล้อมกับเชวน์ปัญญาสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันจะมีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงระดับเชาวน์ของบุคลได้ไม่มากนัก กล่าวคือ ไม่ว่าเราจะจัดสิ่ง แวดล้อมให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพียนใดก็จะไม่สามาถทำให้เด็กที่มีเชาวน์ปํญญาต่ำ ที่สามารถดูแลตัวเองได้ให้มีระดับเชาวน์ปัญญาที่สูงขึ้นเป็นระดับปานกลางได้เลย 30
บทที่ 6 ทฤษฎีการรับรู้และการ เรียนรู้ 31
ทฤษฎีการรับรู้ การรับรู้เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ที่สำคัญของบุคคลเพราะการตอบสนองพฤติกร รมใดๆจะขึ้นอยู่กับการรับรู้จากสภาพแวดล้อมของตนและความสามารถใน การแปลความหมายสภาพนั้นๆดังนั้น การเรียรู้ที่มีประสิทธิภาพจึงขึ้นอยู่ ปัจจัยการรับรู้ และสิ่งเร้าที่ประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจัยการรับรู้ประกอบด้วย กระบวนการสามด้าน คือ การรับสัมผัสการแปลความหมายและอามรณ์ การรับรู้ หมายถึง การรู้สึกสัมผัสได้รับการตีความให้เกิดความหมายแล้ว เช่น ในขณะนี้ เราในภาวะการรู้สึก (Conscious) คือ ลืมตาตื่นอยู่ในทันใดนั้นเรารู้สึกได้เสีย เสียงดังปังมาแต่ไกล (การรู้สึกสัมผัส-Sensation) แต่เราไม่รู้ความหมายคือ ไม่รู้เป็นเสียงอะไร เราจึงยังไม่เกิดการรับรู้แต่ครู่ต่อมามีคนบอกว่าเป็นเสียง ระเบิดของยางรถยนต์เราจึงเกิดการรู้ความหมายการู้สึกสัมผัสนั้น ดังนี้ เรียก ว่าเกิดการรับรู้ 32
การรับรู้เป็นผลเนื่องมาจากที่มนุษย์ใช้อวัยวะรับสัมผัส (Sensory motor) วึ่ง เรียกว่า เครื่องรับ (Sensory) ทั้ง 5 ชนิด คือ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง การรับรู้จะเกิดขึ้นน้อยเพียงใดขึ้น อยู่กับสิ่งที่มีอิทธิพลหรือปัจจัยในการรับรู้ ได้แก่ ลักษณะของผู้รับรู้ ลักษณะของสิ่งเร้าเมื่อมีสิ่งเร้าเป็นตัวกำหนดให้เกิดการเรียนรู้ได้ นั้นจะต้องมีการรับรู้เกิดขึ้นก่อน เพราะการรับรู้ เป็นหนทางที่นำไปสู่การแปลความ หมายที่เข้าใจกับได้ ซึ่งหมายถึงการรับรู้เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ถ้าไม่มีการับรู้เกิด ขึ้น การเรียนย่อเกิดขึ้นไม่ได้การรับรู้จึงองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดความคิดรอบ ยอดทัศนคติของมนุษย์อันเป็นส่วนสำคัญยิ่งในกระบวนการเรียนการสอน การจัดระบบการับรู้ เมื่อพบสิ่งเร้าไม่ได้รับรู้ตามที่สิ่งเร้าปรากฏแต่จะนำมาจัดระบบตามหลักดังนี้ 1.หลักแห่งความคล้ายคลึง สิ่งเร้าใดที่มีคล้ายกันจะรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน 2.หลักแห่งความใกล้ชิกสิ่งเร้าที่มีความใกล้กันจะรับรู้เป็นพวกเดียวกัน 3.หละกแห่งความสมบูรณ์ เป็นการรับรู้สิ่งไม่สมบูรณ์ให้สมบรูณ์ขึ้นการเรียน ของคนเราจากไม่รู้ ไปสู้การเรียน การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อ สิ่งเร้ามาเร้าประสาทก็ตื่นตัว เกิดการรับสัมผัสกับอวัยวะ ด้วยประสาททั้ง 5 แล้วส่งกระแสสัมผัสไปยังระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิด การแปลความหมายขึ้นโดยอาศัยประสบการณ์เดิมอื่นเรียกว่า การรับรู้ เมื่อแปล ความหมายแล้วก็จะมีการสรุปผลของการรับรู้เป็นความคิดรวบยอดแล้วมีปฏิกิริยา ตอนสนอง (response) อย่างหนึ่งอย่างใดต่อสิ่งเร้าตามที่รับรู้ เป็นผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง พฤติกรร แสดงว่าการเรียนรู้ได้เกิดขึ้นแล้วประเมินผลที่เกิดจากการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้แล้ว 33
บทที่ 7 การเรียนรู้และทฤษฎีการ เรียนรู็ 34
การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างถาวรของบุคคลอันเป็นผลมาจากประ สลการณ์ในอดีตทั้งจากการฝึกฝนและการที่มนุษย์ได้มีปฏิสัมพันธ์แวดล้อมรอบ ตัว และปริมาณของความรู้ที่เพิ่มขึ้นโดยการเรียนแปลงพฤติกรรมดังกล่าวนั้นไม่ ได้ เกิดขึ้นจากการกินยา ความเหน็ดเหนื่อย หรือผลเนื่องวุฒิภาวะ การเรียนรู้เกิดขึ้น บนฐานของความรู้ทักษะที่เรียนรู้มาแล้ว การเรียนรู้ไม่ ได้เกิดขึ้นจากการส่งต่อจากผู้หนึ่งไปยังอีกหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่ครูทำคือช่วยให้ นักเรียกเกิดการเรียนรู้ -ความรู้ที่ผู้เรียนมีอาจผิดบาง หรือ ผิดทั้งหมดซึ่งจะทำให้การเรียนรู้ใหม่มีอุป สรรค์และทำให้ยากขึ้นเรียกว่า Conceptual Change -ความรู้มี 3 ประเภท ประกอบ ความรู้ด้านความหมาย (what) ความรู้ด้าน ขั้นตอน (how) และความรู้ด้านทักษะปฏิบัติ (Psychomotor skills) การ เรียนรู้ความรู้แต่ละประเภทจะใช้วิธีารที่แตกต่างกับ -การเรียนรู้ความรู้ด้านความหมาย ทำโดยให้ผู้เรียนได้สร้างความคิดใหม่ด้วย ตัวเอง โดยผู้สอนสร้างสิ่งแวดล้อมให้เกิดการเรียนรู้ -การเรียนรู้ด้านความหมาย ทำโดยให้ผู้เรียนได้สร้างความคิดใหม่ด้วยตัวเอง โดยผู้สอนสร้างสิ่งแวดล้อมให้เกิดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียน สร้าง ทดสอบ ขยาย จากความรู้เดิมที่ตนเองมี 35
ทฤษฎีการเรียนรู้ ในการจัดการเรียนรู้นั้น ผู้สอนจำเป็นที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจทฤษฎี การเรียนและการสอนต่างๆในส่วนของกฎหรือหลักการที่สำคัญของทฤษฎีเหล่า นั้นเพื่อนำไปประยุกต์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้อย่างเหมาะ สม ราชบัณฑิตสถาน (2555) ให้ความหมายของการเรียนรู้ไว้ว่า เป็นกระบวน การหรือวิธีการที่บุคคลใช้ในการสร้างความหมายข้อมูลและสิ่งเร้าต่างๆที่รับเข้า มาทางประสาทสัมผัสให้เกิดเป็นความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ ความรู้สึก และ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ ซึ่งการเรียนรู้เกิดขึ้นได้เวลา ทุกสถานที่จากประ สบณ์ และ การฝึกหัดอบรมบ่นนิสัยทั้งที่เป็นทางการ และเป็นไม่ทางการ เนื่องจากทฤษฎีการเรียนรู้และประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ตามช่วงเวลา ออกเป็น 2 ช่วง คือ ทฤษฎีการเรียนรู้และการสอนในช่วง ๕ริสต์ตวรรษที่ 20 และ ทฤษฎี การเรียนรู้และการสอนร่วมสมัย ทฤษฎีการเรียนรู้และการสอนในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 20 ทฤษฎีการเรียนรู้และการสอนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นทฤษฎีที่ยังมีการ เรียนรู้และการสอนที่ สำคัย 4 ทฆษฎี ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติิกรรม นิยม ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยมหรือกลุ่มความรู้ ความเข้าใจ ทฤษฎีการ เรียนรู้กลุ่มมนุษย์นิยม และทฤษฎีการรู้กลุ่มผสมผสาน โดยแต่ละทฤษฎีจะนำ เสนอแยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นแนวคิดหรือหลักการของทฤษฎีและส่วร เป็นแนวทางการประยุกต์ใช้ทฤษฎีนั้นๆการจัดการเรียนรู้การสอน 36
ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike's connectionism) ธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่มีความเชื่อว่าการเรียนรู้ เกิดจากการเชื่อมโยมระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ บุคคล จะมีการลองผิดลองถูกและมีก่รปรับเปลียนไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบรูปแบบการ ตอบสนองที่ให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด เื่อเกิดการเรียนรู้แล้วบุคคลจะใช้รูปแบบ การตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียวและจะพยายามใช้รูปแบบกาารนั้น เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบการตอบสนองนั้นโยง กับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆซึ่งสามารถสรุปกฎการเรียนรู้ที่สำคัญจาก ทฤษฎีการเชื่อมโยงธอร์นไดค์ ได้ดังนี้ 1.กฎแห่วความพร้อม (Law of Readiness) 2.กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) 3.กฎแห่งการใช้และไม่ใช้ (Law of Use and Disuse) 4.กฎแห้งผลพึงพอใจ (Law of Effect) ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory) ทฤษฎีการรวางเงื่อนไขสามารถแบ่งตามลักษณะของการวางเงื่อนไขออก เป็น 4 ทฤษฎีย่อย ประกอบด้วย ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกทฤษฎีการวางเงื่อนไขของวัตสันทฤษฎี การวางเเงื่อนไขแบบต่อเนื่อง และ ทฤษฎีการเงื่อนไขแบบปฏบัติการ 37
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical conditioning) ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกเสนอโดย พาฟลอฟ (Pavlov) นักจิตวิทยา และสรีรวิทยาชาวรัสเซีย ซึ่งได้ทำการทดลองใช้ผงเนื้อบดเป็นสิ่งเร้าตาม ธรรมชาติหรือสิ่งที่ไม่วางเงื่อนไข (unconditioned stimulus) กับสุนัข พบว่า ผงเนื้อบดสามารถทำให้สุนัขน้ำลายไหลได้ ต่อมาพาฟลอฟได้นำผงเนื้อบดมาเป็น สิ่งเร้าคู่กับเสียงกระดิ่ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งเร้าตามธรรมชาติและสุนัขจะไม่มีน้ำลายไหล เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง เขาพบว่าสุนัขจะน้ำลายไหลเมื่อใช้สิ่งเร้าทั้งสองคู่กัน หลายๆครั้ง แล้วตัดสิ่งเร้าตามธรรมชาติ (ผงเนื้อบด) ออกเหลือแต่เสียงกระดิ่ง อย่างและพฤติกรรมน้ำลายไหลดังนั้นเขาจึงสรุปว่าการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิต สามารถเกิดจากการตอบสนองต่อเร้าที่วางเงื่อนไข (conditioned stimulus) ได้ กฎการเรียนรู้จากทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของพาฟลอฟ 1.พฤติกรรมการตอบสนอง ของมนษ์สามารถเกิดขึ้นได้จากการเชื่องโยงระหว่างสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขหรือ ความต้องการทางธรรมชาติ (unconditioned stimulus) กับสิ่งเร้าที่วาง เงื่อนไข 2.กฎแห่งการลดภาวะ (Law of Extinction) ความเข้มข้นของการตอบสนองจะลดลงเรื่ องๆหากบุคคลได้รับสิ่งที่วางไขอย่าง เดียว หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขกับสิ่งที่เร้าไม่วางเงื่อนไข ห่างกันออกไปมากขึ้น 38
3.กฎแห่งการฟื้นคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติ (Law of Spontaneous Recovery) การตอบสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไขลดลง สามารถทำให้เกิดได้อีกโดยใช้ สิ่งเร้าตามธรรมชาติหรือสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขมาคู่กับสิ่งที่วางเงื่อนไข 4.กฎแห่งการถ่ายโยงการเรียนรู้สู่สถานการณ์อื่นๆ (Law of Generalization) เมื่อเกิดเรียนรู้จากการวางเงื่อนไขแล้ว ถ้ามีสิ่งเร้าที่คล้ายกับสิ่งเร้าที่วาง เงื่อนไขที่เคยใช้มากกระตุ้น อาจทำให้เกิดการตอบสนองที่เหมือนกันได้ 5.กฎแห่งการจำแนกความแตกต่าง (Law of Discrimination) ถ้ามีการใช้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขหลายแบบ แต่มีการใช้สิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข หรือความความต้องตามธรรมชาติมาเข้าคู่กับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขแบบใดแบบ หนึ่งเท่านั้น การเรียนรู้จะเกิดจากการจำแนกความแตกต่างและเลือกตอบ สนองเฉพาะกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข 39
บทที่ 8 การแนะแนวและการให้ คำปรึกษา 40
การให้การปรึกษาและการแนะแนว (Counseling and Suidance) เป็นวิชาหนึ่งที่เน้นสัมพันธภาพของการช่วยเหลือและพัฒนาบุคคลอย่างมีจุดมุ่ง หมาย เพื่อให้บุคคลเกิดการเจริญเติบโต เปลี่ยนแปลงชีวิตในเชิงสร้างสรรค์และมี ความหมาย รวมทั้งเป็นเรื่องของชีวิตที่ชีวิตหนึ่งหนึ่งพยายามเอื้ออำนวยความ สะดวกและช่วยเหลืออีกชีวิตหนึ่งให้มีอิสรภาพหลุดพ้นจากทุกขื ไม่ว่าจะเป็น ทุกข์ทางคิด ทุกข์ทางกายหรือทุกข์ทางใจมีภาวะที่เป็นไทแก่ตัว สติ พร้อมที่จะใช้ ปัญญาในการคิดวินิจฉัยแและพัฒนาตนเอง เพื่อให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทาง บวก การให้การปรึกษา (Counseling) นับได้ว่าเป็นหัวใจของการแระแนว และเป็นกระบวนการที่แสดงถึงมนุษย์สัมพันธ์ ที่ละเอียดอ่อนระหว่างบุคคลโดยบุคคลหนึ่ง คือ ผู้ให้การปรึกษา (Counselor) ทำหน้าที่ให้ปรึกษา (Counseling) และที่ผู้ที่เอื้ออำนวยความสะดวก (Facilitator) แก่ผู้รับการปรึกษา (Client) ให้ได้สำรวจตนเองทั้งด้านความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก และพฤติกรรม เพื่อนำไปสู่การรู้จักตนเองตามความเป็นจริง ภายใต้บริบทแวดล้อมต่างๆสามารถรับ ตระหนักรู้ ถึงขอบเขตพลังความสามารถ และศักกยภาพของภาพของตนเอง ยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเองพร้อมที่จะรับ ชอบตนเอง ศึกษาแนวทางในการเผชิญปัญญา และตัดสินใจเลือกทางเลือกหรือ แนวทางในการแก้ไขและพัฒนาตนเองอย่างมีสติเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดใน ชีวิต รวมทั้งมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ 41
การแนะแนว (Guidance) เป็นกระบวนการของการผูกพันเพื่อพัฒนาชีวิต โดยการให้การบุคคลนั้น สามารถช่วยเหลือตนเองได้ในที่สุดการแนะแนวส่วนใหญ่เป็นการแนะแนว ในโรงเรียนสถาบันดารศึกษาที่มุ่งให้ความช่วยเหลือผู้เรียนในด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัว และ สังคมอีกทั้ง กิจกรรมและบริการแนะแนวต่างๆที่จัดขึ้น เกี่ยวข้องกับแทบทุกเรื่องชีวิต จึงสามารถกล่าวได้ว่า เป็นแนะแนวชีวิต เพราะ เป็นการเหลือบุคคลรวมทั้งผู้เรียนให้รู้จักและเข้าใจตนเองได้ค้นพบ ความต้องการต่างๆ 42
ทฤษฎีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับแนะแนว ทฤษฎีลักษณะบุคคลและองค์ประกอบ (Trait and Factor Theory) พัฒนา จากแนวคิด E.G. Williamson ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 มีเป้าหมายที่เอื้ออำนวย ให้รัลบริการมีพัฒนาการที่เป็นเลิศในทุกด้าน ทุดช่วงชีวิต และทุกสภาพ แวดล้อม โดยช่วยให้ผู้บริการเกิดการเรียนรู้ซึ่งจะนำไปสู้่การดการค้นพบ ตนเองและเข้าใจตนเองอย่างถูกต้อง ให้ผู้รับบริบารตระหนักถึงลักษณะและ องคืประกอบต่างๆของตนเองรู้จักแสวงหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆทั้งข้อมูลการ ศึกษา อาชีพ ส่วนตัวตัดสินใจ ตลอดทั้งสามารถใช้ศักยภาพของตนเองได้ อย่างมีประสิทธิภาพ,ส่วนการให้ปรึกษาอาชีพ การให้การปรึกษาบุคคลที่มี ปัญหาทางอามรณ์รุนแรง บุคคลที่มีจิตสรีระแปรปรวน บุคคลที่กลัวความตาย บุคคลที่มีอาการกลัวโดยไม่มีสาเหตุ รวมทั้งบุคคลที่มีสุขภาพจิต สำหรับพื้น ฐานแนวคิดทฤษฎีต่างๆของการให้การปรึกษาจะทำให้ทราบถึงประเด็นที่แตก ต่างกันและคล้ายคลึงกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งความ เชื่อและทรรศนะของผู้ให้ปรึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติมนุษย์เป้าหมายของการ ให้การปรึกษา แนวปฏิบัติการให้การปรึกษาและบทบาทของผู้ให้ปรึกษาจะ เป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินการให้การปรึกษา 43
ทฤษฎีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการให้การ 1.ทฤษฎีการให้การปรึกษาทีป่เนร้ึนกวษิเคารามะีหห์จลิตายทฤษฎี (Psychoanalytic Counseling Theory) Sigmund Freud จิตแพทย์ชาวเวียนนา เป็นผู้วางรากฐานจิตวิเคราะห์ (The originator of Psychoanalysis) และทฤษฎี การให้คำปรึกษาที่เน้นการวิเคราะห์จิต โดยมีเป้าหมายหมายเพื่อปรับแก้ไข บุคลิกภาพพื้นฐานที่เป็นต้นตอของปัญหาของบริการ เพื่อให้ปัญานั้นคลี่คลายลง โดยนำสิ่งที่เก็บกดไว้ในระดับจิต ซึ่งได้แก่ ความคิด ความรู้สึก ความทรงจำที่ฝันใจ ที่เก็บกดเอาไว้นั้นให้ขึ้นมาปรากฏในระดับจิตสำนึก การเปิดเผยสิ่งที่เก็บกดจะ ทำให้พลังของเก็บกดและพยายามในการเก็บกดได้รับการวิคราะห์อย่างถูกต้อง สร้างความกลมกลืนกับเสียใหม่ในเรื่องที่เก็บกดกับบุคลิกภาพโดยส่วนรวม ซึ่งจะ ช่วยให้ผู้รับบริการมีการตระหนักรู้มากขึ้น มีการเก็บกดน้อยลง ลดการพึ่งพาอื่น พึ่งพาตนเองมากขึ้น รับรู้พลังของสิ่งที่อยู่ในระดับจิตใต้สำนึกมากขึ้น พร้อมที่เผชิญ ความจริงและเพิ่มระดับความสามารถที่จะรับผิดชอบตนเองรวมทั้งสามาถเผชิญ ความทุกข์และความสุขได้ 2.ทฤษฎีการให้การปรึกษาที่เน้นผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง (Person Centered Counseling Theory) Carl Rogers นักจิตวิทยาคลินิกชาวเอเม ริกัน เป็นผู้วางรากฐานทฤษฎีการให้การปรึกษาที่เน้นผู้รับบริการ เป็นศูนย์กลาง โดย มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้รับบริการได้พัฒนาตนเองเต็มตามความสามารถ เข้าใจและ ยอมรับตนเองตามความเป็นจริง เปิดตนเองให้ผู้รับบริการได้พัฒนาตนเองเต็มตาม ความสามาถเข้าใจและยอมรับตนเองตามความเป็นจริงเปิดตนเองให้กับประสบการณ์ พร้อมที่จะนำตนเองเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างสร้างสรรค์มีวุฒิภาวะและสรรค์สร้างชีวิต 44
บทที่ 9 การศึกษา 45
การศึกษา(Education) การศึกษานอกจากจะทำให้มนุนษย์เกิดความรู้และพัฒนาได้แล้ว สิ่งนี้ยังสามารถ เป็นตัวกำหนดทิศทางของประเทศได้อีกด้วย เพราะ หากประเทศไหนมีการส่งเสริม การศึกษาที่ถูกทิศทาง ตลอดจนวางแผนการผลิตทรัพยากรมนุายืที่มีประภาพย่อม ทำให้ประเทศนั้นมีต้นทุนที่เป็นทรัพยากรมนุย์ที่มีศักกยภาพในการร่วมกันสร้าว ประเทศให้ก้าวไกล นั้นรวมถึงหน่วยย่อยอย่างองค์กรด้วยที่หากคัดสรรทรัพยากร มนุษย์ที่มีคุณภาพเข้าทำงานก็ย่อมส่งผลให้องคืกรพัมนาได้อย่างก้าวเช่นกัน ขณะ เดียวกับองค์กรก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาองค์ลากรด้วย เพราะการศึกษานั้นไม่มีวันจบ ทุกคนสามารถที่เรียนรู้ไปตลอดได้ และพัฒนาตนเองได้เองได้ตลอดเวลาด้วยเช่น กัน 46
Search