Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อการเรียน access

สื่อการเรียน access

Published by paiseetong, 2017-04-18 06:19:04

Description: สื่อการเรียน access

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการอบรมMicrosoft Access 2010

สารบัญ หน้า (1)คานา (3)สารบัญ 1บทท่ี 1 ความรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกับฐานข้อมูล 1 4 ขนั้ ตอนการพฒั นาระบบฐานข้อมลู 16 แบบจาลองอี-อาร์ นอร์มลั ไลเซชนั (Normalization) 25 25บทท่ี 2 การใช้งานโปรแกรม Microsoft Access 26 โครงสร้างของโปรแกรม Microsoft Access 29 เร่ิมต้นใช้งานโปรแกรม Microsoft Access 2010 30 สว่ นประกอบของหน้าตา่ งโปรแกรม Microsoft Access 2010 32 การทางานของเมนแู บบริบบอน (Ribbon) 33 การแปลงไฟล์ .mdb ให้เป็นไฟล์ .accdb การจดั เก็บไฟล์ฐานข้อมลู 35 35บทท่ี 3 การสร้างตาราง (Table) 36 มมุ มองของตาราง 37 สว่ นประกอบของตาราง การสร้ างตาราง 55 55บทท่ี 4 การสร้างแบบสอบถาม (Query) 56 มมุ มองของแบบสอบถาม 57 ประเภทของแบบสอบถาม 57 วธิ ีการสร้างแบบสอบถาม สร้างแบบสอบถามโดยใช้ตวั ชว่ ยสร้าง

(4) หน้า 59 สารบญั (ต่อ) 77 การสร้างแบบสอบถามด้วยมมุ มองการออกแบบ 79 การสร้างแบบสอบถามในมมุ มอง SQL 79 80บทท่ี 5 การสร้างฟอร์ม (Form) 81 มมุ มองของฟอร์ม 83 การสร้ างฟอร์มแบบง่าย 84 การสร้างฟอร์มโดยใช้ตวั ช่วย (Form Wizard) 86 การสร้างฟอร์มด้วยมมุ มองการออกแบบ 92 ป่ มุ สร้างคอนโทรลในแท็บ Design 94 สว่ นประกอบในมมุ มองออกแบบของฟอร์ม 95 การเชื่อมฟอร์มเข้ากบั ตารางฐานข้อมลู การปรับแตง่ ฟอร์ม 97 การจดั เก็บฟอร์มลงฐานข้อมลู 97 97บทท่ี 6 การสร้างรายงาน (Report) 98 มมุ มองของรายงาน 100 วธิ ีการสร้างรายงาน 102 การสร้ างรายงานแบบง่าย 103 สร้างรายงานโดยใช้ตวั ชว่ ยสร้าง (Report Wizard) 105 สร้างรายงานในมมุ มองออกแบบ 110 สว่ นประกอบในมมุ มองออกแบบของรายงาน 112 ตวั อยา่ งการสร้างรายงาน การ export รายงาน วธิ ีสร้างรายงานจากแบบสอบถาม

(5) หน้า 113 สารบญั (ต่อ) 113 114บทท่ี 7 การสร้างมาโคร (Macro) 115 รู้จกั กบั มาโคร 117 เริ่มต้ นสร้ างมาโคร 121 คาสงั่ ใน Action Catalog 124 วิธีสร้างมาโครโดยเก็บเป็นออบเจ็ค Macro การแก้ไขมาโคร 127 วธิ ีสงั่ รันมาโครบรรณานุกรม

บทท่ี 1 ความรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกับฐานข้อมูล ฐานข้อมูลท่ีมีประสิทธิภาพและตรงกบั ความต้องการของผ้ใู ช้นนั้ ต้องอาศยั การพฒั นาฐานข้อมลู ท่ีมีการวางแผนอย่างเป็ นระบบและมีขนั้ ตอนท่ีถกู ต้อง โดยในบทนีจ้ ะศกึ ษาถึงขนั้ ตอนการพฒั นาระบบฐานข้อมูล ซ่ึงจะเน้นขนั้ ตอนการออกแบบฐานข้อมลู เป็ นหลกั ตงั้ แตก่ ารพฒั นาแบบจาลองอี-อาร์ และการทานอร์มลั ไลเซชนั เพื่อให้ได้ฐานข้อมลู ท่ีสมบรู ณ์ที่สดุขัน้ ตอนการพัฒนาระบบฐานข้อมูล วฏั จกั รฐานข้อมลู (The Database Life Cycle: DBLC) เป็ นขนั้ ตอนในการพฒั นาหรือจดั ทาระบบฐานข้อมลู ซง่ึ ประกอบด้วย 6 ขนั้ ตอน ดงั ภาพท่ี 1.1 การศกึ ษาเบอื ้ งต้น (database initial study) การออกแบบฐานข้อมลู (database design) การติดตงั้ ระบบ (implementation) การทดสอบและประเมนิ ผล (testing and evaluation) การดาเนินการ (operation) การบารุงรักษาและการปรับปรุง (maintenance and evaluation) ภาพท่ี 1.1 วฏั จกั รฐานข้อมลู (The Database Life Cycle: DBLC) ท่ีมา (Rob and Coronel, 2002, p.326)

2 1. การศึกษาเบือ้ งต้น การศกึ ษาเบอื ้ งต้นมีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ขององค์กร กาหนดปัญหาและข้อจากดั กาหนดวตั ถปุ ระสงค์และขอบเขตของระบบ ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี ้ 1.1 การวิเคราะห์สถานการณ์ขององค์กร เพื่อศึกษาสภาพแวดล้ อมในการทางานขององค์กร ความต้ องการในการปฏิบตั ิงาน โดยควรรู้ว่าโครงสร้างขององค์กรเป็ นอย่างไร ใครเป็ นผู้ควบคมุ อะไร และใครทารายงานให้ใคร เป็นต้น 1.2 กาหนดปัญหาและข้อจากัด โดยการศึกษาว่า ระบบที่มีอยู่มีการทางานอย่างไร ข้อมูลท่ีป้ อนเข้าสู่ระบบมีอะไรบ้าง และระบบสร้างรายงานอะไร มีการใช้รายงานเหล่านีอ้ ย่างไรและใครเป็ นผ้ใู ช้ เพ่ือให้ทราบถึงปัญหาและข้อจากดั ในการป้ อนข้อมลู หรือการค้นหาข้อมลู เพื่อการทารายงาน 1.3 กาหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของระบบ ในการกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ของระบบฐานข้อมูลควรสอดคล้องกบั ความต้องการของผ้ใู ช้ จากคาถามเหลา่ นี ้ - วตั ถปุ ระสงค์แรกเร่ิมของระบบที่นาเสนอคืออะไร - ระบบนีต้ ้องเชื่อมตอ่ กบั ระบบอ่ืนๆ ท่ีมีอยใู่ นองคก์ รหรือไม่ - ระบบนีจ้ ะมีการใช้ข้อมลู ร่วมกนั กบั ระบบหรือผ้ใู ช้อ่ืนหรือไม่ เมื่อทราบวตั ถุประสงค์แล้วก็ทาการกาหนดขอบเขตของระบบโดยการออกแบบตามความต้องการในการปฏิบตั งิ าน เพ่ือใช้ในการออกแบบฐานข้อมลู ตอ่ ไป 2. การออกแบบฐานข้อมูล เมื่อผู้ออกแบบฐานข้อมูลมีความเข้าใจลักษณะขององค์กร ปัญหาและข้อจากัดรวมทงั้ วตั ถปุ ระสงค์และขอบเขตของระบบแล้ว ก็ทาการออกแบบฐานข้อมลู ดงั ตอ่ ไปนี ้ 2.1 การออกแบบเชงิ แนวคิด โดยการพฒั นาแบบจาลองอี-อาร์ (E-R Model) ท่ีใช้อธิบายถึงความสมั พนั ธ์ระหว่างสิ่งที่เราสนใจจะจัดเก็บ ที่เรียกว่า เอนทิตี (entity) และรายละเอียดหรือคุณสมบัติ(attribute) ของสิ่งที่จะจดั เก็บ แล้วทาการแปลงแบบจาลองอี-อาร์ เป็ นโครงสร้างตารางฐานข้อมลูจากนนั้ ก็ทาการนอร์มลั ไลเซชัน (normalization) เพ่ือให้ได้โครงสร้ างของตารางท่ีดี สามารถควบคมุ ความซา้ ซ้อนของข้อมลู หลีกเลี่ยงความผดิ ปกตขิ องข้อมลู

3 2.2 การเลือกโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล ในการตดั สินใจเลือกซือ้ โปรแกรมจดั การฐานข้อมลู ขององค์กรใด ควรพิจารณาถึงสิง่ ตอ่ ไปนี ้ 2.2.1 คา่ ใช้จ่ายตา่ งๆ เชน่ ราคาการซ่อมบารุง การปฏิบตั ิงาน ลิขสิทธิ์ การติดตงั้การฝึกอบรม และคา่ ใช้จา่ ยในการเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ 2.2.2 คณุ ลกั ษณะและเครื่องมือของระบบจดั การฐานข้อมลู โปรแกรมฐานข้อมลูบางตัวจะรวมเอาเคร่ืองมือต่างๆ ท่ีให้ ความสะดวกในงานการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ตวั อยา่ งเชน่ การออกแบบหน้าจอ การสร้างรายงาน การสร้างโปรแกรมประยกุ ต์ และพจนานกุ รมข้อมูล เป็ นต้น ทาให้สะดวกในการบริหารฐานข้อมูล ใช้ง่าย มีความสามารถในการรักษาความปลอดภยั และการควบคมุ การใช้งานพร้อมกนั เป็นต้น 2.2.3 ความสามารถในการใช้ข้าม platforms ข้ามระบบและภาษา 2.2.4 ความต้องการด้านฮาร์ดแวร์ หนว่ ยความจา และเนือ้ ท่ีที่ใช้ในการจดั เก็บ 2.3 การออกแบบทางตรรกะ จะเกี่ยวข้องกบั การตดั สินใจใช้รูปแบบเฉพาะของฐานข้อมลู (แบบลาดบั ชนั้ แบบเครือข่าย และแบบเชิงสัมพันธ์ เป็ นต้น) การกาหนดรูปแบบของฐานข้อมูล ซ่ึงการออกแบบเชิงตรรกะจะเป็ นการแปลงการออกแบบระดับเชิงแนวคิด ให้เป็ นแบบจาลองของฐานข้อมูลในระดบั ภายใน (internal model) ตามระบบการจดั การฐานข้อมูล (DBMS) เช่น MS-Accessและ Oracle โดยการสร้างตาราง ฟอร์ม ควิ รี และรายงาน เป็นต้น 2.4 การออกแบบทางกายภาพ การออกแบบทางกายภาพ คือ กระบวนการในการเลือกหน่วยจดั เก็บข้อมลู และลกั ษณะการเข้าถงึ ข้อมลู ของฐานข้อมลู การสร้างดรรชนี (index) การจดั ทาคลสั เตอร์ (clustering)ซงึ่ เป็ นการจดั เก็บข้อมลู ที่มีการใช้งานบอ่ ยๆ ไว้ในหน่วยเก็บข้อมลู เดียวกนั หรือการใช้เทคนิคแฮชชงิ (hashing technique) ในการจดั ตาแหนง่ ท่ีอยขู่ องข้อมลู ภายในหนว่ ยเก็บข้อมลู เป็นต้น 3. การตดิ ตงั้ ระบบ ขึน้ อยู่กับระบบจดั การฐานข้อมูลท่ีใช้ โดยเริ่มต้นจากการสร้ างฐานข้อมูล กาหนดผ้จู ดั การฐานข้อมลู กาหนดพืน้ ที่ๆ ที่ต้องการใช้ และการสร้างตารางตา่ งๆ ในระบบ 4. การทดสอบและประเมินผล เพื่อการตรวจส อบดูว่าระบบท่ี พัฒนามาสามารถทางานได้ ตามที่ ต้ องการหรื อไ ม่ซง่ึ ควรมีการเตรียมข้อมลู ทดสอบไว้ลว่ งหน้า

4 5. การดาเนินการ เมื่อฐานข้ อมูลผ่านขัน้ ตอนการทดสอบและประเมินผล ต่อไปก็เป็ นขัน้ ตอนการดาเนินการ หรือการติดตงั้ ระบบ ซ่ึงต้องเป็ นระบบที่สมบูรณ์พร้อมให้ผ้ใู ช้ได้ใช้งานนน่ั เอง ซ่ึงอาจรวมไปถึงการฝึกอบรมให้แก่ผ้ใู ช้ ท่ีเป็นพนกั งานที่ต้องใช้งานจริงด้วย 6. การบารุงรักษาและการปรับปรุง หลังจากระบบได้เร่ิมดาเนินการ ผู้จัดการฐานข้อมูลจะต้องเตรียมการบารุงรักษาฐานข้อมลู โดยการสารองข้อมูลไว้ เพื่อสะดวกในการก้คู ืนข้อมลู เมื่อระบบมีปัญหา และหากมีการใช้งานไปนานๆ อาจต้องทาการปรับปรุงแก้ไขโปรแกรมให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ และความต้องการของผ้ใู ช้ที่เปลี่ยนแปลงไป เม่ือเราทราบขัน้ ตอนการพัฒนาระบบฐานข้อมูลทัง้ หมดแล้ว ในบทนีจ้ ะเน้นถึงรายละเอียดของขนั้ ตอนการออกแบบฐานข้อมูลเชิงแนวคิด ตงั้ แต่การพัฒนาแบบจาลองอี-อาร์(E-R Model) และการทานอร์มลั ไลเซชนั (normalization) ดงั รายละเอียดท่ีจะกลา่ วตอ่ ไปแบบจาลองอี-อาร์ แบบจาลองอี-อาร์ (Entity-Relationship Model: E-R Model) เป็ นแบบจาลองข้อมูลท่ีประยกุ ต์มาจากแนวคดิ เร่ือง Semantic Model และมีการพฒั นามาเป็ น E-R Model โดย PeterPin Shan Chen จาก Massachusetts Institute of Technology ในปี ค.ศ. 1976 และได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจบุ นั 1. ความหมายและความสาคัญของแบบจาลองอี-อาร์ แบบจาลองอี-อาร์ เป็ นเครื่องมือที่ใช้ในการออกแบบฐานข้อมลู ที่แสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเอนทิตีหรือส่ิงที่เราต้องการจะจดั เก็บไว้ในฐานข้อมลู โดยนาเสนอในรูปของของแผนภาพท่ีเรียกวา่ อี-อาร์ไดอะแกรม (E-R Diagram) ด้วยการใช้สญั ลกั ษณ์ตา่ งๆ แบบจาลองอี-อาร์ มีความสาคัญในการเป็ นสื่อกลางเพื่อส่ือสารกับบุคลากรต่างๆท่ีเกี่ยวข้องกบั ระบบฐานข้อมลู ไมว่ า่ จะเป็ นในระดบั ผ้บู ริหาร นกั เขียนโปรแกรม และผ้ใู ช้ในระดบัปฏิบัติการ เป็ นต้น ทาให้เข้าใจระบบได้อย่างถูกต้องตรงกัน เน่ืองจากมีการแสดงภาพรวมของระบบในลักษณะของรูปภาพหรือแผนภาพ ทาให้เข้าใจง่าย ดงั นนั้ ระบบท่ีออกแบบมาจึงมีความถกู ต้องและเป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ขององค์กร

5 2. องค์ประกอบของแบบจาลองอี-อาร์ แบบจาลองอี-อาร์ ประกอบด้วย เอนทิตี แอตทริบิวต์ คีย์ และความสัมพันธ์ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี ้ 2.1 เอนทติ ี เอนทิตี (entity) คอื ส่งิ ตา่ งๆ ท่ีผ้ใู ช้งานฐานข้อมลู ต้องการจะจดั เก็บ ซ่งึ มีลกั ษณะเป็นคานาม ทงั้ รูปธรรมและนามธรรม เชน่ บคุ คล สถานที่ วตั ถสุ ิ่งของ และเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ เป็ นต้นตวั อยา่ งของเอนทติ ใี น “ระบบการลงทะเบียนเรียนของนกั ศกึ ษา” ประกอบด้วย รายวิชา นกั ศกึ ษาการลงทะเบียน ผลการเรียนประจาเทอม สาขาวิชา คณะ และโปรแกรมวิชา เป็นต้น เอนทิตีท่ีรวบรวมได้จากระบบสามารถแยกแยะและจดั เป็ นหมวดหมไู่ ด้ตามชนิดของเอนทิตี ได้ดงั ตอ่ ไปนี ้ - หมวดบุคคล ได้แก่ เอนทิตี  นักศึกษา พนักงาน ประชาชน ผู้ป่ วย และลกู ค้า เป็นต้น - หมวดสถานท่ี ได้แก่ เอนทิตี  รัฐ ประเทศ จงั หวดั ภาค สาขา และวิทยาเขตเป็ นต้น - หมวดวตั ถุ ได้แก่ เอนทิตี  อาคาร เคร่ืองจกั ร ผลผลิต หนงั สือ วตั ถดุ บิ และรถยนต์ เป็นต้น - หมวดเหตุการณ์ ได้แก่ เอนทิตี  การขาย การลงทะเบียน การเดินทางการสงั่ ซือ้ ของ การออกใบเสร็จรับเงิน และการให้รางวลั เป็นต้น ในอี-อาร์ไดอะแกรม ใช้สญั ลกั ษณ์รูปส่ีเหล่ียมผืนผ้า แทนหนึ่งเอนทิตี โดยใช้ช่ือของเอนทติ นี นั้ ๆ กากบั อยภู่ ายใน เชน่นกั ศกึ ษา แทน เอนทิตีนักศึกษา 2.2 แอตทริบิวต์ แอตทริบิวต์ (attribute) คือ คุณสมบตั ิต่างๆ ของเอนทิตีท่ีเราต้องการจดั เก็บในฐานข้อมลู ตวั อยา่ งเชน่ - เอนทิตีบตั รประชาชน ประกอบด้วยแอตทริบิวต์ หรือสิ่งที่บง่ บอกคณุ สมบตั ิของประชาชนแตล่ ะคน ได้แก่ หมายเลขบตั รประชาชน ช่ือ นามสกลุ วนั เดอื นปี เกิด ภมู ิลาเนา วนั ท่ีออกบตั ร วนั ท่ีบตั รหมดอายุ สว่ นสงู นา้ หนกั และกรุ๊ปเลือด เป็นต้น - เอนทิตีพนกั งาน ประกอบด้วยแอตทริบิวต์ ได้แก่ รหสั พนกั งาน ชื่อ นามสกุลท่ีอยู่ เบอร์โทรศพั ท์ สถานภาพสมรส และเงินเดอื น เป็นต้น

6 - เอนทิตสี ินค้า ประกอบด้วยแอตทริบวิ ต์ ได้แก่ รหสั สนิ ค้า ช่ือสินค้า ราคา และจานวน เป็นต้น - เอนทิตนี กั ศกึ ษา ประกอบด้วยแอตทริบวิ ต์ ได้แก่ รหสั นกั ศกึ ษา ช่ือ นามสกลุเพศ วนั เดือนปี เกิด ท่ีอยู่ และเบอร์โทรศพั ท์ เป็นต้น - เอนทิตีวิชา ประกอบด้วยแอตทริบิวต์ ได้แก่ รหัสวิชา ชื่อวิชา และจานวนหนว่ ยกิต เป็นต้น คา่ ของข้อมลู ในแตล่ ะแอตทริบวิ ต์ประกอบกนั เรียกว่า ทูเพิล (tuple) ซึง่ เป็ นแถวของข้อมูลในตาราง โดยแต่ละแถวหรือแต่ละทูเพิลจะประกอบด้วยหลายแอตทริบิวต์หรือหลายคอลัมน์ของข้อมูล จานวนแถวของข้อมูลในตารางเรียกว่า Cardinality และจานวนแอตทริบิวต์ทงั้ หมดในตารางเรียกว่า Degree อย่างเช่น จากภาพท่ี 6.2 มี 4 Cardinality 5Degree แอตทริบวิ ต์ (attribute)ทเู พลิ รหสั นักศกึ ษา ช่ือ นามสกลุ โปรแกรมวิชา คณะ(tuple) 4800111 สาธิต กิตตพิ งศ์ คอมพวิ เตอร์ วิทยาศาสตร์ 4800222 ชานนท์ สกลุ วงศ์ บรรณารักษศาสตร์ มนษุ ยศาสตร์ 4800333 ธญั ญา โชตชิ ่วง บรรณารักษศาสตร์ มนษุ ยศาสตร์ 4800444 โสภณ ปัญญาเลศิ บริหารธุรกิจ วทิ ยาการจดั การ ภาพท่ี 1.2 ตวั อยา่ งแอตทริบวิ ต์ ทเู พิล และเอนทิตีนกั ศกึ ษา ในอี-อาร์ไดอะแกรม ใช้สญั ลักษณ์รูปวงรี แทนหน่ึงแอตทริบิวต์ โดยใช้ชื่อของแอตทริบวิ ตน์ นั้ ๆ กากบั อยภู่ ายใน เชน่ ชื่อ แทนแอตทริบวิ ต์ของช่ือ

7 2.3 คีย์ คีย์ (key) คือ แอตทริบิวต์ท่ีสามารถใช้บ่งบอกความแตกตา่ งของแตล่ ะทูเพิลได้อาจเป็นแอตทริบวิ ตเ์ ดีย่ วๆ หรือ กลมุ่ ของแอตทริบวิ ต์ก็ได้ ประเภทของคีย์ประกอบด้วย 2.3.1 ซุปเปอร์คีย์ (super key) คือ แอตทริบิวต์หรือกลุ่มของแอตทริบิวต์ที่สามารถบง่ บอกความแตกตา่ งของแตล่ ะทเู พิลได้ตารางท่ี 1.1 ข้อมลู ในเอนทิตีนกั ศกึ ษารหสั นักศึกษา ช่ือ นามสกุล เลขท่บี ัตรประชาชน ประเสริฐกลุ 312010047599148001 สามารถ ปัญญาเลศิ 3120100475992 วิเศษศริ ิ 312010047599348002 วิชา48003 นา้ ทิพย์ จากตารางท่ี 1.1 ประกอบไปด้วยซปุ เปอร์คยี ์ดงั ตอ่ ไปนี ้ - รหสั นกั ศกึ ษา - รหสั นกั ศกึ ษา, ช่ือ - รหสั นกั ศกึ ษา, ช่ือ, นามสกลุ - เลขท่ีบตั รประชาชน 2.3.2 คีย์คู่แข่ง (candidate key) คือ ซุปเปอร์คีย์ที่น้อยท่ีสดุ ที่สามารถบง่บอกความแตกตา่ งของแตล่ ะทเู พลิ ได้ จากตารางที่ 1.1 ประกอบไปด้วยคีย์คแู่ ขง่ ดงั ตอ่ ไปนี ้ – รหสั นกั ศกึ ษา – เลขท่ีบตั รประชาชน 2.3.3 คีย์หลัก (primary key) คือ คีย์คแู่ ข่งท่ีถูกเลือก เพ่ือใช้บ่งบอกความแตกตา่ งของแตล่ ะทเู พลิ จากตารางที่ 1.1 คีย์หลกั คือ รหสั นกั ศกึ ษา หรือเลขที่บตั รประชาชนอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ

8 คุณสมบัตขิ องคีย์หลัก 1) คยี ์หลกั ซา้ กนั ไมไ่ ด้ 2) คีย์หลักอาจเป็ นแค่หนึ่งแอตทริบิวต์หรือกลุ่มของแอตทริบิวต์ก็ได้อย่างเช่น ในตารางท่ี 1.1 มีแอตทริบิวต์เดียวท่ีเป็ นคีย์หลัก ซึ่งอาจจะเป็ น “รหัสนกั ศึกษา” หรือ”เลขท่ีบตั รประชาชน” ก็ได้ แต่ข้อมูลบางตารางอาจต้องอาศยั แอตทริบิวต์ตงั้ แต่ 2 ตวั ขึน้ ไปมาประกอบกนั เป็นคยี ์หลกั เพื่อให้เกิดความแตกตา่ งระหวา่ งทเู พลิ ดงั เชน่ ในตารางท่ี 1.2ตารางท่ี 1.2 ข้อมลู ในเอนทิตีการลงทะเบยี นเรียนของนกั ศกึ ษา ปี การศกึ ษา 1/55รหสั นักศึกษา ช่ือ รหสั วชิ า ช่ือวชิ า ปี การศกึ ษา5520249001 ปรีชา 111 คอมพิวเตอร์ 1/555520249001 ปรีชา 222 ภาษาไทย 1/555520249002 เกรียงไกร 111 คอมพิวเตอร์ 1/555520249003 ฉตั รชยั 333 ภาษาองั กฤษ 1/555520249003 ฉตั รชยั 222 ภาษาไทย 1/555520249003 ฉตั รชยั 444 สิ่งแวดล้อม 1/55 จากตารางที่ 1.2 ไม่สามารถให้แอตทริบิวต์รหสั นักศึกษา เป็ นคีย์หลักเพียงแอตทริบวิ ต์เดียวได้ เพราะจะเห็นวา่ รหสั นกั ศกึ ษา 5520249001 ของทเู พิลหรือแถวที่ 1 จะไปซา้ กบั แถวที่ 2 แตถ่ ้าให้แอตทริบวิ ต์ “รหสั นกั ศกึ ษา” และ “รหสั วิชา” เป็ นคีย์หลกั แล้วพิจารณาข้อมูลของ 2 แอตทริบิวต์นี ้ จะเห็นว่าข้อมูลไม่ซา้ กันแล้ว ดังนัน้ ตารางท่ี 1.2 จึงมีคีย์หลักซ่ึงประกอบด้วยแอตทริบวิ ต์ 2 ตวั ประกอบกนั คอื “รหัสนักศึกษา” และ “รหสั วิชา” 3) คีย์หลกั จะเป็ นคา่ วา่ ง (null) ไมไ่ ด้ เพราะฉะนนั้ ในการกรอกข้อมลู ตา่ งๆลงในตาราง แอตทริบิวต์ใดท่ีเรากาหนดให้เป็ นคีย์หลกั ต้องกรอกข้อมลู ให้ครบ คือ จะไม่มีคา่ ไมไ่ ด้แตแ่ อตทริบวิ ตอ์ ่ืนอาจจะปล่อยเว้นวา่ งไว้ก็ได้ถ้าไมท่ ราบคา่2.3.4 คีย์นอก (foreign key) คือ แอตทริบิวต์ท่ีใช้ในการเช่ือมตอ่ กบั เอนทิตีอ่ืนๆ เพ่ือแสดงความสมั พนั ธ์ คุณสมบัตขิ องคีย์นอก คือ - คยี ์นอกสามารถมีคา่ ซา้ กนั ได้ - คยี ์นอกสามารถเป็นคา่ วา่ งได้ - คีย์นอกที่ไมเ่ ป็นคา่ วา่ งจะเป็นคา่ ท่ีชีไ้ ปยงั คีย์หลกั ของเอนทิตีที่สมั พนั ธ์กนั

9 รหสั นักศกึ ษา ช่ือนักศกึ ษา GPA 4800555 กรรณิการ์ สกลุ ศรี 2.50 4800999 สายสมร ปัญญาเลิศ 3.75 คีย์นอก รหสั นักศกึ ษา รหสั วชิ า เกรด 4800555 40001 B 4800555 40005 C 4800999 40001 A รหัสวิชา ช่ือวชิ า หน่วยกติ 40001 ภาษาไทย 2 40005 คณิตศาสตร์ 3ภาพท่ี 1.3 แอตทริบวิ ต์ท่ีเป็ นคยี ์นอกที่ใช้ในการเชื่อมตอ่ กบั เอนทติ ีอื่น 2.3.5 คีย์รอง (secondary key) คือ แอตทริบิวต์ท่ีไม่เป็ น key หลกั แต่สามารถใช้ในการค้นหาข้อมูลนนั้ ๆ ได้ โดยคีย์รองจะมีค่าซา้ กนั ได้ ตวั อย่างเช่น ในตารางท่ี 1.3มีรหสั นกั ศกึ ษาเป็ นคีย์หลกั แตห่ ากต้องการค้นหาข้อมลู จากช่ือนกั ศกึ ษา แอตทริบิวต์ช่ือก็จะเป็ นคีย์รอง หรือถ้าต้องการค้นหาข้อมูลจากนามสกุลนักศึกษา แอตทริบิวต์นามสกุลก็จะเป็ นคีย์รอง เป็นต้นตารางท่ี 3.3 คีย์รองที่ใช้ในการค้นหาข้อมลูรหัสนักศึกษา ช่ือ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ 55111 สามารถ ประเสริฐกลุ 0-1111-1111 55112 วชิ า ปัญญาเลศิ 0-2222-2222 55113 นา้ ทพิ ย์ วเิ ศษศริ ิ 0-5555-5555 55114 สมจติ ร์ สมสกลุ วงศ์ 0-6666-6666 55115 วิชา รักศกั ดศิ์ รี 0-9999-9999

10 2.4 ความสัมพนั ธ์ ความสัมพนั ธ์ (relationship) เป็ นการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีท่ีมีความความสัมพนั ธ์กัน ว่ามีความสมั พนั ธ์กันอย่างไร โดยในอี-อาร์ไดอะแกรมใช้สัญลกั ษณ์รูปส่ีเหล่ียมข้าวหลามตัด ท่ีมีช่ือของความสมั พันธ์นนั้ กากับอยู่ภายใน และเช่ือมต่อกับเอนทิตีที่เกี่ยวข้องกบั ความสมั พนั ธ์ด้วยเส้นตรง ดงั ตวั อยา่ งด้านลา่ ง นักศึกษา สังกัด คณะ ลูกค้า ได้รับ ใบเสร็จ ภาพท่ี 1.4 ตวั อยา่ งความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเอนทิตี ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีแบ่งเป็ น 3 ประเภท คือ ความสัมพันธ์แบบหน่ึงต่อหน่ึง ความสมั พนั ธ์แบบหน่ึงต่อกล่มุ และความสมั พนั ธ์แบบกล่มุ ตอ่ กล่มุ ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี ้ 2.4.1 ความสัมพันธ์แบบหน่ึงต่อหน่ึง (one to one relationship หรือ 1:1)หมายถึง ข้อมูลในเอนทิตีหนึ่ง มีความสัมพันธ์กับข้อมูลในอีกหนึ่งเอนทิตีเพียงข้อมูลเดียวตวั อย่างเช่น นกั ศกึ ษาแตล่ ะคนจะมีสตู ิบตั รได้เพียงใบเดียวเท่านนั้ และสตู บิ ตั รหนึ่งใบก็เป็ นของนกั ศกึ ษาได้เพียงคนเดียวเทา่ นนั้ เชน่ กนั นักศกึ ษา 1 มี 1 สูตบิ ัตร ภาพท่ี 1.5 ความสมั พนั ธ์ของข้อมลู แบบหนง่ึ ตอ่ หนง่ึ ในการพิจารณาความสมั พนั ธ์ระหว่างเอนทิตีแบบหน่ึงตอ่ หนึ่ง ต้องมองสองทิศ คือ มองจากซ้ายไปขวา และก็ต้องมองจากขวาไปซ้าย แล้วจึงนาความสมั พนั ธ์ทงั้ สองทิศมาพิจารณารวมกนั ดงั ภาพที่ 1.6

11นักศึกษา 1 1 สูตบิ ัตรนักศึกษา 1 1 สูตบิ ัตร1X1=1 1X1=1 1: 1ภาพท่ี 1.6 วธิ ีการพิจารณาความสมั พนั ธ์แบบหนงึ่ ตอ่ หนง่ึ 2.4.2 ความสัมพันธ์แบบหน่ึงต่อกลุ่ม (one to many relationship หรือ1:M) หมายถึง ข้อมลู ในเอนทติ หี น่งึ มีความสมั พนั ธ์กบั ข้อมลู ในอีกหนึ่งเอนทิตีมากกวา่ หนง่ึ ข้อมลูตวั อย่างเช่น ลกู ค้าหนึง่ คนมีใบเสร็จได้หลายใบ เน่ืองจากลกู ค้าหนึ่งคนอาจมาซือ้ สินค้าหลายครัง้แตใ่ บเสร็จหนงึ่ ใบต้องเป็นของลกู ค้าเพียงคนเดยี วเทา่ นนั้ลูกค้า 1 มี M ใบเสร็จ ภาพท่ี 1.7 ความสมั พนั ธ์ของข้อมลู แบบหนงึ่ ตอ่ กลมุ่ ในการพิจารณาความสมั พนั ธ์ระหว่างเอนทิตีแบบหนึง่ ตอ่ กลมุ่ ต้องมองสองทิศ คือ มองจากซ้ายไปขวา และก็ต้องมองจากขวาไปซ้าย แล้วจึงนาความสมั พนั ธ์ทงั้ สองทิศมาพจิ ารณารวมกนั ดงั ภาพท่ี 1.8ลูกค้า 1 M ใบเสร็จลูกค้า 1 1 ใบเสร็จ1X1=1 MX1=M 1: Mภาพท่ี 1.8 วิธีการพจิ ารณาความสมั พนั ธ์แบบหนง่ึ ตอ่ กลมุ่

12 2.4.3 ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (many to many relationship หรือM:M) หมายถึง ข้อมลู มากกวา่ หนง่ึ ข้อมลู ในเอนทติ หี นงึ่ มีความสมั พนั ธ์กบั ข้อมลู ในอีกหนึ่งเอนทิตีมากกว่าหน่ึงข้อมลู ตวั อยา่ งเชน่ นกั ศกึ ษาหนงึ่ คนสามารถลงทะเบียนเรียนได้หลายวิชา และวิชาแตล่ ะวชิ ามีนกั ศกึ ษาลงทะเบียนเรียนได้หลายคนนักศึกษา M ลงทะเบียน M วชิ า เรียนภาพท่ี 1.9 ความสมั พนั ธ์ของข้อมลู แบบกลมุ่ ตอ่ กลมุ่ ในการพิจารณาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเอนทิตีแบบกล่มุ ตอ่ กล่มุ ต้องมองสองทิศ คือ มองจากซ้ายไปขวา และก็ต้องมองจากขวาไปซ้าย แล้วจึงนาความสมั พนั ธ์ทงั้ สองทิศมาพิจารณารวมกนั ดงั ภาพที่ 1.10นักศกึ ษา 1 M วิชานักศึกษา M 1 วิชา1XM=M MX1=M M: Mภาพท่ี 1.10 วธิ ีการพจิ ารณาความสมั พนั ธ์แบบกลมุ่ ตอ่ กลมุ่

133. สัญลักษณ์ในแบบจาลองอี-อาร์ ตารางท่ี 1.4 สญั ลกั ษณ์ที่สาคญั ๆ ในแบบจาลองอี-อาร์ สัญลักษณ์ ความหมาย เอนทติ ี ความสมั พนั ธ์ แอตทริบวิ ต์ คีย์หลกัตัวอย่าง นกั ศกึ ษา และ วิชา เป็ นเอนทิตีที่เราสนใจจะจดั เก็บ ซึ่งเอนทิตีนกั ศกึ ษาจะประกอบด้วยแอตทริบิวต์ ได้แก่ รหัสนักศึกษา ช่ือนกั ศึกษา นามสกุล และเบอร์โทรศัพท์ เป็ นต้น โดยมีรหัสนกั ศึกษาเป็ นคีย์หลกั ส่วนเอนทิตีวิชาจะประกอบด้วยแอตทริบิวต์ ได้แก่ รหสั วิชา ช่ือวิชา และจานวนหนว่ ยกิต เป็ นต้น โดยมีรหสั วิชาเป็ นคีย์หลกั ซ่งึ ความสมั พนั ธ์ระหว่างเอนทิตีนกั ศกึ ษาและเอนทติ วี ชิ า เป็ นแบบกลมุ่ ตอ่ กลมุ่ คือ นกั ศกึ ษาหนงึ่ คนสามารถลงทะเบียนเรียนได้หลายวิชา และวิชาแต่ละวิชามีนักศกึ ษาลงทะเบียนเรียนได้หลายคน ดงั นนั้ เราสามารถนาเสนอในรูปของของแผนภาพ ท่ีเรียกวา่ อี-อาร์ไดอะแกรม (E-R Diagram) ด้วยการใช้สญั ลกั ษณ์ตา่ งๆ ดงั นี ้รหัสนักศึกษา ช่ือนักศึกษา รหสั วิชา นักศกึ ษา M ลงทะเบียน M วิชา เรียน จานวนหน่วยกตินามสกลุ เบอร์ โทรศัพท์ ช่อื วชิ า ภาพท่ี 1.11 ตวั อย่างของ อี-อาร์ไดอะแกรม (E-R Diagram)

14 4. การแปลงแบบจาลองอี-อาร์เป็ นโครงสร้างตารางฐานข้อมูล ขัน้ ตอนในการแปลงแบบจาลองอี-อาร์เป็ นโครงสร้ างของตารางในฐานข้ อมูลมีขนั้ ตอนดงั ตอ่ ไปนี ้ 4.1 แปลงเอนทติ ีปกตใิ นแบบจาลองอี-อาร์เป็ น 1 ตาราง ซงึ่ ประกอบด้วยแอตทริบิวต์ของเอนทิตีนัน้ ๆ โดยชื่อของตารางก็คือช่ือของเอนทิตี และแอตทริบิวต์ของเอนทิตี ก็คือแอตทริบิวต์ของตาราง สาหรับแอตทริบวิ ต์ที่เป็ นคีย์หลกั ของตาราง ให้ขีดเส้นใต้ท่ีแอตทริบิวต์นนั้เชน่ เดยี วกบั ในแบบจาลองอี-อาร์ ซง่ึ จากภาพที่ 1.11 นามาแปลงเป็นตารางได้ 2 ตาราง คือ นักศกึ ษา ช่ือ นามสกุล เบอร์ โทรศัพท์รหสั นักศึกษา สามารถ ประเสริฐกลุ 0-1111-1111 วชิ า ปัญญาเลศิ 0-2222-2222 55111 55112 วิชา ช่ือวชิ า หน่วยกิตรหัสวิชา ภาษาไทย 240001 คณิตศาสตร์ 340005 ภาพท่ี 1.12 โครงสร้างของตารางในฐานข้อมลู จากการแปลงเอนทิตีปกตใิ นแบบจาลองอี-อาร์ 4.2 แปลงความสัมพันธ์เป็ นตาราง 4.2.1 แปลงความสัมพันธ์แบบ 1 : M นัน้ ไม่ต้องสร้างตารางใหม่ แตใ่ ห้นาแอตทริบิวต์ ที่เป็ นคีย์หลกั ของเอนทิตีที่อย่ดู ้านความสมั พนั ธ์ท่ีเป็ น 1 ไปเพ่ิมเป็ นแอตทริบิวต์ของตารางด้านท่ีมีความสมั พนั ธ์เป็น M 4.2.2 แปลงความสัมพันธ์แบบ M : M จะได้ตารางใหม่ 1 ตาราง ซ่ึงประกอบด้วยแอตทริบิวต์ของความสมั พนั ธ์นนั้ รวมกบั แอตทริบิวต์ที่เป็ นคีย์หลกั ของ 2 เอนทิตีท่ีมีความสมั พนั ธ์ แบบ M : M

15 จากแบบจาลองอี-อาร์ในภาพที่ 1.11 สามารถสร้ างตารางตามขนั้ ตอนนีไ้ ด้อีก1 ตาราง คือ ตารางการลงทะเบียน ซ่ึงประกอบด้วยแอตทริบิวต์ รหัสนักศึกษา (คีย์หลักของเอนทิตีนักศึกษา) และ รหัสวิชา (คีย์หลักของเอนทิตีวิชา) ฉะนนั้ ตารางใหม่ท่ีเกิดขึน้ ซ่ึงก็คือตารางการลงทะเบยี น มี รหสั นกั ศกึ ษาและรหสั วิชา เป็นคีย์หลกั ดงั นี ้ การลงทะเบียน รหสั นักศกึ ษา รหสั วิชา 48111 40001 48111 40005 48112 40001 ภาพท่ี 1.13 โครงสร้างของตารางท่ีได้จากการแปลงความสมั พนั ธ์แบบ M:M จากการแปลงแบบจาลองอี-อาร์ตามขนั้ ตอนข้างต้น สรุปตารางท่ีได้ทงั้ หมด 3ตาราง ดงั ตอ่ ไปนี ้นักศกึ ษารหสั นักศกึ ษา ช่ือ นามสกุล เบอร์ โทรศัพท์ 0-1111-111148111 สามารถ ประเสริฐกลุ 0-2222-222248112 วชิ า ปัญญาเลิศวชิ ารหัสวชิ า ช่ือวชิ า หน่วยกิต40001 ภาษาไทย 240005 คณิตศาสตร์ 3การลงทะเบียนรหสั นักศกึ ษา รหัสวชิ า48111 4000148111 4000548112 40001ภาพท่ี 1.14 โครงสร้างฐานข้อมลู การลงทะเบียนเรียนของนกั ศกึ ษา

16 ทงั้ นีโ้ ครงสร้างฐานข้อมลู ท่ีได้จากการแปลงแบบจาลองอี-อาร์นนั้ จะอย่ใู น 1NF ดงั นนั้ จึงจาเป็ นต้องนามาทานอร์มลั ไลเซชนั ตอ่ เพื่อให้ได้ฐานข้อมูลที่ปราศจากความซา้ ซ้อนหรือซา้ ซ้อนน้อยท่ีสดุ แต่ถ้าได้ทาการออกแบบฐานข้อมลู โดยการใช้แบบจาลองอี-อาร์ มาอย่างถกู ต้องแล้วเมื่อแปลงเป็นโครงสร้างฐานข้อมลู แบบสมั พนั ธ์ จะได้โครงสร้างความสมั พนั ธ์ท่ีจดั กลมุ่ ของแอตทริบิวต์มาเป็ นอย่างดี และบางทีโครงสร้างของความสมั พนั ธ์ท่ีได้นนั้ อาจอยใู่ นนอร์มลั ฟอร์มที่สงู กวา่นอร์มลั ฟอร์มท่ี 1 แล้ว อย่างไรก็ตามขนั้ ตอนถัดมาจาเป็ นต้องวิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ ระหว่างแอตทริบวิ ต์ ซง่ึ ก็คอื วธิ ีนอร์มลั ไลเซชนั ท่ีจะกลา่ วตอ่ ไปนอร์มัลไลเซชัน (Normalization) การออกแบบฐานข้อมูลที่ดี ต้องมีความซา้ ซ้อนในการจดั เก็บข้อมูลน้อยที่สุด หรือไม่มีความซา้ ซ้อนเลย ซง่ึ ต้องอาศยั หลกั การในการทานอร์มลั ไลเซชนั ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี ้ 1. แนวคิดเก่ียวกับนอร์มัลไลเซชัน นอร์มลั ไลเซชนั เป็นวิธีการท่ีใช้ในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกบั ความซา้ ซ้อนของข้อมลู โดยดาเนินการให้ข้อมลู ในแตล่ ะรีเลชนั่ (relation) อยใู่ นรูปท่ีเป็ นหน่วยท่ีเล็กท่ีสดุ ที่ไม่สามารถแตกออกเป็ นหน่วยยอ่ ยๆ ได้อีก โดยยงั คงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งข้อมลู ในรีเลชนั่ ตา่ งๆ ไว้ตามหลกั การท่ีกาหนดไว้ใน relational model การทานอร์มลั ไลเซชนั นี ้เป็ นการดาเนินการอยา่ งเป็ นลาดบั ท่ีกาหนดไว้ด้วยกนั เป็ นขนั้ ตอน ตามปัญหาที่เกิดขึน้ ในขนั้ ตอนนนั้ ๆ ซ่ึงแต่ละขนั้ ตอนจะมีช่ือตามโครงสร้างข้อมลู ที่กาหนดไว้ดงั นี ้ 1. First Normal Form (1NF) 2. Second NormalForm (2NF) 3. Third Normal Form (3NF) 4. Boyce-Codd Normal Form (BCNF) 5. FourthNormal Form (4NF) และ 6. Fifth Normal Form (5NF) ในการออกแบบฐานข้อมลู เพื่อลดความซา้ ซ้อนในการจดั เก็บข้อมูลอย่างน้อยต้องมีคณุ สมบตั ิเป็ น 3 NF เพราะจริงๆ แล้ว ในการทางานทว่ั ๆ ไป แค่ 3 NF ก็สามารถใช้งานได้แล้ว แตส่ าหรับ BCNF ไปจนถึง 5NF เป็ นฐานข้อมลูชนดิ พเิ ศษจริงๆ ท่ีแทบจะไมม่ ีในชีวิตประจาวนั โอกาสพบประมาณ 0.01 % ดงั นนั้ ในท่ีนีจ้ ะศกึ ษาเพียงแค่ 1NF 2NF และ 3NF เทา่ นนั้ เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการศกึ ษาระดบั อ่ืนตอ่ ไป

17 2. รูปแบบของนอร์มัลฟอร์ม (Normal Form : NF) 2.1 First Normal Form (1NF) ตารางที่ผ่านการทานอร์มลั ไลเซชนั ระดบั ที่ 1 หรือ First Normal Form ต้องมีคณุ สมบตั ดิ งั นี ้ไม่มีคอลัมน์ใดในตารางท่ีมีค่ามากกว่า 1 ค่า คือ ค่าในแต่ละคอลัมน์ต้องเป็ น atomic หรือไม่อยู่ในรูปของ repeating group หมายความวา่ ข้อมลู ท่ีเก็บในแตล่ ะคอลมั น์จะต้องมีลกั ษณะเป็ นคา่ เดียว (singlevalued) ไมส่ ามารถแบง่ ยอ่ ยได้อีก ในการทานอร์มลั ไลเซชนั จะต้องดขู ้อมลู ในตารางเป็ นหลกั ตวั อย่างเช่น ข้อมลู ในตารางท่ี 1.5 แสดงการเก็บข้อมลู เก่ียวกบั นกั ศกึ ษา ซ่งึ แตล่ ะคนสามารถอย่ชู มรมและมีงานอดิเรกได้มากกวา่ 1 อยา่ งตารางท่ี 1.5 ข้อมลู นกั ศกึ ษารหสั นักศกึ ษา ช่ือ ท่อี ยู่ ชมรม งานอดเิ รก 55001 นารี ศิริพร กรุงเทพ ดนตรี เลน่ กีต้าร์ อาสาพฒั นาชนบท อนรุ ักษ์สิ่งแวดล้อม55002 ศรีสมร อมรชยั นนทบรุ ี พระพทุ ธศาสนา สะสมพระเคร่ือง ร้ องเพลง55003 อรอนงค์ สมประสงค์ กรุงเทพ ดนตรี ตีกลอง จากตารางที่ 1.5 จะเห็นว่าข้อมูลในคอลมั น์ชมรมและงานอดิเรกมีค่ามากกว่า1 ค่า แสดงว่าไม่เป็ น atomic หรืออย่ใู นรูปของ repeating group ดงั นนั้ ตารางที่ 1.5 จึงไม่เป็ น1NF โดยเราจะเรียกตารางท่ียงั ไมผ่ า่ นแม้แต่ 1NF วา่ Unnormalized Form (UNF) ซึ่งมีวิธีการท่ีจะทาให้เป็น 1NF คอื 1) แยกคอลมั น์ที่มีคา่ มากกวา่ 1 คา่ ออกเป็นแถวใหม่ 2) เพิ่มข้อมลู ท่ีเหมาะสมเข้าไปในคอลมั น์ท่ีวา่ งอยขู่ องแถวที่เกิดขนึ ้ ใหม่ จากตารางที่ 1.5 ที่ไมม่ ีคณุ สมบตั เิ ป็ น 1NF สามารถทาให้มีคณุ สมบตั เิ ป็น 1NFได้ดงั ตารางที่ 1.6 ซงึ่ มีรหสั นกั ศกึ ษา ชมรม และงานอดเิ รก เป็นคยี ์หลกั

18ตารางท่ี 1.6 ข้อมลู นกั ศกึ ษาท่ีผา่ นการทานอร์มลั ไลเซชนั ระดบั ที่ 1 แล้วรหัสนักศึกษา ช่ือ ท่ีอยู่ ชมรม งานอดเิ รก55001 นารี ศิริพร กรุงเทพ ดนตรี เลน่ กีต้าร์55001 นารี ศริ ิพร กรุงเทพ อาสาพฒั นาชนบท เลน่ กีต้าร์55001 นารี ศริ ิพร กรุงเทพ อนรุ ักษ์ส่ิงแวดล้อม เลน่ กีต้าร์55002 ศรีสมร อมรชยั นนทบรุ ี พระพทุ ธศาสนา สะสมพระเคร่ือง55002 ศรีสมร อมรชยั นนทบรุ ี พระพทุ ธศาสนา ร้องเพลง55003 อรอนงค์ สมประสงค์ กรุงเทพ ดนตรี ตีกลอง สาเหตทุ ่ีแยกคอลมั น์ที่มีคา่ มากกวา่ 1 คา่ ออกเป็นแถวใหม่ เนื่องจากไมร่ ู้จานวนที่แนน่ อนของคา่ ที่มีอยใู่ นคอลมั น์นนั้ เช่น ไม่ทราบวา่ นกั ศกึ ษาแตล่ ะคนจะมีงานอดิเรกกันคนละไม่เกินก่ีอย่าง แต่ถ้าเราทราบจานวนที่แน่นอนของคอลมั น์ท่ีมีหลายคา่ นนั้ เราอาจแยกเป็ นคอลมั น์ใหมไ่ ด้เลย ตวั อยา่ งเชน่ การเก็บชื่อผ้แู ตง่ ของหนงั สือในห้องสมดุ ซงึ่ หนงั สือเลม่ หนึ่งอาจจะมีผ้แู ตง่หลายคน แตใ่ นการเก็บชื่อผ้แู ตง่ จะเก็บเพียง 3 คนเทา่ นนั้ ในกรณีนีค้ วรจะแบง่ คอลมั น์ซ่ึงเก็บช่ือผู้แต่งออกเป็ นหลายคอลัมน์โดยขึน้ กับจานวนผู้แต่งที่มากที่สุดท่ีมีอยู่หรื อเราต้องการเก็บข้อมูลเอาไว้ ซงึ่ จะทาให้คา่ ของแตล่ ะคอลมั น์ เป็น Atomic ดงั ตารางตอ่ ไปนี ้ตารางท่ี 1.7 การเก็บข้อมลู หนงั สือ ท่ีมีคณุ สมบตั เิ ป็น 1NFISBN ช่ือหนังสือ ผู้แต่ง 1 ผู้แต่ง 2 ผู้แต่ง 39749151001 การจดั การฐานข้อมลู วาสนา ทรัพย์แก้ว กาญจนา เผอื กคง9749151002 ระบบสารสนเทศ วิเชียร เธียรชยั นฤมล สมสกลุ9749151003 เทคโนโลยีสารสนเทศ สขุ มุ เฉลยทรัพย์ ปริศนา มชั ฌิมา ถงึ แม้วา่ ตารางท่ี 1.6 จะได้รับการออกแบบให้อยใู่ นรูป 1NF แล้ว แตล่ กั ษณะของข้อมลู ภายในอาจกอ่ ให้เกิดปัญหาขนึ ้ ได้อีก เชน่ ข้อมลู ท่ีเก่ียวกบั นกั ศกึ ษารหสั 55001 ถกู จดั เก็บไว้ในแถวที่ 1, 2 และ 3 ได้แก่ ช่ือ และท่ีอยู่ โดยจะเห็นว่าเป็ นการเก็บข้อมูลที่ซา้ ซ้อนกัน ทาให้สนิ ้ เปลืองเนือ้ ท่ีในการจดั เก็บ และกอ่ ให้เกิดปัญหาในการเปลี่ยนแปลงข้อมลู ด้วย เช่น ถ้านกั ศกึ ษารหสั 55001 มีการเปล่ียนช่ือ หรือที่อยู่ ก็ต้องทาการแก้ไขข้อมลู หลายแถว ซงึ่ ถ้ามีการแก้ไขข้อมลูไม่ครบ ก็อาจทาให้ข้อมลู ภายในตารางเกิดความขดั แย้งกนั ได้ ดงั นนั้ จงึ ต้องมีการนอร์มลั ไลเซชนัระดบั ที่ 2 ตอ่ ไป

19 2.2 Second Normal Form (2NF) ตารางที่ผา่ นการทานอร์มลั ไลเซชนั ระดบั ที่ 2 หรือ Second Normal Form ต้องมีคณุ สมบตั ดิ งั นี ้ 1) ต้องมีคุณสมบัตขิ อง 1NF 2) ทกุ nonprime attribute จะต้องขนึ้ กับ prime (primary key) ทุกตวั นนั่ คือแอตทริบิวต์ที่ไม่ใช่คีย์หลกั จะต้องมีคา่ ขึน้ อยกู่ บั คีย์หลกั เท่านนั้ โดยถ้าคีย์หลกั ประกอบด้วยแอตทริบวิ ต์ที่มากกว่า 1 ตวั ก็จะต้องขึน้ อยกู่ ับแอตทริบิวต์ทงั้ หมดที่เป็ นคีย์หลกัไมใ่ ชข่ นึ ้ อยกู่ บั บางตวั การที่จะรู้ว่าแอตทริบิวต์ใดขึน้ อยู่กับแอตทริบิวต์ใดนัน้ ต้องใช้ความรู้ในเรื่องฟังก์ชนั การขึน้ ต่อกนั หรือ functional dependency ซึ่งเป็ นส่ิงที่ใช้แสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างแอตทริบวิ ต์ ในรูปแบบฟังก์ชนั เพ่ือชว่ ยในการตดั สินใจวา่ แอตทริบวิ ต์ที่ไม่ใช่คีย์หลกั ควรจะปรากฏเป็นคอลมั น์อยใู่ นตารางหรือควรจะแยกออกมาสร้างเป็ นตารางใหม่ สมมตุ วิ า่ X และ Y เป็ นแอตทริบวิ ต์ในตารางหนึง่ ถ้า Y ขนึ ้ อยกู่ บั X จะสามารถเขียนฟังก์ชนั การขนึ ้ ตอ่ กนั ได้ดงั นี ้ XYการท่ี Y ขนึ ้ อยกู่ บั X หมายความว่า ทกุ ๆคา่ ของ X ที่เราเลือกขนึ ้ มา จะสามารถหาค่าของ Y มา 1 คา่ ที่สอดคล้องกับค่าของ X ได้เสมอ เช่น จากตารางที่ 1.8 เป็ นตารางที่เก็บข้อมลู เกี่ยวกบั นกั ศกึ ษา ถ้าถามวา่ นกั ศึกษาคนใดท่ีมีรหสั นกั ศึกษาเป็ น 55111 ก็สามารถตอบได้ทนั ทีว่าคือ นกั ศกึ ษาท่ีช่ือว่า สามารถ ประเสริฐกุล ดงั นนั้ ชื่อนักศึกษาจึงขึน้ อย่กู ับรหสั นักศึกษาซง่ึ เขียนเป็นฟังก์ชนั การขนึ ้ ตอ่ กนั ได้วา่ รหสั นักศึกษา  ช่ือ นน่ั เองตารางท่ี 1.8 ตารางนกั ศกึ ษารหัสนักศกึ ษา ช่ือ นามสกุล เบอร์ โทรศัพท์(คีย์หลัก)55111 สามารถ ประเสริฐกลุ 0-1111-111155112 วชิ า ปัญญาเลิศ 0-2222-222255113 นา้ ทิพย์ ปัญญาเลิศ 0-2222-222255114 สมจิตร์ สมสกลุ วงศ์ 0-6666-666655115 วชิ า รักศกั ดศ์ิ รี 0-9999-9999

20 เม่ือเข้าใจในเรื่องฟังก์ชนั การขึน้ ต่อกันแล้ว เราลองมาพิจารณาว่าตารางที่ 1.9จะมีคณุ สมบตั เิ ป็น 2NF หรือไม่ตารางท่ี 1.9 ข้อมลู การสงั่ ซือ้ สินค้าของลกู ค้า รหสั สินค้า ช่ือสินค้า จานวนสินค้ารหสั ลูกค้า ช่ือลูกค้า ระดับ ประเภท P111 ปากกา 10 P222 ดนิ สอ 12 001 นารี A ชนั้ ดี P333 ยางลบ 10 001 นารี A ชนั้ ดี P222 ดนิ สอ 15 001 นารี A ชนั้ ดี P333 ยางลบ 16 002 ศรีสมร B ปานกลาง 003 อรอนงค์ C พอใช้ ก่อนอ่ืนเราต้องพิจารณาวา่ ตารางท่ี 1.9 มีคณุ สมบตั เิ ป็ น 1NF หรือไม่ จากข้อมลูในตารางจะเห็นว่าไม่มีคอลมั น์ใดในตารางที่มีคา่ มากกว่า 1 คา่ แสดงว่าผ่านคณุ สมบตั ิเป็ น 1NFจากนนั้ ต้องพิจารณาต่อว่ามีแอตทริบิวต์ใดเป็ น prime หรือคีย์หลกั ส่วนที่เหลือก็จะเรียกว่าnonprime จากตารางท่ี 1.9 จะมีแอตทริบิวต์ รหัสลูกค้า และ รหัสสินค้า เป็ น prime ส่วนช่ือลกู ค้า ท่ีอยู่ ช่ือสนิ ค้า และจานวนสินค้า เป็น nonprime จากคณุ สมบตั ิของ 2NF คือ nonprime ต้องขนึ ้ กบั prime ทกุ ตวั ในการพิจารณาวา่ เป็น 2NF หรือไม่ จะต้องพิจารณา nonprime ทีละตวั ซงึ่ มีผลสรุปการขนึ ้ ตอ่ กนั ดงั นี ้รหสั ลูกค้า, รหัสสินค้า  ช่ือลกู ค้า, ระดบั , ประเภท จากข้อมูลในตารางที่ 1.9 จะสงั เกตว่าช่ือลูกค้า, ระดับ และประเภทจะขึน้ กับรหสั ลูกค้าเพียงอย่างเดียว ไม่ขนึ ้ กบั รหสั สินค้าเลย ทาให้ไม่เป็ นไปตามคณุ สมบตั ิของ 2NF และนอกจากนีย้ งั มีกรณีอื่นอีกท่ีทาให้ตารางที่ 1.9 ไมเ่ ป็นไปตามคณุ สมบตั ขิ อง 2NF ได้แก่รหสั ลูกค้า, รหัสสินค้า  ชื่อสินค้า

21 จากข้ อมูลในตารางท่ี 1.9 จะสังเกตว่าช่ือสินค้ าจะขึน้ กับรหัสสินค้ าเพียงอยา่ งเดียว ไมข่ นึ ้ กบั รหสั ลกู ค้าเลย ทาให้ไม่เป็ นไปตามคณุ สมบตั ขิ อง 2NF มีเพียงจานวนสินค้าอยา่ งเดยี วที่ขนึ ้ กบั รหสั ลกู ค้า และรหสั สินค้า สรุปวา่ รหัสลูกค้า,รหัสสินค้า  จานวนสินค้า รหสั ลูกค้า  ชื่อลกู ค้า, ระดบั , ประเภท รหสั สินค้า  ชื่อสินค้า ดงั นนั้ ถ้าต้องการให้ตารางที่ 1.9 มีคณุ สมบตั ิเป็ น 2NF จะต้องทาการแตกตารางออกมา ตามความสมั พนั ธ์ของฟังก์ชนั การขนึ ้ ตอ่ กนั เป็น 3 ตาราง ดงั นี ้ ตารางท่ี 1.10 ข้อมลู ลกู ค้ารหัสลูกค้า ช่ือลูกค้า ระดบั ประเภท 001 ชนั้ ดี 002 นารี A 003 ปานกลาง ศรีสมร B พอใช้ อรอนงค์ Cตารางท่ี 1.11 ข้อมลู สินค้า ตารางท่ี 1.12 ข้อมลู การสงั่ ซือ้ สินค้า รหสั สินค้า ช่ือสนิ ค้า รหสั ลูกค้า รหัสสินค้า จานวนสินค้า P111 ปากกา P222 ดนิ สอ 001 P111 10 P333 ยางลบ 001 P222 12 001 P333 10 002 P222 15 003 P333 16 จากตารางที่ 1.10 หากต้องการเพ่ิมข้อมูลลูกค้าขึน้ มาอีก 1 คน อาจมีปัญหาเกิดขึน้ คือ ถ้าลูกค้าที่จะเพิ่มเข้าไปเป็ นลูกค้าในระดบั A แสดงว่าต้องเป็ นลูกค้าชนั้ ดี ในช่องประเภทต้องใส่ว่า “ชัน้ ดี” เท่านัน้ ถ้าหากใส่ว่า ปานกลาง หรือพอใช้ ข้อมูลก็จะขัดแย้งกันเพราะฉะนนั้ ตารางท่ีผ่าน 2NF บางตารางอาจเกิดปัญหาในเร่ืองของการเพิ่มข้อมูลได้ ดงั นนั้ จึงต้องมีการนอร์มลั ไลเซชนั ระดบั ท่ี 3 ตอ่ ไป

22 2.3 Third Normal Form (3NF) ตารางท่ีผ่านการทานอร์มลั ไลเซชนั ระดบั ท่ี 3 หรือ Third Normal Form ต้องมีคณุ สมบตั ดิ งั นี ้ 1) ต้องมีคุณสมบัตขิ อง 2NF 2) nonprime ต้องไม่ขนึ้ กับ nonprimeตารางท่ี 1.13 ข้อมลู ใบเสร็จรับเงินจากลกู ค้า ท่ีอยู่ เลขท่ใี บเสร็จ รหัสลูกค้า ช่ือลูกค้า 121 อ.เมือง จ.นนทบรุ ี 1001 43 กฤษณา 222 อ.ปากเกร็ด จ.นนทบรุ ี 1002 55 ศกั ดสิ์ ิทธิ์ 121 อ.เมือง จ.นนทบรุ ี 1003 43 กฤษณา จากตารางที่ 1.13 จะมีแอตทริบิวต์ เลขท่ีใบเสร็จ เป็ น prime ส่วน รหสัลูกค้า ชื่อลูกค้า และที่อยู่ เป็ น nonprime นักศึกษาต้องพิจารณาก่อนว่าตารางท่ี 1.13 มีคณุ สมบตั ิเป็ น 2NF หรือไม่ ซงึ่ จากข้อมลู จะสงั เกตว่ามีคณุ สมบตั เิ ป็ น 2NF เนื่องจากไม่อย่ใู นรูปrepeating group และ nonprime ทกุ ตวั ขนึ ้ กบั prime ทกุ ตวั คือ รหัสลูกค้า ช่ือลูกค้า และท่ีอยู่ขนึ้ กับ เลขท่ใี บเสร็จ ซง่ึ เป็น prime เพียงตวั เดียวเลขท่ใี บเสร็จ  รหสั ลูกค้า, ช่ือลูกค้า, ท่อี ยู่ เม่ือมีคณุ สมบตั ิเป็ น 2NF แล้ว ก็พิจารณาต่อว่า nonprime ขึน้ กบั nonprimeหรือไม่ ถ้าไมม่ ี nonprime ตวั ใดขนึ ้ ตอ่ กนั ก็แสดงวา่ มีคณุ สมบตั เิ ป็ น 3NF แตจ่ ากข้อมลู ในตารางท่ี1.13 มี nonprime บางตวั ที่ขึน้ ตอ่ กัน ได้แก่ ช่ือลูกค้าและที่อยู่ ขนึ ้ กับรหสั ลกู ค้า ทาให้ไม่เป็ นไปตามคณุ สมบตั ขิ อง 2NFรหสั ลูกค้า ช่ือลูกค้า, ท่ีอยู่

23 ดงั นนั้ จึงต้องมีการแตกตารางท่ี 1.13 ออกมาเป็ น 2 ตาราง ตามความสมั พนั ธ์ของฟังก์ชนั การขนึ ้ ตอ่ กนั ดงั นี ้ตารางท่ี 1.14 ข้อมลู ลกู ค้าจากตารางที่ 1.13 ตารางท่ี 1.15 ข้อมลู ใบเสร็จ เลขท่ใี บเสร็จ รหสั ลูกค้ารหสั ลูกค้า ช่ือลูกค้า ท่อี ยู่ 1001 43 1002 5543 กฤษณา 121 อ.เมือง จ.นนทบรุ ี 1003 4355 ศกั ดส์ิ ิทธ์ิ 222 อ.ปากเกร็ด จ.นนทบรุ ี อีกตวั อย่างหนึ่ง จากตารางที่ 1.10 ซ่ึงผ่านการนอร์มลั ไลเซชนั ระดบั ท่ี 2 แล้วแต่ยงั มีปัญหาการเพิ่มข้อมลู อยู่ ดงั ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงต้องมีการทาให้เป็ น 3NF เนื่องจากnonprime บางตวั ขนึ ้ กบั nonprime คือ ระดบั  ประเภท ดงั นนั้ จึงต้องแยก เป็ น 2 ตารางดงั ตอ่ ไปนี ้ ตารางท่ี 1.10 ข้อมลู ลกู ค้ารหัสลูกค้า ช่ือลูกค้า ระดับ ประเภท 001 ชนั้ ดี 002 นารี A 003 ปานกลาง ศรีสมร B พอใช้ อรอนงค์ Cตารางท่ี 1.16 ข้อมลู ลกู ค้าจากตารางท่ี 1.10 ตารางท่ี 1.17 ข้อมลู ระดบั ลกู ค้า ระดบั ประเภทรหัสลูกค้า ช่ือลูกค้า ระดับ A ชนั้ ดี B ปานกลาง001 นารี A C พอใช้002 ศรีสมร B003 อรอนงค์ C

บทท่ี 2 การใช้งานโปรแกรม Microsoft Access เม่ือทาการออกแบบฐานข้อมูลด้วยแผนภาพที่เรียกว่า แบบจาลองอี-อาร์ และทาการนอร์มัลไลเซชันแล้ว จึงนาฐานข้อมูลที่ออกแบบไว้นัน้ มาสร้ างให้ใช้งานได้จริงด้วยโปรแกรมสาเร็จรูปในการจดั การฐานข้อมูล ซึ่งก็คือ โปรแกรม Microsoft Accessท่ีเลือกโปรแกรมนี ้เน่ืองจากเป็นโปรแกรมที่สามารถฝึกใช้งานได้งา่ ย และเครื่องคอมพิวเตอร์สว่ นใหญ่จะมีโปรแกรมนี ้อย่แู ล้ว เพราะเป็ นโปรแกรมหนงึ่ ในชดุ Microsoft Office ซงึ่ สามารถศกึ ษาการใช้งานเบือ้ งต้นได้ด้วยตนเอง ตงั้ แตก่ ารสร้างตาราง ฟอร์ม แบบสอบถาม และรายงาน เป็นต้นโครงสร้างของโปรแกรม Microsoft Access โปรแกรม Microsoft Access เป็ นโปรแกรมท่ีใช้ในการจดั การฐานข้อมลู อยา่ งหน่งึ เริ่มตงั้ แต่จัดเก็บข้อมูล ประมวลผล และออกสารสนเทศ ที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงสร้างของโปรแกรม Microsoft Access ประกอบด้วย 1. ตาราง (table) ใช้สาหรับเก็บข้อมูลต่างๆ ซึ่งแต่ละตารางจะประกอบไปด้วยเขตข้อมลู (Field) และระเบียน (Record) 2. แบบสอบถาม (queries) ใช้สาหรับดขู ้อมลู ค้นหาข้อมูล ตรวจสอบแก้ไข เพิ่มเติมหรือลบข้อมลู ท่ีต้องการ 3. ฟอร์ม (form) ออกแบบมาเพ่ือเป็ นส่วนติดต่อกับผ้ใู ช้สาหรับป้ อนข้อมูลและแสดงข้อมลู 4. รายงาน (report) ออกแบบมาให้มีการจดั รูปแบบ มีการคานวณและพิมพ์ออกมาเป็ นรายงานได้ รวมทงั้ มีการสรุปผลของข้อมลู ท่ีเลือก ซงึ่ สามารถดรู ายงานกอ่ นพิมพ์ได้ 5. มาโคร (macro) เป็นภาษาโปรแกรมงา่ ยๆ เพื่อการกาหนดโครงสร้างลาดบั ขนั้ ตอนให้ปฏิบตั งิ านตามที่ต้องการเพื่อตอบสนองกบั เหตกุ ารณ์ท่ีกาหนดขนึ ้

26 6. โมดูล (module) เป็ นการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา VBA (Visual Basic forApplication) ซ่งึ ใช้ในการทางานท่ีคอ่ นข้างซบั ซ้อนกว่าการใช้แมโคร เพื่อให้ได้ฟอร์มหรือรายงานตามความต้องการของผ้ใู ช้เร่ิมต้นใช้งานโปรแกรม Microsoft Access 2010เรียกใช้งาน Microsoft Access 2010 ได้โดยการคลิกที่ป่ มุ Start  All Programs Microsoft Access 2010 หรือคลิกท่ี icon จะปรากฏหน้าจอดงั ภาพท่ี 2.1ภาพท่ี 2.1 หน้าจอเมื่อเปิ ดโปรแกรม Microsoft Access 2010

27 วธิ ีการสร้างฐานข้อมลู มี 2 แบบ คอื 1. สร้างฐานข้อมูลเปล่า (Blank database) เพ่ือกาหนดรูปแบบของโครงสร้ างฐานข้อมลู ด้วยตนเอง โดยการคลิกเลือก Blank database ตงั้ ช่ือฐานข้อมลู ที่จะสร้างขนึ ้ ใหม่ และคลิกป่ มุ Create เพื่อสร้างฐานข้อมลู ดงั ภาพท่ี 2.2 จะปรากฏภาพท่ี 2.3 ภาพท่ี 2.2 วธิ ีการสร้างฐานข้อมลู เปลา่ (blank database) ภาพท่ี 2.3 ฐานข้อมลู เปลา่ (blank database)

28 2. สร้างฐานข้อมูลจากแม่แบบ (Sample templates) ที่โปรแกรมเตรียมไว้หลายรูปแบบสาหรับการใช้งานในด้านต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลบุคลากร (Personal) ฐานข้อมูลทางการศกึ ษา (Education) และฐานข้อมลู การเงิน (Finance) เป็ นต้น โดยทาตามขนั้ ตอนไปทีละขนั้เมื่อเสร็จแล้วจะได้ไฟล์ฐานข้อมลู ที่นาไปใช้งานได้ทนั ที ถ้าต้องการแก้ไขปรับปรุงก็สามารถทาได้ในภายหลงั ซ่งึ มีวิธีการสร้างโดยการคลิกเลือก Sample templates จะปรากฏภาพที่ 2.4 แตต่ ้องมีการเชื่อมตอ่ อนิ เทอร์เน็ตด้วย เพ่ือเชื่อมตอ่ กบั เว็บ Office.com ภาพท่ี 2.4 วิธีการสร้างฐานข้อมลู จากแมแ่ บบ (Sample templates)

29ส่วนประกอบของหน้าต่างโปรแกรม Microsoft Access 2010 ภาพท่ี 2.5 สว่ นประกอบของหน้าตา่ งโปรแกรม Microsoft Access 2010ตารางท่ี 2.1 หน้าที่ของสว่ นประกอบของหน้าตา่ งโปรแกรม Microsoft Access 2010ส่วนประกอบ หน้าท่กี ารทางานTab File รวบรวมชดุ คาสงั่ ในการจดั การฐานข้อมลู เชน่ การสร้าง การบนั ทกึ การพมิ พ์ การสารอง การตงั้ คา่ Access 2010Quick Access Toolbar แถบเครื่องมือท่ีได้รวบรวมป่ มุ ที่ใช้งานบอ่ ยๆเอาไว้ เพ่ือชว่ ยให้ทางาน สะดวกรวดเร็วขนึ ้ และสามารถเพิ่มหรือลดป่ มุ เคร่ืองมือเหลา่ นีไ้ ด้แถบชื่อเรื่อง (Title Bar) แถบแสดงช่ือเรื่องและเวอร์ชนั่ ของโปรแกรมริบบอน (Ribbon) แบง่ กลมุ่ การทางานหลกั ๆ ไว้ด้วยกนั มีริบบอน Home, Create, External Data, Database Tools, Fields, Tablesบานหน้าตา่ งนาทาง แสดงสิ่งตา่ งๆ ท่ีได้มีการสร้างขนึ ้ เชน่ Table, Query, Form, Report(Navigation Pane) เป็นต้น สามารถซอ่ นและเปิ ดใหมไ่ ด้Document Window พืน้ ที่หลกั ท่ีใช้ในการทางาน

30การทางานของเมนูแบบริบบอน (Ribbon) คาส่ังทัง้ หมดที่ใช้ งานจะอยู่บนแถบสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงส่วนบนท่ีเรียกว่า ริบบอน(Ribbon) ซงึ่ ในการเรียกใช้งานคาสงั่ ตา่ งๆ จะสะดวกและรวดเร็วกวา่ การเรียกใช้คาสงั่ ในเมนแู บบลาดบั ชนั้ หรือเมนแู บบ pull down 1. Tab Home ภาพท่ี 2.6 คาสง่ั ใน Tab Home Tab Home เป็ นแท็บท่ีรวบรวมคาสง่ั เกี่ยวกบั การจดั การข้อมลู บนหน้าจอ ซึ่งแบ่งออกเป็นกลมุ่ ตา่ งๆ ดงั นี ้ - View: ใช้แสดงมุมมองต่างๆ เช่น มุมมองการแสดงข้อมูล และมุมมองการออกแบบ เป็นต้น - Clipboard: คดั ลอก เคล่ือนย้าย และวางข้อมลู ในตาแหนง่ ที่ต้องการ - Sort & Filter: เรียงข้อมลู และกรองข้อมลู ตามเงื่อนไขท่ีกาหนด - Record: กลมุ่ คาสงั่ ทางานกบั เรคคอร์ด - Find: ค้นหาและแทนท่ีข้อมลู - Text Formatting: จดั แบบตวั อกั ษร ยอ่ หน้า เป็นต้น 2. Tab Create ภาพท่ี 2.7 คาสง่ั ใน Tab Create Tab Create ประกอบด้วยคาสงั่ ที่ใช้งานการเริ่มต้นสร้างสว่ นตา่ งๆ ของฐานข้อมูลได้แก่ - Tables: เป็นกลมุ่ คาสง่ั ในการสร้างตารางข้อมลู - Queries: เป็นกลมุ่ คาสง่ั ในการสร้างแบบสอบถามข้อมลู - Forms: เป็นกลมุ่ คาสง่ั ในการสร้างฟอร์ม

31 - Reports: เป็นกลมุ่ คาสงั่ ในการสร้างรายงาน - Macro & Module: เป็นกลมุ่ คาสง่ั ในการสร้าง Macro และ Module 3. Tab External Data ภาพท่ี 2.8 คาสง่ั ใน Tab External Data Tab External Data รวบรวมคาสงั่ ในการนาเข้าหรือสง่ ออกข้อมลู ซงึ่ แบง่ ออกเป็นกลมุ่ ตา่ งๆ ดงั นี ้ - Import & Link: นาเข้าข้อมลู จากฐานข้อมลู Microsoft Access หรือ MicrosoftExcel - Export: สง่ ฐานข้อมลู ออกเป็น Microsoft Access, Microsoft Excel, HTMLเป็ นต้น - Collect Data: สร้างและจดั การ E-mail ร่วมกบั โปรแกรม Microsoft Outlook 4. Tab Database Tools ภาพท่ี 2.9 คาสง่ั ใน Tab Database Tools Tab Database Tools รวบรวมคาสง่ั ในการจดั การฐานข้อมลู ได้แก่ - Tools: คาสงั่ ท่ีใช้ในการบบี อดั และซอ่ มแซมฐานข้อมลู - Macro: คาสงั่ ท่ีใช้ร่วมกบั Macro การแปลง Macro ให้เป็ นคาสงั่ ในภาษา VisualBasic - Relationships: สร้างความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตาราง - Analyze: ทาหน้าที่ตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการทางานของฐานข้อมลู - Move Data: คาสง่ั ท่ีใช้ในการตดิ ตอ่ ระหวา่ ง Access กบั SQL Server

32 - Add-Ins: ทาหน้าท่ีเพิ่มคาสง่ั แบบกาหนดเองและคณุ ลกั ษณะใหม่ๆ เพ่ือปรับปรุงและเพมิ่ ประสิทธิภาพในการทางานร่วมกบั โปรแกรม Accessการแปลงไฟล์ .mdb ให้เป็ นไฟล์ .accdb ไฟล์ฐานข้อมลู เวอร์ชนั่ เกา่ เชน่ Access 97, 2000, 2002-2003 (ไฟล์ .mdb) จะเปิ ดใช้ในโปรแกรม Access 2010 ได้ แตจ่ ะทางานร่วมกบั ความสามารถใหม่ๆ ของ Access 2010 ไมไ่ ด้ จงึต้องแปลงให้เป็นไฟล์ .accdb (Access 2007) กอ่ น โดย 1. เลือก Open จากเมนู File 2. เลือกไฟล์ท่ีต้องการจะแปลง 3. เลือก Save & Publish จากเมนู File 4. เลือก Access Database 5. คลิก Save As 6. หลงั จากแปลงไฟล์เสร็จแล้ว จะมีข้อความแจ้งว่า ไฟล์ท่ีแปลงแล้วจะใช้กบั โปรแกรมAccess เวอร์ชนั่ เกา่ ไมไ่ ด้ ให้คลิก OK 7. เข้าส่วู ินโดว์ Database ของไฟล์ใหม่ ที่หวั วินโดว์จะบอกว่ารูปแบบไฟล์ คือ Access2007 ซงึ่ เป็นไฟล์แบบ .accdb  ภาพท่ี 2.10 เปิ ดไฟล์ท่ีต้องการจะแปลงไฟล์

33    ภาพท่ี 2.11 ขนั้ ตอนการแปลงไฟล์.mdb ให้เป็นไฟล์ .accdbการจัดเกบ็ ไฟล์ฐานข้อมูล 1. การจัดเกบ็ ไฟล์เป็ น .accdb และ .mdb ถ้าจะเก็บไฟล์แทนที่ไฟล์เดิม ให้ใช้คาส่งั Save ถ้าจะเก็บไฟล์ใหม่โดยชนิดไฟล์เหมือนเดมิ ใช้ Save Database As แตถ่ ้าจะเลือกชนิดไฟล์ตา่ งจากเดมิ ใช้คาสงั่ Save & Publishโดยสามารถเลือกรูปแบบท่ีต้องการจดั เก็บได้ดงั นี ้ - Access Database จะจดั เก็บเป็นไฟล์ .accdb (Access2007) - Access 2002-2003 Database จะจดั เก็บเป็นไฟล์ .mdb - Access 2000 Database จะจดั เก็บเป็นไฟล์ .mdb 2. การจัดเก็บไฟล์เป็ น .accdt (template) ไฟล์ฐานข้อมลู ท่ีจะนามาสร้าง template ต้องเป็นไฟล์ .accdb เทา่ นนั้ ในการจดั เก็บไฟล์ให้ใช้คาสงั่ Save & Publish แล้วคลกิ เลือกรูปแบบ Template โปรแกรมจะจดั เก็บเป็นไฟล์.accdt

34ภาพท่ี 2.12 ประเภทของไฟล์ฐานข้อมลู

บทท่ี 3 การสร้างตาราง (Table) ตาราง (Table) คือ องค์ประกอบหลกั อยา่ งหนงึ่ ในฐานข้อมลู เป็ นสว่ นท่ีต้องสร้างขนึ ้ เป็ นอนั ดบั แรก เพ่ือใช้ในการเก็บข้อมลู ทงั้ หมดที่อยู่ในฐานข้อมูล โดยในการสร้างตารางนนั้ มีหลายรูปแบบด้วยกนั ซงึ่ เราสามารถจดั การกบั ข้อมลู ในตารางเพ่ือให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการทางานมากย่งิ ขนึ ้ ได้ เชน่ การเรียงลาดบั ข้อมลู การกรองข้อมลู และการค้นหาข้อมลู เป็นต้นมุมมองของตาราง มมุ มอง (View) คอื รูปแบบการทางานกบั Table ซง่ึ มีอยดู่ ้วยกนั ทงั้ หมด 4 แบบ ตามลกั ษณะและวตั ถปุ ระสงคข์ องการใช้งาน คือ 1. มุมมอง Design ใช้ในการออกแบบ และแก้ไขโครงสร้างของตาราง เชน่ เพ่ิมลบเขตข้อมลู (field) แก้ไขช่ือเขตข้อมลู กาหนดชนิดข้อมลู กาหนดคีย์ กาหนดคณุ สมบตั ติ า่ งๆ ของเขตข้อมลู (Properties) เป็นต้น 2. มุมมอง Datasheet ใช้ในการป้ อนข้อมูล หรือแสดงข้อมลู ที่เก็บไว้ในตาราง โดยแสดงในรูปของตาราง ในมมุ มองนีส้ ามารถเพ่มิ ลบ หรือแก้ไขเรคอร์ดได้ 3. มุมมอง PivotTable ใช้วิเคราะห์และสรุปผลข้อมลู ในตารางโดยแสดงในรูปของตารางแจกแจงรายละเอียดข้อมลู และสรุปผลข้อมลู 4. มุมมอง PivotChart ใช้วิเคราะห์และสรุปผลข้อมลู ในตารางโดยแสดงในรูปของแผนภมู ิหรือ Chart

36ส่วนประกอบของตาราง 1. ไอเทม็ (Item) คอื ข้อมลู ท่ีเก็บอยใู่ นแตล่ ะเซลล์ของตาราง 2. field (Field) คือ ข้อมลู ในแนวคอลมั น์ (แนวตงั้ ) 3. เรคอร์ด (Record) คือ ข้อมลู ในแตล่ ะแถวของตาราง 4. ตาราง (Table) คือ สว่ นของตารางทงั้ หมดท่ีใช้ในการเก็บข้อมลู ซง่ึ ถ้านาหลายๆตารางมารวมกนั ทงั้ หมด จะเรียกวา่ ฐานข้อมลู หรือ Database ภาพท่ี 3.1 ตวั อยา่ งแสดงสว่ นประกอบของตาราง

37การสร้ างตาราง 1. คลิกแท็บ Create 2. เลือกป่ มุ Table Design 3. ตงั้ ชื่อ Field ในชอ่ ง Field Name 4. เลือกประเภทของข้อมลู ในชอ่ ง Data Type 5. ใสร่ ายละเอียดยอ่ ๆ ของแตล่ ะ field ในชอ่ ง Description (จะใสห่ รือไมก่ ็ได้) 6. กาหนดขนาดของ field ในชอ่ งคณุ สมบตั ิ Field Size       FieldProperties ภาพท่ี 3.2 ขนั้ ตอนการสร้างตาราง

38 การตงั้ ช่ือ field - ชื่อ field ต้องไมย่ าวเกิน 64 ตวั อกั ษร รวมทงั้ ชอ่ งวา่ งด้วย - ห้ามตงั้ ช่ือ field ซา้ กนั - สามารถใช้ตวั อกั ษร ตวั เลข ชอ่ งวา่ ง ในการตงั้ ช่ือ field ได้ - ห้ามใช้เครื่องหมาย จดุ (.) อศั เจรีย์(!) และก้ามป(ู [ ]) ในการตงั้ ช่ือ field - ห้ามเริ่มช่ือ field ด้วยชอ่ งวา่ ง ชนิดข้อมูล ชนิดข้อมลู (data type) เป็ นสว่ นที่ใช้กาหนดชนิดของข้อมลู ในแตล่ ะ field โดยต้องเลือกให้สอดคล้องกบั ข้อมลู ที่จะจดั เก็บในแตล่ ะ field ซงึ่ มีทงั้ หมด 11 ชนิด คอื 1) Text ข้อความที่ประกอบไปด้วยตัวอักขระท่ีอาจเป็ นตัวอักษร สัญลักษณ์พิเศษช่องว่าง หรือตัวเลขประกอบกัน ซ่ึงถ้าเป็ นตัวเลขอย่างเดียวจะต้องเป็ นตวั เลขท่ีไม่ใช้ในการคานวณ เช่น หมายเลขบัตรประจาตัวประชาชน รหัสนกั ศึกษา เบอร์โทรศพั ท์ บ้านเลขท่ี และรหสั ไปรษณีย์ เป็นต้น โดยสามารถบรรจขุ ้อมลู ได้สงู สดุ จานวน 255 ตวั อกั ขระ 2) Memo ข้อความท่ีเป็ นตวั อกั ขระท่ีมีความยาวมากๆ และมากกวา่ 255 ตวั อกั ขระ แต่ไม่เกิน 65,535 ตวั อกั ษร ส่วนมากใช้ในการเก็บข้อมูลและรายละเอียดท่ีมีความยาวของข้อมูลมากๆ นน่ั เอง 3) Number ข้อมลู ท่ีเป็ นตวั เลข สามารถนาไปคานวณได้ เชน่ จานวนสินค้า และจานวนหนว่ ยกิต เป็นต้น 4) Date/Time ข้อมลู ท่ีเป็นวนั ท่ีและเวลา 5) Currency ข้อมูลที่เป็ นตวั เลข ใช้ในการคานวณข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน เช่น ราคาสนิ ค้า คา่ หนว่ ยกิต เงินเดือน รายรับ และรายจา่ ย เป็นต้น 6) Auto Number เป็ นตวั เลขจานวนเต็มแบบลาดบั ท่ี ซ่ึงโปรแกรมจะกาหนดคา่ ให้โดยอตั โนมตั เิ มื่อมีการเพม่ิ เรคอร์ดใหมเ่ ข้ามาในตาราง 7) Yes/No เป็นข้อมลู ทางตรรกะ ซงึ่ มีสถานะเป็ นจริงหรือเท็จ เชน่ True/False, Yes/No,หรือ On/Off และจะเป็นคา่ วา่ งไมไ่ ด้ 8) OLE Object ข้อมลู ท่ีเป็ นการเช่ือมโยงหรือนาเข้าข้อมลู จากโปรแกรมอ่ืนๆ มาเก็บไว้เชน่ รูปภาพ ตาราง กราฟ และเสียง เป็ นต้น OLE ยอ่ มาจาก Object Linking and Embeddingเป็ นเทคนิคของการประยุกต์ใช้งานบนวินโดว์ส ท่ีใช้ในการแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างกัน เช่นสามารถนารูปภาพจากโปรแกรม PhotoShop มาใช้ใน Microsoft Word ได้ เป็นต้น

39 9) Hyperlink เป็ นข้อมลู หรือแอดเดรสท่ีใช้อ้างอิงไปยงั ข้อมลู อ่ืนๆ หรือระบกุ ารเชื่อมโยงในแบบของเว็บเพจ ซึ่งแสดงด้วย URL (Uniform Resource Locator) โดยการอ้างอิงไปยงัแหลง่ ข้อมลู อ่ืน ซง่ึ อาจเป็นได้ทงั้ ไฟล์ฐานข้อมลู ของโปรแกรมไมโครซอฟต์แอกเซสเอง หรือไฟล์ของโปรแกรมอื่นที่อยใู่ นเคร่ืองเดียวกนั นอกจากนีย้ งั สามารถเชื่อมโยงไปยงั เว็บไซตบ์ นอินเทอร์เน็ตได้ 10) Attachment เหมือนไฟล์แนบในอีเมล เป็นไฟล์ชนดิ ใดก็ได้ เชน่ Word, Excel 11) Calculated ผลของการคานวณจาก fieldอ่ืนในตาราง Lookup Wizard … ท่ีแสดงในเมนู Data Type นนั้ ไมใ่ ช่ชนิดข้อมลู แตเ่ ป็ นเคร่ืองมือชว่ ยป้ อนข้อมลู และนาเข้าข้อมลู จาก Table อื่นๆ ของฐานข้อมลู คุณสมบัตขิ อง field คณุ สมบตั ิของ field (Field Properties) เป็ นส่วนที่ใช้กาหนดคณุ สมบตั ิของแตล่ ะ fieldเชน่ กาหนดขนาดของ field รูปแบบที่ใช้ในการป้ อนข้อมลู รูปแบบการแสดงผลข้อมลู และกาหนดเง่ือนไขท่ีใช้ตรวจสอบคา่ ใน field เป็นต้น - Field Size คือ ขนาดของ field หรือความยาวของข้อมลู ที่สามารถป้ อนเข้าไปได้ เช่นรหสั ไปรษณีย์ จะมีความยาว 5 อกั ขระ คา่ default ของ Field Size คือ 255 อกั ขระ ดงั นนั้ ถ้าเรากาหนดให้เล็กลงได้ ก็จะชว่ ยลดการเก็บพืน้ ที่ข้อมลู - Format ใช้ในการกาหนดรูปแบบในการแสดงข้อมูลที่หน้าจอ แตไ่ ม่ได้เปลี่ยนข้ อมลูจริง เชน่ตารางท่ี 3.1 ตวั อยา่ งรูปแบบในการแสดงข้อมลูสัญลักษณ์ คาอธิบาย ตัวอย่าง@ อกั ขระ 1 ตวั และทกุ ชอ่ งจะต้องมีข้อมลู @@-@@@ แสดงเป็น 43-001 แตถ่ ้าไมป่ ้ อน Access จะใสช่ อ่ งวา่ งให้< แสดงตวั อกั ษรเป็นตวั พมิ พ์เล็กทงั้ หมด แสดงเป็น bangkok> แสดงตวั อกั ษรเป็นตวั พมิ พ์ใหญ่ทงั้ หมด แสดงเป็น BANGKOK - Decimal Place ใช้กาหนดว่าจะให้แสดงจดุ ทศนิยมก่ีตาแหนง่ ซ่ึงจะใช้ได้กับข้อมลู ชนดิ Number และ Currency เทา่ นนั้ - Input Mask ใช้กาหนดรูปแบบในการป้ อนข้อมลู เพื่อความสะดวกรวดเร็ว เช่นหมายเลขโทรศพั ท์ และหมายเลขบตั รประชาชน เป็นต้น

40 - Caption ใช้กาหนดข้อความที่แสดงในส่วนหวั คอลมั น์ใน Datasheet View หรือเป็นชื่อที่จะปรากฏใน Form หรือ Report - Default Value ใช้กาหนดคา่ เร่ิมต้นของข้อมลู ใน field พิมพ์ใหม่ได้ แตถ่ ้าไมพ่ ิมพ์ใหมก่ ็จะมีคา่ เป็น Default Value - Validation Rule ใช้กาหนดเง่ือนไขสาหรับคา่ ของข้อมลู เชน่ ใน field นี ้จะต้องป้ อนข้อมูลเพียง 2 ค่า คือ หญิง หรือ ชาย เท่านนั้ ถ้าป้ อนนอกเหนือจากนีแ้ ล้ว จะแสดงกรอบหน้าตา่ งเตือน และไมส่ ามารถป้ อนนอกเหนือจากที่กาหนดไว้ได้ เชน่ตารางท่ี 3.2 ตวั อย่างการกาหนดเงื่อนไขสาหรับคา่ ของข้อมลูกาหนดค่า ความหมาย“หญิง” or “ชาย” ป้ อนได้เป็นหนง่ึ ในสองคา่ นีเ้ทา่ นนั้Between #01/01/2007# and ป้ อนได้ตงั้ แตว่ นั ท่ี 1 ม.ค. 2007 ถึง 31 ธ.ค. 2007#31/12/2007# เทา่ นนั้>0 ป้ อนด้วยคา่ ท่ีมากกวา่ ศนู ย์เทา่ นนั้>= Date() ป้ อนด้วยวนั ท่ีเป็ นวนั ที่ปัจจบุ นั เป็นต้นไป - Required ถ้าเลือก Yes จะต้องป้ อนข้อมลู ลงไปใน field เสมอ ปลอ่ ยวา่ งไว้ไมไ่ ด้ - Allow Zero Length ถ้าจะให้ field แบบ Text หรือ Memo รับข้อมลู ที่เป็ นคา่ วา่ ง(Null) หรือข้อความท่ีมีความยาวเป็นศนู ย์ เชน่ “” (ไมม่ ีชอ่ งว่างในเคร่ืองหมายคาพดู ) ให้ตงั้ คา่ เป็ นYes - Indexed จะให้ field นนั้ เป็ นดชั นีหรือไม่ No (ไม่เป็ นดชั นี), Yes (DuplicatesOK) (เป็นดชั นีที่มีคา่ ซา้ กนั ได้), Yes (No Duplicates) (เป็นดชั นีที่มีคา่ ซา้ กนั ไมไ่ ด้) - Unicode Compression ใช้กบั ข้อมลู Text, Memo, และ Hyperlink เพื่อบีบอดัข้อมลู ที่ใช้รหสั แบบ Unicode (Unicode จะใช้ 2 ไบต์แทนอกั ขระ 1 ตวั ทาให้ใช้พืน้ ท่ีเก็บข้อมูลมากกวา่ ปกติ) คา่ เริ่มต้นของคณุ สมบตั นิ ีเ้ป็ น Yes เพื่อให้อกั ขระทกุ ตวั ที่ไบต์แรกมีคา่ เป็ น 0 เชน่ภาษาองั กฤษ, สเปน, เยอรมนั ถกู บีบอดั บนอปุ กรณ์เก็บข้อมลู และคลายออกเมื่อนาไปใช้ การบีบอดั จะไม่เกิดขนึ ้ ถ้าขนาดข้อมลู Memo น้อยกว่า 4,096 ไบต์ หรือบีบอดั แล้วไมท่ าให้ขนาดข้อมลูเลก็ ลง - IME Mode และ IME Sentence Mode ใช้กบั ข้อมลู Text, Memo, Date/Timeและ Hyperlink พบคณุ สมบตั นิ ีใ้ น Control Text Box, Combo Box และ List Box ในมมุ มอง

41Design ของ Form ด้วย ใช้ในกรณีตดิ ตงั้ โปรแกรม Input Mode Editors (IME) เพื่อเปล่ียน layoutของคยี ์บอร์ดให้สามารถคีย์ตวั อกั ษรในภาษาแถบเอเซียตะวนั ออก เชน่ จีน ญ่ีป่ นุ และเกาหลี เป็ นต้น - Smart Tags ช่วยในการทางานระหว่างฐานข้อมูล Access กับโปรแกรมภายนอกสะดวกขนึ ้ เชน่ การเรียกใช้โปรแกรมรับ-สง่ อีเมล การนดั หมาย การติดตอ่ กบั บคุ คล เมื่อผ้ใู ช้คลิก field ข้อมลู ที่จะติดตอ่ กบั โปรแกรมภายนอกจะมีไอคอน Smart Tags ท่ีมมุ ล่างของ fieldให้เลือการทางานได้จากเมนู - Text Format ใช้กบั ข้อมลู แบบ Memo ถ้าตงั้ คา่ เป็ น Plain Text หมายถึงแสดงข้อความโดยไม่ต้องจัดรูปแบบ ส่วน Rich Text หมายถึงแสดงข้อความแบบจัดรูปแบบ เช่นตวั หนา ตวั เอน ยอ่ หน้า เป็นต้น - Text Align ใช้กบั ข้อมลู ทกุ ชนิดยกเว้น Attachment ทาหน้าจดั ตาแหนง่ ข้อมูลเชน่ ชดิ ซ้าย ชิดขวา เป็นต้น - Show Date Picker ใช้กบั ข้อมลู Date/Time เทา่ นนั้ มี 2 ทางเลือก คือ ForDates หมายถึงให้แสดงปฏิทินเล็กๆ เพ่ือเลือกวนั /เดือน/ปี จากปฏิทินโดยไม่ต้องคีย์เอง และNever หมายถงึ ไมต่ ้องแสดงปฏิทิน ผ้ใู ช้จะคีย์วนั /เดอื น/ปี ลงไปเอง การกาหนดคีย์หลัก (Primary Key) - คีย์หลกั หรือ Primary Key คือ field ท่ีมีข้อมลู ใน record ท่ีไมซ่ า้ กนั เพ่ือเป็ นตวักาหนดให้ทกุ record ตา่ งกนั - ประโยชน์ คือ เมื่อมีการป้ อนข้อมลู ใน field ท่ีกาหนดเป็น Primary Key ซา้ กนั แล้ว ก็จะเกิดคาเตือนขนึ ้ และให้ป้ อนข้อมลู ใหม่ - Primary Key จะเป็น field ที่ไมว่ า่ ง จะต้องมีคา่ อยเู่ สมอ ตวั อย่าง เลขบตั รประจาตวัประชาชน และรหสั ผ้ปู ่ วย เป็ นต้น

42 ภาพท่ี 3.3 ขนั้ ตอนการสร้างคยี ์หลกั (Primary Key)การเพ่มิ ข้อมูลในตาราง (เรคคอร์ด)การเพ่ิมข้อมลู ในตาราง สามารถทาได้หลายวิธี ดงั ตอ่ ไปนี ้ ภาพท่ี 3.4 ขนั้ ตอนการเพ่ิมข้อมลู ในตาราง

43การลบข้อมูลในตาราง1. เลือก record ท่ีต้องการจะลบ2. การลบข้อมลู ในตาราง สามารถทาได้หลายวธิ ี ดงั ตอ่ ไปนี ้ ภาพท่ี 3.5 ขนั้ ตอนการลบข้อมลู ในตารางการทางานกับ Record Navigator ภาพท่ี 3.6 การทางานกบั Record Navigator

44การจัดรูปแบบข้อมูลในตาราง ภาพท่ี 3.7 เคร่ืองมือการจดั รูปแบบในตารางการเรียงลาดบั ข้อมูล (Sort)การเรียงลาดบั ข้อมลู ทาได้สองทางดงั นี ้ ภาพท่ี 3.8 วิธีการเรียงลาดบั ข้อมลู (วิธีท่ี 1)

45ภาพท่ี 3.9 วิธีการเรียงลาดบั ข้อมลู (วธิ ีท่ี 2)

46การกรองข้อมูลใน fieldหลังจากคลิก OK แล้ว จะเหลือแต่เรคอร์ดท่ไี ม่มีคาว่า ชาย ภาพท่ี 3.10 วิธีการกรองข้อมลู ใน field

47การกรองข้อมูลแบบเลือกรายการ1. คลิกขวาในชอ่ งข้อมลู ชอ่ งใดก็ได้ของคอลมั น์ท่ีต้องการกรอง2. เลือก Text Filters ภาพท่ี 3.11 วิธีการกรองข้อมลู แบบเลือกรายการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook