Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนการสอน ชีววิทยา2

แผนการจัดการเรียนการสอน ชีววิทยา2

Published by ๋Jiratchaya Chaitheeratham, 2021-03-24 10:49:05

Description: แผนการจัดการเรียนการสอน ชีววิทยา2

Search

Read the Text Version

14. สรุปผลการประเมินผเู้ รียน นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ……….. มผี ลการเรียนรู้ฯ อยู่ในระดบั 1 (ปรับปรงุ ) นักเรยี นจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ……….. มีผลการเรยี นรู้ฯ อยู่ในระดับ 2 (พอใช)้ นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……….. มีผลการเรียนรฯู้ อยใู่ นระดับ 3 (ดี) นักเรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……….. มผี ลการเรยี นรู้ฯ อยู่ในระดบั 4 (ดีมาก) สรุปโดยภาพรวมมีนักเรียน จานวน………คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……….ที่ผา่ นเกณฑ์ระดับ 2 ขน้ึ ไป ซงึ่ สูง (ตา่ ) กว่าเกณฑท์ ี่กาหนดไวร้ อ้ ยละ………มนี ักเรยี นจานวน……คน คดิ เปน็ ร้อยละ…… ท่ีไม่ผ่านเกณฑท์ กี่ าหนด 15. ข้อสงั เกต/คน้ พบ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 16. แนวทางแก้ไขปญั หาเพอื่ ปรบั ปรุง .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 17. ผลการพฒั นา .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................ (นางสาวจิรชั ญา ชัยธรี ธรรม) ผู้สอน ลงชอื่ ................................................ (นางกมลชนก เทพบุ) หวั หนา้ สาระ

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม ช่อื แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 2.3 ลักษณะพันธุกรรมที่เป็น ส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล รหัส–ชื่อรายวิชา ว31206 เพิ่มเติมชีววิทยา2 สาหรับนักเรียนท่ีเน้น วิทยาศาสตร์ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ภาคเรียนที่ 2/2563 เวลา 3 ชั่วโมง ผู้สอนครู จิรัชญา ชัยธีรธรรม โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อ.แมแ่ จ่ม จ.เชยี งใหม่ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา รู้ว่า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูล และเครื่องมือท่ีมีอยู่ในช่วงเวลาน้ันๆ เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อมมีความเก่ียวข้อง สัมพันธก์ ัน ผลการเรยี นรู้ 1. สบื ค้นข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบเทียบลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมีการแปรผันไม่ต่อเนื่อง และ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมท่มี ีการแปรผันต่อเนื่อง 2. อธบิ ายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม และยกตวั อยา่ งลักษณะทางพันธกุ รรมที่ถูกควบคมุ ด้วยยีนบนออ โตโซมและยนี บนโครโมโซมเพศ 3. สรปุความสัมพันธร์ะหว่างสารพันธุกรรม แอลลลี โปรตีน ลักษณะทางพันธุกรรม และเช่ือมโยงกับ ความรู้เร่อื งพันธุศาสตร์เมนเดล 2. จุดประสงค์การเรียนรู้(ด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ ด้านคุณลักษณะฯ หรือพุทธิพิสัย ทกั ษะพิสยั จติ พิสัย) 21.อธบิ ายการถา่ ยทอดลักษณะพันธกุ รรมท่ีเป็นส่วนขยายของพนั ธุศาสตรเ์ มนเดลได้ (K) 22.ยกตัวอย่างลักษณะพันธุกรรมท่เี ป็นสว่ นขยายของพนั ธุศาสตรเ์ มนเดลได้ (K) 23.เปรียบเทยี บลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมทีม่ ีการแปรผนั ไม่ต่อเน่ืองและลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมีการแปรผัน ต่อเน่ือง (K) 24.ประยุกต์ใช้ความรูจ้ ากการการถ่ายทอดลกั ษณะพันธุกรรมท่ีเปน็ สว่ นขยายของพันธุศาสตร์เมนเดลมาหา โอกาสการเกดิ ลักษณะทางพนั ธกุ รรมตา่ ง ๆ ได้ (K) 25.เขียนการถ่ายทอดลกั ษณะพันธุกรรมลกั ษณะต่าง ๆ เปน็ สว่ นขยายของพนั ธศุ าสตรเ์ มนเดลได้ (P) 26.เขียนพนั ธปุ ระวัติแสดงการถ่ายทอดลกั ษณะพันธกุ รรมภายในครอบครวั ได้ (P) 27.สนใจใฝร่ ใู้ นการศกึ ษา (A)

3. สาระสาคญั การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมของเมนเดลเป็นการถ่ายทอดลักษณะท่ีควบคุมด้วยยีนเพียงยีนเดี ยวหรือสอง แอลลีลเท่านน้ั ซึ่งแอลลลี เดน่ จะขม่ แอลลีลด้อยอย่างสมบูรณ์ แต่การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะ ไมไ่ ดถ้ กู ควบคมุ การแสดงออกตามกฎของเมนเดล ดังนี้ - การข่มไมส่ มบูรณ์ (incomplete dominant) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมท่ีถูกควบคุมด้วยยีนเดียว แต่ แอลลีลไมไ่ ด้มลี ักษณะเดน่ หรอื ด้อยอย่างสมบรู ณ์ เชน่ สดี อกของตน้ ล้นิ มงั กร ลักษณะของเสน้ ผม - ความเด่นร่วม (codominant) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมท่ีถูกควบคุมด้วยยีนเดียว แต่แอลลีลสองแอลลีล ไม่ข่มซงึ่ กนั แหละกนั แตแ่ สดงลักษณะเด่นออกมาเท่ากนั เชน่ หมูเ่ ลอื ด AB ในระบบ ABO - มัลติเพลิ แอลลลี (multiple allele) เปน็ ลักษณะทางพนั ธุกรรมท่ีถูกควบคุมด้วยแอลลีลมากกว่า 2 แอลลีล เช่น หมู่ เลือดระบบ ABO ประกอบดว้ ยแอลลีล IA IB และ i - พอลิยีน (polygene) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนหลายยีน และมีสิ่งแวดล้อมมา เก่ียวขอ้ ง เช่น สผี วิ สตี า - ยีนบนโครโมโซมเพศ เป็นลักษณะทางพันธุกรรมท่ีถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซมเพศ เช่น โรคฮีโม- ฟเิ ลยี โรคตาบอดสี - ยนี บนโครโมโซมเดยี วกนั เปน็ ลักษณะทางพนั ธุกรรมที่ถูกวบคุมด้วยยนี บนโครโมโซมเดียวกนั และยีนจะ ถูกถา่ ยทอดไปพร้อมกนั เช่น ยนี ควบคมุ ลักษณะสีตวั และลกั ษณะปีกของแมลงหว่ี - ลักษณะภายใต้อิทธิพลเพศ เป็นลักษณะพันธุกรรมที่อยู่บนโครโมโซมร่างกาย แต่มีการแสดงออก แตกตา่ งกันในแต่ละเพศ เช่น ลักษณะศรี ษะลา้ น - ลักษณะท่ีจากดั ในเพศ เปน็ ลกั ษณะพันธุกรรมท่ีอยู่บนโครโมโซมร่างกาย แต่แสดงออกในเพศใดเพศหน่ึง เท่าน้ัน เชน่ การสรา้ งนา้ นมในเพศหญงิ การเกิดหนวดเคราในเพศชาย 4.สาระการเรยี นรู้ ความรู้ - การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะให้อัตราส่วนที่แตกต่างจากผลการศึกษาของเมนเดล เรียก ลกั ษณะเหล่านีว้ ่า ลักษณะทางพนั ธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล เช่น การข่มไม่สมบูรณ์ การข่ม ร่วมกนั มลั ติเพิลแอลลีล ยนี บนโครโมโซมเพศ และพอลยิ ีน - ลักษณะพันธุกรรมบางลักษณะมีความแตกต่างกันชัดเจน เช่น การมีต่ิงหูหรือไม่มีต่ิงหู ซ่ึงเป็นลักษณะทาง พนั ธุกรรมทม่ี ีการแปรผนั ไมต่ อ่ เนอ่ื ง - ลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยและลดหลั่นกันไป เช่น ความสูงและสีผิวของ มนุษยถ์ กู ควบคุมโดยยนี หลายคู่ซงึ่ เปน็ ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการแปรผันต่อเนื่อง และส่ิงแวดล้อมอาจมีผลต่อ การแสดงลกั ษณะน้ัน

- โครโมโซมภายในเซลล์ร่างกายแบ่งเป็นออโตโซมและโครโมโซมเพศ ลักษณะทางพันธุกรรมส่วนใหญ่ถูกควบคุม ดว้ ยยนี บนออโตโซม บางลกั ษณะถกู ควบคมุ ด้วยยีนบนโครโมโซมเพศซง่ึ ส่วนมากเป็นยีนบนโครโมโซม X - เมอื่ มกี ารสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ยนี บนโครโมโซมเดียวกันท่ีอยู่ใกล้กันมักจะถูกถ่ายทอดไปด้วยกัน แต่การเกิดครอส ซิงโอเวอรใ์ นการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสอาจทาให้ยีนบนโครโมโซมเดยี วกนั แยกจากกนั ได้ ส่งผลให้รปู แบบของเซลล์ สบื พนั ธุ์ท่ไี ด้แตกตา่ งไปจากกรณีที่ไม่เกดิ ครอสซงิ โอเวอร์ 5. ทกั ษะ / กระบวนการ/ทกั ษะการคิด 1.ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ 2.ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3.ทกั ษะการคิด วเิ คราะหแ์ ยกแยะ คุณลักษณะ  รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์  ซอื่ สตั ยส์ ุจรติ  มีวนิ ยั  ใฝเ่ รียนรู้  อยู่อย่างพอเพียง  มุ่งมั่นในการทางาน  รักความเป็นไทย  มจี ิตสาธารณะ  อน่ื ๆ ……………………………………………………………………………………………………………. สมรรถนะ  ความสามารถในการส่อื สาร  ความสามารถในการคิด  ความสามารถในการแก้ปัญหา  ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ  ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ชน้ิ งานหรือภาระงาน  ใบงาน  ผังกราฟฟิค  โครงงาน  สง่ิ ประดษิ ฐ์

 อืน่ ๆ การประเมินผล  แบบทดสอบความรู้  แบบวดั ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์  แบบวัดจติ วิทยาศาสตร์  แบบการประเมนิ ตามสภาพจริง (รูบคิ ) สอื่ การเรียนรู้/แหลง่ การเรยี นรู้  หนังสอื เรียน  คูม่ ือครู  หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551  ตัวชว้ี ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ พ.ศ.2551  ฐานขอ้ มลู อเิ ลก็ ทรอนิกส์  ของจรงิ  อ่นื ๆ 6. กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ขน้ั นาเขา้ ส่บู ทเรียน (Engagement) 1. ครูใช้คาถาม Prior Knowledge เพ่ือทบทวนความรูข้ องนักเรยี นว่า การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม ของเมนเดล มลี ักษณะอยา่ งไร (แนวตอบ ตามหลกั พนั ธศุ าสตร์ของเมนเดล การผสมพันธุ์เพียงลกั ษณะเดยี วระหว่างลกั ษณะเดน่ กบั ลักษณะด้อยท่ีเป็นพันธุ์แท้ทั้งคู่ รุ่น F1 จะแสดงฟีโนไทป์ที่เป็นลักษณะเด่นออกมา แต่จีโนไทป์เป็นแบบ พันธุ์ทาง และเม่ือให้รุ่น F1 ผสมกันเองจะได้รุ่น F2 ท่ีแสดงฟีโนไทป์ท่ีเป็นลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อยที่ อัตราส่วน 3 : 1 แต่มีจโี นไทปเ์ ป็นอตั ราสว่ น 1 : 2 : 1 สาหรับการผสมสองลักษณะระหว่างลักษณะเด่นกับ ลักษณะด้อยท่ีเป็นพันธุ์แท้ทั้งคู่ รุ่น F1 จะแสดงฟีโนไทป์ที่เป็นลักษณะเด่นออกมา แต่จีโนไทป์เป็นแบบ พนั ธุ์ทาง และเม่ือให้รุ่น F1 ผสมกันเองจะได้รุ่น F2 จะแสดงฟีโนไทป์ 4 แบบ แต่จีโนไทป์จะมีอัตราส่วนที่ 9 : 3 : 3 : 1) 2. ครูถามนักเรียนว่า การผสมพันธ์ุดอกบานเย็นสีแดงกับดอกบานเย็นสีขาวตามหลักพันธุศาสตร์ของ เมนเดล จะได้ดอกบานเย็นรนุ่ F1 ทไ่ี ดจ้ ะมีลักษณะอยา่ งไร (แนวตอบ หากการผสมพนั ธ์ดุ อกบานเย็นเปน็ ไปตามหลกั พันธุศาสตรข์ องเมนเดล รุ่น F1 ควรมีลักษณะ ดอกสีแดงหรือดอกสขี าวท้ังหมด) 3. ครูอธบิ ายการทดลองผสมตน้ บานเยน็ ดอกสแี ดงกบั ดอกสขี าวของคาร์ล คอร์เรนสใ์ หน้ กั เรียนทราบ และ อธิบายว่ามกี ารถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมบางลกั ษณะที่ไมไ่ ดเ้ ป็นตามหลกั พันธศุ าสตรข์ องเมนเดล

2. ขนั้ สารวจและคน้ หา (Exploration) 1. ครูใหน้ กั เรียนศึกษาแผนภาพการผสมพนั ธุด์ อกล้นิ มงั กรสีแดงกับสีขาว 2. ครถู ามนกั เรียนวา่ ถ้าการผสมพันธุ์ดอกล้ินมังกรสีแดงกับสีขาวเป็นไปตามหลักพันธุศาสตร์ของเมนเดล จะไดร้ ้นุ F1 และ F2 อยา่ งไร (แนวตอบ การผสมพันธ์ุดอกลิ้นมังกรท่ีเป็นไปตามหลักพันธุศาสตร์ของเมนเดล จะได้รุ่น F1 มีลักษณะ ดอกสีแดงหรือดอกสีขาวทั้งหมด ส่วนรุ่น F2 จะมีสีดอกที่เป็นลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อยท่ีอัตราส่วน เท่ากบั 3 : 1) ครอู ธิบายให้นกั เรยี นฟงั วา่ ดอกลิ้นมังกรมีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ พันธุศาสตร์ เมนเดล ซง่ึ ลักษณะเดน่ ไมไ่ ดข้ ม่ ลักษณะด้อยอยา่ งสมบูรณ์ แตล่ ะแสดงลักษณะทีอ่ ยกู่ ึ่งกลาง 1. ออกมา เรียกการถ่ายทอดลกั ษณะนวี้ ่า การข่มไม่สมบูรณ์ ซ่งึ ดอกลิน้ มังกรมีแอลลีลควบคุม 2 แอลลีล คือ R และ R’ และจะแสดงมจี ีโนไทป์แสดงลักษณะตา่ ง ๆ ดงั นี้ จีโนไทป์ RR จะแสดงดอกลน้ิ มังกรสีแดง จีโนไทป์ RR’ จะแสดงดอกลน้ิ มังกรสชี มพู จโี นไทป์ R’R’ จะแสดงดอกลน้ิ มังกรสขี าว 2. ครูอธิบายให้นกั เรียนฟังว่า นอกจากดอกลิน้ มังกรแลว้ ลกั ษณะเส้นผมก็มีการถ่ายทอดลักษณะแบบการ ขม่ ไมส่ มบรู ณเ์ ช่นกนั 3. ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายเกย่ี วกบั การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมแบบขม่ ไมส่ มบูรณ์ 2. ครใู หน้ ักเรยี นทาใบงานที่ 4.4 เรื่อง การถา่ ยทอดลกั ษณะของเสน้ ผม 4. ข้ันขยายความรู้ (Expension) 1. ครใู ห้นักเรยี นทาแผนผังมโนทศั นเ์ ร่ือง เร่อื ง ลกั ษณะพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล ซ่ึงมเี นือ้ หาประกอบดว้ ยหลกั การการถา่ ยทอดลกั ษณะพันธุกรรม พรอ้ มยกตัวอย่างลักษณะพันธุกรรมท่ี มีการถา่ ยทอดรปู แบบตา่ ง ๆ 2. ครูให้นกั เรยี นทา Self Check เพือ่ ตรวจสอบความเขา้ ใจของตนเอง 3. ครูให้นักเรยี นทา Unit Question ทา้ ยหนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 4 ในหนงั สอื เรียนชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2 4. ครูให้นกั เรียนทาแบบทดสอบทา้ ยหนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 4 ในแบบฝกึ หัดชวี วิทยา ม.4 เล่ม 2 5. ครใู หน้ ักเรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น 5. ขั้นประเมินผล (Evaluation) 1. การตรวจใบงาน 2. การประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. การสงั เกตสังเกตพฤติกรรมผเู้ รยี น

7.สอื่ และแหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั ส่อื เรียน ชวี วิทยา เลม่ 2 2. poewer point เรอ่ื ง ลักษณะพนั ธกุ รรมทเ่ี ปน็ สว่ นขยายของพันธศุ าสตร์เมนเดล 3. ใบงาน เรื่อง ลักษณะพนั ธกุ รรมท่ีเป็นสว่ นขยายของพนั ธุศาสตร์เมนเดล 4. วิดโี อ ลกั ษณะพันธกุ รรมที่เปน็ ส่วนขยายของพันธุศาสตรเ์ มนเดล 5. ห้องสมุด/Internet 6.ใบความรู้ 8. การวัดผลและประเมินผล วธิ ีการวดั เครอื่ งมอื 8.1 การวัดผล - ตรวจใบงาน - แบบประเมนิ ใบงาน การวัดผลและประเมินผล - สังเกตทกั ษะกระบวนการทาง -แบบประเมินทกั ษะกระบวนการ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ทางวทิ ยาศาสตร์ 1.อภปิ รายและอธบิ ายลักษณะ พันธุกรรมที่เป็นสว่ นขยายของ พันธศุ าสตรเ์ มนเดล 2. มีทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ 3.ใฝ่เรยี นร้แู ละมงุ่ มั่นในการ - สงั เกตพฤตกิ รรมนักเรียน - แบบประเมนิ พฤติกรรมนักเรยี น ทางาน

8.2เกณฑก์ ารประเมนิ ผล เกณฑ์การประเมินใบกิจกรรม เกณฑ์การใหค้ ะแนน รวม 20 หวั ขอ้ การ 4 32 1 คะแนน ประเมิน ดมี าก ปรบั ปรุง ดี พอใช้ 4 1.ความ เนือ้ หาเป็นไปตาม เนอ้ื หาไมเ่ ปน็ ไป ถกู ต้องของ ทกี่ าหนด มี เน้ือหาเป็นไปตาม เน้อื หาเปน็ ไปตาม ตามท่ีกาหนด เนอ้ื หา รายละเอยี ด รายละเอยี ด ครอบคลมุ ที่กาหนด มี ทีก่ าหนด มี ไมค่ รอบคลุม รายละเอียด รายละเอียด ครอบคลุมสว่ นใหญ่ ครอบคลมุ บางส่วน 2.ภาษาท่ใี ช้ ไมม่ ีการสะกดคาผดิ การสะกดคาผิดไม่ การสะกดคาผิด 3 การสะกดคาผิด 4 เกนิ 2 แหง่ แหง่ แห่งขน้ึ ไป 4 3.ความคิด แสดงออกถึง มแี นวคิดแปลกใหม่ มีความนา่ สนใจแต่ ไมแ่ สดงแนวคิด สรา้ งสรรค์ ความคดิ สรา้ งสรรค์ แตย่ ังไมเ่ ปน็ ระบบ ยังไม่มีแนวคิด ใหม่ 4 4.ความเป็น 4 ระเบยี บ แปลกใหมแ่ ละเปน็ แปลกใหม่ 4 5.เวลา ระบบ ผลงานมีความเป็น ผลงานสว่ นใหญม่ ี ผลงานมีความเป็น ผลงานส่วนใหญไ่ ม่ ระเบยี บแสดงออก ความเป็นระเบียบแต่ ระเบียบแตม่ ี เป็นระเบยี บและมี ถงึ ความประณีต ยงั มีข้อบกพรอ่ ง ขอ้ บกพร่อง ข้อบกพร่อง เลก็ น้อย บางส่วน ส่งช้ินงานภายใน สง่ ชนิ้ งานชา้ กวา่ สง่ ชิ้นงานช้ากว่า ส่งชนิ้ งานชา้ กวา่ เวลาทีก่ าหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนดเกนิ 3 วัน ขน้ึ ไป

เกณฑ์การประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ระดบั คะแนน น้าหนกั ทักษะกระบวนการ ยอดเย่ยี ม ดี พอใช้ ต้องปรบั ปรงุ ทางวิทยาศาสตร์ (4) (3) (2) (1) 1.การจดั กระทาและ จัดกระทาข้อมลู จดั กระทา จัดกระทาข้อมลู จัดกระทาข้อมูล 4 สอ่ื ความหมายขอ้ มลู ใหม่ โดยการ ใหม่ โดยการ 4 -การจดั ใหม่ โดยการ ข้อมลู ใหม่ เรยี งลาดบั แยก เรียงลาดับ แยก 4 กระทาขอ้ มูล เรียงลาดบั แยก โดยการ ประเภท เพือ่ ให้ ประเภท เพ่อื ให้ เรียงลาดบั เข้าใจงา่ ยขน้ึ ประเภท เพือ่ ให้ 2.ทกั ษะการลง เขา้ ใจง่ายขึน้ แยกประเภท ชดั เจน และตรง เข้าใจง่ายขน้ึ ไม่ ความเหน็ จากขอ้ มูล ชดั เจน และตรง เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจ -การเพิ่มความเห็น ประเด็นบางครัง้ ชดั เจน และไม่ ประเด็นทกุ ครัง้ งา่ ยขนึ้ ตรงประเด็น -การอธิบาย ชดั เจน และ ตรงประเดน็ บอ่ ยคร้งั เพ่ิมความเหน็ เพม่ิ ความเหน็ เพ่มิ ความเห็น ไม่เพิ่มความเห็น ขอ้ มลู อย่างมี ข้อมูลอย่างมี ขอ้ มลู อยา่ งมี ขอ้ มลู หรือมกั เหตุผลทุกคร้ัง เหตุผล เหตุผลบางครง้ั เพ่มิ ความเห็น บ่อยครั้ง ขอ้ มูลอยา่ งไมม่ ี เหตุผล อธิบายผลและ อธิบายผลและ อธิบายผลและ อธบิ ายผลและ ขอ้ มลู ได้อยา่ ง ขอ้ มูลได้ ข้อมูลได้ ข้อมูลไดไ้ ม่ ชดั เจน และตรง ค่อนข้าง คอ่ นขา้ งชดั เจน ชัดเจน และไม่ ประเดน็ ทกุ คร้งั ชดั เจน และ และตรง ตรงประเด็น ตรงประเดน็ ประเดน็ บางครั้ง บ่อยคร้งั

3.ทักษะการ การแปล การแปล การแปล การแปล 4 ตีความหมายขอ้ มลู ความหมาย ความหมาย ความหมาย ความหมาย 4 และลงข้อสรปุ ข้อมลู ได้อย่าง ข้อมูลได้ ขอ้ มลู ได้อย่าง ข้อมูลไมถ่ กู ต้อง - การแปลความหมาย ถกู ต้อง ถกู ต้อง ถกู ต้อง และไม่ ขอ้ มลู เหมาะสม เหมาะสมทุก เหมาะสม เหมาะสม ครั้ง บ่อยครงั้ บางครั้ง -การสรปุ ความสมั พนั ธ์ สรปุ สรปุ ของขอ้ มูล สรุป สรุป ความสมั พันธ์ ความสัมพนั ธ์ ของขอ้ มูลได้ไม่ ความสมั พนั ธ์ ความสัมพันธ์ ของขอ้ มลู ได้ ถูกต้อง ของข้อมูลได้ ของข้อมลู ได้ อยา่ งถกู ต้อง อยา่ งถูกตอ้ งทกุ อย่างถกู ต้อง บางครงั้ ครงั้ บ่อยครั้ง

เกณฑก์ ารประเมินพฤติกรรมนักเรียน เกณฑก์ ารให้คะแนน รวม พฤติกรรม 20 4 3 2 1 คะแนน ดีมาก ดี พอใช้ ปรบั ปรงุ 1.ใฝ่เรียนรู้ -สนใจในการ มคี วามสนใจใฝร่ ู้ มคี วามสนใจใฝ่รู้ มีความสนใจใฝร่ ู้ ไมค่ อ่ ยสนใจใฝร่ ู้ เรยี นและเข้า ทกุ เร่ือง ทุกเรอื่ ง ทกุ เรอ่ื ง ขาดความ ร่วมกิจกรรม กระตือรือรน้ กระตือรอื ร้น กระตือรอื ร้น กระตอื รือร้น การเรียนรตู้ ่าง ในการเรยี น ในการเรียน ในการเรียน ในการเรียนไมก่ ลา้ ๆ กลา้ ซกั ถามปญั หา ซักถามปัญหาที่ ซักถามปัญหาที่ ซกั ถามปญั หาที่ ทส่ี งสัยทกุ ครงั้ สงสัยเปน็ ส่วน สงสัยเป็นบางคร้งั สงสยั ใหญ่ -แสวงหา ศึกษาค้นคว้า ศกึ ษาค้นควา้ ศึกษาค้นควา้ ไมม่ กี ารศกึ ษา ศกึ ษา คน้ ควา้ ความรเู้ พ่ิมเตมิ ใน ความรเู้ พม่ิ เตมิ ใน ความรเู้ พิม่ เติมใน คน้ ควา้ ความรู้ ความรจู้ าก อินเตอร์เน็ตและ อนิ เตอรเ์ น็ตและ อนิ เตอรเ์ นต็ และ เพม่ิ เติมใน แหล่งการ ห้องสมดุ เปน็ หอ้ งสมุดเปน็ ส่วน ห้องสมดุ เปน็ อินเตอร์เน็ตและ เรียนรู้ต่าง ๆ ประจา ใหญ่ บางครง้ั ห้องสมดุ -บนั ทึกความรู้ บันทึกความรทู้ ี่ บนั ทกึ ความรทู้ ี่ บนั ทกึ ความรทู้ ี่ ไม่มีการบนั ทึก วเิ คราะห์ สาคญั ลงในสมดุ สาคญั ลงในสมุด สาคัญลงในสมดุ ความรู้ท่ีสาคัญลง ตรวจสอบ ทกุ คร้งั สว่ นใหญ่ บางครง้ั ในสมุด แลกเปล่ยี น เรียนรู้ 1.มุ่งมั่นในการ ทางาน -มีความต้ังใจ สนใจในการ สนใจในการ ไมส่ นใจในการ ทางานท่ีได้รบั ทางานทไ่ี ด้รบั ทางานท่ไี ด้รบั สนใจในการทางาน มอบหมาย คุยกนั ทไ่ี ด้รบั มอบหมาย มอบหมาย คุยกัน มอบหมาย คยุ เลก็ น้อย และเล่นกนั เป็น และเล่นกัน ไม่คยุ หรอื เลน่ กนั บางคร้ัง -มีความ ทางานและสง่ งาน ทางานและสง่ งาน ทางานและสง่ งาน ไม่ทางานและไม่ รบั ผดิ ชอบ ตามท่ีรบั มอบหมาย ตามทีร่ บั ตามที่รบั ส่งงานตามท่ีรับ ทกุ ครัง้ มอบหมายสว่ น มอบหมาย มอบหมาย

ใหญ่ บางครั้ง -เอาใจใส่ตอ่ ทางานท่ีตนไดร้ บั ทางานท่ตี นได้รับ ทางานท่ีตนไดร้ บั ไม่ใสใ่ จไมง่ านที่ ได้รบั มอบหมาย งานทต่ี นได้รับ มอบหมายด้วยความ มอบหมายดว้ ย มอบหมายดว้ ย ไมท่ บทวน ใส่ใจทกุ ครง้ั ความใส่ใจเปน็ ความใส่ใจ บทเรยี นและไม่มี ความ สว่ นใหญ่ บางครัง้ กระตือรอื รน้ ใน การทางานทไี่ ด้รบั -มีคว ามขยัน ทบ ทว น บท เรี ย น ทบทวนบทเรียน ทบทวนบทเรียน มอบหมาย ทางานท่ไี ดร้ บั อดทน และกระตือรือร้นใน และกระตือรือร้น และกระตือรือร้น มอบหมายจนไม่ เสร็จสง่ ไม่ทนั ตาม การทางานท่ีได้รับ ในการทางานที่ ในการทางานท่ี เวลาที่กาหนด มอบหมายทกุ ครัง้ ได้รับมอบหมาย ได้รบั มอบหมาย เป็นส่วนใหญ่ บางครัง้ -มคี วาม ทางานที่ไดร้ บั ทางานทไ่ี ด้รับ ทางานท่ีไดร้ บั มอบหมายจน มอบหมายจน พยายาม มอบหมายจนเสร็จ เสรจ็ ส่งทันตาม เสร็จส่งทนั ตาม ทางานจนเสร็จ ส่งทนั ตามเวลาที่ เวลาที่กาหนด เวลาท่กี าหนด เปน็ ส่วนใหญ่ บางครง้ั กาหนดทกุ ครั้ง ระดับคุณภาพ คะแนน 16 – 20 หมายถงึ ดีมาก คะแนน 11 – 15 หมายถงึ ดี คะแนน 6 – 10 หมายถึง พอใช้ คะแนน 1 - 5 หมายถึง ปรบั ปรงุ 8.3 เกณฑก์ ารตัดสิน - รายบคุ คล นกั เรียนมีผลการเรียนรูไ้ มต่ ่ากว่าระดบั 2 จึงถือว่าผ่าน - รายกลุม่ ร้อยละ 70 ของจานวนนกั เรียนทง้ั หมดมีผลการเรียนรไู้ ม่ตา่ กวา่ ระดับ 2

9. ขอ้ เสนอแนะ  ใชส้ อนได้  ควรปรับปรุง ………………………………………………………………………………..………………………………………. .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 10. บนั ทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ ช้นั ................ ความเหมาะสมของกจิ กรรม  ดี  พอใช้  ปรบั ปรุง………………………. ความเหมาะสมของเนอื้ หา  ดี  พอใช้  ปรับปรงุ ……………………… ความเหมาะสมของเวลา  ดี  พอใช้  ปรบั ปรงุ ……………………… ความเหมาะสมของสอ่ื  ดี  พอใช้  ปรบั ปรุง……………………… อนื่ ๆ……………………………………………………………………………………………………... 11. สรุปผลการประเมนิ ผเู้ รียนดา้ นความรู้ นักเรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มผี ลการเรยี นรู้ฯ อยูใ่ นระดับ 1 นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มีผลการเรียนร้ฯู อยู่ในระดบั 2 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มผี ลการเรยี นรู้ฯ อยู่ในระดบั 3 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นรอ้ ยละ………..มีผลการเรยี นรูฯ้ อยใู่ นระดับ 4 12. สรุปผลการประเมนิ ผเู้ รยี นด้านทักษะกระบวนการ นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มผี ลการเรียนรู้ฯ อยู่ในระดบั 1 นักเรียนจานวน…….คน คิดเป็นรอ้ ยละ………..มีผลการเรยี นรฯู้ อยใู่ นระดบั 2 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มีผลการเรยี นรูฯ้ อยใู่ นระดบั 3 นักเรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มีผลการเรยี นรู้ฯ อยู่ในระดับ 4 13. สรปุ ผลการประเมินผู้เรียนด้านคุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มผี ลการเรียนรู้ฯ อยใู่ นระดับ 1 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มผี ลการเรียนรู้ฯ อยู่ในระดับ 2 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มผี ลการเรียนรฯู้ อยใู่ นระดับ 3 นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มีผลการเรยี นรู้ฯ อยู่ในระดบั 4

14. สรุปผลการประเมินผูเ้ รียน นักเรยี นจานวน…….คน คดิ เป็นรอ้ ยละ……….. มีผลการเรียนรูฯ้ อยู่ในระดบั 1 (ปรับปรงุ ) นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……….. มีผลการเรียนร้ฯู อย่ใู นระดับ 2 (พอใช)้ นักเรยี นจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ……….. มีผลการเรยี นรฯู้ อย่ใู นระดับ 3 (ด)ี นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ……….. มีผลการเรยี นร้ฯู อยู่ในระดับ 4 (ดีมาก) สรุปโดยภาพรวมมนี กั เรียน จานวน………คน คดิ เปน็ ร้อยละ……….ทีผ่ า่ นเกณฑ์ระดบั 2 ขึ้นไป ซงึ่ สูง (ตา่ ) กวา่ เกณฑท์ กี่ าหนดไว้รอ้ ยละ………มีนกั เรยี นจานวน……คน คิดเป็นร้อยละ…… ท่ไี ม่ผ่านเกณฑท์ ่ีกาหนด 15. ขอ้ สังเกต/คน้ พบ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 16. แนวทางแก้ไขปญั หาเพอ่ื ปรบั ปรงุ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 17. ผลการพัฒนา .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................ (นางสาวจิรัชญา ชัยธีรธรรม) ผู้สอน ลงชอ่ื ................................................ (นางกมลชนก เทพบุ) หวั หน้าสาระ

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ชื่อแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 3.1 ส่ิงมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม รหัส – ช่ือรายวิชา ว 31203 ชีววิทยา2(เพ่ิมเติม) สาหรับนักเรียนท่ีเน้นวิทยาศาสตร์ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู้ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ท่ี 4 ภ า ค เ รี ย น ที่ 2/2562 เวลา 10 ช่ัวโมง ผ้สู อน ครูจริ ัชญา ชยั ธีรธรรม โรงเรยี น ราชประชานุเคราะห์ 31 อ.แม่แจ่ม จ.เชยี งใหม่ 1. ผลการเรยี นรู้ 1. อธิบายหลกั การสรา้ งสง่ิ มีชวี ีติดดั แปรพนั ธกุ รรม โดยใช้ดเี อน็ เอรีคอมบิแนนท์ 2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 28.อธบิ ายหลักการสร้างดีเอน็ เอรคี อมบิแนนท์ได้ (K) 29.อธิบายหลักการโคลนยนี หรือโคลนดเี อ็นเอได้ (K) 30.อธิบายหลักการสรา้ งส่ิงมีชีวติ ดดั แปรพนั ธุกรรมได้ (K) 31.เปรียบเทียบการโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคmuเรียกบั เทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชนั ได้ (K) 32.เขยี นขน้ั ตอนการสรา้ งดีเอน็ เอรีคอมบแิ นนท์ได้ (P) 33.เขยี นข้ันตอนการโคลนยีนหรือโคลนดีเอ็นเอได้ (P) 34.เขยี นขั้นตอนการสรา้ งสิ่งมชี วี ติ ดัดแปรพันธุกรรมได้ (P) 35.สนใจใฝร่ ูใ้ นการศึกษา (A) 3. สาระการเรียนรู้ - การใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ในการสร้างดีเอ็นเอ รีคอมบิแนนท์ สามารถนาไปใช้ในการสร้างส่ิงมีชีวิต ดัดแปรพนั ธกุ รรม โดยนายนี ท่ีตอ้ งการมาตดั ตอ่ ใสใ่ นส่งิ มชี ีวิตทาใหส้ ิง่ มชี ีวิตนน้ั มสี มบตั ิตามตอ้ งการ 4. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ เป็นการใช้เทคโนโลยีเพ่ือสร้างดีเอ็นเอสายผสม หรือ DNA รีคอมบิแนนท์ (recombinant DNA) ซ่ึงสามารถใช้ดัดแปลง ตัดต่อ เคล่ือนย้าย หรือสร้าง DNA สายใหม่ เพื่อนาไปดัดแปร พันธุกรรมของส่งิ มีชีวิต การสรา้ ง DNA รคี อมบิแนนท์ เป็นการตัดตอ่ DNA จากสง่ิ มชี ีวติ ชนดิ หนึ่งแลว้ นาไปเชอื่ มต่อกับ DNA ของ สิ่งมีชีวิตอีกชนิด โดยอาศัยคุณสมบัติของเอนไซม์ 2 ชนิด ได้แก่ เอนไซม์ตัดจาเพาะ (restriction enzyme) ที่มี คุณสมบัติในการตัดโมเลกุลของ DNA ท่ีมีตาแหน่งจาเพาะ และเอนไซม์ DNA ไลเกส (DNA ligase enzyme) ท่ี ช่วยในการเช่อื มต่อสาย DNA ทีถ่ กู ตดั ทาให้ DNA 2 สายเช่อื มตอ่ กัน กลายเปน็ DNA รคี อมบแิ นนทท์ ่ีสมบรู ณ์ การโคลนดีเอ็นเอ (DNA cloning) เป็นการเพ่ิมจานวน DNA ซึ่งหาก DNA บริเวณน้ันเป็นยีนจะเรียกว่า การโคลนยีน (gene cloning) แบง่ ออกเปน็ 2 วธิ ี

- การโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย เป็นการเพิ่มจานวนปริมาณ DNA โดยการตัดช้ินส่วน DNA แล้วนาไปเชื่อมต่อกบั เวกเตอร์ เช่น พลาสมิด (plasmid) ของแบคทีเรยี และนาแบคทีเรียไปเล้ียงเพ่ิมจานวน เพ่ือให้มีปริมาณชนิ้ สว่ น DNA ที่เพิม่ ขนึ้ - การโคลนยีนในหลอดทดลองโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน (PCR) ซ่ึงต้องอาศัยองค์ DNA แมแ่ บบ ไพรเมอร์ นวิ คลีโอไทด์ (เบส A C G T) และเอนไซม์ DNA พอลเิ มอเรส การโคลนยีนโดยเทคนิค PCR จะมีความรวดเร็วและจาเพาะสูง แต่การโคลนยีนอาศัยพลาสมิดของ แบคทเี รียจะถกู ใช้เม่ือตอ้ งการโคลนยีนในปรมิ าณมาก การสรา้ งสง่ิ มีชวี ติ ดดั แปรพนั ธุกรรม เปน็ การสร้างส่ิงมีชวี ติ ท่อี งค์ประกอบทางพนั ธกุ รรมถูกดดั แปลงโดยใช้ เทคโนโลยีทางดเี อ็นเอ แบง่ ออกเปน็ - การสรา้ งพชื ดัดแปรพันธุกรรม เป็นการตัดต่อยีนท่ีแสดงลักษณะท่ีต้องการให้กับพืช เช่น ต้านทานโรค ทนแลง้ โดยใชพ้ ลาสมดิ Ti ท่ีสามารถแทรกยนี หรอื ชน้ิ ส่วนดีเอ็นเอที่ตอ้ งการเข้าสโู่ ครโมโซมของพืช - การสร้างสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม เป็นการตัดต่อยีนท่ีแสดงลักษณะที่ต้องการให้กับสัตว์ เช่น มีไขมันต่า ผลติ น้านมมากข้ึน โดยอาศัยการฉดี ยนี ท่ตี ้องการเขา้ สนู่ ิวเคลยี สของเซลล์ไข่เพ่ือใหย้ นี ดังกล่าวแทรกเข้าสู่จีโนมของ นิวเคลียส จากนั้นจึงทาการปฏิสนธิในหลอดทดลอง (in vitro fertilization) แล้วจึงถ่ายฝากเข้าสู่ตัวแม่เพ่ือให้ เจรญิ เป็นลกู ตวั ใหม่ท่มี ียนี ทีต่ ้องการ 5. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี นและคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการแก้ปัญหา 1. ความมวี ินยั 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. มุง่ มั่นในการทางาน 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ แนวคิด/รูปแบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนคิ : สบื เสาะหาความรู้ (5Es) ชว่ั โมงท่ี 1-2 ขนั้ นา ขั้นกระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 7. ครูแจ้งผลการเรียนรู้ประจาหนว่ ยการเรยี นรใู้ ห้นักเรียนทราบ 8. ครใู ห้นักเรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น 9. ครูถามคาถาม Big Question เพื่อกระตุน้ ความสนใจของนักเรียนว่า ความรู้ทางด้าน DNA มีประโยชน์ ต่อชวี ติ ประจาวนั ของมนษุ ย์อย่างไร (แนวตอบ ความรู้ทางด้าน DNA ทาให้ทราบถึงการควบคุมการทางานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย สิง่ มีชวี ิต ซ่งึ เป็นผลจากการควบคุมของยีน ดงั นั้น จึงสามารถนานาความรู้เหลา่ น้ีมาใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น

ทางการแพทยใ์ นการรกั ษาโรคหรอื อาการทีเ่ กดิ จากความผดิ ปกตขิ องยีน ด้านการเกษตรในการปรับปรุง สายพันธ์สุ ่งิ มชี วี ติ ใหม้ ีคณุ สมบตั ทิ ่ดี แี ละมีลกั ษณะท่ตี ้องการได้) ขน้ั สอน ขน้ั สารวจค้นหา (Explore) 9. ครูอธบิ ายให้นักเรียนฟงั ว่า ความรู้ทางด้านดีเอ็นเอถูกนามาดัดแปรพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตให้มีลักษณะ ตามทตี่ ้องการ โดยอาศัยเทคโนโลยที างดเี อ็นเอ ซึ่งเรยี กสิ่งมีชีวติ เหลา่ น้ีวา่ สง่ิ มีชวี ติ ดดั แปรพันธกุ รรม 10.ครูถามคาถาม Prior Knowledge เพ่ือทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนว่า ส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม (GMOs) หมายถงึ อะไร (แนวตอบ สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรม โดยนายีนจากส่ิงมีชีวิตที่ สนใจมาแทรกเข้าสยู่ ีนของส่ิงมีชวี ิตอีกชนดิ ทาให้สิง่ มีชวี ิตที่ถกู แทรกยนี เข้าไปมีคุณสมบัตขิ องยีนที่สนใจ) 11.ครูอธิบายให้นกั เรยี นฟงั วา่ เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอเป็นการใช้เทคโนโลยีเพ่ือสร้างดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ ซ่ึงในกระบวนการสร้างดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์อาศัยคุณสมบัติของเอนไซม์ 2 ชนิด ได้แก่ เอนไซม์ตัด จาเพาะ และเอนไซมด์ เี อน็ เอไลเกส 12.ครูใหน้ กั เรยี นศึกษา เอนไซมต์ ดั จาเพาะที่สามารถตดั สายดีเอ็นเอได้อย่างจาเพาะ ซึ่งพบในส่ิงมีชีวิตกลุ่ม แบคทเี รยี และมคี วามสามารถในการตดั สาย DNA ไดอ้ ย่างจาเพาะทแ่ี ตกตา่ งกัน 13.ครถู ามนกั เรยี นวา่ เอนไซม์ตัดจาเพาะมีความจาเพาะในการตัดสายดีเอ็นเออย่างไร และเอนไซม์แต่ละ ชนิดมคี วามเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร (แนวตอบ เอนไซม์ตัดจาเพาะจะมีบริเวณตัดจาเพาะในตาแหน่งต่าง ๆ ซึ่งเอนไซม์แต่ละชนิดจะจดจา ตาแหน่งตัดจาเพาะในสายดีเอ็นเอที่มีตาแหน่งตัดจาเพาะที่แตกต่างกัน ซ่ึงอาจตัดสายดีเอ็นเอได้เป็น ปลายทหู่ รือปลายเหนยี่ วขน้ึ อยูก่ บั ชนิดของเอนไซม์ตดั จาเพาะ) 14.ครูอธบิ ายให้นกั เรียนฟงั ว่า เอนไซม์ตัดจาเพาะจะตดั สาย DNA อย่างจาเพาะ ซึ่งเอนไซม์แต่ละชนิดจะมี ตาแหน่งตัดจาเพาะท่ีแตกต่างกัน เอนไซม์บางชนิดตัดสาย DNA เป็นปลายเหนียว ที่จะมีนิวคลีโอไทด์ สายเดย่ี วยน่ื ออกมา เอนไซม์บางชนิดตดั สาย DNA เป็นปลายทู่ ทีจ่ ะไมท่ าให้เกดิ นิวคลโี อไทดส์ ายเดีย่ ว 15.ครใู หน้ กั เรยี นศกึ ษา เอนไซม์ดีเอ็นเอไลเกส ที่ทาหน้าท่ีเช่อื มสายดเี อน็ เอที่ถูกตดั เข้าดว้ ยกัน 16.ครูใหน้ กั เรยี นศกึ ษา ขั้นตอนการสร้างดเี อน็ เอรีคอมบิแนนท์ 17.ครูถามนักเรียนว่า เอนไซม์ตดั จาเพาะและเอนไซม์ดเี อ็นเอไลเกสถูกใชใ้ นการสร้างดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ อย่างไร (แนวตอบ การสรา้ งดเี อ็นเอรีคอมบิแนนท์จะใชเ้ อนไซม์ตัดจาเพาะตัดสายดีเอ็นเอของส่ิงมีชีวิต ทาให้ได้ สายดีเอน็ เอที่มีปลายแบบตา่ ง ๆ แล้วนาโมเลกุลดีเอ็นเอท่ีสนใจจากสิ่งมีชีวิตอ่ืนท่ีถูกตัดด้วยเอนไซม์ตัด จาเพาะชนิดเดยี วกนั และมปี ลายทเี่ หมอื นกนั มาเชอ่ื มกบั สายดเี อ็นเอท่ถี ูกตัดดว้ ยเอนไซม์ตัดจาเพาะโดย อาศัยเอนไซมด์ ีเอ็นเอไลเกส)

ข้นั อธบิ ายความรู้ (Explain) 11. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั อภิปรายเก่ียวกบั เอนไซมต์ ัดจาเพาะและเอนไซมด์ เี อ็นเอไลเกส 12. ครูและนักเรียนร่วมกนั อภิปรายเกย่ี วกับการสรา้ งดีเอ็นเอรีคอมบแิ นนท์ 13. ครใู ห้นักเรียนทาแบบฝึกหดั ในแบบฝกึ หดั ชีววิทยา ม.4 เล่ม 2 ชว่ั โมงท่ี 3-4 ขน้ั สอน ข้ันสารวจค้นหา (Explore) 14.ครทู บทวนความรจู้ ากชวั่ โมงทแ่ี ลว้ ใหน้ กั เรยี นทราบพอสังเขป 15.ครูใหน้ กั เรียนแบง่ กล่มุ กลมุ่ ละ 4-5 คน ทากิจกรรม การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์ เพื่อจาลองขั้นตอน การสรา้ ง DNA รคี อมบแิ นนท์ ทีใ่ ชค้ ุณสมบตั ขิ องเอนไซม์ตัดจาเพาะ และเอนไซม์ดเี อ็นเอไลเกส ขน้ั อธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครูให้นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ออกมานาเสนอผลการทากิจกรรม การสรา้ ง DNA รคี อมบแิ นนท์ 2. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายผลกิจกรรม การสรา้ ง DNA รีคอมบแิ นนท์ ชว่ั โมงที่ 5-6 ขน้ั สอน ขนั้ สารวจคน้ หา (Explore) 11.ครทู บทวนความรู้เดมิ จากชวั่ โมงท่ีแล้วใหน้ ักเรียนทราบพอสังเขป 12.ครูอธิบายใหน้ กั เรียนฟงั ว่า DNA รีคอมบแิ นนท์ ทสี่ รา้ งข้ึนจะถกู เพิ่มจานวนเพื่อให้เพียงพอต่อการนาไป ประยุกต์ใชป้ ระโยชน์ เรียกการเพิ่มจานวนนี้ว่า การโคลน DNA และหากสาย DNA ดังกล่าวเป็นยีนจะ เรยี กวา่ การโคลนยนี 13.ครูให้นกั เรียนศกึ ษา การโคลนยนี โดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรยี 14.ครูถามนักเรยี นว่า เพราะเหตุใดจงึ เลอื กพลาสมดิ ของแบคทีเรียเป็นพาหะในการโคลนยนี (แนวตอบ พลาสมิดของแบคทีเรีย เป็น DNA สายคู่ที่อยู่นอกโครโมโซมของแบคทีเรีย ซ่ึงพลาสมิดของ แบคทเี รยี เปน็ ทน่ี ิยมใช้ เน่ืองจากมีจุดเร่ิมต้นของการจาลอง DNA มียีนต้านยาปฏิชีวนะ มีตาแหน่งของ เอนไซมต์ ัดจาเพาะหลายชนิดซงึ่ เหมาะสมกับการโคลนยนี ) 15.ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรียเป็นการเพ่ิมจานวนโดยใช้ พลาสมิดเปน็ เวกเตอร์ในการเพิ่มจานวน โดยการตัดต่อยีนท่ีสนใจให้กับพลาสมิดของแบคทีเรีย แล้วนา แบคทเี รยี มาเพิม่ จานวน ซ่ึงยีนที่ผ่านการตดั ต่อจะเพิ่มจานวนตามการเพิ่มจานวนของแบคทเี รยี 16.ครูใหน้ ักเรียนศึกษา การโคลนยนี ในหลอดทดลองโดยเทคนคิ พอลิเมอเรสเชนรีแอกชนั ที่สามารถควบคุม สภาวะต่าง ๆ ในการเพิ่มจานวนของยีนหรือดีเอน็ เอได้

17.ครูถามนักเรียนว่า การโคลนยีนในหลอดทดลองโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน มีกระบวนการ อยา่ งไร (แนวตอบ การโคลนยีนในหลอดทดลองเริ่มจากการแยก DNA ออกเป็นสายเดี่ยวเพื่อใช้เป็นแม่แบบ จากน้ันไพเมอร์จะเข้ามาจับกับ DNA แม่แบบเพื่อเริ่มการสังเคราะห์ โดย RNA พอลิเมอร์เรสจะนา นิวคลีโอไทด์อิสระมาเข้าคู่กับนิวคลีโอไทด์ของสายแม่แบบ เม่ือสิ้นสุดกระบวนการสังเคราะห์จะได้ยีน ทีม่ ลี ักษณะเหมอื นกนั เพิ่มขนึ้ มา) 18.ครูถามนกั เรียนว่า หากต้องการยนี จานวน 500 โมเลกุล จากยนี เรม่ิ ตน้ เพียงโมเลกุลเดียว จะต้องกาหนด รอบของการทา PCR ก่ีรอบ (แนวตอบ 9 รอบ เพราะ 29 เท่ากบั 512 ซงึ่ จะเพียงพอตอ่ จานวนยีนท่ตี อ้ งการ) 19.ครถู ามนักเรียนว่า การโคลนยนี โดยเทคนิคพอลเิ มอเรสเชนรีแอกชัน มขี อ้ ดแี ละขอ้ เสียอย่างไร (แนวตอบ การโคลนยีนโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชันจะมีความรวดเร็วและจาเพาะสงู แต่อาจเกิด ความผิดพลาดในการโคลนปริมาณมาก เนื่องจากเอนไซม์ที่ใช้ในปฏิกิริยาอาจไม่ทางาน และไม่มีสมบัติ การตรวจสอบความถูกต้องของนิวคลีโอไทด์เหมือนกับของแบคทีเรีย ซ่ึงอาจทาให้มีจานวนชุด DNA ที่ ถกู ต้องเพยี งบางส่วนเท่าน้นั ) 20.ครถู ามคาถามท้าทายการคิดขั้นสงู (H.O.T.S.) กับนักเรียนว่า หากต้องการโคลนยีนปริมาณมากจากยีน เร่มิ ตน้ ปรมิ าณน้อยมาก และมีเวลาทจ่ี ากดั ควรเลือกการโคลนยีนดว้ ยวิธใี ด เพราะเหตใุ ด (แนวตอบ ควรเลือกใช้การโคลนยีนโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน เนื่องจากมีเป็นเทคนิคที่ ความจาเพาะสงู และมคี วามรวดเร็ว) ขนั้ อธบิ ายความรู้ (Explain) 3. ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายเกยี่ วกบั การโคลนยนี โดยอาศัยพลาสมิดของแบคทเี รยี 4. ครูและนกั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายเก่ียวกับการโคลนยีนโดยเทคนคิ พอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน 5. ครูและนักเรียนร่วมกันเปรียบเทียบข้อดี/ข้อเสีย การโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย และ เทคนคิ พอลเิ มอเรสเชนรีแอกชัน 6. ครูใหน้ ักเรียนทาใบงานท่ี 6.1 เร่อื ง การโคลนยนี 7. ครใู ห้นกั เรียนทาแบบฝึกหดั ในแบบฝึกหัดชวี วทิ ยา ม.4 เลม่ 2 8. ชว่ั โมงที่ 7-8 ขัน้ สอน ขัน้ สารวจคน้ หา (Explore) 1. ครทู บทวนความรู้จากชวั่ โมงที่แล้วให้นกั เรียนทราบพอสังเขป 2. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์และการโคลน DNA จะถูกนามาใช้สร้าง ส่งิ มชี วี ิตดดั แปรพนั ธุกรรม ทงั้ พชื และสัตว์ แตจ่ ะมีกระบวนการสรา้ งท่แี ตกตา่ งกนั

3. ครูให้นักเรียนศึกษา ขั้นตอนการสร้างพืชดัดแปรพันธุกรรม ที่อาศัยพลาสมิด Ti ในการแทรกยีนหรือ ช้นิ ส่วนดีเอ็นเอเข้าสู่โครโมโซมของพชื ได้ 4. ครูถามนักเรียนว่า เพราะเหตุใดจึงพลาสมิด Ti จากแบคทีเรีย A. tumefaciens เป็นเวกเตอร์ในการ แทรกยนี สูเ่ ซลลพ์ ืช (แนวตอบ เนื่องจากแบคทีเรียชนิดนี้จะสามารถบุกรุกเข้าสู่เซลล์พืช และส่งผ่านพลาสมิด Ti เข้าสู่ โครโมโซมของเซลล์พืชไดโ้ ดยตรง) 5. ครอู ธบิ ายให้นักเรียนฟงั ว่า การสรา้ งพืชดัดแปรพนั ธกุ รรม เร่มิ จากการตัดตอ่ ยีนที่สนใจเข้าสู่พลาสมิด Ti โดยใช้กระบวนการสร้างดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ จากนั้นนาแบคทีเรียที่ประกอบด้วยยีนท่ีสนใจที่อยู่ใน พลาสมิด Ti มาเล้ียงร่วมกับเซลล์พืช ให้มีการแทรกยีนที่สนใจเข้าสู่โครโมโซมพืช เมื่อนาเซลล์พืชมา เพาะเลยี้ งเนือ้ เยอื่ จะไดพ้ ืชตน้ ใหมท่ ่ีมยี ีนท่ีสนใจอยู่ 6. ครูให้นักเรียนศึกษา ข้ันตอนการสร้างสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม ที่อาศัยการฉีดยีนท่ีต้องการเข้าไปใน นิวเคลียสของเซลลไ์ ข่ เพือ่ ให้ยีนแทรกเขา้ สู่จโี นมของนิวเคลียสและแสดงคณุ สมบตั ทิ ่ีตอ้ งการออกมา 7. ครูถามนักเรียนว่า เพราะเหตุใด การสร้างสัตว์ดัดแปรพันธุกรรมจึงมีกระบวนการท่ีแตกต่างจากการ สร้างพืชดดั แปรพนั ธุกรรม (แนวตอบ เนือ่ งจากสตั ว์มีความสามารถในการรับยนี จากภายนอกไดน้ อ้ ยกว่าพชื จึงต้องฉดี ยนี ท่ีต้องการ ท่ีต้องการเข้าสู่นิวเคลียสของเซลล์ไข่เพ่ือให้ยีนแทรกเข้าสู่จีโนมของนิวเคลียสโดยตรง และทาให้มี แสดงออกของยีนที่ตอ้ งการได้) 8. ครอู ธิบายใหน้ กั เรยี นฟังว่า การสร้างสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม จะใช้การฉีดยีนเข้าสู่นิวเคลียสของเซลล์ไข่ เพ่ือให้ยีนแทรกเข้าสู่นิวเคลียสโดยตรง เน่ืองจากสัตว์มีศักยภาพในการรับยีนน้อยกว่าพืช จากนั้นจึง นาไปปฏิสนธิในหลอดทดลอง แล้วนาไปฝากเข้าสู่ผู้รับเพ่ือให้เกิดการพัฒนาเป็นตัวอ่อน ซึ่งตัวอ่อนที่ คลอดออกมาจะแสดงคณุ สมบัติหรือลกั ษณะของยนี ที่แทรกเข้าสนู่ ิวเคลียสของเซลลไ์ ข่ 9. ครูให้นักเรียนจับคู่ สืบค้นข้อมูล เรื่อง สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม โดยเลือกพืชหรือสัตว์ดัดแปร พันธุกรรมมา 1 ชนิด แล้วระบุว่าพืชหรือสัตว์ดัดแปรพันธุกรรมชนิดนั้นมีคุณสมบัติหรือลักษณะพิเศษ อย่างไร สามารถนามาใช้ประโยชนไ์ ด้อยา่ งไร โดยทาเปน็ ผังสรปุ เพื่อนาเสนอหนา้ ชน้ั เรยี นในช่ัวโมงตอ่ ไป ขั้นอธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครูและนกั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายเกี่ยวกบั สร้างพชื และสตั ว์ดัดแปรพันธุกรรม 2. ครใู ห้นกั เรียนทาใบงานท่ี 6.2 เรื่อง การสรา้ งสิง่ มีชีวติ ดัดแปรพนั ธุกรรม ช่วั โมงท่ี 9-10 ขั้นสอน ขัน้ สารวจค้นหา (Explore) 1. ครทู บทวนความรู้จากช่ัวโมงทแี่ ล้วใหน้ กั เรยี นทราบพอสังเขป 2. ครูใหน้ กั เรยี นแตล่ ะค่อู อกมานาเสนอ การสรา้ งสิ่งมชี ีวิตดัดแปรพันธุกรรม ทนี่ กั เรยี นไดไ้ ปสบื ค้นมา

ขัน้ อธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายเกย่ี วกบั การสร้างสงิ่ มีชวี ติ ดดั แปรพนั ธุกรรม 2. ครูใหน้ ักเรียนทาแบบฝึกหดั ในแบบฝกึ หดั ชวี วทิ ยา ม.4 เล่ม 2 ขน้ั สรปุ ขั้นขยายความเขา้ ใจ (Elaborate) 3. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน สืบค้นข้อมูล เร่ือง ส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม โดยให้นักเรียน ประยุกต์ใช้ความรู้ที่เรียนและท่ีสืบค้น นามาสร้างส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมสายพันธุ์ใหม่ท่ีแสดง คณุ สมบัตหิ รือลกั ษณะที่ต้องการ ซ่ึงมีรายละเอียดเก่ียวกับยีนที่สนใจ สิ่งมีชีวิตที่สนใจ พร้อมอธิบายถึง สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่สร้างขึ้นจะสามารถนามาแก้ปัญหาในชีวิตประจาวันได้อย่างไร แล้วจัดทา เปน็ รายงานสง่ ครูผ้สู อน ข้ันตรวจสอบผล (Evaluate) 7. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบก่อนเรียน 8. ครตู รวจสอบผลจากหนงั สือเล่มเล็ก เรื่อง ส่ิงมีชีวติ ดัดแปรพันธกุ รรม 9. ครตู รวจสอบผลจากผังสรปุ และการนาเสนอ เร่ือง การสร้างส่งิ มชี ีวิตดัดแปรพันธุกรรม 10.ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรื่อง การโคลนยีน 11.ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การสรา้ งส่ิงมชี วี ิตดัดแปรพันธุกรรม 12.ครตู รวจสอบผลจากการตอบคาถามในแบบฝกึ หัดชวี วิทยา ม.4 เล่ม 2 7. การวัดและประเมนิ ผล วิธีวัด เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมิน รายการวดั - ระดบั คณุ ภาพ 2 - ตรวจหนังือเลม่ เล็ก เร่ือง - แบบประเมนิ ชิ้นงาน 7.1 การประเมนิ ชิ้นงาน/ ผา่ นเกณฑ์ ภาระงาน (รวบยอด) สิง่ มีชีวิตดดั แปร - ระดับคุณภาพ 2 7.2 ประเมินกอ่ นเรยี น พนั ธุกรรม - แบบประเมนิ ชิน้ งาน ผา่ นเกณฑ์ - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 - ตรวจผงั สรปุ เรื่อง - ประเมินตามสภาพจริง สง่ิ มชี ีวติ ดดั แปร พันธกุ รรม - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรยี น ก่อนเรียน

รายการวดั วธิ วี ดั เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ 7.3 ประเมินระหว่าง - ตรวจใบงาน - ตรวจใบงาน - ใบงาน - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ การจดั กจิ กรรม - ตรวจแบบฝึกหัด - ใบงาน - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ การเรยี นรู้ - แบบฝกึ หดั - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 1) เทคโนโลยที าง - ประเมนิ การนาเสนอ ดีเอน็ เอ ผลงาน - ผลงานทน่ี าเสนอ - ระดับคณุ ภาพ 2 2) การนาเสนอผลงาน - สงั เกตพฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์ การทางานรายบคุ คล - แบบสังเกตพฤติกรรม 3) พฤติกรรม - สงั เกตพฤติกรรม การทางานรายบคุ คล - ระดบั คุณภาพ 2 การทางานรายบุคคล การทางานกลุ่ม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ผ่านเกณฑ์ 4) พฤตกิ รรม - สงั เกตความมวี ินัย การทางานกลมุ่ การทางานกลุม่ ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งม่นั - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2 5) คุณลกั ษณะ ในการทางาน คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์ อันพงึ ประสงค์ อันพึงประสงค์ - ระดับคณุ ภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ 8. สอื่ /แหล่งการเรียนรู้ 8.1 ส่ือการเรียนรู้ 1) หนงั สือเรยี นชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 6 พันธุศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีทางดีเอน็ เอ 2) แบบฝกึ หัดชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 6 พันธุศาสตร์และเทคโนโลยีทางดีเอน็ เอ 3) ใบงาน เร่อื ง การโคลนยีน 4) ใบงาน เรอ่ื ง การสรา้ งส่งิ มชี ีวติ ดัดแปรพนั ธกุ รรม 5) PowerPoint เร่อื ง พนั ธศุ าสตรแ์ ละเทคโนโลยีทางดเี อน็ เอ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องเรยี น 2) หอ้ งสมุด 3) สือ่ ออนไลน์ 9. ขอ้ เสนอแนะ  ใช้สอนได้  ควรปรบั ปรุง ………………………………………………………………………………..………………………………………. .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................

10. บนั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ ช้นั ................ ความเหมาะสมของกจิ กรรม  ดี  พอใช้  ปรับปรงุ ………………………. ความเหมาะสมของเน้อื หา  ดี  พอใช้  ปรบั ปรุง……………………… ความเหมาะสมของเวลา  ดี  พอใช้  ปรบั ปรุง……………………… ความเหมาะสมของสื่อ  ดี  พอใช้  ปรับปรงุ ……………………… อนื่ ๆ……………………………………………………………………………………………………... 11. สรุปผลการประเมนิ ผู้เรยี นดา้ นความรู้ นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มีผลการเรียนรฯู้ อยู่ในระดบั 1 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นรอ้ ยละ………..มีผลการเรยี นรู้ฯ อยู่ในระดบั 2 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มีผลการเรยี นรฯู้ อยใู่ นระดับ 3 นักเรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มีผลการเรียนรฯู้ อยู่ในระดับ 4 12. สรปุ ผลการประเมินผเู้ รียนด้านทักษะกระบวนการ นักเรียนจานวน…….คน คิดเป็นรอ้ ยละ………..มีผลการเรยี นรูฯ้ อยู่ในระดบั 1 นักเรยี นจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มีผลการเรียนรู้ฯ อยใู่ นระดบั 2 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นรอ้ ยละ………..มีผลการเรียนรฯู้ อยใู่ นระดับ 3 นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มีผลการเรยี นรูฯ้ อยู่ในระดับ 4 13. สรปุ ผลการประเมินผเู้ รยี นดา้ นคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มผี ลการเรียนรฯู้ อยู่ในระดับ 1 นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มีผลการเรียนรฯู้ อยู่ในระดบั 2 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นรอ้ ยละ………..มผี ลการเรียนรู้ฯ อยใู่ นระดบั 3 นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มีผลการเรียนรฯู้ อย่ใู นระดบั 4 14. สรปุ ผลการประเมนิ ผเู้ รียน นักเรียนจานวน…….คน คดิ เปน็ ร้อยละ……….. มผี ลการเรยี นรู้ฯ อยใู่ นระดับ 1 (ปรับปรงุ ) นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ……….. มีผลการเรียนรู้ฯ อย่ใู นระดบั 2 (พอใช้) นักเรียนจานวน…….คน คดิ เป็นร้อยละ……….. มีผลการเรียนรู้ฯ อย่ใู นระดับ 3 (ด)ี นักเรียนจานวน…….คน คดิ เปน็ ร้อยละ……….. มีผลการเรียนร้ฯู อยใู่ นระดบั 4 (ดีมาก) สรุปโดยภาพรวมมนี ักเรยี น จานวน………คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……….ท่ผี ่านเกณฑ์ระดับ 2 ข้ึนไป ซง่ึ สงู (ต่า) กว่าเกณฑ์ทก่ี าหนดไว้ร้อยละ………มนี ักเรยี นจานวน……คน คิดเปน็ รอ้ ยละ…… ท่ีไม่ผา่ นเกณฑ์ทก่ี าหนด

15. ข้อสังเกต/ค้นพบ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 16. แนวทางแกไ้ ขปัญหาเพอ่ื ปรบั ปรุง .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 17. ผลการพฒั นา .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ลงช่อื ................................................ (นางสาวจิรัชญา ชัยธรี ธรรม) ผู้สอน

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 หน่วยการเรียนรู้ เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ช่ือแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3.2 การประยุกต์ใช้ทางเทคโนโลยี รหัส – ชื่อรายวิชา ว 31203 ชีววิทยา2(เพิ่มเติม) สาหรับนักเรียนที่เน้นวิทยาศาสตร์ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู้ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ช้ั น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ที่ 4 ภ า ค เ รี ย น ที่ 2/2562 เวลา 10 ชั่วโมง ผสู้ อน ครูจิรัชญา ชยั ธรี ธรรม โรงเรียน ราชประชานเุ คราะห์ 31 อ.แมแ่ จ่ม จ.เชียงใหม่ 1. ผลการเรียนรู้ 1. สบื ค้นข้อมูล ยกตวั อย่าง และอภิปรายการนาเทคโนโลยีทางดเี อ็นเอไปประยกุ ต์ ท้ังในด้านสิง่ แวดลอ้ ม นิตวิ ิทยาศาสตร์ การแพทย์ การเกษตร และอตุ สาหกรรม และขอ้ ควรคานงึ ถงึ ดา้ นชีวจรยิ ธรรม 2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 36.อธบิ ายการนาเทคโนโลยีทางดเี อน็ เอมาใชป้ ระโยชนท์ างดา้ นตา่ ง ๆ ได้ (K) 37.อธบิ ายเก่ียวกบั ข้อดี/ขอ้ เสียของการใช้เทคโนโลยีทางดเี อน็ เอได้ (K) 38.อธิบายขอ้ ควรคานึงถึงความปลอดภยั ทางชวี ภาพ ชีวจรยิ ธรรม และผลกระทบทางด้านสงั คมในการใช้ เทคโนโลยที างดีเอน็ (K) 39.ตรวจสอบความสัมพนั ธข์ องลายพิมพด์ ีเอ็นเอกับตัวบคุ คลในกรณตี ่าง ๆ ได้ (P) 40.สนใจใฝร่ ู้ในการศกึ ษา (A) 3. สาระการเรยี นรู้ - เทคโนโลยที างดีเอ็นเอ สามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ในด้านต่าง ๆ เชน่ ส่ิงแวดล้อม นิตวิ ทิ ยาศาสตร์ การแพทย์ การเกษตร และอุตสาหกรรม โดยการใช้เทคโนโลยที างดีเอ็นเอตอ้ งคานึงถึงความปลอดภยั ทางชวี ภาพ ชวี จริย ธรรม และผลกระทบต่อสงั คม 4. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด เทคโนโลยที างดเี อ็นเอถูกนามาประยกุ ต์ใชใ้ นดา้ นต่าง ๆ ดงั นี้ 1. การประยุกต์ใช้ในเชิงการแพทย์ - การวินจิ ฉยั โรค โดยใชเ้ ทคนคิ PCR ทีม่ กี ารออกแบบไพรเมอร์ให้จาเพาะกับยนี ท่ีเกย่ี วข้องกบั โรค - การบาบดั ด้วยยนี โดยแทรกยนี ปกติเขา้ สู่รา่ งกายของผ้ปู ่วยหรอื ผ้มู คี วามผิดปกติ เพื่อให้ยีนปกติเข้า ไปแทนทยี่ นี ท่ผี ิดปกติ และสามารถทางานแทนยนี ท่ผี ดิ ปกตไิ ด้ - การสร้างผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม โดยแทรกยีนท่ีสามารถผลิตสารหรือฮอร์โมนให้กับแบคทีเรีย แล้วนาไปเพ่ิมจานวนเพอ่ื ให้สามารถผลิตในปริมาณมากขึ้น 2. การประยุกต์ใช้ในเชิงวิทยาศาสตร์ โดยการตรวจลายพิมพ์ DNA เพ่ือระบุความสัมพันธ์ในครอบครัว และผ้กู ระทาความผดิ ในคดตี า่ ง ๆ โดยอาศัยเทคนิค PCR และ RFLP

3. การประยกุ ตใ์ ช้ในเชิงการเกษตร แบ่งออกเปน็ - การสร้างสัตว์พืชแปรพันธุกรรม เพ่ือให้พืชผลิตสารหรือแสดงลักษณะตามต้องการออกมา เช่น การตัดต่อยีนต้านทานแมลงโรคใบด่างจุดวงแหวนให้กับมะละกอ การตัดต่อยีนสร้างวิตามินเอให้ กับขา้ ว การตัดตอ่ ยีนยดื อายใุ หก้ บั มะเขอื เทศ - การสร้างสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม เพ่ือให้สัตว์ผลิตสารหรือแสดงลักษณะตามต้องการออกมา เช่น การตัดตอ่ ยนี เพ่อื ให้หมูมีไขมนั ตา่ และมเี นือ้ มากขึ้น ววั ผลติ น้านมเรว็ และมากขน้ึ 4. การประยุกต์ใช้ในด้านสิ่งแวดล้อม โดยการสร้างพืชหรือจุลินทรีย์ดัดแปรพันธุกรรม เพื่อใช้ย่อยสลาย สารพิษท่ีปนเปือ้ นในสงิ่ แวดล้อม 5. การประยกุ ต์ใช้ในดา้ นอตุ สาหกรรม โดยการสรา้ งพืชหรือจุลินทรียด์ ดั แปรพันธุกรรมเพื่อให้มีคุณสมบัติ ตามต้องการ และถูกนาไปใช้ในอุตสาหกรรม เช่น มันฝร่ังดัดแปรพันธุกรรมเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ แบคทีเรยี ดัดแปรพันธุกรรมเพื่อใชใ้ นอตุ สาหกรรมผลติ ฮอร์โมน เนอ่ื งจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดีเอ็นเอทาให้เกิดความกังวลเร่ืองความปลอดภัยทางชีวภาพ เช่น ความปลอดภัยตอ่ สุขภาพ การเปน็ พาหะของสารพษิ การดอ้ื ยาของเช้ือโรค การถ่ายยีนจากสิ่งมีชีวิตหน่ึงสู่ส่ิงมีชีวิต ข้างเคียง รวมถึงจริยธรรมในการใช้ข้อมูลดีเอ็นเอและผลกระทบด้านสังคม ซึ่งอาจทาให้เกิดการแบ่งชนชั้น และ ความเหล่ือมล้าในสังคมมากยงิ่ ขึน้ 5. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี นและคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการคดิ 1. มีวินัย 2. ความสามารถในการแกป้ ญั หา 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุง่ ม่ันในการทางาน 6. กจิ กรรมการเรียนรู้ แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนคิ : สบื เสาะหาความรู้ (5Es)

ชัว่ โมงที่ 1-2 ขัน้ นา ขน้ั กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 2. ครูถามคาถาม Prior Knowledge เพื่อทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนว่า ส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม มปี ระโยชน์ตอ่ มนษุ ยอ์ ย่างไร (แนวตอบ เน่ืองจากสิง่ มชี วี ิตดัดแปรพนั ธุกรรมจะมลี กั ษณะหรือคณุ สมบัติตามท่ีมนุษย์ต้องการ จึงมีการ นามาประยุกตใ์ ชป้ ระโยชนใ์ นหลาย ๆ ดา้ น เช่น ด้านการแพทย์เพ่ือสร้างสารหรือฮอร์โมนบางชนิดที่ใช้ รกั ษาโรค หรอื ดา้ นการเกษตรเพื่อเพมิ่ ผลผลติ ของพืชและสัตวต์ ่าง ๆ เป็นต้น) 3. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์ และส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมถูกนามา ประยุกต์ใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน ท้ังการแพทย์และเภสัชกรรม นิติวิทยาศาสตร์ การเกษตร ส่งิ แวดล้อม และอุตสาหกรรม ขัน้ สอน ขั้นสารวจค้นหา (Explore) 12.ครูให้นกั เรียนศึกษา การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยีทางดีเอน็ เอในเชิงการแพทย์ ในการวินจิ ฉัยโรค และรักษา โรคดว้ ยเทคนิคยนี บาบัด 13.ครูถามนกั เรียนวา่ เทคโนโลยีทางดเี อ็นเอนามาใช้ในการวนิ ิจฉยั โรคได้อย่างไร (แนวตอบ การตรวจสอบจีโนมของไวรัส หรอื การออกแบบไพรเมอร์ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับโรค เพือ่ ศึกษาถึงการ กลายของยีนทีม่ ีความสัมพันธก์ ับโรค) 14.ครถู ามนักเรยี นว่า การบาบัดด้วยยีนจะใช้รกั ษาโรคท่ีมีลกั ษณะอย่างไร (แนวตอบ การบาบดั ดว้ ยยนี จะใชร้ กั ษาโรคท่ีเกิดจากความผิดปกติของยีน โดยการแทรกยีนปกติเข้าไป แทนยนี ทบี่ กพรอ่ ง เพือ่ ให้ยนี กลับมาทางานไดอ้ ยา่ งปกติ) 15.ครถู ามนักเรียนว่า การทายนี บาบดั ควรทากบั เซลล์รา่ งกายหรอื เซลล์สบื พันธุม์ ากกวา่ กัน เพราะเหตุใด (แนวตอบ การทายีนบาบัดสามารถทาได้ทั้งในเซลล์ร่างกาย หรือเซลล์สืบพันธ์ุ แต่มีความแตกต่างกัน เน่ืองจากหากเป็นการทาในเซลล์ร่างกายจะเป็นการรักษาโรคเฉพาะบุคคลเท่านั้น แต่หากทาในเซลล์ สบื พนั ธุจ์ ะสามารถถา่ ยทอดยีนน้ันไปยังรนุ่ ลูกหลานได้) 16.ครอู ธิบายให้นักเรียนฟังว่า การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยที างดีเอน็ เอในเชงิ การแพทย์ พบท้ังการนามาใช้ใน การวินจิ ฉยั โรคเพอื่ ตรวจสอบจโี นมของไวรัสหรือการออกแบบไพรเมอร์ให้จาเพาะกับยีนท่ีเก่ียวข้องกับ โรค และรกั ษาโรคดว้ ยเทคนคิ ยนี บาบดั โดยการแทรกยนี ปกตเิ ข้าสจู่ ีโนมของเวกเตอร์เพื่อให้เวกเตอร์นา ยีนปกตเิ ข้าไปแทนที่ยีนทีผ่ ดิ ปกติของผปู้ ว่ ยได้ 17.ครูให้นกั เรียนศึกษา การประยุกต์ใช้ในเชงิ การแพทย์ ในการสรา้ งผลิตภณั ฑท์ างเภสัชกรรม

18.ครูถามนกั เรยี นวา่ การสรา้ งผลติ ภัณฑ์ทางเภสชั กรรม เช่น ฮอร์โมนอนิ ซลู นิ ใชห้ ลักการอยา่ งไร (แนวตอบ การสรา้ งฮอร์โมนอนิ ซลู ินใช้หลักการเดียวกับการสร้างส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม โดยตัดต่อ ยีนสร้างอินซูลินเข้าสู่เซลล์แบคทีเรียทาให้แบคทีเรียสามารถสร้างอินซูลินได้ เมื่อนาแบคทีเรียไปเพิ่ม จานวนจะทาใหม้ ีการสรา้ งฮอรโ์ มนอนิ ซูลนิ ในปรมิ าณมากได้) 19.ครอู ธิบายให้นกั เรียนฟงั ว่า การประยกุ ตใ์ ชใ้ นเชงิ การแพทย์ในการสร้างผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม จะใช้ก การสรา้ งสงิ่ มีชวี ิตดัดแปรพันธกุ รรมทีส่ ามารถผลิตยาหรือฮอร์โมนต่าง ๆ ได้ ซึ่งเม่ือนาไปเพิ่มจานวนจะ ทาใหม้ กี ารผลติ ในปริมาณมากได้ ขน้ั อธบิ ายความรู้ (Explain) 14. ครูให้และนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายเกยี่ วกบั การประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยที างดเี อน็ เอในเชงิ การแพทย์ 15. ครูให้นักเรยี นทาแบบฝึกหดั ในแบบฝกึ หดั ชวี วิทยา ม.4 เล่ม 2 ชัว่ โมงท่ี 3-4 ขัน้ สอน ขั้นสารวจค้นหา (Explore) 16.ครูทบทวนความรู้เดิมจากชว่ั โมงทแ่ี ลว้ ให้นักเรยี นทราบพอสังเขป 17.ครูใหน้ ักเรียนศกึ ษา การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยีทางดเี อ็นเอในเชิงนิตวิ ทิ ยาศาสตร์ 18.ครูถามนกั เรียนว่า ลายพมิ พ์ DNA ใช้พิสจู นต์ ัวบคุ คลไดอ้ ย่างไร (แนวตอบ เนอื่ งจากลายพิมพ์ DNA ของแตล่ ะบคุ คลจะมีลกั ษณะเฉพาะ ซง่ึ มลี าดับดีเอ็นเอท่ีแตกต่างกัน ในแต่ละบุคคล ทาให้สามารถใช้ลายพิมพ์ DNA ในการพิสูจนต์ ัวบคุ คล) 19.ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า เน่ืองจากลายพิมพ์ดีเอ็นเอของแต่ละบุคลจะมีลักษณะท่ีแตกต่างกัน จึง สามารถใชก้ ารตรวจสอบลายพมิ พ์ดเี อ็นเอในการพิสจู นต์ ัวบุคคลในกรณีตา่ ง ๆ ได้ เช่น ผู้กระทาความผิด ในคดอี าชญากรรม หรือความสมั พันธ์ทางสายเลอื ด 20.ครูให้นักเรียนดูภาพการเปรียบเทียบลายพิมพ์ดีเอ็นเอของคนร้ายกับผู้ต้องสงสัยท้ัง 3 คน และถามว่า เพราะเหตุใด ผูต้ ้องสงสยั คนที่ 2 จึงเปน็ ผู้กระทาความผิดในคดอี าชญากรรมนี้ (แนวตอบ เพราะผู้ต้องสงสัยคนท่ี 2 มีลายพิมพ์ดีเอ็นเอเหมือนกับลายพิมพ์ดีเอ็นเอของคนร้าย จึง สามารถใช้ระบุตวั คนรา้ ยได้อย่างแม่นยา) 21.ครใู หน้ กั เรียนทากจิ กรรม วเิ คราะหล์ ายพิมพ์ DNA โดยบนั ทกึ ลงในสมุดของนักเรียน ขนั้ อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูสุ่มเลอื กนักเรยี นออกมาเฉลยกิจกรรม วิเคราะหล์ ายพิมพ์ DNA 2. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั เฉลยคาตอบในกิจกรรม วเิ คราะหล์ ายพมิ พ์ DNA 3. ครูและนักเรยี นร่วมกันอภิปรายเก่ียวกบั การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยที างดเี อ็นเอในเชิงนิตวิ ทิ ยาศาสตร์

ชัว่ โมงที่ 5-6 ขนั้ สอน ขน้ั สารวจคน้ หา (Explore) 21.ครูทบทวนความร้เู ดมิ จากชัว่ โมงทแี่ ลว้ ใหน้ ักเรยี นทราบพอสังเขป 22.ครใู ห้นักเรียนศกึ ษา การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีทางดเี อ็นเอในเชงิ การเกษตร 23.ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในเชิงการเกษตร โดยการสร้าง ส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มีลักษณะหรือคุณสมบัติที่ดีข้ึน เช่น ข้าวโพดท่ีสามารถต้านทานแมลง ศตั รูพชื ได้ ขา้ วทส่ี ามารถผลิตวติ ามนิ เอได้ มะเขอื เทศทช่ี ะลอการสุก หมมู ีไข่มันตา่ และเนื้อเพ่ิมขน้ึ 24.ครูใหน้ ักเรยี นศกึ ษา การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยที างดเี อน็ เอในเชงิ ส่งิ แวดลอ้ ม และในเชิงอตุ สาหกรรม 25.ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในเชิงสิ่งแวดล้อม โดยการสร้าง สงิ่ มชี ีวิตดดั แปรพันธกุ รรมทีส่ ามารถยอ่ ยสลายสารเคมตี กค้างในธรรมชาติได้ ส่วนในเชิงอุตสาหกรรมจะ เป็นการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่ถูกใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะทาให้มีการผลิตในปริมาณ มากในเวลาอันรวดเรว็ 26.ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม เพื่อโต้วาทีในหัวข้อ ข้อดี/ข้อเสียของการใช้เทคโนโลยีทาง ดเี อ็นเอ ดงั น้ี กลุ่มที่ 1 ขอ้ ดขี องการใชเ้ ทคโนโลยีทางดีเอน็ เอ กลมุ่ ท่ี 2 ขอ้ เสียของการใชเ้ ทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ใหน้ ักเรียนร่วมกันสบื คน้ ข้อมูลเพอ่ื ใช้ในการโต้วาทใี นชั่วโมงตอ่ ไป 27.ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ทากิจกรรม สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม โดยสืบค้นและรวบรวม ข้อมูลเก่ียวกับส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมในประเด็นที่กาหนดให้ จัดทารายงาน และป้ายนิเทศเพื่อ นาเสนอในชว่ั โมงสดุ ท้าย ขัน้ อธิบายความรู้ (Explain) 9. ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภิปรายเก่ียวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในเชิงการเกษตร ในเชิง เชงิ สิ่งแวดล้อม และในเชงิ อุตสาหกรรม 10.ครูใหน้ กั เรยี นทาแบบฝึกหดั ในแบบฝึกหัดชวี วิทยา ม.4 เล่ม 2 11.ครใู ห้นักเรยี นทาใบงาน เรอื่ ง การประยุกตใ์ ชป้ ระโยชนจ์ ากเทคโนโลยที างดเี อ็นเอ ช่วั โมงท่ี 7-8 ขั้นสอน ข้นั สารวจค้นหา (Explore) 9. ครทู บทวนความรู้เดมิ จากช่ัวโมงท่แี ล้วใหน้ กั เรียนทราบพอสังเขป

10.ครูใหน้ กั เรียนท้ัง 2 กลุ่ม รวมโต้วาทใี นหัวขอ้ ขอ้ ดี/ขอ้ เสียของการใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ โดยใช้ข้อมูล จากทสี่ บื ค้นมา 11.ครูถามนกั เรยี นว่า จากการโตว้ าที นกั เรยี นคิดวา่ เทคโนโลยีทางดีเอน็ เอมขี อ้ ดหี รือข้อเสีย อยา่ งไร (แนวตอบ คาตอบขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของครูผู้สอน - ข้อดีของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ เช่น การประยุกต์ใช้ทางการแพทย์และเภสัชกรรมในการรักษาโรค การผลติ ยาหรือฮอรโ์ มน การปรระยกุ ตใ์ ชท้ างการเกษตรในการสร้างสิ่งมีชีวิตท่ีมีคุณสมบัติหรือลักษณะ ตามต้องการ และการประยกุ ต์ใช้ทางนิติวิทยาศาสตร์ในการตรวจสอบความสัมพันธ์ทางสายเลือด และ ผรู้ ้ายในคดตี า่ ง ๆ - ข้อเสียของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ เช่น การเกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธ์ุใหม่ที่อาจเป็นพาหะของสารพิษ ด้ือ ยาปฏชิ วี นะและสารกาจัดศตรูพืช หรืออาจเปน็ อันตรายต่อสุขภาพของผใู้ ชเ้ ทคโนโลยีทางดีเอ็น) ขน้ั อธบิ ายความรู้ (Explain) 2. ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายการโตว้ าทีในหวั ขอ้ ขอ้ ดี/ข้อเสยี ของการใช้เทคโนโลยีทางดเี อน็ เอ 3. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายเก่ยี วกบั ความกงั วลดา้ นความปลอดภยั ทางชีวภาพของการใช้เทคโนโลยี ทางดีเอ็นเอ ช่วั โมงที่ 9-10 ขนั้ สอน ข้ันสารวจคน้ หา (Explore) 11.ครูทบทวนความรเู้ ดิมจากช่วั โมงท่แี ล้วใหน้ กั เรยี นทราบพอสังเขป 12.ครใู หน้ ักเรียนแตล่ ะกลุม่ ออกมานาเสนอกิจกรรม สิง่ มีชวี ิตดดั แปรพันธกุ รรม ท่ีหนา้ ช้นั เรียน ข้นั อธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภิปรายผลจากกจิ กรรม สิ่งมชี ีวติ ดัดแปรพนั ธกุ รรม ขน้ั สรุป ขั้นขยายความเขา้ ใจ (Elaborate) 13.ครใู ห้นกั เรียนทาผงั มโนทัศน์ เรื่อง การประยกุ ต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ท่ีประกอบด้วย การประยกุ ต์ใช้ในเชงิ การแพทย์และเภสชั กรรม เชิงนิติวิทยาศาสตร์ เชงิ การเกษตร เชิงสิ่งแวดล้อม และ เชงิ อุตสาหกรรม 14.ครูให้นักเรียนทา Self Check เพือ่ ตรวจสอบความเขา้ ใจของตนเอง 15.ครูให้นกั เรยี นทา Unit Question ทา้ ยหนว่ ยการเรียนรู้ที่ 6 ในหนงั สอื เรียนชวี วิทยา ม.4 เล่ม 2 16.ครใู หน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบทา้ ยหน่วยการเรียนรทู้ ่ี 6 ในแบบฝึกหัดชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2

17.ครใู หน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี น ขั้นตรวจสอบผล (Evaluate) 7. ครูตรวจสอบผลจากผังมโนทัศน์ เรือ่ ง การประยกุ ตใ์ ช้ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยที างดเี อ็นเอ 8. ครตู รวจสอบผลจากกิจกรรม การตรวจสอบลายพมิ พ์ดเี อน็ เอ 9. ครูตรวจสอบผลจากใบงานท่ี 6.3 เร่อื ง การประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยที างดีเอ็นเอ 10.ครตู รวจสอบผลจากครูตรวจสอบผลจากการตอบคาถาม Unit Question ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 ใน หนังสอื เรียนชีววิทยา ม.4 เลม่ 2 11.ครตู รวจสอบผลจากการทาแบบทดสอบทา้ ยหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 6 ในแบบฝึกหัดชีววิทยา ม.4 เล่ม 2 12.ครูตรวจสอบผลจากการตอบคาถามในแบบฝึกหัดชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2 13.ครตู รวจสอบผลจากแบบทดสอบหลังเรียน 7. การวดั และประเมินผล รายการวัด วธิ ีวดั เคร่อื งมือ เกณฑ์การประเมนิ - ระดับคณุ ภาพ 2 7.1 การประเมนิ ชน้ิ งาน/ - ตรวจ Mind Map เรื่อง - แบบประเมินชิน้ งาน ผา่ นเกณฑ์ ภาระงาน (รวบยอด) การประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชน์ - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ จากเทคโนโลยีทาง - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - ระดบั คุณภาพ 2 ดีเอน็ เอ ผา่ นเกณฑ์ 7.2 ประเมนิ ระหว่าง - ระดับคุณภาพ 2 การจดั กิจกรรม ผา่ นเกณฑ์ - ระดบั คณุ ภาพ 2 การเรยี นรู้ ผา่ นเกณฑ์ 1) การประยกุ ต์ใช้ - ตรวจใบงาน - ใบงาน เทคโนโลยที างดีเอ็นเอ - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝกึ หดั 2) การนาเสนอผลงาน - ประเมินการนาเสนอ - ผลงานท่ีนาเสนอ ผลงาน 3) พฤติกรรม - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม การทางานรายบคุ คล การทางานรายบคุ คล การทางานรายบุคคล 4) พฤติกรรม - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม การทางานกลุ่ม การทางานกลมุ่ การทางานกลุ่ม 5) คุณลักษณะ - สงั เกตความมวี ินัย - แบบประเมิน - ระดับคณุ ภาพ 2 อันพงึ ประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และม่งุ ม่ัน คุณลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์ ในการทางาน อันพึงประสงค์

8. ส่ือ/แหลง่ การเรียนรู้ 8.1 ส่ือการเรยี นรู้ 1) หนงั สอื เรยี นชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรู้ พันธุศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที างดเี อ็นเอ 2) แบบฝึกหัดชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ พันธศุ าสตร์และเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ 3) ใบงาน เร่ือง การประยุกต์ใชป้ ระโยชนจ์ ากเทคโนโลยีทางดเี อน็ เอ 4) PowerPoint เรื่อง พันธศุ าสตร์และเทคโนโลยีทางดีเอน็ เอ 8.2 แหล่งการเรยี นรู้ 1) หอ้ งเรยี น 2) ห้องสมุด 3) สอ่ื ออนไลน์ 9. ขอ้ เสนอแนะ  ใชส้ อนได้  ควรปรบั ปรงุ ………………………………………………………………………………..………………………………………. .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 10. บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ ชน้ั ................ ความเหมาะสมของกจิ กรรม  ดี  พอใช้  ปรบั ปรงุ ………………………. ความเหมาะสมของเน้ือหา  ดี  พอใช้  ปรับปรุง……………………… ความเหมาะสมของเวลา  ดี  พอใช้  ปรับปรงุ ……………………… ความเหมาะสมของสือ่  ดี  พอใช้  ปรับปรุง……………………… อื่น ๆ……………………………………………………………………………………………………... 11. สรุปผลการประเมนิ ผเู้ รียนด้านความรู้ นกั เรียนจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มผี ลการเรียนรูฯ้ อยู่ในระดับ 1 นักเรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มีผลการเรียนรูฯ้ อยูใ่ นระดับ 2 นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มผี ลการเรยี นรฯู้ อยู่ในระดับ 3 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นรอ้ ยละ………..มีผลการเรยี นรฯู้ อยู่ในระดบั 4

12. สรปุ ผลการประเมินผ้เู รยี นด้านทักษะกระบวนการ นักเรยี นจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มีผลการเรยี นรู้ฯ อยใู่ นระดบั 1 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มีผลการเรยี นรู้ฯ อยใู่ นระดับ 2 นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มผี ลการเรียนรู้ฯ อยูใ่ นระดบั 3 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มผี ลการเรยี นรฯู้ อยู่ในระดบั 4 13. สรุปผลการประเมินผเู้ รยี นดา้ นคณุ ลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ นักเรยี นจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มผี ลการเรียนรฯู้ อยใู่ นระดบั 1 นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มผี ลการเรยี นรฯู้ อยใู่ นระดบั 2 นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเป็นรอ้ ยละ………..มผี ลการเรียนรฯู้ อยูใ่ นระดบั 3 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มีผลการเรยี นรฯู้ อยใู่ นระดบั 4 14. สรปุ ผลการประเมินผู้เรยี น นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ……….. มีผลการเรียนรู้ฯ อยใู่ นระดับ 1 (ปรบั ปรุง) นกั เรียนจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……….. มีผลการเรยี นร้ฯู อยใู่ นระดบั 2 (พอใช้) นักเรียนจานวน…….คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ……….. มีผลการเรียนรฯู้ อยูใ่ นระดับ 3 (ดี) นักเรียนจานวน…….คน คดิ เป็นรอ้ ยละ……….. มีผลการเรยี นรู้ฯ อยู่ในระดับ 4 (ดีมาก) สรปุ โดยภาพรวมมนี กั เรยี น จานวน………คน คิดเป็นรอ้ ยละ……….ท่ผี ่านเกณฑ์ระดบั 2 ขน้ึ ไป ซึ่งสูง (ต่า) กวา่ เกณฑ์ทีก่ าหนดไว้รอ้ ยละ………มนี ักเรียนจานวน……คน คิดเปน็ ร้อยละ…… ที่ไมผ่ ่านเกณฑท์ กี่ าหนด 15. ข้อสงั เกต/ค้นพบ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 16. แนวทางแกไ้ ขปญั หาเพอ่ื ปรบั ปรงุ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................

17. ผลการพัฒนา .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................ (นางสาวจิรัชญา ชยั ธรี ธรรม) ผู้สอน

ใบงาน เรอ่ื ง การประยุกตใ์ ชป้ ระโยชนจ์ ากเทคโนโลยที างดเี อ็นเอ คาชี้แจง : อธบิ ายการประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชนจ์ ากเทคโนโลยที างดเี อ็นเอดา้ นต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้ 1. เชิงการแพทย์และเภสัชกรรม ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. 2. เชงิ นติ วิ ิทยาศาสตร์ ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. 3. เชงิ การเกษตร ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. 4.....เ.ช..งิ..ส...่งิ .แ...ว..ด..ล..้อ...ม................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. 5. เชงิ อตุ สาหกรรม ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................

ใบงาน เฉลย เร่อื ง การประยกุ ต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางดเี อ็นเอ คาชีแ้ จง : อธบิ ายการประยกุ ต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยที างดีเอน็ เอดา้ นต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้ 1. เชงิ การแพทย์และเภสชั กรรม ..ก...า..ร.ใ..ช..ว้..นิ...จิ ..ัย..โ..ร..ค....โ.ด...ย..ต..ร..ว..จ...ส..อ..บ...จ..ีโ..น...ม..ห...ร..ือ..อ...อ..ก...แ..บ...บ...ไ.พ...ร..เ.ม...อ..ร..์ท...่ีจ..า..เ..พ...า..ะ..ก..ับ...ย..ี.น..ท...่ีเ.ก...ี่ย..ว..ข...้อ..ง..ก..ับ...โ..ร..ค...เ.พ...ื่อ..ห...า..ก..า..ร..... ..ก...ล..า..ย..ข..อ...ง..ย..นี ...ท..ี่ส..ัม...พ...ัน..ธ..ข์...อ..ง..โ..ร..ค...ก...า..ร..บ...า..บ..ัด...ด..้ว..ย...ย..ีน....โ..ด..ย...ก..า..ร..แ...ท..ร..ก...ย..ีน...ป...ก..ต..ิเ..ข..้า..ไ..ป...แ..ท...น...ท..ี่ย...ีน..ท...ี่บ...ก..พ...ร..่อ...ง..เ.พ...่ือ..ใ..ห..้... ..ก...ล..บั ...ม..า..ท..า..ง..า..น...ไ.ด...้อ..ย..า่..ง..ป...ก..ต...ิ .แ..ล..ะ...ก..า..ร..ส..ร..า้..ง..ผ..ล...ติ ..ภ...ณั ...ฑ...์ท...า..ง.เ..ภ..ส...ชั ..ก..ร..ร..ม....โ.ด...ย..ก...า..ร.ส...ร..า้ ..ง..ส..ง่ิ ..ม..ชี...วี ..ติ ..ด..ัด...แ..ป...ร..พ..ัน...ธ..ุก...ร..ร..ม..... ..ท...ีส่ ..า..ม..า..ร..ถ...ผ..ล..ิต...ย..า..ห...ร..ือ..ฮ..อ...ร..์โ.ม...น..ไ..ด..้........................................................................................................................ 2. เชงิ นติ วิ ทิ ยาศาสตร์ ...ก..า..ร..ใ.ช...้ล..า..ย..พ...ิม...พ..์..D...N..A....ซ..่ึง..เ..ป..็น...ล...า..ด..ับ...ด..ีเ.อ...็น...เ.อ..ท...่ีเ.ป...็น...เ.อ...ก..ล..ัก...ษ...ณ...์ข..อ...ง..แ..ต...่ล..ะ..บ...ุค...ค..ล..เ..พ..่ื.อ..พ...ิส..ูจ...น..์ต...ัว..บ...ุค..ค...ล..ใ.น...ก...ร..ณ...ี ..... ...ต..่า..ง...ๆ....เ.ช..น่....ก...า.ร..ต...ร..ว..จ..ส...อ..บ...ค..ว...า..ม..ส..ัม...พ...ัน...ธ..์ท..า..ง..ส...า..ย..เ.ล...ือ..ด....ก...า..ร..ต..ร..ว..จ...ห..า..ผ...ู้ก..ร..ะ...ท..า..ค...ว..า..ม...ผ..ิด...ใ.น...ค..ด...ีอ..า..ช..ญ....า..ก...ร..ร..ม....... ...ต..่า..ง...ๆ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................. 3. เชิงการเกษตร ..ก..า..ร..ส..ร..้า..ง..ส..ง่ิ..ม...ชี ..ีว..ิต..ด...ัด..แ..ป...ร..พ...นั ..ธ...ุก..ร..ร..ม....ท..งั้..พ...ชื..แ...ล..ะ..ส..ตั...ว..์ .เ.พ...ื่อ...ป..ร..ับ...ป..ร..งุ..พ...นั...ธ..ส์ุ ..ิง่..ม..ีช...วี ..ติ ..ใ..ห..ม้...ีล..กั...ษ..ณ....ะ..ห...ร..ือ..ค...ุณ...ส..ม...บ...ัต..ิท...ี่ ... ..ด..ีห...ร..ือ..ต..า..ม...ท..ต่ี...อ้ ..ง..ก..า..ร....เ.ช..่น....พ...ชื ..ท...ีม่ ..ีค...ว..า..ม..ส..า..ม...า..ร..ถ..ใ..น..ก...า..ร..ต..้า..น...ท...า..น..แ...ม..ล...ง..ศ..ต...ร..ูพ..ื.ช..ห...ร..ือ..โ..ร..ค..พ...ืช.....พ...ืช...ท..ี่ม...ีค..ุณ....ค..่า..ท...า..ง..... ..อ..า..ห...า.ร..เ..พ..มิ่...ม..า..ก...ข..นึ้ ....พ...ืช..ท...ี่ส..า..ม...า..ร..ถ..ย...ืด..อ...า..ย..ุข..อ...ง..ผ..ล...ผ..ล..ิต....ส..ั.ต..ว..์ท...่ีม..ีป...ร..ิม...า..ณ...เ.น...้ือ...เ.พ...ิ่ม..ข...ึ้น....ส..ัต..ว...์ท..่ีเ..จ..ร..ิญ...เ..ต..ิบ...โ.ต...เ.ร..็ว..ข...ึ้น...... ..เ.ป...น็ ..ต..้น................................................................................................................................................................... 4. เชงิ ส่ิงแวดลอ้ ม ..ก..า..ร..ส...ร..า้ ..ง.ส...งิ่ .ม...ชี..ีว..ิต...ด..ดั..แ...ป..ร..พ...ัน...ธ..ุก..ร..ร...ม..ท...่ีส..า..ม...า..ร..ถ..ย..่.อ..ย..ส...ล..า..ย...ส..า..ร..เ.ค...ม..ี..ห..ร..ือ...ส..า..ร..ต...ก..ค...้า..ง..ใ.น...ส...ิ่ง.แ...ว..ด..ล...้อ..ม...เ.พ...ื่อ...ใ.ช..้.เ.ป..็.น..... ..แ..ห...ล..่ง..อ...า..ห..า...ร..ห..ร..ือ...พ...ล..ัง..ง..า..น...ใ.น...ก..า..ร..ด...า..ร..ง..ช..ีว..ิต....ซ...ึ่ง..ม..ีผ...ล..ท...า..ใ.ห...้ส..า..ร..เ..ค..ม...ีห...ร..ือ..ส...า..ร..ต..ก...ค..้า..ง..ใ..น...ส..ิ่ง..แ..ว...ด..ล..้อ...ม..ล...ด..น...้อ..ย...ล..ง..... ..ห...ร..ือ..ก...า..ร..ส..ร..้า..ง..พ...ืช...ท..่ีส...า..ม..า..ร...ถ..ต..้า..น...ท...า..น...แ..ม...ล..ง..ศ..ั.ต..ร..ูพ...ืช...ห..ร..ื.อ..โ..ร..ค..พ...ืช....ซ...ึ่ง..ม..ีผ...ล..ต..่.อ..ก...า..ร..ล..ด...ก..า..ร..ใ..ช..้ส...า..ร..เ.ค...ม..ี..จ..ึง..ท...า..ใ..ห..้... ..ส..า..ร..เ.ค...ม..ีต...ก..ค..้า..ง..ใ..น..ส...ิ่ง.แ...ว..ด..ล..้อ...ม..ล...ด..น...อ้ ..ย..ล...ง............................................................................................................... 5. เชิงอุตสาหกรรม ...ก..า..ร..พ...ัฒ...น..า..ผ...ล..ผ..ล...ติ ..ห...ร..อื ..ส..่ิง..ม...ชี ..ีว..ติ..ท...ใี่.ช...เ้ .ป...็น..ว..ั.ต..ถ..ุด...ิบ...ใ.น...อ..ุต...ส..า..ห...ก..ร..ร..ม...ต..่า..ง....ๆ....ซ..ึ่ง..เ..ป..็น...ก..ร..ะ...บ..ว...น..ก...า..ร..ห...น..่ึง..ใ..น..ก...า..ร..เ.พ...ิ่ม..... ...ผ..ล..ผ..ล...ติ ..ใ..น..อ...ุต..ส..า..ห...ร..ร..ม....แ..ล..ะ...ล..ด..ค...่า..ใ.ช..จ้...า่ ..ย..ท..ี่ไ..ม..่จ...า..เ.ป..็น...ใ..น..ก...ร..ะ..บ..ว...น..ก...า.ร..ผ...ล..ิต...ล..ง.......................................................... ............................................................................................................................................................................. ..............1..4......ค..ว...า..ม..เ.ห...็น...ข..อ......................................................................................................................................

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 4 หน่วยการเรียนรู้ วิวัฒนาการ ช่ือแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4.1 หลักฐานที่บ่งบอกถึงวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต รหัส – ชื่อรายวิชา ว 31203 ชีววิทยา2(เพ่ิมเติม) สาหรับนักเรียนที่เน้นวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู้ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ช้ั น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ท่ี 4 ภ า ค เ รี ย น ที่ 2/2562 เวลา 5 ชั่วโมง ผ้สู อน ครจู ิรชั ญา ชัยธรี ธรรม โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ 31 อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ 1. ผลการเรยี นรู้ 12. สืบค้นข้อมูลและอธิบายเกี่ยวกับหลักฐานที่สนับสนุน และข้อมูลที่ใช้อธิบายการเกิดวิวัฒนาการของ สิง่ มีชวี ิต 2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 41.อธิบายหลกั ฐานต่าง ๆ ที่สนับสนนุ การเกิดวิวฒั นาการของสิง่ มีชีวติ ได้ (K) 42.อธบิ ายการเกิดวิวัฒนาการของมนษุ ยไ์ ด้ (K) 43.เขยี นลาดบั ข้นั การเกิดววิ ัฒนาการของมนุษยไ์ ด้ (P) 44.นาเสนอผลงานและจดั ทาป้ายนิเทศอย่างได้ถกู ต้อง (P) 45.สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) 46.รบั ผิดชอบตอ่ ภาระท่ไี ดร้ ับมอบหมายในการทากิจกรรมกลมุ่ (A) 3. สาระการเรียนรู้ - หลักฐานทท่ี าใหเ้ ชื่อว่าสงิ่ มชี ีวิตมวี ิวัฒนาการ เชน่ ซากดกึ ดาบรรพ์ กายวิภาคเปรียบเทียบวิทยาเอ็มบริโอ การ แพรก่ ระจายของส่งิ มีชวี ติ ทางภูมศิ าสตร์ การศกึ ษาทางชวี ภมู ิศาสตร์ และด้านชวี วิทยาระดบั โมเลกุล - มนุษย์มีการสืบสายวิวัฒนาการมาเป็นเวลานาน โดยมีหลักฐานที่สนับสนุนจากซากดึกดาบรรพ์ของบรรพบุรุษ มนษุ ย์ทคี่ ้นพบ และจากการเปรยี บเทียบลาดบั เบสบน DNA ระหวา่ งมนุษย์กบั ไพรเมตอน่ื ๆ 4. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด หลกั ฐานท่ีบง่ บอกถึงววิ ฒั นาการของสิ่งมีชวี ติ ไดแ้ ก่ 1. หลกั ฐานจากซากดึกดาบรรพ์ของส่ิงมีชีวิต เป็นการศึกษาหลักฐานท่ีแสดงลาดับการเกิดวิวัฒนาการ และบ่งชี้ถึงการเปล่ียนแปลงของส่ิงมีชีวิตจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยคาดคะเนจากอายุของซากดึกดา- บรรพจ์ ากอายชุ ัน้ หินตะกอน

2. หลักฐานกายวิภาคเปรียบเทียบ เป็นการศึกษาวิวัฒนาการจากโครงสร้างภายในของส่ิงมีชีวิต แบ่ง ออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ โครงสร้างที่มีต้นกาเนิดเดียวกัน (homologous structure) ท่ีมีต้นกาเนิด เดียวกันแต่ทาหน้าที่ต่างกัน และโครงสร้างท่ีมีต้นกาเนิดต่างกัน (analogous structure) ที่มีต้น กาเนิดตา่ งกัน แต่ทาหน้าท่ีเหมอื นกนั 3. หลักฐานจากวิทยาเอ็มบริโอเปรียบเทียบ เป็นการศึกษาวิวัฒนาการจากแผนการเจริญเติบโตที่ คลา้ ยคลึงกนั ของสิ่งมีชวี ิต ตงั้ แต่ระยะไซโกตจนเจริญเปน็ เอม็ บริโอ 4. หลกั ฐานด้านชวี วทิ ยาระดบั โมเลกุล เปน็ การศึกษาวิวัฒนาการจากการเปรียบเทียบลาดับเบสบนสาย DNA ซึ่งส่ิงมีชีวิตท่ีมีความใกล้ชิดทางวิวัฒนาการจะมีความเหมือนกันของลาดับเบสบนสาย DNA มากกว่าสิ่งมชี ีวติ กลมุ่ อืน่ 5. หลกั ฐานทางชวี ภูมิศาสตร์ เปน็ การศึกษาวิวัฒนาการจากการแพร่กระจายของส่ิงมีชีวิตในภูมิศาสตร์ ต่าง ๆ ของโลก 6. หลกั ฐานสนับสนุนการเกิดววิ ฒั นาการของมนษุ ย์ ซึง่ จากการศึกษาซากดกึ ดาบรรพ์ของกะโหลกศีรษะ และโครงกระดูก รวมทั้งการเปรียบเทียบลาดับเบสบนสาย DNA ระหว่างมนุษย์กับลิงชิมแปนซี จึง เชื่อวา่ มนุษยแ์ ยกสายวิวัฒนาการมาจากไพรเมตกลมุ่ ไม่มหี าง (ape) โดยมีลาดับวิวฒั นาการเริม่ - ออสตราโลพเิ ทคัส (Australopithecus) ซ่ึงเป็นบรรพบุรษุ ท่ีคลา้ ยคลึงกบั มนุษย์มากท่ีสุด มีความ จุสมอง 400-500 ลบ. ซม. มีการเดนิ 2 ขา สามารถเคลอ่ื นท่ีไดท้ ั้งพนื้ ดินและบนต้นไม้ สามารถกิน อาหารไดห้ ลายรูปแบบ - โฮโม (Homo) เร่ิมจาก H. habilis มีการเดิน 2 ขา มีลาตัวตรง มีความจุสมอง 600-750 ลบ. ซม. เริ่ม มกี ารใชส้ มองและมอื ประดษิ ฐส์ งิ่ ของเคร่อื งใช้จากหิน ตามด้วย H. erectus มีร่างกายสูง มีความจุสมอง 1,100 ลบ. ซม. มีการใช้ไฟและประดิษฐ์เคร่ืองมือจากหิน ตามด้วย H. sapiens มีความจุสมอง 1,400 ลบ. ซม. มีกระดูกคิ้วยื่นออกมา จมูกกว้าง คางสั้น มีการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ รู้จักใช้ไฟและเครื่องหนัง สัตว์นุ่งหม่ และสดุ ท้าย คือ มนุษย์โครมายอง มีมีความจุสมอง 1,400 ลบ.ซม. มีความสามารถในการล่า สตั ว์ ประดษิ ฐ์เครื่องมือจากหนิ วาดภาพโดยใช้สี และมกี ารอยรู่ ่วมกนั เป็นชุมชน 5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนและคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการคิด 1. มีวนิ ยั 2. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุง่ มัน่ ในการทางาน 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนคิ : สบื เสาะหาความรู้ (5Es)

ช่ัวโมงที่ 1 ข้นั นา ขนั้ กระตนุ้ ความสนใจ (Engage) 10.ครแู จง้ ผลการเรียนรู้ประจาหน่วยการเรียนรใู้ ห้นกั เรียนทราบ 11.ครูใหน้ ักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน 12.ครูนาภาพสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมือนและแตกต่างกันมาให้นักเรียนดู และถามคาถาม Big Question กับนกั เรียนวา่ เพราะเหตใุ ด ส่ิงมีชวี ติ ต่าง ๆ บนโลกจงึ มีลกั ษณะที่เหมอื นและแตกต่างกนั ออกไป (แนวตอบ เนื่องจากส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีการปรับตัวด้านต่าง ๆ ให้เหมาะสมต่อการดารงชีวิตใน สภาพแวดล้อมท่ีแตกต่าง ๆ ทาให้ส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิดมีลักษณะแตกต่างกันออกไป หรือกล่าวได้ว่า สิง่ มชี ีวติ มวี วิ ฒั นาการเกิดขนึ้ ทาให้สง่ิ มชี วี ิตแต่ละชนิดลักษณะทเ่ี หมอื นและแตกต่างกัน) 13.ครอู ธบิ ายใหน้ ักเรียนฟังวา่ ลกั ษณะที่ลกั ษณะเหมือนและแตกต่างของส่งิ มีชีวิตเป็นผลมาจากวิวัฒนาการ ซ่ึงเป็นการเปล่ียนแปลงของสิ่งมีชีวิตอย่างละเล็กละน้อยจนทาให้ส่ิงมีชีวิตมีลักษณะท่ีเปล่ียนแปลงไป จากบรรพบุรษุ ขั้นสอน ขน้ั สารวจค้นหา (Explore) 1. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า วิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิตเป็นกระบวนการท่ีใช้เวลานาน ซึ่งยากต่อการ ตรวจสอบ นักวิทยาศาสตร์จึงรวบรวมข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ ท่ีสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของ ส่งิ มชี วี ิต 2. ครถู ามคาถาม Prior Knowledge เพื่อทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนว่า หลักฐานใดบ่งบอกว่าในอดีต เคยมสี ิง่ มชี วี ิตทไี่ ม่พบในปจั จบุ ันเคยอาศยั อยู่ (แนวตอบ ซากดกึ ดาบรรพ์เป็นหลักฐานสาคัญที่แสดงให้เห็นว่าเคยมีส่ิงมีชีวิตอาศัยอยู่ในอดีต แต่มีการ สูญพันธ์ุของส่ิงมีชีวิต ทาให้ไม่พบในปัจจุบัน แต่จะพบซากของส่ิงมีชีวิตหลงเหลืออยู่ เช่น การอยู่ใน นา้ แขง็ การอยู่ในยางไม้ รวมท้ังซากบางสว่ นที่คงทน เชน่ ฟัน กระดกู เปลอื ก เป็นตน้ ) 3. ครูให้นักเรียนศึกษา หลักฐานจากซากดึกดาบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต ซ่ึงเป็นหลักฐานท่ีแสดงลาดับการเกิด วิวัฒนาการ และบ่งชถี้ งึ การเปลยี่ นแปลงของส่งิ มชี ีวิตจากอดตี ถงึ ปจั จุบัน โดยคาดคะเนจากอายุของซาก ดึกดาบรรพ์จากอายชุ ั้นหนิ ตะกอน 4. ครูถามนักเรียนว่า ซากดกึ ดาบรรพท์ พ่ี บในหินตะกอนชน้ั ล่างกบั หินตะกอนชั้นบน ซากดกึ ดาบรรพ์ท่ีพบ ในหินช้นั ใดมีอายุมากกว่ากนั (แนวตอบ โดยทัว่ ไปโครงสรา้ งของซากดกึ ดาบรรพ์ท่ีพบในหินช้ันบนจะมีความมีอายุน้อยกว่าในหินช้ัน ล่าง เนือ่ งจากสิง่ มชี ีวติ ในระยะแรก ๆ จะตายและถูกทบั ถมอยู่ในหนิ ช้ันล่าง จึงทาใหม้ ีความซับซอ้ นของ โครงสร้างที่น้อยกว่าพบในหินชั้นบน ส่วนหินชั้นบนจะพบโครงสร้างท่ีมีความสมบูรณ์และมีลักษณะ ใกลเ้ คยี งกบั สิ่งมชี วี ติ ในปัจจบุ ัน)

5. ครูถามคาถามท้าทายการคิดข้ันสูง (H.O.T.S.) กับนักเรียนว่า ส่ิงมีชีวิตกลุ่มใดมีโอกาสพบเป็นซาก ดึกดาบรรพไ์ ด้ยาก เพราะเหตุใด พร้อมยกตวั อย่างสงิ่ มชี วี ิตเหลา่ นนั้ (แนวตอบ ส่ิงมีชีวิตกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและพืชต่าง ๆ เน่ืองจากเป็นสิ่งท่ีไม่มีโครงสร้างแข็ง ภายในร่างกาย ทาให้ถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ต่าง ๆ ได้ง่าย ทาให้ไม่เหลือซากสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน เช่น หนอนตัวกลม หนอนตัวแบบ ไส้เดือน พชื ต่าง ๆ) 6. ครูให้นักเรียนศึกษา ววิ ฒั นาการของมา้ จากอดีตจนถึงปัจจุบนั ในตารางที่ 7.1 7. ครถู ามนกั เรียนว่า จากซากดึกดาบรรพข์ องมา้ นักเรยี นคิดวา่ มา้ มีววิ ัฒนาการอย่างไร (แนวตอบ จากซากดกึ ดาบรรพข์ องม้า จะมีววิ ฒั นาการของขาท่ียาวขน้ึ ซง่ึ ทาใหม้ ้ามคี วามสงู เพม่ิ ขึ้น) 8. ครใู ห้นกั เรียนแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 4 กลุ่ม ทากิจกรรม ซากดึกดาบรรพ์ของส่ิงมีชีวิต โดยให้นักเรียนจับ ฉลากเลือกซากดึกดาบรรพ์ ดังน้ี กลุม่ ท่ี 1 ชา้ งแมมมอธ ประเทศไซบเี รยี กลุ่มท่ี 2 โครงกระดูกมนษุ ย์ทวารวดี จังหวัดสพุ รรณบุรี กลมุ่ ที่ 3 ซากดกึ ดาบรรพ์ปลาโบราณภูน้าจ้นั จังหวดั กาฬสินธ์ุ กลุ่มที่ 4 ซากดกึ ดาบรรพไ์ ดโนเสาร์ จังหวดั ขอนแก่น ใหน้ ักเรียนค้นควา้ ขอ้ มูล พร้อมจัดทารายงาน ปา้ ยนิเทศ เพือ่ นาเสนอหน้าชนั้ เรียนในช่วั โมงถดั ไป ขนั้ อธิบายความรู้ (Explain) 16. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายเกีย่ วกบั วิวฒั นาการของมา้ จากอดตี จนถึงปัจจบุ ัน 17. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายเกย่ี วกับหลกั ฐานจากซากดกึ ดาบรรพข์ องส่ิงมชี ีวิต 18. ครใู หน้ กั เรยี นศึกษาเพิ่มเตมิ จากภาพยนต์สารคดสี นั้ (Twig) เร่อื ง หลกั ฐานทางฟอสซลิ https://www.twig- aksorn.com/film/fossil-evidence-8007/ ชว่ั โมงท่ี 2 ขั้นสอน ขัน้ สารวจค้นหา (Explore) 22.ครูทบทวนความรู้เดิมจากชั่วโมงท่ีแลว้ ให้นักเรียนทราบพอสังเขป 23.ครูให้นกั เรยี นแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอป้ายนิเทศ จากกิจกรรม ซากดึกดาบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต กลุ่มละ 10 นาที และใหน้ กั เรียนกลุ่มอ่ืน ๆ ถามคาถามกลุม่ ทน่ี าเสนอ อยา่ งน้อย 1 คาถาม/กลุ่ม ขั้นอธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายกิจกรรม ซากดกึ ดาบรรพข์ องส่งิ มชี วี ติ จากหลกั ฐานซากดึกดาบรรพ์ของ สิ่งมชี วี ติ ตา่ ง ๆ พรอ้ มอภปิ รายถงึ ความใกล้เคียงของซากดึกดาบรรพ์กบั ส่ิงมชี วี ติ กลุม่ อน่ื ๆ 2. ครูให้นักเรียนศึกษาเพ่ิมเติมจากภาพยนต์สารคดีสั้น ( Twig) เรื่อง บ๊ิกอัล https://www.twig- aksorn.com/film/big-al-8011/

ชวั่ โมงที่ 3 ขั้นสอน ขน้ั สารวจคน้ หา (Explore) 28.ครูทบทวนความรเู้ ดมิ จากชวั่ โมงท่ีแลว้ ใหน้ ักเรยี นทราบพอสังเขป 29.ครูใหน้ ักเรียนศึกษา หลกั ฐานจากกายวภิ าคเปรียบทียบ เช่น การศึกษาโครงสร้างรยางค์คู่หน้าของสัตว์ มีกระดกู สนั หลงั ทัง้ แขนมนุษย์ ขาแมว ครบี หนา้ ของวาฬ ปีกค้างคาว 30.ครถู ามนกั เรยี นวา่ โครงสรา้ งรยางคค์ ่หู น้าของสิ่งมีชวี ิตเหล่านมี้ ีลกั ษณะเหมือนหรอื แตกต่างกัน อยา่ งไร (แนวตอบ โครงสร้างรยางค์คู่หน้า มีโครงสร้างกระดูกเหมือนกัน แต่มีหน้าที่แตกต่างกัน เช่น แขนของ มนุษย์ใช้สาหรับการหยิบจับสิ่งของ ขาแมวใช้สาหรับการเดิน ครีบหน้าของวาฬใช้สาหรับการว่ายน้า และปีกค้างคาวให้สาหรบั การบิน) 31.ครูอธิบายใหน้ ักเรยี นฟงั ว่า สิง่ มชี ีวิตท่ีมโี ครงสร้างเหมอื นกัน แต่ทาหน้าท่ีแตกต่างกัน เรียกว่า โครงสร้าง ที่มตี ้นกาเนิดเดียวกนั แสดงใหเ้ ห็นว่าส่ิงมชี วี ติ มีความใกล้ชิดทางสายววิ ัฒนาการ 32.ครูใหน้ กั เรยี นศึกษา โครงสร้างของปกี คา้ งคาว และปกี ผเี ส้อื และถามนักเรยี นวา่ โครงสร้าง 2 โครงสร้าง น้ี มลี ักษณะเหมือนหรอื แตกตา่ งกัน (แนวตอบ โครงสร้างของปีกค้างคาว และปีกผีเสื้อ ถึงแม้ว่าโครงสร้างท้ัง 2 จะมีหน้าท่ีเหมือนกัน แต่ โครงสรา้ งภายในมลี กั ษณะแตกต่างกนั ) 33.ครูอธบิ ายให้นกั เรียนฟงั ว่า สิ่งมีชีวติ ท่ีมีโครงสร้างแตกต่างกัน แตท่ าหนา้ ท่ีเหมอื นกัน เรียกว่า โครงสร้าง ท่ีมตี ้นกาเนดิ ต่างกนั แสดงให้เหน็ ว่าสง่ิ มีชวี ติ ไม่มีความใกลช้ ดิ ทางสายวิวัฒนาการ 34.ครูให้นักเรียนศึกษา หลักฐานจากวิทยาเอ็มบริโอเปรียบเทียบ จากการพัฒนาการของเอ็มบริโอ และ พฒั นาการของระยะหลงั เอ็มบริโอของสตั วม์ ีกระดกู สันหลงั 35.ครูถามนกั เรยี นวา่ สัตวม์ กี ระดกู สันหลงั ต่าง ๆ มกี ารพัฒนาการเหมือนหรอื แตกตา่ งกนั อย่างไร (แนวตอบ ในระยะแรกของการเจริญของเอ็มบริโอของสัตว์มีกระดูกสันหลังเหล่านี้จะมีลักษณะท่ี คลา้ ยคลึงกัน แต่ในระยะปลายจะมีการปรับเปลี่ยนรูปร่างให้เหมาะสมต่อการดารงชีวิตของสัตว์แต่ละ ชนดิ ) 36.ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การปรับเปล่ียนรูปร่างให้เหมาะสมต่อการดารงชีวิตของสัตว์แต่ละชนิดใน ระยะปลาย เป็นผลจากการเกิดววิ ฒั นาการของส่ิงมชี วี ิต ขั้นอธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายเกีย่ วกับหลกั ฐานจากกายวภิ าคเปรียบเทยี บ 2. ครูและนกั เรียนรว่ มกันอภปิ รายเกีย่ วกบั หลกั ฐานจากวิทยาเอ็มบรโิ อเปรียบเทียบ

ชวั่ โมงท่ี 4 ข้นั สอน ขนั้ สารวจค้นหา (Explore) 1. ครทู บทวนความรู้เดมิ จากชวั่ โมงทแ่ี ลว้ ใหน้ ักเรียนทราบพอสังเขป 2. ครูให้นักเรียนศึกษา หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล ซ่ึงเป็นหลักฐานท่ีระบุถึงความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิต โดยใช้การเปรียบเทียบลาดับเบสบนสายดีเอ็นเอของส่ิงมีชีวิต และให้นักเรียนศึกษาตารางท่ี 7.2 ซง่ึ เปน็ การเปรียบเทียบตาแหน่งกรดอะมิโนในเฮโมโกลบินของสงิ่ มีชวี ิตต่าง ๆ 3. ครถู ามนักเรียนว่า จากตารางท่ี 7.2 นักเรียนคิดว่าสิ่งมีชีวิตกลุ่มใดมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมนุษย์มาก ทีส่ ดุ เพราะเหตใุ ด (แนวตอบ ลิงรีซัสน่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุด เน่ืองจากมีตาแหน่งกรดอะมิโนใน เฮโมโกลบนิ แตกต่างจากของมนษุ ย์น้อยท่ีสุด) 4. ครูอธิบายใหน้ ักเรียนฟงั วา่ ลาดับเบสบนสายดีเอ็นเอสามารถระบุความใกล้ชิดทางสายวิวัฒนาการของ ส่ิงมชี วี ิตได้ โดยส่งิ มชี ีวติ ทม่ี ีลาดบั เบสบนสายดีเอน็ เอแตกตา่ งกันน้อย แสดงวา่ มคี วามใกล้ชิดกันทางสาย วิวัฒนาการ 5. ครูให้นกั เรยี นศกึ ษา หลกั ฐานทางชีวภมู ิศาสตร์ ซึง่ ศึกษาถึงการแพร่กระจายพันธุข์ องส่งิ มชี ีวิตต่าง ๆ 6. ครูถามนกั เรียนว่า เพราะเหตใุ ด นกฟินซบ์ นหมูเ่ กาะกาลาปากอสจงึ มีหลากหลายสายพนั ธ์ุ (แนวตอบ เน่ืองจากการอพยพและแพร่กระจายไปอยตู่ ามเกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะกาลาปากอส ซ่ึงแต่ละ เกาะจะมปี จั จยั ทส่ี ่งผลต่อการดารงชวี ิตที่แตกตา่ งกนั ทาให้นกฟินซ์ตอ้ งมีการปรบั ตวั เพ่อื ความอยู่รอดใน รปู แบบที่ตา่ งกนั จึงทาให้ในปจั จุบนั มนี กฟนิ ซ์หลายสายพันธ์ุ) 7. ครูอธิบายให้นกั เรยี นฟงั วา่ นกฟนิ ซท์ ีม่ ลี กั ษณะแตกตา่ งกันนเี้ ปน็ ผลมาจากการเกิดววิ ัฒนาการ เนื่องจาก แตเ่ ดิมเคยเป็นสายพนั ธเ์ุ ดยี วกัน แตเ่ มื่อมกี ารแพรก่ ระจายจากทวีปอเมริกาใต้มาอยู่บนเกาะต่าง ๆ ของ หมู่เกาะกาลาปากอส ทาให้เกิดวิวัฒนาการของนิกฟินซ์ตามแหล่งท่ีอยู่อาศัยที่แตกต่างกัน เพื่อให้ เหมาะสมต่อการดารงชวี ติ ในสภาพแวดล้อมทแ่ี ตกต่างกัน ขน้ั อธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครูและนักเรียนร่วมกนั อภิปรายเก่ียวกับหลักฐานด้านชีววทิ ยาระดับโมเลกุล 2. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันอภปิ รายเก่ยี วกบั หลกั ฐานทางชีวภูมศิ าสตร์ 3. ครูให้นกั เรยี นทาใบงานท่ี 7.1 เร่ือง ความใกล้ชดิ ทางววิ ฒั นาการของส่งิ มีชีวติ

ชวั่ โมงที่ 5 ขนั้ สอน ข้นั สารวจคน้ หา (Explore) 1. ครทู บทวนความรู้เดมิ จากชว่ั โมงท่ีแลว้ ให้นักเรียนทราบพอสงั เขป 2. ครูให้นักเรียนศึกษา วิวัฒนาการของมนุษย์ ซ่ึงศึกษาจากหลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการต่าง ๆ โดยมหี ลักฐานสนบั สนนุ วา่ มนุษย์แยกสายววิ ัฒนาการมาจากไพรเมตกลมุ่ ลิงไม่มหี าง 3. ครถู ามนกั เรียนว่า ลกั ษณะทเ่ี หน็ วา่ มนษุ ย์มวี วิ ฒั นาการ คือลกั ษณะใด (แนวตอบ ความจขุ องสมอง ซึ่งเมอื่ มนุษย์มีววิ ฒั นาการสูงขน้ึ ก็จะมีความจขุ องสมองเพ่มิ มากขึน้ ซึง่ ส่งผล ต่อการเรยี นรู้ และการดารงชีวติ ของมนุษย์) 4. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า มนุษย์แยกสายวิวัฒนาการมาจากไพรเมตกลุ่มลิงไม่มีหาง โดยมีลาดับ วิวัฒนาการเร่ิมจากออสตราโลพิเทคัส เป็นบรรพบุรุษที่คล้ายคลึงกับมนุษย์มากท่ีสุด มีความจุสมอง 400-500 ลบ. ซม. มีการเดิน 2 ขา เคลื่อนที่ได้ทั้งพื้นดินและบนต้นไม้ มีการกินอาหารหลายรูปแบบ จากนั้นจึงเป็นมนษุ ยใ์ นจีนัสดว้ ยโฮโม ทเ่ี ริ่มจาก H. habilis มีความจุสมอง 600-750 ลบ. ซม. มีลาตัว ตรง เดนิ 2 ขา สามารถใช้มือประดิษฐ์ส่ิงของเครื่องใช้จากหิน H. erectus มีความจุสมอง 1,100 ลบ. ซม. มีรา่ งกายสูงใหญ่ มกี ารใชไ้ ฟและประดิษฐ์เครอ่ื งมอื จากหิน H. sapiens มีความจุสมอง 1,400 ลบ. ซม. มีกระดูกค้ิวยน่ื จมูกกว้าง คางสัน้ มีการอยู่ร่วมกนั เป็นหมู่ ร้จู ักใช้ไฟและเครื่องหนังสัตว์นุ่งห่ม และ มนษุ ยป์ จั จบุ นั คอื H. sapiens sapiens ข้ันอธิบายความรู้ (Explain) 12.ครูและนักเรยี นร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกบั ววิ ฒั นาการของมนษุ ย์ 13.ครใู หน้ ักเรียนทาใบงานที่ 7.2 เร่ือง วิวัฒนาการของมนุษย์ 14.ครใู หน้ ักเรียนทาแบบฝกึ หัดในแบบฝึกหัดชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2 15.ครูให้นักเรยี นศกึ ษาเพ่ิมเตมิ จากภาพยนต์สารคดสี ั้น (Twig) เร่อื ง ชิมแปนซ:ี ญาติผใู้ กล้ชดิ ของมนุษย์ https://www.twig-aksorn.com/film/chimps-our-closest-relatives-8003/ ขั้นสรปุ ขั้นขยายความเขา้ ใจ (Elaborate) 4. ครูให้นักเรียนทารายงาน เรื่อง วิวัฒนาการของมนุษย์ โดยการสืบค้นหลักฐานด้านต่าง ๆ ท่ีสามารถ อธบิ ายถึงการเกิดววิ ัฒนาการของมนษุ ยไ์ ด้ ขนั้ ตรวจสอบผล (Evaluate) 18.ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบกอ่ นเรียน 19.ครูตรวจสอบผลจากรายงานและป้ายนิเทศจากกจิ กรรม ซากดึกดาบรรพ์ของสิง่ มีชวี ิต

20.ครตู รวจสอบผลจากสื่อ เร่อื ง ววิ ัฒนาการของมนุษย์ 21.ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรอื่ ง ววิ ัฒนาการ 22.ครตู รวจสอบผลจากแผ่นพบั เร่ือง ววิ ัฒนาการของมนษุ ย์ 23.ครตู รวจสอบผลจากการตอบคาถามในแบบฝกึ หัดชีววิทยา ม.4 เล่ม 2 7. การวดั และประเมินผล รายการวดั วธิ ีวดั เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมิน - แบบประเมนิ ชนิ้ งาน 7.1 การประเมินชิ้นงาน/ - สื่อ เรือ่ ง วิวัฒนาการของ - ระดบั คุณภาพ 2 - แบบประเมนิ ชน้ิ งาน ผ่านเกณฑ์ ภาระงาน (รวบยอด) มนุษย์ - ระดับคุณภาพ 2 - สอื่ และปา้ ยนเิ ทศ เร่ือง ผา่ นเกณฑ์ ซากดกึ ดาบรรพข์ อง ส่งิ มชี ีวติ 7.2 ประเมินก่อนเรยี น - แบบทดสอบก่อนเรยี น - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น - ประเมินตามสภาพจริง ก่อนเรยี น 7.3 ประเมินระหว่าง การจัดกจิ กรรม การเรียนรู้ 1) หลกั ฐานทีบ่ ง่ บอกถึง - ตรวจสือ่ - ส่อื - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - แผ่นพับ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ วิวัฒนาการของ - ตรวจแผ่นพับ - แบบฝึกหัด - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - ผลงานทน่ี าเสนอ สิง่ มีชีวิต - ตรวจแบบฝกึ หดั - ระดับคุณภาพ 2 - แบบสงั เกตพฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์ 2) การนาเสนอผลงาน - ประเมินการนาเสนอ การทางานรายบุคคล - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2 ผลงาน การทางานกลุม่ ผา่ นเกณฑ์ - แบบประเมิน 3) พฤตกิ รรม - สงั เกตพฤตกิ รรม คุณลกั ษณะ - ระดับคณุ ภาพ 2 อนั พึงประสงค์ ผ่านเกณฑ์ การทางานรายบคุ คล การทางานรายบุคคล - ระดับคณุ ภาพ 2 4) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม ผา่ นเกณฑ์ การทางานกลมุ่ การทางานกลมุ่ 5) คณุ ลกั ษณะ - สงั เกตความมวี นิ ัย อันพึงประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ ม่นั ในการทางาน

8. สื่อ/แหล่งการเรยี นรู้ 8.1 สื่อการเรยี นรู้ 1) หนงั สือเรียนชวี วทิ ยา ม.4 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 7 วิวัฒนาการ 2) แบบฝึกหัดชวี วทิ ยา ม.4 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 7 วิวฒั นาการ 3) แผน่ พบั เรื่อง วิวฒั นาการ 4) สอ่ื เรอ่ื ง ววิ ัฒนาการของมนุษย์ 5) PowerPoint เรื่อง วิวัฒนาการ 8.2 แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หอ้ งเรียน 2) หอ้ งสมุด 3) สอื่ ออนไลน์ 9. ข้อเสนอแนะ  ใช้สอนได้  ควรปรับปรงุ ………………………………………………………………………………..………………………………………. .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้ ชนั้ ................ ความเหมาะสมของกิจกรรม  ดี  พอใช้  ปรับปรุง………………………. ความเหมาะสมของเนื้อหา  ดี  พอใช้  ปรับปรงุ ……………………… ความเหมาะสมของเวลา  ดี  พอใช้  ปรบั ปรุง……………………… ความเหมาะสมของสื่อ  ดี  พอใช้  ปรับปรุง……………………… อ่นื ๆ……………………………………………………………………………………………………... 11. สรปุ ผลการประเมนิ ผเู้ รยี นดา้ นความรู้ นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มีผลการเรียนรู้ฯ อยูใ่ นระดับ 1 นักเรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มผี ลการเรยี นรฯู้ อยู่ในระดบั 2 นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มีผลการเรยี นรูฯ้ อยใู่ นระดบั 3 นักเรียนจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มีผลการเรียนรูฯ้ อยู่ในระดบั 4

12. สรปุ ผลการประเมินผ้เู รยี นด้านทักษะกระบวนการ นักเรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มีผลการเรยี นรู้ฯ อยใู่ นระดบั 1 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มีผลการเรยี นรู้ฯ อยใู่ นระดับ 2 นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มผี ลการเรียนรู้ฯ อยูใ่ นระดบั 3 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มผี ลการเรยี นรฯู้ อยู่ในระดบั 4 13. สรุปผลการประเมินผเู้ รยี นดา้ นคณุ ลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ นักเรยี นจานวน…….คน คิดเป็นร้อยละ………..มผี ลการเรียนรฯู้ อยใู่ นระดบั 1 นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………..มผี ลการเรยี นรฯู้ อยใู่ นระดบั 2 นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเป็นรอ้ ยละ………..มผี ลการเรียนรฯู้ อยูใ่ นระดบั 3 นกั เรียนจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ………..มีผลการเรยี นรฯู้ อยใู่ นระดบั 4 14. สรปุ ผลการประเมินผู้เรยี น นกั เรยี นจานวน…….คน คิดเปน็ ร้อยละ……….. มีผลการเรียนรู้ฯ อยใู่ นระดับ 1 (ปรบั ปรุง) นกั เรียนจานวน…….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……….. มีผลการเรยี นร้ฯู อยใู่ นระดบั 2 (พอใช้) นักเรยี นจานวน…….คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ……….. มีผลการเรียนรฯู้ อยูใ่ นระดับ 3 (ดี) นักเรียนจานวน…….คน คดิ เป็นรอ้ ยละ……….. มีผลการเรยี นรู้ฯ อยู่ในระดับ 4 (ดีมาก) สรปุ โดยภาพรวมมนี กั เรยี น จานวน………คน คิดเป็นรอ้ ยละ……….ท่ผี ่านเกณฑ์ระดบั 2 ขน้ึ ไป ซ่งึ สูง (ต่า) กวา่ เกณฑ์ทีก่ าหนดไว้รอ้ ยละ………มนี ักเรียนจานวน……คน คิดเปน็ ร้อยละ…… ที่ไมผ่ ่านเกณฑท์ กี่ าหนด 15. ข้อสงั เกต/ค้นพบ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 16. แนวทางแกไ้ ขปญั หาเพอ่ื ปรบั ปรงุ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................

17. ผลการพัฒนา .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................ (นางสาวจิรัชญา ชยั ธรี ธรรม) ผู้สอน

หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 4 หน่วยการเรียนรู้ วิวัฒนาการ ช่ือแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 4.2 แนวคิดเก่ียวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รหัส – ช่ือรายวิชา ว 31203 ชีววิทยา2(เพิ่มเติม) สาหรับนักเรียนท่ีเน้นวิทยาศาสตร์ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู้ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ช้ั น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ท่ี 4 ภ า ค เ รี ย น ท่ี 2/2562 เวลา 5 ช่ัวโมง ผสู้ อน ครจู ริ ชั ญา ชัยธีรธรรม โรงเรยี น ราชประชานเุ คราะห์ 31 อ.แม่แจม่ จ.เชียงใหม่ 1. ผลการเรียนรู้ 13. อธิบาย และเปรียบเทียบแนวคิดเก่ียวกับ วิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิตของฌอง ลามาร์ก และทฤษฎี เก่ียวกับวิวฒั นาการของสิ่งมีชวี ิต ของชาลส์ ดาร์วนิ ที่สนับสนุนและข้อมูลที่ใช้อธิบายการเกิด วิวัฒนาการของ สง่ิ มชี วี ติ 2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 47.อธบิ ายแนวคดิ เกี่ยวกบั ววิ ฒั นาการของลามารก์ ได้ (K) 48.อธิบายแนวคิดเกย่ี วกบั ววิ ัฒนาการของดารว์ นิ ได้ (K) 49.เปรียบเทียบแนวคดิ เกย่ี วกับววิ ัฒนาการของลามารก์ และดาร์วินได้ (K) 50.ตรวจสอบแนวคิดเก่ียวกับววิ ัฒนาการของลามารก์ และดารว์ นิ ได้ (P) 51.สนใจใฝร่ ู้ในการศึกษา (A) 3. สาระการเรียนรู้ - ฌอง ลามาร์ก ได้เสนอแนวคิดเพื่ออธิบายเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตว่า ส่ิงมีชีวิตมีการเปล่ียนแปลง โครงสรา้ งให้เข้ากับสภาพแวดลอ้ ม โดยอาศยั กฎการใช้และไมใ่ ช้ และกฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะทเ่ี กิดขึน้ มาใหม่ - ชาลส์ ดาร์วนิ เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับวิวฒั นาการของสิง่ มีชวี ิตว่าเกดิ จากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ โดยสิ่งมชี ีวิตมี แนวโนม้ ที่จะใหก้ าเนิดลกู ทม่ี ีลักษณะแตกต่างกันจานวนมาก แต่มเี พียงจานวนหนึง่ ท่ีเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม สามารถมชี ีวิตรอด และถ่ายทอดลกั ษณะท่เี หมาะสมไปยงั รนุ่ ต่อไปได้ 4. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด แนวคดิ เกี่ยวกบั วิวฒั นาการของลามาร์ก มีใจความสาคัญว่า สิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างให้เข้า กบั สภาพแวดล้อมขณะเกดิ ววิ ฒั นาการ โดยเสนอแนวคดิ 2 แนวคิด - กฎการใช้และไม่ใช้ (Law of use and disuse) ซ่ึงอวัยวะส่วนใดที่มีการใช้มากในการดารงชีวิตจะมี ขนาดใหญ่และแขง็ แรง แตอ่ วยั วะสว่ นใดทไ่ี มม่ ีการใช้จะอ่อนแอและเสือ่ มลง - กฎแห่งการถา่ ยทอดลกั ษณะท่ีเกิดขึ้นใหม่ (Law of inheritance of acquired characteristic) ซ่ึงการ เปลีย่ นแปลงโครงสรา้ งของส่ิงมชี ีวติ ที่เกดิ ขน้ึ ภายในชวั่ รุ่นนน้ั และสามารถถ่ายทอดไปยังรนุ่ ลูกหลานได้

แนวคิดเก่ียวกบั ววิ ัฒนาการของดาร์วิน ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต โดยเสนอเปน็ ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (theory of natural selection) โดยมใี จความสาคญั - การคดั เลือกโดยธรรมชาติทาให้ส่ิงมีชีวิตแต่ละตัวมีความสามารถในการอยู่รอด และให้กาเนิดลูกหลาน ได้แตกตา่ งกนั - การคัดเลือกโดยธรรมชาติเกิดข้ึนจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมที่ประชากรอาศัยอยู่กับลักษณะ ความแปรผันทางพนั ธกุ รรมของสมาชกิ ในประชากร - ผลจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติทาให้ประชากรมีการปรับตัวให้เหมาะสมเพื่อสามารถดารงชีวิตใน สภาพแวดล้อมนัน้ ได้ 5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียนและคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1. ความสามารถในการคิด 1. มวี นิ ยั 2. ความสามารถในการแก้ปญั หา 2. ใฝเ่ รียนรู้ 3. มุ่งม่ันในการทางาน 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ (5Es) ชั่วโมงที่ 1 ขัน้ นา ขน้ั กระตุน้ ความสนใจ (Engage) 4. ครูถามคาถาม Prior Knowledge เพ่ือทบทวนความรู้ของนักเรียนว่า เพราะเหตุใดจึงเชื่อว่าส่ิงมีชีวิต มวี วิ ัฒนาการเกดิ ขึ้น (แนวตอบ เน่ืองจากมีการพบหลักฐานหลายอย่างที่สนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต เช่น หลักฐานจากซากดึกดาบรรพ์ ซึ่งพบว่ามีลักษณะที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน หรือหลักฐานด้าน ชีววทิ ยาระดบั โมเลกลุ ซึง่ พบวา่ สง่ิ มีชวี ิตบางชนิดมีลาดับเบสบนสายดีเอ็นเอท่ีแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่บางชนดิ กม็ ีความแตกตา่ งกันอย่างมาก แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความใกลช้ ดิ ของส่ิงมีชีวติ กลมุ่ ต่าง ๆ) 5. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า นักวิทยาศาสตร์หลายท่านพยายามเสนอแนวคิดเพ่ืออธิบายว่าส่ิงมีชีวิตมี วฒั นาการเกดิ ขึ้นจริง ซึง่ มีนกั วทิ ยาศาสตร์ 2 ท่าน ทเ่ี สนอแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการท่ีสาคัญ คือ ฌอง ลามาร์ก และชาลส์ ดารว์ ิน

ขัน้ สอน ข้นั สารวจค้นหา (Explore) 1. ครูให้นักเรียนศึกษา แนวคิดเก่ียวกับวิวัฒนาการของลามาร์ก ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรก ๆ ท่ี นาเสนอแนวคิดเกยี่ วกบั ววิ ัฒนาการของส่ิงมชี วี ิต โดยเสนอแนวคิด 2 ประเด็น ได้แก่ กฎการใช้และไม่ใช้ ซง่ึ อวัยวะสว่ นใดทีม่ ีการใช้มากในการดารงชวี ติ จะมีขนาดใหญแ่ ละแข็งแรง แตอ่ วยั วะสว่ นใดทไ่ี ม่มีการใช้ จะอ่อนแอและเสือ่ มลง และกฎแห่งการถา่ ยทอดลกั ษณะที่เกดิ ข้นึ ใหม่ ซึ่งการเปล่ียนแปลงโครงสร้างของ สิง่ มีชีวิตทเ่ี กิดขน้ึ ภายในชว่ั รุ่นนนั้ และสามารถถา่ ยทอดไปยังรนุ่ ลูกหลานได้ 2. ครูให้นักเรียนศึกษา ลักษณะคอและขายาวของยีราฟจากทฤษฎีวิวัฒนาการของลามาร์ก และถาม นกั เรยี นวา่ ลักษณะคอและขายาวของยีราฟเกดิ ข้ึนไดอ้ ย่างไร (แนวตอบ ลามาร์ก อธิบายว่า ในอดีตยีราฟมีคอและขาส้ัน ซึ่งจะกินใบอ่อนบริเวณด้านล่างของต้นไม้ เป็นอาหาร แตเ่ มอ่ื ใบอ่อนบรเิ วณด้านลา่ งหมด จึงต้องยืดคอและเขย่งขาเพ่ือกินใบอ่อนที่อยู่ด้านบน จึง ทาใหย้ รี าฟมคี อและขายาว และสามารถถา่ ยทอดลักษณะเหลา่ น้ีไปยังร่นุ ลูกหลานได้) 3. ครูอธบิ ายใหน้ กั เรยี นฟงั วา่ ลามารก์ อธิบายลักษณคอยาวของยีราฟวา่ บรรพบุรุษของยีราฟมีคอส้ันกว่า ซ่งึ กินใบออ่ นบนยอดไม้เปน็ อาหาร เมอื่ ใบออ่ นบริเวณด้านล่างถูกกินหมดจึงต้องยืดคอเพ่ือกินใบไม้จาก ตน้ ไมท้ สี่ ูงขึน้ และเน่อื งจากการยดื คออยา่ งเดียวนนั้ ยังไมเ่ พียงพอจะต้องเขยง่ ขาด้วย เมื่อเวลาผ่านไปจึง ทาให้ยีราฟมคี อและขายาวข้ึน และสามารถสบื พันธุ์ใหก้ าเนดิ ยีราฟรนุ่ ลกู ท่ีมีคอและขายาว 4. ครูให้นกั เรียนศึกษา แนวคิดเกี่ยวกับววิ ฒั นาการของดาร์วิน ซึง่ เป็นนักวิทยาศาสตร์ทไี่ ด้รับการยกย่องว่า เปน็ บดิ าของการศกึ ษาวิวัฒนาการของสงิ่ มีชวี ติ โดยการศึกษาความหลากหลายของส่ิงมีชีวิตบนหมู่เกาะ กาลาปากอส เชน่ นกฟนิ ซ์ 5. ครถู ามนักเรยี นวา่ เพราะเหตใุ ด นกฟนิ ซ์บนหมู่เกาะกาลาปากอสจงึ มีจะงอยปากที่แตกตา่ งกัน (แนวตอบ แต่เดิมนกจาบกลุ่มแรกที่เข้ามาอาศัยในบริเวณน้ีอาจไม่ได้มีลักษณะท่ีหลากหลาย แต่เม่ือ ประชากรนกจาบเพ่ิมมากข้ึน ทาให้อาหารขาดแคลน และประชากรนกจาบส่วนน้อยท่ีมีจะงอยปาก แตกต่างไปทสี่ ามารถกนิ อาหารอ่ืนแทนได้ จึงสามารถสืบพันธ์ุเพ่ิมจานวนประชากรได้มากข้ึน ส่งผลต่อ ประชากรของนกจาบให้มีการเปล่ียนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจากกระบวนการนี้ทาให้นกจาบ มจี ะงอยปากหลายแบบดงั ทเ่ี ห็นในปจั จุบัน) 6. ครูถามนักเรยี นว่า แนวคดิ การคดั เลือกโดยธรรมชาติสามารถนามาอธิบายลักษณะคอยาวของยีราฟได้อย่างไร (แนวตอบ บรรพบุรษุ ของยีราฟมีทั้งพวกคอสั้นและคอยาว พวกยีราฟที่คอยาวสามารถกินยอดไม้ได้ท้ัง ยอดไม้พุ่มเต้ียและยอดไม้บนต้นไม้สูง ในขณะท่ีพวกที่มีคอสั้นจะสามารถกินได้เฉพาะยอดไม้พุ่มเต้ีย เทา่ นนั้ ดังนั้น ยีราฟที่มีคอยาวจะสามารถดารงชีวิตและมีลูกได้มากกว่าพวกคอส้ัน ทาให้ยีราฟคอยาว เพ่มิ จานวนไดม้ ากขึน้ ในรุ่นต่อ ๆ มา จนในปัจจบุ นั มเี ฉพาะยรี าฟคอยาวเท่านั้น) ขั้นอธิบายความรู้ (Explain) 19. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันอภิปรายเกยี่ วกับแนวคิดเกี่ยวกบั ววิ ฒั นาการของลามารก์ 20. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันอภปิ รายเก่ียวกับแนวคิดเกยี่ วกับววิ ัฒนาการของดารว์ นิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook