Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 4 อารยธรรมอินเดีย แก้ไขทำ e book PDF

4 อารยธรรมอินเดีย แก้ไขทำ e book PDF

Published by nujaree, 2020-07-25 04:07:57

Description: 4 อารยธรรมอินเดีย แก้ไขทำ e book PDF

Search

Read the Text Version

ประวตั ิศาสตร์สากล ม. 4–6 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 อารยธรรมตะวนั ออก แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 อารยธรรมอนิ เดยี เวลา 2 ช่ัวโมง 167

นักเรียนคดิ ว่า อารยธรรมอนิ เดียเกดิ ขึน้ ในบริเวณใด ล่มุ นา้ สินธุ (ประเทศปากสี ถาน ในปัจจุบนั ) 168

2. อารยธรรมอนิ เดยี แผนที่ สังเขป แสดง ลกั ษณะ ภมู ิ ประเทศ ของเอเชีย ใต้ 169

2. อารยธรรมอนิ เดีย 2.1 ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์กบั การต้งั ถน่ิ ฐาน • อารยธรรมอินเดียไดก้ ่อกาเนิดข้ึนในบริเวณลุ่มน้าสินธุ ซ่ึงอยทู่ างตะวนั ตกเฉียงเหนือ ของอินเดียโบราณ • ปัจจุบนั อาณาบริเวณส่วนใหญ่อยใู่ นประเทศปากสี ถาน / สินธุ (Sindhu) เป็ นคาใน ภาษาสันสกฤตและเป็ นที่มาของคาว่า อินเดีย เพราะชาวเปอร์เซียเรียกชื่อดินแดนแถบน้ีว่า Hindu (เพ้ยี นจากตวั S เป็น H ) และตอ่ มาพวกกรีกแปลงเป็น Indus และ India ตามลาดบั • บริเวณลุ่มน้าสินธุเป็ นเขตท่ีราบลุ่มน้าท่ีกวา้ งใหญ่ แม่น้าสินธุมีตน้ กาเนิดมาจาก เทือกเขาในทิเบตซ่ึงอยทู่ างเหนือ เป็นแม่น้าที่มีแม่น้าสาขาเป็ นจานวนมากไหลลงสู่ทะเลอาหรับ ดินแดนแห่งน้ีจึงมีความอุดมสมบูรณ์ รวมท้งั มีท่ีต้งั ซ่ึงสามารถเดินทางติดตอ่ กบั ดินแดน เมโสโปเตเมีย ซ่ึงเป็ นแหล่งอารยธรรมโลกอีกแห่งหน่ึงได้ สภาพภูมิประเทศดงั กล่าวทาใหล้ ุ่มน้า สินธุเป็ นแหล่งกาเนิดของอารยธรรมอินเดียโบราณ 170

2.1 ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์กบั การต้งั ถิ่นฐาน อินเดียมีลกั ษณะภูมิอากาศแบบลมมรสุม ฤดรู ้อน • มีลมพดั ตามมหาสมุทรอินเดีย ทาใหม้ ีฝนตกทางตอนเหนือ ฤดูหนาว • มีลมพดั ผา่ นมหาสมุทรอินเดีย ทาใหท้ ่ีราบลุม่ แม่น้าคงคามีฝนตกชุก ภาคกลาง • มีภูมิอากาศแหง้ แลง้ น้าที่ใชจ้ ากการเกษตร ไดจ้ ากแม่น้าเป็นหลกั 171

2.1 ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์กบั การต้งั ถนิ่ ฐาน ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ทาให้อินเดียถูกแบ่งออกเป็ นส่วน ๆ เพราะการ ติดต่อเป็นไปดว้ ยความยากลาบาก และเป็นปราการธรรมชาติที่ทาใหอ้ ินเดีย สร้างอารยธรรมที่มีลกั ษณะเฉพาะ อยา่ งไรก็ตาม อินเดียก็มกั ถูกรุกรานจาก ชนชาติอื่นทางช่องเขาไคเบอร์ (Kyber) และช่องเขาโบลนั (Bolan) ต้งั แต่ สมยั โบราณ 172

2.1 ปัจจยั ทางภูมศิ าสตร์กบั การต้งั ถน่ิ ฐาน ลกั ษณะท่ีต้งั ของอินเดียเอ้ือตอ่ ความเป็นมาทางประวตั ิศาสตร์อินเดีย ทิศเหนือ มีภูเขาหิมาลยั ขนานยาวเป็ น ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีที่ราบ พรมแดนทางภาคเหนือ ลุ่มแม่น้าสินธุและทะเลทรายธาร์ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศใต้ มีลุ่มน้ าสินธุเป็ น บริเวณที่ราบสูงกวา้ งใหญ่ มีท่ีราบลุ่มแม่น้ าคงคา และแม่น้าสาขา 173

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ 2,500 BC 2,500–1,500 BC อารยธรรมลุ่มนา้ สินธุ 2,000 BC 900–600 BC สมยั มหากาพย์ สมยั 600 BC–End of อารยนั 1,500 BC 10 Century สมยั จักรวรรดิ 1,000 BC End of 500 BC สมยั มุสลมิ 10 Century–19 1 BC Century 1 AD 500 AD 1,000 BC 1,500 BC 2,000 BC 2,500 BC 174

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยก่อนประวตั ิศาสตร์ บริเวณลุ่มน้าสินธุเป็ นแหล่งอารยธรรมอินเดียที่เก่าแก่ กาหนดอายุ ประมาณ 2,500–1,500 ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช บริเวณสองฟากฝ่ังแม่น้าสินธุ ปัจจุบนั ไดพ้ บแหล่งโบราณคดีกวา่ 60 แห่ง เมืองโบราณที่สาคญั คือ เมือง ฮารัปปา (Harappa) ในแควน้ ปัญจาบ เมืองโมเฮนโจดาโร (Mohenjodaro) ในแควน้ ซินด์ ท้งั สองเมืองอยหู่ ่างกนั ราว 560 กิโลเมตร เป็ นเมืองขนาด ใหญ่และเป็นศูนยก์ ลางของอารยธรรมสองฟากฝั่งลาน้า 175

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยก่อนประวตั ศิ าสตร์ อารยธรรมล่มุ นา้ สินธุ กาหนดอายปุ ระมาณ เมืองโบราณท้งั สอง เครื่องมือเคร่ืองใช้ 2,500–1,500 ปี ก่อน เมืองน้ีแสดงใหเ้ ห็น ของชาวสินธุพบท้งั คริสตศ์ กั ราช มีเมือง ถึง ความเจริญของ ทาจากหิน กระดูก อารยธรรมลุม่ น้า โบราณคดีท่ีสาคญั ชาวสินธุท้งั ในด้าน สตั ว์ หิน และสาริด สินธุเส่ือมลง คือ เมอื งโมเฮนโจดา สถาปัตยกรรม และพบดวงตรา เน่ืองจากนา้ ท่วมและ โร (Mohenjodaro) สาธารณูปโภค การ เครื่องประดบั เหมือน พายทุ ราย และถูก และเมอื งฮารัปปา ชลประทาน และผงั ในเมโสโปเตเมีย และ รุกรานจากพวกชน (Harappa) ปัจจุบนั เมอื ง ชาวสินธุรู้จักตดั เยบ็ เผ่าอนิ โด–อารยนั อยใู่ นปากีสถาน ผ้าฝ้ ายเป็ นเสื้อผ้าแล้ว 176

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ เมืองโมเฮนโจดาโรซ่ึงขดุ พบในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20 เคยเป็นศนู ยก์ ลางของอารยธรรมลุ่มน้าสินธุประมาณ 2,500–1,500 ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช 177

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ การขดุ พบซาก • ซากเมืองท้งั สองมีขนาดใหญ่ เมืองโมเฮนโจดาโร • อาคารบา้ นเรือนก่อดว้ ยอิฐและดินเผา และฮารัปปา • มีป้ อมปราการ สถานท่ีประกอบพิธีกรรมทางศาสนา • มีการแบ่งเขตภายในเมืองออกเป็นสัดส่วน พบท่อระบายน้า สร้างดว้ ยอิฐ ถนน บ่อน้าสาธารณะ ห้องนา้ แบบยนื ตักอาบ ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นวา่ ชาวสินธุมีความเจริญสูง เพราะไม่พบ หลกั ฐานการสร้างหอ้ งน้าที่ดีเช่นน้ีในดินแดนอื่น ๆ เลย • พบรูปป้ันของมนุษยแ์ ละสัตวท์ ่ีทาดว้ ยดินเผาอีกดว้ ย • ประชากรพ้นื เมืองด้งั เดิมเชื่อวา่ ชนเผา่ ทราวฑิ หรือดราวเิ ดียน (Dravidian) ซ่ึงเป็นชนเผา่ พ้นื เมืองด้งั เดิมของอินเดีย ก่อนท่ี พวกอารยนั จะอพยพเขา้ มา • เคร่ืองมือเคร่ืองใชท้ าจากเขาสัตว์ หิน สาริด และพบเครื่อง ประดบั ตา่ ง ๆ ซ่ึงเชื่อวา่ มีการติดตอ่ คา้ ขายกบั เมโสโปเตเมีย 178

179

180

181

182

183

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ดวงตราซ่ึงจะมีรูปเทวดา นง่ั ตรงกลางลอ้ มรอบ ดว้ ยเสือ สิงห์ กระทิง แรด คือ พระศิวะนนั่ เอง 184

185

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ ค ว า ม เ จ ริ ญ ข อ ง ช า ว สิ น ธุ ยัง แ ส ด ง อ อ ก ดว้ ยการสร้างสรรคศ์ ิลปกรรมต่าง ๆ เช่น รูปป้ันดิน เผาของชายมีเครายาว พบที่เมืองโมเฮนโจดาโร ดวงตราแกะสลกั รูปสัตวต์ ่าง ๆ ซ่ึงมีความละเอียด ประณีตในการแกะสลกั 186

187

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรมการแต่งกายของชาวสินธุเป็ นอีกสิ่งท่ีแสดงให้ เห็นวา่ ชาวสินธุมีความเจริญสูง นนั่ คือ การนาฝ้ ายมาตดั เยบ็ เป็ น เคร่ืองนุ่งห่ม และมีเครื่องประดับหลาย เช่น สร้อยคอ ตุ้มหู แหวน เข็มขดั กาไลแขน กาไลเทา้ ทาดว้ ยทองคา เงิน งาช้าง ทองแดง และหินที่มีค่า พบแผ่นประทบั ตรามีลวดลายคนและ สัตว์ มีจารึกตวั อกั ษรเป็ นขอ้ ความส้ัน ๆ แต่ยงั ไม่มีผใู้ ดสามารถ อ่านตวั อกั ษรน้ีได้ 188

189

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยก่อนประวตั ศิ าสตร์ สมัยอารยนั เ ดิ ม ช า ว อ า ร ยัน อ ยู่ท า ง แ ถ บ ชาวอารยนั อยู่กนั เป็ นครอบครัว ในสมยั แรกชาวอารยนั ปกครอง ทะเลสาบแคสเปี ยน เป็ นพวก บิดาเป็นผมู้ ีอานาจเพียงผเู้ ดียว แบบชนเผ่า มีอิสระไม่ข้ึนแก่กนั เร่ร่ อนก่ึงเล้ียงสัตว์ และเข้ามา ต่ อ ม า ข ย า ย ตัว อ อ ก ไ ป ท า ง รุกรานชาวดราวิเดียน บริเวณลุ่ม อาชีพของชาวอารยนั คือ การ ตะวนั ออก จึงเริ่มปกครองแบบ น้าสินธุ ชาวดราวิเดียนบางส่วน ปศุสัตว์ วัวเป็ นสิ่ งที่แสดงถึง ร า ช า ธิ ป ไ ต ย มี ก ษัต ริ ย์เ ป็ น กลายเป็ นทาส บางส่วนแต่งงาน ความมั่งค่ังของเจ้าของ ต่อมา สมมติเทพ ภายหลังทาการคา้ กับชาวอียิปต์ กบั ชาวอารยนั ซ่ึงเป็ นผลให้เกิด และเมโสโปเตเมีย มีสิ นค้าท่ี การแบ่งช้นั วรรณะในเวลาต่อมา สาคัญ คือ ผ้าไหม เครื่ องเทศ และน้าหอม 190

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยก่อนประวตั ศิ าสตร์ การปกครองสมยั แรกของอินเดียเป็นการปกครองแบบชนเผา่ ของพวกอารยนั คมั ภีร์พระเวท ซ่ึงเป็นคมั ภีร์เก่าแก่ท่ีสุดของอินเดียอธิบายวา่ พวกอารยนั ในอินเดียแยกกนั อยเู่ ป็นชนเผา่ มีอิสระ ไม่ข้ึนแก่กนั แต่ละเผ่ามีหัวหน้าหรือราชาเป็ นผูป้ กครอง ราชามิได้มีอานาจสิทธ์ิขาดในการ ปกครองเผา่ ความรับผดิ ชอบในการปกครองจะอยกู่ บั ท่ีประชุมเผา่ ซ่ึงประกอบดว้ ยสภา (Sabha) และ สมิติ (Samiti) สภาเป็ นที่ประชุมของบุคคลสาคญั ในเผา่ ส่วนสมิติเป็นท่ีประชุมใหญ่ของราษฎร การข้ึนดารงตาแหน่งราชาจะตอ้ งไดร้ ับความเห็นชอบของท่ีประชุมน้ีก่อน ต่อมาชนเผา่ อารยนั ขยายตวั ออกไปทางตะวนั ออก ทางเหนือ และบริเวณลุ่มน้าคงคา ท่ีอุดมสมบูรณ์ และรวมตัวกันสร้างเมือง เป็ นอิสระไม่ข้ึนต่อกันเป็ นนครใหญ่น้อยข้ึน ดาเนินการปกครองแบบราชาธิปไตย ตาแหน่งราชาเปล่ียนเป็นกษตั ริยท์ ่ีไดร้ ับพระเกียรติยศและ พระราชอานาจอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ ทรงเป็ นสมมติเทพ ส่วนสภาและสมิติของการปกครองแบบชนเผา่ ค่อย ๆ หมดความสาคญั ไป 191

คัม ีภ ์รพระเวท2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ สงั คมของพวกอารยนั มีประเพณีการสมรส สตรีมีโอกาสไดร้ ับการศึกษาและร่วมพธิ ีทางศาสนาในครอบครัว แต่ไม่มีสิทธ์ิรับมรดก และตอ้ งเสียสินสมรสแก่ชายที่เป็นสามี สมยั น้ีเริ่มมีการแบ่งชนช้นั วรรณะทางสงั คม 192

2.2 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยก่อนประวตั ศิ าสตร์ การแบ่งชนช้นั วรรณะทางสังคม พราหมณ์ กษตั ริย์ ไวศยะหรือแพทย์ ศทู รหรือพวกทาส • ทาหนา้ ท่ี • เป็นพวกนกั รบ • เป็นพวกพอ่ คา้ • ชาวดราวิเดียน ประกอบ ช่างฝี มือ ที่ชาวอารยนั ดูถูก พิธีกรรมทาง วา่ เป็นคนช้นั ต่า ศาสนา การแต่งงานระหวา่ ง 3 ชนช้นั แรกเป็นส่ิงท่ีสามารถกระทาไดใ้ นสมยั น้ี แต่หา้ มการแต่งงาน ระหว่างชาวอารยนั กบั ชาวดราวิเดียน การแบ่งชนช้นั ในสมยั น้ีเป็ นพ้ืนฐานของการแบ่งชน ช้นั ในสงั คมอินเดียในสมยั ต่อ ๆ มา 193

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยประวตั ศิ าสตร์ สมยั มหากาพย์ 900 –600 ปี สมยั จกั รวรรดิ (600 ปี ก่อน สมยั มุสลิม (ปลาย ก่อนคริสตศ์ กั ราช คริสตศ์ กั ราชถึงปลาย คริสตศ์ ตวรรษท่ี 10 ถึง คริสตศ์ ตวรรษที่ 10) คริสตศ์ ตวรรษที่ 19) มีการใชต้ วั หนงั สือบนั ทึก ก่อนคริสตศ์ กั ราช การเมือง มุ ส ลิ มเ ช้ื อ ส า ยเติ ร์ ก เข้าม า เรื่องราว การปกครองของอินเดียกา้ ว รุกรานอินเดียและขยายอานาจ มาสู่สมยั จกั รวรรดิ เขา้ มาปกครองลุ่มน้าสินธุไดใ้ น ในสมยั มหากาพย์ มีมหากาพย์ 2 ตอนปลายคริสตศ์ ตวรรษที่ 10 เ ร่ื อ ง คื อ ร า ม า ย ณ ะ ห รื อ รามเกียรต์ิ ของไทย มหาภารตะ เป็ นสมัยที่มีความสาคัญต่อการ ต้ ัง ร า ช ว ง ศ์ ป ก ค ร อ ง อิ น เ ดี ย เป็ นวรรณคดีท่ีสะทอ้ นสภาพการ ภาคเหนือ โดยมีเมืองเดลีเป็ น ปกครอง สังคม เศรษฐกิจ ของ ว า ง พ้ื น ฐ า น ข อ ง แ บ บ แ ผ น ท า ง เมืองหลวงต้งั แต่คริสตศ์ ตวรรษ ชาวอารยันในสมัยน้ันได้เป็ น สังคม ศิลปะ และวัฒนธรรม ท่ี 13 เป็นตน้ มา อยา่ งดี อินเดียท่ียงั คงสืบเน่ืองต่อมาถึง ปัจจุบนั 194

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยประวตั ศิ าสตร์ การปกครองสมยั จกั รวรรดิของอินเดียแบ่งออกไดเ้ ป็น 5 สมยั ต้งั อยบู่ ริเวณภาคตะวนั ออกของลุ่มน้าคงคา กษตั ริยท์ ่ีมีชื่อเสียงของ ราชวงศม์ คธ 2 พระองค์ คือ พระเจา้ พมิ พิสาร และพระเจา้ อชาตศตั รู จักรวรร ิดมคธ กษตั ริยม์ ีพระราชอานาจสูงสุด มีขนุ นางขา้ ราชการเป็นผชู้ ่วย 3 ฝ่ าย คือ ฝ่ ายบริหาร ฝ่ ายตุลาการ และฝ่ ายการทหาร รวมเรียกวา่ มหามาตระ ประกอบอาชีพเกษตรและการคา้ เป็นศูนยก์ ลางของพระพทุ ธศาสนา 195 ส่งผลใหพ้ ระพทุ ธศาสนายง่ิ ไดร้ ับการเผยแผไ่ ปอยา่ งกวา้ งไกล

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ประวตั ศิ าสตร์ สมยั จกั รวรรดิเมารยะ ในกลางศตวรรษที่ จดั ระเบียบการปกครองโดยรวมอานาจไว้ • สร้างถนนขนาดใหญ่เชื่อม ท่ี พ ร ะ ม ห า ก ษัต ริ ย์แ ล ะ เ มื อ ง ห ล ว ง หวั เมืองสาคญั 4 ก่อนคริสต์ศกั ราช จักรพรรดิทรงอานาจสูงสุดในด้านการ • มีการสารวจสามะโน ร า ช ว ง ศ์นัน ท ะ ท่ี บริ หาร การตรากฎหมาย การศาล และ ประชากร ปกครองจักรวรรดิ การทหาร มีสภาเสนาบดีและสภาแห่งรัฐ •มีกองทพั ขนาดใหญ่คอย มคธเส่ือมอานาจลง เป็ นผชู้ ่วยเหลือ สภาเสนาบดีประกอบดว้ ย รักษาความมน่ั คงของ ร า ช ว ง ศ์เ ม า ร ย ะ สมาชิกที่เป็นขา้ ราชการระดบั สูง ส่วนสภา จกั รวรรดิ ค ร อ บ ค ลุ ม พ้ื น ที่ ท่ี แห่งรัฐเป็ นสภาที่ปรึกษา จักรพรรดิทรง • มีระบบชลประทาน • มีหน่วยงานสืบราชการลบั เป็ นภาคเหนือของ เป็ นผแู้ ต่งต้งั สมาชิกท้งั สองสภา จกั รวรรดิ • การใชใ้ บผา่ นทางสาหรับคน อิ น เ ดี ย ปั จ จุ บัน มี ควบคุมเมืองต่าง ๆ ดว้ ยวิธีจดั ต้งั หน่วยงาน ต่างชาติ อานาจข้ึนปกครอง กระจายอยทู่ วั่ ไป เพ่ือรายงานสถานการณ์ • มีการสร้างมหาวทิ ยาลยั ข้ึน ต่าง ๆ มายงั เมืองหลวง หลายแห่ง 196

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ประวตั ศิ าสตร์ สมยั จกั รวรรดิเมารยะ กษตั ริยท์ ่ีมีช่ือเสียงของราชวงศเ์ มารยะ คือ พระเจา้ อโศกมหาราช (ประมาณ 274– 236 ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช) หลงั จากที่พระองคน์ บั ถือพระพุทธศาสนา ทรงหันมาใช้ หลกั ธรรมในการปกครองดว้ ยการประกาศนโยบายการปกครองท่ีเนน้ ความสาคญั ของหน้าที่ทางมนุษยธรรมของรัฐ และการใช้ศีลธรรมในการจัดระเบียบและ ควบคุมสังคม รวมท้งั สร้างความมน่ั คงใหแ้ ก่จกั รวรรดิ พระเจา้ อโศกมหาราชทรงทานุบารุงพระพุทธศาสนาอยา่ งจริงจงั และมีส่วนในการ ส่งเสริมใหพ้ ระพทุ ธศาสนาแพร่หลายอีกคร้ังจนเป็นท่ีนบั ถือในต่างแดน ทรงใหอ้ ิสรภาพแก่ประชาชนในการเลือกศาสนานบั ถือศาสนา โดยเฉพาะศาสนา พราหมณ์ ซ่ึงพระองคไ์ ดป้ ลดขอ้ หา้ มต่าง ๆ ท่ีเคร่งครัดในศาสนาพราหมณ์บางขอ้ เช่น การแบ่งช้นั วรรณะ อนุญาตใหห้ ญิงม่ายแต่งงานใหม่ได้ สิ้นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว จกั รวรรดิเมารยะได้เสื่อมลงอย่างรวดเร็วภายใน ระยะเวลาคร่ึงศตวรรษ ต่อมาราชวงศเ์ มารยะและจกั รวรรดิอนั ยง่ิ ใหญ่กถ็ ึงกาลสิ้นสุดลง 197

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ประวตั ิศาสตร์ สมยั แบ่งแยกและการรุกรานจาก ภายนอก (ประมาณ 183 ปี ก่อน คริสตศ์ กั ราช–ค.ศ. 300) การเสื่อมอานาจของราชวงศ์ ในช่วงประมาณ 200 ปี ก่อน ชาวกรีก อหิ ร่านหรือเปอร์เซีย เมารยะ มีผลกระทบต่ออินเดีย 2 คริสต์ศักราช ถึง ค.ศ. 300 ศกะ และกุษาณะ เขา้ มารุกรานและ ประการ เป็ นสมัยท่ีอินเดียถูกรุกราน ต้งั ถ่ินฐานในภาคตะวนั ตกเฉียงเหนือ • 1. เกิดอาณาจกั รใหญ่ จาก ชนต่ างช าติต ลอด เวล า และบางส่ วนของภาคเหนือ แต่ก็ นอ้ ยแบ่งแยกออกเป็นอิสระ แต่ก็เป็ นยุคสมัยแห่ งการ ยอมรับเอาวัฒนธรรมอินเดียเข้ามา ทาสงครามรบพงุ่ แยง่ ชิงอานาจ ขยายตัวทางการค้า และ เป็ นของตนเอง แต่บางกลุ่ม คือ กรีก ระหวา่ งกนั ความหลากหลายทาง เปอร์เซียก็ถ่ายทอดวฒั นธรรมของ • 2. เกิดการรุกรานจากชนกลุ่ม ว ัฒ น ธ ร ร ม ก่ อ น ที่ จ ะ เ ข้า สู่ ต น เ อ ง โ ด ย เ ฉ พ า ะ ด้า น ป รั ช ญ า จกั รวรรดิคุปตะ วิทยาการ ศิลปกรรมบางแขนง ไดแ้ ก่ ต่าง ๆ จากภายนอก สถาปัตยกรรม และประติมากรรมแก่ อินเดีย ในช่วงสมยั น้ีปรากฏแควน้ ท่ีมีอานาจ คอื แคว้นคนั ธาระในเขตลุ่มน้าสินธุ กษตั ริยท์ ี่มีชื่อเสียงคือ พระเจ้ากนิษกะ ทรงนบั ถือพระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน และเผยแผศ่ าสนาไปยงั จีน ทิเบต และญ่ีป่ ุน 198

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยประวตั ศิ าสตร์ สมยั จกั รวรรดิคุปตะ (ค.ศ. 320–535) การแบ่งแยกทางการเมืองในอินเดียภาคเหนือยตุ ิลงในราวตน้ คริสตศ์ ตวรรษ ท่ี 2 เมื่อพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1 แห่งราชวงศค์ ุปตะ ปราบปรามอาณาจกั รต่าง ๆ ใน อินเดียภาคเหนือใหเ้ ขา้ มาอยภู่ ายใตก้ ารปกครองเดียวกนั และต้งั กรุงปาฏลบี ุตร เป็ นราชธานี พระเจา้ จนั ทรคุปตท์ ี่ 1 พยายามฟ้ื นฟอู าณาจกั รมคธให้รุ่งเรืองอีกคร้ังหน่ึง ความเจริญ ไม่จากดั อยู่เฉพาะศิลปะและวรรณคดีแต่จะมีดา้ นวิชาการ เช่น มีมหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยพาราณสี หลายเมืองกลายเป็ นศูนย์กลางการศึกษา และเป็ นศูนย์กลาง การศึกษาพระพุทธศาสนา นอกจากน้ียงั มีด้านวิทยาศาสตร์ ด้านการแพทย์ นับได้ว่า อารยธรรมของชาวอินเดียในสมยั คุปตะเป็ นอารยธรรมที่มีความเจริญสูงแมแ้ ต่ชาวยุโรป ยงั ยอมรับและนาไปใช้ จึงทาใหส้ มยั น้ีได้รับยกย่องว่าเป็ นยุคทองของอนิ ดยี 199

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ประวตั ิศาสตร์ สมยั จกั รวรรดิคุปตะ (ค.ศ. 320–535) กษตั ริยข์ องจกั รวรรดิคุปตะยงั ทรงให้การอุปถมั ภพ์ ระพุทธศาสนาอยา่ งดี แม้ พระองค์จะทรงนับถือศาสนาพราหมณ์ก็ตาม เช่น ในสมัยพระเจ้าสมุทรคุปต์ พระองค์ทรงอนุญาตให้ชาวลังกาสร้างวัดของพระพุทธศาสนาฝ่ ายเถรวาทข้ึนใน จกั รวรรดิได้ สมัยพระเจ้ าจันทรคุปต์ ที่ 2 หลวงจีนฟาเหียนจากจีนเดินทางมานา พระไตรปิ ฎกจากอินเดียกลบั ไปยงั แผน่ ดินจีนเป็ นการส่งเสริมใหพ้ ระพุทธศาสนา แพร่กระจายไปไกลถึงต่างแดน หลงั การสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าจันทรคุปต์ ที่ 2 ราชวงศค์ ุปตะกค็ ่อย ๆ เส่ือมอานาจลงและสิ้นสุดราชวงศไ์ ปในท่ีสุด 200

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยประวตั ศิ าสตร์ หลงั สมยั จกั รวรรดคิ ุปตะ ต้งั แต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5 เป็ นตน้ มา ราชวงศค์ ุปตะเร่ิมเสื่อมลง ชนต่างชาติเขา้ มารุกราน อินเดียตอนเหนือ มีการแบ่งแยกแควน้ เลก็ แควน้ นอ้ ย มีราชวงศต์ ่าง ๆ เขา้ มาปกครอง เช่น ราชวงศ์ ปาละและราชวงศ์เสนะ ซ่ึงเป็นราชวงศส์ ุดทา้ ยก่อนที่พวกมุสลิมจะยดึ ครอง หลงั สิ้นสุดสมยั คุปตะ ชนต่างชาติเขา้ มารุกรานอินเดียตอนเหนือ เป็ นพวกท่ีนับถือศาสนา พราหมณ์-ฮินดูได้ทาลายสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของชาวพุทธ เช่น วัดและสถูปเจดีย์ต่าง ๆ แต่ พระพทุ ธศาสนาในภาคใตข้ องอินเดียยงั คงรุ่งเรืองอยเู่ ช่นเดิม การล่มสลายของจกั รวรรดิคุปตะไม่เพียงมีผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาเท่าน้ัน แต่ยงั เกิด ความแตกแยกในอินเดียข้ึนดว้ ย แควน้ ใหญ่นอ้ ยต่างพยายามแยง่ ชิงความเป็ นใหญ่กนั มีอาณาจกั ร ต่าง ๆ ผลดั กนั ข้ึนมาครองอานาจแต่กเ็ พียงระยะเวลาส้นั ๆ 201

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ประวตั ศิ าสตร์ หลงั สมยั จกั รวรรดคิ ุปตะ การเมือง สังคม ศาสนา อาณาจกั รเส่ือม พระพุทธศาสนา การปกครอง เกิดความแตกแยก และศาสนาเชน หลงั จากอาณาจกั ร ชาติที่รุกรานคือ ในสงั คมอินเดีย เส่ือมลง ศาสนา ปัลลวะเสื่อมลง พวกที่นบั ถือ แควน้ ต่าง ๆ แยง่ พ ร า ห ม ณ์ - ฮิ น ดู อาณาจกั รโจฬะก็ ศาสนาพราหมณ์- ชิงความเป็ นใหญ่ แ พ ร่ ห ล า ย ใ น เจริญข้ึน และ ฮินดู ทางตอนใตม้ ีการ อินเดียตอนใต้ สนบั สนุนศาสนา มีราชวงศต์ ่างๆ เจริญเติบโตทาง พราหมณ์-ฮินดู เขา้ มาปกครอง อารยธรรมอยา่ ง และในที่สุด เช่น ราชวงศป์ าละ ต่อเนื่อง อาณาจกั ร อาณาจกั รโจฬะก็ และราชวงศเ์ สนะ ที่สาคญั คือ เส่ือมลงในราว อาณาจกั รปัลลวะ คริสตศ์ ตวรรษที่ 12 202

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ประวตั ศิ าสตร์ สมยั มุสลมิ (ปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 10 ถงึ คริสต์ศตวรรษที่ 19) มุสลิมท่ีเขา้ มารุกรานอินเดีย คือ มุสลิมเช้ือสายเติร์กจากเอเชียกลาง ขยายอานาจ มาปกครองลุ่มน้าสินธุ และต้งั ราชวงศป์ กครองอินเดียภาคเหนือ โดยมีเมืองเดลีเป็นเมือง หลวงต้งั แต่คริสตศ์ ตวรรษท่ี 13 เป็นตน้ มา 203

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ประวตั ศิ าสตร์ สมยั มุสลมิ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ถงึ คริสต์ศตวรรษที่ 19) พวกเตริกม์ ุ่งเผยแผศ่ าสนาอิสลามโดยใชว้ ธิ ีการปราบปรามและบีบบงั คบั ให้ ชาวอินเดียเปล่ียนมานบั ถือศาสนาอิสลาม ทาลายวดั ในพระพทุ ธศาสนาและเทวสถานของพวกฮินดู ประกาศใหศ้ าสนาอิสลามเป็นศาสนาประจาอาณาจกั ร มีการเก็บภาษีท่ีเรียกว่า ภาษีจิซยา (jizya) จากราษฎรท่ีไม่ใช่มุสลิมในอตั ราสูง ต่อเม่ือยอมรับนบั ถือศาสนาอิสลามแลว้ จึงจะไดร้ ับการยกเวน้ ภาษีน้ี การกระทา ของพวกเติร์กส่งผลใหส้ งั คมอินเดียเกิดความแตกแยก เกิดความขดั แยง้ อยา่ งรุนแรง ระหวา่ งพวกฮินดแู ละพวกมุสลิมซ่ึงยงั คงฝังรากลึกมาจนกระทงั่ ปัจจุบนั 204

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยประวตั ศิ าสตร์ ศ า ส น า อิ ส ล า ม ส่ ง ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ อ า ร ย ธ ร ร ม ในตน้ คริสตศ์ ตวรรษที่ 16 พวกมุคลั ไดล้ ม้ อานาจ ด้งั เดิมของอินเดีย นนั่ คือ ศาสนาต่าง ๆ ท่ีลว้ นมี ของสุลต่านแห่งเดลี และสถาปนาราชวงศม์ ุคลั ตน้ กาเนิดในดินแดนอินเดียท้งั ศาสนาพราหมณ์- ปกครองอินเดียระหวา่ ง ค.ศ. 1526–1857 จนกระทง่ั ฮินดู ศาสนาเชน และพระพุทธศาสนาลว้ นถูก ตกเป็นอาณานิคมขององั กฤษตอนปลาย คุกคามใหเ้ กิดความเสียหาย คริสตศ์ ตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาน้ีเองพระพทุ ธศาสนาเร่ิมเลอื นหายไป พระเจ้าอกั บาร์มหาราช (Akbar the Great ค.ศ. จากอนิ เดยี มหาวทิ ยาลยั ทางพระพทุ ธศาสนา 1556–1605) เป็นกษตั ริยท์ ี่ยง่ิ ใหญ่ที่สุดองคห์ น่ึง เช่น มหาวทิ ยาลยั นาลนั ทาถูกทาลายลง ศาสนา ของอินเดีย และเป็ นกษตั ริย์ราชวงศ์มุคลั ทไ่ี ด้รับ พราหมณ์-ฮินดูเองกไ็ ดร้ ับความระทบกระเทือน การเฉลมิ พระเกยี รติว่ามหาราช อยา่ งหนกั พระองคจ์ ะเป็ นมุสลิมแต่ก็ให้เสรีภาพในการนบั ปัจจุบนั ศาสนาสิขเป็นศาสนาหน่ึงท่ีมีอิทธิพล ถือศาสนาแก่ชนทุกช้นั ทรงใหค้ วามเสมอภาคแก่ ต่อชาวอินเดียท้งั ที่อยู่ในประเทศอินเดียและ ชาวฮินดู ท้งั ดา้ นการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ประเทศต่าง ๆ ทว่ั โลก และศาสนาสิขเป็นส่วน เช่น ให้ยกเลิกการเก็บภาษีจิซยา และทรงรับคน หน่ึงที่หลอมรวมอยใู่ นอารยธรรมอินเดีย ฮินดูเขา้ รับราชการในราชสานกั เป็นจานวนมาก 205

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยประวตั ศิ าสตร์ พระเจ้าอกั บาร์มหาราช แห่งราชวงศ์ มุคลั จติ รกรรมสมยั มุคลั 206

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยประวตั ศิ าสตร์ ประเทศปากีสถานซ่ึงในอดีตเป็นส่วนหน่ึงของประเทศอินเดีย มีท่ีต้งั อยบู่ ริเวณท่ี ราบลุม่ แม่น้าสินธุ เป็นดินแดนที่ยอมรับศาสนาอิสลามและไดก้ ลายเป็ นศาสนาประจา ชาติของปากีสถานในปัจจุบนั ชาวมุสลิมจะนาวฒั นธรรมอิสลามเขา้ มาเผยแพร่ในอินเดีย โดยการเน้นในเร่ือง ความเสมอภาค เป็ นการลบข้อด้อยเร่ืองความไม่เท่าเทียมกันของระบบวรรณะใน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แต่ก็ไม่อาจทาใหช้ าวฮินดูส่วนใหญ่เปลี่ยนใจมานบั ถือศาสนา อิสลามได้ พวกเขายงั คงยดึ ติดกบั การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตามวรรณะของตนท่ีเช่ือวา่ จะทาให้ บุคคลเหล่าน้ีไปเกิดในวรรณะที่สูงกวา่ เดิมในชาติหนา้ 207

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมัยประวตั ิศาสตร์ สมยั พระเจ้าออรังเซบ (Aurangzeb ค.ศ. หลงั สมยั พระเจา้ ออรังเซบราชวงศ์ 1658–1707) กลับใช้นโยบายกดขี่บีบค้ัน มุคลั อ่อนแอลงเร่ือย ๆ เม่ือองั กฤษเขา้ มา พวกนับถือศาสนาพราหมณ์ -ฮินดูอีก ในอินเดียยคุ จกั รวรรดินิยม ราชวงศ์มุคัล ขา้ ราชการท่ีเป็ นฮินดูถูกปลด เทวสถาน ทาสงครามแพ้อังกฤษเร่ือยมาและต้อง ของฮินดูถูกทาลายและมีการเก็บภาษี เสียดินแดนให้องั กฤษหลายคร้ัง ในท่ีสุด จิซยาใหม่ เป็ นเหตุให้พวกฮินดูก่อกบฏ อินเดียก็ตก อยู่ภา ยใต้ การป กครอ งขอ ง หลายคร้ัง รัฐบาลองั กฤษโดยตรงใน ค.ศ. 1858 208

2.3 อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ประวตั ิศาสตร์ พระเจา้ ออรังเซบ 209

2.4 สังคมและวฒั นธรรมอนิ เดยี ระบบวรรณะ ระบบวรรณะเป็นบทบญั ญตั ิที่สาคญั ท่ีคนอินเดียทุกคนตอ้ งปฏิบตั ิตามอยา่ งเคร่งครัด คมั ภีร์พระเวทแบ่งคนออกเป็น 4 วรรณะ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษตั ริย์ วรรณะไวศวะ วรรณะศูทร หรือแพศย์ • มีหนา้ ท่ีเป็น • มีหนา้ ท่ีสู้รบ • เป็นชนพ้ืนเมือง ผนู้ าในการ ปกป้ อง • เป็นคนส่วน ผวิ ดา ผวิ คล้า ประกอบพิธี ประชาชน และ ใหญ่ของงคม เป็ นพวกทาส ทางศาสนา เป็นผนู้ าของ ประกอบาชีพ กรรมกร มีหนา้ ที่ รัฐ เกษตรกรรม รับใชแ้ ละให้ การคา้ และ บริการแก่วรรณะ ศิลปหตั ถกรรม อื่น ๆ 210

2.4 สังคมและวฒั นธรรมอนิ เดยี ระบบวรรณะ • ดารงอยใู่ นสงั คมอินเดียเป็นเวลานานนบั พนั ปี • ปัจจุบนั กย็ งั คงมีอิทธิพลอยู่ • คาสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูท่ีวางแนวคิด เรื่องกรรมว่าคนในวรรณะต่าง ๆ ถือกาเนิดจาก ส่วนตา่ ง ๆ ของเทพเจา้ • บุคคลตา่ ง ๆ จึงมีหนา้ ที่ตา่ งกนั ทาใหค้ นในแตล่ ะ วรรณะยอมรับสถานภาพและปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตาม วรรณะของตน โดยเช่ือวา่ การปฏิบตั ิตาม กฎเกณฑแ์ ห่งวรรณะยอ่ มจะทาใหต้ นไดเ้ กิดใน วรรณะท่ีสูงข้ึนในชาติหนา้ หรือไดข้ ้ึนสวรรค์ หรือสามารถหลุดพน้ จากสงั สารวฏั 211

2.4 สังคมและวฒั นธรรมอนิ เดยี ปรัชญาและลทั ธิศาสนาของสังคมอนิ เดยี ชาวอินเดียมีความเช่ือและปฏิบตั ิตามคาสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พระพทุ ธศาสนา และ ศาสนาเชนอยา่ งเคร่งครัด ดงั น้ี • แสวงหาสจั จะการดาเนินชีวติ พระพทุ ธศาสนา • การหลุดพน้ เวยี นวา่ ยตายเกิด ไดแ้ ก่ อริยสจั 4 ไตรลกั ษณ์ และศาสนาเชน ศาสนา • มีความเชื่อและความศรัทธาต่อเทพเจา้ อุดมคติทางจริยธรรม สังคมของชาว พราหมณ์-ฮินดู อินเดีย และกาหนดให้มีการบูชาเทพเจา้ ซ่ึงถือเป็ นหน้าที่สาคญั ในการปฏิบตั ิ ศาสนกิจ • กาหนดใหม้ ีการทาพธิ ีกรรมบวงสรวงบชู าพระเป็นเจา้ ชาวอินเดียมีความเชื่อและปฏิบตั ิตามคาสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พระพุทธศาสนา และศาสนาเชนอยา่ งเคร่งครัด จนกล่าวไดว้ า่ คนอินเดียดาเนิน วถิ ีชีวติ มีค่านิยม แนวคิด และทศั นคติสมั พนั ธ์กบั ศาสนาอยา่ งใกลช้ ิด 212

2.4 สังคมและวฒั นธรรมอนิ เดยี เทพเจ้าของอนิ เดยี ชาวอารยนั นบั ถือเทพเจา้ ก่อนที่เดินทางเขา้ มาในลุ่มน้าสินธุ โดยนบั ถือดวงอาทิตย์ ฝน พายุ ตอ่ มาไดม้ ีการนบั ถือพระเจา้ เพ่มิ ข้ึนอีกมา พระศิวะ เป็นเทพเจา้ ผทู้ าลายส่ิงชว่ั ร้าย พระพรหม เป็นเทพเจา้ ผสู้ ร้างสรรคส์ รรพส่ิงท้งั ปวง ในโลก 213

2.4 สังคมและวฒั นธรรมอนิ เดยี พระวษิ ณุ เป็นเทพเจา้ แห่ง สนั ติสุขและปราบปราม ความยงุ่ ยาก 214

2.4 สังคมและวฒั นธรรมอนิ เดยี เทพเจ้าของอนิ เดยี พราหมณ์ • ทาหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและติดต่อกับเทพเจ้า จึงมีผยู้ กยอ่ งนบั ถือสูงสุด ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู • แตกแขนงเป็ นนิกายต่าง ๆ มากมาย บางนิกายมีความเช่ือเร่ืองการทารุณ โหดร้าย เช่น การนาสตั วห์ รือมนุษยม์ าบูชายญั ต่อเทพเจา้ 215

2.5 ศิลปกรรมอนิ เดยี งานศิลปกรรมของอินเดียสร้างข้ึนจากความเช่ือทางศาสนา ท้งั ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พระพุทธศาสนา และศาสนาเชน มีกฎเกณฑ์เก่ียวกับการสร้าง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความคิดสร้างสรรคล์ กั ษณะปัจเจกนิยมจึงเกือบไม่มีความสาคญั ในทางทศั นะทางศิลปะ ของชาวอินเดีย เม่ือมีอิทธิพลศิลปะจากภายนอก เช่น วรรณกรรม สถาปัตย- เปอร์เซีย กรีก เขา้ มาจึงมีการผสมกลมกลืนเขา้ กบั กรรม ศิลปะอินเดีย หลกั ฐานทางศิลปกรรมปรากฏชดั เจน นาฏศิลป์ ประตมิ า- บริเวณภาคตะวนั ตกเฉียงเหนือแถบลุ่มน้าสินธุ เป็น และสังคตี กรรม ศิลปะที่รับอิทธิพลจากจกั รวรรดิเปอร์เซีย และศิลปะ แบบเฮลเลนิสติกของกรีก ศิลป์ จติ รกรรม 216


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook