หนา้ - 1 -
คานา ตามทสี่ านกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษาแจ้งให้โรงเรยี นนวมนิ ทราชนิ ทู ศิ สตรวิทยา ๒ ดาเนนิ การสอนตามหลกั สตู ร ตา้ นทุจริตศึกษา (Anti - Corruption Education) ของสานักงานคณะกรรมการปอู งกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติทีร่ ่วมจดั ทากบั สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน จากนโยบายดังกล่าว โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา ๒ จึงได้จัดทาชุดการสอน เรื่อง การปูองกัน การทุจริต ประกอบกิจกรรมเสริมหลักสูตร “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา” (Anti - Corruption Education) ระดับ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ และทักษะในเร่ืองการคิด แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จติ พอเพียงต้านทุจริต พลเมอื งและความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม โดยเริ่มใช้ในปีการศึกษา 2562 เพ่ือเป็นกลไกระยะ ยาวในการปลูกฝงั วิธคี ิดปูองกันการทจุ ริตใหแ้ ก่ผู้เรียน ร่วมกนั สร้างประเทศไทยใสสะอาด ไทยท้งั ชาติต้านทุจริต คณะผจู้ ดั ทา ครูกลุม่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม หนา้ ก
สารบญั หนา้ เน้อื หา 1 หนว่ ยที 1 การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม 2 ใบความรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง สาเหตขุ องการทจุ รติ และทิศทางการปูองกันการทุจรติ ในประเทศไทย 4 5 ใบงานที่ 1 เรอ่ื ง สาเหตุของการทุจรติ และทิศทางการปอู งกนั การทุจริตในประเทศไทย ใบความรู้ที่ 2 เรื่อง แก้ “ทุจริต” ต้องคดิ แยกแยะปรบั วิธคี ิด พฤติกรรมเปลี่ยน สังคมเปลย่ี น 7 8 ประเทศชาตเิ ปล่ียน โลกเปลี่ยน 11 ใบงานท่ี 2 เรื่อง สาเหตุของการทจุ ริตและผลของการทุจริตทส่ี ่งผลตอ่ ประเทศในระดบั อาเซยี น 13 ใบความรู้ท่ี 3 เรื่อง รูปแบบของการขดั กันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม 18 ใบงานที่ 3 เรอ่ื ง รูปแบบของการขดั กันระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม 19 ใบความรู้ท่ี 4 เรื่อง ตวั อยา่ งการขัดกนั ระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม 21 ใบงานที่ 4 เรื่อง การขัดกันระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมในรูปแบบตา่ งๆ ใบความรทู้ ่ี 5 เรื่อง สถานการณจ์ าลอง 22 ใบงานที่ 5 เร่ือง การทจุ ริตทีเ่ กิดข้นึ ภายในระดับประเทศและจริยธรรมท่ใี ชใ้ นการปูองกัน 24 25 การทจุ ริตในระดบั ประเทศ 26 ใบความรทู้ ่ี 6 เร่ือง ผลประโยชน์ทับซอ้ น (Conflict of interests) 27 33 ใบงานที่ 6 เร่ือง ผลประโยชนท์ ับซอ้ น (Conflict of interests) 34 ใบความรทู้ ่ี 7 เรอ่ื ง รูปแบบของผลประโยชนท์ บั ซ้อน 35 38 ใบงานที่ 7 เรื่อง รปู แบบของผลประโยชน์ทบั ซ้อน 39 ใบความรทู้ ่ี 8 เรื่อง แนวทางการปูองกนั ผลประโยชน์ทบั ซ้อน 40 41 ใบงานท่ี 8 เรื่อง แนวทางการปูองกนั ผลประโยชนท์ ับซอ้ น 46 หน่วยท่ี 2 ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต 47 ใบความรทู้ ่ี 9 เรื่อง \"รับจา้ งทาการบา้ น\" 48 49 ใบงานที่ 9 เร่ือง ทาการบ้าน / ช้ินงาน มีท้ังขอ้ ดี และข้อเสีย ใบความร้ทู ี่ 10 เรอ่ื ง การลงโทษทางสังคมในระดบั ประเทศ 50 51 ใบงานที่ 10 เร่ือง การลงโทษทางสังคมในระดบั ประเทศ 52 ใบความร้ทู ่ี 11 เรื่อง ปัญหาการคอรร์ ัปชนั ของกลุ่มประเทศอาเซียน หนา้ ข ใบงานที่ 11 เรือ่ ง ร้สู ึกอย่างไรกบั ภาพต่อไปน้ี หน่วยท่ี 3 STRONG / จิตพอเพยี งต้านการทจุ รติ ใบความรทู้ ่ี 12 เร่อื ง ข่าว การทจุ ริต “พลตารวจโทพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” ใบงานท่ี 12 เรอื่ ง การประกอบอาชพี โดยใชว้ สั ดทุ อ้ งถิน่ ตามหลัก STRONG : จติ พอเพยี ง ต้านทุจริต ใบงานที่ 12.1 เรอื่ ง จิตพอเพียงต้านการทจุ ริต หนว่ ยท่ี 4 พลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคม ใบความรทู้ ่ี 13 เร่ือง หนา้ ทพี่ ลเมอื งปละความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม
สารบัญ(ต่อ) หนา้ เนือ้ หา 55 ใบงานท่ี 13 เร่ือง องคป์ ระกอบของการศึกษาความเปน็ พลเมือง 56 ใบความรู้ที่ 14 เร่ือง ระเบยี บ กฎ กติกา 60 ใบงานท่ี 14 เร่ือง ระเบียบ กฎ กตกิ า กฎหมาย 61 64 ใบความรู้ 15 เรือ่ ง บทบาทและหนา้ ท่ีของเยาวชนท่ีมตี ่อสังคมและประเทศชาติ 65 ใบงานที่ 15 เรื่อง บทบาทและหน้าท่ีของเยาวชนทมี่ ตี ่อสงั คมและประเทศชาติ 67 ใบความรทู้ ี่ 16 เรื่อง สรา้ งสานกึ พลเมืองประชาธปิ ไตย ใบงานท่ี 16 เรือ่ ง สานึกพลเมือง/ความรับผิดชอบ หนา้ ค
ชุดหลักสตู รตา้ นทุจริตศึกษา ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 หน่วยท่ี 1 การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชนส์ ว่ นรวม หนา้ 1
ชดุ หลกั สูตรต้านทุจรติ ศกึ ษา ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 ใบความรทู้ ี่ ๑ เรื่อง สาเหตขุ องการทุจริตและทศิ ทางการป้องกนั การทุจริตในประเทศไทย การทุจริตเป็นหน่ึงในประเด็นท่ีท่ัวโลกแสดงความกังวล อันเนื่องมาจากเป็นปัญหาท่ีมีความซับซ้อน ยากต่อการจัดการและเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วนเป็นที่ยอมรับกันว่าการทุจริตนั้นมีความเป็นสากล เพราะ มีการทุจรติ เกิดขนึ้ ในทุกประเทศไมว่ ่าจะเป็นประเทศทีพ่ ฒั นาแลว้ หรือประเทศท่ีกาลังพัฒนา การทุจริตเกิดข้ึน ท้ังในภาครัฐและภาคเอกชน หรือแม้กระทั่งในองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกาไรหรือองค์กรเพ่ือการกุศล ในปัจจุบันการกล่าวหาและการฟูองร้องคดี การทุจริตยังมีบทบาทสาคัญในด้านการเมืองมากกว่าช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลในหลายประเทศมีผลการปฏิบัติงานท่ีไม่โปร่งใสเท่าที่ควร องค์กรระดับโลกหลายองค์กรเสื่อมเสีย ชื่อเสียง เนื่องมาจากเหตุผลด้านความโปร่งใสส่ือมวลชนทั่วท้ังโลกต่างเฝูารอที่จะได้นาเสนอข่าวอื้อฉาวและ การประพฤติผิดจริยธรรมด้านการทุจริต โดยเฉพาะบุคคลซ่ึงดารงตาแหน่งระดับสูงต่างถูกเฝูาจับจ้องว่าจะ ถูกสอบสวนเมื่อใด อาจกล่าวได้ว่าการทุจริตเป็นหน่ึงในปัญหาใหญ่ที่จะขัดขวางการพัฒนาประเทศให้ เป็นรฐั สมยั ใหม่ ซึ่งต่างเปน็ ทีท่ ราบกนั ดีวา่ การทจุ ริตควรเปน็ ประเด็นแรกๆ ท่ีควรให้ความสาคัญในวาระ ของ การพฒั นาประเทศของทกุ ประเทศ เห็นได้ชัดว่าการทุจริตส่งผลกระทบอย่างมากกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศ ท่ีกาลังพัฒนา เช่นเดียวกันกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็มีความกังวลในปัญหาการทุจริต ด้วยเช่นเดียวกนั โดยเห็นพ้องต้องกันว่าการทุจริตเป็นปัญหาใหญ่ที่กาลังขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง และสงั คม ให้ก้าวไปสรู่ ัฐสมยั ใหม่ และควรเป็นปญั หาท่คี วรจะตอ้ งรบี แก้ไขโดยเร็วทีส่ ดุ การทุจริตนั้นอาจเกิดข้ึนได้ในประเทศที่มีสถานการณ์ ดังต่อไปนี้ 1) มีกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อกาหนด จานวนมากท่ีเก่ียวข้องกับการดาเนินการทางธุรกิจ ซ่ึงจะเป็นโอกาสที่จะทาให้เกิดเศรษฐผล หรือมูลค่าเพิ่ม หรือกาไรส่วนเกินทางเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างย่ิงหากมาตรการหรือข้อกาหนดดังกล่าวมีความซับซ้อน คลุมเครือ เลือกปฏิบัติ เป็นความลับหรือไม่โปร่งใส 2) เจ้าหน้าท่ีผู้มีอานาจมีสิทธิ์ขาดในการใช้ดุลยพินิจ ซึ่งให้อิสระในการเลือกปฏิบัติเป็นอย่างมากว่าจะเลือกใช้อานาจใดกับใครก็ได้ 3) ไม่มีกลไกท่ีมีประสิทธิภาพ หรือองค์กรที่มีหน้าท่ีควบคุมดูแลและจัดการต่อการกระทาใดๆ ของเจ้าหน้าท่ีท่ีมีอานาจโดยเฉพาะอย่างย่ิง ประเทศทกี่ าลงั พฒั นาการทุจรติ มแี นวโนม้ ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ไดอ้ ย่างมาก โดยไม่ใช่เพียงเพราะว่าลักษณะประชากรนั้น แตกตา่ งจากภูมภิ าคอน่ื ทพี่ ฒั นาแลว้ หากแตเ่ ป็นเพราะกลมุ่ ประเทศท่ีกาลังพฒั นาน้ันมีปัจจัยภายในต่างๆ ที่เอ้ือ หรือสนับสนนุ ต่อการเกิดการทุจรติ อาทิ 1) แรงขับเคลื่อนท่ีอยากมีรายได้ เป็นจานวนมากอันเป็นผลเน่ืองมาจากความจนค่าแรงในอัตราที่ต่า หรือมีสภาวะความเสยี่ งสูงในด้านต่างๆ เช่น ความเจ็บปวุ ย อุบตั เิ หตุ หรอื การวา่ งงาน 2) มีสถานการณ์หรือโอกาสที่อาจก่อให้เกิดการทุจริตได้เป็นจานวนมากและมีกฎระเบียบต่างๆที่อาจ นาไปสู่การทุจริต 3) การออกกฎหมายและกระบวนการยุตธิ รรมที่ไม่เข้มแข็ง 4) กฎหมายและประมวลจรยิ ธรรมไม่ได้รับการพัฒนาใหท้ นั สมยั 5) ประชากรในประเทศยังคงจาเปน็ ต้องพงึ่ พาทรพั ยากรธรรมชาติอยเู่ ปน็ จานวนมาก 6) ความไม่มีเสถยี รภาพทางการเมอื งและเจตจานงทางการเมืองท่ีไมเ่ ข้มแขง็ ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว จะนาไปสู่การทุจริต ไม่ว่าจะเป็นทุจริตระดับบนหรือระดับล่างก็ตาม ซ่ึงผลท่ี ตามมาอยา่ งเห็นได้ชัดเจนมีด้วยกนั หลายประการ เช่น การทจุ ริตทาให้ภาพลักษณ์ของประเทศด้าน ความ โปร่งใสน้ันเลวร้ายลง การลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักลงทุนต่างชาติลดน้อยลง หนา้ 2
ชุดหลกั สูตรต้านทุจรติ ศึกษา ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ส่งผลกระทบทาใหก้ ารเตบิ โตทางเศรษฐกิจลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน หรือการทุจริตทาให้เกิดช่องว่างของความ ไม่เท่าเทียมที่กว้างขึ้นของประชากรในประเทศหรืออีกนัยหน่ึงคือระดับความจนน้ันเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่กลุ่มคน รวยกระจุกตัวอยู่เพียงกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียว นอกจากน้ีการทุจริตยังทาให้การสร้างและปรับปรุงสาธารณูปโภค ต่างๆ ของประเทศนั้นลดลงท้งั ในด้านปรมิ าณและคณุ ภาพ รวมทั้งยังอาจนาพาประเทศไปสู่วิกฤติทางการเงินท่ี รา้ ยแรงได้อีกดว้ ย การเปล่ียนแปลงวิธีคิด (Paradigm Shift) จึงเป็นเรื่องสาคัญอย่างมากต่อการดาเนินงาน ด้านการ ต่อต้านการทุจริต ตามคาปราศรัยของประธานที่ได้กล่าวต่อท่ีประชุมองค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เม่ือปี พ.ศ. 2558 ว่า “การทุจริตเป็นหน่ึงในความท้าทายที่มีความสาคัญมาก ในศตวรรษท่ี 21 ผู้นาโลกควรจะเพ่ิมความพยายามข้ึนเป็นสองเท่าท่ีจะสร้างเคร่ืองมือท่ีมีความเข้มแข็ง เพื่อรื้อระบบการทุจริตที่ซ่อนอยู่ออกให้หมดและนาทรัพย์สินกลับคืนให้กับประเทศ ต้นทางท่ีถูกขโมยไป…” ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ผู้นาโลกเท่านั้นท่ีต้องจริงจังมากขึ้นกับการต่อต้านการทุจริตเราทุกคนในฐานะประชากรโลก ก็มีความจาเป็นที่จะต้องเอาจริงเอาจังกับการต่อต้านการทุจริตเช่นเดียวกัน โดยทั่วไปอาจมองว่าเป็นเร่ือง ไกลตัวแต่แท้ท่ีจริงแล้วการทุจริตน้ันเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคนในสังคมมาก การเปล่ียนแปลงระบบวิธีการคิด เป็นเรื่องสาคัญ หรือความสามารถในการการแยกแยะระหว่างประโยชน์ส่วนตนออกจากประโยชน์ส่วนรวม เ ป็ น สิ่ ง จ า เ ป็ น ท่ี จ ะ ต้ อ ง เ กิ ด ขึ้ น กั บ ทุ กคนในสั งคมต้ องมี ความตระหนั กได้ ว่ าการกระ ท าใดเป็ นการล่ วงล้ า สาธารณประโยชน์ การกระทาใดเป็นการกระทาท่ีอาจเกิดการทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชน์ส่วนรวมต้องคานึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นอันดับแรกก่อนที่จะคานึงถึงผลประโยชน์ส่วนตน หรอื พวกพ้อง หนา้ 3
ชุดหลกั สตู รต้านทุจริตศกึ ษา ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ใบงานที่ 1 เรอื่ ง สาเหตขุ องการทจุ ริตและทิศทางการป้องกนั การทุจริตในประเทศไทย คาชแี้ จง ให้นักเรยี นตอบคาถามดงั ต่อไปน้ี 1. เขียนสาเหตขุ องการทุจรติ ทท่ี ่ีนอกเหนือจากสิ่งท่ีได้ศกึ ษาจากใบความรู้ (เขยี นตอบเป็นข้อๆ) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ให้นักเรียนเขยี นผังความคดิ (Mind Map) สาเหตุของการทุจริตและทิศทางการปูองกันการทุจรติ ในประเทศไทย หนา้ 4
ชดุ หลกั สตู รตา้ นทุจริตศกึ ษา ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 2 ใบความรทู้ ี่ ๒ เรื่อง แก้ “ทจุ ริต” ต้องคิดแยกแยะปรับวธิ ีคดิ พฤตกิ รรมเปล่ียน สงั คมเปลี่ยน ประเทศชาติเปลีย่ น โลกเปล่ียน ทาไมจึงใช้ระบบเลขฐานสิบ (Analog) และระบบเลขฐานสอง (Digital) ทาไม มาใช้แยกแยะการแก้ “ทจุ รติ ” Analog เรามาเขา้ ใจและมาคดิ แบบระบบเลขกันเถอะ Thinking ระบบเลข “ฐานสิบ” (decimal number system) หมายถึง ระบบเลขที่มีตัวเลข 10 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 เป็นระบบคิดเลขท่เี ราใช้ในชวี ติ ประจาวันกันมาตั้งแต่จาความกันได้ไม่ว่า จะเป็นการใชบ้ อกปริมาณหรือบอกขนาดช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ในการส่ือความหมายสอดคล้องกับระบบ “Analog” ท่ีใช้ค่าต่อเน่ือง หรือสัญญาณซึ่งเป็นค่าต่อเนื่องหรือแทนความหมายของข้อมูล โดยการ ใช้ฟงั ก์ชัน่ ทตี่ อ่ เนื่องหรือ Continuous ระบบเลข “ฐานสอง” (binary number system) หมายถึง ระบบเลขท่ีมีสัญลักษณ์เพียงสองตัว คือ 0 (ศูนย์) กับ 1 (หน่ึง) สอดคล้องกับการทางานระบบ Digital ที่มีลักษณะการทางาน ภายในเพียง 2 จังหวะ คือ 0 กับ 1 หรือ ON กับ OFF ตัดเด็ดขาด หรือ Discret เม่ือนาระบบเลข “ฐานสิบ Analog” และ ระบบเลข “ฐานสอง Digital” มาปรับใช้เป็นแนวคิด คือ ระบบคิด “ฐานสิบ Analog” และ ระบบคิด “ฐานสอง Digital” จะเห็นไดว้ ่า ระบบคิด “ฐานสิบ Analog” เป็นระบบการคิดวิเคราะห์ข้อมูลท่ีมีตัวเลขหลายตัวและ อาจหมายถึง โอกาสท่ีจะเลือกได้หลายทางเกิดความคิดที่หลากหลาย ซับซ้อนหากนามาเปรียบเทียบกับ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีของรัฐจะทาให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐต้องคิดเยอะต้องใช้ดุลยพินิจเยอะอาจจะ นาประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมมาปะปนกันได้ แยกประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมออก จากกันไม่ได้ ระบบคิด “ฐานสอง Digital” เป็นระบบการคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่สามารถเลือกได้เพียง 2 ทาง เท่านั้น คือ 0 (ศูนย์) กับ 1 (หน่ึง) และอาจหมายถึง โอกาสที่จะเลือกได้เพียง 2 ทาง เช่น ใช่กับไม่ใช่ , เท็จกบั จรงิ , ทาไดก้ บั ทาไมไ่ ด,้ ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น จึงเหมาะกับการนามาเปรียบเทียบ กั บ ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง เ จ้ า ห น้ า ท่ี ข อ ง รั ฐ ท่ี ต้ อ ง ส า ม า ร ถ แ ย ก เ ร่ื อ ง ต า แ ห น่ ง ห น้ า ท่ี กั บ เ รื่ อ ง ส่ ว น ตั ว ออกจากกันได้อยา่ งเด็ดขาดและไม่กระทาการทีเ่ ป็นการขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม หนา้ 5
ชดุ หลักสตู รต้านทุจริตศึกษา ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 เรื่อง คดิ ให้ได้ คิดให้ดี คดิ ใหเ้ ปน็ คดิ ได้ 1. คิดกอ่ นทา (ก่อนกระทาการทุจรติ ) 2. คิดถึงผลเสียผลกระทบต่อประเทศชาติ (ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศ คดิ ดี ในทุกๆ ด้าน) 3. คิดถึงผูไ้ ดร้ ับบทลงโทษจากการกระทาการทุจรติ (เอามาเป็นบทเรยี น) คดิ เปน็ 4. คิดถึงผลเสียผลกระทบท่ีจะเกิดข้ึนกับตนเอง (จะต้องอยู่กับความเส่ียงท่ีจะ ถกู รอ้ งเรียน ถกู ลงโทษไล่ออกและติดคกุ ) 5. คิดถงึ คนรอบขา้ ง (เสือ่ มเสียตอ่ ครอบครวั และวงศ์ตระกลู ) 6. คิดอยา่ งมสี ตสิ มั ปชญั ญะ 1. คิดแบบพอเพียง ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่เบียดเบียน ประเทศชาติ 2. คดิ อย่างรับผดิ ชอบตามบทบาทหนา้ ที่ กฎระเบยี บ 3. คดิ ตามคณุ ธรรมว่า “ทาดไี ด้ดี ทาชั่วไดช้ ่ัว” 1. คิดแยก เร่ือง ประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมออกจากกัน อย่างชัดเจน 2. คดิ แยก เร่อื ง ตาแหนง่ หนา้ ท่ี กบั เรอื่ งสว่ นตวั ออกจากกนั 3. คิดที่จะไม่นาประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมมาปะปนกันมา กา้ วกา่ ยกัน 4. คิดทจี่ ะไมเ่ อาประโยชนส์ ว่ นรวมมาเป็นประโยชน์ส่วนตน 5. คดิ ท่จี ะไมเ่ อาผลประโยชนส์ ว่ นรวมมาตอบแทนบญุ คุณสว่ นตน 6. คิดเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เครือญาติ และ พวกพอ้ ง หนา้ 6
ชุดหลักสตู รตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ใบงานท่ี 2 เรอ่ื ง สาเหตุของการทจุ ริตและผลของการทุจริตทีส่ ง่ ผลต่อประเทศในระดับอาเซยี น 1. ระบบเลข “ฐานสิบ” (decimal number system) หมายถงึ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. หากเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นาประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวมมาปะปนกัน โดยแยกประโยชน์ส่วนตน และประโยชนส์ ่วนรวมออกจากกนั ไม่ได้จะสง่ ผลอยา่ งไรกบั ประเทศในกลุ่มอาเซียน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คาชแี้ จง ให้นักเรียนวิเคราะห์ ผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม โดยใชร้ ะบบคดิ ฐาน ๒ 3. จากตารางให้ระบายสเี หลืองในช่องทีเ่ ป็นผลประโยชนส์ ว่ นตน และระบายสีเขียวในประโยคทเ่ี ป็น ผลประโยชน์ส่วนรว่ ม ธนากรบจิ าคทีด่ ินถวายวัด กนิฐาตั้งใจทางานเพื่อให้ได้เล่ือนตาแหน่ง ปกรณ์แบ่งมรดกให้กับลูกทัง้ 4 คน สายใจไปงานทาบุญข้นึ บา้ นใหมข่ องสดุ า สดุ ใจไมส่ นบั สนนุ รา้ นค้าท่ขี ายสินคา้ บนทางเท้า ก่งิ แกว้ เหน็ คนเข้าไปตดั ไมใ้ นเขตปาุ สงวนจงึ โทรแจง้ ตารวจ สุทนิ เปน็ ตารวจตั้งใจทาคดยี งิ นกั ศึกษาเสยี ชวี ิตบนรถ โดยสารสาธารณะเพราะได้รับเงินจากญาตผิ เู้ สียชีวิต หมู่บา้ นของต้นกล้าประสบภายน้าท่วม จึงเปิดบญั ชี เพือ่ รบั บริจาคเงนิ ช่วยเหลอื ผู้ประสบภยั นา้ ทว่ ม 10,000 บาท ในการเร่งรดั และตดิ ตามคดี หลังจากไดร้ บั เงนิ บริจาค ตน้ กล้าเก็บเงนิ ไวค้ ร่ึงหนึ่ง สาหรบั บ้านตนเองและอีกคร่ึงหน่ึงแบง่ ใหค้ นใน หมูบ่ ้านทุกคนคนละเท่ากบั หนา้ 7
ชดุ หลกั สตู รต้านทุจริตศึกษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ใบความรูท้ ่ี 3 เร่ือง รปู แบบของการขดั กนั ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม ทฤษฎี ความหมาย และรูปแบบของการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ สว่ นรวม (Conflict of Interests) คาว่า Conflict of Interests มีผู้ให้คาแปลเป็นภาษาไทยไว้หลากหลาย เช่น “การขัดกัน แห่งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “การขัดกันระหว่างผลประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์ส่วนตน” หรือ “ประโยชน์ ทับซ้อน” หรือ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” หรือ “ผลประโยชน์ขัดกัน” หรือบางท่านแปลว่า “ผลประโยชน์ขดั แยง้ ” หรือ “ความขดั แย้งทางผลประโยชน์” การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม หรือที่เรียกว่า Conflict of Interests นน้ั กม็ ีลักษณะทานองเดียวกนั กบั กฎศีลธรรม ขนบธรรมเนยี มจารีตประเพณี หลักคุณธรรม จริยธรรม กล่าวคือ การกระทาใดๆ ท่ีเป็นการขดั กันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมเป็นส่ิงที่ควรหลีกเล่ียงไม่ควร จะกระทาแต่บุคคลแตล่ ะคน แตล่ ะกลมุ่ แตล่ ะสังคม อาจเห็นว่าเร่ืองใดเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตน และประโยชน์ส่วนรวมแตกต่างกันไป หรือเม่ือเห็นว่าเป็นการขัดกันแล้วยังอาจมีระดับของความหนักเบา แตกต่างกนั อาจเห็นแตกตา่ งกนั วา่ เรือ่ งใดกระทาได้ กระทาไมไ่ ดแ้ ตกต่างกันออกไปอีกและในกรณีที่มีการฝุาฝืน บางเร่ืองบางคนอาจเห็นว่าไม่เป็นไร เป็นเร่ืองเล็กน้อย หรืออาจเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ต้องถูกประณาม ตาหนิ ตฉิ นิ นินทา วา่ กล่าว ฯลฯ แตกตา่ งกนั ตามสภาพของสังคม โดยพื้นฐานแล้ว เรื่องการขัดกันระหว่างประโยชนส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม เป็นกฎศีลธรรม ประเภทหน่ึงที่บุคคลไม่พึงละเมิดหรือฝุาฝืน แต่เนื่องจากมีการฝุาฝืนกันมากขึ้น และบุคคลผู้ฝุาฝืนก็ไม่มี ความเกรงกลัวหรือละอายต่อการฝุาฝืนน้ัน สังคมก็ไม่ลงโทษหรือลงโทษไม่เพียงพอท่ีจะมีผลเป็นการห้าม การกระทาดังกล่าว และในที่สุดเพื่อหยุดยั้งเร่ืองดังกล่าวน้ี จึงมีการตรากฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการขัดกัน แห่งผลประโยชน์มากขน้ึ ๆ และเปน็ เรอ่ื งที่สงั คมใหค้ วามสนใจมากขึน้ ตามลาดบั คมู่ ือการปฏบิ ตั ิสาหรบั เจ้าหน้าทีข่ องรัฐเพื่อมิให้ดาเนินกิจการท่ีเป็นการขัดกันประโยชนส่วนตนและ ประโยชนส์ ว่ นรวม ตามมาตรา 126 แห่งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปูองกันและปราบปรามการ ทจุ ริต ได้ใหค้ วามหมายไว้ดงั น้ี “ประโยชน์ส่วนตน (Private Interests) คือ การที่บุคคลทั่วไปในสถานะเอกชนหรือเจ้าหน้าท่ี ของรัฐในสถานะเอกชนได้ทากจิ กรรมหรือได้กระทาการต่างๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว เครือญาติ พวกพอ้ ง หรอื ของกลุ่มในสังคมท่ีมคี วามสมั พนั ธ์กันในรูปแบบต่างๆ เช่น การประกอบอาชีพ การทาธุรกิจ การค้า การลงทนุ เพ่ือหาประโยชนใ์ นทางการเงินหรอื ในทางธรุ กจิ เป็นตน้ ” “ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ (Public Interests) คือ การท่ีบุคคลใดๆ ในสถานะที่ เป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่รัฐธรรมนูญกาหนด กรรมการ ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ และเจ้าพนักงานของ รัฐที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกาศกาหนด (เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาล รัฐธรรมนญู ผดู้ ารงตาแหน่งในองคก์ รอสิ ระ คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ไดก้ ระทาการใดๆ ตามหน้าที่หรือได้ปฏิบัติ หน้าที่อันเป็นการดาเนินการในอีกส่วนหนึ่งที่แยกออกมาจากการดาเนินการตามหน้าท่ีในสถานะของเอกชน การกระทาการใดๆ ตามหน้าท่ีของเจ้าพนักงานของรัฐจึงมีวัตถุประสงค์หรือมีเปูาหมายเพื่อประโยชน์ของ ส่วนรวม หรือการรักษาประโยชน์ส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ของรัฐการทาหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐ จึงมคี วามเก่ยี วเน่ืองเชอ่ื มโยงกับอานาจหน้าทีต่ ามกฎหมายและจะมีรปู แบบของความสัมพันธ์หรือมีการกระทา หนา้ 8
ชุดหลักสตู รต้านทุจรติ ศึกษา ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 ในลักษณะต่างๆ กันท่ีเหมือนหรือคล้ายกับการกระทาของบุคคลในสถานะเอกชน เพียงแต่การกระทาใน สถานะท่เี ปน็ เจ้าพนกั งานของรัฐกบั การกระทาในสถานะเอกชนจะมคี วามแตกต่างกันที่วัตถุประสงค์ เปูาหมาย หรอื ประโยชนส์ ุดทา้ ยท่ีแตกต่างกัน” “การขัดกันระหว่างประโยชน์สว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interests) คือ การท่ีเจ้าพนักงานของรัฐกระทาการใดๆ หรือดาเนินการในกิจการสาธารณะท่ีเป็น การดาเนินการตามอานาจหนา้ ท่หี รอื ความรับผิดชอบในกิจการของรัฐหรือองค์กรของรัฐ เพ่ือประโยชน์ของรัฐ หรือเพ่ือประโยชน์ของส่วนรวม แต่เจ้าพนักงานของรัฐได้มีผลประโยชน์ส่วนตนเข้าไปแอบแฝง หรือเป็นผู้ที่มี ส่วนไดเ้ สียในรูปแบบตา่ งๆ หรือนาประโยชนส์ ว่ นตนหรือความสัมพันธ์ส่วนตนเข้ามามีอิทธิพลหรือเก่ียวข้องใน การใช้อานาจหน้าท่ีหรือดุยลพินิจในการพิจารณาตัดสินใจในการกระทาการใดๆ หรือดาเนินการดังกล่าวนั้นเพ่ือ แสวงหาประโยชนใ์ นการทางเงนิ หรอื ประโยชน์อ่ืนๆ สาหรับตนเองหรอื บุคคลใดบคุ คลหนึ่ง” รปู แบบของการขดั กนั ระหวา่ งประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ่วนรวม การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมมีได้หลายรูปแบบไม่จากัดอยู่เฉพาะ ในรูปแบบของตัวเงิน หรือทรัพย์สินเท่าน้ัน แต่รวมถึงผลประโยชน์อ่ืนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของตัวเงินหรือ ทรัพย์สินด้วย ทั้งน้ี John Langford และ Kenneth Kernaghan ได้จาแนกรูปแบบของการขัดกันระหว่าง ประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ่วนรวม ออกเป็น 7 รปู แบบ คือ ๑) การรับผลประโยชน์ต่างๆ (Accepting benefits) ซึ่งผลประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สิน ของขวัญ การลดราคา การรับความบันเทิง การรับบริการ การรับการฝึกอบรม หรือส่ิงอ่ืนใด ในลกั ษณะเดยี วกนั น้ี และผลจากการรับผลประโยชนต์ ่างๆ น้ัน ได้ส่งผลตอ่ การตดั สินใจของเจ้าหน้าท่ีของรัฐใน การดาเนินการตามอานาจหนา้ ท่ี ๒) การทาธุรกิจกับตนเอง (Self - dealing) หรือเป็นคู่สัญญา (Contracts) เป็นการท่ี เจ้าหน้าท่ขี องรฐั โดยเฉพาะผมู้ อี านาจในการตดั สินใจเข้าไปมีส่วนได้เสียในสัญญาท่ีทากับหน่วยงานที่ตนสังกัด โดยอาจจะเป็นเจ้าของบริษัทท่ีทาสัญญาเอง หรือเป็นของเครือญาติ สถานการณ์เช่นนี้เกิดบทบาทที่ขัดแย้ง หรือเรยี กไดว้ า่ เปน็ ท้งั ผู้ซอ้ื และผ้ขู ายในเวลาเดียวกนั ๓) การทางานหลังจากออกจากตาแหน่งหน้าที่สาธารณะหรือหลังเกษียณ (Post - employment) เป็นการทเี่ จ้าหน้าทข่ี องรฐั ลาออกจากหน่วยงานของรัฐ และไปทางานในบริษัทเอกชนท่ีดาเนิน ธุรกิจประเภทเดยี วกันหรือบริษทั ทมี่ คี วามเกี่ยวข้องกับหน่วยงานเดิม โดยใช้อิทธิพลหรือความสัมพันธ์จากที่เคย ดารงตาแหน่งในหน่วยงานเดมิ นนั้ หาประโยชน์จากหนว่ ยงานให้กบั บริษัทและตนเอง ๔) การทางานพิเศษ (Outside employment or moonlighting) ในรูปแบบน้ีมีได้ หลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นการที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐต้ังบริษัทดาเนินธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับหน่วยงานหรือ องค์การสาธารณะที่ตนสังกัด หรือการรับจ้างพิเศษเป็นที่ปรึกษาโครงการ โดยอาศัยตาแหน่งในราชการ สรา้ งความน่าเชอื่ ถือว่าโครงการของผู้วา่ จ้างจะไมม่ ีปญั หาติดขัดในการพิจารณาจากหน่วยงานท่ีท่ีปรึกษาสังกัด อยู่ ๕) การรู้ข้อมูลภายใน (Inside information) เป็นสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ ประโยชน์จากการที่ตนเองรับรู้ข้อมูลภายในหน่วยงาน และนาข้อมูลนั้นไปหาผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือ พวกพ้อง อาจจะไปหาประโยชนโ์ ดยการขายข้อมูลหรอื เขา้ เอาประโยชน์เสยี เอง ๖) การใช้ทรัพย์สินของราชการเพื่อประโยชน์ธุรกิจส่วนตัว (Using your employer’s property for private advantage) เป็นการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐนาเอาทรัพย์สินของราชการซ่ึงจะต้องใช้ หนา้ 9
ชดุ หลักสูตรตา้ นทุจริตศึกษา ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 เพ่ือประโยชน์ของทางราชการเท่าน้ันไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้อง หรือการใช้ให้ ผ้ใู ตบ้ ังคับบัญชาไปทางานส่วนตัว ๗) การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกต้ังเพื่อประโยชน์ทางการเมือง (Pork - barreling) เป็นการท่ีผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารระดับสูงอนุมัติโครงการไปลงพื้นท่ีหรือ บ้านเกดิ ของตนเอง หรอื การใชง้ บประมาณสาธารณะเพือ่ หาเสียง ท้ังน้ี เม่ือพิจารณา “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเก่ียวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ ส่วนตนกับประโยชน์สว่ นรวม พ.ศ. ....” ทาให้มรี ูปแบบเพม่ิ เติมจากทกี่ ล่าวมาแล้วขา้ งตน้ อีก 2 กรณี คือ ๘) การใช้ตาแหนง่ หน้าทแ่ี สวงหาประโยชน์แก่เครือญาติหรือพวกพ้อง (Nepotism) หรือ อาจจะเรียกว่าระบบอุปถัมภ์พิเศษ เป็นการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อิทธิพลหรือใช้อานาจหน้าที่ทาให้หน่วยงานของ ตนเขา้ ทาสญั ญากบั บริษทั ของพี่นอ้ งของตน ๙) การใช้อิทธิพลเข้าไปมีผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐอ่ืน (influence) เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง โดยเจ้าหน้าท่ีของรัฐใช้ตาแหน่งหน้าท่ีข่มขู่ผู้ใต้บังคับ บัญชาใหห้ ยดุ ทาการตรวจสอบบรษิ ัทของเครือญาติของตน หนา้ 10
ชุดหลักสูตรต้านทุจริตศกึ ษา ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ใบงานท่ี 3 เรอ่ื ง รปู แบบของการขดั กันระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม คาชี้แจง 1. ให้นักเรยี นเขยี นผงั ความคดิ (Mind Map) รปู แบบของการขดั กนั ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชน์ส่วนรวม หนา้ 11
ชดุ หลักสตู รตา้ นทุจรติ ศึกษา ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 2. Conflict of Interests แปลเป็นภาษาไทยว่าอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. “ประโยชน์สว่ นตน (Private Interests) คือ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. “ประโยชนส์ ว่ นรวมหรอื ประโยชนส์ าธารณะ (Public Interests) คือ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. รูปแบบของการขัดกันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวม ออกเปน็ 7 รูปแบบ อะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… หนา้ 12
ชดุ หลักสูตรต้านทุจรติ ศึกษา ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ใบความรูท้ ่ี 4 เร่อื ง ตัวอย่างการขัดกนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม ตัวอยา่ ง การขดั กนั ระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวมในรปู แบบตา่ งๆ 1. การรับผลประโยชนต์ า่ งๆ ๑.๑ นายสุจริต ข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการในพ้ืนที่จังหวัดราชบุรี ซ่ึงในวัน ดงั กลา่ ว นายรวย นายก อบต. แหง่ หนง่ึ ไดม้ อบงาชา้ งจานวนหนึง่ ค่ใู ห้แก่ นายสจุ รติ เพอ่ื เป็นของทรี่ ะลึก ๑.๒ การที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐรับของขวัญจากผู้บริหารของบริษัทเอกชน เพ่ือช่วยให้บริษัทเอกชน รายนนั้ ชนะการประมูลรบั งานโครงการขนาดใหญ่ของรฐั ๑.๓ การที่บริษัทแห่งหน่ึงให้ของขวัญเป็นทองคามูลค่ามากกว่า 10 บาท แก่เจ้าหน้าท่ีในปีที่ผ่านมา และปีนี้เจ้าหน้าท่ีเร่งรัดคืนภาษีให้กับบริษัทน้ันเป็นกรณีพิเศษ โดยลัดคิวให้ก่อนบริษัทอื่นๆ เพราะคาดว่าจะ ได้รบั ของขวญั อีก ๑.๔ การที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐไปเป็นคณะกรรมการของบริษัทเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจและได้รับ ความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ จากบริษัทเหล่าน้ัน ซึ่งมีผลต่อการให้คาวินิจฉัยหรือข้อเสนอแนะท่ีเป็นธรรมหรือ เป็นไปในลักษณะท่ีเอ้ือประโยชนต์ อ่ บรษิ ัทผู้ให้นน้ั ๆ ๑.๕ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ได้รบั ชุดไม้กอล์ฟจากผู้บริหารของบริษัทเอกชน เมื่อต้องทางานที่เกี่ยวข้องกับ บริษัทเอกชนแห่งน้ันก็ช่วยเหลือใหบ้ ริษัทน้นั ได้รับสมั ปทาน เนือ่ งจากรู้สึกว่าควรตอบแทนทเี่ คยไดร้ ับของขวญั มา 2. การทาธุรกิจกับตนเองหรือเป็นคู่สญั ญา 2.1 การที่เจ้าหน้าท่ีในกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้างทาสัญญาให้หน่วยงานต้นสังกัดซื้อคอมพิวเตอร์ สานักงานจากบรษิ ัทของครอบครัวตนเอง หรอื บริษทั ทีต่ นเองมหี ุ้นส่วนอยู่ ๒.2 ผู้บริหารหน่วยงานทาสัญญาเช่ารถไปสัมมนาและดูงานกับบริษัท ซ่ึงเป็นของเจ้าหน้าที่หรือ บรษิ ัทที่ผูบ้ ริหารมีหนุ้ ส่วนอยู่ 2.3 ผ้บู ริหารของหนว่ ยงานทาสัญญาจ้างบริษัทท่ีภรรยาของตนเองเป็นเจ้าของมาเป็นที่ปรึกษาของ หน่วยงาน 2.4 ผู้บริหารของหน่วยงานทาสัญญาให้หน่วยงานจัดซ้ือท่ีดินของตนเองในการสร้างสานักงาน แห่งใหม่ ๒.๕ ภรรยาอดีตนายกรัฐมนตรี ประมูลซื้อท่ีดินย่านถนนรัชดาภิเษกใกล้กับศูนย์วัฒนธรรม แห่งประเทศไทย จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการดูแลของธนาคาร แห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง โดยอดีตนายกรัฐมนตรี ซ่ึงในขณะนั้นดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะเจ้าพนักงานมีหน้าท่ีดูแลกิจการของกองทุนฯ ได้ลงนามยินยอมในฐานะคู่สมรสให้ภรรยาประมูลซ้ือ ท่ีดินและทาสัญญาซื้อขายที่ดินส่งผลให้เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาซื้อที่ดินโฉนด แปลงดังกลา่ ว อนั เปน็ การขดั กนั ระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม เป็นการฝุาฝืนต่อกฎหมายมี ความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปูองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 126 (1) หนา้ 13
ชดุ หลกั สตู รตา้ นทุจริตศกึ ษา ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 2 3. การทางานหลงั จากออกจากตาแหน่งหนา้ ทีส่ าธารณะหรือหลังเกษียณ ๓.๑ อดีตผู้อานวยการโรงพยาบาลแห่งหน่ึง เพ่ิงเกษียณอายุราชการไปทางานเป็นที่ปรึกษา ในบริษัทผลิตหรือขายยา โดยใช้อิทธิพลจากที่เคยดารงตาแหน่งในโรงพยาบาลดังกล่าว ให้โรงพยาบาลซ้ือยา จากบริษทั ทีต่ นเองเป็นท่ปี รึกษาอยู่ พฤติการณ์เช่นนี้มีมูลความผิดท้ังทางวินัยและทางอาญาฐานเป็นเจ้าหน้าที่ ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทาให้ผู้อ่ืนเชื่อว่าตนมีตาแหน่งหรือหน้าท่ี ทั้งที่ ตนมิได้มีตาแหน่งหรือหนา้ ท่ีน้ัน เพือ่ แสวงหาประโยชนท์ ่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือผู้อื่น ตามพระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยการปูองกนั และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 128 ๓.๒ การที่ผู้บริหารหรือเจ้าหน้าท่ีขององค์กรด้านเวชภัณฑ์และสุขภาพออกจากราชการไปทางาน ในบริษัทผลิตหรือขายยา ๓.๓ การที่ผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานท่ีเกษียณแล้วใช้อิทธิพลท่ีเคยดารงตาแหน่ง ในหน่วยงานรัฐ รับเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทเอกชนที่ตนเคยติดต่อประสานงาน โดยอ้างว่าจะได้ติดต่อกับ หนว่ ยงานรัฐได้อยา่ งราบรื่น ๓.๔ การว่าจ้างเจ้าหน้าที่ผู้เกษียณมาทางานในตาแหน่งเดิมที่หน่วยงานเดิมโดยไม่คุ้มค่ากับภารกิจ ที่ไดร้ ับมอบหมาย 4. การทางานพิเศษ ๔.๑ เจา้ หนา้ ทีต่ รวจสอบภาษี 6 สานักงานสรรพากรจังหวดั ในสว่ นภูมภิ าค ได้จัดตั้งบริษัทรับจ้างทา บัญชีและให้คาปรึกษาเกี่ยวกับภาษีและมีผลประโยชน์เก่ียวข้องกับบริษัท โดยรับจ้างทาบัญชีและ ยื่นแบบแสดงรายการให้ผู้เสยี ภาษใี นเขตจงั หวดั ทีร่ บั ราชการอยู่และจงั หวดั ใกลเ้ คียงกลบั มพี ฤตกิ ารณ์ช่วยเหลือ ผู้เสียภาษีให้เสียภาษีน้อยกว่าความเป็นจริง และรับเงินค่าภาษีอากรจากผู้เสียภาษีบางรายแล้ว มิได้นาไปยื่นแบบแสดงรายการชาระภาษีให้ พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ กรมสรรพากรว่าด้วยจรรยาข้าราชการ กรมสรรพากร พ.ศ. 2559 ข้อ 9 (7) (8) และอาศัยตาแหน่งหน้าท่ี ราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเองเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงตามมาตรา 83 (3) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 อีกท้ังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพ่ือให้เกดิ ความเสยี หายแกท่ างราชการโดยร้ายแรง และปฏิบัตหิ น้าทรี่ าชการโดยทจุ ริต และยังกระทา การ อันได้ช่ือว่าเป็นผู้ประพฤติช่ัวอย่างร้ายแรงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 85 (1) และ (4) แห่ง พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. 2551 4.2 นติ กิ ร ฝุายกฎหมายและเร่งรดั ภาษอี ากรคา้ ง สานกั งานสรรพากรจงั หวัดในสว่ นภมู ิภาค หา รายได้พิเศษโดยการเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตของบริษัทเอกชนได้อาศัยโอกาสที่ตนปฏิบัติหน้าท่ีเร่งรัดภาษี อากรค้างผู้ประกอบการรายหน่ึงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองด้วยการขายประกันชีวิตให้แก่หุ้นส่วนผู้จัดการ ของ ผูป้ ระกอบการดังกล่าว รวมทงั้ พนกั งานของผู้ประกอบการนั้นอีกหลายคนในขณะท่ีตนกาลังดาเนินการเร่งรัดภาษี อากรค้าง พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เป็นการอาศัยตาแหน่งหน้าท่ีราช การของต น หาประโยชน์ให้แก่ตนเองเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ตามมาตรา 83 (3) ประกอบมาตรา 84 แห่งพระราชบญั ญัตริ ะเบียบข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. 2551 หนา้ 14
ชุดหลักสูตรตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ๔.3 การท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐอาศัยตาแหน่งหน้าท่ีทางราชการรับจ้างเป็นที่ปรึกษาโครงการ เพ่ือให้ บรษิ ทั เอกชนท่วี ่าจ้างนัน้ มีความนา่ เชือ่ ถอื มากกวา่ บรษิ ัทคแู่ ขง่ ๔.4 การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐไม่ทางานท่ีได้รับมอบหมายจากหน่วยงานอย่างเต็มที่แต่เอาเวลาไปรับ งานพิเศษอน่ื ๆ ท่อี ย่นู อกเหนอื อานาจหน้าทีท่ ไ่ี ดร้ ับมอบหมายจากหน่วยงาน 4.5 การท่ีผู้ตรวจสอบบัญชีภาครัฐรับงานพิเศษเป็นที่ปรึกษา หรือเป็นผู้ทาบัญชีให้กับบริษัทท่ีต้อง ถูกตรวจสอบ 5. การรขู้ อ้ มลู ภายใน ๕.๑ นายชา่ ง 5 แผนกชมุ สายโทรศัพทเ์ คลื่อนท่ี องคก์ ารโทรศัพทแ์ ห่งประเทศไทยได้นาข้อมูล เลข หมายโทรศัพท์เคล่ือนที่ระบบ 470 MHZ และระบบปลดล็อคไปขายให้แก่ผู้อื่น จานวน 40 หมายเลข เพื่อ นาไปปรับจนู เข้ากับโทรศัพทเ์ คลือ่ นท่ีท่ีนาไปใชร้ ับจ้างให้บริการโทรศัพท์แก่บุคคลท่ัวไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. มี มตชิ ม้ี ลู ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และ มาตรา 164 และ มีความผิด วนิ ยั ขอ้ บงั คบั องคก์ ารโทรศัพท์แหง่ ประเทศไทยวา่ ด้วยการพนักงาน พ.ศ. 2536 ขอ้ 44 และ 46 ๕.๒ การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐทราบข้อมูลโครงการตัดถนนเข้าหมู่บ้าน จึงบอกให้ญาติพี่น้องไปซื้อที่ดิน บรเิ วณโครงการดังกล่าว เพ่ือขายให้กับราชการในราคาท่สี ูงข้ึน ๕.๓ การที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงข่ายโทรคมนาคมทราบมาตรฐาน ( Spec) วัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ในการวางโครงข่ายโทรคมนาคม แล้วแจ้งข้อมูลให้กับบริษัทเอกชนท่ีตนรู้จักเพ่ือให้ ไดเ้ ปรยี บในการประมูล 5.4 เจา้ หนา้ ท่พี สั ดขุ องหน่วยงานเปดิ เผยหรือขายขอ้ มลู ทสี่ าคญั ของฝุายที่มายื่นประมูลไว้ก่อนหน้า ให้แก่ผู้ประมลู รายอ่นื ท่ใี ห้ผลประโยชนท์ าให้ฝุายทีม่ าย่นื ประมลู ไว้ก่อนหน้าเสียเปรียบ 6. การใช้ทรพั ยส์ นิ ของราชการเพ่ือประโยชนส์ ว่ นตน ๖.๑ คณะบดีคณะแพทย์ศาสตร์ ใช้อานาจหน้าท่ีโดยทุจริตด้วยการสั่งให้เจ้าหน้าที่นาเก้าอี้พร้อม ผ้าปลอกคุมเก้าอ้ี เคร่ืองถ่ายวิดีโอ เคร่ืองเล่นวิดีโอ กล้องถ่ายรูป และผ้าเต็นท์ นาไปใช้ในงานมงคลสมรสของ บตุ รสาว รวมท้ังรถยนต์ รถตู้ส่วนกลาง เพื่อใช้รับส่งเจ้าหน้าท่ีเข้าร่วมพิธี และขนย้ายอุปกรณ์ทั้งที่บ้านพักและ งานฉลองมงคลสมรสทโ่ี รงแรม ซ่งึ ล้วนเป็นทรัพย์สนิ ของทางราชการการกระทาของจาเลยนับเป็นการใช้อานาจ โดยทจุ ริต เพ่อื ประโยชนส์ ว่ นตนอนั เป็นการเสียหายแก่รัฐ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ช้ีมูลความผิดวินัยและอาญา ต่อมาเรอื่ งเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แลว้ เห็นวา่ การกระทาของจาเลยเป็น การทุจริตต่อตาแหน่งหน้าที่ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าท่ีซ้ือทาจัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อานาจใน ตาแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 จึงพิพากษาให้จาคุก 5 ปี และปรับ 20,000 บาท คาให้การรับ สารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหน่ึง คงจาคุกจาเลยไว้ 2 ปี 6 เดือนและปรับ 10,000 บาท หนา้ 15
ชดุ หลกั สูตรตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 ๖.๒ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้มีหน้าที่ขับรถยนต์ของส่วนราชการ นาน้ามันในรถยนต์ไปขาย และ นาเงินมาไว้ใช้จ่ายส่วนตัวทาให้ส่วนราชการต้องเสียงบประมาณ เพ่ือซื้อน้ามันรถมากกว่าที่ควรจะเป็นพฤติกรรม ดังกล่าวถือเป็นการทุจริตเป็นการเบียดบังผลประโยชน์ของส่วนรวมเพ่ือประโยชน์ของตนเอง และมีความผิด ฐานลักทรพั ย์ตามประมวลกฎหมายอาญา ๖.๓ การท่ีเจ้าหน้าท่ีรัฐ ผู้มีอานาจอนุมัติให้ใช้รถราชการหรือการเบิกจ่าย ค่าน้ามันเช้ือเพลิง นารถยนตข์ องสว่ นราชการไปใช้ในกจิ ธรุ ะสว่ นตวั 6.4 การท่ีเจ้าหน้าท่ีรัฐนาวัสดุครุภัณฑ์ของหน่วยงานมาใช้ที่บ้าน หรือใช้โทรศัพท์ของหน่วยงาน ติดตอ่ ธรุ ะส่วนตน หรอื นารถสว่ นตนมาลา้ งที่หน่วยงาน 7. การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกตงั้ เพื่อประโยชน์ในทางการเมือง ๗.๑ นายกองค์การบริหารส่วนตาบลแห่งหน่ึงร่วมกับพวกแก้ไขเปล่ียนแปลงรายละเอียดโครงการ ปรบั ปรุงและซอ่ มแซมถนนคนเดินใหม่ ในตาบลท่ีตนมีฐานเสียงโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ และตรวจ รับงานทั้งท่ีไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการท่ีกาหนด รวมท้ังเมื่อดาเนินการแล้วเสร็จได้ติดปูายช่ือของตนและพวก การกระทาดังกล่าวมีมูลเป็นการกระทาการฝุาฝืนต่อความสงบเรียบร้อย หรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือ ละเลยไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอานาจหน้าที่มีมูลความผิดทั้งทางวินัยอย่างร้ายแรงและทาง อาญา คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้มีอานาจแต่งตั้ง ถอดถอน และสานกั งานคณะกรรมการการเลอื กต้ังทราบ ๗.๒ การท่ีนักการเมืองในจังหวัดขอเพ่ิมงบประมาณเพ่ือนาโครงการตัดถนนสร้างสะพานลงใน จังหวดั โดยใชช้ ่ือหรือนามสกลุ ของตนเองเป็นชอื่ สะพาน ๗.๓ การทีร่ ฐั มนตรอี นมุ ัตโิ ครงการไปลงในพน้ื ที่หรือบ้านเกดิ ของตนเอง 8. การใช้ตาแหน่งหนา้ ท่ีแสวงหาประโยชน์แก่เครอื ญาติ พนกั งานสอบสวนละเว้นไม่นาบนั ทกึ การจับกุมทีเ่ จ้าหนา้ ทีต่ ารวจชุดจับกุมทาข้ึนในวันเกิดเหตุรวมเข้า สานวน แต่กลับเปล่ียนบันทึกและแก้ไขข้อหาในบันทึกการจับกุม เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาซึ่งเป็นญาติของตนให้ รับโทษน้อยลง คณะกรรมการ ป.ป.ช. พจิ ารณาแล้วมมี ลู ความผดิ ทางอาญาและทางวินัยอยา่ งรา้ ยแรง 9. การใช้อทิ ธพิ ลเข้าไปมผี ลต่อการตัดสินใจของเจา้ หน้าท่รี ฐั หรือหนว่ ยงานของรัฐอนื่ ๙.๑ เจ้าหน้าท่ีของรัฐใช้ตาแหน่งหน้าที่ในฐานะผู้บริหารเข้าแทรกแซงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ใหป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทีโ่ ดยมิชอบดว้ ยระเบยี บ และกฎหมายหรือฝาุ ฝืนจริยธรรม ๙.๒ นายเอ เป็นหวั หน้าส่วนราชการแหง่ หนงึ่ ในจงั หวดั รูจ้ ักสนิทสนมกับนายบี หัวหน้าส่วนราชการอีก แห่งหน่ึงในจังหวัดเดียวกัน นายเอ จึงใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวฝากลูกชาย คือ นายซี เข้ารับราชการภายใต้ สงั กัดของนายบี หนา้ 16
ชุดหลกั สตู รตา้ นทุจริตศึกษา ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 10. การขดั กนั แห่งผลประโยชนส์ ว่ นตนกับประโยชน์ส่วนรวมประเภทอื่นๆ ๑๐.๑ การเดินทางไปราชการต่างจังหวัดโดยไม่คานึงถึงจานวนคน จานวนงาน และจานวนวัน อย่างเหมาะสม อาทิ เดินทางไปราชการจานวน 10 วัน แต่ใช้เวลาในการทางานจริงเพียง 6 วัน โดยอีก 4 วัน เป็น การเดนิ ทางท่องเที่ยวในสถานทีต่ ่างๆ ๑๐.๒ เจา้ หนา้ ที่ผ้ปู ฏิบัติไม่ใช้เวลาในราชการปฏบิ ตั ิงานอยา่ งเต็มที่ เนื่องจากตอ้ งการปฏิบตั ิงานนอก เวลาราชการ เพราะสามารถเบกิ เงินงบประมาณค่าตอบแทนการปฏิบัตงิ านนอกเวลาราชการได้ ๑๐.๓ เจ้าหน้าท่ีของรัฐลงเวลาปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ โดยมิได้อยู่ปฏิบัติงานในช่วงเวลานั้น อย่างแทจ้ ริง แต่กลบั ใช้เวลาดังกลา่ วปฏิบัตกิ จิ ธุระส่วนตวั หนา้ 17
ชดุ หลักสตู รต้านทุจรติ ศกึ ษา ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ใบงานท่ี 4 เรอ่ื ง การขดั กนั ระหว่างประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ่วนรวมในรูปแบบตา่ งๆ คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นเขยี นการขดั กนั ระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวมมา 4 รูปแบบ พรอ้ ม ยกตวั อย่าง 1.…………………………………………………… 2.…………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ตวั อยา่ ง…………………………………………… ตัวอย่าง…………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… …………… …………… การขดั กันระหวา่ ง ประโยชน์สว่ นตนและ ประโยชนส์ ว่ นรวมใน รูปแบบตา่ งๆ 3.…………………………………………………… 4.…………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ตัวอย่าง…………………………………………… ตวั อยา่ ง…………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… …………… …………… หนา้ 18
ชดุ หลักสตู รตา้ นทุจริตศกึ ษา ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ใบความร้ทู ี่ 5 เร่ือง สถานการณ์จาลอง สถานการณ์ที่ ๑ เรอื่ ง การทางานพิเศษ ๑. เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 6 สานักงานสรรพากรจังหวัดในส่วนภูมิภาค ได้จัดต้ังบริษัทรับจ้าง ทาบัญชีและให้คาปรึกษาเกี่ยวกับภาษีและมีผลประโยชน์เก่ียวข้องกับบริษัท โดยรับจ้างทาบัญชีและ ยื่นแบบแสดงรายการให้ผู้เสียภาษีในเขตจังหวัดที่รับราชการอยู่และจังหวัดใกล้เคียง กลับมีพฤติการณ์ ช่วยเหลือผู้เสียภาษีให้เสียภาษีน้อยกว่าความเป็นจริง และรับเงินค่าภาษีอากรจากผู้เสียภาษีบางรายแล้ว มิได้นาไปย่ืนแบบแสดงรายการชาระภาษีทาให้พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เป็นการไม่ปฏิบัติตาม ข้อบังคับกรมสรรพากรวา่ ด้วยจรรยาข้าราชการ กรมสรรพากร พ.ศ. 2559 ข้อ 9 (7) (8) และอาศัยตาแหน่ง หน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง เป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงตามมาตรา 83 (3) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 อีกท้ังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการโดยร้ายแรง และปฏิบัติหน้าท่ีราชการโดยทุจริต และยังกระทา การอันได้ชือ่ วา่ เป็นผู้ประพฤติชว่ั อยา่ งรา้ ยแรงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 85 (1) และ (4) แห่ง พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ๒. การที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐอาศัยตาแหน่งหน้าท่ีทางราชการรับจ้างเป็นท่ีปรึกษาโครงการ เพ่ือให้ บริษทั เอกชนท่วี า่ จา้ งนัน้ มีความน่าเชือ่ ถือมากกว่าบรษิ ทั คู่แข่ง ๓. การทเี่ จ้าหน้าทีข่ องรัฐไม่ทางานท่ีได้รับมอบหมายจากหน่วยงานอย่างเต็มที่แต่เอาเวลาไปรับงาน พิเศษอน่ื ๆ ทอ่ี ยู่นอกเหนืออานาจหนา้ ท่ีท่ีได้รบั มอบหมายจากหนว่ ยงานตามกฎหมาย สถานการณท์ ี่ ๒ เร่อื ง การรขู้ ้อมูลภายใน ๑. นายช่าง 5 แผนกชุมสายโทรศัพท์เคล่ือนที่ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ได้นาข้อมูล เลขหมายโทรศัพท์เคล่ือนที่ระบบ 470 MHZ และระบบปลดล็อคไปขายให้แก่ผู้อื่น จานวน 40 หมายเลข เพื่อนาไปปรับจูนเข้ากับโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่นาไปใช้รับจ้างให้บริการโทรศัพท์แก่บุคคลทั่วไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และ มาตรา 164 และ มคี วามผดิ วินัยข้อบังคบั องคก์ ารโทรศัพทแ์ ห่งประเทศไทยวา่ ด้วยการพนักงาน พ.ศ. 2536 ข้อ 44 และ 46 ๒. การท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐทราบข้อมูลโครงการตัดถนนเข้าหมู่บ้านจึงบอกให้ญาติพี่น้องไปซื้อท่ีดิน บรเิ วณโครงการดังกล่าวเพ่ือขายใหก้ ับราชการในราคาทส่ี ูงขึ้น ๓. การท่ีเจ้าหน้าที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงข่ายโทรคมนาคมทราบมาตรฐาน ( Spec) วัสดุอุปกรณ์ท่ีจะใช้ในการวางโครงข่ายโทรคมนาคม แล้วแจ้งข้อมูลให้กับบริษัทเอกชนท่ีตนรู้จัก เพื่อให้ ได้เปรยี บในการประมูล หนา้ 19
ชดุ หลักสูตรตา้ นทุจรติ ศึกษา ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 สถานการณ์ที่ ๓ เร่อื ง การใชท้ รัพย์สินของราชการเพ่ือประโยชน์ส่วนตน ๑. คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ ใช้อานาจหน้าที่โดยทุจริตด้วยการสั่งให้เจ้าหน้าท่ีนาเก้าอ้ีพร้อม ผ้าปลอกคลุมเก้าอี้ เครื่องถ่ายวิดีโอ เครื่องเล่นวิดีโอ กล้องถ่ายรูป และผ้าเต็นท์ นาไปใช้ในงานมงคลสมรส ของบุตรสาว รวมท้ังรถยนต์ รถตู้ส่วนกลาง เพ่ือใช้รับส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมพิธีและขนย้ายอุปกรณ์ทั้งท่ีบ้านพัก และงานฉลองมงคลสมรสท่ีโรงแรม ซ่ึงล้วนเป็นทรัพย์สินของทางราชการการกระทาของจาเลยนับเป็นการใช้ อานาจโดยทุจรติ เพื่อประโยชนส์ ว่ นตนอนั เป็นการเสียหายแก่รัฐ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดวินัยและ อาญา ต่อมาเรื่องเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้วเห็นว่าการกระทาของ จาเลยเป็นการทุจริตต่อตาแหน่งหน้าท่ีฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทาจัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 จึงพิพากษาให้จาคุก 5 ปี และปรับ 20,000 บาท คาให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้ก่ึงหน่ึง คงจาคุกจาเลยไว้ 2 ปี 6 เดือนและ ปรบั 10,000 บาท ๒. การทเี่ จา้ หนา้ ที่ของรฐั ผมู้ ีหน้าที่ขับรถยนต์ของส่วนราชการนาน้ามันในรถยนต์ไปขายและ นา เงินมาไว้ใช้จ่ายส่วนตัวทาให้ส่วนราชการต้องเสียงบประมาณ เพื่อซ้ือน้ามันรถมากกว่าที่ควรจะเป็นพฤติกรรม ดงั กล่าวถอื เป็นการทุจรติ เบยี ดบงั ผลประโยชน์ของส่วนรวมเพื่อประโยชน์ของตนเองและ มีความผิด ฐานลักทรัพย์ ๓. การที่เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอานาจอนุมัติให้ใช้รถราชการหรือการเบิกจ่ายค่าน้ามันเช้ือเ พลิง นารถยนตข์ องสว่ นราชการไปใชใ้ นกิจธุระสว่ นตวั หนา้ 20
ชดุ หลกั สูตรต้านทุจริตศกึ ษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ใบงานท่ี 5 เรือ่ ง การทจุ ริตทีเ่ กดิ ข้นึ ภายในระดับประเทศและจรยิ ธรรมทใี่ ชใ้ นการป้องกนั การทจุ ริตในระดับประเทศ คาชแ้ี จง จากที่ได้อา่ นใบความรูท้ ่ี 5 เรื่องสถานการณ์จาลอง ให้นักเรยี นยกตวั อย่างจรยิ ธรรมทีใ่ ชใ้ นการ ปูองกันการทจุ รติ ตามสถานการณ์จาลองดังต่อไปนี้ 1. จรยิ ธรรมทใ่ี ชใ้ นการปูองกันการทจุ รติ สถานการณท์ ี่ ๑ เรื่อง การทางานพิเศษ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. จรยิ ธรรมทีใ่ ชใ้ นการปูองกันการทจุ รติ สถานการณท์ ่ี ๒ เรื่อง การรขู้ ้อมลู ภายใน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. จริยธรรมท่ใี ช้ในการปูองกันการทุจรติ สถานการณ์ท่ี ๓ เรือ่ ง การใชท้ รัพย์สนิ ของราชการเพือ่ ประโยชน์ ส่วนตน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. หนา้ 21
ชุดหลกั สูตรตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ใบความรู้ที่ 6 เรอ่ื ง ผลประโยชนท์ ับซ้อน (Conflict of interests) ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interests) ผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการขัดกันของผลประโยชน์ (Conflict of interests) คือ สถานการณ์ที่ บุคคลผู้ดารงตาแหน่งอันเป็นท่ีไว้วางใจ (เช่น ทนายความ นักการเมือง ผู้บริหาร หรือ ผู้อานวยการของ บริษัทเอกชน หรือหน่วยงานรัฐ) เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ ทางวชิ าชีพ (professional interests) อันส่งผลให้เกิดปัญหาที่เขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้อย่างเป็นกลาง / ไม่ ลาเอียงผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดขึ้น อาจส่งผลให้เกิดความไม่ไว้วางใจที่มีต่อบุคคลผู้น้ันว่าเขาจะสามารถ ปฏิบตั งิ านตามตาแหน่งใหอ้ ยู่ในครรลองของคุณธรรมจรยิ ธรรมไดม้ ากน้อยเพยี งใด ภาษาไทยใชอ้ ยู่ 3 อยา่ ง คือ 1. ความขดั แย้งกนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม 2. ผลประโยชนท์ ับซอ้ น 3. ผลประโยชน์ขดั กัน ผลประโยชน์ทับซ้อน ความหมายของ สานักงาน ก.พ. สถานการณ์หรือการกระทาของบุคคล (ไม่ ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ พนักงานบริษัท ผู้บริหาร) มีผลประโยชน์ส่วนตนเข้ามาเกี่ยวข้อง จนส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจหรือการปฏิบัติหน้าที่ในตาแหน่งน้ัน การกระทาดังกล่าวอาจเกิดขึ้นโดยรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวทั้งเจตนาหรือไม่เจตนา หรือบางเร่ืองเป็นการปฏิบัติสืบต่อกันมาจนไม่เห็นว่าจะเป็นส่ิงผิด แต่อย่างใด พฤติกรรมเหล่านีเ้ ปน็ การกระทาความผิดทางจรยิ ธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องคานึงถึงผลประโยชน์ สาธารณะ (ประโยชน์ของส่วนรวม) แต่กลับตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่โดยคานึงถึงประโยชน์ของตนเองหรือพวก พ้อง แนวคิดของวิชาการ ให้ความหมายของผลประโยชน์ทบั ซ้อนไว้ 4 ประการ ดงั น้ี 1. ความหมายอย่างกว้าง หมายรวมถึงการปฏิบัติงานตามตาแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบอย่างต่ อ หน่วยงานหรือองค์การหรอื ต่อส่วนรวมแต่ดาเนินการตัดสินใจปฏบิ ตั ิหนา้ ที่โดยคานึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง ครอบครวั และเพอ่ื นฝูง 2. ผลประโยชน์ทับซ้อนสามารถเกิดข้ึนได้ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ องค์กรธุรกิจ สถาบันการศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรวิชาชีพต่างๆ โดยสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในระดับนโยบายของชาติ หน่วยงาน ราชการ และองค์กรในระดับท้องถ่ิน ดังนั้นผลประโยชน์ทับซ้อนจึงมีมูลค่าความเสียหายตั้งแต่ไม่กี่ร้อยบาทไป จนถึงนบั หมน่ื ลา้ นบาท และในบางกรณีความเสียหายมิได้ปรากฏออกมาในรูปของที่เป็นวัตถุ โดยแต่ยังรวมถึง ผลประโยชนม์ ใิ ช่วตั ถอุ ีกด้วย 3. ผลประโยชน์ทับซ้อนมิได้จากัดเฉพาะผลประโยชน์ของบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีอคติ ในการตัดสนิ ใจหรือดาเนินการอนั มุง่ ตอบสนองต่อผลประโยชนข์ องหน่วยงานอีกหนว่ ยงานหนึง่ ด้วย เช่น การที่ บุคคลดารงตาแหน่งซ้อนกันในสองหน่วยงาน อันก่อให้เกิดการทาบทบาทที่ขัดแย้งกัน และมีการใช้อานาจ หนา้ ทีข่ องหน่วยงานหนง่ึ ไปรบั ผลประโยชนข์ องอกี หนว่ ยงานหน่ึง หนา้ 22
ชดุ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 4. “การฉ้อราษฎร์บังหลวง”และ“การคอร์รัปชันเชิงนโยบาย” (Policy Corruption) ต่างก็เป็น รูปแบบหนึ่งของผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากท้ังสองรูปแบบต่างเป็นการใช้ตาแหน่งหน้าท่ีสา หรับ ม่งุ ตอบสนองต่อผลประโยชน์สว่ นตวั และหรอื พรรคพวก สรปุ ผลประโยชน์สว่ นบคุ คลและผลประโยชนส์ ่วนรวม ขดั กนั เจา้ หน้าท่ีของรัฐมหี นา้ ทร่ี ักษาผลประโยชน์ สว่ นรวม การปฏบิ ัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่จึงต้องไมม่ ผี ลประโยชนส์ ่วนตัวเข้ามาเกยี่ วขอ้ ง 1. การใชต้ าแหน่งไปดาเนนิ การเพือ่ ประโยชน์ทางธรุ กจิ ของตนเองโดยตรง 2. ใช้ตาแหนง่ ไปช่วยเหลือญาติสนทิ มติ รสหาย 3. การรับผลประโยชนโ์ ดยตรง 4. การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์โดยใชต้ าแหนง่ หน้าที่การงาน 5. การนาทรพั ยส์ นิ ของหนว่ ยงานไปใชส้ ่วนตวั 6. การนาขอ้ มลู อนั เป็นความลบั ของหนว่ ยงานมาใช้ประโยชนส์ ว่ นตวั 7. การทางานอีกแหง่ หน่ึงทีข่ ัดแยง้ กบั แห่งเดมิ 8. ผลประโยชน์ทบั ซอ้ นจากการเปลย่ี นสถานท่ีทางาน 9. การปดิ บงั ความผดิ หนา้ 23
ชุดหลกั สูตรตา้ นทุจริตศึกษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ใบงานที่ 6 เร่ือง ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interests) คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนตอบคาถามดงั ต่อไปน้ี 1. ผลประโยชนท์ ับซอ้ น หมายความวา่ อยา่ งไร .................................................................................................................................................................. ............ ....................................................................................................................... ....................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................................ ...................... ............................................................................................................. ................................................................. 2. การคอร์รัปชันเชงิ นโยบาย” (Policy Corruption) หมายความว่าอยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................... ............................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ใหน้ กั เรียนยกตัวอยา่ งสาเหตุการเกดิ ผลประโยชนท์ บั ซ้อนในระดบั ประเทศและวธิ แี กป้ ัญหา .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................... ............................................... .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ....................................................................................................................................................................... ...... หนา้ 24
ชดุ หลักสตู รตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 ใบความรู้ท่ี 7 เรือ่ ง รปู แบบของผลประโยชน์ทบั ซ้อน ผลประโยชนท์ บั ซ้อนรวมถงึ ผลประโยชน์อ่นื ๆ ท่ีไม่ใช่ในรูปตวั เงินหรือทรพั ยส์ นิ มลี ักษณะ ๗ ประการ ดังนี้ ๑. หาผลประโยชน์ให้ตนเอง คือ การใช้อานาจหน้าที่เพ่ือตนเอง เช่น ข้าราชการใช้อานาจ หนา้ ทใี่ หบ้ รษิ ัทตัวเองไดง้ านรบั เหมาจากรัฐหรอื ฝากลูกหลานเขา้ ทางาน เป็นตน้ ๒. รับผลประโยชน์ คือ การรับสินบนหรือรบั ของขวญั เช่น เป็นเจ้าพนกั งานสรรพากรแล้วรับ เงนิ จากผมู้ าเสียภาษีหรอื เป็นเจา้ หน้าทีจ่ ดั ซื้อแล้วรบั ไม้กอล์ฟเป็นของกานัลจากรา้ นคา้ เปน็ ต้น ๓. ใชอ้ ิทธิพลเปน็ การเรียกผลตอบแทนในการใช้อิทธิพลในตาแหน่งหน้าที่ส่งผลท่ีเป็นคุณแก่ ฝาุ ยใดฝาุ ยหนง่ึ อย่างไม่เป็นธรรม ๔. ใช้ทรัพย์สินของทางราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตน เช่น การใช้รถยนต์ หรือคอมพิวเตอร์ ราชการทางานสว่ นตัว เปน็ ตน้ ๕. ใช้ข้อมูลลับของทางราชการ เช่น รู้ว่าราชการจะตัดถนนจึงรีบไปซื้อที่ดินในบริเวณ ดังกลา่ วดักหนา้ ไว้ก่อน เปน็ ต้น ๖. รับงานนอก ได้แก่ การเปิดบริษัททาธุรกิจซ้อนกับหน่วยงานที่ตนเองทางานอยู่ เช่น เป็นนกั บัญชีแต่รับงานสว่ นตัวจนไม่มเี วลาทางานบญั ชใี นหน้าทใ่ี หก้ ับหนว่ ยงาน เป็นต้น ๗. ทางานหลังออกจากตาแหน่ง คือการไปทางานให้กับผู้อ่ืนหลังออกจากที่ทาทางานเดิม โดยใช้ความรู้หรืออิทธิพลจากที่เดิมมาชิงงาน หรือเอาประโยชน์โดยไม่เป็นธรรม เช่น เอาความรู้ในนโยบาย และแผนของธนาคารประเทศไทยไปชว่ ยธนาคารเอกชนอน่ื ๆ หลงั จากเกษียณ เป็นตน้ หลักสาคัญของการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน 1. ชุมชนคาดหวังให้เจ้าหน้าท่ีปฏิบัติงานอย่างเป็นธรรม โดยให้ผลประโยชน์ของ สาธารณะมีความสาคัญในอันดับต้น 2. ความซอื่ ตรงต่อหนา้ ที่ของเจา้ หน้าทยี่ งั เป็นรากฐานของหลักนติ ธิ รรม (ประชาชนทกุ คน เสมอภาคภายใต้กฎหมาย และต้องไดร้ บั การปฏิบัติอยา่ งเป็นธรรม) หนา้ 25
ชุดหลกั สูตรตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ใบงานที่ 7 เร่อื ง รูปแบบของผลประโยชน์ทบั ซ้อน คาช้ีแจง ให้นักเรียนเขียนผังความคิด (Mind Map) รปู แบบของผลประโยชน์ทบั ซอ้ น หนา้ 26
ชดุ หลักสตู รต้านทุจรติ ศกึ ษา ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 ใบความรทู้ ี่ 8 เรื่อง แนวทางการป้องกันผลประโยชนท์ ับซ้อน แนวทางการป้องกันผลประโยชนท์ บั ซอ้ น ผลประโยชน์ทับซ้อนหรือความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of Interests : COI) เป็นประเด็นปัญหาทางการบริหารภาครัฐในปัจจุบันท่ีเป็นบ่อเกิดของปัญหา การทจุ ริตประพฤติมชิ อบในระดบั ท่รี นุ แรงขน้ึ และยังสะท้อนปญั หาการขาดหลักธรรมาภิบาลและ เป็นอุปสรรค ตอ่ การพฒั นาประเทศ ประมวลจริยธรรมในการปูองกันหาผลประโยชนท์ ับซอ้ นในการปฏิบตั ิราชการหลายประการดังปรากฏ ในประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองท้องถิ่นฝุายบริหาร พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้กาหนดมาตรฐานจริยธรรม หมวด ๒ มาตรฐานจริยธรรม ส่วนที่ ๑ มาตรฐานจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก ข้อ ๕ ประมวลจริยธรรมของ ขา้ ราชการการเมืองท้องถ่ินฝุายสภาท้องถนิ่ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้กาหนดมาตรฐานจริยธรรม หมวด ๒ มาตรฐาน จริยธรรม ส่วนที่ ๑ มาตรฐานจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก ข้อ ๕ และประมวลจริยธรรมของข้าราชการ องค์การบริหารส่วนตาบลตะเคียนได้กาหนดมาตรฐานทางจริยธรรมของข้าราชการ หมวด ๒ มาตรฐาน จรยิ ธรรม ส่วนท่ี ๑ มาตรฐานจรยิ ธรรมอนั เปน็ คา่ นยิ มหลกั ขอ้ ๓ การบรหิ ารผลประโยชน์ทบั ซ้อน หลักสาคญั ของการจดั การผลประโยชน์ทบั ซอ้ นมี ดงั นี้ • ชุมชนคาดหวังให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอย่างเป็นธรรมโดยให้ผลประโยชน์สาธารณะ มคี วามสาคญั อันดับตน้ • ความซื่อตรงต่อหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ยังเป็นรากฐานของหลักนิติธรรม (ประชาชนทุกคน เสมอภาคภายใตก้ ฎหมายและตอ้ งไดร้ บั การปฏิบัติทเี่ ป็นธรรม) • ถ้าไม่จัดการผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างมีประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ก็จะละเลยประโยชน์ สาธารณะและให้ความสาคัญกับประโยชน์ส่วนตนหรือของคนบางกลุ่มแทนซ่ึงจะมีผลต่อการปฏิบัติงานและ อาจนาไปสู่การประพฤติมิชอบในทส่ี ุด • ผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ได้ผิดในตัวมันเองเนื่องจากเจ้าหน้าที่ก็มีชีวิตส่วนตนมีบางคร้ังท่ี ผลประโยชนส์ ่วนตนจะมาขดั แยง้ กับการทาหนา้ ที่แต่ประเดน็ คือต้องเปดิ เผยผลประโยชนท์ บั ซ้อนท่ีมี • หน่วยงานภาครัฐต้องจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างโปร่งใสและพร้อมรับผิดชอบ มฉิ ะนนั้ จะบั่นทอนความเชอื่ ม่ันของประชาชนต่อการปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีของหน่วยงาน • ปัจจุบันขอบเขตของผลประโยชน์ทับซ้อนขยายมากกว่าเดิม เนื่องจากมีการร่วมมือ ระหวา่ งภาครัฐและเอกชนรวมถงึ ระหวา่ งหน่วยงานภาครฐั ทาใหม้ ีความสมั พันธซ์ บั ซ้อน / ซ้อนทบั มากข้ึน • หน่วยงานควรตระหนักว่าผลประโยชน์ทับซ้อนจะเกิดข้ึนในการทางานและต้องพัฒนา วฒั นธรรมองคก์ รท่ีสง่ เสรมิ การระบุและเปดิ เผยผลประโยชน์ทับซ้อน • หนว่ ยงานต้องขจดั ความเขา้ ใจผดิ ที่วา่ ผลประโยชนท์ บั ซ้อนเป็นเรอ่ื งผดิ ในตัวมันเอง มิฉะนั้น คนก็จะพยายามปกปิด • ผลประโยชน์ทับซ้อนจะเป็นสิ่งผิดก็ต่อเมื่อมีอิทธิพลต่อการทางานหรือการตัดสินใจกรณีนี้ เรียกวา่ มกี ารใชห้ นา้ ท่ีในทางมิชอบหรือแม้แต่การฉ้อราษฎร์บงั หลวง หนา้ 27
ชุดหลกั สตู รต้านทุจริตศกึ ษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 • การจดั การผลประโยชนท์ ับซอ้ นสร้างประโยชน์มากมายแกห่ นว่ ยงานเนือ่ งจาก - ลดการทุจรติ ประพฤตมิ ชิ อบ - สามารถแกข้ อ้ กล่าวหาเรื่องความลาเอียงได้งา่ ย - แสดงความยดึ ม่ันในหลักธรรมมาภบิ าล - ประชาชนเชือ่ มัน่ วา่ หนว่ ยงานปฏิบัติหน้าท่ีอยา่ งเป็นธรรมและไม่มีผลประโยชน์ แอบแฝง ผลประโยชนท์ ับซอ้ นมี ๓ ประเภท คอื 1. ผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดขึ้นจริง (actual) มีความทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ สาธารณะเกดิ ขน้ึ 2. ผลประโยชน์ทับซ้อนที่เห็น (perceived & apparent) เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนท่ีคนเห็นว่ามี แต่จริงๆ อาจไม่มีก็ได้ถ้าจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนประเภทน้ีอย่างขาดประสิทธิภาพก็อาจนามาซ่ึงผลเสีย ไม่น้อยกว่าการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดข้ึนจริงข้อนี้แสดงว่าเจ้าหน้าที่ไม่เพียงแต่จะต้องประพฤติตน อย่างมีจรยิ ธรรมเท่าน้ันแต่ตอ้ งทาให้คนอ่ืนๆ รบั รแู้ ละเหน็ ดว้ ยว่าไม่ไดร้ ับประโยชน์เชน่ นน้ั จริง 3. ผลประโยชน์ทบั ซอ้ นท่ีเป็นไปได้ (potential) ผลประโยชน์ส่วนตนท่ีมีในปัจจุบันอาจจะทับซ้อน กับผลประโยชนส์ าธารณะไดใ้ นอนาคต หน้าทีท่ บั ซ้อน (Conflict of duty) หรอื ผลประโยชน์เบียดซอ้ นกนั (Competing interests) มี ๒ ประเภท ประเภทแรก เกิดจากการท่ีเจ้าหน้าท่ีมีบทบาทหน้าที่มากกว่าหนึ่ง เช่น เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน และเป็นคณะกรรมการด้านระเบียบวินัยประจาหน่วยงานด้วย ปัญหาจะเกิดเมื่อไม่สามารถแยกแยะบทบาท หน้าที่ท้ังสองออกจากกันได้ อาจทาให้ทางานไม่มีประสิทธิภาพหรือแม้กระทั่งเกิดความผิดพลาดหรือผิด กฎหมาย ปกติหนว่ ยงานมักมีกลไกปูองกันปัญหาน้โี ดยแยกแยะบทบาทหน้าที่ต่างๆ ให้ชัดเจน แต่ก็ยังมีปัญหา ไดโ้ ดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในหน่วยงานท่ีมีกาลังคนน้อย หรือมีเจ้าหน้าท่ีบางคนเท่าน้ันท่ีสามารถทางานบางอย่างท่ี คนอ่ืนๆ ทาไมไ่ ด้ คนส่วนใหญไ่ มค่ ่อยหว่ งปัญหานก้ี นั เพราะดูเหมือนไม่มีเรื่องผลประโยชนส์ ว่ นตนมาเกยี่ วข้อง ประเภทท่ีสอง เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่มีบทบาทหน้าที่มากกว่าหน่ึงบทบาท และการทาบทบาท หน้าทใ่ี นหน่วยงานหน่งึ น้นั ทาให้ได้ขอ้ มูลภายในบางอย่างที่อาจนามาใช้เป็นประโยชน์แก่การทาบทบาทหน้าที่ ใหแ้ ก่อกี หน่วยงานหน่ึงได้ ผลเสยี คือถา้ นาข้อมูลมาใช้กอ็ าจเกิดการประพฤติมิชอบหรือความลาเอียง /อคติต่อ คนบางกลุ่ม ควรถือว่าหน้าท่ีทับซ้อนเป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยเพราะว่ามีหลักการจัดการแบบ เดียวกัน น่ันคือการตัดสินใจทาหน้าที่ต้องเป็นกลางและกลไกการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนก็สามารถนามา จดั การกับหน้าทที่ ับซ้อนได้ หลักการสาหรบั การจดั การผลประโยชน์ทบั ซ้อน • ปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ การทาเพ่ือผลประโยชน์ของสาธารณะเป็นหน้าท่ีหลัก เจ้าหน้าท่ีต้องตัดสินใจและให้คาแนะนาภายในกรอบกฎหมาย และนโยบายจะต้องทางานในขอบเขตหน้าท่ี พิจารณาความถูกผิดไปตามเนื้อผ้าไม่ให้ผลประโยชน์ส่วนตนมาแทรกแซงรวมถึงความเห็นหรือทัศนคติ ส่วนบุคคลปฏิบัติต่อแต่ละบุคคลอย่างเป็นกลาง ไม่มีอคติลาเอียงด้วย เรื่อง ศาสนาอาชีพจุดยืนทางการเมือง เผ่าพันธุ์วงศต์ ระกูล ทัง้ นีเ้ จ้าหนา้ ทีไ่ มเ่ พยี งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายเทา่ นน้ั แต่ต้องมจี ริยธรรมด้วย • สนับสนุนความโปร่งใสและพร้อมรับผิด การจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนต้องอาศัย กระบวนการแสวงหาเปิดเผยและจัดการที่โปร่งใส น่ันคือเปิดโอกาสให้ตรวจสอบและมีความพร้อมรับผิด มวี ิธกี ารต่างๆ เช่น จดทะเบียนผลประโยชนโ์ ยกย้ายเจ้าหน้าท่ีจากตาแหน่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อน หนา้ 28
ชดุ หลักสูตรตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 การเปิดเผยผลประโยชน์ส่วนตน หรือความสัมพันธ์ท่ีอาจมีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ถือเป็นข้ันตอนแรกของการ จัดการผลประโยชน์ทับซ้อนการใช้กระบวนการอย่างเปิดเผยทั่วหน้าจะทาให้เจ้าหน้าท่ีร่วมมือ และ สร้าง ความเช่ือมนั่ แกป่ ระชาชนผ้รู ับบริการและผมู้ ีสว่ นไดเ้ สยี • ส่งเสริมความรับผิดชอบส่วนบุคคลและปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง การแก้ปัญหาหรือ จัดการผลประโยชน์ทับซ้อนจะสะท้อนถึงความยึดหลักคุณธรรมและความเป็นมืออาชี พของเจ้าหน้าท่ีและ องคก์ รการจัดการต้องอาศยั ขอ้ มูลนาเข้าจากทุกระดับในองค์กรฝุายบริหารต้องรับผิดชอบเร่ืองการสร้างระบบ แ ล ะ น โ ย บ า ย แ ล ะ เ จ้ า ห น้ า ที่ ก็ มี ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ ต้ อ ง ร ะ บุ ผ ล ป ร ะ โ ย ช น์ ทั บ ซ้ อ น ที่ ต น มี เ จ้ า ห น้ า ที่ ต้องจัดการกับเรื่องส่วนตนเพื่อหลีกเล่ียงผลประโยชน์ทับซ้อนมากที่สุดเท่าท่ีทาได้ และผู้บริหารก็ต้องเป็น แบบอย่างด้วย • สร้างวัฒนธรรมองค์กร ผู้บริหารต้องสร้างสภาพแวดล้อมเชิงนโยบายที่ช่วยสนับสนุน การตัดสินใจในเวลาที่มีประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดข้ึน และการสร้างวัฒนธรรมแห่งความซื่อตรง ตอ่ หน้าทซี่ ึง่ ต้องอาศัยวธิ กี ารดงั นี้ - ให้ข้อแนะนาและการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อส่งเสริมความเข้าใจเก่ียวกับกฎเกณฑ์และ การปฏบิ ัติรวมถงึ การใชก้ ฎเกณฑ์ทีม่ ใี นสภาพแวดลอ้ มการทางาน - สง่ เสรมิ ให้มีการสื่อสารอย่างเปิดเผยและมีการเสวนาแลกเปล่ียน เพ่ือให้เจ้าหน้าท่ีสบายใจ ในการเปดิ เผยและหารอื เกี่ยวกับผลประโยชน์ทบั ซอ้ นในทที่ างาน - ปูองกันไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนท่ีเจ้าหน้าที่เปิดเผย เพ่ือมิให้มีผู้นาไปใช้ ในทางทผ่ี ดิ - ให้เจ้าหน้าท่ีมีส่วนร่วมในการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายและกระบวนการจัดการ ผลประโยชนท์ ับซอ้ น เพอื่ ให้รู้สึกเป็นเจ้าของและปฏิบัติตามในเวลาเดียวกันก็ต้องสร้างระบบโดยการพัฒนาใน เรอ่ื งต่อไปนี้ - มาตรฐานในการสง่ เสริมความซ่อื ตรงต่อหนา้ ทโ่ี ดยรวมไวใ้ นข้อกาหนดทางจรยิ ธรรม - กระบวนการระบุความเสีย่ งและจดั การผลประโยชนท์ บั ซอ้ น - กลไกความพรอ้ มรับผดิ ท้ังภายในและภายนอก - วิธกี ารจดั การ (รวมถงึ การลงโทษ) ที่ทาให้เจ้าหน้าท่ีถือว่าเป็นความรับผิดชอบของตนเองที่ จะตอ้ งทาตามกฎระเบียบและมาตรฐาน แนวทางการจัดการผลประโยชน์ทับซอ้ น • กรอบการทางาน เป็นวิธีการกว้างๆ ไม่จากัดอยู่กับรายละเอียดข้อกฎหมายที่เก่ียวข้อง สามารถนาไปพัฒนาเป็นรูปแบบการจัดการตามบริบทขององค์กรและกฎหมายได้มี ๖ ขั้นตอนสาหรับ การพัฒนาและการปฏิบัตติ ามนโยบายการจดั การผลประโยชนท์ บั ซอ้ น ๑) ระบวุ ่ามีผลประโยชนท์ ับซ้อนแบบใดบา้ งท่มี กั เกิดขนึ้ ในองค์กร ๒) พัฒนานโยบายท่ีเหมาะสมรวมถงึ กลยุทธก์ ารจัดการและแก้ไขปัญหา ๓) ให้การศึกษาแก่เจ้าหน้าที่และผู้บริหารระดับต่างๆ รวมถึงเผยแพร่นโยบายการจัดการ ผลประโยชนท์ ับซ้อนให้ท่วั ถงึ ในองค์กร ๔) ดาเนนิ การเป็นแบบอยา่ ง ๕) สอื่ สารใหผ้ ู้มสี ่วนได้ เสีย ผรู้ ับบริการ ผสู้ นับสนนุ องค์กร และชุมชนทราบถงึ ความมุ่งม่ันใน การจดั การผลประโยชน์ทับซ้อน หนา้ 29
ชดุ หลักสตู รต้านทุจรติ ศึกษา ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 ๖) บงั คบั ใชน้ โยบายและทบทวนนโยบายสม่าเสมอ • รายละเอยี ดแตล่ ะข้ันตอน ๑) การระบุผลประโยชนท์ ับซอ้ น - ข้ันตอนแรกน้ี คือ การระบุว่าในการทางานของหน่วยงานมีจุดใดบ้างท่ีเสี่ยงต่อการเกิด ผลประโยชน์ทับซ้อนและผลประโยชนท์ บั ซ้อนทจ่ี ะเกดิ ข้นึ ได้นั้นมปี ระเภทใดบ้าง - เปูาหมายสาคัญ คือ องค์กรต้องรู้ว่าอะไรคือผลประโยชน์ทับซ้อนท่ีเป็นไปได้ เพ่ือปูองกัน ไม่ใหเ้ กดิ ผลประโยชนท์ ับซ้อนทเ่ี กดิ ขนึ้ จริงและท่ีเหน็ - การมสี ่วนร่วมของเจ้าหนา้ ทม่ี ีส่วนสาคัญ เพราะจะทาให้ระบุจุดเส่ียงได้ครอบคลุมและ ทา ให้เจ้าหนา้ ท่ีรสู้ กึ เปน็ เจา้ ของและร่วมมอื กับนโยบาย - ตัวอย่างของผลประโยชน์ส่วนตน เช่น ผลประโยชน์ทางการเงิน / เศรษฐกิจ (เช่น หนี้) ธุรกิจส่วนตัว / ครอบครัวความสัมพันธ์ส่วนตัว (ครอบครัว ชุมชน ชาติพันธุ์ ศาสนา ฯลฯ) ความสัมพันธ์กับ องค์กรอ่ืน (เอ็นจีโอ สหภาพการค้า พรรคการเมือง ฯลฯ) การทางานเสริมความเป็นอริ / การแข่งขันกับคนอื่น / กลุ่มอน่ื - ตัวอย่างของจดุ เสี่ยง เช่น การปฏิสมั พันธ์กบั ภาคเอกชนการทาสญั ญาจดั ซอ้ื จดั จ้าง การ ตรวจตราเพ่ือควบคุมคุณภาพมาตรฐานของการทางานหรืออุปกรณ์ในภาคธุรกิจการออกใบอนุญาต การ ใหบ้ รกิ ารท่ีอุปสงค์มากกว่าอุปทาน การกระจายงบราชการ การปรับการลงโทษการให้เงิน / สิ่งของสนับสนุน ช่วยเหลือผู้เดือดร้อน การตัดสินข้อพิพาท ฯลฯ ท้ังน้ีรวมถึงงานที่สาธารณะหรือส่ือมวลชน ใหค้ วามสนใจเป็นพเิ ศษ - การระบผุ ลประโยชน์ทับซ้อนน้ีต้องพิจารณานิยาม และข้อกาหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๒) พฒั นากลยทุ ธแ์ ละตอบสนองอยา่ งเหมาะสม - องค์ประกอบประการหนึ่งในการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน คือ ความตระหนักของ ผบู้ รหิ าร และเจา้ หน้าทเ่ี ก่ียวกับวธิ ีการจดั การผลประโยชน์ทับซ้อนรวมถึงความรับผิดชอบของแต่ละคน ดังนั้น กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดการต้องแยกให้ชัดระหว่างความรับผิดชอบขององค์กร และความรับผิดชอบของ สมาชิกในองคก์ ร และยังต้องทาให้ผบู้ รหิ าร และเจา้ หนา้ ที่สามารถ - รไู้ ดว้ า่ เมอ่ื ใดมผี ลประโยชนท์ บั ซ้อนเกิดขน้ึ และในแบบใด (แบบเกิดขึ้นจริง แบบท่ีเห็นหรือ แบบเป็นไปได้) - เปิดเผยผลประโยชนท์ ับซ้อน และบนั ทกึ กลยุทธต์ ่างๆ ทใี่ ชเ้ พือ่ การจัดการ - ติดตามประสิทธิภาพของกลยุทธท์ ่ีใช้ ๓) ให้ความรแู้ ก่เจ้าหน้าท่ี และหัวหนา้ งานระดบั สงู - เพื่อให้การจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนมีประสิทธิภาพต้องมีการให้ความรู้อย่างต่อเน่ือง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ในองค์กรเอกชนที่มาทาสัญญา อาสาสมัครหัวหน้างานระดับสูง และกรรมการบริหาร การให้ ความรู้จะเริ่มต้ังแต่การปฐมนิเทศ และมีอย่างต่อเนื่องในระหว่างทางาน เจ้าหน้าที่ทุกคนควรสามารถเข้าถึง นโยบาย และข้อมูลที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถระบุ และเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนส่วนตัวผู้บริหารเอง กต็ อ้ งรวู้ ธิ ีจดั การผลประโยชนท์ บั ซ้อน - ข้ันตอนแรกของการให้ความรู้ คือ สร้างความเข้าใจว่าอะไรคือผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์ทับซ้อนใดเกดิ ขึ้นบอ่ ยในองคก์ ร อะไรคือจดุ เสยี่ งที่ระบุในนโยบาย รวมถึงความแตกต่างของความ รับผิดชอบในการปฏิบัติตามนโยบายของผู้มีตาแหน่งหน้าท่ีต่างกันควรให้เอกสารบรรยายพร้อมตัวอย่างท่ี หนา้ 30
ชดุ หลักสูตรตา้ นทุจริตศกึ ษา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ชัดเจนสาหรับการระบุ และจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเน้นตรงที่เป็นจุดเส่ียงมากๆ เช่น การติดต่อ การ ร่วมทางานกับภาคเอกชน การแลกเปล่ียนบุคลากรกับภาคเอกชน การแปรรูป การลดขั้นตอน และกระจาย อานาจความสมั พันธก์ ับเอน็ จีโอ และกจิ กรรมทางการเมือง เปน็ ตน้ - นอกจากการให้ความรู้แล้วความตื่นตัว และเอาใจใส่ของผู้บริหารรวมถึงกลยุทธ์ การจัดการทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพจะมีส่วนอย่างสาคญั ในการช่วยให้เจ้าหนา้ ทป่ี ฏิบัติตามการสร้างความตื่นตัว และ ความเอาใจใสจ่ ะชว่ ยในการแสวงหาจดุ เสยี่ ง และพฒั นาวิธกี ารปูองกันปญั หาทจี่ ะเกิดขึ้นต่อไป ๔) ดาเนนิ การเป็นแบบอยา่ ง - การจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนท่ีมีประสิทธิภาพจาเป็นต้องอาศัยความทุ่มเทของผู้ที่อยู่ใน ตาแหน่งระดับบริหารซ่ึงต้องแสดงภาวะผู้นาสนับสนุนนโยบาย และกระบวนการอย่างแข็งขันสนับสนุนให้ เจ้าหน้าที่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อน และให้ความช่วยเหลือแก้ไขผู้บริหารมีความสาคัญเน่ืองจากเจ้าหน้าท่ี มักจะคานึงถงึ สิ่งทผ่ี ้บู รหิ ารให้ความสนใจ - ผูบ้ รหิ ารตอ้ ง (๑) พิจารณาวา่ มขี ้อมลู เพียงพอท่ีจะชวี้ า่ หน่วยงานมปี ัญหาผลประโยชน์ทบั ซอ้ นหรือไม่ (๒) ช่ังน้าหนักประโยชน์ขององค์กร ประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์สาธารณะ และ พิจารณาว่าอะไรคือวิธีท่ีดีที่สดุ ในการจดั การหรือแก้ไขผลประโยชน์ทบั ซ้อน และ (๓) พิจารณาปัจจัยอื่นๆ รวมถึงระดับ และลักษณะของตาแหน่งหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ ทเ่ี กี่ยวข้องรวมถึงลกั ษณะของผลประโยชน์ทับซ้อน ๕) สอ่ื สารกบั ผูม้ สี ว่ นได้เสีย - ประเด็นสาคัญ คือ ภาพลักษณ์ขององค์กรในการรับรู้ของผู้มีส่วนได้เสียเนื่องจากไม่ว่าจะ สามารถจัดการกับผลประโยชน์ทับซ้อนได้ดีเพียงใดถ้าผู้มีส่วนได้เสียรับรู้เป็นตรงกันข้ามผลเสียท่ีเกิดขึ้น ก็เลวรา้ ยไมแ่ พ้กัน - การทางานกบั องคก์ รภายนอกไมว่ า่ เป็นเอน็ จโี อ หรือภาคธรุ กิจ องค์กรต้องระบุจุดเส่ียงของ ผลประโยชน์ทับซ้อนก่อน และพัฒนาวิธีปูองกัน ไม่ว่าเป็นเรื่องข้อมูลภายใน หรือโอกาสการใช้อานาจหน้าที่ เพื่อผลประโยชน์ และต้องแจ้งแก่องค์กรภายนอกให้ทราบนโยบายการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนและผลที่ ตามมาหากไม่ปฏิบัติตามนโยบาย เช่น ยกเลิกสัญญา หรือดาเนินการตามกฎหมายบางองค์กรภาครัฐ จะอาศัยจริยธรรมธุรกิจเพื่อส่ือสารเก่ียวกับหน้าท่ี และความพร้อมรับผิดท่ีผู้ทาธุรกิจมีกับหุ้นส่วน และผู้ทา สญั ญาด้วย - นอกจากน้คี วรส่อื สารแบบสองทางกบั องคก์ รภายนอก อาจใช้วิธีต่างๆ เช่น ให้มีส่วนร่วมใน การระบุจุดเสี่ยง และร่วมกันพัฒนากลไกปูองกันแก้ไขปัญหา ขอรับฟังความเห็นต่อร่างนโยบายการจัดการ ผลประโยชน์ทับซอ้ น ร่วมทบทวน และปรบั ปรุงกลไกการแสวงหา และแก้ไขผลประโยชน์ทับซ้อนวิธีเหล่านี้จะ ทาให้ได้นโยบายท่ีสอดคล้องความคาดหวังสาธารณะ และได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้เสีย ท้ังนี้ ในการร่วมกันจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้มีส่วนได้เสียน้ี องค์กรภาครัฐต้องทาให้การตัดสินใจทุกขั้นตอน โปร่งใส และตรวจสอบได้ ๖) การบงั คบั ใชแ้ ละทบทวนนโยบาย - ระบบจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนต้องได้รับการทบทวนประสิทธิภาพสม่าเสมอ โดยสอบถามข้อมูลจากผู้ใช้ระบบ และผู้มีส่วนได้เสียอ่ืนๆ เพื่อให้ระบบใช้ได้จริง และตอบสนองต่อสภาพ การทางานรวมถึงสภาพสังคม เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ และความร่วมมือ หนา้ 31
ชดุ หลักสตู รตา้ นทุจรติ ศึกษา ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 2 นอกจากนี้ยังอาจเรียนรู้จากองค์กรอื่นๆ การแสวงหาการเรียนรู้เช่นนี้ยังเป็นการส่ือสารว่าองค์กร มีความมุ่งมั่นในการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนอีกด้วย การทบทวนควรครอบคลุมจุดเสี่ยง และมาตรการ และผลการทบทวนหรือมีการเปลี่ยนแปลงต้องสื่อสารให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติให้เข้าใจ และปรับเปล่ียน การทางานให้สอดคล้องกัน โดยอาจพัฒนาระบบสนับสนุนเพ่ือช่วยพัฒนาทักษะและการให้คาปรึกษาแก่ เจ้าหน้าที่การเปดิ เผย และรายงานขอ้ สงสัยเก่ียวกับการประพฤติมิชอบ และการบริหารที่บกพร่อง / อคติของ ภาครฐั เป็นรากฐานของความถูกตอ้ งเป็นธรรม (integrity) และการยดึ ม่ัน ยืนหยดั ทาในสง่ิ ทถี่ กู ต้อง หนา้ 32
ชดุ หลักสูตรตา้ นทุจริตศกึ ษา ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 ใบงานท่ี 8 เรือ่ ง แนวทางการป้องกันผลประโยชนท์ บั ซอ้ น 1. หลักสาคญั ของการจัดการผลประโยชนท์ บั ซ้อนมีอะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. เหตใุ ดการจัดการผลประโยชน์ทบั ซอ้ นจงึ สร้างประโยชน์มากมายแก่หนว่ ยงาน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. จงอธบิ ายหลกั การสาหรับการจดั การผลประโยชนท์ ับซ้อน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ให้นกั เรียนเขียนแนวทางการปอู งกันการทุจรติ การหาผลประโยชนท์ บั ซ้อนในระดบั ประเทศ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… หนา้ 33
ชดุ หลกั สูตรต้านทุจริตศึกษา ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 หน่วยท่ี ๒ ความละอายและความไม่ทนต่อทุจริต หนา้ 34
ชุดหลักสตู รต้านทุจรติ ศกึ ษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ใบความรทู้ ่ี 9 \"รบั จา้ งทาการบา้ น\" ท่มี า นรินทร์ ใจหวงั https://www.posttoday.com/politic/report/314133 \"รับจา้ งทาการบ้าน\" กลายเป็นหนึง่ ในประเดน็ ทมี่ กี ารวิพากษ์วิจารณ์ในเครือข่ายสงั คมออนไลน์อยา่ ง คึกคักในชว่ งน้ี หลังจากท่ี \"จกั รกฤต โยมพยอม\" หรอื \"ครูทอม\" ติวเตอร์ภาษาไทยช่ือดงั ไดน้ าภาพโฆษณา ของผู้ประกาศรบั จ้างทาการบ้านรายหนงึ่ ทอ่ี าศัยชอ่ งทางทั้ง อนิ สตาแกรม และ ไลน์ ในการหาลกู คา้ มา เผยแพรผ่ า่ นเฟซบุ๊กส่วนตัวพร้อมแสดงความเป็นห่วงถงึ ผลกระทบทีจ่ ะเกิดจากขึ้นจากธุรกจิ ต่อตวั นกั เรยี น และ การศึกษาของไทย ขอ้ มลู ของครูทอมถูกสมาชกิ เครือข่ายสงั คมออนไลน์สง่ ต่ออย่างกวา้ งขวาง กระทั่งลา่ สดุ กระทรวงศึกษาธกิ าร ได้สง่ั ให้หน่วยงานที่เก่ยี วข้องเข้าไปตรวจสอบเรื่องดงั กล่าวและพิจารณาวา่ เข้าขา่ ย ความผิดตามข้อกฎหมายหรอื ไม่ “มีรีวิวจากลูกคา้ วา่ งานดอี ย่างโน่นอย่างนี้ เหมือนกับขายเครอื่ งสาอางละ่ ครบั ”จักรกฤตกล่าวถงึ ธรุ กจิ รับทาการบา้ นที่ได้พบในอนิ สตาแกรม เขาระบุวา่ หลงั จากพบวา่ มผี ู้ประกาศรบั จา้ งทาการบา้ นผ่าน อินสตาแกรม ก็ได้เขา้ ไปพดู คยุ กับเจา้ ของอินสตา แกรมนนั้ เพราะมองวา่ เรื่องดังกลา่ วเป็นการทาร้ายนักเรียน แตก่ ไ็ มไ่ ด้รับการสนใจจากเจ้าของอินสตาแกรม แถมยงั เปลย่ี นชอื่ และลบภาพบางส่วนออกไปแล้ว แตก่ ย็ ังประกาศรบั จา้ งทาการบา้ นอยู่ รวมทั้งเป็นท่ีน่าตกใจ ว่า ยอดตดิ ตามอนิ สตาแกรมนเ้ี พ่ิมข้ึนเรื่อยๆ ในทางกลับกัน เขาตั้งคาถามดังๆว่า สิ่งเหล่านสี้ ามารถสะท้อนไดห้ รือไมว่ า่ นกั เรียนไทยในปจั จบุ ันมี การบ้านมากเกินไป จนนักเรียนทาไม่ไหวจนต้องเลือกทางออกผิดๆ โดยการจ้างทาการบา้ น “ตอ้ งยอมรบั วา่ มีครูบางท่าน บางโรงเรยี นให้การบ้านเยอะเกินความจาเป็น เด็กหลายคนไมอ่ ยากทา หรอื อาจคดิ วา่ ตวั ไมเ่ ก่งแลว้ ไปจ้างคนอ่ืนทา เลยยง่ิ ไม่พฒั นาตวั เองเขา้ ไปอีก” แม้การรบั จ้างทาการบา้ นเร่อื งทีถ่ กู ตาหนจิ ากสงั คม แตค่ ุณครหู น่มุ มองว่ายังมปี ระเดน็ อืน่ มากกวา่ นั้น และ จาเป็นอย่างย่งิ ทีส่ งั คมต้องนามาคิดต่อ เช่นเรอ่ื งการใหก้ ารบ้านทม่ี ากเกนิ ไป “เด็กบางคนกท็ าไหว บางสว่ นไมอ่ ยากทา เราตอ้ งมองกลับไปว่าครสู อนเขา้ ใจหรือไม่ ครดู ุไป หรอื ไม่ ปัญหาในแต่ละโรงเรียนเกิดจากอะไร เดก็ บางคนต้องทางานช่วยบ้านไม่มีเวลาจนต้องจา้ งทา การบา้ น หรือเด็กบางคนไดค้ า่ ขนมมากหน่อยกเ็ อาไปจา้ งเขาทาการบา้ น หรอื กรณที เ่ี ลวร้ายมากคือ ถา้ พอ่ แม่รู้ สนับสนนุ ให้เดก็ ทาล่ะ อาจเปน็ เพราะผู้ปกครองไม่มเี วลาช่วยติว แนะแนวทางลูก บางครอบครัวท่ไี ม่ มตี รงน้ีกอ็ าจจะเอาเงินใหล้ ูก ไปจา้ งคนอ่นื ทา หรืออกี อย่างคือพ่อแมพ่ ยายามช่วยแล้วกช็ ่วยไมไ่ ด้ เพราะ เนื้อหาปัจจบุ นั ยากเกินกว่าพ่อแมจ่ ะช่วยเหลอื ลกู ตวั เองได้” หนา้ 35
ชดุ หลักสูตรต้านทุจรติ ศึกษา ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ครทู อม ยอมรับว่า ถึงแมจ้ ะไมไ่ ดเ้ ปน็ ครใู นระบบ แตก่ ็เช่อื ว่าการบ้านเปน็ ส่งิ สาคัญสาหรบั การศกึ ษา ของเด็ก รวมทง้ั มองว่า นักเรียนควรฝึกฝนทาด้วยตวั เอง แต่ครูจาเปน็ ตอ้ งทาใหเ้ ด็กเห็นประโยชน์ของการบา้ น นั้นๆ ดว้ ย “อยา่ งวชิ าภาษาไทย เดก็ หลายคนเขามองไมเ่ หน็ ประโยชน์ท่เี อามาใชใ้ นชีวิตประจาวันได้ ไมใ่ ชค่ รแู ต่ สั่งๆ อย่างเดียว ยกตวั อย่างการบ้านช่วงปิดเทอม ครสู ่ังให้ไปลอกหนังสอื ทั้งเลม่ ใสส่ มดุ ทาเพ่อื อะไรเด็กกต็ ้อง สงสัยใช่มัย้ ครบั จรงิ ๆถ้าตรงไหนไมเ่ ขา้ ใจก็ให้ครอู ธิบาย ถ้าไม่กลา้ ถามครถู ามเพ่ือนก็ได้ ถา้ ครไู มต่ อบ เป็น ปญั หาจากครู ผปู้ กครองก็ต้องสอดสอ่ งดูแล วา่ ลกู ทาการบ้านจริงรไึ ม่ อย่างกรณีน้มี ีการส่งงานที่จา้ งมาทีบ่ ้าน พ่อแม่ ต้องดูว่ามีจดหมาย พสั ดแุ ปลกๆ มาไหม \"กรณีทรี่ วู้ ่าลกู จ้างทาการบ้านแล้วเอาเงนิ ให้ลูกเอง หยดุ เถอะครบั ลองมองหาวิธี อย่างอยา่ งอนื่ เช่น แนะนาใหล้ กู ถามครู ผู้ปกครองบอกมาทางคุณครเู องก็ได้ ถ้าครูมจี ิตวญิ าณของความเป็นครจู ริงๆ ก็ต้อง พยายามอธบิ าย\" ครทู อมยังสะท้อนปัญหาถงึ ผใู้ หญใ่ นวงการศึกษาวา่ ครูบางคนไม่ได้เตม็ ทใ่ี นการสอน เพราะตอ้ ง รบั ผิดชอบงานโรงเรียนอ่นื ๆ ด้วย เชน่ การเงิน ธรุ การ แทนท่ีจะเอาเวลาตรงนมี้ าเตรยี มการสอนให้เตม็ ประสิทธิภาพ ซึง่ ควรได้รับการแก้ไขเพื่อใหค้ รูมเี วลาใหน้ ักเรยี นอยา่ งเต็มท่ี เยาวดี เจา้ ของร้านถ่ายเอกสารและจาหนา่ ยศึกษาภัณฑ์เจ้าใหญใ่ นจงั หวัดอบุ ลราชธานี ที่เลา่ ใหฟ้ งั วา่ มีผู้ปกครองจานวนมากมกั มาใช้บริการร้านถ่ายเอกสารที่มักจะมีคอมพิวเตอร์ค้นหางานได้ โดยผู้ปกครองเป็นผู้ พาลกู หลานมาใชบ้ ริการเอง เน่อื งจากบางคนไม่มีความร้มู ากพอทจี่ ะสอนการบา้ นลูก กบั อีกหลายๆ คนให้ เหตุผลว่าไมม่ เี วลา “ส่วนใหญ่เปน็ ผู้ปกครองพามาเอง แล้วใหเ้ ด็กอธบิ ายว่าการบา้ นต้องทาอย่างไร เด็กบางคนยังค้น ขอ้ มูลไม่เป็น แมบ่ างคนไม่รู้จกั เลน่ อินเทอรเ์ น็ต แต่ครูดนั สง่ั รายงานท่ีต้องใชค้ อมพิวเตอร์ ตอ้ งจัดหน้า ตอ้ ง มีสารบญั เด็กป.1 ป.2 เขายังทาไม่เป็นก็มี พ่อแม่กต็ ้องจ้างทา ใครจะยอมให้ลูกตวั เองไมม่ ีคะแนน ใชม่ ยั้ สมัยนี้เด็กป.1 ต้องทารายงานจากคอมพิวเตอร์แล้ว เขาจะทาอยา่ งไร ครเู องน่ันเหละท่สี ัง่ การบ้าน ยากเกินไป จนเขาตอ้ งมาจา้ ง จะให้เขาวง่ิ ไปซื้อคอมพิวเตอร์ทันที เขาก็ทาไม่ไดก้ นั ทกุ คน บางทพี ่อแม่มาเคาะประตูเรยี กตงั้ แตร่ า้ นยงั ไมเ่ ปดิ เดก็ กร็ ้องไหว้ ่าไม่มกี ารบ้านสง่ มาใหเ้ ราช่วยทาการบา้ น เพอ่ื ขอให้ลกู มีงานสง่ ก่อนลกู เขา้ โรงเรยี น กเ็ ขา้ ใจพ่อแมบ่ างคน ถา้ มีเงนิ กจ็ ะให้ลูกเรียนพิเศษ แตค่ นที่ไมม่ ีเงนิ สง่ ลูกเรยี นพเิ ศษจะทาไง ก็ต้องขวนขวายให้ลกู มีการบ้านสง่ จะปล่อยใหล้ กู ตกหรอ คงไม่มีใครยอม”เยาวดี สะทอ้ น เช่นเดียวกับ รตั นพรรณ จันทรไ์ ผ่ ครปู ระจาชั้นมัธยมศึกษาปที ี่2 โรงเรยี นวดั นายโรง ยา่ นปิน่ เกล้า กล่าววา่ เหตุผลทีแ่ ทจ้ ริงทคี่ รูต้องการให้นกั เรียนทาการบ้านก็เพ่ือ อยากใหก้ ลับไปทบทวน ฝกึ ฝนการทางานให้ หนา้ 36
ชดุ หลักสูตรตา้ นทุจรติ ศึกษา ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 มากๆ เพราะเมอื่ โตข้ึนต้องเจออะไรอกี มากมาย และทผี่ า่ นมากย็ งั ไมเ่ คยเจอนักเรยี นทีจ่ า้ งคนทาการบ้านมาสง่ กเ็ พราะพยายามให้การบา้ นนักเรียนนอ้ ยอยแู่ ลว้ และใหน้ ักเรียนทางานใหเ้ สรจ็ ตั้งแตอ่ ยู่ในคาบนัน้ ซงึ่ ถ้าไม่ เสร็จจริงๆ ถึงจะให้กลับเอาไปทาทีบ่ ้าน ซึง่ ตนเขา้ ใจดวี า่ วิชาหลกั ๆ อยา่ ง คณิต ภาษาไทย วทิ ยาศาสตร์ ตอ้ งมี การบ้านมากอยู่แล้ว “ยังไม่พบเด็กท่จี า้ งทาการบ้านมาสง่ แต่ลอกกนั มใี หเ้ หน็ เปน็ ปกตอิ ยู่แล้ว อาจเปน็ เพราะเราไมไ่ ด้ ส่ังงานทย่ี ากเกินไป ถ้านกั เรยี นไมข่ ีเ้ กียจเกนิ ไป อุปกรณท์ ี่โรงเรียนกม็ ใี ห้พร้อมทกุ อย่างไม่นา่ ยากมากเกนิ ในมมุ ของครูคดิ วา่ การให้การบา้ นนักเรียนน้นั เหมาะสมดีแล้ว แตถ่ ้าถามนักเรยี นยังไงก็ต้องบอกว่ามากอยู่ ดี แต่ถ้าจัดสรรเวลาใหถ้ ูกตอ้ ง เช่ือว่าไมย่ ากจนเกินไป เดก็ สมัยนีเ่ อาความสบายมาก ครูสง่ั งานแล้ว รวู้ ่ามี คนรบั จา้ งรองรบั ก็ยิง่ ข้ีเกียจเข้าไปใหญ่ ถา้ วันหน่ึงจับไดว้ ่าเดก็ เอางานจ้างมาสง่ เราตอ้ งถามเหตุผลเด็ก ก่อนวา่ จ้างใครมา จ้างเพื่ออะไร ถา้ เขายอมรับเรากต็ อ้ งใหโ้ อกาสเขาทามาใหม่ แตถ่ า้ ไมย่ อมรบั ก็ไมใ่ ห้ คะแนนงานอันเลย\" \"งานทีค่ รใู ห้คือการทบทวน ส่ิงทอี่ าจสอนไม่ทัน ก็ใหน้ ักเรยี นไปเองสืบค้นจากทีอ่ นื่ บา้ ง หลายคร้ังก็ เคยมองเหมือนกันวา่ ถา้ เฉล่ยี กับวิชาอ่ืนแลว้ การบา้ นน่าจะมาก เราก็พยายามจะไมส่ ั่งเด็กเพม่ิ ”ครูสาวกล่าว เสริม หนา้ 37
ชุดหลกั สตู รต้านทุจรติ ศึกษา ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ใบงานที่ 9 เรื่อง ทาการบ้าน / ชนิ้ งาน มีทงั้ ข้อดี และข้อเสีย คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นเขยี นผงั มโนทัศน์ผลดแี ละผลเสียเกยี่ วกบั การทาการบ้าน / ชนิ้ งาน ผลดี ทาการบ้าน / ช้ินงานเอง ผลเสีย ไม่ทาการบ้าน / ชิ้นงานเอง หนา้ 38
ชดุ หลกั สตู รต้านทุจรติ ศกึ ษา ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ใบความรทู้ ่ี 10 เร่อื ง การลงโทษทางสังคมในระดับประเทศ การลงโทษโดยสังคม (Social Sanction) ต่อปัจเจกบุคคล ครอบครัว และชุมชน หนึ่ง ๆ เป็น ปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นกับทุกสังคมในโลกมาเป็นเวลานับพันปี โดยทั่วไปจุดมุ่งหมายของการลงโทษโดยสังคม เป็นไปเพื่อสร้างความอับอายขายหน้าให้แก่ผู้ถูกกระทา เพื่อให้บุคคลผู้น้ันต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขทัศนคติและ พฤตกิ รรมตนเองเสียใหม่เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนหรือสังคมน้ันๆให้ได้ กล่าวได้ว่าการลงโทษโดยสังคม เป็นกลไกลชนิดหนง่ึ ของสงั คมมาต้งั แตย่ ุคโบราณในการควบคุมสงั คมของตนเองให้อยูใ่ นภาวะท่มี ีดุลยภาพ \"การลงโทษทางสงั คม Social Sanction” หนง่ึ ในมาตราการตอ่ ตา้ นคอรร์ ัปชัน วิธีการปูองกันการ คอร์รัปชนั ทีป่ ระเทศตา่ งๆ มีการนามาใช้ คอื การตรวจสอบและการสร้างปฏิกิริยาปฏิบัติทางสังคม ซ่ึงสามารถ ทาได้ทง้ั 2 มิตคิ อื เชงิ ลบและเชงิ บวก การลงโทษโดยสังคมเชิงลบ (Negative Social Sanction) การกระทา ต่อตา้ นบคุ คล ครอบครวั เพอ่ื กดดันและแสดงปฏกิ ิริยาตอ่ ตา้ นพฤติกรรมท่ีเบ่ียงเบนจากความถูกต้องเป็นธรรม ผดิ ไปจากมาตรฐานเร่อื งสงั คมที่ดี และการ กระตุ้นสังคมเชิงบวก (Positive Social Sanction) การแสดงออก ในเชิงสนับสนุนหรือให้รางวัลเป็นแรงจูงใจโดยหวังผลลัพธ์เพื่อสร้างให้เกิดพลังพลเมืองร่วมต่อต้านคอร์รัปชัน โดยไมเ่ กรงกลัวตอ่ อานาจมดื Social Sanctions หมายถึง กลไกชนิดหนึ่งของสังคม ที่สังคมใช้เป็นบทัสฐาน (Norm) หรือ เครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของบรรดาสมาชิกในสังคมให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น เช่น การแสดงออกท่ไี ม่เหน็ ชอบด้วยโดยการใชก้ ารลงโทษโดยสังคมเชงิ ลบกบั บคุ คล ครอบครัว องค์กร สถาบัน ชนชาติ หรือประเทศแห่งหน่ึงๆ เพื่อให้เกิดการจัดระเบียบขององค์กรหรือของโลก เป็นส่วนหนึ่งของ ประเพณปี ฏบิ ัติและการเหน็ พอ้ งร่วมกันในสงั คม และเป็นการสร้างขอ้ ผูกพันทางสงั คมร่วมกนั Social Sanctions ยังรวมถึงการแสดงออกทางบวกในการสนับสนุนหรือการให้รางวัลเป็น แรงจูงใจให้คนทาสิ่งท่ีสังคมเห็นว่าเป็นส่ิงท่ีดีก็ได้ด้วยเช่นกัน เช่น การรณรงค์ไม่ให้คนสูบบุหร่ี ถือว่าเป็นเร่ือง ทางบวก คาว่า Sanctions ตามตัวหนังสือแปลได้ทั้งการลงโทษและการอนุมัติ การใช้คาว่า การลงโทษทาง สังคม จะเหมาะกับการแสดงออกทางลบมากกว่า ถ้าใช้คาว่า การกดดันทางสังคม น่าจะใช้ได้ท้ังทางบวกและ ทางลบ ทางราชบัณฑิตใช้คาวา่ สิทธานุมัตทิ างสังคม ซง่ึ ฟงั แลว้ เข้าใจยาก คาว่า คว่าบาตร เป็นคาที่คนไทยคุ้น กวา่ แตห่ มายถึงการกดดันในทางลบ ในประวตั ิศาสตร์สังคมส่วนใหญ่ Social Sanctions คือ การกดดันในทาง ลบ กรณีท่ีหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงส่วนใหญ่คือกรณีที่ประชาชนร่วมกัน Sanctions รัฐบาลที่ทุจริตฉ้อฉล ท้ังใน ต่างประเทศและในไทย (เน้นสมัยรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์) การลงโทษทางสังคมเป็นการใช้เครื่องมือท่ี นอกเหนือไปจากกฎหมายในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมามีกรณีท่ีคนไทยที่ตื่นตัวทา Social Sanctions รัฐบาลที่ ทุจริตฉ้อฉลท่ีเห็นได้ชัดหลายเร่ือง เช่น การไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง การจงใจทาบัตรเสีย การลงคะแนนไม่ ประสงค์จะเลือกใครในการจัดการเลือกต้ังที่รัฐบาลกลุ่มทักษิณรีบยุบสภาหนีปัญหาและจัดเลือกต้ังใหม่ โดยที่ พรรคฝุายคา้ นและประชาชนไม่เหน็ ด้วย การรณรงคค์ วา่ บาตรถอนเงินปิดบัญชีธนาคารออมสิน เม่ือรัฐบาลบีบ ให้ธนาคารออมสินปล่อยกู้ให้ธนาคารการเกษตรและสหกรณ์ไปใช้จ่ายโครงการรับจานาข้าวที่ทั้ง ขาดทุนท้ัง ทจุ รติ ฉอ้ ฉล การคว่าบาตรเลกิ เป็นลูกคา้ ของบรษิ ัทโทรศัพท์มอื ถือและบรษิ ัทในเครือของกลุ่มทักษิณ ฯลฯ หนา้ 39
ชดุ หลักสูตรตา้ นทุจรติ ศึกษา ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 ใบงานท่ี 10 เรือ่ ง การลงโทษทางสังคมในระดับประเทศ 1. ใหน้ ักเรียนแต่งคาขวญั รณรงค์ เรอ่ื ง บทลงโทษทางสังคม .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... 2. Social Sanctions หมายถงึ .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... 3. ให้นักเรยี นอธบิ าย \"การลงโทษทางสงั คม Social Sanction” พอสงั เขป .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................... หนา้ 40
ชุดหลกั สูตรตา้ นทุจริตศกึ ษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 ใบความรู้ที่ 11 ปญั หาการคอรร์ ัปชันของกลุ่มประเทศอาเซยี น โชคสขุ กรกิตติชัย วิทยากรชานาญการพิเศษ กลุ่มงานบรกิ ารวิชาการ 1 สานักวิชาการ ปัญหาการคอร์รัปชันถือเป็นปัญหาหลักท่ีเป็นอุปสรรคสาคัญต่อการพัฒนาของประเทศสมาชิก สว่ นใหญ่ในอาเซยี น จากผลการจัดอนั ดบั ของหนว่ ยงาน Transparency International (TI) ซ่ึงเป็นหน่วยงาน อิสระระหว่างประเทศที่ดาเนินการประเมินผลการรับรู้การคอร์รัปชันของประเทศต่างๆ ทั่วโลกอย่างต่อเน่ือง โดยไดม้ กี ารจัดทาดัชนีการรับรู้การคอร์รปั ชนั (Corruption Perception Index : CPI) ซ่ึงเป็นดัชนีที่ได้รับการ ยอมรบั จากทวั่ โลกว่า สามารถใช้เปรยี บเทียบระดบั การรับรู้การคอร์รปั ชันของภาครัฐ ในประเทศต่าง ๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี โดยเม่อื วันที่ 27 มกราคม 2559 ทผี่ ่านมาหน่วยงาน Transparency International (TI) ได้มี การเปิดเผยผลดชั นกี ารรบั ร้กู ารคอร์รัปชันที่กรงุ เบอร์ลนิ ประเทศสาธารณรัฐเยอรมนี ซึง่ เป็นการนาเสนอ ผลการวัดดัชนี และการจัดอนั ดบั ของปี 2558 (ค.ศ.2015) ครง้ั ท่ี 21 โดยเป็นการนาเสนอดัชนีและ อันดับของประเทศที่เข้าร่วมการประเมินจานวน 168 ประเทศท่ัวโลก ซ่ึงวิธีการวัดระดับการรับรู้การคอร์รัป ชันของภาครฐั ในแต่ละประเทศนน้ั นามาจากผลการสารวจซ่ึงประกอบไปด้วยการประเมินจากผู้เช่ียวชาญและ ความคิดเห็นของนักธุรกิจ โดยค่าดัชนีน้ันจะเริ่มต้ังแต่ 0 แสดงถึงระดับการรับรู้การ คอรร์ ัปชันที่สงู ทส่ี ดุ จนถึง 100 แสดงถงึ ระดบั การรับรกู้ ารคอรร์ ัปชันทต่ี า่ ท่ีสดุ จากภาพรวมของผลการศึกษาพบว่า ประเทศส่วนใหญ่ 2 ใน 3 ของโลก มีดัชนีการรับรู้ที่ต่ากว่า 50 ซ่ึงสามารถสะท้อนถึงปัญหาการคอร์รัปชันที่ยั งคงมีอยู่ท่ัว โล กการจ ะต่อสู้ กับปัญหาการคอร์ รัปชัน ได้น้ั น จาเปน็ ตอ้ งอาศัยความรว่ มมอื จากทกุ ฝาุ ย สาหรบั ประเทศในกลุ่มอาเซียนน้นั กม็ ปี ัญหาในเรือ่ งการคอร์รัปชันซ่ึง เป็นอุปสรรคสาคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยดูได้จากผลดัชนีการรับรู้การคอร์รัปชันของประเทศในกลุ่ม อาเซียน (ยกเว้นประเทศบรูไนดารุสซาลาม ซ่ึงไม่ได้เข้าร่วมการประเมิน) ดังผลการศึกษาท่ีได้แสดงในตาราง ตอ่ ไปนี้ หนา้ 41
ชุดหลกั สตู รตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) อนั ดบั ของประเทศ ประเทศ ดชั นี อนั ดบั ของประเทศ ประเทศ ดชั นี (175 ประเทศ) (100) (168 ประเทศ) (100) 7 สิงคโปร์ 84 8 สิงคโปร์ ๘๕ ๕๐ มาเลเซีย ๕๒ ๕๔ มาเลเซีย ๕๐ ๘๕ ฟลิ ปิ ปินส์ ๓๘ ๗๖ ไทย ๓๘ ๘๕ ไทย ๓๘ ๘๘ อนิ โดนเี ซีย ๓๖ ๑๐๗ อนิ โดนเี ซีย ๓๔ ๙๕ ฟลิ ปิ ปินส์ ๓๕ ๑๑๙ เวยี ดนาม ๓๑ ๑๑๒ เวียดนาม ๓๑ ๑๔๕ ลาว ๒๕ ๑๓๙ ลาว ๒๕ ๑๕๖ กัมพชู า ๒๑ ๑๔๗ เมียนมา(พมา่ ) ๒๒ ๑๕๖ เมียนมา (พม่า) ๒๑ ๑๕๐ กัมพชู า ๒๑ แหลง่ ทมี่ า : องคก์ รโปร่งใสนานาชาติ (ค.ศ. 2014 และ ค.ศ. 2015) จากตาราง จะพบว่าประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนมีค่าดัชนีอยู่ในระดับต่า โดยต่ากว่า 50 ทุกประเทศ ยกเว้นประเทศสิงคโปร์ และประเทศมาเลเซีย โดยประเทศสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับที่ 8 ซึ่งถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ของการประเมิน ขณะที่ประเทศมาเลเซียอยู่ท่ีอันดับที่ 54 ตามมาด้วยประเทศไทย ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่ที่อันดับ 76, 88 และ 95 ตามลาดับ ขณะท่ีประเทศเวียดนาม ประเทศลาว ประเทศเมียนมา (พม่า) และประเทศกัมพูชา มีค่าดัชนีท่ีต่ามาก โดยได้อันดับที่ 112, 139, 147 และ 150 ตามลาดับ (ศศิวิมล วรุณศิริ ปวีณวฒั น์, 2559) ซ่งึ สะทอ้ นถงึ ปัญหาการคอร์รัปชันท่ียังคงอยู่ ในระดบั สงู ในกลุ่มประเทศ CLMV (คือ กลุ่มประเทศท่ีมีศักยภาพดี ประกอบด้วยประเทศกัมพูชา ประเทศลาว ประเทศเมียนมา (พม่า) และประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่ม ASEAN ที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจ หนา้ 42
ชดุ หลกั สูตรต้านทุจรติ ศกึ ษา ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 โตต่อเน่ือง และยังมีแร่ธาตุทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีค่าจ้างแรงงานไม่สูง โดยกลุ่มประเทศ CLMV จงึ เปน็ ประเทศทมี่ ีคนสนใจเขา้ ไปลงทุนการผลิต และการตลาด) (กลุม่ ประเทศ CLMV ใน ASEAN, ม.ป.ป.) นอกจากนัน้ หากเปรียบเทียบผลการจดั อันดบั ปี 2557 กบั ปี 2558 พบว่า ประเทศไทย อินโดนเี ซีย ประเทศเวียดนาม ประเทศลาว และประเทศเมียนมา (พม่า) มีอันดับท่ดี ีขน้ึ อยา่ งไรกต็ ามหาก พิจารณาจากค่าดัชนีพบวา่ ไม่ได้มีความแตกต่างจากปี 2557 มากนัก กลุม่ ประเทศอาเซียน จงึ ยงั คงเปน็ กลุม่ ประเทศที่มีความหลากหลายของระดับการคอรร์ ัปชัน โดยทีผ่ า่ นมาอาเซียนเปน็ ภูมภิ าค ทีไ่ ดร้ บั ความสนใจอยา่ งมากในประเดน็ ที่อาเซียนเองมีความหลากหลายของระดับเศรษฐกจิ การเจรญิ เติบโต ของประเทศ ขณะเดียวกันปัญหาการคอร์รัปชนั กย็ ังคงเป็นปัญหาเรือ้ รังท่ีประเทศสมาชิกสว่ นใหญย่ งั คง เผชิญอยู่ (ศศวิ ิมล วรณุ ศิริ ปวีณวฒั น์, 2559) ตัวอยา่ งเชน่ ประเทศฟลิ ปิ ปินส์ นับเป็นประเทศที่มปี ัญหา การคอรร์ ปั ชันรนุ แรงโดยเฉพาะการคอร์รปั ชนั ของกล่มุ ผ้นู าประเทศในอดีต ซึ่งผ้นู าบางทา่ นทีเ่ คยเปน็ ความหวงั ของคนฟิลปิ ปนิ ส์ แตก่ ็ยังต้องเผชิญกบั ปญั หาคอร์รปั ชนั เช่นกัน การคอร์รปั ชนั เปน็ ตวั บ่อนทาลายการ พฒั นาเศรษฐกจิ ของฟิลปิ ปินส์เปน็ อยา่ งมากจากประเทศท่ีคาดหมายวา่ นา่ จะพฒั นาไดเ้ รว็ ท่สี ดุ หลงั สงครามโลกครั้งท่ี 2 สงบลง กลับกลายเปน็ ว่าฟลิ ิปปนิ สเ์ ป็นประเทศทพ่ี ฒั นาไดเ้ ชอื่ งชา้ มาก อนั เน่ืองมาจาก การคอร์รัปชนั ของหนว่ ยงานภาครัฐจานวนมากนนั่ เอง ประเทศอินโดนีเซีย กเ็ ปน็ อีกประเทศหน่ึงทม่ี ีปัญหา การคอรร์ ปั ชันเร้ือรังมาชา้ นาน มีการสรา้ งวฒั นธรรมการคอร์รัปชนั ในหมทู่ หาร และนกั การเมืองจนทาให้ นกั ลงทนุ ต่างชาติทต่ี อ้ งการเข้าไปลงทุนในอนิ โดนีเซียต้องเตรยี มบวกค่าตน้ ทุนใตโ้ ต๊ะเวลาตดิ ต่อทาธุรกจิ ในเกาะชวา แมว้ า่ จะมีการเปล่ยี นแปลงการปกครอง หลงั วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ แตร่ ัฐบาลที่เข้ามาใหม่ ก็ดูเหมือนว่าไมส่ ามารถแก้ปัญหาคอร์รปั ชันในประเทศทีม่ ีศักยภาพสูงในการพฒั นาอย่างอินโดนีเซียได้ ถงึ แม้ อนิ โดนเี ซียจะมีการจดั ตงั้ “องค์การปราบปรามคอรร์ ปั ชนั ” หรือ Corruption Eradication Commission แต่กด็ ูเหมือนวา่ ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการคอร์รัปชันได้ เนื่องจากนักการเมืองบางกลุ่มยังคงปกปูอง ผลประโยชนข์ องตนเอง และแสวงหาผลประโยชนส์ ว่ นตวั บนตาแหนง่ หนา้ ท่ีได้เข้าไปแทรกแซง การทางาน ขององค์กรดังกล่าว ทง้ั ฟิลปิ ปินส์ และอนิ โดนีเซยี จงึ เป็นตวั อย่างทดี่ ีทีส่ ะท้อนปญั หา การฉอ้ ฉลอานาจ หรอื Power Corrupt ของเหลา่ ผู้นาประเทศ ประเทศเวียดนาม เปน็ ประเทศท่ไี ดร้ บั การจับตามองมากทสี่ ดุ ใน อาเซยี น เนื่องจากมอี ัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนขา้ งสูง อย่างไรก็ดี ระดับค่า CPI ปี 2558 มี เพยี ง 31 คะแนน สะท้อนให้เหน็ ถึงความโปรง่ ใสของรฐั บาลพรรคคอมมวิ นสิ ต์เวยี ดนามในสายตาของ ประชาชนในประเทศวา่ ยังอยู่ในระดบั ต่าเชน่ กัน ประเทศมาเลเซีย ตลอดระยะเวลาท่ีพรรคอัมโนครองอานาจ ภายใตก้ ารนาของนายกรัฐมนตรี นายมหาเธร์ มฮู ัมหมัด จนกระท่ังนายนาจิบ ราซกั ก์ มาเลเซียไดพ้ ัฒนา ประเทศข้ึนมาเป็นเบอร์ 2 ของอาเซยี น นอกเหนอื จากความเข้มแข็งของรัฐบาลแลว้ เหตุผลสาคัญประการ หนึ่งทีท่ าให้มาเลเซียสามารถพัฒนาขึน้ มาได้รวดเรว็ คือ การเอาจริงเอาจงั กบั การปราบปรามปญั หาการ ทจุ ริตโดยเฉพาะการบังคบั ใช้กฎหมายทร่ี ุนแรงกับเหล่าเจา้ หนา้ ท่รี ฐั ท่ฉี อ้ โกงท้งั หลาย (ตามไปดู ! ปญั หาคอร์ รปั ชนั ในอาเซียน ปญั หาท่ีแก้ไม่ตก,2556)ประเทศไทย โดยรฐั บาลไทย ชดุ ปจั จบุ นั (คณะรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จนั ทรโ์ อชา) ได้ให้ความสาคัญเก่ียวกบั นโยบายการต่อตา้ นคอรร์ ัปชัน โดยเปน็ นโยบายหนง่ึ ท่รี ฐั บาลให้ความสาคัญเป็นลาดบั ต้นๆ นอกจากนนั้ แลว้ องค์กรธรุ กิจภาคเอกชนก็ได้ เข้ามามสี ่วนร่วมในการช่วยกาจดั ปัญหาการคอรร์ ัปชันในประเทศโดยได้มีการร่วมกับภาครฐั และภาคส่วนอ่ืนๆ ดงั นน้ั ความพยายามในการแก้ไขปัญหาการคอรร์ ัปชัน จงึ เปน็ สิ่งสาคัญที่กลุ่มประเทศอาเซยี น มอิ าจละเลยได้ โดยอาเซยี นเองก็ได้ตระหนักถึงปัญหา และมีแนวนโยบายในการแก้ไขทั้งในระดับประเทศและระดบั ภูมภิ าค ตอ่ มาได้มีการลงนามบันทึกความเขา้ ใจร่วมกนั เพื่อต่อต้านคอรร์ ัปชนั ตัง้ แตป่ ี 2547 (ค.ศ. 2004) โดยกลุ่มประเทศอาเซียนได้รว่ มมือกันก่อตง้ั หนว่ ยงานช่อื วา่ “South-East Asian Parties หนา้ 43
ชดุ หลักสูตรตา้ นทุจริตศึกษา ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 Against Corruption (SEA-PAC)” และมสี ญั ลกั ษณ์ของหนว่ ยงาน ดังน้ี 4 สญั ลักษณ์ของ South - East Asian Parties Against Corruption SEA-PAC จาก http://www.seapac.org/?page_id=3971 โดยหนว่ ยงานดังกล่าวเป็นหน่วยงานทีจ่ ะชว่ ยสรา้ งกลไกในการปูองกันและการต่อตา้ นการคอรร์ ปั ชันใน ภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ (South East Asia) ซงึ่ เป็นการรวมตวั ของหน่วยงานตอ่ ต้านการทจุ ริตของ ประเทศสมาชกิ อาเซียน โดยมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือสรา้ งความมัน่ คงเข้มแข็งในความร่วมมือเพื่อต่อต้านการทุจรติ ระหว่างประเทศสมาชกิ รวมทัง้ การเพม่ิ ขีดความสามารถในการปฏบิ ตั ิงานตลอดจนศกั ยภาพของเจา้ หน้าท่ีและ ยังเป็นศูนย์กลางประสานงานระหวา่ งกนั (ป.ป.ช. จดั การประชุม SEA-PAC ครั้งที่ 7 ผนกึ กาลงั สมาชิกอาเซยี น ต้านการทุจรติ เพิ่มความเข้มแข็งในภมู ภิ าค, 2554) ซง่ึ ปัจจบุ ันมีสมาชิก 10 องค์กร จาก 10 ประเทศ ไดแ้ ก่ 1. Anti-Corruption Bureau ประเทศบรไู นดารุสซาลาม 2. Anti-Corruption Unit ประเทศกัมพชู า 3. Corruption Eradication Commission ประเทศอนิ โดนเี ซยี 4. State Inspection and Anti-Corruption Authority ประเทศลาว 5. Malaysian Anti-Corruption Commission ประเทศมาเลเซีย 6. Anti-Corruption Commission ประเทศเมยี นมา (พมา่ ) 7. Office of the Ombusman ประเทศฟิลปิ ปินส์ 8. Corruption Practices Investigation Bureau ประเทศสงิ คโปร์ 9. National Anti-Corruption Commission ประเทศไทย 10. The Government Inspectorate ประเทศเวียดนาม สัญลักษณ์ขององค์กร 10 องค์กรจาก 10 ประเทศ จาก http://www.sea-pac.org/ หนว่ ยงานดงั กล่าวข้างต้นได้มีการประชมุ คร้งั แรกเมือ่ เดอื นเมษายน ปี 2548 ซึง่ เป็นการจัดประชุมว่าด้วยการ ปูองกันและต่อต้านการทุจริตในภูมิภาคอาเซียน (1th SEA-PAC : 1th Annual Meeting of Parties to the Memorandum of Understanding on Prevention and Combating Corruption) ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีผู้แทนจากประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จานวน 6 ประเทศ เข้าร่วมประชุม คือประเทศกัมพูชา ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศลาว ประเทศสิงคโปร์ ประเทศไทย และ ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งถือเป็นประเทศสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์กร “South - East Asian Parties Against Corruption (SEA - PAC)” โดยประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมดังกล่าว เม่ือปี 2554 โดยสานักงานคณะกรรมการปูองกันและปราบปราม 6 การทุจริตแห่งชาติ (สานักงาน ป.ป.ช.) เป็นผู้จัด การประชุม ซง่ึ เป็นการประชุมครัง้ ท่ี 7 โดยเป็นการประชุมว่าด้วยการปูองกันและต่อต้านการทุจริตในภูมิภาค อาเซียน (7th SEA-PAC : 7th Annual Meeting of Parties to the Memorandum of Understanding on Prevention and Combating Corruption) ระหว่างวันที่ 20 – 22 ธันวาคม 2554 ณ โรงแรมเชอรา ตันแกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้แทนระดับสูงของหน่วยงานปราบปราม การทุจริตเข้าร่วม ประชุม 9 ประเทศ ได้แก่ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ประเทศกัมพูชา ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศลาว ประเทศมาเลเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศไทยและประเทศเวียดนาม โดยการประชุม คร้ังนมี้ ีสาระสาคัญ คอื การหารอื แนวทางการดาเนนิ การตามกรอบความร่วมมือของบันทึกความเข้าใจระหว่าง กันว่าด้วยการปูองกันและต่อต้านการทุจริตในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในเร่ือง การประสานงานคดีทุจริตตลอดจนผลักดนั ให้กล่มุ ความร่วมมือของหน่วยงานต่อต้านการทุจริตอาเซียนนี้เป็นที่ รู้จักและยอมรับในเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศมากข้ึน (การปูองกันและการต่อต้านการทุจริต, 2554) หนา้ 44
ชุดหลกั สูตรต้านทุจริตศึกษา ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 และในเดือนธันวาคม 2559 นี้จะเป็นการประชุมคร้ังท่ี 12 ระหว่างวันที่ 14 - 16 ธันวาคม 2559 ณ โรงแรม The Thingaha เมอื ง Nay Pyi Taw ประเทศเมียนมา (พม่า) ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมครั้ง น้ี (12th Meeting of Parties to the Memorandum of Understanding on Preventing and Combating Corruption-Southeast Asia Parties Against Corruption (12th SEAPAC, 2016) บทสรุปและขอ้ เสนอแนะของผ้ศู ึกษา ปัญหาการคอร์รัปชันถือเป็นปัญหาใหญ่ที่กลุ่มประเทศอาเซียนมีความพยายามในการแก้ไขปัญหา ดังกล่าว ซ่ึงกลุ่มประเทศอาเซียนเองก็ได้ตระหนักถึงปัญหา และมีแนวนโ ยบายในการแก้ไขท้ัง ในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ดังน้ัน ประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับปัญหา การคอร์รปั ชนั ซ่งึ สง่ ผลกระทบต่อการพัฒนาของประเทศ และภูมิภาคเป็นอย่างยิ่ง หากพิจารณาศักยภาพการ พัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนนั้นจะเห็นได้ว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่ มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูงในเวทีโลก แต่ปัญหาการคอร์รัปชันกลับเป็นต้นเหตุสาคัญที่ ทาให้ประเทศสมาชิกหลายประเทศ ไม่สามารถพัฒนาไปได้เท่าที่ควร ประเด็นสาคัญซ่ึงนามาสู่ปัญหาการคอร์ รัปชันที่หลายประเทศในอาเซียนต้องเผชิญ คือ “ผู้นา และผู้มีอานาจในบ้านเมือง” ต่างแสวงหาประโยชน์ให้ กลุ่ม และพวกพ้องตนเองมากกว่าเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก แม้ว่าผู้นาของอาเซียนเอง จะตระหนักถึงปัญหาการคอร์รัปชัน และพยายามหาทางแก้ไขร่วมกัน โดยได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ รว่ มกันเพอ่ื ต่อต้านคอรร์ ัปชันเมอ่ื ปี 2547 แตก่ ย็ งั ไม่ได้มกี ารออกกฎระเบยี บ หรือนโยบายใดๆ ร่วมกันออกมา อย่างเป็นรูปธรรม เน่ืองจากแต่ละประเทศยังต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศตน การลงนามในข้อตกลง ใดๆ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศตนเองในภายหลังได้ อีกประเด็นท่ีสา คัญ คือ ความอ่อนแอขององค์กรภาครัฐในการจัดการกับปัญหาการคอร์รัปชัน ถึงแม้จะมีการจัดตั้งองค์กรต่อต้าน คอร์รัปชันขึ้นก็ยังคงมีผู้มีอานาจเข้าไปแทรกแซงกระบวนการทางานขององค์กรเหล่านั้น ทาให้องค์กรที่จัดตั้ง ขนึ้ ไม่สามารถปฏิบัติงานได้เต็มที่ นอกจากนี้กฎหมายและกระบวนการลงโทษในประเทศอาเซียนบางประเทศ ยังไม่จริงจังเพียงพอ ผู้กระทาผิดบางคน 7 เมื่อถูกลงโทษแล้วแต่ต่อมาศาลอาจลดโทษให้ จนในที่สุดก็ได้รับ การปล่อยตัวไป ดังนั้น หากจะแก้ปัญหาการคอร์รัปชันในกลุ่มประเทศอาเซียนให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้ว อาจ ต้องอาศยั ความร่วมมอื ระหว่างประเทศสมาชิก มิใช่แค่เพยี งประเทศใดประเทศหน่ึงจัดการกันเอง อาเซียนควร จดั ให้มนี โยบายตอ่ ต้านการคอร์รัปชันเป็นวาระเร่งด่วนภายใต้เสาที่หน่ึง หรือเสาการเมืองและความมั่นคงของ ประชาคมอาเซยี นเพอื่ ใหเ้ กิดการผลักดันอย่างแท้จริง โดยผู้มีส่วนเก่ียวข้องในการจัดทาข้อตกลงด้านการเมือง และความม่นั คง ควรตอ้ งมาพูดคยุ กนั อยา่ งจรงิ จงั เพือ่ ใหเ้ กดิ ข้อตกลงร่วมกันท่ีสามารถนาไปปฏิบัติได้จริง อาจ มีการจัดต้ังองค์กรเพ่ือความร่วมมือต่อต้านการคอร์รัปชันภายใต้อาเซียน หรือสร้างความร่วมมือเพ่ือการ สอบสวนกรณีการคอร์รัปชันต่าง ๆ หากสถานการณ์น้ันเกี่ยวข้องกับประเทศสมาชิกหลายประเทศ เป็นต้น นอกจากน้ี สถานการณก์ ารคอร์รัปชัน ในภูมิภาคน้ัน ยังเป็นตัวบ่อนทาลายเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียน โดยรวม และยังมสี ่วนในการทาลายระบอบประชาธิปไตยของประเทศสมาชิกอีกดว้ ย จึงเป็นประเด็นท่ีน่าสนใจ ว่า ภูมิภาคอาเซียนจะจัดการกับปัญหาการคอร์รัปชันร่วมกันอย่างไร เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจของภมู ภิ าคในการแขง่ ขันบนเวทีโลกต่อไปในอนาคต หนา้ 45
ชุดหลักสตู รต้านทุจริตศึกษา ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ใบงานท่ี 11 เร่ือง รูส้ กึ อย่างไรกับภาพต่อไปน้ี คาชี้แจง ให้นักเรียนดภู าพและวิเคราะหว์ ่าภาพดังกลา่ วเกิดผลเสยี อยา่ งไร มวี ิธกี ารแกไ้ ขอย่างไร ผลเสยี คอื .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. วิธีการแกไ้ ข .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. ผลเสีย คอื .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. วิธกี ารแก้ไข .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. ผลเสีย คอื .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. วิธกี ารแก้ไข .............................................................................................. .............................................................................................. .............................................................................................. หนา้ 46
Search