1
2
3 ลำท้ำวกำพรำ้ ตูบตอง ฉบบั วดั เทพนดั ดา ตาบลนาหนาด อาเภอธาตพุ นม จังหวดั นครพนม นางสาวเอกสดุ า ไชยวงศ์คต เรยี บเรยี งพมิ พ์ งานวิชาการและวจิ ัย สถาบนั ภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร จัดพิมพ์เผยแพร่
4 ลำทำ้ วกำพรำ้ ตบู ตอง ฉบับวดั เทพนดั ดา ต.นาหนาด อ.ธาตุพนม จ.นครพนม เอกสารวิชาการลาดบั ท่ี ๒/๒๕๖๓ พมิ พ์ครั้งที่ ๑ จานวน ๑๐๐ เลม่ นำงสำวเอกสุดำ ไชยวงศค์ ต เรียบเรียงพมิ พ์ คณะท่ปี รกึ ษำ อธิการบดมี หาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร ผศ.ปรีชา ธรรมวนิ ทร รองคณบดีคณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั นครพนม ผศ.ดร.อธริ าชย์ นนั ขนั ตี ผ้อู านวยการสถาบนั ภาษาฯ นายสุรสิทธ์ิ อยุ้ ปัดฌาวงศ์ รองผู้อานวยการสถาบันภาษาฯ ผศ.ดร.พฒุ จกั ร สทิ ธิ รองผู้อานวยการสถาบนั ภาษาฯ นางสาววชิ ญานกาญต์ ขอนยาง หวั หน้าสานักงานผู้อานวยการสถาบันภาษาฯ นางนงเยาว์ จารณะ คณะบรรณำธกิ ำร ศลิ ปกรรม/แบบปก ดร. สถติ ย์ ภาคมฤค นางสาวไอรัดดา มหาชัย นายธวชั ชยั ดุลยสจุ ริต นางสาวอลิสา ทบั พลิ า นายพจนวราภรณ์ เขจรเนตร นายพฒั นพงษ์ คาพทิ ูล นางสาวจินตนา ลินโพธิศ์ าล สอบทำน/พิสจู น์อกั ษร ธุรกำร/ประสำนงำน นายธนายทุ ธ อุ่นศรี นางสาวชตุ มิ า ภูลวรรณ นายวชริ ะ จันทะลนุ นายกฤษดากร บันลือ จดั ทำโดย งานวิชาการและวจิ ัย สถาบนั ภาษา ศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร พมิ พท์ ี่ พิพิธภณั ฑ์เมืองสกลนคร มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร สงวนลิขสทิ ธต์ิ ำมกฎหมำย
ก คำนิยม ก า ร ป ริ ว ร ร ต เ อ ก ส า ร โ บ ร า ณ มี ค ว า ม ส า คั ญ อ ย่ า ง ยิ่ ง เพราะเป็นงานที่ต้องใช้ความพากเพียรพยายาม ในการศึกษา และทาความเข้าใจวัฒนธรรมทางภาษาผ่านวรรณกรรมพื้นถิ่น พ ร้ อ ม ถ่ า ย ท อ ด อ อ ก ม า ใ น รู ป แ บ บ อั ก ษ ร ห น่ึ ง ไ ป สู่ อั ก ษ ร ห น่ึ ง โดยยังคงรักษาความสละสลวยทางภาษาของต้นฉบับเดิมเอาไว้ ใ น ท่ า ม ก ล า ง ก ร ะ แ ส แ ห่ ง โ ล ก า ภิ วั ฒ น์ ใ น ปั จ จุ บั น การศึกษาวรรณกรรม หรือเร่ืองราวของท้องถิ่นมักไม่เป็นที่นิยม ถกู มองวา่ เป็นเร่ืองเกา่ ล้าสมยั แตต่ รงกนั ขา้ มการศกึ ษาเรือ่ งราวใดๆ ในท้ังถ่ินนับเป็นสิ่งสาคัญอย่างหนึ่ง อันจะก่อให้เกิดคว ามรู้ และความเข้าใจ ท่ีทาให้คนเห็นรากเหง้าของตนเอง เกิดสานึก ความเห็นคุณค่าความภูมิใจ และศักดิ์ศรีของสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ท่ีเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษในท้องถ่ิน ความภูมิใจนี้ ทาให้คนเรามีความเชื่อม่ันในตัวเองว่ามีของดีอยู่ สู่การพัฒนา ทอ้ งถ่ินให้มคี วามเจริญในอนาคต สถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มีความภาคภูมิใจที่ นางสาวเอกสุดา ไชยวงศ์คต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ ได้ทาการเรียบเรียงพิมพ์ ผลงานการปริวรรตเอกสารโบราณ วรรณกรรมท้องถ่ิน ของอาจารย์นิยม ศุภวุฒิ อาจารย์ประจา
ข ภาควิชาภาษาไทย วิทยาลัยครูสกลนคร (มหาวิทยาลัยราชภัฏ สกลนคร) อันจะยังประโยชน์ต่อผู้ศึกษา วิชาวรรณกรรมท้องถิ่น คติชนวิทยา มานุษยวิทยาและสังคมวิทยา นอกจากนี้ยังได้ช่วย อนุรักษ์และเผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่นซ่ึงเป็นสมบัติอันมีค่ายิ่ง ให้คงอยตู่ อ่ ไป ในนามของสถาบันภาษาฯ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ขอขอบใจและชื่นชมในความวิริยะอุตสาหะของผู้เรียบเรียงพิมพ์ ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานช้ินน้ีหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้เรียบเรียงพิมพ์ จ ะ ผ ลิ ต แ ล ะ พั ฒ น า ผ ล ง า น วิ ช า ก า ร ข อ ง ท้ อ ง ถิ่ น เ ช่ น น้ี ต่ อ ไ ป อี ก เ พื่ อ จ ะ ไ ด้ อ า น ว ย ป ร ะ โ ย ช น์ ต่ อ ก า ร ศึ ก ษ า ท้ อ ง ถิ่ น ใ น อ น า ค ต อยา่ งยั่งยนื สบื ไป นายสุรสทิ ธิ์ อุ้ยปดั ฌาวงศ์ ผ้อู านวยการสถาบนั ภาษา ศิลปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร
ค คำนำ ลาท้าวกาพร้าตูบตอง เป็นวรรณกรรมอิงพุทธศาสนาพ้ืนถิ่น ท่ีมีมิติแห่งความเคารพต่อพระพุทธศาสนา ในขณะเดียวกัน ก็ อ า จ เ ป็ น บั น ทึ ก ท า ง สั ง ค ม ห รื อ บั น ทึ ก เ ห ตุ ก า ร ณ์ บางเหตุการณ์ไว้ภายใต้เรื่องราวท้องถ่ิน วรรณกรรมนี้ จึงมิอาจกล่าวว่า ให้คุณค่าต่อความเชื่อความศรัทธาเท่าน้ัน หากแต่ยังให้คุณค่าในหลายเร่ือง อาทิ ด้านคติชนวิทยา มานุษยวิทยาและสังคมวิทยา เป็นต้น ซึ่งต้องมีการเรียนรู้และศึกษา ในลาดับตอ่ ไป วรรณกรรมชาดก เร่ือง ลาท้าวกาพร้าตูบตอง ฉบับ วัดเทพ นัดดา บ้านนาหนาด ตาบลฝ่ังแดง (ปัจจุบันได้รับการยกฐานะเป็น ตาบลนาหนาด) อาเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นวรรณกรรม ร้อยแก้ว ท่ีมีความสาคัญฉบับหน่ึง ของภาคอีสานโดยผู้สร้างหนังสือ คือ พระครูสาย เป็นผู้เขียนวรรณกรรมชาดก เร่ืองนี้ข้ึนเมื่อปี พุทธศักราช ๒๔๗๙ โดยวรรณกรรมอีสานฉบับน้ี ได้รับการปรวิ รรต โดย อาจารย์นิยม ศุภวุฒิ อาจารย์ประจา ภาควิชาภาษาไทย วิทยาลัยครูสกลนคร (มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร) และได้รับการ
ง สนับสนุนการดาเนินงานจัดพิมพ์เผยแพร่จากศูนย์วัฒนธรรมจังหวัด สกลนคร วทิ ยาลยั ครสู กลนครเมื่อปพี ุทธศกั ราช ๒๕๒๙ งานวิชาการและวิจัย สถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม ม ห า วิ ท ย า ลั ย ร า ช ภั ฏ ส ก ล น ค ร ไ ด้ เ ล็ ง เ ห็ น ค ว า ม ส า คั ญ ของวรรณกรรม เรื่อง ลาท้าวกาพร้าตูบตอง จึงได้จัดให้มีการเรียบ เรียงพิมพ์ขึ้นใหม่ จากเอกสารต้นฉบับท่ีเผยแพร่เม่ือปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ โดยนางสาวเอกสุดา ไชยวงศ์คต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ เพ่ือเผยแพร่แก่ผู้สนใจและเอกสารฉบับน้ี ยังเป็นเอกสารทางวิชาการลาดับที่ ๒/๒๕๖๓ ของงานวิชาการ และวิจัย สถาบันภาษาฯ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนครอกี ดว้ ย หวังเป็นอย่างย่ิงว่า วรรณกรรม เร่ือง ลากาพร้าตูบตอง ของงานวิชาการและวิจัย สถาบันภาษาฯ ฉบับน้ีจะอานวยประโยชน์ ต่อผู้สนใจศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น คติชนวิทยา มานุษยวิทยา และสังคมวิทยา พร้อมต่อยอดองค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาของบรรพ ชนสืบตอ่ ไป ดร.สถติ ย์ ภาคมฤค บรรณาธกิ าร
จ หน้า สำรบัญ ก ค คานยิ ม ๑ คานา ๑๑ บทนา ๕๒ เนอ้ื เรื่อง ๕๔ บรรณานกุ รม อภธิ านศพั ท์
ฉ
๑ บทนำ ลาท้าวกาพร้าตูบตอง เป็นนิทานชาดกแสดงเร่ืองราว เม่ือคร้ังอดีตชาติของพระสมณะโคดมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์ เป็นพระโพธิสัตว์บาเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนามาเล่าให้พระสงฆ์ และฆราวาสฟังในโอกาสต่างๆ เพ่ือแสดงหลักธรรมท่ีพระองค์ ทรงประสงค์แสดง เรื่องราวเหล่าน้ันมักมีการบันทึกคัดลอก ลงในใบลานเพ่ือให้พระภิกษุแสดงในกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ในโอกาสต่างๆ ในส่วนวรรณกรรมชาดก “ลากาพร้าตูบตอง” มีรายละเอยี ดสงั เขป ดงั ต่อไปนี้ ประวตั ิและทม่ี ำของเอกสำร หนังสือ ลาท้าวกาพร้าตูบตอง เป็นเอกสารโบราณ ท่ีผู้เรียบเรียงพิมพ์ สืบค้นจากศูนย์สกลนครศึกษา ส่วนให้บริการ เอกสารโบราณสถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัย ร า ช ภั ฏ ส ก ล น ค ร เ ป็ น ว ร ร ณ ก ร ร ม ช า ด ก ท า ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า จารลงในใบลานดิบ จานวน ๑ ผูก ๓๑ ลาน โดยอักษรจารึก เป็นอักษรธรรมอีสานด้วยสานวนร้อยแก้ว จากประวัติเอกสารระบุว่า สร้างโดยพระครูสาย เม่ือพุทธศักราช ๒๔๗๙ โดยศูนย์วัฒนธรรม จังหวัดสกลนคร วิทยาลัยครูสกลนคร (พิพิธภัณฑ์เมืองสกลนคร)
๒ ได้รับมอบต้นฉบับจากวัดเทพนัดดา บ้านนาหนาด ตาบลฝ่ังแดง (ปัจจุบันได้รับการยกฐานะเป็นตาบลนาหนาด) อาเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เม่ือพุทธศักราช ๒๕๒๘ โดยเอกสารฉบับนี้ ได้รับการปริวรรตโดยอาจารย์นิยม ศุภวุฒิ อาจารย์ประจา ภาควิชาภาษาไทย วิทยาลัยครูสกลนคร (มหาวิทยาลัยราชภัฏ สกลนคร) และได้รับการสนับสนนุ การดาเนนิ การจัดพิมพ์เผยแพร่จาก ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดสกลนคร วิทยาลัยครูสกลนคร ภายใต้ชื่อ โครงการปริวรรตวรรณกรรมอีสาน เม่อื ปีพทุ ธศักราช ๒๕๒๙ หลักเกณฑก์ ำรปริวรรตและกำรเรียบเรียงพมิ พ์ วรรณกรรมชาดก เร่ือง ลาท้าวกาพร้าตูบตองเล่มนี้ ต้นฉบับ เดิมบันทึกเป็นข้อความร้อยแก้ว เขียนต่อกันยาวไม่ได้เว้นวรรคตอน ผู้ปริวรรต (อาจารย์นิยม ศุภวุฒิ) จึงได้จัดรูปแบบการเขียน โดยการเว้นวรรคตอนเพ่ือให้มีความสละสลวยทางภาษา ดังปรากฏ รูปแบบในเอกสารของศูนย์วัฒนธรรม วิทยาลัยครูสกลนคร เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๒๙ โดยการเรียบเรียงพิมพ์ใหม่ในคร้ังนี้ ผู้ เ รี ย บ เ รี ย ง ท า ก า ร เ น้ น ค า ใ น บ า ง ค า ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ค า ท่ี เ ขี ย น ด้วยภาษาบาลี นามบุคคล และอธิบายคาศัพท์เฉพาะ อีกทั้งอธิบาย ศัพท์เพ่ิมเติมและข้อความสันนิษฐานศัพท์อื่น ๆ ในวงเล็บ ท้ายขอ้ ความ กรณที ตี่ ้นฉบบั บนั ทกึ ตกหลน่ หรือเอกสารขาดชารุด
๓ ในการปริวรรตวรรณกรรมชาดก เรื่อง ลาท้าวกาพร้าตูบตอง ฉบับน้ีผู้ปริวรรตและผู้เรียบเรียงพิมพ์ใช้รูปแบบอักขรวิธีปัจจุบัน ทั้งน้ียังคงรักษาคาศัพท์ภาษาเดิมซึ่งมีความหมาย การออกเสียง ที่คล้ายหรือแตกต่างจากภาษาไทยปัจจุบันเอาไว้ เพ่ือให้ผู้อ่าน ได้รับอรรถรสของถ้อยคาภาษาถ่ิน อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ ท้องถิ่นนนั้ ๆ คาทมี่ ีความหมายแตกตา่ งจากภาษาไทยปัจจุบัน เชน่ ตน้ ฉบับอกั ษรธรรม คำทีใ่ ชใ้ นเล่ม ภำษำไทยปัจจบุ นั พยาธิ โรค ดีหลี ดีจริง ออนซอน ชื่นชม เหิง นาน ซา เท่ากัน
๔ คาที่ออกเสยี งคล้ายหรอื แตกต่างจากภาษาไทยปัจจบุ ัน เช่น ต้นฉบบั อักษรธรรม คำที่ใช้ในเล่ม ภำษำไทยปจั จบุ ัน คนิง คานงึ ฮับ รบั ฮส รส จิง จึง ไฮ้ ไร้ ท้ังนี้ ผู้ปริวรรตได้จัดทาอภิธานศัพท์จากเนื้อหาไว้บางส่วน เพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในความหมายของคาท้องถ่ินอีสาน ทป่ี รากฏในวรรณกรรมเร่ืองนี้ เน้ือเรือ่ งยอ่ วรรณกรรมชาดก เรือ่ ง ท้าวกาพร้าตูบตอง กล่าวถึงเหตุการณ์ เ มื่ อ ค ร้ั ง ท่ี อ ง ค์ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ สั ม ม า สั ม พุ ท ธ เ จ้ า ป ร ะ ทั บ อ ยู่ ณ คันธกุฎีหรือพระมูลคันธกุฎี (เขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ โดยเป็นกุฏิหลังแรก ท่ีพระพุทธเจ้าทรงจาพรรษาเป็นพรรษาแรก หลังจากทรงตรสั ร)ู้ พระองค์ไดย้ กเหตุการณ์เมือ่ คร้ังอดีตชาติมาแสดง ในเมื่อคร้ังอดีต ณ เมืองพาราณสี ในบริเวณที่ใกล้เมืองน้ันเป็นที่ตั้ง บ้านเรือนของครอบครัวสองผัวเมียผู้ทุกข์ยาก ทั้งคู่ได้บุตรชาย ๑ คน
๕ เม่ืออายุได้ ๑๒ ปี บุตรชายของสองผัวเมียก็มีรูปโฉมที่งดงามหล่อ เหลาประดุจดั่งเทพบุตร ครั้นเม่ือเติบใหญ่มาได้ ๑๖ ปี ผู้เป็นบิดา มารดา ก็ถึงแก่กรรมจากไป ยังเหลือเฉพาะชายกาพร้า เม่ือขาดจาก บิดามารดา ชายกาพร้าก็ได้ออกจากบ้านเรือน ไปปลูกกระท่อม อยู่ชายเขตแห่งหมู่บ้านนั้น ชาวบ้านท้ังหลายเรียกชายผู้น้ันว่า “ท้าวกาพร้าตูบตอง” อยู่มาวันหนึ่งท้าวกาพร้าออกจากกระท่อม ไปหาเลี้ยงชีพ ด้วยการขอทางานรับจ้างแลกอาหาร ที่เรือนแห่งมหาเศรษฐี โดยได้รับมอบหมายจากนางภรรยามหาเศรษฐีให้ตาข้าวและฝัดข้าว ด้ ว ย ค ว า ม ท่ี ก า ร ฝั ด ข้ า ว เ ป็ น ง า น ท่ี ไ ม่ ถ นั ด ส า ห รั บ ท้ า ว ก า พ ร้ า จึ ง ท า ใ ห้ เ ม ล็ ด ข้ า ว ก ร ะ เด็ น อ อก จ า ก ก ร ะด้ ง ฝั ด ค รั้ ง น้ัน ลูกสาวคนสุดท้องของนางมหาเศรษฐีช่ือว่า “นางลุน” (จากลูกสาว ท้ังหมด ๗ คน ออกเรือนไปหดแล้ว เหลือเฉพาะลูกสาวคนสุดท้อง) ได้แลเห็น ท้าว กา พร้าฝัดข้าว ไม่เป็น จึงได้ลงจากเรือ น เพื่อท่ีจะไปช่วยท้าวกาพร้าฝัดข้าว เม่ือนางภรรยามหาเศรษฐี ผู้เป็นมารดาแลเห็นว่า ลูกสาวของตนลงไปพบปะพูดคุย และช่วยท้าวกาพร้าฝัดข้าว จึงเกิดความไม่พอใจนาความไปแจ้ง แก่มหาเศรษฐี โดยมหาเศรษฐีและนางมหาเศรษฐี ขับไล่ให้ลูกสาว ไปอยกู่ ับท้าวกาพรา้ ทีก่ ระทอ่ มชายหมู่บ้าน
๖ ครั้งน้ัน ลูกสาวแห่งนางมหาเศรษฐีได้ก็ได้เศร้าโศกเสียใจ ทา้ วกาพร้าไดป้ ลอบประโลมและมีความผกู พนั ตอ่ กัน โดยทา้ วกาพรา้ ได้หาเลี้ยงชีพด้วยการับจ้างทางานบ้านตา ข้าวหา บน้า เพื่อแลกกับอาหารประทังชีวิต ส่วนลูกสาวแห่งเศรษฐีเห็นว่า การไปรับจ้างตาข้าวหาบน้าไม่เพียงพอต่อความต้องการได้ จึงเสนอต่อท้าวกาพร้าว่าควรหาไม้ไปขายทาฟืน ท้าวกาพร้า ตอบกลับมาว่า ที่ตูบของเราไม่มีมีดพร้าหรือขวานท่ีใช้เป็นอุปกรณ์ เคร่ืองมือได้ เมื่อลูกสาวมหาเศรษฐีได้ยินจึงไปขอความช่วยเหลือ จากมารดา ทั้งนี้ ผู้เป็นมารดาก็เกิดความสงสารจึงหาขวาน พรอ้ มดา้ มอย่างดี ใหก้ บั บตุ รสาวแห่งตน คร้ันเมื่อ ลูกสาวแห่งมหาเศรษฐีได้รับขวานจากมารดา แล้วก็ลามารดากลับมายังกระท่อม ส่งขวานให้กับท้าวกาพร้า ครั้นรุ่งเช้าท้าวกาพร้าก็จึงถือขวานนั้นเข้าไปในป่าใกล้หมู่บ้าน ได้ตัดต้นไม้จันทน์แดง โดยตัดเป็นท่อนๆ ทยอยนาออกมาขาย เพ่ือเล้ียงชีพแห่งตนทุกวัน อยู่ต่อมาด้วยความทุกข์ยากลาบาก ของท้าวกาพร้าและนางลุน ทาให้พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ของพระอินทร์ส่ันสะเทือน พระอินทร์ก็ได้แลเห็นความทุกข์ยาก ของพระโพธิ์สัตว์ท่ีได้เสวยชาติเป็นท้าวกาพร้า จึงนาไหส้มอันเป็น
๗ อาหารทิพย์แห่งตนลงไปช่วยท้าวกาพร้า โดยเนรมิตกายให้เป็นชาย ชรา ไปดักรอทา้ วกาพร้ารมิ ทางเดนิ ภายในป่าแหง่ น้ัน ครั้งน้ัน ท้าวกาพร้าเข้าไปเอาฟืนภายในป่าขณะกลับออกมา ก็ได้พบกับชายชรา ในคร้ังน้ันชายชราจึงถามท้าวกาพร้าว่า ม า ท า อ ะ ไ ร ใ น ป่ า ท้ า ว ก า พ ร้ า ก็ ไ ด้ ต อ บ ถึ ง ค ว า ม จ า เ ป็ น ด้วยการหาเล้ียงชีพ ชายชราจึงได้เสนอยกไหส้มลูกน้ัน ให้กับท้าวกาพร้า เพื่อจะได้นาไปรับประทานและแบ่งไว้ขาย ครั้นเม่ือ ท้าวกาพร้าได้รับไหส้มจากชายชราแล้ว ชายชราผู้นั้น ก็ได้หายตัวไป ท้าวกาพร้าจึงนาไหส้มกลับมายังกระท่อมแห่งตน และส่งไหส้มลูกนั้นให้กับนางลุน เมื่อท้ังสองเปิดชิมดูก็รับถึงรสชาติ อนั อรอ่ ยยงิ่ นักทง้ั สองจึงแบง่ ไวร้ บั ประทานเลี้ยงชีวติ อยู่มาวันหน่ึง สามีของพี่สาวนางลุน หรือลูกเขยท้ัง ๖ คน แห่งมหาเศรษฐี จะล่องสาเภาเดินทางไปค้าขายยังเมืองตานีราชธานี ท้าวกาพร้าและนางลุนมีความต้องการที่จะนาไหส้มไปขายด้วย ครั้งน้ัน นางลุนอาสาไปขอให้พ่ีเขยและพ่ีสาวท้ัง ๖ แห่งตน อ นุ ญ า ต น า ช า ย ก า พ ร้ า โ ด ย ส า ร เ รื อ ส า เ ภ า ไ ป ค้ า ข า ย ด้ ว ย พ่ี ส า ว ก็ ก ล่ า ว ดู ถู ก ยิ่ ง นั ก แ ต่ ก็ ไ ด้ รั บ อ นุ ญ า ต ใ ห้ ร่ ว ม เ ดิ น ท า ง โดยมอบหมายให้ท้าวกาพร้าทาหน้าที่ ๓ อย่าง คือ นึ่งข้าว จั ด เ ต รี ย ม ส า รั บ อ า ห า ร ใ ห้ ค ร บ ทุ ก ม้ื อ แ ล ะ วิ ด น้ า ส า เ ภ า
๘ นางลุนจึงนาความไปแจ้งแก่ท้าวกาพร้า ครั้นถึงวันเดินทาง ท้าวกาพร้าจึงนาไหส้มลงเรือพร้อมทาหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย โดยมิไดบ้ กพรอ่ ง การเดินทางใช้เวลานาน ๓ เดือน เรือสาเภาก็เดินทาง ถึงเมืองตานีราชธานี เหล่าพ่ีเขยทั้ง ๖ ก็ลงจากเรือนาสนิ ค้าไปคา้ ขาย แลกเปล่ียน คร้ันท้าวกาพร้าลงจากเรือก็เร่ขายไหส้มน้ัน ในบริเวณตลอดภายในเมือง ครั้งน้ัน พญาพรหมจักร ผู้ครองเมืองตานีราชธานี ได้ยินเสียงท้าวกาพร้าประกาศขายไหส้ม ก็จึงใช้ให้เสนาอามาตย์ ไปนาตัวท้าวกาพร้ามาเข้าเฝ้า พญาพรหม จักร สอบถามถึงความเป็นมาต่อท้าวกาพร้า ครั้นทราบว่า ชายกาพร้ามาขายส้มจึงได้ลองชิมส้มนั้น แล้วก็เกิดความพอใจ ในรสชาติยิ่งนัก พญาพรหมจักรจึงขอซื้อไหส้มจากท้าวกาพร้า โดยจัดพระราชทรัพยป์ ระกอบดว้ ย ข้าทาสบริวารชายหญงิ สัตว์เล้ยี ง และยานพาหนะอยา่ งละ ๕๐๐ ใหเ้ ป็นของแลกเปลยี่ น คร้ันถึงเวลาเดินทางกลับเมืองพาราณสี ท้าวกาพร้าบอกให้ เขยท้ัง ๖ ของมหาเศรษฐีเดินทางกลับไปก่อน ท้าวกาพร้าถูกดูหม่ินดู แคลนว่า ขายไหส้มยังไม่ได้ ฝ่ายเขยท้ัง ๖ แห่งมหาเศรษฐีจงึ ออกเรอื กลับเมืองพาราณสี ฝ่ายพญาพรหมจักร เม่ือให้เสนาอามาตย์ จัดเตรียมส่ิงของแลกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ได้มอบให้กับท้าวกาพร้า
๙ ค รั้ น เ ม่ื อ วั น รุ่ ง ขึ้ น ท้ า ว ก า พ ร้ า จึ ง ทู ล ล า พ ญ า พ ร ห ม จั ก ร เดินทางกลับสู่เมืองพาราณสี กองเรือของท้าวกาพร้าแล่นไปทันเรือ ของเขยท้ัง ๖ แห่งมหาเศรษฐี ครั้นแลเห็นกองเรือของท้าวกาพร้า จึงบังเกิดความยาเกรง พากันยกทรัพย์สินท่ีค้าขายหามาได้ มอบให้กบั ทา้ วกาพร้า คร้ันเมื่อท้าวกาพร้าเดินทางถึงเมืองพาราณสี จึงสั่งให้บริวาร ที่ติดตามมาตั้งบ้านเรือนข้ึน ณ บริเวณชายหมู่บ้านนั้น ฝ่ายมหาเศรษฐีได้ทราบเร่ืองท้าวกาพร้าไปขายไหส้มได้ทรัพย์สมบัติ มากมายจึงได้มอบทรัพย์สมบัติให้กับท้าวกาพร้า โดยท้าวกาพร้ายัง ได้สละทรัพย์เป็นทานให้กับผู้ยากไร้ ครั้นเม่ือความทราบถึงพญา พรหมทัต ผู้ครองเมืองพาราณสี ซ่ึงไม่มีองค์รัชทายาท ได้เห็นบุญญาธิการและความเมตตาของท้าวกาพร้า ก็ได้ยก ราชสมบตั ิให้แกท่ า้ วกาพรา้ ปกครองเมอื งพาราณสสี ืบตอ่ มา พระพุทธเจ้าทรงอธิบายถึงอดีตของ บุคคลใน เรื่อ ง โ ด ย พ ญ า อิ น ท ร์ เ ป็ น พ ร ะ อ นุ รุ ท ธ เ ถ ร ะ พ ญ า พ ร ห ม ทั ต เป็นพญาปเสนทิโกศล พญาตานีราชธานี เป็นอานนทเถระ มหาเศรษฐี เปน็ อานาถบิณฑกิ เศรษฐี นางมหาเศรษฐี เปน็ นางวิสาขา พี่เขยท้ังหก เป็นเทวทัต พ่ีหญิงทั้งหก เป็นนางกิญจมานวิกา นางหล้า เป็นพระยโสธราเถรี และชายกาพร้า เป็นสมเด็จพระ
๑๐ สัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนบริวารแห่งท้าวกาพร้าและท้าวพญาทั้งปวง เป็นพทุ ธบริษัทในพระบวรพุทธศาสนา ในนามผเู้ รียบเรียงพิมพว์ รรณกรรมชาดก เรื่อง ลาท้าวกาพรา้ ตูบตอง ฉบับน้ี ขอขอบคุณผู้ปริวรรตวรรณกรรมจากต้นฉบับ และสถาบันภาษา ศิลปะและวัฒนธรรมท่ีให้การสนับสนุน ในการดาเนินการเรียบเรียงและจัดพิมพ์ หวังเป็นอย่างย่ิงว่า เอกสารฉบบั น้ี จะอานวยประโยชน์ต่อการศึกษาของผทู้ ี่สนใจต่อไป. เอกสดุ า ไชยวงศ์คต เรียบเรยี งพมิ พ์
๑๑ วรรณกรรม เรื่อง ลำทำ้ วกำพรำ้ ตูบตอง ฉบบั วัดเทพนัดดา ตาบลนาหนาด อาเภอธาตุพนม จังหวดั นครพนม อติเตกำเล ในกาละเม่ือนั้น พระเจ้าก็อยู่ในคันธกุฎี ก็ได้ยินด้วยทิพยโสตวิญญาณแห่งตน พระเจ้าก็เสด็จออกมา นั่งอยู่เหนืออาสนะ อันเจ้าภิกขุทั้งหลายหากปูแปลงไว้แล้ว พระจิงถามว่า ดูรา ภิกขุท้ังหลาย สูท่านท้ังหลาย มาต้านจารจา ด้วยถ้อยคาอันใดบ่ลุกพรากจากกันจักเทื่อ ตราบต่อเท่ากู พระตถาคตมาฮอด จิงอย่า จิงเซา นี้จา เมื่อน้ัน ภิกขุเจ้าตนฉลาด จิงขานด้วยพุทธโวหารว่า ภนฺเต ข้าไหว้เจ้ากู มย อันว่า ฝูงข้าท้ังหลาย ก็มาต้านจารจาด้วยถ้อยคาอันมีช่ือดังน้ี ก็ข้าแล เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าจิงกล่าวว่า ภิกฺขเว ดูรา ภิกขุท้ังหลาย อห อันว่า กูพระตถาคต ก็ได้เกิดเป็นทุกข์ไฮ้ขีนใจ อยู่นานหลายเทื่อ หลายที ไจว้ๆ แท้ดหี ลแี ล คร้ันว่า พระเจ้ากล่าวท่อนั้นแล้ว อำห อันว่า ตวำ ก็นาเอามา เทศนาแก่ภิกขุท้ังหลายว่า ภิกฺขเว ดูรา ภิกขุท้ังหลาย อติเตกำเล ใ น ก า ล เมื่อ ล่ ว ง ไป แล้ ว วั นนั้น ยั ง มีพระย า ตน ๑ ช่ื อว่ า พระยาพรหมทัต ก็ได้เสวยยังสิริสมบัติในเมืองพาราณสี ด้วยอันประกอบทศราชธรรม ๑๐ ประการ มีทานแลศีล เป็นต้น
๑๒ ก็มีแล ตทำ ในกาลเม่ือน้ัน ยังมีคนทุกข์ไฮ้ขีนใจสองผัวเมีย ก็อยู่ในบ้านอันมีหน่งึ อันใกล้เมืองพาราณสี มีประมาณพันวา ก็มีแล ส่วนดั่งชายทุกข์ไฮ้อันเป็นผัว ก็บ่มีวัตถุเข้าของเงินคา อันจักเล้ียง เมียแห่งตนก็บ่ได้พอท่อไปกระทาการจ้าง มีต้นว่า ไปตาเข้า (ข้าว) แลเสียหญ้า แลตักน้า จ้างกินทุกเมื่อทุกยาม ก็มีแล ส่วนดังยิง ทุกข์ไฮ้ขีนใจ อันเป็นเมียน้ัน ก็ทงคัพก็นานได้ ๑๐ เดือน แลว้ กป็ ระสูตไิ ดล้ ูกชายผู้หนง่ึ ห้นั แล ในเม่ือลูกขา (เขา) ทั้งสองเกิดมาแล้ว ขาท้ังสองก็อุตสาหะ เลี้ยงดูลูกแห่งขา (เขา) ก็ลวดใหญ่มามีอายุได้ ๑๒ ปีแล้ว ก็ลวดบังเกิดมีฮูปโสม (รูปโฉม) อันงามมนานัก เป็นประดุจดั่ง เทวบุตรอันลงมาแต่ฟ้าตาวติงสาน้ันแลในเม่ือเจ้ากุมมาร (กุมาร) ใหญ่มาได้ ๑๖ ปี แล้วขา (เขา) ท้ังสองอันเป็นพ่อแลแม่ก็มีอายุ วันเส้ียง (สิ้นอายุขัย) แล้วก็ลวดตายไปทั้งสองพร้อมกัน หั้นแล เ มื่ อ น้ั น ช า ว บ้ า น ทั้ ง ห ล า ย เ ห็ น ช า ย ทุ ก ข์ ส อ ง ผั ว เ มี ย ต า ย แ ล้ ว เขาก็พร้อมกันมาเลิกซากส่งสการ บรบวรแล้ว เขาก็พร้อมกัน เมือหาเฮือนแห่งเขาทุกๆ คน ก็ท่อยังแต่ชายทุกข์ไฮ้คนเดียว บ่มีบุคคละผู้ใดอยู่ดอมจักคน เจ้าก็ลวดหนีจากเฮือนไปปลูกตูบ อยู่ในแคมบา้ นนน้ั แล้วเจา้ ก็ไปหาฟดไม้มามุงตูบแหง่ ตน คนท้งั หลาย จิงได้เฮียกชอื่ วา่ ท้ำวกำพรำ้ ตบู ตอง เพ่ือดังนัน้ แล
๑๓ เมื่อท้ำวกำพร้ำไปตาเข้า (ข้าว) แลเสียหญ้าจ้างกินทุกวัน ๆ ครั้นว่า ได้กินอิ่มแล้ว เจ้าก็มาน่ังอยู่ในตูบแห่งตนนั้นแล ยังมีในวันหน่ึงท้ำวกำพร้ำไปขอจ้างตาข้าวในเฮือนเศรษฐีผู้หนึ่ง ด้วยคาว่าข้าแต่เจ้ามหำเศรษฐี ในวันนี้ ยังจักตาเข้า (ข้าว) รือ ฮูว่าบ่ตา นั้นจา เม่ือนั้นมหำเศรษฐีจิงกล่าวว่า ดูรา คนทุกข์ คร้ันว่า มึงจักตาได้กูจักเอาเข้า (ข้าว) เปลือกให้ตา นั้นแล เม่ือนั้น ชายทุกข์ไฮ้จิงกล่าวว่าข้าแก่เจ้ากู ผู้ข้าก็บม่ ีสงั กิน ผู้ข้าจิงได้มาตาเข้า (ข้าว) จ้างกินนั้นแล ครันว่า เจ้ากูจักตาท่อใด ก็จงตักเอาเข้า (ข้าว) เปือกมาให้ผู้ข้าตา ก็ข้าเทอญ เมื่อนั้นนำงมหำเศรษฐี จิงบายเอาบุง ไปตกั เอาข้าวในเลา้ ในสาง (ฉาง) มาให้แกช่ ายกาพร้านั้นแล เมื่อน้ันชายกาพร้า จิงไปฮับเอาบุงข้าวเปลือก กับดอมนำง มหำเศรษฐี ไปถอกใส่ครกแล้ว ก็ลวดตาหั้นแล ในเมื่อชำยกำพร้ำตา เข้า (ข้าว) แหลกแล้ว เจ้าก็เอาด้ง (กระด้ง) มาควัดข้าวใส่ด้ง (กระด้ง) ก็ลวดฝัดห้ันแล เม่ือนั้น ชำยกำพร้ำฝัดข้าวบ่เป็น เจ้าก็ฝัดซิกไปหน้า เข้า (ข้าว) ก็เฮี่ยฮวายตกลงมาเมื่อก้าหลัง ครั้นว่าเจ้าฝัดซิกไปก้าหลัง เข้า (ข้าว) ก็เฮี่ยฮวายตกลงไปก้าหน้า ห้ันแล ส่วนด่ังลูกสาวมหาเศรษฐีในเฮือนท่ีนั้นก็มี ๗ คน ส่วนด่ังผู้พ่ีหญิงทั้ง ๖ น้ัน ก็ได้ผัวแล้ว ก็ท่อยังแต่นำงหล้ำผู้เดียว บท่ นั ได้ผวั จกั เท่อื แล
๑๔ เม่ือนั้น นำงหล้ำก็มาน่ังงอยปล่องสีหเบ็งชร (สีหบัญชร) คือว่า ปล่องลมแลปล่องเย่ียม (หน้าต่าง) หลิงแลดูก็เห็นชายกาพร้า ฝั ด เ ข้ า ( ข้ า ว ) บ่ เ ป็ น ดั ง น้ั น น ำ ง ห ล้ ำ ก็ ค นิ ง ใ น ใ จ ว่ า โอนอ ชำยกำพรำ้ ผนู้ ฝ้ี ดั ข้าวบ่เปน็ สนั น้ี ควรกลู งเฮือนไปฝดั เขา้ (ขา้ ว) ให้แก่มันจิงควรแล ครั้นว่า นางคนิงใจสันนั้นแล้ว นางก็ลงเฮือน ไปแล้วกล่าวว่า ข้าแก่เจ้ากู เป็นดังฤา เจ้ากูฝัดเข้า (ข้าว) เลยเล่าหนหน้าหนหลังอยู่ เป็นดังฤาน้ันจา มีคาว่า เจ้าฝัดเข้า (ข้าว) บ่เป็นน้ันฤา เมื่อน้ันชำยกำพร้ำจิงกล่าวว่า ภเท ดูรา นางสวรรค์ ดังเฮาพ่ีนี้ก็ฝัดเข้า (ข้าว) บ่เป็น ก็จิงหนหน้าหนหลังอยู่สันนี้แล เจา้ นางจงมาฝัดใหแ้ ก่ขา้ ผพู้ แ่ี ดเ่ ทอญ เม่ือนั้น นำงหล้ำก็ขานว่า เออ ๆ ว่าดังนั้นแล้ว ก็ไปบายเอา ด้ ง ฝั ด ม า ฝั ด เ ข้ า ( ข้ า ว ) ใ ห้ แ ก่ ช ำ ย ก ำ พ ร้ ำ แ ต่ หั้ น แ ล เม่ือน้ันนำงมหำเศรษฐี ก็หลิงเห็นลูกสาวหล้าแห่งตน ไปฝัดเข้า (ข้าว) ให้แก่ชำยกำพร้ำ ดังน้ัน ก็เอิ้นใส่มหำเศรษฐีอันเป็นผัวแห่งตนว่า ข้าแต่ มหำเศรษฐีเจ้าเอย ส่วนดังอีหญิงเกถ่อยฮ้าย มันก็ไปฝัดเข้า (ข้าว) ให้แก่ผัวมันพุ้นเด ว่าดังนั้น เมื่อนั้น เศรษฐีได้ยินคาเมีย ตนบอกสันนั้น ก็ซ้าเคียดมากย่ิงนักหนา ก็บอกให้ข้าหญิงแห่งตนว่า ดูรา ข้าหญิงมึงจงไปรื้อลอกเอาเครื่องประดับประดาในเนื้อตน
๑๕ แห่งคนถ่อยฮ้ายผู้นั้นมาไว้หมดให้ถ้วนน้ันเทอญ มึงจงเอาไว้ แตเ่ ครอื่ งน่งุ อนั ขาดนั้นเทอญ คร้ันว่า ข้าหญิงได้ยินคาเศรษฐีกล่าวสันน้ัน มันก็ไปรื้อลอก เอามาไว้ให้แก่ท่านมหาเศรษฐีแท้หั้นแล เม่ือน้ัน มหำเศรษฐี จิงเอ้ินใส่ลูกสาวแห่งตนว่า อีหญิงเกถ่อยฮ้ายครั้นว่า มึงมักชายทุกข์ ผู้นั้นแท้ดังนั้น มึงจงไปอยู่กับดอมมันเป็นเมียเสียเทอญ มึงอย่ามาข้ึนมาหาเฮือนกูเทอญ ครันว่า มหาเศรษฐีมีคากาฮาบ นาบด่าสันน้ัน นางหล้าก็อยู่บ่ได้ นางก็หนีตามหลังชายกาพร้า ไปบ่นานท่อใด ก็ลวดไปฮอดตูบตองอันเป็นท่ีอยู่แห่งตน ครันว่า ชายกาพร้ากับท้ังนางหล้าเมือฮอดแล้ว เจ้าท้ังสองก็พร้อมกัน ข้ึนอยู่ในตูบตองอันนั้นแล้ว สูงประมาณเพียงแอว ลวงกว้าง ประมาณพอ ๔ คน นอนดอมกันได้นั้นแล ค รั น ว่ า น า ง ข้ึ น ฮ อ ด ตู บ แ ล้ ว น า ง ก็ ค นิ ง ใ จ ว่ า โอนอ ส่วนดังบุญแห่งกูน้ี ก็มีพอประมาณเพียงนี้แลนอ ในเม่ือกูอยู่กับดอมพ่อแลดอมแม่ที่พุ้น ก็มีหลังเฮอื นอันสูงประมาณว่า เพียงหัวคนยนื ลวงกวา้ งประมาณ ๑๒ หอ้ ง บอ่ าจจกั คับคงั คนไดแ้ มน่ ว่า คนฮ้อยหน่ึงขึ้นไปอยู่ เป็นที่สนุกชมช่ืนยินดีด้วยเส่ือสาด อาสนะเคร่ืองนุ่งของทง คือว่า ลัวแฮแพรจีนบ่อาจจักนับได้ บัดนี้ เลยเล่านุ่งอันเค้าแลถืออันขาดอันฮ้าย แม่นว่า ผ้าสไบ
๑๖ อันจักพาดบา่ ก็บม่ ีสนั นี้ ส่วนดังบุญสมภารแห่งกู ก็มพี อประมาณเพียง นี้แลนอ ครันว่า นางคะนึงใจสันน้ีแล้ว น้าตาก็ไหลออกบ่ขาด มากนกั หนา แล้วกล็ วดฮ้องไหอ้ ยูบ่ ข่ าดสายนนั้ แล เม่ือนั้น ชำยกำพร้ำก็เห็นนางหล้าฮ้องไห้อยู่บ่ขาดสายสันน้ัน ก็ถามว่า ภเท ดูรา นางเป็นดังฤา จิงมาฮ้องไห้ฮ่าไฮไปมา บ่ขาดสายนี้จา มีคือว่า เจ้าเจ็บปวดท้องเป็นพยาธิโรคาสันใดก็ดี นางจงบอกให้แก่เฮาผู้พ่ี ให้ได้ไปหาว่านมาฝนทา หายามาฝนใส่ จงให้น้องแก่นไท้หายพยาธิโภยภัยก็พ่ีเทอญ เมื่อน้ันนางจิงยอมือ ไหว้ชำยกำพร้ำว่า ข้าแก่ เจ้ากู ผู้ข้าก็บ่ได้ต้องพยาธิโภยภัย ในตนในตัวสันใดก็ข้าแล ท่อว่า ผู้ข้ามาเป็นทุกข์ด้วยประการดังน้ี ในกาลเม่ือก่อนพุ้น อันผู้ข้าได้อยู่กับดอมพ่อแม่ วันนั้น ผู้ข้าก็ได้อยู่ ได้นอนเส่ือสาดอาสนะอันดีอันงาม แม่นว่ากินอันใดก็ดี ก็ได้กินโภชนาอาหาร อันมีฮสหลายประการต่าง ๆ บัดน้ี ผู้ข้าก็มาอยู่ในตูบตองก็บ่มีสังฮองนอนจักหยาด แม่นว่า มีเครื่องนุ่งขาด ก็หยิบแท้ดีหลี ผู้ข้าก็เป็นทุกข์ท่อน้ี ก็จิงฮ้องไห้ ฮ่าไฮไปมาแท้ดีหลแี ล เ ม่ื อ นั้ น ช ำ ย ก ำ พ ร้ ำ จิ ง ซ้ า ถ า ม ว่ า ดู ร า น า ง เ อ ย ในเม่ือนางมาอยู่กับดอมพ่ีสันนี้นางจักมาอยู่ด้วยประการสันใด นึกว่าพ่อและแม่แห่งนาง บอกให้เจ้ามาผิปองเอาพ่ี ด้วยกิริยา
๑๗ มายาสันใดก็บ่ฮู้ได้ ครันว่า ข้าผู้เป็นพ่ีน้ี ได้ต้องได้ซูนเจ้า ด้วยครองสงสาร แลเมถุนาฮัมมาสันใดๆ ก็ดี พ่อแลแม่แห่งเจ้า ก็จักมาใส่โทษแห่งข้า ด้วยอันผิดผีปู่และผีตาผิดของฮักษา คือว่า ผีเฮือนแลผีด้า ผีอันเคยกินข้าวจ้า แลกินไก่แลกินหมูควาย เฮาพี่ก็จักดับจักวาย ครัวเฮือนบ่มีสัง อันจักแบ่งเจ้าพรมเหง้าสายใจ ก็พ่นี า เมื่อน้ัน นางจิงยอมือไหว้ชำยกำพร้ำว่า ข้าแต่เจ้ากู ผู้ข้ามาอยู่ กับดอมเจ้ากูสันนี้ ก็บ่มาด้วยประการสันใด ผู้ข้าก็มาอยู่ดอม เพ่ือว่าจักเป็นเมียเจ้านั้นแล ครันว่าเจ้ากูบ่เอาผู้ข้าเป็นเมียดังน้ัน เจ้ากูเอาเป็นข้อยข้าทาสาใช้ช่วงก็ดี ก็ท่อเอาผู้มีถือ ตกแต่ง พรอ้ มทกุ แห่งบรบวรกข็ า้ เทอญ ประการหนึ่ง ผวิ า่ เจา้ กบู เ่ อาเป็นขอ้ ย ข้าทาสาอันน้ัน แม่นว่า เจ้ากูจักขายแลกเอาเงินคา มาเล้ียงชีวิต แห่งเจ้าก็ดี ประการหนึ่ง ผิว่า เจ้าบ่มีประโยชน์อันซ้ือแลขายดังน้ัน เจ้ากูจักฆ่าถ้ิมไหลน้าดังหมูแลหมาก็ดี บ่กว่าพระโสภาแก่นไท้ ตกแต่งไว้ตามใจกข็ า้ เทอญ เ มื่ อ น้ั น ช ำ ย ก ำ พ ร้ ำ ไ ด้ ยิ น ค า น า ง ห ล้ า ก ล่ า ว สั น นั้ น แ ล้ ว จิงอุ้มเอานางมาจูบชมดมขม่อม แล้วจิงกล่าวว่า ภเท ดูรา นางเอย เป็นดังฤาเจ้าจิงตัดดังเสาเถียง ตัดเพียงเสาเล้า พ่ีบ่ให้เจ้าเป็นทาสี พ่บี ข่ ายหนไี ปเมอื หนา้ พบี่ ่ฆา่ แลฟันเจา้ ให้ตายไป พ่บี เ่ อาพระจอมไตร
๑๘ ไปถ้ิมไหลน้า พี่ก็ฮักยิ่งล้าดั่งหน่วยตา พ่ีจักเอาโสภามาเทียมอุ่นข้าง ข อ แ ก่ พ ร ะ บุ ญ ก ว้ า ง อ ย่ า ง โ ศ ก เ ศ ร้ า เ คื อ ง ใ จ ก็ พ่ี เ ท อ ญ ครันว่า ชายกาพร้ากล่าวสันนั้นแล้ว นางก็มีใจอันชมชื่นยินดี แล้วก็หัวต่อชายกาพร้าจอมศรี นางก็ความือบายแขนท้าว เจ้าก็ต้ังต่าวหน้าเชยชม ตามนิยมครองโลก บ่เศร้าโศกโสกาก็มีแล เม่ือนั้น เจ้าทั้งสองก็ต้าน จารจาด้วยถ้อยคาอันเป็นท่ีฮัก เซ่ิงกันไปมา แต่อรุณณาข้ึนเม่ือเช้า ตราบต่อเท่าเถิงค่ามืด แล้วเจา้ กพ็ ากันนอนกม็ แี ล ในเมื่อฮาตีกลางคืนมาแล้ว เจ้าทั้งสองก็เป็นอันหนาวมากนัก เพื่อ ว่ า บ่มีผ้า อั น จัก ห่มจักตุ้ม พอป ระมา ณผืนหนึ่ง ก็ บ่ มี ก็ท่อมีแต่ผ้าขาวผืนหน่ึง ลวงกว้างประมาณ ๔ คืบ ลวงยาววาหนึ่ง ค รั น ว่ า ผัว ห่มแล้ ว เมีย ก็ นอนอยู่ แต่ตัวด าย ดอกสิ่งเดียว ครันว่า เมียห่มแล้ว ผัวก็นอนอยู่แต่ตัวดายดอกส่ิงเดียว ตราบต่อเท่าฮุ่งแจ้ง แล้วก็พร้อมกันไปกระทากินจ้าง คือว่า ตาเข้า (ข้าว) แลตักน้าให้แก่ท่านทุกค่าเช้าวันคืน ครันว่า ได้กินอิ่มท้องแล้ว ก็มานอนอยู่ในตูบตอง อันเป็นท่ีอยู่แห่งตนก็มีแล เม่ือนั้น นำงหล้ำผู้เป็นเมีย กล่าวเซ่ิงผัวแห่งตนว่า ข้าแต่เจ้ากู ในเมื่อฮาท้ังสองไปกระทาจ้างกินสันนี้ ก็บ่พอกินสืบไปหลายวัน ก็ท่อกินพอแต่เทื่อเดียวแล บัดนี้ เจ้ากูควรไปหาหลัวแลฟืน
๑๙ มาขาย เล้ียงชีวิตแห่งเฮาก็จิงควรชะแล เม่ือนั้น ชำยกำพร้ำ จิงกล่าวเซ่ิงเมียแห่งตนว่า ภเท ดูรา นางเอย ในเมื่อฮา (เฮา) ทั้งสองจักไปหาหลัวแลฟืนมาขายแลกกินดังน้ัน ส่วนดังพร้าแลขวาน แห่งฮา (เฮา) พอประมาณฟันหลัวแลฟืนได้ก็บ่มี ก็ท่อมีแต่พร้า ดวงเดียวน้อยๆ อันจักฟันไม้ใหญ่ลาหลวง พอเป็นหลัวแลฟืน อันจักซื้อแลขายแลกกินดังนั้น ส่วนดังพร้าแลขวาน ก็บ่อาจจักฟัน เอาไดแ้ ลนานางเอย เ ม่ื อ นั้ น น า ง จิ ง ก ล่ า ว ว่ า ข้ า แ ก่ เ จ้ า ผู้ พ่ี แ ล มี ดั ง นั้ น ข้ า ก็ จั ก ไ ป ข อ เ อ า ข ว า น กั บ ด อ ม พ่ อ แ ล แ ม่ แ ห่ ง ข้ า ก่ อ น เ ท อ ญ ครันว่า นางกล่าวสันน้ันแล้ว เจ้าก็บายเอาผ้าสไบขาวกับดอมผัวแล้ว ก็ ล ง จ า ก ตู บ ต อ ง แ ล้ ว ก็ ล ง ไ ป เ ถิ ง เ ฮื อ น แ ห่ ง ม ห า เ ศ ร ษ ฐี อันเป็นพ่อ แลแม่ แล้วก็ไปยืนอยู่แคมทูบครกท่ีน่ัน บ่ปากบ่ตีงสันใด ห้ันแล เมื่อน้ัน นำงเศรษฐีตนเป็นแม่ ก็เห็นลูกสาวหล้าแห่งตน ม า ยื น อ ยู่ ใ น ทู บ ค ร ก ท่ี นั่ น บ่ ป า ก บ่ จ า น า ง จิ ง ถ า ม ว่ า ดูรา อียิงเกถ่อยฮ้าย มึงมักชำยกำพร้ำ มึงจิงไปอยู่เป็นเมียมัน บดั นี้ มึงจกั คืนมาหาเฮือนกูสังจา เมื่อน้ัน นำงหล้ำจิงกล่าวเซิ่งแม่แห่งตนว่า ข้าแต่แม่เป็นเจ้าเอย ส่วนดังเผือข้าท้ังสอง คือว่า ลูกเขยแห่งแม่เป็นเจ้ากับผู้ข้า ก็บ่มีขวาน อันจักฟันหลัวแลฟืน นึ่งเข้า (ข้าว) แลหุงแกงกิน ผู้ข้าจิงได้มาขอ
๒๐ เอาขวานกับดอมพ่อ แลแม่ พอให้ได้ฟันหลัวแลฟืน มาขายเลี้ยงชีวิต แด่ถ้อนแม่เอย ว่าดังนั้น นางเศรษฐีอันเป็นแม่ ได้ยินคาลูกสาว กล่าวสันน้ัน ก็มีใจอีดูกูณา (กรุณา) ลูกแห่งตนมากนัก ก็ จิ ง ไ ป เ อ า ข ว า น เ ห ล็ ก ป อ ด เ ห ล็ ก ดี บ่ เ พ บ่ เ ป้ บ่ บ่ า น ม า ใ ห้ แ ก่ ลู ก ส า ว แ ห่ ง ต น แ ล้ ว ก็ เ อ า มื อ ซุ ก ห ลั ง ลู ก ต น ให้ฮีบหนีก็แม่เทอญ ครันว่าพ่อเจ้ามาเห็น ก็จักป้อยแลด่า ฆ่าแลตแี ม่นา เมื่อนั้น นำงหล้ำได้ขวานกับดอมแม่แห่งตน แล้วก็ลวดฟ้าว ต่าวพลันมาเถิงตูบอันเป็นท่ีอยู่แห่งตน แล้วก็เอาขวานยื่นให้ แก่ชำยกำพร้ำ อันเป็นผัวแห่งตนหั้นแล เม่ือนั้น ชำยกำพร้ำ ได้ขวานแล้ว เจ้าก็ลวดไปสู่ป่าดงพงไพร เพ่ือว่าจักแสวงหา ยังหลัว แลฟืนมาเลี้ยงชีวิตแห่งตน ดังนั้น ก็ไปเห็นไม้แก่นจันทน์แดง ต้นหนึ่ง เจ้าก็เอาขวานแห่งตน ตัดไม้ต้นนั้นหักลงท่าวลงดิน แล้วเจ้าก็ฟันให้ขาดเป็นบั้นเป็นท่อนแล้ว ลวงยาวประมาณสองศอก แล้วเจ้าก็เอาขวานมาผ่าแตก แล้วเจ้าก็เก็บมากองคูนไว้พอประมาณ พอหาบ แล้วเจ้าก็เอาเครือเขามามัด ประมาณท่อเยียเขานั้น แล้วเจ้าก็แต่งหาบ ก็ลวดยอข้ึนใส่บ่า หาบมาด้วยลาดับป่าดงที่นั้น บ่นานท่อใดก็มาเถงิ ตูบแหง่ หน้ั แล
๒๑ เมื่อน้ัน นำงหล้ำก็น่ังงอยขั้นไดตูบแห่งตน หลิงแลดูหนทาง อันผัวตนไปเอาฟืนนั้น บ่นานท่อใดก็เห็นผัวหาบฟืนมา เจ้าก็มีใจชมช่ืนยินดี ด้วยคาว่า ผัวกูมาฮอดแล้ว ว่าดังน้ันแล้ว ก็โตนเฮือนลงไปฮับผัวแห่งตน ครันว่า นางไปฮอดแล้ว ก็ความือ บ า ย เ อ า ห า บ ฟื น ใ น บ่ า ผั ว แ ห่ ง ต น ก็ เ ป็ น อั น ห นั ก ม า ก นางจิงบายเอาขวานกับพร้า อันผัวตนเหน็บไว้ในหาบฟืนน้ัน แล้วนางก็มาตามหลังผัวแห่งตน ตราบต่อเท่าเถิงตูบตอง แล้วชำยกำพร้ำก็ถิ้มหาบฟืนลงจากบ่าแห่งตน ก็มีเสียงอันดังยิ่งนัก ประดุจดังฟา้ ผา่ นั้นแล แผน่ ดินก็หว่ันไหวไปมาท่วั ทิศา เมืองพาราณสี ทัง้ มวลหนั้ แล เมื่อ นั้ น น ำ ง หล้ ำ ก็ได้ ฟืนอันนั้น แล้ ว ก็แบกไป ข า ย ครันว่านางขายฟนื อันนั้นขาดหมดแล้ว นางก็ไปซ้ือเอาเข้า (ข้าว)สาร แลชิ้นปลาอาหาร แลเครื่องนุ่งของห่มได้พอแล้ว นางก็คืนมา ฮอดตูบตอง นางก็เอาเสื้อผ้า อันเป็นค่าฟืนแห่งตนย่ืนให้ผัว น า ง ก็ ท ง เ ค ร่ื อ ง เ อ้ ห ย้ อ ง แ ล ป ร ะ ดั บ ป ร ะ ด า ตั ว ต น แ ห่ ง น า ง แล้วเจ้าทั้งสองก็มีฮูปโสม อันงามประดุจดังเทวบุตรเทวดา อยู่กับดอมกันนั้นแล ครันว่า เจ้าทั้งสองทงเคร่ืองหย้องบรบวรแล้ว ก็พร้อมกันกินข้าวน้าโภชนาอาหาร อันนางเอาฟืนไปแลกน้ัน บ่อึดบ่อยากมีมากพร้อมทุกสิ่งทุกอัน มีทั้งเครื่องหวานแลเคร่ืองคาว
๒๒ แซบซ้อย กล้วยอ้อย แลหมากพลู ท้ังบุหรี่ แลยาดูดท้ังมวล บ่ทุกข์ บ่ยากหัน้ แล ในเม่ือพระอาทิตย์ตกต่าลับจอมดอยไปแล้ว เจ้าทั้งสอง ก็พร้อมกันนอนห่มผ้า มีผิวพรรณอันงามยิ่งนัก แม่นว่า ตนนางก็ยูท่างห่มผ้าท้ังหลาย คือว่า ผ้าฝ้ายแลผ้าไหม บ่เคืองใจย่ิงนัก บ่อาจจักส่ันทัดๆ แลครางหนาว ยูท่างสมศรีพราว คาก้อน ชมจูบซ้อนเสน่หา ตามภาษาผัวเมีย ชมบ่มีเปิดเท่าฮุ่ง พอเมื่อแสงแดดต้องพุ่งข้ึนมา สองโสภาหนุ่มหน้า เลยเล่าลุกส่วยหน้า กินงายก็มีแล ครันว่า เจ้าทั้งสองนอนตื่นแล้ว นางก็เอาฟืนอันน้ัน ไปขายทุกๆ วัน ครันว่า ไปขายหมดเสี้ยงแล้ว ชำยกำพร้ำ ก็แบกขวานเข้าไปเทย่ี วควาหาฟนื ดังนัน้ ส พฺ พ ส ำ ร ท ว นฺ น อั น ว่ า หิ น บั ณ ฑ กั ม พ ล ศิ ล า บ า ท อันเป็นทิพยอาสนะแห่งพญำอินทร์ ก็หวั่นไหวไปมามากนัก ส กฺ โ ก อั น ว่ า พ ญ ำ อิ น ท ร์ อ ำ ว เ ช เ ต น ก็ พิ จ า ร ณ า ดู แ ล้ ว แลหลิงลงมาชมพูทีปทั้งมวล ก็จิงเห็นโพธิสัตว์ อันแบกขวาน เข้าไปในป่าดงพงไพร เพ่ือจักเอาฟืนมาขายเล้ียงชีวิตเมียแห่งตน ดังน้ัน พญำอินทร์ก็ฮู้ว่า ชำยกำพร้ำเป็นทุกข์บ่มีสัง เล้ียงเมียแห่งตน พญำอินทร์จิงบายเอาไหส้มอุ้มคะลุ้ม อันเป็นของทิพย์แห่งตน
๒๓ เสดจ็ ลงมาเถิงชำยกำพรำ้ แล้วอนิ ธริ ำชจงิ ถือเอาไหสม้ ไปองิ ไมต้ ้นหน่งึ ด้วยเอาเพศเป็นชายเฒา่ ผ้หู นึง่ ให้ชำยกำพรำ้ เห็นหัน้ แล เม่ือน้ัน ชำยกำพร้ำก็แบกขวานเข้าไป เพื่อจักผ่าเอาฟืน ไม้แก่นจันทร์ อันตนได้เอาบ่หมดบ่เส้ียงนั้น เจ้าก็หลิงแลไปเมือหน้า ก็จิงเห็นชายเฒ่า อันถือไหส้มนั้นน่ังอิงต้นไม้อยู่ จิงถามว่า ข้าแต่ลุงเฒ่าเอย เจ้ากูมาแต่ท่ีใด จิงมานั่งอยู่ในที่นี่ก็ข้าจา เม่ือนั้น พระยาอินทร์อันเป็นชายเฒ่า จิงขานว่า ดูรา เจ้าหลานน้อย เจ้ากูมีประโยชน์สันใด จิงแบกขวานไปผู้หน่ึงผู้เดียวนั้นจา เมื่อนั้น ชำยกำพร้ำจิงขานว่า ข้าแต่ลุงเฒ่าเอย ข้าน้ีเป็นคนทุกข์ไฮ้ บ่มีสังอันจักนุ่งจักกินบ่ได้ ก็จิงแบกขวานเข้ามาในป่าไม่ดงหลวงที่นี้ เพ่ือจักเอาฟืนไปขาย แลกเอาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งของทง ข้าวน้าโภชนา อาหาร มานุง่ มากินกข็ ้าแล เมื่อนั้น ชายเฒ่าพญาอินทร์ จิงกล่าวว่า ดูรา เจ้าหลาน ผิว่า เจ้าหลานทุกข์ยากลาบากบ่มีสังกินดังน้ัน เจ้าจงเอาไหส้ม อุ้มคะลุ้มอันน้ี ไปกินแลขายเลี้ยงชีวิตแห่งเข้าเทอญ ให้เจ้าทังสอง ค่อยยอมกินเทื่อละน้อยๆ แท้ดาย ครันว่า เจ้าท้ังสองจักกิน ให้เอายัดใส่ป้ันข้าวค้ันเหนี่ยงให้เป็นอันเดียว แล้วจิงกินนั้นเทอญ หากจักมีฮสอันแซบหวานหอมนัวมากนัก ครันว่า เฮาคะนิงสันใด ก็มีฮส (รส) สันนั้นแท้ดีหลีดาย ครันว่า พญาอินทร์ คือ ชายเฒ่า
๒๔ ก ล่ า ว บ อ ก สั น น้ั น แ ล้ ว ก็ เ ล่ า ก ลั บ ก ล า ย ห า ย ห นี ไ ป ท่ี ใ ด ที่ ห น่ึ ง แล้วก็ลวดเสด็จเมือสู่สวรรค์เทวโลก อันเป็นท่ีอยู่แห่งตนห้ันแล เม่ือนั้น ชายทุกข์ไฮ้ก็ไปอุ้มเอาไหส้มอุ้มคะลุ้มที่น้ันมาแล้ว เจ้าก็จกออกชิมดู ก็มีฮส (รส) อันแซบนัวมากนัก ก็ถือไปทั่วเส้นเอ็น ทั้งมวลหน้ั แล เม่ือนั้น ท้ำวกำพร้ำก็ตัดเอาเครือเขามาผูกคอไหส้ม อุ้มคะลุ้มไหน้ัน หิ้วไปฮอดไม้แก่นจันทร์แดง อันตนเคยเอาแต่ก่อน เจ้าก็ปลงไหส้มอันนั้นไว้ แล้วเจ้าก็ไปผ่าเอาฟืนพอหาบ เจ้าก็มัดหาบ บรบวรแล้ว ก็ลวดเอาไหส้มห้อยหาบฟืนให้มั่นแก่นดีแล้ว เจ้าก็ยอหาบฟืนข้ึนสู่บ่า เจ้าก็คืนมาตามทางอันน้ัน ก็ลวดมาเถิงตูบ หั้นแล เมื่อน้ัน นางหล้าก็เห็นผัวตนหาบ ฟืนมาฮอดแล้ว นางก็ลงไปฮับเอา ก็ยอข้ึนใส่บ่าบ่ได้ นางก็บายเอาไหส้มอุ้มคะลุ้ม อันนั้น แล้วนางก็เอาด้ามขวานสอดใส่เซือกอันนั้น ผูกคอน มาตามหลังผัวแหง่ ตนหน้ั แล ใ น เ มื่ อ ช ำ ย ก ำ พ ร้ ำ แ ล น ำ ง ห ล้ ำ ม า ฮ อ ด หั ว ขั้ น ไ ด ตู บ แ ล้ ว ชำยกำพร้ำก็ถ้ิมหาบฟืนอันน้ัน แล้วเจ้าทั้งสองก็พากันข้ึนสู่ตูบ แล้วนำงหล้ำก็ปลงไหส้มอันน้ันไว้ในท่ามกลางตูบ นางจิงถามว่า ข้าแก่ เจ้ากู ส่วนดังไหหน่วยนี้ เจ้ากูไปเอามาแต่ที่ใดนี้จา เม่ือน้ันชำยกำพร้ำจิงบอกว่า ภเท ดูรานาง ยังมีชายเฒ่าผู้หนึ่ง
๒๕ มาน่ังอิงต้นไม้อยู่ ครันว่าก็พ่ีไปฮอดแล้วก็ลวดเอายื่นให้พ่ี แล้วก็กลับกลายหายหนีไปที่ใดก็บ่ฮู้ได้ กูพี่จิงจกชิมดู ก็มีฮส (รส) อั น แ ซ บหอ มนั ว มา กนัก กูพี่จิง เอา ห้อย หา บฟืนมานี้แล้ว เม่ือนั้น นางหล้าได้ยินคาท้าวกล่าวสันน้ัน ก็บายเอาก่องเข้า (ข้าว) มาแล้ว ก็จกออกมาแล้วก็กินกับข้าวสะหน่อย พอประมาณท่อนิ้วก้อย กล็ วดมฮี ส (รส) อนั หวานอนั แซบมากนกั ก็มีใจอันชมชืน่ ยินดีมากนัก นางก็ฮีบอัดฮี่ไว้ให้ดี แล้วนางก็เอาไปตั้งไว้แจคีไฟตูบแห่งตนหั้นแล ตั้งแฮกแต่นั้นไปภายหน้า เจ้าทั้งสองก็บ่ไปหาชิ้นปลาอาหาร มากินจักเท่ือ ครันว่าไปขายฟืนได้ข้าวมาแล้ว ก็ท่อกินกับส้มอันน้ัน ทกุ วันๆ หนั้ แล ต ท ำ ใ น ก า ล เ มื่ อ น้ั น ส่ ว น ดั ง พี่ เ ข ย ทั้ ง ห ก ค น นั้ น ก็ตกแต่งสะเภาบรบวรแล้ว ก็ให้ข้อยข้าทาสาหาบขนเอาข้าวของ คือว่า ลัวแฮแพกาสาไปใส่ในสะเภา (สาเภา) ว่าจักไปค้าขาย ในวันหน้าเข้านี้แลว่าดังนั้น ส่วนดังคาอันน้ัน ก็ลือชาปรากฏมาเถิง เจ้าทังสองผัวเมีย คาว่าพ่ีเขยทังหก จักไปค้าทางสะเภาในวันหน้า เข้านี้แล ดังน้ัน ท้าวกาพร้าจิงกล่าวเชิงนางว่า ภเท ดูรานาง ในเมื่อพี่เขยทังหก จักไปทางสะเภาน้ัน ก็พี่ก็มักใคร่อยากไปมากนัก เพ่ือจักขายไหส้มอุ้มคะลุ้มอันน้ีกับดอมท่านน้ัน หลอนว่า ได้เฟื้อง ได้บาท ได้ฮาง ได้สลึง เพราะว่ามาซ้ือเครื่องนุ่งของห่ม
๒๖ ข้าวน้าโภชนาอาหารเลี้ยงชีวิตแห่งฮานี้นางเอย นางจงไปเว้าพี่เขย ทงั หก แล้วแลไปขอกับดอมเจ้าแด่เทอญ เ มื่ อ น้ั น น ำ ง ห ล้ ำ ไ ด้ ยิ น ค า ผั ว แ ห่ ง ต น ก ล่ า ว สั น นั้ น นางก็ลงจากตูบไปบ่นานท่อใด ก็ลวดไปเห็นพี่หญิงทั้งหก นั่ ง ฝิ ง ไ ฟ อ ยู่ ใ ต้ ล่ า ง ที่ น่ั น น า ง จิ ง ย อ มื อ ไ ห ว้ พ่ี ห ญิ ง แ ห่ ง ต น ว่ า ข้าแต่พ่ีเป็นเจ้า ดังได้ยินว่าพี่เขยท้ังหก จักไปค้าทางสะเภาในวันหน้า เ ข้ า นี้ แ ล ว่ า ดั ง นั้ น มี แ ท้ ฤ า เ ม่ื อ นั้ น ท า ง พ่ี ท้ั ง ห ก ได้ยินคานำงหล้ำกล่าวสันน้ัน จิงถามว่า อียิง เกถ่อยฮ้าย มึงจักถามหาผัวกูไปค้าสะเภาสังจา กูนี้มีวัตถุข้าวของเงินทอง ลัวแฮแพรจีน มีบ่ไฮ้บ่ยาก มีมากยิ่งนักหนา บัดน้ี กูก็ให้ผัวกู ไปขายได้เงินคาเส้ือผ้าอาภรณ์มาแล้ว ก็พร่าเพ็งใส่เล้าใส่สาง ให้เต็มสวดเหลือข้ึนแล้ว ก็จิงเอามานุ่งทงน้ันแล บัดน้ีเขือท้ังสอง ผวั เมยี นงุ่ ผา้ ขาดซ่ินขาดสนั น้ี จกั มาถามหาสังจา เม่ือน้ัน นำงหล้ำกล่าวว่า ข้าแก่พ่ีเป็นเจ้า ข้าก็ถามเพื่อว่า จักให้ผัวผู้ข้าไปค้ากับดอมพี่เขยทั้งหกดอกนา ขอให้พ่ีท้ังหก เอาผัวผู้ข้าไปค้า กับดอมแด่เทอญ เม่ือนั้น พ่ีหญิงทั้งหก จิงพร้อมกันถ่มน้าลายใส่นางหล้าด้วยคาว่า ดูรา อีหญิงคนทุกข์ มึ ง เ อ ย มึ ง จั ก มี ข้ า ว ข อ ง อั น ใ ด ไ ป ข า ย ด อ ม ท่ า น นั้ น จ า มึงก็ท่อมีแต่อันมีท่อนั้นแล้ว มึงอย่าหวังเห็นเงินคาพอปักพอซีก
๒๗ จักเท่ือน้ันเทอญ ต้ังแฮกแต่น้ีเมือหน้า เขือท้ังสอง คือว่า ผัวก็จักมีแต่อันมีน้ันแล้ว เมียก็มีแต่อันมีนั้นแล้ว อียิงเกมึงเอย เม่ือนั้น นางหล้ากล่าวว่า ข้าแก่พ่ีเป็นเจ้าเอย อย่าได้กล่าวหย่อหยัน สาละวนใจหลายเทอญ เผ่ือข้าทั้งสองก็ได้ส้มอุ้มคะลุ้มไหหน่ึง ว่าจักเอาไปขายกับดอมพ่ีเขยท้ังหกนั้น หลอนว่า มีผู้ซ้ือได้เงินปีก แลเงนิ ฮาง มาซือ้ นงุ่ ซื้อหม่ บ่เด คันว่า นางหล้ากล่าวสันน้ันแล้ว พ่ีหญิงจิงกล่าวว่า ดูรา อีหญิงเกถ่อยฮ้ายมึงเอย กูท้ังหลายน้ี ก็พากันขนเอาเข้า (ข้าว) ของไปใส่สะเภา เพื่อจักเอาไปขายนานได้สองวันสามวันน้ีแล้ว ก็ยังบ่คองเห็นเงินปักคาซีกน้ีนา เป็นดังฤายังจักกระทาการท้ังสาม อันใดแท้ก็จิงไป ส่วนดังการ ๓ ประการนั้น คือว่า น่ึงข้าว อันหน่ึง แต่งแปลงแลงงาย อันหน่งึ สระนา้ สะเภา อันหนง่ึ คันผวั มึงขันไดแ้ ทก้ ็ จิงไปเทอญ เมื่อน้ัน นางหล้าจิง ขานว่า ข้าแก่พี่เป็นเจ้า ครันว่าพ่ีเขยท้ังหกให้ไปดังนนั้ กจ็ ักขันอาสาตามทกุ อนั ๆ กข็ า้ เทอญ แล้ว เม่ือนั้น พี่หญิงท้ังหก จิงพร้อมกันขานว่า ดูรา อีหญิงเก ก า ง ก า ด มึ ง เ อ ย คั น ว่ า ผั ว มึ ง อ า ส า ก ร ะ ท า ไ ด้ แ ท้ จกั ไปกจ็ งไปอยทู่ ่าผัวตใู นท่าสะเภาพ้นุ เทอญ เม่ือนั้น นำงหล้ำได้ยินคาพี่หญิงกล่าวสันน้ัน นางก็ลวดมาหา ตูบแห่งตน ก็กล่าวตามคาพ่ีหญิงตนส่ังมาแก่ผัวตนทุกๆ อัน
๒๘ ชำยกำพร้ำก็ขันอาสาได้ทุกอันห้ันแล ในเม่ือพระสุริยะลับเข้ายุคันธร ค่ามืดมาแล้ว เจ้าทั้งสองก็พร้องกันนอน ดึกออนซอนซักไซ้ ยูท่างพระแก่นไท้เชยชมจูบเสน่หา ยูท่างพระโสภาชมฮัด นางแจมชมน้าวแนบตามใจก็มีแล ในเมื่อฮาตีคืนอันน้ันฮุ่งแจ้งมาแลว้ น า ง ก็ ต ก แ ต่ ง ยั ง ข้ า ว น้ า โ ภ ช น า อ า ห า ร ห ม า ก จีบพลู วั น ให้แก่ผัวตนบรบวรแล้ว ก็ยอยื่นให้แก่ชำยกำพร้ำ แล้วนางก็ไปหา ไม้คานมาแต่งหาบให้หัวตน คือว่า ถุงหมากให้หาซาไหส้มอุ้มคะลุ้ม อันน้ัน แล้วชายกาพร้าก็บายแขนนาง ก็เอ้ินส่ังน้าตาหลั่งไหลตก คึดคาทุกข์คีค้อย เจ้านาฏน้อย ค่อยอยู่ดีเยอ นางก็ขานเออๆ ฮอ้ งไห้ พระแกน่ ไทจ้ อมไตร พระสายใจไปดีทอ้ น อยา่ ได้ละน้อยออ่ น เมยี ขวญั พระจอมทณั ฑห์ นมุ่ หน้า อยา่ ได้ละเมยี กาพรา้ อย่ตู บู คนเดียว แทเ้ นอ วา่ ดังน้นั แลว้ ท้ำวกำพร้ำกบ็ ายเอาหาบใส่บ่า แลว้ ก็ลงจากตบู เลยไป นา้ ตาเลือดไหลหานอ้ ง ตนี ถกื ต้องซนู ตอ พระสายคอหน่มุ หน้า อยู่ท่าคองหานั้นเนอ เม่ือนั้น นางก็เอ้ินสั่งท้าวสุดช่ัวเสียงหู เป็นท่ียินดีดูกาพร้าน่ังอยู่ท่าคอยทาง ฟังยินเสียงนกยำง นกถัวเถ้า มีทั้งเสียงนกแขกเต้ำแลเสียงกำ มีทั้งนกคอขำวฮาฮ้อง เสียงสนั่นก้อง เตม็ ดง มที งั นกหงส์และนกเปด็ ถ่ำ ฮอ้ งซวาซวาแคมทางก็มีแล เมื่อนั้น ท้ำวกำพร้ำก็ถือหาบไหส้มอันนั้น ไปฮอดท่าสะเภา แล้วก็ลวดเซาอยู่ถ้าพี่เขยท้ังหก พอประมาณคราวแล้วพ่ีเขยทังหก
๒๙ กล็ วดลงไปสสู่ ะเภาทุกๆ คน แล้วชายกาพร้ากห็ าบไหส้มเข้าไปสู่สะเภา แล้วก็ลวดย้ายสะเภาออกไป ตามวิสัยแม่น้า เห็นทุกก้านานา มีท้งั ฝูงนำคำตัวใหญ่ มที ้ังปลำแขว้ ไก้ แลปลำพอน มที ง้ั ปลำยอน แล ปลำปำก มีทั้งปลำสะนำก แลปลำขำว มีท้ังแม่น้ายาวสุดผ่อ เจ้าก็ทุกข์หม่อมหม่อคะนิงเมีย ทุกข์ป่ินเปล้ียบ่แล้ว คึดฮอดพระยอด แก้วเมียตนก็มีแล เมื่อนั้นพี่เขยท้ังหก ก็เบิกสะเภาไปด้วยลาดับแม่น้า วงั ปลาทง้ั มวล ดว้ ยอันนับประมาณยังวันและคืน ก็เหิงหานมนึ นานได้ ๓ เดือน แล้วก็ไปเถิงเขตบ้า นอันน้ัน อันเป็นอาณารัฐฐา แห่งเมืองตำนีรำชธำนีที่น้ัน แล้วพ่ีเขยท้ังหก ก็เอาสะเภาไปจอด ในท่าบ้าน อันมีในแคมนา้ สมุทรทนี่ ้ันห้ันแล เ มื่ อ น้ั น พ่ี เ ข ย ทั้ ง ห ก ก็ เ อ า ลั ว แ ฮ แ พ ร ก า ส า ไ ป ข า ย ในบา้ นทั่วทุกภายมากนัก บางพ่องซ้ือแพรกาสาขาว แลกาสาแดงกม็ ี บางพ่องซื้อเอาผ้ากัมพล (ผ้าขนสัตว์) แลปักงีสังกาด (ผ้าสักหลาด) เขาก็ไปขายหลายส่ิงหลายอันนานาต่าง ๆ แล้วเขาก็คืนมาสู่สะเภา ก็ซา้ เบกิ สะเภาไปหลายวันหลายคนื มากนัก กไ็ ปฮอดเมืองตำนรี ำชธำนี แล้วพ่ีเขยทั้งหก ก็เอาสะเภาเข้าไปจอดในหัวเมืองหั้นแล พ่ีเขยทั้งหก ก็บอกแก่ข้อยข้าทาสา เอาข้าวของไปขายทั่วเมืองทั้งมวล แล้วก็คืนมาสู่สะเภา เอาข้าวของไปหลายทีมากนัก แล้วพ่ีเขยท้ังหก ก็จิงกล่าวเถิงชายกาพร้า อันเป็นน้องเขยว่า ดูรา ชายทุกข์ถ่อยฮ้าย
๓๐ ในเม่ือมึงกล่าวเชิงกูว่า จักมาขายไหส้ม ว่าดังนั้นด้วยแท้ ท่านท้ังหลายเอาไปขายสองทีสามทีแล้ว เป็นดังฤา มึงจิงนอนขด อยู่ในสะเภาที่น่ี บเ่ อาไปขายแกค่ นทั้งหลายนัน้ จา เมื่อน้ัน ชำยกำพร้ำได้ยินพ่ีเขยทั้งหก กล่าวเซ่ิงตนสันนั้น เจ้าก็บายเอาไหส้มอุ้มคะลุ้มแห่งตน ออกจากสะเภา แล้วก็อุ้มข้ึน พ้นฝ่ังน้า เจ้าก็แบกไหส้มอันน้ัน เข้าไปในท่ามกลางของบ้าน และเอิ้นจ่าวขายว่า ดูรา เจ้าท้ังหลายเอย บุคคละผู้ใดอยากกินส้ม แซบนัว ก็มาซ้ือเอาถ้อน เจ้าคาก้อนสาวฮามพี่เอย เจ้าโสมงาม หนุ่มหน้าอย่าได้ช้ามาซื้อเอาเนอ เมื่อนั้น ฝูงสาวฮามหนุ่มน้อย อันอยู่ในเมืองตำนีรำชธำนีท่ีน้ัน ได้ยินคาท้าวกาพร้ากล่าว เขาก็ต้ังต่าวหน้าเลยจา เจ้าโสภาหนุ่มเหน้า แบกไหเหล้ามาสัง อย่าสิลังเคียดค้อย ขอชื่นซ้อยมีแฮง แด่เทอญ ว่าดังนั้นแล้ว เขาก็หัวซวาซวา แซวแซว ท้าวกาพร้าก็ลวดกรายไปหน้า ตามหนทาง ในท่ามกลางเมืองท่ีน้ัน ก็เอิ้นฮ้องจ่าวขายไหส้ม อนั น้ันบ่ขาดสายน้ันแล เม่ือน้ัน คนทั้งหลายได้ยินชายกาพร้า แบกไหส้มมาคว่าขาย สันนั้น เขาก็กล่าวว่า ดูรา เจ้าชายหนุ่ม เจ้ามาแต่บ้านใดเมืองใด ท่ีนี้นั้นจา เมื่อนั้น ชายกาพร้าจิงขานว่า ข้าแก่เจ้าท้ังหลายเอย ข้าก็ลุกแต่เมืองพาราณสีพุ้น มาเพ่ือจักขายส้มไหน้ี หมดเสี้ยงแล้ว
๓๑ ก็จักต่าวคืนเมื่อแล เจ้าเอย เจ้าท้ังหลายอยากกินส้ม จงพากันมาซ้ือ ไปกินเนอ ส้มอันอยู่ในไหนน้ีแซบนัวแท้ดาย เม่ือน้ัน คนท้ังหลาย จิงกล่าวว่า ดูรา เจ้าชายหนุ่มเอย ตูข้าท้ังหลายอยู่ในเมืองตำนี รำชธำนีบ่อึดบ่อยาก ด้วยช้ินปลาอาหารดอก แล้วประการหน่ึง ส่วนดังส้มช้ิน ส้มปลาแลส้มผักกาด ส้มอันใดก็ดี ตูข้าทั้งหลาย ก็พร้อมกันไปหา ปลาแดกแลปลาส้มก็มีมาก มีหลายทุกๆ เฮือน คือว่า แลเฮอื นแลสบิ ไห สบิ สองไหกม็ ี แลเฮอื นแลสามสิบไห สส่ี ิบไหหา้ สิบไห ก็มีมากแท้ดีหลีแล เจ้าจงเอาไปขายที่อ่ืนท่ีไกลพุ้นเทอญ ลาง เทื่อก็ยังมีผู้มาต่อซื้อต่อขาย กับดอมเจ้าท่อใดก็บ่ฮู้ได้แล ให้เจา้ เอาไปขายเมือ่ หน้าพุ้นเทอญ ครันว่า ชาวเมืองทั้งหลายกล่าวดังน้ันแล้ว ชำยกำพร้ำก็แบก ไหส้มอุ้มคะลุ้ม ไปฮอดตีนเมืองเวียงแก้วคือว่า คุ้มน้อยแห่ง พญำพรหมจักร อันเป็นเจ้าเมืองตำนีรำชธำนีท่ีนั่น อันลงมาประชุม กั น อ ยู่ ใ น ห อ ส น า ม ที่ น้ั น ด้ ว ย กิ จ ก า ร อั น ใ ด อั น ห น่ึ ง กับดอมเสนาอามาตย์ พระยาก็ได้ยินเสียงเอ้ินท้าวจ่าวขายไหส้ม แห่งตน ดังนั้น พญาจิงกล่าวเซิ่งพวกน้อยว่า ดูรา ท่านพวกน้อย ท่านจงไปทันเอาผู้มาเอ้ินจ่าวขายไหส้มอุ้มคะลุ้มมาหากูก่อนเทอญ กูจักถามมันดูทุกส่ิงทุกอัน มาก็เอาไหส้มอุ้มคะลุ้มมาแต่ทิศบ้านอันใด เมืองอันใดมาจิงเอิ้นจ่าวขายมาเถิงที่นจ่ี า
๓๒ เมื่อน้ัน พวกน้อยได้ยินคาพญามีอาช สันน้ัน มันก็ลุก แล้วออกจากหอสนามแล้วก็ลวดไปบ่นานท่อใด ก็เห็นชำยกำพร้ำ แบกไหส้มมาในที่นั้น พวกน้อยจิงกล่าวว่า ดูรา ท่านผู้ชาย บัดนี้ พญาเจ้าได้ยินเสียงท่าน เอิ้นจ่าวขายไหส้มอุ้มคะลุ้ม มาเถิงที่น้ี พญาก็ใช้ให้เฮามาทัน เอาท่านไปสู่สานักพญาเจ้าก่อน แล้วพญามักใคร่อยากเห็น และชิมดูยังส้มอันน้ัน ผิว่า มันยังแซบนัว หรือบ่แซบก็ดี พอให้ฮู้แจ้ง ผิว่า มันหากแซบนัวดีแท้ๆ พญาก็จักซ้ือ เอาไว้กิน ผิว่า มันหากบ่แซบล้าและบ่นัวดี พญาเจ้าก็บ่ซ้ือ ก็จักใหเ้ จา้ เอาไปขายท่อี นื่ ที่ไกล ตามอัธยาศัยใจแห่งเจา้ คนั ว่า พวกนอ้ ยกลา่ วสนั น้ันแล้ว กล็ วดคืนมาบน่ าน ชำยกำพร้ำ ก็แบกไหส้มมาตามหลังพวกน้อย ตราบต่อเท่าเถิงหอสนาม แล้วชำยกำพร้ำก็แบกไหส้ม เอาหัวเข้าย่างต่างตีน เข้าไปเถิงพญา แล้วก็ปลงยังไหส้มอันนั้น แล้วก็ถอยออกมาน่ังอยู่ ในที่ควร แต่ก่อนแต่ต้น แล้วจิงยอมือไหว้พญา วเทวำ ข้าแต่มหาราชาเจ้า ตนประเสริฐกว่าคนท้ังหลาย มหาราชาเจ้า ยังค่อยอยู่สวัสดี ก็ข้าหรือ เมื่อนั้น พญาก็ขานว่า เออๆ เฮาก็ยังค่อยอยู่สวัสดี บ่มีโภยพยาธิอันใดมาเบียดเบียนแท้แล ท่อว่าเฮาอยู่ในหอสนามท่ีน่ี ก็ได้ยินเสยี งท่าน เอ้ินจ่าวขายไหสม้ มาเถิงท่ีนี่ เฮาก็มักใคร่อยากชิมดู
๓๓ ส้มแห่งท่านลองเบิ่งก่อน ผิว่ามันแซบล้านัวดี ก็จักซ้ือเอาไว้กิน ผิว่า มนั บ่แซบลา้ นวั ดแี ท้ เฮาก็บ่ซือ้ แหล่ว เมื่อน้ัน ชำยกำพร้ำได้ยินคาพญากล่าวสันนั้น เจ้าก็มาบาย เอาไหสม้ มาไขจกออกใสถ่ ว้ ยไวแ้ ล้ว ก็เอาใส่ภาชนะคา ยอใหแ้ ก่พญา หั้นแล เมื่อนั้น พญาก็บายเอาส้มอันน้ันมาใส่ปาก ชิมดูสะหน่อยหนึ่ง แล้วก็เป็นอันแซบล้านัวมากนัก ก็ไต่ไปท่ัวเส้นเอ็นทั้งมวล พญาก็ฮ้องออกปากว่า พุทโธ่ โอนอ ส้มอันนี้แซบล้านัวดีแท้นอ นับแต่กูเกิดมาแต่น้อย ตราบต่อเท่าเถิงอายุได้พันปีปลาย เจ็ดเดือนปลายเจ็ดวัน จิงมาจวบมาพบของแซบของนัวแต่ท่อนี้แหล้ว ทา่ นท้งั หลาย จงพากันมาชิมดทู กุ ๆ คนเทอญ เมื่อน้ัน เสนาอามาตย์ท้ังหลาย ได้ยินคาพระยาฮ้องกล่าวว่า แซบล้านัวดีแท้นอ ว่าดังน้ัน เขาก็พร้อมกันจีมจ่อซอแซ ยอมือย่ืนมา ประดุจดั่งหน่อกล้านั้น แล้วกล่าวว่า ข้าแก่เจ้ากู ผู้ข้าขอชิมดู จักสะหน่อยแด่เทอญ ว่าดังน้ันแล้ว พระยาก็หยิกใส่มือเสนาอามาตย์ ทั้งหลายแลคนละน้อย ประมาณเท่าเล็บงู แล้วเสนาอามาตย์ท้ังหลาย ก็เอาส้มอันนั้นยัดใส่ปากชิมดู แล้วก็เป็นอันแซบล้านัวมากนัก ก็พร้อมกันยอมือตบเอิ๊กตูมตูม ด้วยคาว่า โอนอ แซบล้านัวดีแท้นา เฮาเอย ว่าดังน้ันแล้ว พระยาก็ถามว่า ดูรา ท่านพ่อค้า ส่วนดังส้ม ไหอุม้ คะลมุ้ ไหนี้ ทา่ นจักเอาทอ่ ใดน้นั จา
๓๔ เม่ือนั้น ชำยกำพร้ำจิงขาบทูลพญาว่า เทว ข้าแก่มหาราชาเจ้า ในเมอ่ื ผู้ขา้ จกั กดค่าทอ่ นั้นทอ่ นี้ กว็ ่าบ่ได้แหล่ว บ่กว่าพระราชาสมภาร จักกูณาให้เฟอื้ งหน่ึง สลึงหน่ึงก็ดี ผขู้ ้าก็จักฮบั พระราชาสมภารเอาทอ่ นนั้ ก็ขา้ แล เมอื่ นนั้ พญาจิงกลา่ ววา่ ทา่ นพ่อค้า ผิ ว่า บ่กาหนดกฎกาได้ดังน้ัน เฮาก็ให้ข้าวของแลสิ่งละห้าฮ้อย คือว่า สะเภาห้าฮ้อยเล่ม กับทั้งแก้วห้าฮ้อยลูกคา ๕๐๐ เงิน ๕๐๐ ซืนกั่ว ทองอนั ละ ๕๐๐ กับเคร่อื งปัทม์นอ้ ยสรอ้ ยสังวาล แลส่งิ ละ ๕๐๐ ข้อยหญิงข้อยชาย ช้างม้างัวควาย กับท้ังหมูหมาเป็ดไก่ สิ่งละ ๕๐๐ กับทั้งครัวเฮือน อันจักไปเป็นร้ีพลพหลโยธา ก็ได้แลส่ิงละ ๕๐๐ เพื่อจักให้เป็นค่าไหส้มอุ้มคะลุ้มหน่วยน้ันแล บัดนี้ ท่านจงไปบอก นายสะเภาอันท่านมาดอมน้ัน ตั้งอยู่ถ้าพอให้เฮาได้ตกแต่ง เขา้ (ขา้ ว) ของให้แกท่ า่ นก่อนเทอญ เมื่อน้ัน ชำยกำพร้ำได้ยินคาพญามีอาชญาว่า จักให้เข้า (ข้าว) ของอันมากแก่ตนสันน้ัน ก็ทูลลาพญา แล้วก็ลงจากปราสาท แล่นคืนเมือหาสะเภาท่ีเขยทั้งหก แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ พ่ีเขยเป็นเจ้า ข้าก็ไปขายไหส้มน้ันแก่พระยำพรหมจักร ในเมืองตำนีรำชธำนี ก็ได้ข้าวของละส่ิงละ ๕๐๐ ว่าดังนั้นแลด้วยแท้ พญาเจ้าตกแต่งเข้า (ข้าว) ของให้ผู้ข้าบ่ทันครบเคร่ืองได้แล้ว เหตุว่า ข้าวของหลาย
๓๕ มากนัก ขอแก่พี่เป็นเจ้า จงยังอยู่ถ้า พอให้ได้ข้าวของพอกาหนด กฎคา่ ไหสม้ นน้ั แดก่ ข็ า้ เทอญ เมื่อนั้น พี่เขยท้ังหก จิงกล่าวว่า ดูรา ท่านชายทุกข์ ผิว่ามีดังนั้น มึงจงไปหาบขนเอาข้าวของมาโฮมในวันนี้ให้หมด ให้เส้ียงเทอญ คันว่าเถิงวันหน้าเช้า กูจักย้ายสะเภาไปยามกลองงาย นั้นแล ครันว่า พ่ีเขยทั้งหกกล่าวสันน้ัน ชำยกำพร้ำก็ซ้า แล่นคืนเมือเถิงผาสาท แล้วก็ขาบทูลพญาว่า เทว ข้าแก่มหาราชาเจ้า ผวิ ่า มหาราชาเจ้า จักทรงพระราชกูณาให้ท่อใด ก็เอามาให้ผขู้ ้าเสยี เทอญ เถิงเม่ือวันหน้าเช้ากลองงาย พี่ก็จักย้ายสะเภาเมือก็ข้าแล คันว่า ผู้ข้าได้ข้าวของอันเป็นค่าไหส้มแล้ว ก็จักหาบขนลงสู่สะเภา ในวันน้ีแล เม่ือนั้น พญากล่าวว่า ดูรา ท่านพ่อค้าในวันน้ี ยั ง มี กิ จ จ ะ อั น จั ก พิ จ า ร ณ า ถ้ อ ย ค า อั น ใ ด อั น ห น่ึ ง บ่ ทั น แ ล้ ว วันหน้าเช้าเฮาจิงจักตกแต่งให้แก่ท่านแล จงไปขอดอมนายสะเภา ให้ยังอยู่ถ้า พอให้เฮาตกแต่งข้าวของให้แล้ว วันหน้าเถิงเวลา เทยี่ งวัน จงิ มาเอาเทอญ เมื่อน้ัน ชำยกำพร้ำได้ยินพญากล่าวสันน้ัน แล้วก็ขาบลา เมือเถิงสะเภา แล้วพ่ีเขยทั้งหก ก็ถามว่า ดูรา ท่านชายทุกข์ เป็นดังฤา มึงจิงมาแต่ตัวเปล่าดาย บ่มีส่ิงใดติดมือมาจักสะเล็ก สะหน่อยน้ันจา ยามเม่ือมึงมากล่าวเซิ่งกูว่า ไปขายส้มให้พญา
๓๖ ได้เข้า (ข้าว) ของแลสิ่งละ ๕๐๐ ว่าดังน้ันด้วยแท้ พญาก็ตัวะ ท่านกินส้มของมึงดายดอกนั้นรือ มึงอย่าหวังจักคองเห็นเข้า (ข้าว) ข อ ง อั น ใ ด อั น ห น่ึ ง พ อ ติ ด มื อ เ มื อ ห า เ มี ย มึ ง นั้ น เ ท อ ญ คันว่า พ่ีเขยท้ังหก กล่าวสันน้ัน แล้วก็ลวดค่ามืดเป็นฤดูยามนอนแล เมื่อนั้น ชำยกำพร้ำก็เข้าไปสู่ท่ีนอน แล้วก็ลวดน่ังเคี้ยวหมากอยู่ นอนบ่หลับ เหตุย้านกลัวบ่ได้เข้า (ข้าว) ของอันใดอันหนึ่ง เปน็ คา่ ไหสม้ แห่งตน ตราบต่อเทา่ ฮงุ่ แจ้งห้นั แล ครันว่า ฮุ่งสวายเป็นเวลาม้ือใหม่มาแล้ว พ่ีเขยทั้งหก จิงกล่าวว่า ดูรา ท่านชายทุกข์ ผิว่า พญาจักให้ข้าวของแก่มึงแท้ มึงจงไปเอามาใหท้ นั ยามกลองงายน้ีเทอญ ครันว่า เถิงกลองงายแล้ว มึงบ่มากูจักเมือเสียก่อน มึงจงนอนตายอยู่ในเมืองท่ีนี่ ให้ได้เข้า (ข้าว) ของมึงแล้ว จงเมือตามหลังกูน้ันเทอญ เม่ือน้ัน ชายกาพร้าได้ยินคาพ่ีเขยกล่าวสันนั้น ก็ออกจากสะเภา แล้วก็แล่นไปเถิงพญา ก็ขาบทูลว่า เทว ข้าแต่มหาราชา ส่วนดังนายสะเภาก็จักย้ายสะเภา เม่ือในยามกลองงายนี้ก็ข้าเทอญ แลมหาราชเจ้า จักเอาข้าวของอันใดมาใหก้ อ็ ย่าช้าอย่านานกข็ ้าเทอญ เมื่อน้ัน พญากล่าวว่า ดูรา พ่อค้าเอย ท่านอย่าฟ้าว อย่าฮีบ ครันว่า นายฮ้อยสะเภาแห่งท่าน มักใคร่อยากเมือ ก็จงให้เมือเสียก่อนเทอญ เฮาจักแต่งบ่าวไพร่รี้พลโยธา
๓๗ แลลูกเมียข้อยข้าทาสา และวัตถุข้าวของใส่ในสะเภาให้เต็มสะเภา ๕๐๐ เล่ม แล้วท่านจงเอาวัตถุข้าวของ รี้พลโยธา เมือสร้างบ้านแปง เมืองให้แก่ท่านเทอญ ครันว่า พญากล่าวสันนั้นแล้ว ก็เหิงหาน มึนนาน แล้วเวลาพอยามกลองงายมาฮอดแล้ว พี่เขยท้ังหก ก็คองถ้า หาน้องเขยหล้า บ่เห็นมาจักเท่ือ เขาขายของหมดเส้ียงแล้ว เขาก็เบิกสะเภาคืนเมือ ปล ะวางชายกาพร้าให้อยู่ ผู้เดียว บ่มไี ผเพอื่ นขา้ งห้นั แล เ มื่ อ นั้ น พ ญ า จิ ง ใ ห้ ค น ต ก แ ต่ ง ส ะ เ ภ า ๕ ๐ ๐ เ ล่ ม แล้วก็ให้คนทง้ั หาบ ขนเอาข้าวของไดแ้ ลสิ่งละ ๕๐๐ กับท้ังนางราชา กัลยา อันเป็นเมียท้าวพระยามหากษัตริย์ ก็ได้ ๕๐๐ คน กับท้ังร้ีพล คนดีท้ังมวลได้แสนหน่ึง เพื่อให้ฮักษาท้ำวกำพร้ำ ให้พ้นจากข้าเศิก คนถ้วนท้ังมวลก็ลงสสู้ ะเภาบรบวรแล้ว พญาจิงมอบให้แก่ชำยกำพร้ำ เพ่ือเป็นค่าไหส้มอุ้มคะลุ้มอันนั้นว่า ดูรา ท่านพ่อค้า วัตถุข้าวของฝงู น้ี ก็ให้เป็นค่าไหส้มแห่งเจ้าแล้ว ครันว่า มันบ่จุบบ่พอท่อใดก็ดี เฮาก็จักขออนุญาตดอมเจ้า อย่าให้เป็นกรรมเป็นเวรแก่กันไปมาใน ชาตินแ้ี ลชาติหนา้ ตราบตอ่ เทา่ เขา้ สพู่ ระนิพพานน้ันเทอญ ครันว่า พญากล่าวสันน้ันแล้ว ชายกาพร้าก็ทูลลาพระยา แล้วลงจากผาสาท (ปราสาท) คนฝูงเป็นลูกบ่าวแห่งตน เขาก็แต่งยวดยานคานหามชายกาพร้า แล้วเขาก็หามออกจากคุ้มน้อย
๓๘ แห่งพญำตำนีรำชธำนีที่นั้น เขาก็ตีฟาดฆ้องสวนไลเสียงซอกระจับป่ี ทุกท่ีพร้อม เสียงแคนสะบัดแพนราฟ้อน บ่เดือดฮ้อนโภยภัยก็มีแล เม่ือน้ัน เขาแห่แหนเจ้าแห่งเขา ไปในท่ามกลางเมืองที่น่ัน เจ้าก็เอิ้นจ้ัน ๆ สั่งว่า เจ้าสบยาวจงคอยอยู่ เจ้าจงนอนขดคู้ดอมผัว อย่าได้เป็นมัวเมาหลายหลาก อย่าได้เป็นพึกพากผิดกัน อ ย่ า ไ ด้ เ ป็ น เ นื อ ง ด่ า ป้ อ ย จ ง ใ ห้ เ ว้ า จ้ อ ย ๆ ค า ห ว า น อย่าพางานบังเบียด อย่าคึดเคียดโกฮานั้นเนอ สาวก็เออ ๆ ขานบ่ช้า ค่อยเมือดีเยอเจ้าพ่อค้าขายของอย่าได้เฮ้ดอ่องป่องเอ้อ่ง ให้เจ้ามาส่งน้องชมขวัญ ค่อยเมือดีเยอพระจอมทัณฑ์หนุ่มน้อย เมียเจ้ามี ๕๐๐ ยูท่างชมเสน่หา อย่าได้เป็นละเวละวาสนั อื่น น้อยก็ขอ ยกย่ืนของแพง ขอหล่าแยงของแจ่มเจ้า ขอสักเท้าด้วยปู่แด่เนอ ว่าดังนั้นแล้ว เขาก็หามเจ้าแห่งเขา ลงสู่สะเภาบรบวรแล้ว ในเมื่อยามอุทธังราชาฮอดมาเถิงแล้ว เจ้าก็บอกให้ลูกบ่าวแห่งตน เบิกสะเภาไปท้ัง ๕๐๐ เล่ม แล้วก็ลวดอวายหัวสะเภาคืนเมือ เมืองพาราณสี ตามลาดับแม่น้าวังปลาท้ังมวล พระสมควรหนุ่มหน้า คึดฮอดเมียกาพร้าศรีเสลียว อยู่คนเดียวในตูบ เลยฮามฮูปสมสอง พระจอมทองแก่นไท้ เลยฮ้องไฮ้หากู พระบุญชูน้องหล้า ปานน้ีน่ังต่าวหน้าคอยทาง ปานนี้พระจอมปรางค์เมียฮักทุกส่ิงย่ิงนัก แทน้ อ พระสายคอเมียแก้ว ไห้แจว้ ๆ บ่ขาดแลนา
๓๙ ครันว่า ท้ำวกำพร้ำฮ้องไฮ้หาเมียแห่งตนด้วยเขียวคืนเมือ บ่จอดบ่เซาในที่ใดที่หนึ่ง ก็ลวดไปมีประมาณ ๓ วัน ๓ คืน คนทั้งหลายก็หลิงแลไปก้าหน้าก็ลวดเห็นสะเภาพ่ีเขยสุดชั่วแสงตา ในท่ามกลางแม่น้าสมุทรท่ีนั้น ท้ำวกำพร้ำก็จัดลูกบ่าวแห่งตน เ บิ ก ส ะ เ ภ า ไ ป โ ด ย พ ลั น ก็ ล ว ด ไ ป ทั น ส ะ เ ภ า พ่ี เ ข ย ท้ั ง ห ก แล้วท้าวกาพร้าจิงออกจากสะเภา ไปนั่งอยู่ในหัวสะเภา อันมีนางทั้ง ๕๐๐ เป็นบริวาร แล้วเจ้าก็เห็นพ่ีเขยท้ังหก งอยปักตูสะเภา หลิงล่าไปมาอยู่สันน้ัน ท้ำวกำพร้ำจิงเอิ้นถามว่า ข้าแก่พ่ีเขย เป็นเจ้าทั้งหกเอย เจ้ากูท้ังหลายเมือฮอดบ้าน ฮอดเมืองเฮาพุ้น แล้วจิงต่าวคืนมา เพ่ือจักเอาวัตถุข้าวของอันอ่ืน มาขายน้ันฤา ฮวู ่า เมือบท่ ันฮอด ยังอย่ใู นทีน่ ก่ี ข็ ้าจา เมื่อน้ัน พี่เขยท้ังหก ได้ยินเสียงปากชำยกำพร้ำเอ้ินถามสันนั้น เขาก็บ่เข้าใจว่า สะเภาท้ังหลายฝูงนี้ เป็นของ ชำยกำพร้ำ ส่วนดังสะเภาท้ังหลายอันมาก อันมากับดอมท่านน้ีแม่น สะเภาพญำตำนีรำชธำนี แต่งคนมาส่งท่านน้ันหรือ ฮู้ว่า พญำตำนี รำชธำนี เอาเข้าของแลสะเภา ๕๐๐ เล่ม แลกไหส้มอุ้มคะลุ้มแห่งท่าน นั้นจา เม่ือนั้น ชำยกำพร้ำจิงกล่าวว่า ข้าแต่พ่ีเป็นเจ้า ส่วนดังสะเภา ห้าฮ้อยเล่มน้ีก็ดี กับทั้งคนทั้งหลายและเข้าของท้ังหลายฝูงนี้
๔๐ กับทั้งนางท้ังหลาย อันเป็นบริวารแห่งข้านี้ก็ดี ก็แม่นพญำตำนี รำชธำนี แต่งให้เปน็ ค่าไหสม้ อมุ้ คะล้มุ หนว่ ยเดยี วนนั้ กข็ า้ แล เมื่อนั้น พี่เขยทั้งหก ได้ยินคาชายกาพร้ากล่าวบอก ตามคามีดังนั้น พี่เขยท้ังหก ก็ตกใจกลัวย้านโภยภัย อันจักเกิดมี แก่ตน เหตุได้โกรธ ความอันได้ป้อยได้ด่าแลหย่อหยัน ในกาลเม่ือทุกข์ยากปางก่อน ก็ฟ้าวฮีบเบิกสะเภา เข้ามาหาสะเภา ชำยกำพร้ำ พร้อมกันหาบขนเอาข้าวของ อันตนไปค้าขายได้นั้น ออกมาคูณกองไว้ในท่ีใกล้ชายกาพร้า แล้วเขาก็เอาธูปเงินคู่หน่ึง น้าหนักหมื่นหนึ่ง ธูปคาคู่หนึ่ง น้าหนักหม่ืนหน่ึง แล้วก็คลานถักทเี ถย่ี เข้าไปหาชายกาพร้าพร้อมกัน เอาตีนและมือใส่หัว แล้วกล่าวว่า เทว ฝูงข้าไหว้เจ้า ผู้มีเตชะสมภารอันมาก ในเม่ือฝูงข้าทั้งหลาย ได้ป้อยได้ด่าและหย่อหยันเจ้ากูในกาลเม่ือก่อนนั้น ขอให้เจ้ากู อดโทษโผดผายแก่ฝูงข้าท้ังหลาย อันเป็นคนถ่อยคนช่ัวน้ีแด่ กข็ ้าเทอญ เม่ือน้ัน ชายกาพร้า อันเป็นหน่อพุทธางกูรมหากษัตริย์เจ้า ก็มีน้าใจการุณณาเมตตา แก่พี่เขยท้ังหกว่า ข้าแต่พ่ีเจ้าท้ังหกเอย ข้าผู้น้อง ก็บ่อให้เป็นโทษแก่พ่ีเป็นเจ้า พอประมาณท่อเส้นผม ตัดมนต์พิษก็บ่มีจักหยาด แท้ดีหลีแล ขอแก่พ่ีเป็นเจ้า อย่าน้องจิต ดั ง เ ห ล็ ก ใ น อ ย่ า น้ อ ย ใ จ คึ ด สั น อื่ น ใ ห้ ช ม ช่ื น ดั่ ง เ ม็ ด ง า
Search