Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 128 บทคัดย่อ (มิสอชัณชญา)

128 บทคัดย่อ (มิสอชัณชญา)

Published by phatcharaphorn.phermkaew, 2019-07-31 00:19:46

Description: 128 บทคัดย่อ (มิสอชัณชญา)

Search

Read the Text Version

วจิ ยั ในช้นั เรียน เรื่อง การศึกษาสาเหตุเร่ืองการไม่ส่งงาน / การบา้ น ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2/7 โรงเรียนอสั สมั ชญั ศรีราชา นางอชณั ชญา สวาสด์ินา ปี การศึกษา 2557

โรงเรียนอสั สมั ชญั ศรีราชา ช่ือเร่ืองการศึกษาสาเหตุเร่ืองการไม่ส่งงาน / การบา้ นของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี2/7โรงเรียนอสั สัมชญั ศรีราชา ผ้วู จิ ัยนางอชณั ชญา สวาสด์ินา บทคัดย่อ การศึกษาวจิ ยั คร้ังน้ี มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาพฤติกรรมของนกั เรียนในระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี2/7 โรง เรียนอสั สัมชญั ศรีราชา ผูว้ ิจยั ได้จดั ทาแบบสอบถามเพื่อศึกษาสาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบา้ นของ นกั เรียนจานวน 15 ขอ้ โดยใหน้ กั เรียนเรียงลาดบั สาเหตุการไม่ส่งงาน /การบา้ นตามลาดบั ท่ีมากท่ีสุดจนถึงนอ้ ย ท่ีสุดจากลาดบั 1 -15 และไดท้ าการนาผลของแต่ละสาเหตุ มาหาค่า ร้อยละ แลว้ นาขอ้ มูลมาวิเคราะห์และหา ขอ้ สรุปพร้อมท้งั นาเสนอในรูปของตารางประกอบคาบรรยาย เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนกั เรียนในเรื่องการไม่ ส่งงาน / การบา้ น ผลการศึกษาปรากฏวา่ จากการศึกษาและวิเคราะห์แบบสอบถามเพ่ือศึกษาพฤติกรรมเรื่องการไม่ส่ง งาน / การบา้ น ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2/7แสดงใหเ้ ห็นวา่ สาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบา้ น ลาดบั ที่ 1 คือ การใหก้ ารบา้ นมากเกินไป และครูอธิบายเร็วเกินไป โดยคิดจากนกั เรียน 49คน ที่เลือกเป็ นสาเหตุอนั ดบั ที่ 1 จานวน 23 คน คิดเป็น ร้อยละ 38.93

วจิ ยั ในช้นั เรียน เรื่องการศึกษาสาเหตุเรื่องการไม่ส่งงาน / การบา้ นของนกั เรียน ภูมิหลงั การเรียนการสอนในปัจจุบนั จะแบ่งคะแนนออกเป็ นสองส่วน คือ คะแนนเก็บก่อนสอบปลายภาค ซ่ึง คิดเป็น 80 เปอร์เซ็นตข์ องคะแนนท้งั หมด โดยใน 80 เปอร์เซ็นตน์ ้นั ผวู้ จิ ยั ไดเ้ ก็บคะแนนโดยการสอบเป็ นราย จุดประสงคแ์ ละการส่งงานของนกั เรียน ดงั น้นั การทาใบงานและการบา้ นส่งครูของนกั เรียนจึงเป็ นเรื่องที่สาคญั มากในการเรียนการสอนเพราะนอกจากจะมีคะแนนในส่วนของใบงานและการบา้ นแลว้ ยงั มีผลต่อการเรียนใน คาบถดั ไปด้วย เนื่องจากใบงานจะเป็ นการประเมินความรู้ความเขา้ ใจในบทเรียนของนักเรียนว่ามีมากน้อย เพียงใดอีกท้งั ยงั เป็ นการวดั พฤติกรรมความรับผดิ ชอบของนกั เรียนไดอ้ ีกทางหน่ึง ถา้ หากนกั เรียนไม่ไดท้ าใบ งานท่ีครูแจกให้นกั เรียนก็จะขาดคะแนนเก็บในส่วนน้ันและครูก็ไม่สามารถประเมินความรู้ความเขา้ ใจของ นกั เรียนได้ ในช่วงแรกของการสอน ครูไดใ้ ชใ้ บงานและใบความรู้แจกใหก้ บั นกั เรียนทุกคนประกอบการสอนใน แต่ละชว่ั โมง โดยที่ใบงานและใบความรู้ท่ีแจกให้นกั เรียนเก็บเป็ นของตนเอง แต่ใบงานบางเร่ืองตอ้ งนามา เรียนต่อในคาบต่อไป ซ่ึงเม่ือถึงช่วั โมงเรียนในชว่ั โมงต่อไปแล้วนกั เรียนไม่ไดน้ ามา เมื่อครูถามถึงสาเหตุ นกั เรียนตอบวา่ อยบู่ า้ น ลืมเอามา หรือทาหายไปแลว้ ก็มี ครูจึงบอกให้นกั เรียนที่ไม่ไดน้ าใบงานมาในชว่ั โมง น้ี นามาให้ครูดูในชั่วโมงถดั ไป ซึงปรากฏว่ามีนกั เรียนเพียงไม่ก่ีคนท่ีนาใบงานมาให้ครูดู เมื่อทาการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนผ่านไปช่วงหน่ึง ครูสังเกตไดว้ า่ นกั เรียนท่ีไม่ทางานส่งน้นั มีค่อนขา้ งมาก อาจเป็ น เพราะการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนในช่วงแรกครูให้นักเรียนทางานทุกคร้ังและให้ทาการบา้ นเก็บเป็ น คะแนนเก็บทุกคร้ังนกั เรียนท่ีขาดเรียนในคาบใดคาบหน่ึงไปก็มกั จะตามเพื่อนไม่ทนั แลว้ ก็นาไปสู่การไม่ส่ง การบา้ นในท่ีสุดหรือนักเรียนบางคนมาโรงเรียนแต่ไม่เคยทางานส่งเลย ซ่ึงสังเกตได้จากสมุดส่งงานของ นกั เรียน ครูจึงต้งั ขอ้ สังเกตไดว้ า่ ใบงานใดท่ีแจกให้นกั เรียนทาแลว้ ส่งทา้ ยชวั่ โมง จานวนนกั เรียนที่ส่งงานใน คร้ังน้นั กจ็ ะมีมาก แตห่ ากใหเ้ ป็นการบา้ นกจ็ ะมีนกั เรียนที่ไมส่ ่งงานหรือส่งงานไมต่ รงตามกาหนดค่อนขา้ งมาก จากการที่ผสู้ อนไดส้ อนในรายวชิ าสุขศึกษา ของนกั เรียนในระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2พบวา่ นกั เรียน ส่วนใหญ่มกั จะส่งงาน / การบา้ นไม่ตรงเวลาท่ีครูผสู้ อนกาหนด หรือบางคนก็ไม่ส่งงาน / หรือการบา้ นเลย ซ่ึง ทาใหค้ รูผสู้ อนไม่สามารถวดั ความรู้ หรือติดตามความกา้ วหนา้ ของนกั เรียนได้ ซ่ึงในรายวชิ าอาจมีผลต่อคะแนน เก็บของนกั เรียนด้วย ดงั น้นั ผูว้ ิจยั ซ่ึงในฐานะที่เป็ นท้งั ครูผูส้ อนและครูประจาวิชาเห็นความสาคญั ของปัญหา ดงั กล่าว จึงได้ ทาการวจิ ยั เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนกั เรียนในระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7เพ่ือนามาเป็ นขอ้ มูล ในการแกป้ ัญหาของนกั เรียนในเรื่องการไม่ส่งงาน / การบา้ นตอ่ ไป

จุดมุ่งหมาย 1. เพื่อศึกษาสาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบ้าน ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2/7 โรงเรียน อสั สัมชญั ศรีราชา 2. เพอื่ รวบรวมขอ้ มูลสาหรับการแกป้ ัญหาการไม่ส่งงาน / การบา้ นของนกั เรียน นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การบ้าน หมายถึง งานหรือกิจกรรมท่ีครูมอบหมายใหน้ กั เรียนไดท้ านอกเวลาเรียนเพื่อเป็ นการฝึ ก ทกั ษะคน้ ควา้ หาความรู้เพ่ิมเติมและใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์ 2. งาน หมายถึง แบบฝึ กหดั ที่ครูให้ในชวั่ โมงเรียน แบบฝึ กหดั ที่ครูให้เป็ นการบา้ น ใบงาน รวมถึง การทางานเป็ นกลุ่มและชิ้นงาน 3. ใบงาน หมายถึง แบบฝึกหดั ที่ครุใหท้ าในชวั่ โมงเรียนหรือใหเ้ ป็นการบา้ น 4. ใบความรู้ หมายถึง เน้ือหาในบทเรียนแยกเป็นบท โดยครูมาแจกเมื่อเขา้ สู่เน้ือหาในบทเรียนน้นั ตัวแปรทศ่ี ึกษา ตวั แปรต้น ได้แก่ การศึกษาสาเหตุเรื่องการไม่ส่งงาน / การบา้ นของนกั เรียน ตวั แปรตาม ได้แก่ 1. แบบสอบถามเพือ่ ศึกษาสาเหตุเร่ืองการไม่ส่งงาน/การบา้ นของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2/7 โรงเรียนอสั สมั ชญั ศรีราชา 2. ระดบั คะแนนเฉลี่ยของแบบสอบถาม กรอบแนวคิดการวจิ ัย การศึกษาสาเหตุเร่ืองการไม่ส่งงาน / 1. แบบสอบถามเพ่ือศึกษาสาเหตุ การบา้ นของนกั เรียน เรื่องการไม่ส่งงาน/การบา้ น 2.ระดับ คะแนนเฉลี่ยของแบบสอบถาม ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ 1. ทราบถึงพฤติกรรมและสาเหตุของการไม่ส่งงาน/การบา้ นของนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่2/7 โรงเรียนอสั สมั ชญั ศรีราชา 2. ไดแ้ นวทางใน การแกป้ ัญหาการเรียนการสอน

ขอบเขตของการวจิ ัย ในการศึกษาวิจยั คร้ังน้ีเป็ นการสร้างแบบสอบถามเพื่อศึกษาสาเหตุเรื่องการไม่ส่งงาน / การบา้ นของ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7โรงเรียนอสั สัมชญั ศรีราชาโดยใชข้ อ้ ความท่ีคาดวา่ จะเป็ นสาเหตุของการไม่ส่ง งาน / การบา้ น จานวน 15 ขอ้ และไดก้ าหนดขอบเขตของการวจิ ยั ไวด้ งั น้ี ประชากรประชากรท่ีใชใ้ นการศึกษา คือ นกั เรียนโรงเรียนอสั สมั ชญั ศรีราชา กาลงั ศึกษาอยใู่ นโรงเรียน อสั สมั ชญั ศรีราชา ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7 จานวนหอ้ งเรียน 1 หอ้ ง จานวนนกั เรียน 49คน แบบสอบถามท่ีใช้ ในการศึกษา เป็ นเป็ นแบบสอบถามเพื่อศึกษาสาเหตุของนักเรียนในระดับช้ัน มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7 ในเร่ืองการไมส่ ่งงาน / การบา้ น จานวน 15 ขอ้ เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง เพอื่ เป็ นพ้ืนฐานในงานวจิ ยั เร่ือง การศึกษาสาเหตุการไม่ส่งงาน / การบา้ นตามกาหนดของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2/7โรงเรียนอสั สัมชญั ศรีราชา ผวู้ จิ ยั จึงศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ งโดยเสนอตามลาดบั หวั ขอ้ ดงั น้ี 1. ความหมายของพฤติกรรม 2. ความหมายของการบา้ น 3. แนวคิดทฤษฏีท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การบา้ น 4. วธิ ีการเรียนท่ีดีหรือพฤติกรรมเรียนรู้ท่ีส่งเสริมผลสมั ฤทธ์ิในการเรียน 5. งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง พฤติกรรม ( Behavior ) พฤติกรรม หมายถึง ปฏิกิริยาหรือกิจกรรมทุกชนิดของสิ่งมีชีวิตแมว้ า่ จะสังเกตไดห้ รือไม่ก็ตาม เช่น คน สตั ว์ มีนกั พฤติกรรมศาสตร์บางคนไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ พฤติกรรมมีความหมายกวา้ งขาวงครอบคลุมไป ถึงพฤติกรรมของสิ่งที่ไม่มีชีวิตดว้ ย เช่น การไหลของน้า คล่ืนของน้าทะเล กระแสลมท่ีพดั การปลิวของฝ่ ุน ละออง การเดือดของน้า เป็ นตน้ ส่ิงที่กล่าวมาเป็ นการเคลื่อนไหวของส่ิงไม่มีชีวิต แต่มีการเปล่ียนแปลงจาก ลกั ษณะหน่ึงไปยงั อีกลกั ษณะหน่ึง เลยถือวา่ คลา้ ย ๆ กบั เป็ นปฏิกิริยาหรือเป็ นกิจกรรมท่ีปรากฏออกมาจากสิ่ง น้นั จึงนบั วา่ เป็นกิจกรรมดว้ ย การศึกษาเร่ืองพฤติกรรมส่วนใหญ่จะมุ่งศึกษาเฉพาะพฤติกรรมของคนส่วนพฤติกรรมของสัตวก์ ระทา เป็นบางคร้ัง เพือ่ นามาเป็นส่วนประกอบใหเ้ ขา้ ใจในพฤติกรรมของคนไดด้ ียง่ิ ข้ึน พฤตกิ รรมภายนอก ( Overt Behavior ) พฤติกรรมภายนอก หมายถึง ปฏิกิริยาของบุคคลหรือกิจกรรมของบุคคลท่ีปรากฏออกมาใหบ้ ุคคลอื่น ไดเ้ ห็น ท้งั ทางวาจาและการกระทาท่าทางอื่นๆ ท่ีปรากฏออกมาให้เห็นได้ พฤติกรรมที่ปรากฎออกมาให้เห็น

ภายนอกน้นั เป็ นสิ่งที่คนมองเห็นตลอดเวลา เป็ นปฏิกิยาท่ีคนเราไดแ้ สดงออกมาตลอดเวลาของการมีชีวิต ถา้ ลาดบั ต้งั แต่ตื่นนอนจนกระทงั่ นอนหลบั จะเห็นวา่ ไดแ้ สดงพฤติกรรมออกมาตลอดเวลา พฤติกรรมภายนอกท่ีแสดงออกมามีความสาคญั มาก โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ถา้ สังคมใดท่ีประเมินคุณภาพ ของคนว่าเป็ นคนดี มีระเบียบวินยั สุภาพ ซ่ือสัตย์ ทารุณ เป็ นตน้ ลว้ นแต่ประเมินคุณภาพของพฤติกรรม ภายนอกท้งั สิน ถา้ ไม่แสดงออกมาสงั คมก็ไมท่ ราบวา่ บุคคลน้นั เป็นคนอยา่ งไร พฤติกรรมที่คนแสดงออกมาใหเ้ ห็นภายนอกจึงนบั วา่ เป็ นองคป์ ระกอบที่สาคญั เก่ียวกบั ความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งบุคคลในสังคม สังคมชอบตดั สินคนดว้ ยพฤติกรรมภายนอก ดงั น้นั พฤติกรรมที่เราเห็นไดท้ ราบอาจ ไม่ใช่พฤติกรรมที่แทจ้ ริงของเขา และไม่ใช่ตวั ตนที่แทจ้ ริง คือการกระทาไม่ตรงกบั ความคิดความรู้สึก บาง คนอาจสวมหน้ากากเขา้ หากนั หรือแสดงไปตามบทบาทท่ีเขาเป็ นบางคร้ังจึงกาหนดไม่ไดว้ ่าเป็ นเร่ืองจริง เพราะไม่ไดส้ ะทอ้ นความเป็นจริงออกมาท้งั หมด พฤตกิ รรมภายใน ( Covert Behavior ) พฤติกรรมภายในหมายถึง กิจกรรมภายในที่เกิดข้ึนในตวั บุคคล ซ่ึงสมองทาหน้าที่รวบรวม สะสม และสั่งการ ซ่ึงเป็ นผลจากการกระทาของระบบประสาทและกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางด้านชีวเคมีของ ร่างกาย พฤติกรรมภายในมีท้งั รูปธรรมและนามธรรม ที่เป็ นรูปธรรมคนอื่นจะสังเกตเห็นไม่ได้แต่จะใช้ เครื่องมือทางการแพทยท์ ดสอบได้ สัมผสั ได้ เช่น การเตน้ ของหัวใจการหดและการขยายตวั ของกลา้ มเน้ือ การบีบของลาไส้ การสูบฉีดโลหิตไปเล้ียงร่างกาย เป็นตน้ ที่เป็นนามธรรมไดแ้ ก่ ความคิด ความรู้สึก เจตคติ ความเชื่อ ค่านิยม ซ่ึงจะอยใู่ นสมองของคน บุคคลภายนอกไม่สามรถจะมองเห็นได้ หรือสัมผสั ไดเ้ พราะไม่มี ตวั ตน และจะทราบวา่ เขาคิดอยา่ งไรก็ต่อเมื่อเขาแสดงออกมา เช่น การแสดงอาฆาตมาดร้าย ใชค้ าพูดข่มข่หู รือ ระทาดงั ที่คิดไว้ พฤติกรรมภายในจะมีเหมือนกนั หมดทุกวยั ไม่วา่ เด็กหรือผใู้ หญ่ เพศชาย เพศหญิง หรือต่าง เช้ือชาติ ส่วนที่จะแตกต่างกนั จะอยทู่ ี่จานวน ปริมาณหรือคุณภาพเทา่ น้นั พฤติกรรมภายในมีความสาคญั ต่อคน เป็ นคุณสมบตั ิที่ทาใหค้ นเหนือกว่าสัตว์ คนมีแนวคิดท่ีมีระบบ และคาดการณ์ในสิ่งต่างๆ ในอนาคตได้ พฤติกรรมภายในของคนมีความสัมพนั ธ์กบั พฤติกรรมภายนอกที่ แสดงออกมา บางสถานการณ์ก็ไม่อาจสอดคลอ้ งกนั ได้ เช่น บางคร้ังไม่พอใจในการกระทาของผอู้ ื่นก็อาจจะ ทาเฉยเพราะไม่กลา้ ต่อวา่ หรืทาร้ายเขา เพราะถา้ กระทาอะไรลงไปอาจทาใหเ้ กิดการทะเลาะววิ าทกนั ข้ึนได้ มนุษยจ์ ะแสดงพฤติกรรมภายในและพฤติกรรมภายนอกต้งั แต่เกดจนตาย พฤติกรรมท่ีแสดงออกมาอาจ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเล้ียงดูและอบรมจากครอบครัวหรือในทางตรงกนั ขา้ มอาจสืบเน่ืองมาจากการขาดการ เล้ียงดูและอบรมจากครอบครัวหรือในทางตรงกนั ขา้ มอาจสืบเนื่องมาจากการขาดการเล้ียงดูอบรมจากครอบครัว จึงทาใหม้ ีปัญหาอยมู่ าก

ในแต่ละช่วงของชีวติ จะมีพฒั นาการปรับเปลี่ยนหรือเปล่ียนแปลงพฤติกรรมไปบา้ งโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ตอ้ งปรับพฤติกรรมใหเ้ ขา้ กบั ขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรมของชุมชนน้นั ๆ รวมท้งั การเปลี่ยนแปลง ของสังคมในทุกๆด้าน เม่ือขนบธรรมเนียมประเพณีเป็ นตวั กาหนดพฤติกรรมของคนจึงทาให้ตนเปล่ียน พฤติกรรมไดย้ าก เช่น บางชุมชนมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบๆ เป็นตน้ ความหมายของการบ้าน ก๊ดู ( Good , 1973 : 224 ) กล่าววา่ การบา้ น หมายถึง งานที่ครูมอบหมายให้นกั เรียนกลบั ไปทาท่ีบา้ น เพ่อื ทบทวนความรู้ที่เรียนไปแลว้ และเป็นการฝึกทกั ษะ การใชก้ ฎ หรือสูตรต่างๆท่ีเรียนไปแลว้ ไพโรจน์ โตเทศ ( 2529 : 9 - 12 ) กล่าวถึงการบา้ นไวว้ า่ การบา้ นเป็ นงานท่ีครูผสู้ อนมอบหมาย หนั กั เรียนไปทาท่ีบา้ น เพื่อเป็ นการทบทวนความรู้ท่ีนกั เรียนไดเ้ รียนไปแลว้ จากโรงเรียน ประการหน่ึง อีก ประหน่ึง เป็ นการให้งานท่ีมุ่งวางพ้ืนฐานในการเรียนต่อไป เพ่ือความเขา้ ใจตรงกนั หรือความง่ายต่อการสอน ในเน้ือหาวชิ าต่อไป จินตนา ใบกาซูยี ( 2531 : 40 ) กล่าวถึงการบา้ นไวว้ า่ หมายถึง สิ่งจาเป็ นที่เด็กทุกช้นั จะตอ้ งปฏิบตั ิ ทาใหเ้ ด็กรู้จกั วนิ ยั รู้จกั ควบคุมตนเอง มีความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเอง แบง่ เวลาเป็น และรู้จกั เรียนดว้ ยตนเอง จนั ทนา คุณกิตติ ( 2532 : 14 ) กล่าวถึงการบา้ นไวว้ า่ หมายถึง งานหรือกิจกรรมท่ีครูมอบหมาย หันักเรียนทานอกเวลาเรียนปกติตามขอ้ กาหนดที่ตกลงร่วมกนั ระหว่างครูกบั นกั เรียนเพ่ือให้นักเรียนได้คิด คน้ ควา้ ทบทวนความรู้ที่เรียนไปแลว้ เพ่ือฝึ กทกั ษะหรือเตียมสู่ทเรียนใหม่ตลอดจนเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนกั เรียน ยอวน์ ี ( Yvonne ) กล่าวถึงการบา้ นไวว้ า่ หมายถึง งานท่ีมอบหมายให้นกั เรียนทานอกเวลาเรียน Yvonne . 1984 . Developing Homework Policies. ( ออนไลน์ ) สืบค้นได้จาก : www. Eg.gov./databases/ERIC Digests/ed256473.html [20 พฤศจิการยน 2544 ] บทั เลอร์ ( Butler ) กล่าวถึงการบา้ นไวว้ ่า หมายถึง การให้นกั เรียนใช้เวลานอกช้นั เรียนในการทา กรรมกิจกรรมจากแบบฝึกหดั เป็นการเสริมแรงหรือประยกุ ตท์ กั ษะหรือความรู้ใหม่และเรียนรู้ทกั ษะข้นั พ้ืนฐาน ดว้ ยตนเองอยา่ งอิสระ Butler. 1987. Homework. ( ออนไลน์) สืบคน้ ไดจ้ าก : www.bigchalk.com [ 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2541 ] กระทรวงศึกษาธิการ ( 2539 : 2 ) กล่าวถึงการบา้ นไวว้ า่ การบา้ น หมายถึง กิจกรรมที่ครูมอบหมาย ให้นกั เรียนทานอกเวลาเรียน ตามขอ้ กาหนดท่ีตกลงร่วมกนั ระหว่างครูกบั นักเรียนหรืออาจเป็ นกิจกรรมที่ นกั เรียนคิดข้ึนเองโดยความเห็นชอบของครู จากความหมายขา้ งตน้ พอสรุปไดว้ า่ การบา้ นหมายถึง งานหรือกิจกรรมท่ีครูมอบหมายใหน้ กั เรียนได้ ทานอกเวลาเรียนเพือ่ เป็นการฝึกทกั ษะ คนั ควา้ หาความรู้เพมิ่ เติมและใชว้ า่ งใหเ้ กิดประโยชน์

แนวคดิ ทฤษฏที เี่ กี่ยวข้องกบั การบ้าน วตั ถุประสงค์ของการบ้าน สแตรง ( Strang , 1960 อา้ งถึงใน สุขดี ต้งั ทรงสวสั ด์ิ. 2533 : 9 ) กล่าวถึงวตั ถุประสงคข์ องการ มอบหมายการบา้ นไวด้ งั น้ี 1. เพอื่ ช่วยกระตุน้ ใหน้ กั เรียนมีความพยายาม ความคิดริเร่ิม ความเป็ นอิสระ มีโอกาสใชค้ วามคิดของ ตนเอง 2. ส่งเสริมใหน้ กั เรียนใชเ้ วลาวา่ งจากการเรียนในโรงเรียนใหเ้ ป็นประโยชน์ 3. เพ่อื เพ่ิมพนู ประสบการณ์ที่ไดร้ ับจากโรงเรียนโดยทากิจกรรม 4. สนบั สนุนการเรียนรู้โดยมีการเตรียมตวั ฝึกปฏิบตั ิ กระทรวงศึกษาธิการ ( 2539 : 3 ) ได้กล่าวถึงวตั ถุประสงค์ของการบ้านไว้ดงั นี้ 1. เพื่อเพิม่ ทกั ษะและประสบการณ์จากสิ่งที่ไดเ้ รียนรู้มาแลว้ 2. เพื่อให้รู้จกั ศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง 3. เพื่อให้รู้จกั ตนเองเกี่ยวกบั ความถนดั ความสามารถ ความสนใจและขอ้ บกพร่องในการเรียนวชิ า น้นั ๆ 4. เพอ่ื ใหเ้ กิดความเช่ือมนั่ ในส่ิงที่เรียนรู้และทาใหก้ ลา้ ตดั สินใจ 5. เพอื่ พฒั นาความคิดสร้างสรรค์ 6. เพ่อื ใหม้ ีวนิ ยั รักการทางาน มีความรับผิดชอบและรู้จกั ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์ 7. เพอื่ ปลูกฝังคุณธรรม รู้จกั เสียสละ ช่วยเหลือสงั คมและทางานเป็นหมู่คณะได้ 8. เพ่ือใหค้ รูและผปู้ กครองสามารถสนบั สนุน และช่วยเหลือในขอ้ บกพร่องต่างๆ ของ นกั เรียนท่ีเกิดจากการเรียนการสอนได้ บทั เลอร์ ( Butler ) ได้ให้วตั ถุประสงค์ของการบ้านไว้ Butler. 1987 . Homework. ( ออนไลน์ ) สืบค้นได้จาก : www.bigchalk.com [ 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2545] 1.การบา้ นควรจะเป็นการเสริมทกั ษะท่ีถูกแนะนาในหอ้ งเรียน 2. เพอื่ บรรลุผลในความเช่ียวชาญต่อบทเรียนพ้นื ฐาน เช่น กฎทางคณิตศาสตร์ เป็นตน้ 3. สนบั สนุนใหเ้ ลือกหวั ขอ้ ท่ีจะศึกษาไดอ้ ยา่ งอิสระ 4. ใหโ้ อกาสในการทากิจกรรมที่มีคุณค่าอยา่ งอิสระ 5. สนบั สนุนใหใ้ ชเ้ วลาอยา่ งฉลาดและเป็นระเบียบ

ประเภทของการบ้าน สาอาง สีหาพงษ์ ( 2531 : 43 - 47) แบง่ การบา้ นออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ภาคความรู้ คือ การบา้ นที่เป็นเรื่องทกั ษะ ความรู้ ความคิด เช่น การศึกษาคน้ ควา้ ทารายงาน การ หาขา่ ว ทาแบบฝึกหดั การตอบคาถาม การเติมคา การอ่านหนงั สือเพมิ่ เติม 2. ภาคปฏิบตั ิ คือ การบา้ นท่ีทาดว้ ยมือเพื่อก่อใหเ้ กิดความชานาญและประสบการณ์ เช่น การทา กระบวยตกั น้า การจดั นิทรรศการ การตอนกิ่งไม้ การทดลองต่างๆ เป็นตน้ 3. ประเภทใหป้ ระโยชนส์ าธารณะ เช่น การช่วยงานโรงเรียน การเขา้ ร่วมกิจกรรมชุมนุมและการเขา้ ร่วมกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ เป็นตน้ กระทรวงศึกษาธิการ ( 2539 : 4 ) ได้แบ่งประเภทของการบ้านไว้ดังนี้ 1. ประเภทเสริมความรู้ เช่น การศึกษาคน้ ควา้ การศึกษานอกสถานที่ การทารายงาน และการทา แบบฝึกหดั เป็ นตน้ 2. ประเภทเสริมการปฏิบตั ิ เช่น การทาชิ้นงาน การฝึกงาน การจดั นิทรรศการ และการจดั ป้ ายนิเทศ เป็ นตน้ 3. ประเภทใหป้ ระโยชนส์ าธารณะ เช่น การช่วยงานโรงเรียน การเขา้ ร่วมกิจกรรมชุมชนและการเขา้ ร่วมกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ เป็นตน้ ซัลลิแวน และซีคิวรา ( Sullivan and sequeira) ได้เสนอรูปแบบการบ้านไว้ 4 ประเภทดังนี้ Sullivan and sequeira. 1996. Homework tips for Teacher. [ 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2545 ] 1. ประเภทแบบฝึกหดั ( Practice ) เป็นการทาซ้าและเป็นการฝึกฝนซ่ึงจะเป็ นการเสริมแรงใหก้ บั การ เรียนรู้ต่อเน้ือหาวชิ า ตลอดจนเป็นการเพิม่ ความเร็วและความเช่ียวชาญของทกั ษะเฉพาะดา้ น 2. ประเภทเตรียมความพร้อม ( Preparation ) มีผลการเรียนรู้ของการทางานและกระตุน้ ใหน้ กั เรียน รวบรวมขอ้ มูลของบทเรียน ซ่ึงเขาจาเป็นจะตอ้ งเตรียมพร้อมในช้นั เรียนตอ่ ไป 3. ประเภทเสริมบทเรียน ( Extension ) อนุญาตให้นกั เรียนไดข้ ยายความรู้ที่มีต่อเน้ือหาหรือประยกุ ต์ ทกั ษะการเรียนในการทางานใหม่ 4. งานประดิษฐ์ ( Creative ) อนุญาตใหนั กั เรียนรวมกลุ่มเพอื่ สร้างความคิดด้งั เดิมหรือคิดงานใหม่

ลกั ษณะของการบ้าน การบา้ นเป็ นส่วนหน่ึงของกิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึงจะมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และทศั นคติของ ผเู้ รียนเป็นอยา่ งยงิ่ ดงั น้นั จึงเป็นหนา้ ที่ของครูในการจดั การบา้ นที่ดีใหแ้ ก่นกั เรียนกระทรวงศึกษาธิการ ( 2539 : 5 – 6 ) ไดก้ ล่าวถึงคุณลกั ษณะที่ดีของการบา้ นไวด้ งั น้ี 1. ตรงตามหลกั การ จุดหมาย และจุดประสงคข์ องหลกั สูตร 2. สัมพนั ธ์และสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคร์ ายวชิ า และแผนการเรียนการสอน 3. ชดั เจน ไม่มากและยากเกินไป สอดคลอ้ งกบั สภาพชีวิตและความเป็นอยขู่ องนกั เรียน 4. ยวั่ ยแุ ละทา้ ทายความถนดั ความสามารถ และความสนใจของนกั เรียน 5. ส่งเสริมและพฒั นาการ ดา้ นความรู้ ทกั ษะ และประสบการณ์ของนกั เรียน 6. ใชเ้ วลาพอเหมาะกบั วยั และความสามารถของนกั เรียน หลกั การสาคัญในการมอบหมายการบ้าน ฟิ ลิป และแดเนียล ( Philip and Daniel, 1972 : 55 - 57 ) ไดเ้ สนอหลกั การมอบหมายการ้านไวด้ งั น้ี 1. ควรใหก้ ารบา้ นเป็นประจา ไมใ่ ช่ใหบ้ างคร้ังบางคราว และควรกาหนดส่งตามเวลา 2. ควรใหเ้ หมาะสมกบั ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลวตั ถุประสงคข์ องหลกั สูตรและจุดมุ่งหมายของครู นกั เรียนเก่งควรใหก้ ารบา้ นประเภทศึกษาสารานุกรม แลว้ นามาสนทนาในห้องเรียน นกั เรียนอ่อนควรให้ การบา้ นที่เป็นการฝึกฝนและเพ่มิ พนู เน้ือหาความรู้ในบทเรียน 3. ควรใหก้ ารบา้ นท่ีส่งเสริมสัมพนั ธภาพที่ดีระหวา่ งบา้ นกบั โรงเรียน 4. ไม่ควรเป็ นงานซบั ซอ้ นหรือเป็นงานท่ีครูยดั เยยี ดให้นกั เรียน เพราะอาจจะทาในส่ิงที่ตนไม่เขา้ ใจ ซ่ึงมีผลเสียอยา่ งมากสาหรับนกั เรียนที่อ่อน อ้อม ประนอม ( 2529 อ้างถงึ ใน สุขดี ต้ังทรงสวสั ด์ิ , 2533 : 13 ) ได้เสนอหลกั การในการมอบหมาย การบ้านดงั นี้ 1. ครูใหก้ ารบา้ นเมื่อนกั เรียนเขา้ ใจบทเรียนดีแลว้ 2. แบบฝึกหดั ที่ใหก้ ารบา้ นน้นั ควรมีความยากง่ายเหมาะสมกบั ความสามารถของนกั เรียนและ เหมาะสมกบั เวลาที่ทา 3. การบา้ นตอ้ งใหส้ ม่าเสมอและติดตามผอยา่ งใกลช้ ิด 4. ครูควรมีสมุดบนั ทึกการบา้ นเป็นการตระเตรียมบทเรียนที่จะใหก้ ารบา้ นที่เหมาะสมยง่ิ ข้ึน

หลกั ในการให้การบ้านได้ประมวลจากแนวคดิ ของนักการศึกษาหลายท่านทม่ี คี วามสอดคล้องกนั กร ทรวงศึกษาธิการ ( 2539 : 6 ) สรุปได้ดงั นี้ 1. ตอ้ งจดั ใหส้ ัมพนั ธ์สอดคลอ้ งกบั ราบวชิ า กลุ่มวชิ า และแผนการเรียนการสอน 2. ตอ้ งเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ และแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง 3. ตอ้ งจดั ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความแตกตา่ งของนกั เรียนแต่ละคน มีความยากง่ายและปริมาณพอเหมาะ กบั ความสามารถและเวลาของนกั เรียน 4. ตอ้ งไมเ่ พ่ิมภาระใหผ้ ปู้ กครองมากเกินไป 5. ตอ้ งเป็ นการสร้างความร่วมมือและความเขา้ ใจอนั ดีระหวา่ งโรงเรียนกบั บา้ น 6. ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั สภาพการดาเนินชีวิตของนกั เรียนและชุมชน 7. ควรสอนความสามารถเบ้ืองตน้ ท่ีเดก็ จาเป็นตอ้ งใชใ้ นการทาการบา้ น เพราะเม่ือนกั เรียนทาการบา้ น ถูกจะก่อใหเ้ กิดความช่ืนชมตนเอง ครูจึงควรใหก้ ารบา้ นที่ช่วยใหก้ าลงั ใจแก่นกั เรียนมากกวา่ เป็นการฉุดร้ังให้ เกิดความลม้ เหลวในการเรียน 8. ควรใหอ้ ยา่ งสม่าเสมอ ใหแ้ ต่นอ้ ยๆ และบ่อยๆ อยา่ งตอ่ เน่ือง การทาทุกคร้ังให้เด็กประสบ ความสาเร็จเสมอ คือทาแลว้ ไดเ้ คร่ืองหมายถูกมากกวา่ ผดิ เพราะถือวา่ การฝึกฝนในปริมาณท่ีพอดีกบั เวลา ก่อใหเ้ กิดผลดี การฝึกมากเกินไปจะใหผ้ ลเสียมากกวา่ เพราะจะทาใหน้ กั เรียนเบ่ือหน่าย หลีกเล่ียง หรือทา แบบขอไปที 9. ใหก้ ารบา้ นหลายๆ แบบ เพราะคนเราชอบความแปลกใหม่ จึงไมค่ วรใหก้ ารบา้ นลกั ษณะเดียวกนั ตลอดปี 10. เม่ือใหก้ ารบา้ นแลว้ ครูตอ้ งกาหนดวนั ส่ง พร้อมท้งั จะตอ้ งตรวจการบา้ นและติดตามผลอยา่ งใกลช้ ิด วา่ นกั เรียนยงั บกพร่องในเร่ืองใด ตรงไหนควรช่วยเหลือเป็นรายบุคคลหรือช่วยเป็ นกลุ่ม ประโยชน์ของการบ้าน การบา้ นมีประโยชน์หลายประการดงั น้ีคือ ( กระทรวงศึกษาธิการ , 2539 : 9 ) ก. ต่อนักเรียน 1. ไดพ้ ฒั นาแนวคิดอยา่ งต่อเน่ืองและสม่าเสมอ 2. ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง ซ่ึงเป็นปัจจยั สาคญั ท่ีช่วยใหเ้ ดก็ เช่ือมน่ั ในความสามารถของตนเอง ปลูกนิสยั ใหร้ ักเด็กและพยายามคน้ ควา้ หาความรู้ และความกา้ วหนา้ มาสู่ตนเอง 3. ไดส้ ารวจและพฒั นาตนเองในดา้ นความรู้ ความถนดั ความสามารถ และความสนใจ 4. ใชเ้ วลาใหเ้ กิดประโยชน์ ซ่ึงเป็นการสร้างนิสัยท่ีดีใหก้ บั นกั เรียน 5. ปลูกฝังความมีระเบียบ ความรับผดิ ชอบและความเสียสละ รู้จกั แบง่ เวลาเพอ่ื พฒั นาตนเอง รู้วา่ เวลา ไหนควรทาอะไร ลาดบั กิจกรรมก่อนหลงั วางแผนงานเป็ นไปในแต่ละวนั

ข. ต่อผู้ปกครอง 1. ลดความวติ กกงั วลในเร่ืองความประพฤติของบุตรหลาน 2. ทราบพฒั นาการและขอ้ บกพร่องทางการเรียนของบุตรหลาน 3. เกิดความสัมพนั ธ์ที่ดีระหวา่ งผปู้ กครอง ครู และนกั เรียน ค. ต่อครูผู้สอน 1. ช่วยเสริมใหแ้ ผนการสอนของครูเป็นระบบและครบถว้ น 2. เป็นเคร่ืองมือช่วยจาแนกความแตกตา่ งของนกั เรียนเพ่ือกาหนดวธิ ีสอนใหเ้ หมาะสมกบั นกั เรียน 3. ทราบผลการเรียนรู้ของนกั เรียนไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่ือง ข้อควรคานึงในการมอบหมายการบ้าน กระทรวงศึกษาธิการ ( 2539 : 13 ) ไดก้ ล่าววา่ ในการมอบหมายการบา้ น อาจจะประสบปัญหาตา่ งๆ เช่น ขาดการประสานงานระหวา่ งครู การบา้ นยาก มากหรือนอ้ ยเกินไป นกั เรียนเกิดความวติ กกงั วล เบ่ือ หน่ายการเรียนและหนีเรียน ทาใหผ้ ปู้ กครองเดือดร้อน และขาดแหล่งศึกษาคน้ ควา้ เป็นตน้ เพื่อไม่ใหเ้ กิด ปัญหาดงั กล่าว ในการมอบหมายการบา้ น โรงเรียนและครูควรคานึงถึงแนวปฏิบตั ิดงั ต่อไปน้ี 1. ควรหลีกเล่ียงการใชก้ ารบา้ นเป็นเคร่ืองมือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน 2. ควรกาหนดปริมาณ ความยากง่ายใหพ้ อเหมาะกบั สภาพและพน้ ฐานของนกั เรียนโดย ไมจ่ าเป็นตอ้ งใหเ้ ท่ากนั ทุกคนและตอ้ งชดั เจน 3. ควรหลีกเลี่ยงการใชก้ ารบา้ นเป็นเคร่ืองมือในการแกป้ ัญหากาสอนไม่จบหลกั สูตร 4. ควรอานวยความสะดวกและเตรียมการล่วงหนา้ สาหรับการบา้ นท่ีตอ้ งใชว้ สั ดุอุปกรณ์ 5. ควรจูงใจใหน้ กั เรียนเห็นประโยชน์และคุณค่าของกาบา้ น 6. ควรสร้างเสริมการบา้ นใหม้ ีลกั ษณะยวั่ ยุ และทา้ ทา้ ยความถนดั ความสามารถและความ สนใจของนกั เรียน 7. ควรมอบหมายการบา้ นหลายรูปแบบและไมซ่ ้าซาก 8. ควรเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนไดม้ ีส่วนร่วมในการทาการบา้ น 9. ควรหลีกเลี่ยงการใชก้ ารบา้ นเป็นเคร่ืองมือในการลงโทษนกั เรียน ทศั นีย์ ศุภเมธี ( 2532 : 113 ) กล่าววา่ การใหแ้ บบฝึกหดั ของการใหท้ าการบา้ นเป็ น

กิจกรรมการเรียนรู้ดว้ ยตนเองของนกั เรียน ผลงานจากาทาแบบฝึกหดั จะบอกใหค้ รูทราบวา่ นกั เรียนเขา้ ใจ บทเรียนท่ีเยนไปหรือไม่ ถา้ นกั เรียนทาแบบฝึกหดั หรือการบา้ นไมค่ อ่ ยได้ กแ็ สดงให้เห็นวา่ ครูตอ้ งสอนซ่อม เสริมหรืออาจจะตอ้ งทบทวนบทเรียนใหม่ ข้อเสนอแนะในการให้ทาแบบฝึ กหดั หรือการให้ทาการบ้าน 1. ควรจะใหท้ นั ทีหลงั จากสอนจบบทเรียน 2. ควรใหใ้ นปริมาณพอสมควรและเหมาะสมกบั ความสามารถของนกั เรียน 3. ครูควรจะร่วมมือกบั ผปู้ กรองในการเอาใจใส่ดูแลการทาการบา้ นของนกั เรียน 4. การใหก้ ารบา้ นหรือแบบฝึกหดั แต่ละคร้ังครูตอ้ งแน่ใจวา่ นกั เรียนเขา้ ใจคาสั่งในงานท่ีไดร้ ับ มอบหมาย 5. ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจจุดหมายและปะโยชนข์ องการทาแบบฝึกหดั และการบา้ น 6. การใหก้ ารบา้ นของครูไม่ควรเนน้ ท่ีงานหนงั สืออยา่ งเดียว ครูควรใหก้ ารบา้ นท่ีนกั เรียนจะลง ปฏิบตั ิดว้ ยตนเองดว้ ย เช่น ใหต้ ดั เลบ็ ใหส้ ้ันทุกวนั ศุกร์ ปลูกตน้ ไมก้ ระถาง ใหใ้ ส่ป๋ ุยตน้ ไม้ 7 วนั ต่อคร้ัง คูเปอร์ ( Cooper ) ได้ศึกษาถึงข้อควรคานึงในการให้การบ้านดังนี้ Cooper.1999. Homewort : Time To Turn It In? ( ออนไลน์ ) สบค้นได้จาก : www.bigchalk.com [ 21 มีนาคม 2545 ] 1. ไม่ควรใหก้ ารบา้ นเป็นการลงโทษ 2. หลีกเลี่ยงการบา้ นท่ีเป็นงานซ่ึงเด็กสามารถทาไดด้ ีอยแู่ ลว้ 3. การใหก้ ารบา้ นควรจะมีปริมาณไมม่ าก และไม่ยากเกินไป และควรเป็นการบา้ นที่น่าสนใจซ่ึงเด็ก สามารถจะทาไดด้ ว้ ยตนเอง 4. ควรจะใหก้ ารบา้ นที่เหมาะสมกบั ระดบั การศึกษาของเดก็

วธิ ีดาเนินการวจิ ัย การวจิ ยั คร้ังน้ีเป็นการวจิ ยั ศึกษาสาเหตุเรื่องการไม่ส่งงาน / การบา้ นตามกาหนดของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7โรงเรียนอสั สัมชญั ศรีราชา โดยใช้ แบบสอบถามเพ่อื หาสาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบา้ น ตามกาหนด ผวู้ จิ ยั ไดว้ างแผนการดาเนินการศึกษา สร้างแบบสอบถาม โดยใชข้ อ้ ความที่คาดวา่ จะเป็นสาเหตุของ การมาส่งงาน / การบา้ นตามกาหนดและไดด้ าเนินการซ่ึงมีรายละเอียดเป็นข้นั ตอนดงั น้ี ประชากร ประชากรที่ใชใ้ นการวจิ ยั คร้ังน้ี เป็นนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2/7โรงเรียนอสั สมั ชญั ศรีราชาจานวน 49 คน เครื่องมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย 1. แบบสอบถาม ข้นั ตอนการดาเนินการ ในการดาเนินการศึกษาวจิ ยั คร้ังน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พือ่ 1.ข้นั วเิ คราะห์( Analysis) 1.1 วเิ คราะห์ข้อมูลพนื้ ฐานของผ้เู รียนการวเิ คราะห์ผเู้ รียนไดก้ าหนดไวด้ งั น้ี ประชากรคือ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2557โรงเรียนอสั สัมชญั ศรีราชา จานวน49คน 1.2 วเิ คราะห์สาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบ้าน ของนักเรียนโดยการหาคา่ ร้อยละ 2. ข้นั ออกแบบ (Design) ผวู้ จิ ยั ดาเนินการสร้างแบบสอบถามเพ่ือวดั พฤติกรรมการไมส่ ่งงาน / การบา้ นตามกาหนด โดยมีลาดบั ข้นั ตอนการสร้างดงั น้ี ศึกษาเทคนิคการสร้างแบบสอบถามจากเอกสารต่างๆ สร้างแบบสอบถามเพอ่ื วดั พฤติกรรมของนกั เรียนเพื่อหาสาเหตุในการไม่ส่งงาน/การบา้ น ตามกาหนดของนกั เรียนในระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7จานวน 15 ขอ้ โดยใหน้ กั เรียนใส่หมายเลขลาดบั สาเหตุ ของการไมส่ ่งงานจากลาดบั มากท่ีสุด ( 1 ) ไปจนถึงลาดบั นอ้ ยที่สุด ( 15 ) 3. ข้นั ดาเนินการ ในการวจิ ยั คร้ังน้ี ผวู้ จิ ยั ไดม้ ีการดาเนินการดงั น้ี 3.1 นาแบบสอบถามเพ่อื ศึกษาพฤติกรรมการไม่ส่งงาน /การบา้ นตามกาหนดของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2557โรงเรียนอสั สัมชญั ศรีราชา จานวน49คน เพ่ือหาสาเหตุของการไม่ ส่งงาน / การบา้ นตามกาหนด และทาการบนั ทึกคะแนน 3.2 ดาเนินการหาค่าร้อยละของแต่ละขอ้ สาเหตุ

4. ข้ันวเิ คราะห์ข้อมูล 4.1 วเิ คราะห์ข้อมูล - วเิ คราะห์ผลจากคะแนนท่ีไดจ้ ากการทาแบบสอบถามเพ่ือศึกษาพฤติกรรม 4.2 สถิตทิ ใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล 4.2.1 การหาคา่ ร้อยละ คา่ ร้อยละ = X x 100 N เมื่อ X = คะแนนท่ีได้ N = จานวนนกั เรียนท้งั หมด

ผลการวเิ คราะห์ จากการศึกษาวจิ ยั ในช้นั เรียนคร้ังน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาสาเหตเร่ืองการไม่ส่งงาน/ การบา้ น ตาม กาหนดของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7 เพ่ือนาผลการวจิ ยั มาเกบ็ เป็ นขอ้ มลู เพ่ือหาสาเหตุ และนาไปแกไ้ ข ปัญหาในการเรียนการสอนและเพื่อใหน้ กั เรียนเห็นความสาคญั ของการส่งงานและการบา้ นโดยใชแ้ บบสอบถาม เพอื่ ศึกษาพฤติกรรมจานวน 15 ขอ้ โดยกลุ่มตวั อยา่ งซ่ึงเป็ นนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2/7 ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2557โรงเรียนอสั สัมชญั ศรีราชาจานวน 49 คนโดยสามารถวเิ คราะห์ผลไดด้ งั น้ี ผลการประเมินแบบสอบถามของนกั เรียนในเร่ืองการไมส่ ่งงาน/การบา้ นตามกาหนด เกี่ยวกบั การหา สาเหตุท่ีไมส่ ่งงาน การบา้ นของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2/7 ตาราง 1ผลการประเมินแบบสอบถามของนกั เรียนถึงสาเหตุที่ผเู้ รียนไม่ส่งงาน / การบา้ นตามกาหนด สาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบา้ น ลาดบั ที่ ร้อยละ 1. การบา้ นมากเกินไป 2 28.57 2. แบบฝึกหดั ยาก ทาไมไ่ ด้ 7 18.37 3. ไม่น่าสนใจ 10 12.24 4. ใหเ้ วลานอ้ ยเกินไป 5 22.45 5. ครูอธิบายเร็วจนเกินไป 3 26.53 6. ไม่เขา้ ใจคาสง่ั 11 10.20 7. สมุดหาย 12 8.16 8. เบื่อหน่ายไมอ่ ยากทา 13 6.12 9. ช่วยเหลืองานผปู้ กครอง 15 2.04 10. หนงั สือหาย 6 20.41 11. ลืมทา 9 14.28 12. ช่วยเหลือผปู้ กครอง 14 4.08 13. เตรียมตวั สอบเก็บคะแนนวชิ าอื่น 8 16.32 14. ติดเกมส์ 1 30.61 15. ทากิจกรรมของโรงเรียน 4 24.48

จากตารางที่ 1 แสดงใหเ้ ห็นวา่ การตอบแบบสอบถามของนกั เรียนในเรื่องสาเหตุของการไมส่ ่งงาน / การบา้ นตามกาหนด โดยทาการเรียงลาดบั จากสาเหตุท่ีนกั เรียนที่นกั เรียนคิดวา่ เป็ นสาเหตุท่ีสาคญั ท่ีสุดจนถึง สาเหตุที่นอ้ ยที่สุด ตามลาดบั 1-15 ดงั ต่อไปน้ี ติดเกมส์ อยใู่ นลาดบั ท่ี 1 คิดเป็นร้อยละ 30.61 (15 คน ) การบา้ นมากเกินไป อยใู่ นลาดบั ที่2 คิดเป็นร้อยละ 28.57 (14 คน ) ครูอธิบายเร็วเกินไป อยใู่ นลาดบั ที่3 คิดเป็นร้อยละ 26.53 (13 คน ) ทากิจกรรมของโรงเรียน อยใู่ นลาดบั ท่ี 4 คิดเป็นร้อยละ 24.42 ( 12 คน ) ใหเ้ วลานอ้ ยเกินไป อยใู่ นลาดบั ที่5 คิดเป็นร้อยละ 22.45 ( 11 คน ) หนงั สือหาย อยใู่ นลาดบั ที่ 6 คิดเป็นร้อยละ 26.53 ( 10 คน ) ลืมทา อยใู่ นลาดบั ที่ 7 คิดเป็นร้อยละ 14.28 ( 9 คน ) เตรียมตวั สอบเก็บคะแนนวชิ าอ่ืน อยใู่ นลาดบั ท่ี 8 คิดเป็นร้อยละ 16.32 ( 8 คน ) แบบฝึกหดั ยากทาไมไ่ ด้ อยใู่ นลาดบั ที่9 คิดเป็นร้อยละ 18.37 ( 7คน ) ไม่น่าสนใจ อยใู่ นลาดบั ที่ 10 คิดเป็นร้อยละ 12.24 ( 6คน ) ไมเ่ ขา้ ใจคาส่งั อยใู่ นลาดบั ท่ี11 คิดเป็นร้อยละ 10.20 ( 5 คน ) สมุดหาย อยใู่ นลาดบั ท่ี12 คิดเป็นร้อยละ 8.16 ( 4 คน ) เบื่อหน่าย ไมอ่ ยากทา อยใู่ นลาดบั ท่ี13 คิดเป็นร้อยละ 6.12 ( 3คน ) ไมค่ ่อยมีคนใหค้ าปรึกษา อยใู่ นลาดบั ท่ี 14 คิดเป็นร้อยละ 22.03 (2คน ) ช่วยเหลือผปู้ กครอง อยใู่ นลาดบั ท่ี 15 คิดเป็นร้อยละ 4.08 ( 1 คน )

สรุปผลการวจิ ัย จากการศึกษาและวเิ คราะห์แบบสอบถามเพอ่ื ศึกษาสาเหตุเรื่องการไม่ส่งงาน / การบา้ นตามกาหนดของ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7โรงเรียนอสั สมั ชญั ศรีราชาแสดงใหเ้ ห็นวา่ สาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบา้ น ตามกาหนด ลาดบั ท่ี 1 คือ ติดเกมส์ นกั เรียนเลือก 15 คน คิดเป็นร้อยละ 30.61 อนั ดบั ท่ี 2 การบา้ นมาก เกินไป นกั เรียนเลือก 23 คน คิดเป็นร้อยละ 28.53 อนั ดบั ท่ี 3 ครูอธิบายเร็วเกินไปนกั เรียนเลือก 14 คน คิด เป็นร้อยละ 26.53 โดยคิดจากนกั เรียน49คน อภิปรายผลการวจิ ัย จากการสร้างแบบสอบถามเพอื่ ศึกษาสาเหตุเร่ืองการไม่ส่งงาน / การบา้ นตามกาหนดของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7 ในคร้ังน้ีสามารถอภิปรายผลไดด้ งั น้ี พบวา่ แบบสอบถามเพ่อื ศึกษาพฤติกรรมของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 2/7 ในเรื่องการไมส่ ่งงาน / การบา้ นตามกาหนด ไดท้ าใหท้ ราบถึงสาเหตุท่ีสาคญั มากท่ีสุด จนถึงสาเหตุท่ีนอ้ ยท่ีสุด ในการไมส่ ่งงาน / การบา้ นตามกาหนด คือติดเกมส์การบา้ นมากเกินไป ครูอธิบายเร็วเกินไปกิจกรรมของโรงเรียน ใหเ้ วลา นอ้ ยเกินไป หนงั สือหายลืมทาเตรียมตวั สอบเกบ็ คะแนนวชิ าอ่ืนแบบฝึกหดั ยากทาไม่ได้ สมุดหาย เบ่ือหน่าย ไมอ่ ยากทา ไมค่ ่อยมีคนใหค้ าปรึกษา ช่วยเหลือผปู้ กครอง ข้อเสนอแนะ 1. ในการสร้างแบบสอบถามเพื่อศึกษาสาเหตุเรื่องการไมส่ ่งงาน / การบา้ นตามกาหนด อาจจดั ทากบั นกั เรียนท้งั ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2เพือ่ เป็นการศึกษาในภาพรวมเพราะการวจิ ยั คร้ังน้ี กลุ่มตวั อยา่ งเป็ นเพยี ง นกั เรียนในระดบั ช้นั มธั ยมศึกษา 2/7 เท่าน้นั ซ่ึงอาจจะไดผ้ ลการวจิ ยั ท่ีแตกตา่ งกนั กไ็ ด้ 2. ในการวจิ ยั คร้ังต่อไปอาจเจาะจงทาการวจิ ยั กลุ่มนกั เรียนในระดบั ช้นั อ่ืนๆ ต่อไป และ อาจแยกหวั ขอ้ เป็นรายวชิ าต่างๆ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ท่ีละเอียดข้ึน ซ่ึงจะไดน้ าผลการทดลองที่ไดไ้ ปแกไ้ ขปัญหาใน การไมส่ ่งงาน / การบา้ นตามกาหนดของนกั เรียนต่อไป

บรรณานุกรม ทศั นีย์ กิติวนิ ิต . 2540 . ปัจจยั ที่ท่ีมีอิทธิพลตอ่ ความรับผิดชอบในการทางานของพนกั งาน. กรุงเทพมหานคร: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบณั ฑิตย์ . พรพิมล พิสุทธ์พนั ธ์พงศ์ . 2538 . ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการอบรมเล้ียงดูกบั ความพร้อมทาง สติปัญญาของนกั เรียน ช้นั อนุบาลปี ท่ี 1 จงั หวดั เชียงใหม่ : บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ . พวงทอง ป้ องภยั . 2540. พฤติกรรมศาสตร์เบ้ืองตน้ , ภาควชิ าพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี . ศิริวฒั น์ สงวนหม.ู่ 2533 . พฤติกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมผลสมั ฤทธ์ิในการเรียนฟิ สิกส์ตามการ เรียนรู้ของนกั เรียนมธั ยมศึกษาตอนปลาย . กรุงเทพ : บณั ฑิตวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . Bulping .1987 .Homework .( ออนไลน์ ) สืบคน้ จาก : www.bigchalk . com [ 5 กุมภาพนั ธ์ 2545] Cooper .1999 .Homework : Time To Turn It In ( ออนไลน์ ) สืบคน้ จาก : www. Bigchalk .com [ 21 มีนาคม 2545 ] Sullivan andSequeira . 1996 .Homework Tips for Teacher . ( ออนไลน์ ) สืบคน้ จาก : www. Bigchalk .com [ 5 กุมภาพนั ธ์ ] Yvone .1984 .Developing Home Policies . ( ออนไลน์ ) สืบคน้ ไดจ้ าก : www. eq .gov . / databases / ERIC Digests / ed 256473 . html [ 20 พฤศจิกายน 2544 ]

ภาคผนวก

แบบสอบถามเพอื่ ศึกษาสาเหตุเร่ืองการไม่ส่งงาน / การบ้านของนักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปี ท่ี 2/7โรงเรียนอสั สัมชัญศรีราชา คาชี้แจง: 1. แบบสอบถามฉบบั น้ีสร้างข้ึนเพอื่ ใหท้ ราบถึงสาเหตทุ ่ีผเู้ รียนไม่ส่งงาน / การบา้ น 2. แบบสอบถามฉบบั น้ี มี 2 ตอน ตอนที่ 1ขอ้ มลู เกี่ยวกบั ผตู้ อบ ตอนที่ 2ขอ้ มูลเก่ียวกบั สาเหตทุ ี่ไม่ส่งงาน / การบา้ นของผเู้ รียน ตอนท่ี 1ขอ้ มูลทวั่ ไปของผตู้ อบ เพศ ……………อายุ ………….ปี ……….. ผลการเรียนภาคเรียนที่ 1 ……………………. ตอนที่ 2 : ความคิดเห็นของผตู้ อบท่ีมีต่อการไมส่ ่งงาน / การบา้ น คาชี้แจง: แบบสอบถามน้ี จดั ทาข้ึนเพอ่ื สอบถามสาเหตขุ องการไม่ส่งงาน / การบา้ นของผเู้ รียนโปรดอ่านขอ้ ความดว้ ยความ รอบคอบและใส่หมายเลขตามหวั ขอ้ ที่นกั เรียนคิดวา่ เป็นสาเหตขุ องการไมส่ ่งงานการบา้ น โดยเรียงลาดบั จากสาเหตุที่สาคญั ท่ีสุดจนถงึ สาเหตทุ ่ีนอ้ ยม่ีสุด ตามลาดบั 1 - 15 สาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบ้าน ลาดับท่ี 1. การบา้ นมากเกินไป 2. แบบฝึ กหดั ยากทาไมไ่ ด้ 3. ไมน่ ่าสนใจ 4. เวลานอ้ ย 5. ครูอธิบายเร็วจนเกินไป 6. ไมเ่ ขา้ ใจคาสง่ั 7. ไม่ไดน้ าสมุดมา 8. เบื่อหน่าย ไมอ่ ยากทา 9. ช่วยเหลืองานผปู้ กครอง 10. หนงั สือหาย 11. ลืมทา 12. ไม่มีคนคอยใหค้ าปรึกษา 13. เตรียมตวั สอบเก็บคะแนนวชิ าอ่ืน 14. ติดเกมส์ 15. ทากิจกรรมของโรงเรียน ขอ้ เสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..........


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook