ชุุดกิิจกรรมการเรียี นรู้้� (สำ�ำ หรับั ครููผู้้�สอน) กลุ่่�มสาระการเรียี นรู้ว�้ ิทิ ยาศาสตร์แ์ ละเทคโนโลยีี (วิทิ ยาศาสตร์)์ ภาคเรียี นที่่� ๑ เล่ม่ ๑ ชั้้น� ประถมศึึกษาปีีที่�่ ๕ ฉบับั ปรัับปรุุง โครงการส่ว่ นพระองค์์สมเด็จ็ พระกนิษิ ฐาธิริ าชเจ้้า กรมสมเด็็จพระเทพรััตนราชสุดุ าฯ สยามบรมราชกุุมารีี มูลู นิธิ ิกิ ารศึกึ ษาทางไกลผ่า่ นดาวเทีียม ในพระบรมราชููปถัมั ภ์์ สำำ�นักั งานคณะกรรมการการศึึกษาขั้น�้ พื้น้� ฐาน สถาบัันส่่งเสริมิ การสอนวิิทยาศาสตร์์และเทคโนโลยีี
คาํ นาํ ตามท่ีสํานักงานโครงการสวนพระองคสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจา กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไดจัดทําชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรูสําหรับใชในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กที่ขาดครู มีครูไมครบช้ันหรืออยูในพื้นที่หา งไกลทุรกันดาร ซ่ึงประกอบดวย ชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู (สําหรับครูผูสอน) และชุดกิจกรรมการเรียนรู (สําหรับนักเรียน) หลังจากท่ีมีการนําไปใช พบวาส่ือดังกลาวชวยพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กไดเปนอยางดี สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน จีงเห็นควรมีการนํา ส่ือดังกลาวมาใชในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กและโรงเรียนขยายโอกาสทุกโรง เพ่ือชวยพัฒนาคุณภาพ การศึกษาระดับประถมศึกษาใหดียิ่งข้ึน ประกอบกับกระทรวงศึกษาธิการไดประกาศใชมาตรฐานการเรียนรูและ ตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี และภูมิศาสตรในกลุมสาระการเรียนรู สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตามคําสั่ง กระทรวงศึกษาธกิ ารที่ สพฐ. ๑๒๓๙/๒๕๖๐ ลงวนั ท่ี ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน จึงไดปรับปรุงชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู (สําหรับครู) ใหสอดคลองกับการประกาศใชมาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัด และเพื่อใหสะดวกตอการนําไปใชจึงจัดแยกเปน รายชั้นป (ประถมศึกษาปท่ี ๑-๖) และเปนรายภาคเรียน (ภาคเรียนท่ี ๑ และภาคเรียนท่ี ๒) และชุดการจัด กิจกรรมการเรียนรู (สําหรับครู) นี้ใชรวมกับชุดการจัดการเรียนรู (สําหรับนักเรียน) ฉบับปรับปรุง ซึ่งจะเปน ประโยชนตอการจัดการเรยี นรูของครผู ูส อน อันจะสงผลตอการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาระดบั ประถมศึกษาตอไป ขอขอบคุณผูทรงคุณวุฒิ ผูบริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก ครู อาจารย และทุกทานท่ีมีสวนเกี่ยวของ กับการปรับปรงุ และจัดทาํ เอกสารมา ณ โอกาสน้ี สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ
คาํ ช้ีแจง ตามที่สํานักงานโครงการสวนพระองคสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจา กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไดจัดทําชุดการเรียนรู สําหรับใชในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กที่ขาดครู มีครูไมครบชั้น หรืออยูในพืน้ ทหี่ างไกลทรุ กันดาร ซงึ่ ประกอบดว ยชุดการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู (สาํ หรบั ครูผสู อน) และชุดกจิ กรรม การเรยี นรู (สําหรบั นกั เรียน) หลังจากท่ีมกี ารนําไปใช พบวา สอื่ ดงั กลาวชว ยพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาของโรงเรียน ขนาดเล็กไดเปนอยางดี สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานจึงเห็นควรใหมีการนําส่ือดังกลาวมาใชใน โรงเรยี นประถมศกึ ษาทัว่ ไป เพือ่ ชวยพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาระดับประถมศกึ ษาใหดยี งิ่ ขนึ้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐานและสถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี จึงไดปรับปรุงชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัดกลุมสาระการเรียนรู วทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ และเพื่อใหสะดวกตอการนําไปใช จึงจัดแยกเปนรายชั้น (ประถมศึกษาปท่ี ๑-๖) และแตละระดับชั้นแยก เปน เลม ๑ และเลม ๒ ชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู (สําหรับครู) ของระดับช้ันประถมศึกษาปท่ี ๕ เลม ๑ น้ี ประกอบดวย ๓ หนว ยการเรยี นรู ไดแ ก ชวี ติ กบั สิง่ แวดลอม ลักษณะทางพันธกุ รรมชองสง่ิ มีชวี ิต และสารในชวี ติ ประจําวัน ซึ่งแตละ หนวยการเรียนรจู ะมงุ เนนใหผูเรยี นไดเรยี นรูวิทยาศาสตรผ านการสบื เสาะหาความรู มีการทาํ กิจกรรมดวยการ ลงมอื ปฏิบตั ิ เพ่อื ใหผ เู รยี นไดใ ชท กั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร นาํ ความรทู ไ่ี ดไ ปใชใ นการดาํ รงชวี ติ และรู เทา ทันการเปลย่ี นแปลงของโลกได คณะผูจัดทําหวังเปนอยางยิ่งวา ชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู (สําหรับครูผูสอน) ของระดับ ช้ันประถมศึกษาปที่ ๕ เลม ๑ นี้ จะเปนประโยชนตอครูผูสอนในการนําไปใชจัดการเรียนรูใหกับนักเรียน เพือ่ เพ่ิมประสิทธภิ าพการจัดการเรยี นรขู องครแู ละการเรียนรูของนกั เรยี นใหส ูงขน้ึ ตอไป สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ
สารบญั หนา 1-4 คาํ แนะนําสําหรับครูผูสอน 5-7 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร 8 โครงสรา งการจัดกิจกรรมการเรียนรูกลมุ สาระการเรยี นรูวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ช้นั ประถมศึกษาปท ี่ 5 9 แนวทางการจัดหนวยการเรียนรู 10-16 โครงสรา งรายวิชาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (วิทยาศาสตร) ระดับชั้นประถมศึกษาปท่ี 5 หนวยการเรียนรูท่ี 1 ชีวติ กับส่งิ แวดลอม 17 18 มาตรฐานการเรยี นรูและตวั ช้ีวดั 19 ลาํ ดับการนาํ เสนอแนวคดิ หลัก 20 ตัวอยา งโครงสรา งของแผนการจดั การเรียนรู 21-23 หนวยยอยที่ 1 ความสมั พนั ธของส่ิงมีชีวติ กับสิ่งแวดลอ ม 24-47 แผนการจดั การเรยี นรูท่ี 1-3 ความสัมพันธระหวางสงิ่ มชี วี ติ กบั สง่ิ มชี ีวิตในแหลงท่ีอยู 48-55 เฉลยใบงาน 56-76 แผนการจัดการเรียนรูท่ี 4-6 โซอาหาร 77-82 เฉลยใบงาน 83-105 แผนการจัดการเรียนรูที่ 7-9 ความสัมพันธระหวางสง่ิ มชี วี ติ กบั สิ่งไมมชี ีวิตในแหลง ท่ีอยู 106-114 เฉลยใบงาน 115-117 หนวยยอยที่ 2 การปรบั ตัวของสิ่งมชี ีวิต 118-142 แผนการจัดการเรียนรูท่ี 10-12 โครงสรางและลกั ษณะของสิ่งมชี วี ติ ทีเ่ หมาะสมกับ 143-153 การดาํ รงชีวิตในแหลงทอ่ี ยู 154 เฉลยใบงาน 155 หนวยการเรียนรทู ี่ 2 ลกั ษณะทางพันธกุ รรมของสิ่งมีชีวติ 156 มาตรฐานการเรยี นรแู ละตัวชว้ี ดั 157 ลําดับการนําเสนอแนวคิดหลัก ตวั อยา งโครงสรางของแผนการจัดการเรยี นรู 158-160 หนว ยยอยท่ี 1 ลักษณะทางพันธกุ รรมของส่งิ มชี ีวิต 161-176 แผนการจัดการเรยี นรูท่ี 13-14 ลักษณะทางพันธกุ รรมของพชื 177-182 เฉลยใบงาน
แผนการจดั การเรียนรูท่ี 15-16 ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของสัตว 183-198 199-208 เฉลยใบงาน 209-222 แผนการจัดการเรียนรูท่ี 17-18 ลักษณะทางพนั ธุกรรมของมนษุ ย 223-228 เฉลยใบงาน 229 หนว ยการเรยี นรูที่ 3 สารในชวี ติ ประจําวัน 230 231-232 มาตรฐานการเรยี นรูแ ละตัวชวี้ ัด 233 234-236 ลาํ ดับการนาํ เสนอแนวคดิ หลัก 237-291 292-312 ตัวอยา งโครงสรา งของแผนการจดั การเรยี นรู 313-326 หนวยยอยท่ี 1 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ 327-334 335-337 แผนการจัดการเรยี นรูที่ 19-25 การเปลี่ยนสถานะของสสาร 338-369 370-381 เฉลยใบงาน 382-384 แผนการจดั การเรยี นรูท่ี 26-27 การละลาย 385-401 402-411 เฉลยใบงาน 412-422 หนวยยอยท่ี 2 การเปลย่ี นแปลงทางเคมี 423 แผนการจดั การเรียนรูท่ี 28-31 การเกดิ สารใหม 424-425 เฉลยใบงาน หนวยยอยที่ 3 การเปลี่ยนแปลงที่ผนั กลับไดและการเปล่ียนแปลงท่ีผนั กลับไมไ ด แผนการจดั การเรยี นรูที่ 32-33 ผนั กลับไดและผนั กลับไมไ ด เฉลยใบงาน เฉลยแบบทดสอบ บรรณานุกรม คณะผจู ดั ทาํ
1 คําแนะนาํ สาํ หรับครูผูสอน ๑. แนวคดิ หลัก การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตรมุงใหผูเรียนมีความสามารถเขาใจเนื้อหาสาระวิทยาศาสตรและนํา ความรูไปอธิบายหรือประยุกตใชในชีวิตประจําวันได รวมท้ังเปดโอกาสใหผูเรียนไดฝกทักษะตาง ๆ เชน ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร ทักษะการคิดอยางมีวิจารณญาณ ทักษะการคิดสรางสรรค ทักษะการแกปญหา ทักษะ การเขียน ทักษะการอาน นอกจากนี้ในการจัดกิจกรรมยังมุงเนนการเรยี นรูร วมกันเปน กลุม ซึ่งเปนการเปดโอกาสให ผูเรียนไดร ว มกันคิด ปรกึ ษาหารือ อภปิ ราย แกป ญหา แสดงความคดิ เหน็ สะทอ นความคิด และไดนําเสนอผล การทํากิจกรรม ซ่ึงชวยใหผูเรียนไดพัฒนาท้ังความรู ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรและทักษะอื่น ๆ รวมทั้ง คุณธรรมจรยิ ธรรมอกี ดว ย ในการจัดกลุมอาจจดั เปนกลุม ๒ คน หรือกลมุ ๔-๖ คน หรอื อาจจดั กิจกรรมรว มกัน ทง้ั ช้ันท้งั น้ีขนึ้ อยกู ับวตั ถปุ ระสงคข องการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูนน้ั ๆ ในการดาํ เนินกจิ กรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร สิ่งสาํ คญั ท่ผี ูสอนควรคํานงึ ถึงเปน อันดับแรกคือ ความรู พ้ืนฐานของผูเรียน ผูสอนอาจทบทวนหรือตรวจสอบความรูเดิมของผูเรียนโดยใชคําถามหรือกลวิธีตาง ๆ ที่กระตุน ความสนใจของผูเรียนและนําไปสูการเรียนรูเน้ือหาใหม ขั้นการสอนเน้ือหาใหม ผูสอนอาจกําหนดสถานการณที่ เชือ่ มโยงกบั เรอ่ื งราวในขน้ั ทบทวนความรหู รือมคี าํ ถาม และมกี ิจกรรมใหน กั เรียนไดล งมือปฏิบัตดิ ว ยกระบวนการ สืบเสาะหาความรู (inquiry) ในการคนหาคาํ ตอบทส่ี งสยั ดวยตนเอง ผสู อนมีบทบาทเปน ผใู หอสิ ระทางความคิดกบั ผเู รียนคอยสงั เกต ตรวจสอบความเขา ใจและคอยใหความชวยเหลอื และคาํ แนะนาํ อยางใกลช ิด ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ผูสอนควรใหผ เู รยี นแตละคนหรอื แตล ะกลุม ไดน าํ เสนอแนวคดิ เพราะ ผเู รียนมโี อกาสแสดงแนวคดิ เพมิ่ เตมิ รว มกนั ซักถาม อภิปรายขอ ขัดแยงดว ยเหตแุ ละผล ผูสอนมีโอกาสเสรมิ ความรู ขยายความรูหรือสรปุ ประเด็นสําคญั ของสาระท่ีนําเสนอนัน้ ทําใหก ารเรยี นรูขยายวงกวางและลึกมากขึ้น สามารถ นําไปประยุกตใ ชในชีวติ จริงได นอกจากนี้ยงั ทําใหผ เู รียนเกิดเจตคติทดี่ ี มีความภูมิใจในผลงาน เกดิ ความรูสกึ อยากทาํ กลา แสดงออก และจดจาํ สาระที่ตนเองไดออกมานาํ เสนอไดน าน รวมท้งั ฝก การเปน ผูน ํา ผูต าม รับฟงความคิดเห็น ของผูอ่นื ๒. กระบวนการจัดการเรยี นรู การนาํ ชดุ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูไปใช ครคู วรเตรียมตวั ลวงหนา ดังนี้ ๑. ศึกษาโครงสรา งชุดการจดั กจิ กรรมการเรียนรู เพ่ือใหท ราบวา ตลอดทั้งปการศึกษา นักเรียนตองเรยี นรู ท้ังหมดกี่หนว ย แตละหนว ยมีหนวยยอ ยอะไรบาง ใชเวลาสอนกีช่ ่ัวโมง และมีก่ีแผน ๒. ศกึ ษาโครงสรางหนว ยการเรียนรู วา แตละหนว ยการเรียนรูม ีเนื้อหาอะไรบา ง เนื้อหาละกีช่ วั่ โมง ซ่ึงจะชวย ใหครูผูสอนมองเหน็ ภาพรวมของการสอนในหนวยดังกลา วไดอ ยางชัดเจน ๓. ศึกษาแนวการจัดกิจกรรมการเรยี นรู ซ่ึงอยูหนาแผนแตละแผน เปนการสรุปแนวการจัดกิจกรรมในแตล ะ ข้ันตอนการสอน ทาํ ใหค รูมองเหน็ ภาพรวมของการจัดการเรียนรใู นช่วั โมงนนั้ ๆ ๔. ศึกษาแผนการจัดการเรียนรู ตามหัวขอ ตอไปน้ี
2 ๔.๑ ขอบเขตเนื้อหา เปนเนอื้ หาทน่ี กั เรยี นตองเรยี นรใู นแผนทกี่ าํ ลังศึกษา ๔.๒ สาระสําคัญ เปนความคิดรวบยอดหรือหลักการที่นักเรียนควรจะไดหลังจากไดเรียนรูตามแผนที่ กําหนด ๔.๓ จุดประสงคการเรียนรู แบงเปนดานความรู ดานทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร และดาน คุณธรรม ๔.๔ กิจกรรมการเรียนรู แบงเปน ข้ันนํา ข้ันสอน และข้ันสรุป ซ่ึงแตละข้ันครูผูสอนควรศึกษาทําความ เขาใจอยางละเอียด นอกจากน้ีครูควรพิจารณาดวยวา ในแตละขั้นตอนการสอน ครูจะตองศึกษาวามีส่ือ/อุปกรณ อะไรบาง ๔.๕ ส่ือ/แหลง เรียนรู เปน การบอกรายการสอื่ อุปกรณ และแหลงเรียนรูท ตี่ องใชในการจดั กจิ กรรม การเรยี นรใู นชวั่ โมงน้นั ๔.๖ การประเมิน เปนการบอกทง้ั วธิ กี าร เครอื่ งมือ และเกณฑก ารประเมิน สาํ หรับเครอ่ื งมอื การประเมิน ในชดุ การจัดกจิ กรรมการเรียนรฯู นี้ ไดจ ดั เตรียมไวใ หครผู ูสอนเรียบรอ ยแลว ๓. สอ่ื การจดั การเรยี นรู กลมุ สาระการเรยี นรูวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปท ่ี ๕ สื่อการจัดการเรียนรู กลมุ สาระการเรยี นรูว ทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปท่ี ๕ ประกอบดว ย ๓.๑ แผนการจดั การเรียนรู สําหรับครใู ชเปน แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรใู หกับนักเรียน ๓.๒ ใบกจิ กรรม สาํ หรบั นักเรียนใชฝกทักษะปฏบิ ัติ หรอื สรางความคดิ รวบยอดในบทเรียน โดยในใบกจิ กรรม จะประกอบดวยใบงาน ใหน กั เรียนไดบ ันทึกผลการทาํ กจิ กรรม การตอบคําถามหลังจากทํากจิ กรรมเพอื่ ทบทวนสง่ิ ท่ีได เรยี นรจู ากการทํากิจกรรม และมีแบบฝกหดั เพื่อประเมนิ การเรยี นรหู ลงั จากเรยี นจบในแตล ะกิจกรรม ๓.๓ แบบทดสอบ เปน การวัดความรูความเขาใจตามตัวชีว้ ัดทก่ี าํ หนดไวใ นหลกั สูตร
3 ใบกิจกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ ๕ ไดมีการกําหนดสัญลักษณรูปดาว ๕ แฉก จํานวน ๕ ดวง และแถบสีฟา โดย บ. หมายถึง ใบกจิ กรรม ผ. หมายถงึ แผนการจดั การเรยี นรู เชน บ. ๑.๑ / ผ. ๑.๑-๐๑ ระดับชนั้ ใบกจิ กรรม หนว ยที่ หนว ยยอยท่ี แผนท่ี ใบงานท่ี หมายเหตุ เลขแสดงลําดับของแผนการจัดการเรียนรูจะเรยี งตอกนั จนครบทกุ แผนในแตล ะหนว ยยอย และใบงาน จะเรียงเลขตอกันในแตละแผน เม่ือขึ้นหนวยใหม การแสดงลําดับเลขของท้ังหนวยยอย แผน และใบงาน จะเรม่ิ ตน ใหม ๔. ลกั ษณะชดุ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู กลมุ สาระการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ชัน้ ประถมศกึ ษาปท่ี ๕ ชุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู กลุมสาระการเรียนรวู ิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปท่ี ๕ จัดทํา เปนหนวยการเรียนรู (Learning Unit) ซ่ึงไดจากการวิเคราะหหลักสูตรกลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและ เทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และได จัดแบงหนวยการเรียนรใู นชุดการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูน ีอ้ อกเปน ๒ เลม ดงั น้ี เลม ๑ ประกอบดวย หนว ยการเรยี นรู ๕ หนวย ดงั นี้ หนว ยการเรียนรูท่ี ๑ ชวี ติ กับส่งิ แวดลอ ม หนวยยอ ยท่ี ๑ ความสมั พนั ธของสงิ่ มชี วี ติ กับสิ่งแวดลอม หนว ยยอ ยท่ี ๒ การปรับตัวของส่งิ มีชีวิต หนวยการเรียนรทู ่ี ๒ ลักษณะทางพันธุกรรมของสง่ิ มีชวี ติ
4 หนว ยยอ ยที่ ๑ ลักษณะทางพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิต หนวยการเรยี นรทู ่ี ๓ สารในชวี ติ ประจาํ วัน หนวยยอยท่ี ๑ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หนวยยอ ยท่ี ๒ การเปลย่ี นแปลงทางเคมี หนว ยยอ ยที่ ๓ การเปลย่ี นแปลงทผ่ี นั กลบั ไดแ ละการเปล่ยี นแปลงท่ีผนั กลับไมได เลม ๒ ประกอบดวยหนวยการเรียนรู ๓ หนว ย ดังน้ี หนว ยการเรียนรทู ่ี ๔ รูจ กั น้าํ และการเปล่ยี นแปลงของนํา้ หนวยยอ ยท่ี ๑ แหลงน้ําของเรา หนว ยยอยท่ี ๒ ปรากฏการณของนาํ้ หนวยยอ ยท่ี ๓ อณุ หภมู ิ ความชนื้ ของอากาศ และความกดอากาศ หนวยการเรียนรูที่ ๕ เสยี ง หนวยยอยที่ ๑ เสียง หนว ยการเรยี นรทู ่ี ๖ แรง หนว ยยอยที่ ๑ แรง หนว ยการเรยี นรูที่ ๗ ดาราศาสตรและอวกาศ หนวยยอยที่ ๑ ดาว การขนึ้ และตกของดาว ๕. แผนการจดั การเรยี นรู กลุม สาระการเรยี นรูวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปท ่ี ๕ การจัดทําแผนการจัดการเรียนรู กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปที่ ๕ กําหนดใหในแตละหนวยการเรียนรูประกอบดวยแผนการจัดการเรียนรูหลายแผน โดยแผนการจัดการเรียนรูแตละ แผน ประกอบดวย สาระสําคญั ขอบเขตเน้ือหา จุดประสงคก ารเรยี นรซู ึง่ มีทงั้ ดานความรู ดานทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร และดานคุณธรรม กจิ กรรมการเรียนรู สอื่ /แหลง เรยี นรู และการวัดและประเมิน และทุกแผน การจดั การเรยี นรจู ะมแี นวการจัดกจิ กรรมการเรียนรอู ยหู นาแผน ซงึ่ เปน การสรุปภาพรวมของการจดั กิจกรรม การเรียนรูในชั่วโมงนั้น ๆ ในทุกขั้นตอนการสอนต้ังแตขั้นนํา ข้ันสอน ขั้นสรุป และการประเมินผล นอกจากน้ียังมี เฉลยคาํ ตอบในใบงาน และเฉลยแบบทดสอบดว ย
5 ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร (Science Process Skills) ก า ร เ รี ย น รู ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร จํ า เ ป น ต อ ง ใ ช ทั ก ษ ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร เ พ่ื อ นํ า ไ ป สู การสืบเสาะคนหาผานการสังเกต ทดลอง สรางแบบจําลอง และวิธีการอ่ืน ๆ เพ่ือนําขอมูล สารสนเทศและหลกั ฐาน เชิงประจักษมาสรางคําอธิบายเก่ียวกับแนวคิดหรือองคความรูทางวิทยาศาสตร ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร ประกอบดวย ทักษะการสังเกต (Observing) เปนความสามารถในการใชประสาทสัมผัสอยางใดอยางหน่ึง หรือหลาย อยางสํารวจวัตถุหรือปรากฏการณตาง ๆ ในธรรมชาติหรือจากการทดลอง โดยไมลงความคิดเห็นของผูสังเกตลงไป ดวยประสาทสมั ผัสท้งั 5 อยา ง ไดแ ก การดู การฟงเสียง การดมกลนิ่ การชมิ รส และการสมั ผสั ทักษะการวัด (Measuring) เปนความสามารถในการเลือกใชเครื่องมือในการวัดปริมาณตาง ๆ ไดอยาง เหมาะสม รวมถงึ ความสามารถในการหาปริมาณของสง่ิ ตาง ๆ จากเครือ่ งมือทีเ่ ลอื กใชออกมาเปน ตัวเลขไดถูกตองและ รวดเรว็ พรอ มระบุหนวยของการวดั ไดอยางถูกตอง ทักษะการลงความเห็นจากขอมูล (Inferring) เปนความสามารถในการคาดการณอยางมีหลักการ เกี่ยวกบั เหตกุ ารณห รือปรากฏการณ โดยใชข อ มูล (Data) หรอื สารสนเทศ (Information) ท่เี คยเกบ็ รวบรวมไวในอดตี ทักษะการจําแนกประเภท (Classifying) เปนความสามารถในการแยกแยะ จัดพวกหรือจัดกลุม ส่ิงตาง ๆ ที่สนใจ เชน วัตถุ สิ่งมีชีวิต ดาว และเทหะวัตถุตาง ๆ หรือปรากฏการณที่ตองการศึกษาออกเปนหมวดหมู นอกจากนี้ยังหมายถึงความสามารถในการเลือกและระบุเกณฑหรือลักษณะรวมลักษณะใดลักษณะหน่ึงของสิ่งตาง ๆ ท่ตี องการจาํ แนก ทักษะการหาความสัมพันธระหวางสเปซกับสเปซ (Relationship between Space and Space) และทกั ษะการความสมั พันธร ะหวา งสเปซกับเวลา (Relationship of Space and Time) สเปซ (Space) คือ พื้นทที่ ่ีวัตถคุ รอบครอง ในท่นี อ้ี าจเปนตําแหนง รูปราง รปู ทรงของวตั ถุ ส่งิ เหลานอ้ี าจมี ความสมั พนั ธกัน ดังน้ี ทักษะการหาความสมั พันธระหวางสเปซ เปนความสามารถในการหาความเก่ียวของ กับสเปซ (Relationship between Space สัมพันธกันระหวางพื้นที่ที่วัตถุตางๆ and Space) ครอบครอง
ทักษะการหาความสัมพันธระหวา งสเปซกับ 6 เวลา (Relationship of Space and เปนความสามารถในการหาความเกี่ยวของ Time) สัมพันธกันระหวางพ้ืนที่ที่วัตถุครอบครอง เมอ่ื เวลาผานไป ทักษะการใชจํานวน (Using Number) เปนความสามารถในการใชความรูสึกเชิงจํานวน และการ คํานวณเพอ่ื บรรยายหรือระบุรายละเอยี ดเชงิ ปริมาณของสงิ่ ทส่ี งั เกตหรือทดลอง ทักษะการจัดกระทําและสื่อความหมายขอมูล (Organizing and Communicating Data) เปน ความสามารถในการนําผลการสังเกต การวัด การทดลอง จากแหลงตาง ๆ มาจัดกระทําใหอยูในรูปแบบท่ีมี ความหมายหรือมีความสัมพันธกันมากข้ึน จนงายตอการทําความเขาใจหรือเห็นแบบรูปของขอมูล นอกจากนี้ ยังรวมถึงความสามารถในการนําขอมูลมาจัดทําในรูปแบบตาง ๆ เชน ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เพ่อื สอ่ื สารใหผ ูอ น่ื เขา ใจความหมายของขอมูลมากขนึ้ ทักษะการพยากรณ (Predicting) เปนความสามารถในบอกผลลัพธของปรากฏการณ สถานการณ การสงั เกต การทดลองทีไ่ ดจ ากการสังเกตแบบรปู ของหลักฐาน (Pattern of Evidence) การพยากรณท่แี มนยําจงึ เปน ผลมาจากการสงั เกตท่ีรอบคอบ การวดั ทถี่ กู ตอง การบันทึก และการจดั กระทํากับขอมลู อยา งเหมาะสม ทักษะการต้ังสมมติฐาน (Formulating Hypotheses) เปนความสามารถในการคิดหาคําตอบลวงหนา กอ นจะทาํ การทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู ประสบการณเ ดมิ เปนพ้นื ฐานคําตอบท่ีคดิ ลวงหนา ท่ยี ังไมรูมากอน หรือยังไมเปนหลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีมากอน การตั้งสมมติฐานหรือคําตอบท่ีคิดไวลวงหนามักกลาวไวเปนขอความ ทบี่ อกความสมั พันธระหวา งตวั แปรตน กับตัวแปรตาม ซึ่งอาจเปนไปตามทคี่ าดการณไ วห รือไมก็ได ทักษะการกําหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally) เปนความสามารถในการกําหนด ความหมายและขอบเขตของสิ่งตาง ๆ ที่อยูในสมมติฐานของการทดลอง หรือท่ีเกี่ยวของกับการทดลอง ใหเขาใจ ตรงกนั และสามารถสังเกตหรอื วัดได ทักษะการกําหนดและควบคุมตัวแปร (Controlling Variables) เปนความสามารถในการกําหนด ตัวแปรตาง ๆ ท้ังตัวแปรตน ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ตองควบคุมใหคงที่ ใหสอดคลองกับสมมติฐานของการทดลอง รวมถึงความสามารถในการระบุและควบคุมตัวแปรอ่ืน ๆ นอกเหนือจากตัวแปรตน แตอาจสงผลตอผลการทดลอง หากไมควบคุมใหเหมือนกันหรือเทากัน ตัวแปรที่เก่ียวของกับการทดลอง ไดแก ตัวแปรตน ตัวแปรตาม และตัวแปร ทตี่ องควบคมุ ใหค งที่ ซึ่งลว นเปนปจ จัยที่เกยี่ วขอ งกับการทดลอง ดงั นี้ ตวั แปรตน สง่ิ ทีเ่ ปนตน เหตทุ าํ ใหเกดิ การเปล่ียนแปลง จงึ ตองจดั (Independent Variable) สถานการณใหมสี งิ่ น้แี ตกตา งกัน ตวั แปรตาม ส่งิ ทเ่ี ปนผลจากการจดั สถานการณบางอยางให (Dependent Variable) แตกตา งกนั และเราตอ งสังเกต วดั หรอื ตดิ ตามดู
7 ตัวแปรท่ตี องควบคุมใหคงท่ี สิ่งตาง ๆ ทอ่ี าจสงผลตอการจัดสถานการณ จึงตอ งจัด (Controlled Variable) สิ่งเหลา น้ใี หเหมือนกันหรือเทากัน เพ่ือใหมั่นใจวาผล จากการจัดสถานการณเกดิ จากตวั แปรตนเทา นั้น ทักษะการทดลอง (Experimenting) การทดลองประกอบดวย 3 ขั้นตอน คือ การออกแบบการทดลอง การปฏิบัติการทดลอง และการบันทึกผลการทดลอง ทักษะการทดลองจึงเปนความสามารถในการออกแบบและวาง แผนการทดลองไดอยางรอบคอบ และสอดคลองกับคําถามการทดลองและสมมติฐาน รวมถึงความสามารถในการ ดําเนนิ การทดลองไดตามแผน และความสามารถในการบนั ทึกผลการทดลองไดล ะเอยี ด ครบถว น และเที่ยงตรง ทักษะการตีความหมายขอมูลและลงขอสรุป (Interpreting and Making Conclusion) ความสามารถ ในการแปลความหมาย หรือการบรรยาย ลักษณะและสมบัติของขอมูลที่มีอยู ตลอดจนความสามารถในการสรุป ความสมั พันธของขอ มูลท้งั หมด ทักษะการสรางแบบจําลอง (Formulating Models) ความสามารถในการสรางและใชสิ่งที่ทําข้ึนมา เพื่อเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณที่ศึกษาหรือสนใจ เชน กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว รวมถึงความสามารถในการนําเสนอขอมูล แนวคิด ความคิดรวบยอดเพ่ือใหผูอื่นเขาใจในรูปของแบบจําลองแบบ ตาง ๆ
8 โครงสรางของชุดการจัดกจิ กรรมการเรียนรู กลุมสาระการเรียนรวู ิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปท ี่ ๕ หนวยการเรียนรทู ่ี ๒ ลักษณะทางพันธกุ รรมของสง่ิ มชี วี ิต (๗ ช่วั โมง) หนวยการเรยี นรทู ่ี ๑ กลุมสาระ หนว ยการเรียนรูที่ ๓ ชวี ิตกบั สงิ่ แวดลอม การเรียนรู สารในชวี ิตประจาํ วัน วิทยาศาสตร (๑๔ ชว่ั โมง) (๘๐ ช่วั โมง/ป) (๑๙ ช่วั โมง) หนวยการเรียนรทู ี่ ๗ หนว ยการเรยี นรทู ่ี ๖ หนว ยการเรยี นรทู ี่ ๔ ดาราศาสตรและอวกาศ แรง รจู ักนํ้า และการ (๖ ช่ัวโมง) (๗ ชวั่ โมง) เปล่ยี นแปลงของน้าํ (๑๕ ช่วั โมง) หนว ยการเรียนรทู ี่ ๕ เสยี ง (๑๒ ชวั่ โมง) หมายเหตุ : สามารถปรบั โครงสรา งเวลาในชน้ั เรียนไดตามความเหมาะสมกบั วันและเวลาในการจดั การเรยี น การสอนจริง
9 แนวทางการจดั หนว ยการเรียนรู ชัน้ ประถมศกึ ษาปท่ี ๕ เลม ๑ (ภาคเรียนที่ ๑) เลม ๒ (ภาคเรยี นท่ี ๒) หนว ยการเรยี นรูท่ี ๑ หนว ยการเรยี นรทู ี่ ๔ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ ม รจู ักนํา้ และการเปล่ยี นแปลงของน้ํา หนว ยการเรียนรทู ่ี ๒ หนวยการเรยี นรทู ี่ ๕ ลักษณะทางพันธกุ รรมของสิ่งมีชีวติ เสยี ง หนวยการเรียนรทู ่ี ๓ หนวยการเรียนรูท่ี ๖ สารในชีวิตประจาํ วัน แรง หนว ยการเรียนรูท่ี ๗ ดาราศาสตรและอวกาศ
10 โครงสรา งรายวชิ าวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปท ่ี ๕ หนว ยการเรียนร/ู ชั้นประถมศึกษาปที่ ๕ เวลาท่ใี ช (ช.ม.) ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู หนวยการเรียนรทู ี่ ๑ ว ๑.๑ ป. ๕/๑ บรรยายโครงสราง • สิง่ มีชีวิตท้งั พชื และสัตวม โี ครงสรา งและลักษณะที่ ชีวิตกบั สง่ิ แวดลอ ม และลักษณะของสง่ิ มชี วี ติ ท่ี เหมาะสมในแตล ะแหลงทอ่ี ยู ซง่ึ เปน ผลมาจาก เหมาะสมกับการดํารงชีวติ ซ่งึ เปน การปรบั ตัวของสิง่ มชี ีวติ เพ่ือใหด าํ รงชีวิตและอยู /๑๔ ชว่ั โมง ผลมาจากการปรับตวั ของสง่ิ มีชีวติ รอดไดในแตละแหลง ท่ีอยู เชน ผักตบชวามี ในแตล ะแหลง ทอี่ ยู ชองอากาศในกา นใบชว ยใหลอยนํ้าได ตนโกงกาง ท่ีขึน้ อยูในปา ชายเลนมรี ากคํ้าจนุ ทาํ ใหลําตน ไมล ม ปลามีครบี ชวยในการเคลื่อนท่ีในน้ํา ว ๑.๑ ป. ๕/๒ อธิบาย • ในแหลง ท่อี ยูหน่ึง ๆ ส่งิ มีชีวิตจะมคี วามสมั พนั ธ ความสมั พนั ธร ะหวา งส่ิงมชี ีวติ กบั ซึง่ กันและกนั และสัมพันธกับสิง่ ไมม ชี วี ิต เพ่ือ สิ่งมีชีวิต และความสมั พนั ธระหวา ง ประโยชนตอการดํารงชวี ติ เชน ความสมั พนั ธก นั สง่ิ มีชีวติ กับสง่ิ ไมมชี ีวิต เพ่ือ ดานการกนิ กันเปน อาหาร เปนแหลง ท่อี ยูอาศยั ประโยชนต อการดาํ รงชวี ิต หลบภยั และเลีย้ งลูกอน ใชอ ากาศในการหายใจ ว ๑.๑ ป. ๕/๓ เขียนโซอ าหาร • สิ่งมีชีวติ มกี ารกนิ กนั เปนอาหาร โดยกินตอกนั เปน และระบุบทบาทหนาที่ของ ทอด ๆ ในรูปแบบของโซอ าหาร ทาํ ใหสามารถระบุ สิ่งมีชีวติ ท่เี ปนผผู ลิตและผบู รโิ ภค บทบาทหนา ท่ีของสิ่งมชี ีวิตเปนผผู ลติ และผูบรโิ ภค ในโซอ าหาร ว ๑.๑ ป. ๕/๔ ตระหนกั ในคุณคา ของสง่ิ แวดลอมท่ีมตี อ การ ดาํ รงชีวติ ของสง่ิ มชี วี ิต โดยมี สว นรว มในการดูแลรักษา สิ่งแวดลอ ม หนวยการเรยี นรทู ่ี ๒ ว ๑.๓ ป ๕/๕ อธบิ ายลักษณะทาง • สิ่งมีชีวติ ทงั้ พืช สตั วและมนษุ ยเมื่อโตเต็มที่จะมีการ ลักษณะทางพันธุกรรม พันธกุ รรมท่ีมีการถายทอดจากพอ สืบพนั ธุเพ่อื เพิม่ จํานวนและดํารงพนั ธโุ ดยลูกท่เี กิด ของสง่ิ มชี วี ติ /๗ ชวั่ โมง แมสลู กู ของพืช สัตวแ ละมนุษย มาจะไดรบั การถา ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม จากพอแมทําใหมลี ักษณะทางพนั ธกุ รรมทเ่ี ฉพาะ ว ๑.๓ ป ๕/๖ แสดงความอยากรู แตกตางจากสิง่ มชี ีวติ ชนิดอ่ืน อยากเห็น โดยการถามคําถาม
11 หนวยการเรยี นร/ู ชัน้ ประถมศึกษาปท ี่ ๕ เวลาท่ีใช (ช.ม.) ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู เกีย่ วกบั ลักษณะท่คี ลา ยคลึงกันของ • พืชมกี ารถา ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม เชน ตนเองกับพอแม ลักษณะของใบ สีดอก • สตั วม ีการถายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม เชน สีขน ลกั ษณะของขน ลักษณะของหู • มนุษยมีการถายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม เชน เชิงผมท่ีหนา ผาก ลกั ยมิ้ ลักษณะหนงั ตา การหอล้นิ ลักษณะของต่ิงหู หนว ยการเรยี นรูท ี่ ๓ ว. ๒.๑ ป ๕/๑ อธบิ ายการ • การเปลย่ี นสถานะของสสารเปนการเปล่ียนแปลง สารในชีวิตประจาํ วนั / เปลย่ี นสถานะของสสาร เมื่อ ทางกายภาพ เมื่อเพิ่มความรอนใหกบั สสารถึง ๑๙ ชว่ั โมง ทาํ ให สสารรอ นข้ึนหรือเย็น ระดบั หน่ึงจะทาํ ใหส สารทีเ่ ปน ของแขง็ เปล่ียน ลงโดยใชห ลกั ฐานเชิง สถานะเปนของเหลว เรยี กวา การหลอมเหลว และ ประจกั ษ เม่ือเพม่ิ ความรอ นตอไปจนถึงอกี ระดับหนงึ่ ของเหลวจะเปลีย่ นเปน แกส เรียกวา การกลายเปน ไอแตเม่ือลดความรอนลงถึงระดับหน่ึง แกส จะ เปลี่ยนสถานะเปน ของเหลว เรยี กวา การควบแนน และถา ลดความรอนตอไปอีกจนถงึ ระดับหน่ึง ของเหลวจะเปล่ยี นสถานะเปนของแขง็ เรยี กวา การแข็งตวั สสารบางชนิดสามารถ เปล่ยี นสถานะ จากของแข็งเปนแกสโดยไมผ านการเปนของเหลว เรยี กวา การระเหิด สวนแกส บางชนดิ สามารถ เปล่ียนสถานะเปน ของแข็ง โดยไมผ านการเปน ของเหลวเรียกวา การระเหดิ กลบั ว. ๒.๑ ป ๕/๒ อธิบายการ • เมื่อใสสารลงในน้ําแลว สารนัน้ รวมเปนเนือ้ เดียวกนั ละลายของสารในนํา้ โดยใช กบั นา้ํ ทัว่ ทกุ สว น แสดงวาสารเกดิ การละลาย เรยี ก หลักฐานเชงิ ประจกั ษ สารผสมท่ไี ดว าสารละลาย ว. ๒.๑ ป ๕/๓ วิเคราะหการ • เมอื่ ผสมสาร ๒ ชนดิ ขน้ึ ไปแลวมีสารใหมเ กิดขึ้น เปล่ยี นแปลงของสารเมื่อเกิดการ ซึง่ มสี มบตั ติ า งจากสารเดิมหรอื เมื่อสารชนดิ เดยี ว เกดิ การเปลีย่ นแปลงแลวมสี ารใหมเ กิดขนึ้
12 หนวยการเรียนร/ู ชน้ั ประถมศึกษาปท่ี ๕ เวลาทใ่ี ช (ช.ม.) ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู หนว ยการเรยี นรทู ่ี ๔ เปลย่ี นแปลงทางเคมีโดยใช การเปลีย่ นแปลงนีเ้ รยี กวา การเปลย่ี นแปลงทาง รจู ักนา้ํ และการ หลกั ฐานเชิงประจักษ เคมีซ่ึงสงั เกตไดจ ากมสี ีหรือกลนิ่ ตา งจากสารเดมิ เปลยี่ นแปลงของนํ้า / หรอื มีฟองแกส หรือมีตะกอนเกดิ ขนึ้ หรือมีการ ๑๕ ชัว่ โมง ว. ๒.๑ ป ๕/๔ วิเคราะหแ ละ เพิม่ ข้นึ หรือลดลงของอุณหภูมิ ระบุการเปลยี่ นแปลงที่ผนั กลับได และการเปลย่ี นแปลงทผ่ี นั กลับ • เม่ือสารเกิดการเปล่ียนแปลงแลว สารสามารถ ไมไ ด เปลี่ยนกลบั เปนสารเดมิ ไดเ ปนการเปลยี่ นแปลง ทผ่ี ันกลับได เชน การหลอมเหลว การกลายเปนไอ ว. ๓.๒ ป ๕/๑ เปรยี บเทียบ การละลาย แตส ารบางอยา งเกิดการเปลี่ยนแปลง ปรมิ าณน้ําในแตล ะแหลง และ แลว ไมสามารถเปลย่ี นกลับเปนสารเดิมได เปน การ ระบุปริมาณน้ําที่มนุษยส ามารถ เปลี่ยนแปลงท่ีผันกลับไมไ ด เชน การเผาไหม นาํ มาใชประโยชนไดจ ากขอมูลที่ การเกิดสนิม รวบรวมได • โลกมีทง้ั น้าํ จืดและนาํ้ เค็มซึง่ อยใู นแหลงนาํ้ ตา ง ๆ ว. ๓.๒ ป ๕/๒ ตระหนักถงึ คุณคา ท่มี ีท้งั แหลง น้ําผวิ ดนิ เชน ทะเล มหาสมทุ ร บึง ของนา้ํ โดยนําเสนอแนวทางการใช แมน าํ้ และแหลงนํ้าใตด ิน เชน นาํ้ ในดนิ และน้าํ นาํ้ อยา งประหยดั และการอนุรกั ษ บาดาล น้ําทัง้ หมดของโลกแบงเปนน้าํ เคม็ นาํ้ ประมาณรอยละ ๙๗.๕ ซงึ่ อยูในมหาสมทุ ร และ แหลงนา้ํ อื่น ๆ และท่ีเหลอื อกี ประมาณรอยละ ๒.๕ เปน น้ําจืด ถา เรียงลาํ ดบั ปรมิ าณนาํ้ จดื จากมากไป นอ ยจะอยูทีธ่ ารนาํ้ แข็ง และพืดน้ําแขง็ น้ําใตดนิ ชนั้ ดนิ เยอื กแขง็ คงตัวและน้ําแข็งใตดิน ทะเลสาบ ความช้ืนในดิน ความช้นื ใน บรรยากาศ บงึ แมนา้ํ และนํา้ ในสิง่ มชี ีวติ • นํา้ จดื ท่ีมนุษยน ํามาใชไ ดมีปริมาณนอยมาก จงึ ควร ใชนํา้ อยา งประหยดั และรวมกันอนุรักษน ้ํา
13 หนวยการเรยี นร/ู ชัน้ ประถมศกึ ษาปท ่ี ๕ เวลาทีใ่ ช (ช.ม.) ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรู ว. ๓.๒ ป ๕/๓ สรา งแบบจาํ ลองท่ี • วฏั จกั รนาํ้ เปน การหมนุ เวียนของนา้ํ ที่มีแบบรูป อธบิ ายการหมุนเวียนของนาํ้ ใน ซาํ้ เดิม และตอเนื่องระหวา งนํ้าในบรรยากาศ วัฏจกั รน้าํ นา้ํ ผิวดนิ และน้ําใตด ิน โดยพฤตกิ รรมการดาํ รงชวี ิต ของพืชและสัตวส ง ผลตอ วฏั จักรน้ํา ว. ๓.๒ ป ๕/๔ เปรยี บเทียบ • ไอนาํ้ ในอากาศจะควบแนน เปนละอองน้ําเล็ก ๆ กระบวนการเกดิ เมฆ หมอก น้ําคา ง โดยมีละอองลอย เชน เกลือ ฝุนละออง ละอองเรณู และนาํ้ คางแข็งจากแบบจาํ ลอง ของดอกไมเ ปนอนุภาคแกนกลาง เมอื่ ละอองนาํ้ จํานวนมากเกาะกลุมรวมกนั ลอยอยูสูงจากพน้ื ดนิ มาก เรยี กวา เมฆ แตละอองนา้ํ ทีเ่ กาะกลมุ รวมกนั อยูใกลพื้นดนิ เรียกวา หมอก สว นไอนํา้ ท่คี วบแนน เปน ละอองนํา้ เกาะอยู บนพ้ืนผิววตั ถุใกลพ ืน้ ดิน เรยี กวา นา้ํ คาง ถา อุณหภมู ิใกลพ ้ืนดนิ ต่ํากวา จดุ เยือกแข็ง นํ้าคางก็จะกลายเปนนาํ้ คางแข็ง ว. ๓.๒ ป ๕/๕ เปรยี บเทยี บ • ฝน หิมะ ลูกเห็บ เปนหยาดนํ้าฟา ซึง่ เปนนํ้าทีม่ ี กระบวนการเกิดฝน หมิ ะ และ สถานะตา ง ๆ ท่ตี กจากฟาถงึ พน้ื ดิน ฝนเกิดจาก ลกู เหบ็ จากขอมูลที่รวบรวมได ละอองน้ําในเมฆทีร่ วมตัวกันจนอากาศไมส ามารถ พยุงไวไดจ งึ ตกลงมา หมิ ะเกดิ จากไอนํา้ ในอากาศ ระเหิดกลับเปนผลกึ นํ้าแขง็ รวมตวั กนั จนมนี ํา้ หนกั มากขึ้นจนเกนิ กวา อากาศจะพยุงไวจ ึงตกลงมา ลกู เหบ็ เกิดจากหยดนํ้าที่เปล่ยี นสถานะเปน นํา้ แขง็ แลว ถกู พายุพัดวนซํา้ ไปซ้ํามาในเมฆฝนฟาคะนองที่มี ขนาดใหญและอยูในระดับสงู จนเปนกอนน้ําแขง็ ขนาดใหญขนึ้ แลว ตกลงมา หนวยการเรียนรทู ่ี ๕ ว. ๒.๓ ป ๕/๑ อธิบายการไดย นิ • การไดยินเสียงตองอาศยั ตัวกลาง โดยอาจเปน เสียง /๑๒ ชวั่ โมง เสียงผา นตวั กลางจากหลกั ฐาน ของแขง็ ของเหลว หรอื อากาศ เสยี งจะสง ผา น เชิงประจักษ ตวั กลางมายงั หู
14 หนวยการเรียนร/ู ช้ันประถมศึกษาปท ่ี ๕ เวลาทใ่ี ช (ช.ม.) ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู ว. ๒.๓ ป ๕/๒ ระบุตวั แปร • เสยี งทไ่ี ดยินมีระดบั สงู ตาํ่ ของเสยี งตางกันขึ้นกับ ทดลอง และอธิบายลกั ษณะและ ความถข่ี องการสัน่ ของแหลงกําเนดิ เสียง โดยเม่อื การเกดิ เสยี งสงู เสียงตํา่ แหลง กําเนิดเสียงส่ันดวยความถ่ตี าํ่ จะเกิดเสียงตํ่า แตถ า สน่ั ดวยความถีส่ งู จะเกิดเสยี งสงู สว นเสียงดงั ว. ๒.๓ ป ๕/๓ ออกแบบการ คอ ยท่ีไดยนิ ขน้ึ กับพลังงานการส่ันของแหลงกาํ เนดิ ทดลองและอธิบายลักษณะและ เสยี ง โดยเมื่อแหลง กาํ เนิดเสียงสัน่ ดวย พลังงาน การเกดิ เสียงดัง เสียงคอย มากจะเกดิ เสยี งดังแตถ าแหลงกาํ เนิดเสียงส่นั ดว ย พลังงานนอยจะเกดิ เสยี งคอย ว. ๒.๓ ป ๕/๔ วดั ระดับเสยี งโดย ใชเครือ่ งมือวดั ระดับเสยี ง • เสยี งดังมาก ๆ เปนอันตรายตอการไดยนิ และเสียงที่ กอใหเ กดิ ความรําคาญเปน มลพิษทางเสียง เดซิเบล ว. ๒.๓ ป ๕/๕ ตระหนักในคุณคา เปน หนว ยที่บอกถึงความดงั ของเสยี ง ของความรูเรือ่ งระดับเสยี ง โดย เสนอแนะแนวทางในการหลีกเล่ียง และลดมลพิษทางเสียง หนว ยการเรยี นรทู ่ี ๖ ว. ๒.๒ ป ๕/๑ อธบิ ายวิธีการหา • แรงลพั ธเ ปนผลรวมของแรงที่กระทําตอวัตถุโดย แรง /๗ ชวั่ โมง แรงลพั ธของแรงหลายแรงในแนว แรงลัพธข องแรง ๒ แรงที่กระทําตอ วตั ถุเดยี วกัน เดียวกนั ทีก่ ระทาํ ตอวตั ถใุ นกรณที ี่ จะมีขนาดเทากบั ผลรวมของแรงทั้งสองเมื่อแรงท้ัง วตั ถุอยนู ่ิงจากหลกั ฐานเชิง สองอยใู นแนวเดียวกันและมีทิศทางเดยี วกนั แตจะ ประจักษ มีขนาดเทากับผลตางของแรงทงั้ สอง เม่ือแรงทัง้ สองอยูใ นแนวเดยี วกันแตมที ิศทางตรงขามกัน ว. ๒.๒ ป ๕/๒ เขยี นแผนภาพ สําหรับวตั ถุทีอ่ ยนู ิ่งแรงลัพธที่กระทําตอ วตั ถุมคี า แสดงแรงที่กระทําตอ วัตถทุ ่ีอยใู น เปน ศูนย แนวเดยี วกันและแรงลัพธท่ี กระทําตอวตั ถุ • การเขียนแผนภาพของแรงท่ีกระทําตอวัตถุ สามารถเขียนไดโ ดยใชล ูกศร โดยหวั ลกู ศรแสดง ว. ๒.๒ ป ๕/๓ ใชเ ครอื่ งชัง่ สปรงิ ทศิ ทางของแรง และความยาวของลกู ศรแสดง ในการวัดแรงที่กระทําตอวัตถุ ขนาดของแรงทกี่ ระทาํ ตอวัตถุ
15 หนว ยการเรยี นร/ู ชน้ั ประถมศึกษาปท ่ี ๕ เวลาที่ใช (ช.ม.) ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู ว. ๒.๒ ป ๕/๔ ระบุผลของแรง • แรงเสียดทานเปน แรงทเี่ กิดข้ึนระหวา งผวิ สมั ผัสของ เสยี ดทานท่มี ตี อการเปลยี่ นแปลง วัตถุ เพอ่ื ตานการเคลอื่ นท่ีของวตั ถุนน้ั โดยถา ออก การเคล่อื นท่ีของวัตถุจาก แรงกระทาํ ตอวัตถุที่อยนู ่งิ บนพนื้ ผิวหนง่ึ ใหเคลอื่ นที่ หลักฐานเชิงประจกั ษ แรงเสยี ดทานจากพื้นผวิ นน้ั ก็จะตา นการเคลอื่ นท่ี ของวัตถุแตถา วตั ถกุ ําลงั เคลอ่ื นที่แรงเสยี ดทานก็จะ ว. ๒.๒ ป ๕/๕ เขยี นแผนภาพ ทําใหว ัตถนุ ั้นเคล่ือนที่ชา ลงหรอื หยุดนงิ่ แสดงแรงเสยี ดทานและแรงท่ีอยู ในแนวเดยี วกนั ท่กี ระทาํ ตอวตั ถุ ว. ๖.๑ ป ๕/๓ ออกแบบและสรา ง เครือ่ งมอื อยางงายในการวดั อุณหภมู ิ ความชน้ื และ ความกดอากาศ หนวยการเรยี นรทู ี่ ๗ ว. ๓.๑ ป ๕/๑ เปรยี บเทยี บความ • ดาวท่มี องเห็นบนทอ งฟา อยใู นอวกาศซึ่งเปน บริเวณ ดาราศาสตรแ ละ แตกตา งของดาวเคราะห และ ทอี่ ยนู อกบรรยากาศของโลก มที ้ังดาวฤกษ และ อวกาศ/๑๒ ชว่ั โมง ดาวฤกษจากแบบจาํ ลอง ดาวเคราะหด าวฤกษเ ปน แหลงกําเนดิ แสง จึงสามารถมองเห็นไดสว นดาวเคราะหไมใช แหลง กาํ เนดิ แสง แตส ามารถมองเห็นไดเ นอ่ื งจาก แสงจากดวงอาทิตยต กกระทบดาวเคราะหแลว สะทอ นเขาสตู า ว. ๓.๑ ป ๕/๒ ใชแผนทีด่ าวระบุ • การมองเหน็ กลุมดาวฤกษม รี ูปรางตาง ๆ เกิดจาก ตาํ แหนงและเสน ทางการขึน้ และ จนิ ตนาการของผสู ังเกต กลุม ดาวฤกษต า ง ๆ ท่ี ตกของกลมุ ดาวฤกษบนทองฟา ปรากฏในทองฟา แตล ะกลมุ มีดาวฤกษแตล ะดวง และอธิบายแบบรปู เสน ทางการข้ึน และตกของกลมุ ดาวฤกษบน เรยี งกันท่ีตาํ แหนงคงทแี่ ละมเี สน ทางการขึน้ และตก ทองฟาในรอบป ตามเสน ทางเดิมทุกคืน ซงึ่ จะปรากฏตําแหนง เดิม การสังเกตตําแหนง และการขึ้นและตกของดาวฤกษ และกลมุ ดาวฤกษส ามารถทําไดโ ดยใชแผนทีด่ าว ซงึ่ ระบุมุมทศิ และมุมเงยที่กลุมดาวนัน้ ปรากฏ
หนว ยการเรยี นร/ู ตัวชี้วัด 16 เวลาทีใ่ ช (ช.ม.) ช้นั ประถมศกึ ษาปท ่ี ๕ สาระการเรยี นรู ผสู งั เกตสามารถใชมอื ในการประมาณคา ของมุมเงย เม่ือสังเกตดาวในทองฟา
17 หนว ยการเรียนรทู ี่ ๑ ชีวิตกับส่งิ แวดลอ ม
18 มาตรฐานการเรียนรูและตัวชีว้ ดั ของหนว ยการเรียนรูท ่ี ๑ ชีวิตกับสงิ่ แวดลอม (จาํ นวน ๑๒ ชวั่ โมง) มาตรฐานการเรียนรูและตัวช้วี ดั มาตรฐาน ว ๑.๑ เขาใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธระหวางส่ิงไมมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ ระหวางส่ิงมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตตาง ๆ ในระบบนิเวศ การถายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปญหาและผลกระทบที่มีตอทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม แนวทางในการอนุรักษ ทรพั ยากรธรรมชาติและการแกไขปญ หาสง่ิ แวดลอ ม รวมทง้ั นําความรูไปใชป ระโยชน ตวั ชวี้ ดั ว ๑.๑ ป. ๕/๑ บรรยายโครงสรางและลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกับการดํารงชีวิต ซ่ึงเปนผลมาจาก การปรับตัวของสง่ิ มชี ีวติ ในแตล ะแหลง ทอ่ี ยู ว ๑.๑ ป. ๕/๒ อธิบายความสัมพันธระหวางส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธระหวางส่ิงมีชีวิตกับ สิ่งไมม ชี วี ติ เพอื่ ประโยชนต อการดาํ รงชวี ติ ว ๑.๑ ป. ๕/๓ เขียนโซอาหารและระบบุ ทบาทหนาทีข่ องสง่ิ มชี วี ิตทเ่ี ปน ผผู ลิตและผบู ริโภคในโซอ าหาร ว ๑.๑ ป. ๕/๔ ตระหนักในคุณคา ของสิ่งแวดลอมท่ีมีตอการดาํ รงชวี ติ ของสง่ิ มีชีวติ โดยมีสวนรว มในการดูแล รักษาส่ิงแวดลอ ม
19 ลําดับการนําเสนอแนวคิดหลกั ของหนวยการเรยี นรทู ่ี ๑ ชวี ติ กับสง่ิ แวดลอม บริเวณท่สี ่งิ มชี วี ิตอาศัยอยรู วมกันเรียกวา แหลงทีอ่ ยู ในแหลงท่อี ยูหน่ึง ๆ มีส่ิงมีชีวติ หลายชนดิ ทีอ่ าศยั อยรู ว มกัน ส่งิ มชี วี ติ ทีอ่ ยรู วมกนั มีความสัมพันธก ับส่ิงมชี ีวติ ในดา้ นตาง ๆ เชน เปน ที่อยูอาศยั เปน แหลง อาหาร เปนที่หลบภัย เปนทีส่ ืบพนั ธุ เปนทีเ่ ลี้ยงดลู กู ออ น ส่งิ มชี วี ิตท่ีอาศัยอยใู นแหลงท่ีอยเู ดยี วกนั ท่ีมคี วามสมั พันธก ันในดา นการกินอาหาร จะมีการกนิ ตอ กนั เปน ทอด ๆ ในรปู ของโซอาหาร ในโซอ าหารจะพบบทบาทของสงิ่ มชี วี ิตท่เี ปนผผู ลติ และผูบริโภค สง่ิ มีชวี ิตจะมคี วามสมั พนั ธกบั สง่ิ ไมม ชี ีวติ ที่อาศัยอยูในแหลง ที่อยเู ดียวกันในดานตา ง ๆ เชน เปนแหลงทอ่ี ยูอาศยั เปนท่ีหลบภัย เปน ท่สี บื พนั ธุ เปน ที่เล้ยี งดลู ูกออน ใชอากาศในการหายใจ เราควรชวยกนั ดแู ลรักษาสภาพแวดลอ มเพ่ือใหส ่งิ มชี ีวิตสามารถดาํ รงชวี ติ อยูในแหลง ท่ีอยไู ด แหลง ท่อี ยูอาศยั ของสิง่ มชี วี ติ ทแ่ี ตกกตา งกนั จะมีสภาพแวดลอ มทต่ี า งกัน สงิ่ มชี วี ิตทีอ่ าศัยอยใู นแหลง ที่อยูต า ง ๆ จะมีโครงสรางและลกั ษณะทเี่ หมาะสมตอการดํารงชวี ิต ในแหลงที่อยนู ัน้ ๆ โครงสรา งและลักษณะของสงิ่ มชี ีวิตท่เี หมาะสมกบั การดํารงชวี ติ ในแหลงท่อี ยูตาง ๆ เปนผลมาจากการปรบั ตัว ของสิ่งมชี ีวติ เมอ่ื สภาพแวดลอมในแหลงที่อยูของสิ่งมีชวี ติ เปล่ยี นแปลงไป อาจเปนผลใหส ิ่งมีชวี ติ มีการปรบั ตัวหรอื สูญพนั ธุ
20 ตัวอยา งโครงสรางแผนการจัดการเรยี นรหู นวยการเรียนรูท ี่ ๑ ชวี ติ กับสง่ิ แวดลอม แผนการจดั การเรียนรู แผนการจดั การเรียนรู แผนการจดั การเรียนรู ความสัมพนั ธร ะหวา ง โซอ าหาร ความสมั พันธร ะหวา ง ส่งิ มีชวี ติ กบั สง่ิ มีชีวติ ในแหลง (๓ ชวั่ โมง) สิง่ มชี ีวิตกับส่งิ ไมมีชวี ิต ท่ีอยู หนวยยอ ยท่ี @ ในแหลงท่อี ยู (๓ ชวั่ โมง) (ความสัมพันธข อง (๓ ช่ัวโมง) ส่ิงมชี ีวติ กบั สิ่งแวดลอ ม) หนว ยการเรียนรูท ี่ ๑ แผนการจดั การเรยี นรู ชวี ติ กับสิง่ แวดลอ ม โครงสรา งและลักษณะ (๑๒ ชว่ั โมง) ของส่ิงมีชวี ิต (๓ ชว่ั โมง) หนว ยยอยท่ี ๒ (การปรบั ตวั ของสงิ่ มชี วี ติ ) หมายเหตุ : โครงสรา งเวลานเ้ี ปนตัวอยางสําหรบั ในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งสามารถปรบั ไดต าม ความเหมาะสมกบั วนั และเวลา
21 หนวยยอยท่ี ๑ ความสัมพนั ธข องสงิ่ มีชีวิตกบั สง่ิ แวดลอ ม
22 หนว ยยอยที่ ๑ ความสัมพันธของส่ิงมีชวี ติ กับสงิ่ แวดลอ ม หนวยการเรยี นรทู ่ี ๑ ช่ือหนวย ชวี ติ กับส่ิงแวดลอม จํานวนเวลาเรียน ๙ ช่ัวโมง จํานวนแผนการจดั การเรยี นรู ๓ แผน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สาระสําคัญของหนว ย สิง่ มชี ีวิตหลายชนดิ ที่อาศยั อยูในแหลงทอี่ ยเู ดียวกันมีความสัมพันธกัน และมีความสัมพนั ธกบั สิ่งไมมีชวี ิตในดาน ตาง ๆ เพือ่ ประโยชนใ นการดํารงชีวติ สิ่งมีชีวติ ทม่ี ีความสมั พนั ธกับส่ิงมีชวี ิตในดานการกนิ กันเปน ทอด ๆ จากผผู ลติ ไปยัง ผบู รโิ ภคในรูปของโซอ าหาร เราจึงควรชว ยกันดูแลรกั ษาสิง่ แวดลอมเพ่ือใหส ิ่งมีชีวิตสามารถดาํ รงชีวติ อยูใ นแหลงที่อยไู ด มาตรฐานและตวั ชว้ี ดั มาตรฐาน ว ๑.๑ เขาใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธระหวางสิ่งไมมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ ระหวางส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตตาง ๆ ในระบบนิเวศ การถายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปญหาและผลกระทบที่มีตอทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม แนวทางในการอนุรักษ ทรพั ยากรธรรมชาติและการแกไ ขปญหาสิ่งแวดลอ ม รวมทั้งนําความรูไปใชป ระโยชน ตวั ชี้วดั อธิบายความสัมพันธร ะหวา งส่ิงมชี วี ิตกับสิ่งมีชีวิต และความสมั พันธระหวา งสิง่ มชี วี ิต ว ๑.๑ ป. ๕/๒ กบั ส่ิงไมมชี วี ติ เพ่ือประโยชนต อ การดาํ รงชวี ิต เขยี นโซอ าหารและระบุบทบาทหนาท่ีของส่ิงมีชวี ติ ทเ่ี ปนผผู ลติ และผบู ริโภคในโซอาหาร ว ๑.๑ ป. ๕/๓ ตระหนักในคุณคาของส่ิงแวดลอมที่มีตอการดํารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต โดยมีสวนรวมในการ ว ๑.๑ ป. ๕/๔ ดแู ลรักษาสิ่งแวดลอม
23 ลาํ ดับการนาํ เสนอแนวคดิ หลักของหนว ยยอยท่ี ๑ ความสมั พันธข องสิ่งมชี ีวิตกับสงิ่ แวดลอม บรเิ วณท่ีสิ่งมชี วี ติ อาศัยอยูร ว มกนั เรยี กวา แหลง ทีอ่ ยู ในแหลงทอี่ ยูหน่ึง ๆ มีสงิ่ มชี วี ิตหลายชนดิ ทีอ่ าศยั อยูรว มกัน สง่ิ มชี ีวติ ทอ่ี ยรู ว มกันมีความสัมพนั ธกบั ส่ิงมชี วี ิตในดา้ นตา ง ๆ เชน เปนท่ีอยอู าศัย เปนแหลงอาหาร เปน ทหี่ ลบภยั เปนทสี่ ืบพนั ธุ เปนท่เี ล้ียงดูลกู ออน ส่งิ มีชีวิตทอี่ าศยั อยใู นแหลง ท่ีอยเู ดยี วกันที่มีความสัมพนั ธก ันในดา นการกนิ อาหาร จะมกี ารกินตอกนั เปน ทอด ๆ ในรปู ของโซอาหาร ในโซอ าหารจะพบบทบาทของส่งิ มชี วี ติ ที่เปน ผูผลิตและผูบริโภค ส่ิงมีชวี ติ จะมคี วามสมั พนั ธก บั สิ่งไมม ชี วี ิตท่ีอาศยั อยูในแหลงทอ่ี ยเู ดยี วกันในดานตาง ๆ เชน เปนแหลงท่อี ยูอาศยั เปนทห่ี ลบภยั เปนท่ีสืบพนั ธุ เปน ทเี่ ลี้ยงดูลูกออน ใชอากาศในการหายใจ เราควรชวยกันดูแลรกั ษาสภาพแวดลอ มเพ่ือใหส ิ่งมชี วี ติ สามารถดาํ รงชวี ิตอยูในแหลงที่อยไู ด โครงสรา งของหนวยยอยที่ ๑ ความสัมพนั ธของสิ่งมชี ีวิตกบั ส่งิ แวดลอม หนว ยการเรยี นรู ชือ่ หนวยยอย จํานวนแผน ชอ่ื แผนการจัดการเรยี นรู จํานวนชัว่ โมง หนวยการเรยี นรูท ี่ หนว ยยอยที่ ๑ ๓ ความสัมพันธร ะหวาง ๓ ๑ ชีวติ กบั ความสัมพนั ธของ สง่ิ มชี ีวิตกับสง่ิ มีชีวิตใน สง่ิ แวดลอม สง่ิ มชี ีวิตกบั แหลงที่อยู ๓ สิง่ แวดลอ ม โซอาหาร ๓ ความสมั พันธร ะหวาง ส่ิงมีชวี ิตกบั สง่ิ ไมมชี วี ิตใน แหลงที่อยู
24 แผนการจัดการเรยี นรูท ่ี 1 กลมุ สาระการเรยี นรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 รายวิชาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 15101 หนว ยการเรียนรูที่ 1 ชีวิตกับสิง่ แวดลอม จํานวน 12 ชั่วโมง แผนการเรียนรูท่ี 1 เรอื่ ง ความสมั พันธระหวา งสง่ิ มชี ีวิตกบั สง่ิ มชี ีวติ ในแหลงที่อยู (1) เวลา 1 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู / ตวั ชวี้ ัด มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธระหวางสิ่งไมมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตและ ความสัมพันธระหวางสิ่งมชี วี ิตกบั สงิ่ มีชีวิตตา ง ๆ ในระบบนิเวศ การถา ยทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปญหาและผลกระทบท่ีมี ตอทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ ม แนวทางในการอนุรักษทรพั ยากรธรรมชาติและการ แกไ ขปญ หาสง่ิ แวดลอม รวมทัง้ นําความรูไปใชป ระโยชน ตัวชีว้ ดั ว 1.1 ป. 5/2 อธิบายความสมั พนั ธร ะหวางสง่ิ มีชวี ติ กบั ส่งิ มีชวี ิต และความสมั พนั ธร ะหวางสิง่ มีชวี ิตกับ สิง่ ไมมีชีวติ เพ่ือประโยชนต อ การดาํ รงชีวติ 2. สาระสาํ คญั ส่ิงมีชวี ติ หลายชนดิ ที่อาศยั อยใู นแหลง ทอ่ี ยหู น่งึ ๆ มคี วามสมั พนั ธกนั ในดา นตา ง ๆ 3. จดุ ประสงคก ารเรยี นรู 3.1 ดา นความรู ความเขา ใจ (K) - บอกความหมายของแหลง ท่ีอยแู ละอธบิ ายความสมั พันธกับส่งิ มีชีวติ ที่อาศัยอยใู นแหลง ท่อี ยหู น่ึง ๆ ในดาน ตา ง ๆ 3.2 ดานทกั ษะกระบวนการ (P) - สงั เกตชนิดของสิง่ มชี ีวิต - ลงความเห็นจากขอมลู เกี่ยวกบั ความสมั พันธร ะหวา งสิ่งมีชวี ติ กบั สิง่ มีชวี ติ ในแหลงทอ่ี ยูหน่งึ ๆ 3.3 ดานคุณลกั ษณะ เจตคติ คานยิ ม (A) - มุง ม่นั ในการทํางาน 4. สาระการเรียนรู บรเิ วณทส่ี ง่ิ มีชวี ติ หลายชนิดอาศัยอยรู ว มกันน้นั เรยี กวา แหลงท่อี ยู ในแหลง ท่ีอยูหน่ึง ๆ จะพบวาสง่ิ มีชวี ติ มีความสัมพันธกันในดานตาง ๆ เชน การกินกันเปนอาหาร เปนที่อยูอาศัย เปนที่สืบพันธุ เปนที่เล้ียงดูลูกออน เปนท่ี หลบภยั
25 5. สมรรถนะสาํ คญั ของผูเรยี น 5.1 ความสามารถในการส่อื สาร - บอกความสมั พนั ธของสงิ่ มีชีวิตในแหลง ท่อี ยหู นงึ่ ๆ 5.2 ความสามารถในการคิด - อภิปรายความสมั พันธระหวา งสง่ิ มีชีวติ กับส่ิงมีชีวิตในแหลงทอี่ ยหู น่งึ ๆ 6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค - มุงมัน่ ในการทาํ งาน 7. กิจกรรมการเรียนรู ขั้นนาํ เขาสบู ทเรียน (5 นาที) 1. ครูกระตนุ ความสนใจนักเรียนโดยนาํ รูปของสิง่ มีชวี ิตมารวมอภปิ รายกบั นกั เรียนโดยถามนกั เรยี นวา 1.1 สง่ิ มชี ีวิตมลี กั ษณะอยางไรบาง (สบื พันธุได กินอาหารได ขบั ถา ยได เจรญิ เติบโตได หายใจได เคลื่อนไหวไดดวยตนเอง และตอบสนองตอ สิง่ เราได) 1.2 นกั เรยี นเหน็ สงิ่ มีชวี ติ อะไรบา ง (กวาง กบ นก เตา ปลา แมลงปอ ตวั สลอ็ ต แมลงเตาทอง และพชื ชนดิ ตา ง ๆ) 1.3 นกั เรียนคดิ วาสงิ่ มชี วี ติ แตละชนิดในรปู นี้มีความสัมพันธกนั หรอื ไม อยา งไร (นักเรียนตอบตามความ เขาใจของตนเอง) ข้นั สอน (40 นาที) 2. ครูชวนนกั เรยี นอา นชอื่ กจิ กรรมท่ี 1 สิ่งมชี วี ิตสมั พันธกนั อยางไรและจดุ ประสงคขอ 1 หนา 3 แลว ทําความ เขาใจจุดประสงคในการทาํ กิจกรรม จากนั้นครูใชคาํ ถามดังตอ ไปนี้ 2.1 นักเรยี นจะเรียนเร่ืองอะไร (ความสมั พันธร ะหวา งส่งิ มีชีวติ กบั สิ่งมีชวี ิตในแหลง ท่ีอยูตาง ๆ) 2.2 นกั เรียนจะเรยี นดว ยวธิ ีใด (การสงั เกต) 2.3 เมอื่ เรียนแลว จะทาํ อะไรได (บอกชนิดของส่งิ มีชวี ิตและอธบิ ายความสัมพนั ธระหวางสงิ่ มีชีวติ กับ สงิ่ มชี ีวิตในแหลงที่อยูตาง ๆ)
26 3. ครใู ชคาํ ถามวา แหลง ที่อยูหมายถึงอะไร (นักเรยี นตอบตามความเขา ใจของตนเอง) ครอู ธิบายเพิ่มเติมวา แหลง ท่อี ยูหมายถึง บรเิ วณที่มสี ง่ิ มีชวี ติ อาศัยอยรู วมกนั 4. ครใู หนกั เรียนอานวิธีทาํ ในใบกจิ กรรมท่ี 1 สงิ่ มชี วี ติ สมั พันธก ันอยางไร ขอ 1 หนา 3 โดยใชค ําถามตอไปน้ี 4.1 นกั เรียนจะตองเลือกสาํ รวจหรือชมวีดทิ ัศนเ ก่ียวกบั อะไร (สาํ รวจหรอื ชมวีดทิ ศั นเกยี่ วกับสิ่งมชี ีวิตใน บรเิ วณตา ง ๆ 1 บริเวณ) 4.2 นกั เรยี นสงั เกตอะไรบา ง (ชนดิ ของส่งิ มชี ีวิตและพฤตกิ รรมของส่ิงมีชวี ิต รวมทัง้ ระบุความสัมพนั ธ ระหวา งมชี ีวิตกบั สง่ิ มชี วี ติ ในบรเิ วณท่เี ลอื ก) 5. ครกู ําหนดบริเวณที่จะสาํ รวจใหน ักเรยี น โดยไมไดออกไปสํารวจนอกหองเรยี น แตใ หสงั เกตชนิดของ ส่งิ มชี ีวติ และพฤตกิ รรมของสง่ิ มีชีวิตจากการชมวดี ทิ ัศนเ ก่ยี วกบั ความสมั พันธข องสิ่งมีชีวติ กับส่ิงมชี วี ติ ใน แหลงท่อี ยู 3 แหลง ไดแก สนามหญา แหลง น้ําและตน ไมใ หญ และใหบ ันทึกผลการสังเกตลงในใบงาน 01 ความสัมพนั ธของสง่ิ มีชวี ติ กับสิ่งมีชวี ติ ในแหลง ที่อยู หนา 4 โดยครคู อยชวยแนะนาํ ใหน กั เรยี นบนั ทึกผล การสังเกตใหเ รยี บรอย เพ่ือใชเปน ขอมลู ในการอภปิ รายตอ ไป 6. ครเู ปดโอกาสใหนักเรียนไดแลกเปลย่ี นเรียนรูแ ละอภิปรายรว มกัน จากนน้ั ครูใชค ําถาม ดังตอ ไปนี้ 6.1 นักเรียนพบส่งิ มีชีวิตอะไรบา งในวีดที ศั น (คําตอบขนึ้ อยูกับขอมูลทนี่ ักเรยี นสงั เกต) 6.2 ส่งิ มีชีวิตท่ีนักเรียนพบมพี ฤตกิ รรมอยางไร (นักเรยี นตอบไดต ามท่สี ังเกต) 7. ครอู ธิบายเพ่มิ เติมเกีย่ วกบั ความสัมพันธกับสิง่ มชี วี ิตทอี่ าศยั อยใู นแหลง ที่อยูหนึ่ง ๆ พรอมยกตัวอยา ง เชน ภาพคา งคาวทีอ่ ยบู นตน ไม มีความสมั พนั ธกนั ในดานการเปนทอ่ี ยูอาศยั ภาพกระตา ยกินหญามี ความสมั พนั ธก ันในดา นการกินกันเปน อาหาร) 8. นักเรียนแตละกลุมรว มกันอภปิ รายและระบคุ วามสมั พนั ธระหวางส่ิงมีชีวติ กับสง่ิ มชี ีวิตในแหลง ทีอ่ ยูที่ สงั เกตไดจากในวีดิทัศน และบันทกึ ลงในใบงาน 01 ความสัมพนั ธข องส่งิ มชี วี ิตกบั ส่ิงมีชีวติ ในแหลง ทอ่ี ยู หนา 5 9. ครูอาจใหนกั เรียนนําเสนอและรว มกันอภปิ รายโดยใชค าํ ถามวา สิ่งมชี ีวิตทอี่ าศยั อยูในแหลงทีอ่ ยูท่ีได สังเกตมีความสัมพันธก ันอยา งไรบาง (เชน ในแหลงนํ้า พบปลามีความสัมพันธกับพืชในดานการเปน ท่หี ลบ ภัยและเปน แหลงที่อยู ทตี่ นไมใหญพ บนกมีความสัมพนั ธกับตน ไมในดานการเปน ท่อี ยูอาศัย เปนท่เี ลีย้ งดู ลกู ออน และเปน ทหี่ ลบภยั และสนามหญา สวนทีส่ นามหญา พบแมลงมคี วามสัมพนั ธกับนกในดานการ กนิ กันเปนอาหาร) ขั้นสรปุ (5 นาที) 10. ครเู ปดโอกาสใหน ักเรียนสรปุ แนวคดิ หรอื สง่ิ ที่ไดเ รยี นรูในชั่วโมงน้ดี ว ยตนเองเก่ียวกับความหมายของ แหลง ทีอ่ ยแู ละความสัมพนั ธร ะหวางส่ิงมชี ีวติ กับสิ่งมีชีวติ ในแหลงท่อี ยู 11. ครแู ละนักเรียนรวมกนั สรปุ ไดว า บริเวณที่ส่ิงมชี วี ิตหลายชนิดอาศัยอยรู วมกันน้นั เรียกวาแหลง ท่อี ยู ในแหลง ทอ่ี ยูหนึ่ง ๆ จะพบวา สิ่งมชี ีวติ มคี วามสัมพนั ธกนั ในดา นตา ง ๆ เชน การกนิ กนั เปนอาหาร เปน ที่อยู อาศยั เปนทีส่ ืบพนั ธุ เปน ทเ่ี ลี้ยงดูลกู ออน เปนทหี่ ลบภัย
27 8. ส่ือการเรียนรู / แหลงเรียนรู 8.1 ส่อื สไลดเร่ือง ความสัมพันธระหวางส่งิ มชี วี ติ กับสิ่งมชี ีวิตในแหลงท่ีอยู (1) 8.2 วีดทิ ศั น 3 แหลงที่อยู เรอื่ ง ความสมั พนั ธระหวางสิง่ มชี ีวติ กับส่ิงมีชวี ติ ในแหลง ที่อยู 8.3 ใบกิจกรรมท่ี 1 สิง่ มชี วี ติ สัมพนั ธก ันอยา งไร หนา 3 8.4 ใบงาน 01 ความสัมพันธระหวา งส่งิ มีชวี ิตกับสงิ่ มีชวี ติ ในแหลง ทีอ่ ยู ตอนท่ี 1 หนา 4-5 9. ชนิ้ งาน / ภาระงาน 9.1 ใบงาน 01 ความสมั พันธระหวางสงิ่ มชี ีวติ กับส่ิงมีชีวิตในแหลงท่ีอยู ตอนท่ี 1 หนา 4-5 10. การวัดผลและประเมนิ ผล ประเดน็ การประเมนิ วิธีการ เคร่อื งมอื เกณฑก ารตัดสนิ 1) บอกความหมายของ สงั เกตการตอบ แบบประเมนิ การตอบ คะแนน 9 - 10 หมายถึง ดมี าก แหลงที่อยแู ละอธิบาย คําถามในชัน้ เรยี น คาํ ถามในชนั้ เรยี นและ คะแนน 7 - 8 หมายถึง ดี ความสัมพันธกับ และเนอ้ื หาในใบงาน เน้ือหาในใบงาน คะแนน 5 – 6 หมายถงึ พอใช สง่ิ มชี ีวิตที่อาศัยอยูใ น คะแนน 0 – 4 หมายถงึ ปรบั ปรงุ แหลงทีอ่ ยูหน่งึ ๆ ใน สังเกตทักษะ ดา นตาง ๆ กระบวนการทาง แบบประเมินสังเกตทักษะ คะแนน 5 - 6 หมายถึง ดี 2) ทักษะกระบวนการ วิทยาศาสตร ทางวิทยาศาสตร ในขณะทาํ กจิ กรรม กระบวนการทาง คะแนน 3 - 4 หมายถงึ พอใช - สังเกตชนิดของ สง่ิ มีชีวติ สังเกตดาน วทิ ยาศาสตร คะแนน 1 - 2 หมายถงึ ปรับปรุง - ลงความเหน็ ขอ มูล คุณลักษณะ เก่ยี วกบั ความสัมพนั ธ อันพงึ ประสงค แบบประเมนิ คุณลักษณะ คะแนน 3 หมายถึง ดี ระหวางส่ิงมชี ีวิตกับ อนั พงึ ประสงค คะแนน 2 หมายถึง พอใช ส่งิ มชี วี ิตในแหลงทอ่ี ยู คะแนน 1 หมายถงึ ปรับปรงุ หน่ึง ๆ 3) สังเกตพฤติกรรม ความมุงมั่นในการ ทํางาน
28 แบบประเมนิ การตอบคําถามในชนั้ เรยี นและเน้ือหาในใบงาน แผนการจดั การเรยี นรูที่ 1 เรอ่ื ง ความสัมพันธระหวา งสิ่งมชี ีวติ กับส่ิงมชี ีวิตในแหลงท่ีอยู (1) ช่ือผูประเมิน…………………………………………………………………………........................……………………………………….. ประเมินผลคร้งั ท่ี………………….... วนั ที่ …………….........……... เดือน ………..……….…. พ.ศ. ……...….…………........ เร่ือง………………………………………………………………......………………………………………………………………………………. รายการประเมิน/ระดบั คะแนน ชื่อ-สกุล/กลมุ การตอบ การสรปุ ความถูกตอ ง รวม คําถามในช้ัน ความรู ครบถวนของ คะแนน เนือ้ หาใน เรยี น (4) (10 ใบงาน คะแนน) (4) (2) เกณฑก ารประเมนิ ประเด็น 4 (ดีมาก) ระดับคณุ ภาพ 1 (ปรบั ปรุง) น้ําหนัก คะแนน การประเมนิ 3 (ดี) 2 (พอใช) รวม 1. การตอบ ตอบคําถามได ตอบคําถามได ตอบคาํ ถาม ตอบคําถาม 1.0 4 คําถามในชน้ั เรยี น ถกู ตองท้ังหมด ถูกตองเปน ถูกตองบางสว น ไมถ ูกตอ ง 1.0 4 สวนใหญ สรุปความรูความ สรปุ ความรูเขา ใจ เขาใจเกยี่ วกับ เก่ียวกับเรอื่ งท่ี 2. การสรุปความรู สรุปความรู สรุปความรคู วาม เรือ่ งท่ีศกึ ษาได ศึกษาไมถูกตอง ถกู ตองบางสว น และไมค รบถว น ความเขา ใจ เขา ใจเกีย่ วกับ และไมครบถว น เก่ียวกับเรอื่ งที่ เร่ืองท่ีศกึ ษาได ศึกษาได ถูกตอ ง ถูกตอง แตไม และครบถว น ครบถว น
29 ประเดน็ ระดับคุณภาพ น้ําหนกั คะแนน การประเมนิ รวม 3. ความถกู ตอง 4 (ดีมาก) 3 (ดี) 2 (พอใช) 1 (ปรบั ปรุง) ครบถวนของ เน้ือหาท่ีเขยี นใน เนื้อหาในใบงาน เนื้อหาท่เี ขยี นใน เนอ้ื หาทเ่ี ขียนใน เน้อื หาทเ่ี ขียนใน ใบงานไมถูกตอ ง 1.0 2 ใบงานมีความ ใบงานมบี างสวน ใบงานมคี วาม ถูกตองครบถว น ไมถ ูกตอ ง ตามท่ี ถกู ตองเปน ตามท่ีกําหนด กาํ หนด สวนนอย เกณฑก ารตัดสิน คะแนน 9 - 10 หมายถึง ดีมาก คะแนน 7 - 8 หมายถึง ดี คะแนน 5 – 6 หมายถึง พอใช คะแนน 0 – 4 หมายถึง ปรับปรุง
30 แบบประเมินดานทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร แผนการจัดการเรยี นรูท ่ี 1 เรอื่ ง ความสัมพนั ธร ะหวา งส่ิงมชี ีวติ กบั สง่ิ มชี วี ติ ในแหลงทีอ่ ยู (1) ชือ่ กลุมรับการประเมนิ ………………………………………………………………………………………………………………………………… สง่ิ ท่ีประเมิน 3 คะแนน คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน การสังเกต การลงความเห็นจากขอมูล รวมคะแนน ........................................................... คะแนน เกณฑการประเมนิ ระดับความสามารถ ทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร ดี (3) พอใช (2) ปรับปรุง (1) การสงั เกต สามารถใชป ระสาทสัมผสั สามารถใชป ระสาทสัมผัส สามารถใชป ระสาท การลงความเหน็ ในการสงั เกตเก่ียวกับ ในการสังเกตเก่ียวกับชนดิ สมั ผัสในการสงั เกต จากขอมลู ชนิดของสงิ่ มชี วี ติ และ ของสงิ่ มชี วี ติ และ เกี่ยวกบั ชนิดของ พฤติกรรมของส่งิ มีชวี ิตได พฤติกรรมของสิ่งมชี วี ิตได สิ่งมชี วี ติ และพฤติกรรม ดว ยตนเอง โดยอาศยั การชแี้ นะของครู ของสิง่ มชี ีวติ ไดบางสว น หรอื ผอู น่ื หรอื เพิม่ เติม แมจ ะไดรบั คําช้แี นะจาก ความเห็น ครูหรือผูอ่ืน สามารถใชขอมลู จากการ สามารถใชข อมูลจากการ สามารถใชข อมูลจากการ สงั เกตพฤติกรรมของ สงั เกตพฤติกรรมของ สังเกตพฤตกิ รรมของ ส่ิงมีชวี ิตและลงความเหน็ สงิ่ มีชีวิตและลงความเห็น สิ่งมีชวี ติ และลง เกีย่ วกับความสัมพนั ธ เก่ยี วกบั ความสมั พนั ธ ความเห็นเก่ียวกบั ระหวา งสิ่งมชี วี ิตกับ ระหวางสงิ่ มีชวี ติ กบั ความสมั พันธระหวาง สงิ่ มีชวี ิตในแหลง ทอ่ี ยูที่ สิ่งมีชีวิตในแหลงที่อยูที่ สิ่งมชี วี ติ กบั ส่งิ มชี ีวิตใน เลือกสาํ รวจไดอยา ง เลือกสํารวจไดอยา ง แหลง ท่ีอยทู ่ีเลอื กสาํ รวจ ถกู ตองไดดวยตนเอง ถกู ตองไดโ ดยอาศยั การ ไดอ ยา งถูกตองได
31 ทักษะกระบวนการ ระดบั ความสามารถ ทางวิทยาศาสตร ดี (3) พอใช (2) ปรบั ปรงุ (1) ช้แี นะของครูหรือผูอนื่ หรือ บางสว นแมจ ะไดร บั คํา เพ่มิ เติมความเหน็ ชี้แนะจากครหู รือผอู นื่ เกณฑก ารตัดสิน คะแนน 5 - 6 หมายถงึ ดี คะแนน 3 - 4 หมายถึง พอใช คะแนน 1 - 2 หมายถึง ปรบั ปรุง แบบประเมินดา นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค แผนการจดั การเรียนรทู ่ี 1 เร่อื ง ความสมั พนั ธระหวางสิ่งมชี ีวติ กบั สิ่งมชี วี ติ ในแหลงทีอ่ ยู (1) ผปู ระเมิน/กลุมประเมนิ .................................................................................................................................................. ชือ่ กลุมรับการประเมิน.................................................................................................................................................... ประเมินผลครั้งที.่ .............วนั ที.่ ..........เดอื น..................................................พ.ศ............................................................ เรอื่ ง................................................................................................................................................................................. ที่ ลักษณะ/พฤตกิ รรมบงช้ี ระดับพฤตกิ รรม คะแนนที่ได 1. มงุ มัน่ ในการทาํ งาน เกดิ = 3 ไมเกดิ = 0 รวมคะแนนทไี่ ดท ้งั หมด .............................................. คะแนน เกณฑก ารตัดสิน คะแนน 3 หมายถงึ ดี คะแนน 2 หมายถึง พอใช คะแนน 1 หมายถงึ ปรับปรงุ
32 แผนการจัดการเรยี นรูที่ 2 กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปท ี่ 5 ภาคเรียนท่ี 1 รายวชิ าวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว 15101 หนวยการเรียนรูท ่ี 1 ชีวติ กับสงิ่ แวดลอม จํานวน 12 ช่ัวโมง แผนการเรียนรทู ่ี 2 เรอ่ื ง ความสมั พนั ธร ะหวา งสงิ่ มีชีวิตกับส่งิ มีชีวติ ในแหลงที่อยู (2) เวลา 1 ช่ัวโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู / ตวั ชวี้ ัด มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธระหวางสิ่งไมมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตตาง ๆ ในระบบนิเวศ การถายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปญหาและผลกระทบที่มี ตอ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม แนวทางในการอนุรักษทรพั ยากรธรรมชาติและการ แกไ ขปญหาสิ่งแวดลอม รวมทงั้ นําความรไู ปใชป ระโยชน ตัวช้ีวัด ว 1.1 ป. 5/2 อธิบายความสมั พนั ธร ะหวางสง่ิ มีชวี ิตกบั ส่งิ มีชวี ิต และความสมั พนั ธร ะหวางส่ิงมชี วี ติ กับ สง่ิ ไมมีชีวติ เพือ่ ประโยชนต อการดาํ รงชวี ติ 2. สาระสําคัญ ส่งิ มชี ีวติ หลายชนิดที่อาศัยอยูในแหลง ท่อี ยูหนึ่ง ๆ มคี วามสัมพันธก ันในดานตาง ๆ 3. จุดประสงคการเรียนรู 3.1 ดานความรู ความเขาใจ (K) - อธิบายความสัมพันธร ะหวา งสิ่งมชี วี ิตกับส่ิงมีชวี ติ 3.2 ดานทกั ษะกระบวนการ (P) - ลงความเหน็ จากขอมลู เก่ยี วกับความสมั พันธระหวางส่งิ มีชีวติ กับส่ิงมีชวี ิต 3.3 ดา นคณุ ลกั ษณะ เจตคติ คา นยิ ม (A) - ใฝเรยี นรู 4. สาระการเรียนรู ส่ิงมีชีวิตชนิดตาง ๆ ที่อาศัยอยูในแหลงท่ีอยูเดียวกันจะมีความสัมพันธกันในดานตาง ๆ เชน การกินกันเปน อาหาร เปนท่อี ยอู าศัย เปน ท่ีสืบพนั ธุ เปนทเี่ ล้ียงดูลูกออน เปนท่หี ลบภัย
33 5. สมรรถนะสําคัญของผเู รียน 5.1 ความสามารถในการส่ือสาร - บอกความสมั พันธระหวา งสิ่งมีชีวติ กับส่ิงมชี ีวิต 5.2 ความสามารถในการคิด - อธบิ ายความสัมพันธระหวา งสิ่งมีชีวิตกับสงิ่ มชี ีวติ ในดานตาง ๆ 6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค - ใฝเรยี นรู 7. กิจกรรมการเรียนรู ขั้นนาํ เขาสบู ทเรียน (5 นาที) 1. ครกู ระตุน ความสนใจและทบทวนความรูท่ีไดเ รียนมาแลว ของนกั เรียน โดยนาํ รูปส่งิ มีชวี ิตทม่ี ีความสมั พันธ กันมาใหนักเรยี นรว มกันอภปิ ราย โดยใชค ําถามดงั น้ี 1.1 จากรปู นักเรยี นเคยเห็นสงิ่ มีชีวิตตาง ๆ นีห้ รอื ไม (นักเรยี นตอบตามประสบการณของตนเอง) 1.2 จากรูป สงิ่ มีชีวติ มคี วามสมั พันธกนั หรอื ไม อยางไร (มีความสัมพันธก ัน โดยกบมคี วามสัมพนั ธกับแมลง ในดา นของการกินเปน อาหาร นกมคี วามสมั พนั ธก บั ตน ไมใ นดา นการเปนท่เี ลย้ี งดลู ูกออน กบมี ความสัมพนั ธกับพชื นํา้ ในดานการเปน ทสี่ บื พันธุ กวางมคี วามสมั พันธกับปา ไมในดานการเปน ท่อี ยู อาศัย ปลาการต ูนมคี วามสมั พันธก ับดอกไมท ะเลในดานการเปน ทีห่ ลบภยั ) ขั้นสอน (40 นาที) 2. ครชู วนนักเรยี นอา นชือ่ กิจกรรมที่ 1 ส่ิงมชี วี ติ สัมพันธกนั อยา งไร และจดุ ประสงคขอ 2 หนา 3 แลว ทาํ ความเขา ใจจุดประสงคใ นการทํากจิ กรรม จากนั้นครใู ชคาํ ถามดังตอ ไปนี้ 2.1 นกั เรยี นจะเรยี นเรื่องอะไร (ความสมั พนั ธร ะหวางส่งิ มีชีวติ ในดานตา ง ๆ) 2.2 นกั เรยี นจะเรยี นดวยวิธีใด (รวบรวมขอ มลู ) 2.3 เมื่อเรียนแลวจะทําอะไรได (สรปุ ความสัมพนั ธระหวางส่งิ มชี ีวิตในดา นตาง ๆ)
34 3. ครูใหนกั เรยี นอา นวธิ ที าํ กจิ กรรมที่ 1 ขอ 2-3 หนา 3 โดยใชว ิธกี ารฝก การอานทีเ่ หมาะสม จากน้ัน ครตู รวจสอบความเขาใจในข้ันตอนการทํากจิ กรรม โดยใชค ําถามดังน้ี 3.1 นักเรยี นตอ งสังเกตอะไร (รปู บงึ นํ้าในหนา 6) 3.2 นกั เรยี นอภิปรายเกยี่ วกบั เรอื่ งอะไร (อภิปรายความสมั พนั ธร ะหวางสิ่งมชี วี ิตกับสิ่งมีชีวิตในรปู บึงนํ้าและ สรุปเกย่ี วกบั ความสมั พนั ธระหวางสิ่งมชี ีวติ กับส่งิ มีชีวติ ในดานตา ง ๆ ทีพ่ บในรูปบึงนาํ้ และท่ีพบจาก แหลง ท่ีอยทู ่ีไดช มวดิ ที ัศนใ นวิธีทาํ ขอที่ 1) 4. หลังจากทน่ี กั เรียนเขาใจข้ันตอนการทํากจิ กรรมแลว ใหนกั เรียนลงมือทํากจิ กรรมและบนั ทึกผลในใบงาน 01 หนา 7 5. ครูสุมนกั เรียนนําเสนอความสมั พนั ธระหวางสงิ่ มีชวี ิตกบั ส่ิงมชี ีวติ ในรปู บึงนํ้าในดา นตา ง ๆ และความสมั พันธ ระหวางสิ่งมชี ีวติ กับส่งิ มีชวี ิตที่พบในแหลงที่อยูท่ีไดชมวิดที ัศนในวธิ ที ําขอท่ี 1 หนา ช้ันเรยี น พรอมทงั้ ครใู ห ขอ เสนอแนะในสว นทนี่ กั เรยี นยงั ทาํ ไมถ ูกตอ ง 6. ครูใหน ักเรยี นรว มกันอภิปรายความสมั พันธร ะหวา งสงิ่ มชี ีวิตกับสง่ิ มชี ีวติ โดยใชค าํ ถามดังนี้ 6.1 จากรูปบึงนาํ้ และในวิดที ัศนส งิ่ มีชีวติ ใดบางที่มีความสัมพันธใ นดานการกนิ เปน อาหาร (ในรูปบงึ น้ํา ไดแก กบกับแมลง ปลาใหญก ับปลาเลก็ งูกบั กบ ในวดี ิทศั น เชน นกกบั แมลง) 6.2 จากรปู บงึ นา้ํ และในวดิ ีทัศนส่งิ มชี วี ิตใดบา งท่ีมีความสัมพนั ธในดา นการเปน ที่อยูอ าศัย (ในรปู บงึ นาํ้ ไดแก กบกับกอหญา กบกับบัว งูกบั ตน หญา เปด กบั กอหญา ในวดี ิทศั น เชน ตนไมกบั นก) 6.3 จากรูปบึงนา้ํ และในวดิ ีทัศน ส่ิงมีชีวติ ใดบา งท่ีมีความสัมพันธใ นดานการเปนท่ีหลบภัย (ในรปู บงึ น้ําไดแก กบกับกอหญา ลูกปลากับพืชนาํ้ ลกู เปดกบั กอหญา ในวีดิทัศน เชน ตน ไมกบั นก ปลากับพืชน้ํา) 6.4 จากรปู บงึ น้าํ และในวดิ ีทศั น สิ่งมีชวี ิตใดบา งทมี่ ีความสมั พนั ธในดานการเปนท่ีเล้ยี งลูกออน (ในรูปบงึ น้ํา ไดแก เปด กับกอหญา กบกบั บวั ในวีดทิ ศั น เชน ตนไมกับนก ปลากบั พืชน้าํ ) 6.5 จากรปู บึงนา้ํ และในวดิ ีทัศน สิง่ มีชวี ติ ใดบางท่ีมีความสัมพนั ธใ นดานการเปนท่ีสบื พนั ธุ (ในรูปบงึ นา้ํ ไดแ ก แมลงปอกับบวั ในวีดิทศั น เชน ตน ไมก บั นก) ข้นั สรปุ (5 นาที) 7. ครูเปดโอกาสใหนักเรยี นสรุปแนวคดิ หรือสงิ่ ที่ไดเรยี นรใู นชว่ั โมงนดี้ ว ยตนเองเก่ียวกับความสมั พันธระหวาง สิ่งมชี ีวติ กบั สง่ิ มชี ีวติ ในดานตา ง ๆ 8. ครใู หนกั เรียนรวมกนั อภิปรายและสรปุ ไดวา สิ่งมชี วี ติ ชนดิ ตา ง ๆ ทอ่ี าศัยอยูใ นแหลงที่อยเู ดยี วกนั จะมี ความสมั พนั ธก นั ในดานตา ง ๆ เชน การกินกนั เปนอาหาร เปนท่ีอยูอาศัย เปนทีส่ บื พันธุ เปน ทเ่ี ลย้ี งดู ลูกออ น เปนท่ีหลบภัย 8. สอ่ื การเรียนรู / แหลง เรียนรู 8.1 สไลดเรือ่ งความสมั พนั ธร ะหวางส่งิ มชี วี ิตกบั สงิ่ มีชีวติ ในแหลง ท่ีอยู (2) 8.2 ใบกิจกรรมท่ี 1 สงิ่ มีชีวติ สัมพนั ธก ันอยางไร หนา 3 8.3 ใบงาน 01 ความสัมพันธระหวา งสง่ิ มีชีวติ กับส่ิงมชี ีวิตในแหลงทอี่ ยู ตอนท่ี 1 หนา 6 -
35 9. ชน้ิ งาน / ภาระงาน 9.1 ใบงาน 01 เรื่อง ความสัมพันธร ะหวา งสิง่ มชี วี ติ กบั สง่ิ มชี วี ติ ในแหลง ท่ีอยู ตอนที่ 1 หนา 6 10. การวดั ผลและประเมินผล ประเดน็ การประเมนิ วธิ กี าร เคร่ืองมือ เกณฑก ารตัดสนิ คะแนน 9 - 10 หมายถึง ดีมาก 1) อธบิ ายความสัมพนั ธ สงั เกตการตอบ แบบประเมินการ คะแนน 7 - 8 หมายถงึ ดี ระหวา งสิ่งมีชวี ติ ท่กี ับ คําถามในชนั้ เรยี น ตอบคําถามใน คะแนน 5 – 6 หมายถงึ พอใช สง่ิ มชี ีวติ และเนือ้ หาในใบงาน ชนั้ เรียนและเน้ือหา คะแนน 0 – 4 หมายถงึ ปรับปรงุ ในใบงาน คะแนน 3 หมายถึง ดี 2) ทักษะกระบวนการ สังเกตทกั ษะ แบบประเมินสงั เกต คะแนน 2 หมายถึง พอใช ทางวิทยาศาสตร กระบวนการทาง ทกั ษะกระบวนการ คะแนน 1 หมายถงึ ปรับปรุง - ลงความเห็นจากขอมูล วทิ ยาศาสตร ทางวทิ ยาศาสตร เก่ยี วกบั ความสัมพันธ ในขณะทาํ กิจกรรม คะแนน 3 หมายถึง ดี ระหวา งส่งิ มชี ีวิตกบั แบบประเมิน คะแนน 2 หมายถึง พอใช สงิ่ มีชวี ติ สงั เกตดาน คณุ ลกั ษณะ คะแนน 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ 3) สังเกตพฤติกรรมการ คุณลักษณะ อนั พงึ ประสงค ใฝเ รยี นรู อันพงึ ประสงค
36 แบบประเมินการตอบคําถามในชัน้ เรียนและเนอื้ หาในใบงาน แผนการจดั การเรยี นรูท่ี 2 เรือ่ งความสัมพันธระหวางสิ่งมีชวี ิตกบั สงิ่ มีชีวติ ในแหลงที่อยู (2) ชอ่ื ผูประเมนิ …………………………………………………………………………........................……………………………………….. ประเมนิ ผลครัง้ ท…่ี ……………….... วันที่ …………….........……... เดือน ………..……….…. พ.ศ. ……...….…………........ เรอ่ื ง………………………………………………………………......………………………………………………………………………………. รายการประเมิน/ระดบั คะแนน ชื่อ-สกุล/กลุม การตอบคําถาม การสรปุ ความรู ความถกู ตอ ง รวม ในช้นั เรียน (4) ครบถว นของ คะแนน เนอ้ื หาในใบงาน (4) (10 คะแนน) (2) เกณฑก ารประเมิน ประเด็น 4 (ดีมาก) ระดับคุณภาพ 1 (ปรบั ปรงุ ) นํา้ หนัก คะแนน การประเมิน 3 (ดี) 2 (พอใช) รวม 1. การตอบ ตอบคําถามได ตอบคาํ ถามได ตอบคาํ ถาม ตอบคาํ ถาม 1.0 4 คําถามในช้ันเรียน ถกู ตองทง้ั หมด ถกู ตองเปน ถกู ตองบางสว น ไมถ ูกตอ ง 1.0 4 สวนใหญ สรุปความรูความ สรปุ ความรเู ขาใจ 1.0 2 2. การสรปุ ความรู สรุปความรู สรปุ ความรคู วาม เขาใจเก่ยี วกับ เกย่ี วกับเรื่องที่ ความเขาใจ เขาใจเกี่ยวกับ เรอื่ งที่ศกึ ษาได ศึกษาไมถูกตอง เกี่ยวกบั เรอ่ื งที่ เร่อื งที่ศกึ ษาได ถกู ตองบางสว น และไมค รบถว น ศกึ ษาได ถูกตอ ง ถกู ตอง แตไม และไมค รบถว น และครบถว น ครบถวน เน้อื หาท่เี ขยี นใน เนอ้ื หาท่เี ขียนใน ใบงานมีความ ใบงานไมถกู ตอง 3. ความถูกตอง เนอ้ื หาทเี่ ขยี นใน เน้อื หาที่เขยี นใน ถกู ตองเปน ครบถว นของ ใบงานมคี วาม ใบงานมบี างสวน สวนนอ ย เนือ้ หาในใบงาน ถูกตองครบถว น ไมถ ูกตอง ตามที่ ตามท่กี ําหนด กาํ หนด
37 เกณฑก ารตดั สิน คะแนน 9 - 10 หมายถึง ดีมาก คะแนน 7 - 8 หมายถึง ดี คะแนน 5 – 6 หมายถงึ พอใช คะแนน 0 – 4 หมายถึง ปรบั ปรุง
38 แบบประเมินดานทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร แผนการจดั การเรยี นรูท่ี 2 เรื่อง ความสมั พนั ธระหวา งส่ิงมชี ีวติ กบั ส่ิงมชี ีวิตในแหลงที่อยู (2) ชือ่ กลุมรบั การประเมิน………………………………………………………………………………………………………………………………… สง่ิ ท่ปี ระเมนิ 3 คะแนน คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน การลงความเหน็ จากขอมูล รวมคะแนน ........................................................... คะแนน เกณฑการประเมิน ทักษะกระบวนการ ระดับความสามารถ ทางวิทยาศาสตร ดี (3) พอใช (2) ปรับปรุง (1) การลงความเหน็ จาก สามารถใชขอมลู จากการ สามารถใชขอมูลจากการ สามารถใชขอมูลจากการ ขอมลู สงั เกตพฤตกิ รรมของ สงั เกตพฤติกรรมของ สงั เกตพฤติกรรมของ สงิ่ มีชีวติ และลงความเหน็ สงิ่ มีชีวิตและลงความเหน็ ส่งิ มีชวี ติ และลง เก่ียวกับความสมั พนั ธ เกย่ี วกบั ความสมั พนั ธ ความเห็นเกย่ี วกับ ระหวา งส่งิ มชี ีวิตกับ ระหวา งสง่ิ มีชวี ติ กบั ความสมั พันธระหวา ง สง่ิ มีชวี ติ ในแหลงท่อี ยูที่ สงิ่ มชี วี ิตในแหลงท่ีอยูที่ สิง่ มีชีวิตกับส่ิงมีชวี ติ ใน เลอื กสาํ รวจไดอยา ง เลอื กสํารวจไดอยาง แหลงทอ่ี ยูท่ีเลือกสํารวจ ถูกตองไดดวยตนเอง ถูกตองไดโดยอาศัยการ ไดอยา งถกู ตอ งได ช้ีแนะของครหู รือผูอ น่ื หรือ บางสว นแมจ ะไดร ับคํา เพิ่มเติมความเหน็ ชแี้ นะจากครูหรือผอู น่ื เกณฑก ารตดั สนิ คะแนน 3 หมายถึง ดี คะแนน 2 หมายถงึ พอใช คะแนน 1 หมายถงึ ปรับปรงุ
39 แบบประเมินดานคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค แผนการจัดการเรยี นรทู ่ี 2 เรื่อง ความสมั พันธร ะหวางส่ิงมชี ีวติ กบั สงิ่ มชี ีวติ ในแหลงทอ่ี ยู (2) ผูป ระเมิน/กลุมประเมนิ .................................................................................................................................................. ชือ่ กลุมรับการประเมนิ .................................................................................................................................................... ประเมนิ ผลคร้ังที.่ .................. วันท่.ี .................เดือน..................................................พ.ศ.............................................. เรอ่ื ง................................................................................................................................................................................. ท่ี ลกั ษณะ/พฤตกิ รรมบงช้ี ระดบั พฤตกิ รรม คะแนนทีไ่ ด 1. ใฝเ รยี นรู เกดิ = 1 ไมเกดิ = 0 รวมคะแนนทีไ่ ดทั้งหมด .............................................. คะแนน เกณฑก ารตัดสนิ คะแนน 3 หมายถึง ดี คะแนน 2 หมายถึง พอใช คะแนน 1 หมายถงึ ปรับปรุง
40 แผนการจัดการเรยี นรูท่ี 3 กลุมสาระการเรยี นรวู ิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที่ 5 ภาคเรียนท่ี 1 รายวิชาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว 15101 หนว ยการเรยี นรทู ี่ 1 ชีวติ กับสง่ิ แวดลอม จํานวน 12 ช่ัวโมง แผนการเรียนรูที่ 3 เร่ือง ความสมั พนั ธร ะหวางสิง่ มีชีวติ กับสง่ิ มชี ีวติ ในแหลง ที่อยู (3) เวลา 1 ช่ัวโมง 1. มาตรฐานการเรยี นรู / ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 1.1 เขาใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธระหวางสิ่งไมมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ ความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตตาง ๆ ในระบบนิเวศ การถายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปญหาและผลกระทบท่ีมี ตอทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม แนวทางในการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและ การแกไขปญ หาส่งิ แวดลอ ม รวมทงั้ นาํ ความรูไปใชป ระโยชน ตัวช้ีวดั ว 1.1 ป. 5/2 อธิบายความสมั พนั ธร ะหวางสงิ่ มีชวี ติ กบั สงิ่ มีชวี ติ และความสมั พนั ธร ะหวางสิง่ มีชีวติ กับ สงิ่ ไมม ชี ีวิตเพอื่ ประโยชนตอ การดํารงชีวติ 2. สาระสําคัญ ส่งิ มชี ีวติ หลายชนิดท่ีอาศัยอยูในแหลงที่อยหู น่ึง ๆ มีความสัมพันธกนั ในดานตาง ๆ 3. จดุ ประสงคการเรยี นรู 3.1 ดานความรู ความเขาใจ (K) - อธบิ ายความสมั พันธร ะหวา งสง่ิ มีชวี ติ กบั สิง่ มชี วี ติ 3.2 ดานทกั ษะกระบวนการ (P) - จดั กระทําและสอ่ื ความหมายขอมลู ในรูปของผงั แนวคดิ เร่ืองความสมั พนั ธร ะหวางสง่ิ มีชีวิตกับสิ่งมชี ีวิต - ตคี วามหมายขอมูลและลงขอสรปุ เกี่ยวกับความสมั พนั ธระหวางสิ่งมีชวี ติ กับสง่ิ มชี ีวิตในแหลงท่อี ยู 3.3 ดา นคณุ ลกั ษณะ เจตคติ คานยิ ม (A) - ใฝเ รยี นรู 4. สาระการเรยี นรู สิ่งมชี วี ติ มคี วามสัมพนั ธกันในดานตาง ๆ เชน การกนิ กันเปนอาหาร เปน ท่อี ยูอาศัย เปนท่ีสบื พนั ธุ เปนทเ่ี ล้ียงดู ลกู ออน เปน ท่หี ลบภัย
41 5. สมรรถนะสาํ คัญของผูเรียน 5.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร - เขยี นผงั แนวคดิ ความสัมพันธร ะหวางส่ิงมชี วี ิตกบั สงิ่ มีชีวิตในแหลงที่อยู 5.2 ความสามารถในการคิด - อธบิ ายความสมั พนั ธระหวางส่งิ มชี ีวิตกบั ส่ิงมีชวี ติ ในแหลงที่อยู 6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค - ใฝเ รยี นรู 7. กิจกรรมการเรยี นรู ขนั้ นาํ เขา สูบ ทเรียน (5 นาที) 1. ครูทบทวนความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต โดยนํารูปบึงน้ํามาใหนักเรียนสังเกต และต้ังคําถาม วา ในแหลง ที่อยนู ้ี ส่งิ มชี ีวติ มีความสมั พนั ธก ับส่งิ มีชวี ติ อยา งไรบา ง (- กบกบั แมลง ปลาใหญก บั ปลาเลก็ งกู ับกบ มีความสัมพนั ธด า นการกนิ กนั เปน อาหาร - กบกบั กอหญา กบกับบวั งกู ับตน หญา เปดกับกอหญา มคี วามสมั พนั ธดา นการเปนทีอ่ ยูอ าศัย - กบกับกอหญา ลูกปลากบั พืชน้าํ ลูกเปดกับกอหญา มีความสัมพนั ธการเปนที่หลบภัย - เปด กับกอหญา กบกับบัว มีความสัมพันธใ นดานการเปน ทเ่ี ลีย้ งลูกออ น) ข้นั สอน (40 นาที) 2. ครแู จง จุดประสงคใ นชั่วโมงนีใ้ หน กั เรียนทราบวา นักเรยี นจะไดส รุปความสัมพันธระหวา งสง มชี วี ิตกบั สิ่งมีชวี ติ ในแหลง ทอี่ ยู 3. ครใู หน ักเรียนอา นวธิ กี ารทาํ กจิ กรรมที่ 1 สงิ่ มีชีวติ สมั พันธกนั อยางไร ขอ ท่ี 4 หนา 3 โดยใชวิธกี ารฝกการ อานท่เี หมาะสม จากน้นั ครูตรวจสอบความเขา ใจในขน้ั ตอนการทาํ กจิ กรรม โดยใชค ําถามวา นกั เรียนตอ งทํา อะไร (เขียนผังแนวคิดสรุปความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในดานตาง ๆ ที่พบในแหลงท่ีอยูที่ได เรยี นมาทั้งหมด)
42 4. หลงั จากนักเรียนเขา ใจขั้นตอนการทาํ กจิ กรรมแลว ครอู าจอธิบายวิธกี ารเขยี นและยกตวั อยางการเขียน ผังแนวคดิ ใหน กั เรยี นเขาใจ หลงั จากนัน้ ใหน กั เรียนเขยี นผงั แนวคิดสรุปความสมั พันธร ะหวางสิง่ มชี ีวิต กบั สง่ิ มีชีวิตในแหลง ทอี่ ยูต าง ๆ ลงในใบงาน 01 หนา 8 5. ครูสุมนักเรยี นนําเสนอหนา ชนั้ เรียน แลว อธบิ ายเพม่ิ เตมิ หรอื เสนอแนะเม่อื นกั เรยี นบันทึกไมถกู ตอง 6. ครชู วนนักเรยี นอภิปรายโดยใชค ําถามตอไปน้ี 6.1 สิง่ มชี ีวิตหน่ึงมคี วามสัมพนั ธกนั กบั สิ่งมีชวี ติ อื่นดานเดียวหรือไม อยางไร ยกตวั อยาง (ไม เพราะสง่ิ มีชีวิต หน่ึงอาจมคี วามสมั พันธกบั สง่ิ มีชวี ติ อ่ืนหลายดา น เชน นกทอ่ี ยบู นตนไมมคี วามสัมพนั ธใ นดานการเปน ทีอ่ ยอู าศัย การกนิ กันเปน อาหาร เปน ทส่ี ืบพันธุ เปนที่เลยี้ งดูลูกออ น เปนที่หลบภยั ) 6.2 ในแหลงที่อยูหน่ึง ๆ ส่ิงมีชีวิตมีความสัมพันธกันในดานตาง ๆ เพราะเหตุใด (เพราะสิ่งมีชีวิตอาศัย สิง่ มชี วี ติ อ่นื ในการดาํ รงชวี ติ ) 7. นกั เรียนตอบคําถามหลงั จากการทํากจิ กรรมหนา 9 และรว มกนั เฉลยคาํ ตอบ 8. ครูใหน ักเรียนทําใบงาน 02 แบบฝก หดั เรอ่ื ง ส่ิงมชี ีวติ มคี วามสัมพันธก บั สิง่ มีชีวติ หนา 10-13 ขัน้ สรปุ (5 นาที) 9. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายและสรุปไดวาสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธกันในดานตาง ๆ เชน การกินกันเปน อาหาร เปนทอ่ี ยอู าศัย เปน ที่สบื พันธุ เปน ท่เี ล้ียงดลู ูกออ น เปนที่หลบภัย 8. ส่ือการเรียนรู / แหลง เรียนรู 8.1 ส่ือสไลดเ ร่ืองความสมั พนั ธระหวางส่ิงมีชวี ิตกับส่ิงมชี วี ติ ในแหลงท่อี ยู (3) 8.2 ใบกจิ กรรมที่ 1 สง่ิ มชี ีวิตสัมพันธก ันอยางไร หนา 3 8.3 ใบงาน 01 ความสัมพันธระหวา งส่ิงมชี ีวิตกับส่งิ มชี ีวติ ในแหลง ทีอ่ ยู หนา 8-9 8.4 ใบงาน 02 แบบฝกหัด เรอื่ งสงิ่ มีชวี ิตมคี วามสมั พันธกบั สงิ่ มชี วี ิต หนา 10-11 9. ชนิ้ งาน / ภาระงาน 9.1 ใบงาน 01 ความสัมพันธระหวา งส่ิงมชี ีวติ กบั สงิ่ มีชีวิตในแหลงท่ีอยู หนา 8-9 9.2 ใบงาน 02 แบบฝกหัด เรื่องสงิ่ มีชวี ิตมคี วามสัมพันธกบั ส่งิ มชี ีวิต หนา 10-11
43 10. การวัดผลและประเมินผล ประเด็นการประเมนิ วธิ กี าร เครอ่ื งมอื เกณฑก ารตัดสิน 1) สรปุ ความสัมพนั ธร ะหวา ง สงั เกตการตอบ แบบประเมนิ การตอบ คะแนน 9 - 10 หมายถึง ดมี าก สง่ิ มีชวี ิตทีก่ ับส่ิงมชี ีวติ คาํ ถามในชน้ั เรียน คาํ ถามในชั้นเรียนและ คะแนน 7 - 8 หมายถึง ดี และเนอื้ หาในใบงาน เนอ้ื หาในใบงาน คะแนน 5 – 6 หมายถงึ พอใช คะแนน 0 – 4 หมายถึง ปรับปรงุ 2) ทักษะกระบวนการ สังเกตทกั ษะ แบบประเมนิ สังเกต คะแนน 5 - 6 หมายถึง ดี ทักษะกระบวนการ คะแนน 3 - 4 หมายถงึ พอใช ทางวทิ ยาศาสตร กระบวนการทาง ทางวทิ ยาศาสตร คะแนน 1 - 2 หมายถึง ปรับปรงุ - จัดกระทาํ และสื่อ วทิ ยาศาสตรในขณะ แบบประเมนิ คะแนน 3 หมายถึง ดี คณุ ลักษณะ คะแนน 2 หมายถึง พอใช ความหมายขอมูลในรูปของผงั ทํากจิ กรรม อนั พงึ ประสงค คะแนน 1 หมายถงึ ปรับปรุง แนวคดิ เรอ่ื ง ความสัมพนั ธ ระหวางสงิ่ มชี วี ิตกับสิ่งมีชีวติ - ตคี วามหมายขอมลู และลง ขอ สรุปเกี่ยวกับความสัมพนั ธ ระหวางสิ่งมีชวี ติ กบั สง่ิ มชี วี ติ 3) สงั เกตพฤติกรรมการ ใฝ สังเกตดาน เรียนรู คุณลกั ษณะ อันพงึ ประสงค
44 แบบประเมนิ การตอบคําถามในช้ันเรยี นและเนื้อหาในใบงาน แผนการจดั การเรียนรูที่ 3 เร่อื ง ความสัมพันธร ะหวางส่งิ มชี วี ิตกับสิ่งมีชีวิตในแหลง ที่อยู (3) ชื่อผปู ระเมนิ …………………………………………………………………………........................……………………………………….. ประเมนิ ผลครัง้ ท่ี………………….... วันที่ …………….........……... เดือน ………..……….…. พ.ศ. ……...….…………........ เรอ่ื ง………………………………………………………………......………………………………………………………………………………. ช่อื -สกุล/กลุม รายการประเมิน/ระดับคะแนน รวม การตอบคาํ ถาม การสรปุ ความรู ความถกู ตอง คะแนน ในชน้ั เรยี น (4) ครบถวนของ (10 (4) เนอ้ื หาในใบงาน คะแนน) (2) เกณฑการประเมนิ ประเด็น 4 (ดีมาก) ระดับคุณภาพ 1 (ปรบั ปรุง) นํา้ หนกั คะแนน การประเมิน 3 (ดี) 2 (พอใช) รวม 1. การตอบ ตอบคําถามได ตอบคําถามได ตอบคําถาม ตอบคําถาม 1.0 4 คาํ ถามในช้นั เรียน ถูกตองทง้ั หมด ถกู ตองเปน ถกู ตองบางสว น ไมถ ูกตอ ง 1.0 4 สว นใหญ สรปุ ความรคู วาม สรุปความรูเขาใจ 1.0 2 2. การสรปุ ความรู สรุปความรู สรุปความรูความ เขา ใจเก่ียวกับ เกีย่ วกับเรือ่ งท่ี ความเขา ใจ เขาใจเกยี่ วกับ เรือ่ งที่ศึกษาได ศึกษาไมถกู ตอง เกี่ยวกบั เรื่องที่ เรอ่ื งท่ีศกึ ษาได ถกู ตองบางสว น และไมครบถว น ศกึ ษาได ถูกตอ ง ถูกตอง แตไม และไมค รบถว น และครบถว น ครบถว น เน้อื หาท่ีเขียนใน เนอ้ื หาทเ่ี ขยี นใน ใบงานมีความ ใบงานไมถ ูกตอง 3. ความถกู ตอง เนอ้ื หาที่เขียนใน เน้อื หาท่เี ขียนใน ถูกตองเปน ครบถว นของ ใบงานมีความ ใบงานมบี างสว น สวนนอ ย เนอ้ื หาในใบงาน ถกู ตองครบถวน ไมถ ูกตอ ง ตามที่ ตามท่ีกําหนด กาํ หนด
45 เกณฑก ารตัดสิน คะแนน 9 - 10 หมายถึง ดีมาก คะแนน 7 - 8 หมายถงึ ดี คะแนน 5 – 6 หมายถงึ พอใช คะแนน 0 – 4 หมายถึง ปรบั ปรุง แบบประเมินดา นทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร แผนการจดั การเรยี นรทู ่ี 3 เร่อื ง ความสัมพันธร ะหวา งสิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชวี ิตในแหลงทีอ่ ยู (3) ช่ือกลุมรบั การประเมนิ ………………………………………………………………………………………………………………………………… ส่ิงทป่ี ระเมนิ 3 คะแนน คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน การจัดกระทาํ และส่อื ความหมายขอ มลู การตีความหมายขอมูลและลงขอ สรุป รวมคะแนน ........................................................... คะแนน เกณฑการประเมิน ระดับความสามารถ ทกั ษะกระบวนการ ดี (3) พอใช (2) ปรับปรุง (1) ทางวิทยาศาสตร สามารถนาํ ขอมลู ที่ไดจ าก สามารถนาํ ขอมลู ที่ไดจ าก สามารถนําขอมูลท่ีไดจ าก การจัดกระทาํ และสือ่ การสังเกตและการ การสงั เกตและการอภิปราย การสงั เกตและการ ความหมายขอมลู อภปิ รายจากแผนผัง จากแผนผงั แนวคดิ เกีย่ วกับ อภปิ รายจากแผนผัง แนวคิดเก่ียวกับ สง่ิ มีชีวติ มคี วามสัมพันธกับ แนวคดิ เกย่ี วกับ สงิ่ มีชวี ิตมีความสัมพนั ธ ส่ิงมีชีวิตในดานตางๆให ส่ิงมีชีวิตมีความสัมพันธ กับส่งิ มีชีวิตในดานตา งๆ ผู อ่ื น เ ข า ใ จ ไ ด ง า ย แ ล ะ กับสิ่งมีชีวิตในดานตางๆ ใหผูอ่ืนเขาใจไดงายและ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431