ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ ๖ โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสุนันทา
ทม่ี าของเร่ือง ไตรภูมพิ ระร่วง มหี ลายชื่อเรียกได้แก่ \"ไตรภูมพิ ระร่วง\" \"เตภูมกิ ถา\" \"ไตรภูมกิ ถา\" \"ไตรภูมโิ ลกวนิ ิจฉัย\" และ \"เตภูมโิ ลกวนิ ิจฉัย\"สมเดจ็ พระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงเปลยี่ นชื่อหนังสือเล่มนีเ้ ป็ น ไตรภูมพิ ระร่วง เพื่อเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระร่วงจ้าแห่งกรุงสุโขทัยให้คู่กบั หนังสือ สุภาษิตพระร่วง
ทมี่ าของเร่ือง หอพระสมุดวชิรญาณได้ต้นฉบับไตรภูมพิ ระร่วงมาจากจังหวดั เพชรบุรี เป็ นใบลาน ๑๐ ผูก จารด้วยอกั ษรขอมในสมยั สมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรี พระมหาช่วย วดั ปากนา้ (วดั กลาง จงั หวดั สมุทรปราการ ในปัจจุบนั ) เป็ นผ้จู าร หอพระสมุดวชิรญาณ ได้ถอดความออกเป็ นอกั ษรไทย โดยมไิ ด้แก้ไขถ้อยคาไป จากต้นฉบับเดมิ ไตรภูมพิ ระร่วงเป็ นวรรณคดพี ุทธศาสนาทีแ่ ต่งในสมัยสุโขทยั ประมาณ พ.ศ. ๑๘๘๘ โดยพระราชดาริในพระยาลไิ ท รวบรวมจากคมั ภีร์ใน พระพทุ ธศาสนา
ผู้แต่ง พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (พญาลไิ ท) เป็ นกษตั ริย์องค์ท่ี ๖ แห่งกรุงสุโขทยั ขึน้ ครองราชย์ต่อจากพญางัวนาถม จาก หลกั ฐานในศิลาจารึกวดั มหาธาตุ พ.ศ. ๑๙๓๕ หลกั ท่ี ๘ ข. ค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อพญาเลอไทสวรรคต ใน พ.ศ. ๑๘๘๔ พญางวั นาถมได้ขนึ้ ครองราชย์ ต่อมาพญาลไิ ทยกทัพ มาแย่งชิงราชสมบตั ิ และขึน้ ครองราชย์ใน พ.ศ. ๑๘๙๐ ทรงพระ นามว่า พระเจ้าศรีสุริยพงสรามมหาธรรมราชาธิราช ในศิลา จารึกมกั เรียกพระนามเดมิ ว่า พญาลไิ ท หรือเรียกย่อว่า พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ เสดจ็ สวรรคตในปี พ.ศ. ๑๙๑๑
ผู้แต่ง พญาลไิ ท ทรงเลื่อมใสในพระพทุ ธศาสนา ทรงอาราธนาพระเถระชาวลงั กา เข้ามาเป็ นสังฆราชในกรุงสุโขทยั ได้สละราชสมบัตอิ อกทรงผนวชทวี่ ดั ป่ ามะม่วง นอกเมืองสุโขทยั ทางทศิ ตะวนั ตก พญาลไิ ททรงมคี วามรู้แตกฉานในพระไตรปิ ฎก ทรงสนพระทยั ทานุบารุงพระพุทธศาสนาเป็ นอนั มาก และทรงพฒั นาบ้านเมืองให้ เจริญหลายประการ เช่น สร้างถนนพระร่วง ต้งั แต่เมืองศรีสัชนาลยั ผ่านกรุงสุโขทยั ไป ถึงเมืองนครชุม (กาแพงเพชร) บูรณะเมืองนครชุม สร้างเมืองสองแคว (พษิ ณุโลก) เป็ นเมืองลูกหลวง และสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ ทฝี่ ี มือการช่างงดงามเป็ นเยย่ี ม
ผู้แต่ง พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์
ผู้แต่ง งานพระราชนิพนธ์ของพญาลไิ ท ได้แก่ ไตรภูมพิ ระร่วงหรือเตภูมกิ ถาศิลา จารึกวดั ป่ ามะม่วงและศิลาจากรึกวดั ศรีชุม เป็ นหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ กล่าวถึง เหตุการณ์และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆการสร้างวดั พระศรีรัตนมหาธาตุ การ ผนวชท่วี ัดป่ ามะม่วง เป็ นต้น
จุดมุ่งหมายในการแต่ง ๑. เพื่อเทศนาโปรดพระมารดา เป็ นการเจริญธรรมกตญั ญู ๒. เพื่อใช้ส่ังสอนประชาชนให้มคี ุณธรรม เข้าใจพทุ ธศาสนาและ ช่วยกนั ธารงพระพุทธศาสนา
ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ไตรภูมพระร่วง แต่งเป็ นร้อยแก้ว ประเภทความเรียงสานวนพรรณนา เช่น \" เปรตลางจาพวก ตวั เขาใหญ่ ปากเขาน้อยเท่ารูเข็มน้ันกม็ ี เปรตลาง จาพวกผอมหนักหนา เพื่ออาหารจะกนิ บมไิ ด้ แม้ว่าจะขอดเอาเนื้อน้อย ๑ กด็ ี เลือด หยด ๑ กด็ ี บมไิ ด้เลย เท่าว่ามแี ต่กระดูกและหนังพอกกระดูกภายนอกอยู่ไส้ หนัง ท้องน้ันเหี่ยวตดิ กระดูกสันหลงั แล ตาน้ันลกึ และกลวงดงั แสร้งควกั เสีย ผมเขาน้ัน ย่งุ รุ่ยร่ายลงมาปกปากเขา มาตรว่าผ้าร้ายน้อยหนึ่งกด็ ี และจะมปี กกายเขาน้ันกห็ า มไิ ด้เลย เทยี รย่อมเปลือยอยู่ ชั่วตนเขาน้ันเหมน็ สาบพงึ เกลยี ดนักหนาแลเขาน้ัน เทยี รย่อมเดือดเนื้อร้อนใจเขาแล เขาร้องไห้ร้องครางอยู่ทุกเม่ือแล เพราะว่าเขาอยากอาหารนักหนาแล \"
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ไตรภูมพิ ระร่วง มเี นื้อเร่ืองเร่ิมต้นด้วยคาถานมสั การเป็ นภาษาบาลี มบี านแพนกบอกชื่อผู้แต่ง วนั เดือนปี ทแี่ ต่ง ช่ือคมั ภรี ์ต่าง ๆ บอกจุดมุ่งหมายในการ แต่ง แล้วจึงกล่าวถงึ ภูมทิ ้งั ๓ คาว่า เตภูมิ หรือ ไตรภูมิ แปลว่า สามแดน คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ท้งั ๓ ภูมิ แบ่งออกเป็ น ๘ กณั ฑ์ (กณั ฑ์ = เรื่อง,หมวด,ตอน) แสดงให้เห็นความเปลยี่ นแปลงของสรรพสิ่ง ความไม่แน่นอนท้งั มนุษย์ และสัตว์รวมท้งั สิ่งไม่มชี ีวติ เช่น ภูเขา แม่นา้ แผ่นดนิ ดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ ความเปลย่ี นแปลงนีก้ วไี ทยเรียกว่า “ อนิจจลกั ษณะ ”
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ๑. กามภูมิ คือ โลกของผู้ทยี่ งั ตดิ อย่ใู นกามกเิ ลส แบ่งออกเป็ น ๒ ฝ่ าย ได้แก่ สุคตภิ ูมิ และอบายภูมิ ๑.๑ สุคตภิ ูมิ ได้แก่ ๑.๑.๑ มนุสสภูมิ (โลกมนุษย์ )
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ๑.๑.๒ สวรรคภูมิ (ฉกามาพจรภูม)ิ ๑ จาตุมหาราชิกา ๒ ดาวดงึ ส์ ๓ ยามา ๔ ดุสิต ๕ นิมมานรดี ๖ ปรนิมมติ วสวตั ดี
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ๑.๒ อบายภูมิ ได้แก่ ๑.๒.๑ นรกภูมิ (มี ๘ ขุม )
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ขุมที่ ๑ สัญชีพนรก เป็ นโจรปล้นทาลายทรัพย์สิน ผ้มู อี านาจข่มเหงผู้ ขุมที่ ๒ กาฬสุตตะนรก ตา่ ต้อยกว่า ขุมที่ ๓ สังฆาฏนรก ฆ่านักบวช ภิกษุ สามเณร ผ้ทู ุศีล อลชั ชี เป็ นพรานนก พรานเนื้อ หรือพวกทชี่ อบทรมาน ขุมที่ ๔ โรรุวะนรก เบียดเบยี นสัตว์ทต่ี นใช้ประโยชน์ เช่น วัว ควาย โดยขาดความเมตตาสงสาร พวกเมาสุราอาละวาด ทาร้ายร่างกาย พวกเผาไม้ ทาลายป่ า พวกกกั ขังสัตว์ไว้ฆ่า ชาวประมง
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ขุมที่ ๕ มหาโรรุวะนรก พวกลกั เคร่ืองสักการบูชา ขโมยทรัพย์สมบตั ิ ของพ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือภิกษุสามเณร นักบวชต่าง ๆ ขุมท่ี ๖ ตาปะนรก พวกเผาบ้านเผาเมือง เผาโบสถ์วหิ าร ศาลาการเปรียญ ขุมที่ ๗ มหาตาปะนรก พวกมจิ ฉาทฏิ ฐิบุคคล เห็นผดิ เป็ นชอบ ไม่รู้จักสิ่งดมี ี ประโยชน์ ปฏเิ สธเร่ืองบุญ เร่ืองบาป ทาแต่ทุจริตกรรม ขุมท่ี ๘ อเวจมี หานร พวกทาบาปหนักท่ีเป็ นอนันตริยกรรม ได้แก่ ฆ่าบิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทาให้พระพทุ ะเจ้าห้อพระโลหิต ทาสังฆเภท คือ ยยุ งให้สงฆ์แตกกนั พวกทาลายพระพทุ ธรูป
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ๑.๒.๒ ดริ ัจฉานภูมิ
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ๑.๒.๓ เปรตภูมิ
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ๑.๒.๔ อสูรกายภูมิ
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ๒. รูปภูมิ เป็ นดนิ แดนของพรหมทมี่ รี ูป มี ๑๖ ช้ัน (โสฬสพรหม ) ๒.๑ พรหมปาริสัชชาภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณข้ันต้น ๒.๒ พรหมปุโรหิตาภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จปฐมฌาณข้นั กลาง ๒.๓ มหาพรหมาภูมิ ดนิ แดนของผ้สู าเร็จปฐมฌาณข้ันสูง ๒.๔ ปริตตาภาภูมิ ดนิ แดนของผ้สู าเร็จทุตยิ ฌาณข้ันต้น ๒.๕ อปั ปมาณาภาภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จทุตยิ ฌาณข้ันกลาง ๒.๖ อาภสั สราภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จทุตยิ ฌาณข้นั สูง ๒.๗ ปริตตสุภาภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จตตยิ ฌาณข้นั ต้น ๒.๘ อปั ปมาณสุภาภูมิ ดนิ แดนของผู้สาเร็จตตยิ ฌาณข้นั กลาง
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ดนิ แดนของผู้สาเร็จตตยิ ฌาณข้ันสูง ดนิ แดนของผู้สาเร็จจตุตฌาน มผี ลไพบูลย์ ๒.๙ สุภกณิ หาภูมิ พ้นจากการทาลายของนา้ ลม ไฟ ๒.๑๐ เวหัปปผลาภูมิ ดนิ แดนของพรหมไร้นาม มรี ่างกายสง่างาม ดนิ แดนของพระอรหันต์ข้ันอนาคามี ๒.๑๑ อสัญญสี ัตตาภูมิ เคยเป็ นสาวกของพระพุทธเจ้า ๒.๑๒ อวหิ าภูมิ ดนิ แดนของพรหมผ้ไู ม่เดือดร้อนท้งั กาย วาจา ใจ เพราะสามารถระงบั นิวรณ์ได้ ๒.๑๓ อตปั ปาภูมิ แดนของผู้เห็นสภาวธรรมแจ้งชัด แดนของพรหมผ้เู ห็นธรรมแจ่มแจ้ง ๒.๑๔ สุทสั สาภูมิ แดนของพรหมทม่ี คี ุณสมบตั มิ ากพอจะ ๒.๑๕ สุทสั สีภูมิ นิพพานได้ ๒.๑๖ อกนิฎฐาภูมิ
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ๓. อรูปภูมิ เป็ นดนิ แดนของพรหมทไี่ ม่มรี ูป มแี ต่จติ หรือวญิ ญาณ เป็ นพรหมทอ่ี ุบตั ขิ นึ้ เพราะเหตุแห่งการบาเพญ็ อรูปฌานกศุ ล โดยใช้ส่ิง ทเ่ี ป็ นอรูป คือไม่มรี ูปเป็ นเคร่ืองเพ่งอารมณ์ แล้วฌานทบี่ ังเกดิ ขนึ้ เรียกว่าอรูปฌาน เมื่อตายลงในขณะฌานไม่เสื่อมย่อมบังเกดิ ในอรูปพรหมภูมิ ๓.๑ อากาสานัญจายตนภูมิ ๓.๒ วญิ ญาณญั จายตนภูมิ ๓.๓ อากญิ จญั ญายตนภูมิ ๓.๔ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ทวปี ทมี่ นุษย์อาศัยอยู่มี ๔ ทวปี ได้แก่ ๑. อตุ รกรุ ุทวปี อย่ทู างทศิ เหนือของเขาพระสุเมรุ มนุษย์ทอ่ี าศัยอยู่ ในทวปี นี้ มลี กั ษณะใบหน้าเป็ นรูป ๔ เหลยี่ ม รักษาศีล ๕ เป็ นนิจ มอี ายุ ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี เป็ นหนุ่มสาวอยู่เสมอ อาศัยอย่ตู ามโพรงไม้ ไม่ต้องทางาน ใด ๆ แต่งตวั สวยงาม มกี บั ข้าวและทนี่ อนเกดิ ขึน้ ตามใจปรารถนา
ความสุขในอุตรกรุ ทุ วีป อุตรกรุ ุทวีป อมรโคยานทวีป เขาพระสเุ มรุ บรุ พวิเทหทวีป ชมพทู วีป คนในอุตรกรุ ทุ วีป มีอายุถึง ๑,๐๐๐ ปี เป็นหนุ่ม(๒๐) เป็นสาว(๑๖)เสมอ เม่ือหิวขา้ วก็ไปเก็บ สญั ชาตสาลี เอาไปตง้ั โชติปาสาน เม่ือขา้ วสุกไฟดบั เอง หญิงเม่ือคลอดลูกจะไมเ่ จ็บทอ้ งและไมต่ อ้ งเล้ียงเอง ใหค้ นอ่ืนชว่ ยเล้ียงให้ เม่ือเด็กโตข้ึนก็จะแยกไปอยูก่ บั สงั คมโดยแยกตามเพศของตน และเม่ือตายไป จะไมไ่ ปเกิดในอบายภูมิ
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ทวปี ทม่ี นุษย์อาศัยอย่มู ี ๔ ทวปี ได้แก่ ๒. บุรพวเิ ทหทวปี อยู่ทางทศิ ตะวนั ออกของภูเขาพระสุเมรุ มนุษย์ทอ่ี าศัยอย่ใู นทวปี นีม้ ใี บหน้าตอนบนโค้งตดั ลงมาเหมือนบาตรมีอายุ ประมาณ ๗๐๐ ปี
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ทวปี ทม่ี นุษย์อาศัยอยู่มี ๔ ทวปี ได้แก่ ๓. อมรโคยานทวีป อย่ทู างทศิ ตะวนั ตกของภูเขาพระสุเมรุ มนุษย์ท่ี อาศัยอยู่ในทวปี นีม้ ใี บหน้าวงกลม คล้ายวงพระจนั ทร์ มอี ายุ ประมาณ ๕๐๐ ปี
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ทวปี ทมี่ นุษย์อาศัยอย่มู ี ๔ ทวปี ได้แก่ ๔. ชมพูทวปี อยู่ ทางทศิ ใต้ ของภูเขาพระสุเมรุ คือ มนุษย์โลกนีเ้ อง อายขุ ยั ของมนุษย์ไม่แน่นอนขึน้ อยู่กบั การทาบุญหรือทากรรม แต่ทวปี นีก้ ็ พเิ ศษกว่า ๓ ทวปี คือ เป็ นทเี่ กดิ ของพระพุทธเจ้า พระจักรพรรดริ าช และพระอรหันต์
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ไตรภูมพิ ระร่วงกล่าวถึงกาเนิดของสิ่งมชี ีวติ ๔ ประการ คือ ๑. อณั ฑชะ เกดิ จากไข่ เช่น ไก่ ปลา และงู ๒. ชลามพุชะ เกดิ จากป่ มุ เปื อกและมรี กห่อหุ้ม ได้แก่ ช้าง ม้า ววั ควาย และคน
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ๓. สังเสทชะ เกดิ จากใบไม้ ต้นไม้ ดอกไม้ ละออง ดอกบัว หญ้าเน่า โลหิต เนื้อเน่าและเหงื่อไคลและทเี่ ปี ยกชื้น ได้แก่ หนอน แมลง บุ้ง ริ้น ยงุ คนท่ี เกดิ แบบนีจ้ ะไม่ได้เกดิ ในครรภ์มารดา หรือถ้าเกดิ ในครรภ์กจ็ ะไม่มรี กห่อหุ้ม แต่เม่ือเกดิ มาแล้วกเ็ ลก็ เป็ นทารกแล้วค่อยๆ เจริญวยั ขนึ้ เป็ นปกติ
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ๔. อปุ ปาตกิ ะ เกดิ ขึน้ เองแล้วโตเตม็ ที่ ไม่เตบิ โตขนึ้ ท่ีละน้อยเหมือน สามพวกแรก ได้แก่ สัตว์นรก เทวดา พรหม เทวดาซ่ึงลงมาเกดิ เป็ นมนุษย์ผ้มู ี บุญใหญ่มกั มกี าเนิดเป็ นอุปาตกิ ะ เช่น พระยาลวจงั กราช กษตั ริย์องค์แรกแห่ง เมืองเชียงแสน แคว้นโยนกแต่เดมิ เป็ นเทวดา เมื่อได้รับบัญชาให้ลงมาเป็ น กษัตริย์กล็ งมาเกดิ ทันทที ่ลี งมาถึงโลกมนุษย์กโ็ ตเป็ นหนุ่ม
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง คมั ภีร์พรหมจินดากล่าวถึงอาหารแพ้ท้องว่า ถ้ามารดาอยากกนิ มจั ฉะมงั สา เนื้อ ปลา และสิ่งของสดคาว ท่านว่าสัตว์นรก มาปฏิสนธิถ้ามารดาอยากกนิ นา้ ผงึ้ นา้ อ้อย นา้ ตาล ท่านว่ามาแต่สวรรค์มาเกดิ ถ้ามารดาอยากกนิ สรรพผลไม้ ท่านว่าดริ ัจฉานมาปฏิสนธิ ถ้ามารดาอยากกนิ ดนิ ท่านว่าพรหมลงมาปฏิสนธิ ถ้ามารดาอยากกนิ ส่ิงเผด็ ร้อน ท่านว่ามนุษย์มาปฏสิ นธิ
เนื้อหาไตรภูมพิ ระร่วง ลกู ทเี่ กดิ มา แบ่งออกเป็ น ๓ ประเภท คือ ๑. อภิชาตบุตร เฉลยี วฉลาด นักปราชญ์ รูปงาม มง่ั มี มยี ศถาบรรดาศักด์ิ มกี าลงั ยง่ิ กว่าพ่อแม่ ๒. อนุชาตบุตร มคี วามรู้ รูปโฉม และกาลงั เท่ากบั พ่อแม่ ๓. อวชาตบุตร ลกู ทถี่ ่อยกว่าพ่อแม่ทุกประการ
ผริ ูปอนั จะเกิดเป็นชายกด็ ี หญิงกด็ ี เกิดมีเป็น อาิิ เกิดเป็น กลละ น้นั
โดยใหญ่แต่ละวนั แลน้อย คร้ัน ๗ วนั เรียกว่า อมั พทุ ะ คร้ัน ๗ วนั วนั ขึน้ ดงั่ ตะกวั่ เช่ือมอยู่ในหม้อ เรียกว่า เปสิ
ฆนะ น้ันค่อยใหญ่ไปทุกวนั คร้ัน ๗ วนั เป็ นตุ่มออกห้าแห่ง ดงั หูดเรียกว่า เบญจสาขาหูด
เบญจสาขาหูด เป็ นมือ ๒ อนั เป็ นตนี ๒ อนั เป็ นหัวน้ันอนั หน่ึง
แลแต่น้ันค่อยไป เบื้องหน้า ทุกวนั คร้ัน ๗ วนั เป็ นฝ่ ามือ เป็ นนิว้ มือ นิว้ ตนี
คารบ ๔๒ จึงเป็ นขน เป็ นเลบ็ ตีน เลบ็ มือ เป็ นเคร่ืองสาหรับมนุษย์ ถ้วนทุกอนั แล
แลกมุ ารน้ันน่ังกลาง ท้องแม่ แลเอาหลงั มาต่อหลงั ท้องแม่
เมื่อกมุ ารอยใู่ น ิอ้ งแม่น้นั ลาบากนกั หนา กช็ ้ืน และเหมน็ กลิ่นตืด แลเอือน ๘๐ ครอก
อนั ว่าสายดือแห่งกมุ ารน้ัน กลวงดงั สายก้านบวั อนั มีช่ือว่าอบุ ล จงอยไส้ดือน้ัน กลวงขนึ้ ไปติดหลงั ท้องแม่
ข้าวนา้ อาหารใดอนั แม่กนิ ไสร้ แลโอชารสน้ันกเ็ ป็ นนา้ ชุ่ม เข้าไปในไส้ดือน้ันแลเข้าไปในท้องกมุ ารน้ันแล สะหน่อยๆ แลผู้น้อยน้ันกไ็ ด้กนิ ทุกคา่ เช้าทุกวนั
เบื้องหลงั กมุ ารน้ันต่อหลงั ท้องแม่ แลน่ังยอง อยู่ในท้องแม่ แลกามือท้งั สอง...
กมุ ารน้ันอยู่ในท้องแม่บ่ห่อน ได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยยี ดตนี เหยยี ดมือออก ดง่ั เราท่าน ท้งั หลายนีส้ ักคาบเลย
คนผู้ใดอยู่ในทอ้ งแม่ ๖ เดอื น แลคลอดบห่ อ่ นจะไดส้ ักคาบ
เม่ือจะออกจากท้องแม่ วนั น้ันไสร้ จึงลมกรรมชวาต พดั ให้หัวผู้น้อยน้ันลง มาสู่ทจี่ ะออก แลคบั แคบ แอ่นยนั นักหนา
คร้ันออกจากท้องแม่แต่น้ันไป เมื่อหน้ากมุ ารน้ัน จึงรู้หายใจเข้าออกแล
ผแิ ลคนผู้มาแต่สวรรค์... คร้ันว่าออกมาไสร้ กย็ ่อมหัวเราะก่อนแล
ผคิ นอนั มาแต่นรกกด็ ี แลมาแต่เปรตกด็ มี ันคานึงถงึ ความอนั ลาบากน้ัน คร้ันว่าออกมากร็ ้องไห้แล
น่าสังเกตไหมว่าเหตุใดผู้แต่งจงึ เข้าใจเรื่อง กาเนิดมนุษย์อย่างความคดิ วทิ ยาศาสตร์ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าน่ีคือ ผลงานกวโี บราณ
Search