ตัวอย่างข้อสอบ o-net ปี 62 ตอนที่ 1 แบบปรนัย 5 ตัวเลอื ก เลือก 1 คาตอบทถี่ ูกตอ้ งทสี่ ุด จานวน 80 ข้อ รวม 80 คะแนน สาระพุทธศาสนาและศาสนาสากล 1. ตามพทุ ธประวตั ิ เหตกุ ารณใ์ ดในคราวประสตู ขิ องเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ท่ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ “มนษุ ย์มีศกั ยภาพ ในการพฒั นาตนใหป้ ระเสรฐิ สูงสดุ ได”้ 1. ทรงพระดาเนิน 7 กา้ ว 2. ประทบั ยืนพระยคุ ลบาทเสมอกนั 3. ทรงเปลง่ อาสภิวาจา 4. ดอกบวั รองรบั พระยคุ คลบาท 5. ทรงบา่ ยพระพกั ตรไ์ ปเบอื้ งทศิ อดุ ร ความรู้เสริม : ในสมยั พทุ ธกาลนนั้ มนษุ ยพ์ ากนั ฝากชีวิตจิตใจ มอบชะตากรรมของตนใหแ้ ก่เทพทงั้ หลาย ถือวา่ เทพเจา้ ทงั้ หลายเป็นผบู้ นั ดาลชะตากรรมของมนษุ ย์ มนษุ ยม์ ีหนา้ ท่ีบวงสรวงออ้ นวอน ทาการสงั เวย ตา่ งๆ ขอรอ้ งเทพเจา้ ใหย้ กเวน้ ปลดเปลือ้ งใหพ้ น้ จากโทษเคราะหต์ า่ งๆ และขอใหอ้ านวยลาภผล ประทาน รางวลั ส่ิงท่ีตอ้ งการ จนถงึ กบั มีการบชู ายญั เอามนษุ ยเ์ อาสตั วม์ าฆา่ บชู าเทพเจา้ พอพระพทุ ธเจา้ ประสูติ พระองคก์ ็ทรงประกาศอิสรภาพใหแ้ ก่มนุษยท์ นั ที ทรงเปลง่ อาสภิวาจาว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏโฐหมสฺมิ โลกสฺส” เราเป็นพ่ีใหญ่ เป็นผปู้ ระเสริฐ เป็นผเู้ ลิศ แหง่ โลก น่ีคือวาจาประกาศอิสรภาพของมนุษยท์ ่ีพระพุทธเจา้ ประกาศแทนมนุษยท์ งั้ หลาย บอกใหร้ ูว้ ่า ตอ่ ไปนีม้ นุษยม์ ีอิสรภาพแลว้ เราเป็นสตั วท์ ่ีฝึกได้ พฒั นาได้ ไม่ตอ้ งฝากชะตากรรมไวก้ ับเทพเจา้ ไม่ตอ้ ง บวงสรวงออ้ นวอนรอใหเ้ ทวดาโปรดปราน 2. พธิ ีกรรมใดท่ีพระเยซทู รงไดร้ บั มาจากนกั บญุ ในศาสนายดู าห์ 1. ศลี ลา้ งบาป หรือศีลจุ่ม คอื การชาระหรือลบลา้ งบาปกาเนดิ เครือ่ งหมายทีส่ าคญั คือ นา้ และ การชาระลา้ งพรอ้ มกบั คากลา่ ววา่ \"ขา้ พเจา้ ลา้ งทา่ น ในพระนามของพระบดิ า และพระบตุ ร และพระจิต\" 2. ศีลกาลงั หรือ การยืนยนั คือ \"การบรรลนุ ิติภาวะทางความเชื่อ\" ดว้ ยความคิด คาพดู และการ ปฏิบตั ิ 3. ศีลอภัยบาปหรือ การคืนดีกับพระและเพื่อนพี่นอ้ ง มีความเสียใจ และตงั้ ใจที่จะกลับคืนดี เร่ิมตน้ ชีวติ ใหม่ในพระหรรษทานของพระตอ่ ไป 4. ศีลมหาสนิท หรือพธิ ีขอบพระคณุ คอื การระลกึ ถงึ พระคริสต์โดยการทานแผน่ ปังและเหลา้ อง่นุ ทเี่ ป็นพระกายและพระโลหติ ของพระครสิ ตเจา้
5. ศีลอนกุ รม หรือการถวายตวั คือผูท้ ีจ่ ะสมคั รบวช หรือถวายตวั แด่พระ ในการประกาศสอนคา สอน การประกอบพธิ ีศลี ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ และการปกครองดแู ลหลอ่ เลยี้ งชวี ติ ครสิ ตชน ความรู้เสรมิ 1. ศีลสมรส ( Matrimony ) หรือศีลกล่าว คือ การกล่าวประกาศว่าเขาทงั้ สองรกั กัน ดว้ ยความ สมคั รใจ มีอิสระอย่างเต็มท่ี โดยไมไ่ ดถ้ ูกบงั คบั และพรอ้ มท่ีจะรว่ มชีวิตคู่ เพ่ือเป็นของกนั และกนั เป็นหน่ึง เดียวกนั 2. ศีลเจิมคนไข้ ( Anointing of the Sick ) หรือสาหรบั ผปู้ ่ วย คือ ศีลท่ีโปรดใหส้ าหรบั ผปู้ ่ วยท่ีอ่อน กาลงั ในสภาพท่ีนา่ เป็นหว่ ง หรือกาลงั จะสิน้ ใจ เพ่ือเขาจะไดร้ บั พระหรรษทานในยามเจ็บป่วย และเป็นการ เตรยี มจิตใจใหย้ ดึ ม่นั ในความเช่ือ 3. ในการมอบหมายงานท่ีดีนนั้ จะตอ้ งมอบหมายใหช้ ดั ลงไปวา่ “ทาอะไร เพอื่ อะไรและทาอย่างไร” ทงั้ นี้ เพ่ือใหผ้ ปู้ ฏิบตั สิ ามารถดาเนินการไดอ้ ยา่ งสะดวกและบรรลผุ ลสาเร็จตามความม่งุ หมาย ขอ้ ความขา้ งตน้ สอดคลอ้ งกบั สาระสาคญั ในขอ้ ใด 1. ปฐมเทศนา คอื พระธรรมเทศนากณั ฑ์แรกทีพ่ ระองคท์ รงแสดงโปรดปัญจวคั คยี ์ ไดแ้ ก่ \"ธมั มจกั กัปปวตั ตนสูตร\" แปลว่า สูตรของการหมุนวงลอ้ แห่งพระธรรมใหเ้ ป็นไป ซ่ึงถือเป็นการแสดงพระธรรม เทศนาครงั้ แรก ในวนั เพญ็ ขนึ้ ๑๕ ค่า เดอื น ๘ ณ.ป่ าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั 2. ปัจฉิมโอวาท คอื การแสดงโอวาทครงั้ สดุ ทา้ ยก่อนปรินพิ พนาน เรือ่ ง อปั ปมาทธรรม อนั เป็นการ การดารงชีวติ อยูด่ ว้ นความไมป่ ระมาท 3. อนตั ตลกั ขณสตู ร คอื พระสูตรทแี่ สดงลกั ษณะกาหนดหมายวา่ เป็นอนตั ตา หลงั จากทพี่ ระโคตม พทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงพระสูตรนีแ้ ลว้ ไดบ้ งั เกิดพระอรหนั ต์ในพระบวรพทุ ธศาสนา 5 องค์ และความไม่ยึด ตดิ ในขนั ธ์5 รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ 4. โอวาทปาฏิโมกข์ 1. การไม่ทาบาปทัง้ ปวง 2. การทากุศลใหถ้ ึงพรอ้ ม 3.การทาจิตใจให้ บรสิ ทุ ธิ์ 5. มชั ฌมิ าปฏิปทา คอื ทางสายกลาง 4. ขอ้ ใดเป็นปัจจยั ท่ีกอ่ ใหเ้ กิดสมั มาทิฏฐิท่ีสอดคลอ้ งกบั “ปรโตโฆสะ” (เสียงจากผอู้ ่ืน) 1. พอ่ แมท่ ่ีตดิ สรุ า 2. ครูท่ีตามใจนกั เรยี น 3. เพ่ือนท่ีชวนเท่ียวกลางคืน 4. พระภิกษุท่ีผกู ดวงให้ 5. ผนู้ าชมุ ชนชกั ชวนใหบ้ าเพ็ญประโยชน์
ความรู้เสรมิ ปรโตโฆสะ แปลว่า เสียงจากผู้อ่ืน มี 2 ประเภท คือ 1. ท่ีเป็นจริง มีเหตุผล เป็นประโยชน์ ประกอบดว้ ยความหวงั ดี 2. ท่ีเป็นเท็จ ไมม่ ีเหตผุ ล ไมเ่ ป็นประโยชน์ มงุ่ ทาลาย สมั มาทิฏฐิ คือ แนวคิดท่ีถกู ตอ้ ง ความเห็นชอบตามทานองคลองธรรม เช่น เห็นว่าทาดีไดด้ ีทาช่วั ไดช้ ่วั 5. ขอ้ ใดกลา่ วไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตามอรยั สจั 4 1. ปัญหาของชีวิตเป็นเหตุ 2. วธิ ีแกป้ ัญหาชีวติ เป็นเหตุ 3. สาเหตขุ องปัญหาชีวิตเป็นผล 4. สาเหตแุ ละวิธีแกป้ ัญหาชีวติ เป็นผล 5. ความดบั ของปัญหาชีวติ เป็นทงั้ เหตแุ ละผล ความรู้เสริม อรยิ สัจ 4 คือ หลกั ความจรงิ อนั ประเสรฐิ หรอื ธรรมแหง่ ทกุ ขแ์ ละการดบั ทกุ ข์ 4 ประการ 1. ทกุ ข์ คอื ความไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ เป็นสภาพของความลาบากทงั้ ทางกายและทางใจ ทงั้ รกั โลภ โกรธ หลง ความเศรา้ โศกเสียใจทงั้ ปวง เป็นตน้ 2. สมุทัย คือ สาเหตแุ ห่งทกุ ขน์ นั้ ซ่งึ ความทกุ ขท์ งั้ ปวงมกั เกิดจากความไมร่ ู้ ความไมเ่ ขา้ ใจในโลก ความออ่ นประสบการณใ์ นชีวิต ซง่ึ ความไมร่ ูเ้ หลา่ นีเ้ ป็นสาเหตแุ หง่ ทุกขท์ งั้ ปวง 3. นิโรธ คือ ความไมม่ ีทุกข์ ซ่ึงก็หมายถึงการเขา้ ใจในสมทุ ยั ความเขา้ ใจสาเหตแุ ห่งทุกข์ ความ เศรา้ มวั หมองทงั้ ปวง 4. มรรค คือ หนทางแหง่ การดบั ทกุ ข์ ซ่งึ พระพทุ ธองคต์ รสั ไวว้ ่า มรรคมีองค์ 8 หรือ วิธีการดบั ทกุ ข์ ทงั้ ปวงนนั้ มีอยู่ 8 ประการน่นั เอง 6. วนั หน่งึ แดงไดเ้ ปิดประเด็นคยุ กบั เพ่ือน ๆ วา่ “อริยสจั 4 เป็นหลกั ธรรมทสี่ ามารถแกป้ ัญหาชีวติ ได้ ถา้ หาก มกี ารนามาปฏิบตั ิในชีวิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ฉนั เชือ่ ม่นั ในหลกั อรยิ สจั 4 เพยี งแตก่ ารนาไปใชจ้ ะตอ้ ง มีอะไรซกั อยา่ งทเี่ ป็นกญุ แจหรือเป็นเงอื่ นไขสาคญั ในการแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งประสบความสาเร็จ” ฟ้าจงึ ถามวา่ “แลว้ กญุ แจหรือเงอื่ นไขสาคญั ทวี่ า่ มนั คอื อะไร?” ดาใหค้ วามเห็นวา่ “น่นั สินะ น่ีแหละโจทยส์ าคญั ของอรยิ สจั 4 ท่ีพวกเราจะตอ้ งคน้ หา” จากสถานการณน์ ี้ กญุ แจหรอื เง่ือนไขสาคญั คืออะไร 1. ความประพฤตเิ รียบรอ้ ย 2. จติ ใจท่ีตงั้ ม่นั ไม่เปล่ียนแปลง
3. ปัญญารอบรูต้ ามความเป็นจรงิ 4. ศรทั ธาเช่ือม่นั ไมห่ ว่นั ไหว 5. ความเมตตากรุณาตอ่ ตนเองและสรรพสตั ว์ 7. มีเพ่ือนชาวต่างชาติคนหน่ึงตอ้ งการเรียนรูแ้ ละปฏิบตั ิธรรมในพระพุทธศาสนาเฉพาะท่ีเป็นแก่น หรือ หวั ใจสาคญั ท่ีสดุ เม่ือปฏิบตั แิ ลว้ สามารถครอบคลมุ หลักธรรมทงั้ หมดได้ นกั เรียนจะแนะนาหลกั ธรรมขอ้ ใด จงึ จะถกู ตอ้ งตามหลกั พระพทุ ธศาสนา 1. เมตตา 2. สติ 3. ทาน 4. ศีล 5. ศรทั ธา ความรู้เสริม : สกิ ขา3 เป็นภาษาบาลี แปลวา่ ศกึ ษา 1. ศีลสิกขา เรยี นเร่อื งศลี 2. จติ ตสกิ ขา เรียนเร่อื งจิต และสติ (สาคญั มาก) 3. ปัญญาสกิ ขา เรยี นวิธีเจรญิ ปัญญา 8. พทุ ธพจนบ์ ทใดสะทอ้ นถงึ การปฏิวตั สิ งั คมวฒั นธรรมของชมพทู วีป ชนิดท่ีเรียกวา่ พลกิ ฟา้ คว่าแผน่ ดนิ 1. สติ โลกสฺมิ ชาคโร : สตเิ ป็นเคร่อื งต่นื ในโลก 2. สนฺตฏุ ฺ ฐี ปรม ธน : ความสนั โดษเป็นทรพั ยอ์ ยา่ งย่ิง 3. ราชา มขุ มนสุ ฺสาน : พระราชาเป็นประมขุ ของประชาชน 4. อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ : ตนแลเป็นท่ีพ่งึ แหง่ ตน 5. โกธ ฆตฺวา สขุ เสติ : ฆา่ ความโกรธไดย้ อ่ มอยเู่ ป็นสขุ ความรู้เสรมิ เพราะน่ีคือวาจาประกาศอิสรภาพของมนษุ ยท์ ่ีพระพทุ ธเจา้ ประกาศแทนมนษุ ยท์ งั้ หลาย บอกใหร้ ู้ วา่ ตอ่ ไปนีม้ นษุ ยม์ ีอิสรภาพแลว้ เราเป็นสตั วท์ ่ีฝึกได้ พฒั นาได้ ไมต่ อ้ งฝากชะตากรรมไวก้ บั เทพเจา้ ไมต่ อ้ ง บวงสรวงออ้ นวอนรอใหเ้ ทวดาโปรดปราน เรียกวา่ การประกาศอาสภิวาจา 9. เม่ือใดท่ีนกั เรยี นจะใชแ้ นวทางการพฒั นาท่ีเรียกวา่ ปหานะ ตามหลกั พทุ ธวธิ ีไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 1 เม่ือเหน็ ปัญหาชดั เจน 2. เม่ือรูต้ น้ ตอของปัญหาอยา่ งแทจ้ รงิ 3. เม่ือปัญหาหมดไปหรอื ถกู แกไ้ ขเรยี บรอ้ ยแลว้ 4. เม่ือพบแนวทางแกไ้ ขท่ีถกู ตอ้ งและย่งั ยืน
5. เม่ือสงั คมและชมุ ชนใหค้ วามรว่ มมือรว่ มใจกนั ความรู้เสริม ปหานะ การละ, การกาจดั หมายถึง กาจดั กิเลส, ละตณั หา, กาจดั บาปอกศุ ลธรรมท่ีเป็นเหตุ ใหเ้ กิดทกุ ข์ 10. พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช บรมนาถบพิตร รชั กาลท่ี 9 ไดพ้ ระราชทานพระบรม ราโชวาทเก่ียวกบั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงตอนหน่งึ ว่า “ความเจริญของคนทงั้ หลายย่อมเกิดมาจากการ ประพฤตดิ ี ประพฤตชิ อบ และการหาเลยี้ งชีพในทางทชี่ อบเป็นสาคญั ” พระบรมราโชวาทขา้ งตน้ มีสาระสาคญั ตรงกบั หลกั อรยิ มรรคขอ้ ใด 1. สมั มาทิฏฐิ และ สมั มาสงั กปั ปะ 2. สมั มาสงั กปั ปะ และ สมั มาวาจา 3. สมั มากมั มนั ตะ และ สมั มาอาชีวะ 4. สมั มาวายามะ และ สมั มาสมาธิ 5. สมั มาสมาธิ และ สมั มาสติ ความรู้เสริม : เศรษฐกิจพอเพียง คือการพ่งึ พาตนเองโดยยดึ หลกั 3 หว่ ง 2 เง่ือนไข 3 หว่ ง คือ ความพอประมาณ มีเหตผุ ล มีภมู ิคมุ้ กนั 2 เง่ือนไข คือ มีคณุ ธรรม นาความรู้ (เง่ือนไขความรู้ 3 ร รอบรู้ รอบครอบ ระมดั ระวงั ) (เง่ือนไขคณุ ธรรม ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ อดทน เพียร มีสต)ิ มรรค คอื หนทางสคู่ วามดบั ทกุ ข์ คือ 1. สมั มาทฐิ ิ (คดิ ชอบ) หมายถงึ ความเหน็ ท่ีถกู ตอ้ ง ท่ีชอบตามทานองคลองธรรม 2. สมั มาสงั กปั ปะ (ดารชิ อบ) หมายถงึ มีความคดิ ท่ีถกู ตอ้ ง ไมโ่ ลภโกรธหลง ไมพ่ ยาบาท 3. สมั มาวาจา (วาจาชอบ) หมายถึง การมีวจีสจุ ริต 4 ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย การเวน้ จากการพดู เทจ็ พดู หยาบ คาย พดู สอ่ เสียด และพดู เพอ้ เจอ้ 4. สมั มากมั มนั ตะ (ปฏิบตั ชิ อบ) หมายถึง เจตนาละเวน้ จากการฆา่ สตั วต์ ดั ชีวิต 5. สมั มาอาชีวะ (หาเลีย้ งชีพชอบ) หมายถงึ ประกอบสมั มาอาชีพในทางถกู ตอ้ ง สจุ รติ 6. สมั มาวายามะ (ความเพียรชอบ) หมายถงึ ความเพียรพยายามท่ีถกู กตอ้ ง ตงั้ ใจประคองจติ ใจตนเอง 7. สมั มาสติ (สตชิ อบ) หมายถึง การมีสตกิ าหนดระลกึ รูอ้ ยเู่ ป็นตลอดวา่ กาลงั ทาอะไรอยู่ 8. สมั มาสมาธิ (สมาธิชอบ) หมายถงึ คือความตงั้ ใจม่นั โดยถกู ทาง ความตงั้ ม่นั แหง่ กศุ ลจติ
11. ขอ้ ใดในหลกั ปฏิบตั ิ 5 ประการของศาสนาอิสลาม ท่ีศาสนิกผมู้ ีความสามารถและความพรอ้ มเทา่ นั้นจงึ จะปฏิบตั ไิ ด้ 1. การปฏิญาณตนตอ่ พระเจา้ 2. การละหมาด 3. การถือศลี อด 4. การบรจิ าคซะกาต 5. การประกอบพธิ ีฮจั ญ์ ความรู้เสรมิ : หลกั ปฏิบตั ิ ๕ ประการ ชาวมสุ ลมิ จะตอ้ งปฏิบตั พิ ธิ ีกรรมทางศาสนาดว้ ยกาย วาจา และใจ ๑. การปฏิญาณตน เป็นการประกาศตนยอมรบั ดว้ ยความศรัทธาและความบริสทุ ธิ์ใจว่า พระอลั เลาะฮเ์ ป็นพระเจา้ สงู สดุ เพียงองคเ์ ดียวเทา่ นนั้ และยอมรบั วา่ ทา่ นนบมี ฮุ มั มดั เป็นศาสนทตู ของพระเจา้ ๒. การละหมาด เป็นการนมสั การพระเจา้ ทงั้ ทางรา่ งกายและจติ ใจ โดยปฏิบตั วิ นั ละ ๕ เวลา ๓. การถือศีลอด เป็นการงดการบริโภคอาหาร เคร่ืองด่ืม และการมีเพศสมั พนั ธต์ งั้ แต่พระอาทิตย์ ขนึ้ จนถึงพระอาทิตยต์ กดนิ เป็นเวลา ๑ เดอื น ตามกาหนด ซง่ึ จะมีในเดือน ๙ เรยี กวา่ เดือนรอมฏอน การถือ ศีลอดนีเ้ ป็นการฝึกฝนรา่ งกาย และจติ ใจใหม้ ีความอดทน ๔. การบรจิ าคซะกาต เป็นการบรจิ าคทรพั ยห์ รือใหท้ านแกค่ นท่ีเหมาะสมตามท่ีศาสนากาหนด เชน่ เด็กกาพรา้ คนท่ีขดั สน เพ่ือเป็นการขดั เกลาจิตใจใหส้ ะอาดลดความเห็นแก่ตวั ลง และเป็นการลดช่องว่าง ในสงั คม ๕.การประกอบพิธีฮจั ญ์ เป็นการเดินทางไปประกอบพิธกรรมทางศาสนาท่ีเมืองเมกกะ ประเทศ ซาอดุ ีอาระเบีย จดุ มงุ่ หมายเพ่ือใหช้ าวมสุ ลิมระลกึ ถงึ พระเจา้ และไดพ้ บปะพ่ีนอ้ งมสุ ลมิ จากท่วั โลก 12. นายแดงแมจ้ ะโกรธและเกลียดนายดามากเพียงใดก็ตาม แต่เม่ือใดท่ีนายดาประสบกับความทุกข์ ยากลาบากมาขอความช่วยเหลือ นายแดงก็จะใหค้ วามชว่ ยเหลือและคาแนะนาเสมอ เพราะคดิ วา่ ตนเอง ไมค่ วรซา้ เตมิ นายดา แตเ่ ขาก็ไมเ่ คยคดิ ท่ีจะยกโทษหรอื ใหอ้ ภยั นายดาเลย สถานการณข์ า้ งตน้ นายแดงมีและขาดหลกั สาราณียธรรมขอ้ ใด 1. มีเมตตากายกรรม แตข่ าดเมตตาวจีกรรม 2. มีเมตตาวจีกรรม แตข่ าดเมตตามโนกรรม 3. มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม แตข่ าดเมตตามโนกรรม 4. มีเมตตากายกรรม เมตตามโนกรรม แตข่ าดทฏิ ฐิสามญั ญตา 5. มีเมตตามโนกรรม เมตตาวจีกรรม แตข่ าดสาธารณโภคติ า
ความรู้เสรมิ สาราณียธรรม 6 หมายถึง ธรรมเป็นเหตใุ หร้ ะลกึ ถงึ กนั 6 ประการ เป็นคณุ ธรรมท่ีทาใหค้ นเราไมเ่ หน็ แกต่ วั ดงั นี้ 1. เมตตากายกรรม หมายถึง ทาส่งิ ใดก็ทาดว้ ยความปรารถนาดีตอ่ ผอู้ ่ืน 2. เมตตาวจีกรรม หมายถึง จะพดู อะไรก็พดู ดว้ ยความปรารถนาดตี อ่ กนั 3. เมตตามโนกรรม หมายถึง จะคดิ ส่ิงใดก็ใหค้ ดิ ในส่งิ ท่ีดี และคดิ ดว้ ยความปรารถนาดีตอ่ ผอู้ ่ืน 4. สาธารณโภคี หมายถงึ แบง่ ปันลาภผลท่ีรว่ มกนั โดยยตุ ธิ รรมแมส้ ่ิงของท่ีไดม้ าจะนอ้ ย 5. สีลสามญั ญตา หมายถึง ประพฤตสิ จุ รติ ในส่ิงท่ีดีงามอยา่ งสม่าเสมอ 6. ทฏิ ฐิสามญั ญตา หมายถงึ ปรบั ความคดิ ความเหน็ ใหม้ ีเหตมุ ีผลถกู ตอ้ งเหมือนกบั ผอู้ ่ืน 13. วนั เทโวโรหณะ มีช่ือเรยี กอีกอยา่ งหนง่ึ วา่ วนั พระเจา้ เปิดโลก เน่ืองจากเหตผุ ลตามขอ้ ใด 1. เทพบตุ รธิดาบนสวรรคต์ ามส่งเสด็จพระพุทธเจา้ และทาใหเ้ ทพบตุ รเทพธิดาเหล่านนั้ สามารถ มองเหน็ มนษุ ยโลก ยมโลก และพรหมโลกไดท้ งั้ หมด 2. พระพทุ ธเจา้ เสด็จกลบั มาจากโปรดพทุ ธมารดาแลว้ เสด็จผ่านมาแสดงธรรมโปรดเทวโลกและ ยมโลก จนไดด้ วงตาเห็นธรรม 3. พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ กลบั มาจากเย่ียมเยือนพรหมโลก เทวโลก และยมโลก 4. มนษุ ยโลกทงั้ หมดสามารถมองเห็นพระพทุ ธเจา้ เทวโลก และยมโลกไดอ้ ยา่ งชดั เจนดว้ ยตาเปลา่ 5. มนษุ ยโลก เทวโลก และยมโลกสามารถมองเหน็ พระพทุ ธเจา้ และมองเหน็ กนั และกนั ได้ ความรู้เสริม วันเทโวโรหณะ หมายถึง วนั ท่ีพระพทุ ธเจา้ เสด็จลงจากสวรรค์ ชนั้ ดาวดงึ สใ์ นเวลาเชา้ วนั แรม 1 ค่า เดือน 11 หลงั จากท่ีพระองคท์ รงจาพรรษาท่ีนนั้ เป็นเวลา 3 เดือน โดยเสด็จลงท่ีเมืองสงั กสั ส์ ใกลเ้ มือง พาราณสี ชาวบา้ นชาวเมืองทราบข่าวก็พากันไปทาบุญตกั บาตรพระพทุ ธองคท์ ่ีนนั้ และเป็นการรบั เสด็จ พระพทุ ธองคด์ ว้ ย กล่าวกนั ว่า ในวนั นีไ้ ดเ้ กิดเหตอุ ศั จรรย์ คือ เทวดา มนษุ ย์ และสตั วน์ รก ต่างมองเห็นซ่งึ กนั และกนั จึง เรียกวนั นีอ้ ีกช่ือหนง่ึ วา่ วนั พระเจา้ เปิดโลก คือ เปิดใหเ้ ห็น กนั ทงั้ 3 โลกนนั้ เอง
14. พิธีกรรมใดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูท่ีตรงกับการทาบุญศพและการเผาศพตามพิธีกรรมทางพุทธ ศาสนาในสงั คมไทย 1. ชาตกรรม ขนั้ ที่ 4 ชาตกรรม พธิ ีคลอดบตุ ร 2. วิวาหะ ขนั้ ท1ี่ 2 ววิ าหะ พธิ ีแตง่ งาน 3. เปรตกรรม 4. พิธีศราท ซ่ึงเป็นพธิ ีกรรมทที่ าบญุ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลบรรพบรุ ุษผลู้ ว่ งลบั ไปแลว้ 5. อนั นปราศนะ ขนั้ ที่ 7 อนั นปราศนั พธิ ีปอ้ นขา้ วเดก็ เมือ่ อายไุ ด้ 5 เดอื น หรือ 6 เดอื น ความรู้เสริม พิธีนีจ้ าทาให้เฉพาะวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ แบะวรรณะแพศย์ ซ่ึงกาหนดไวใ้ หม้ ี 12 ประการ รวมเรยี กวา่ “พิธีสงั สการ” ซ่งึ มีการปฏิบตั ติ ามลาดบั ขนั้ ดงั นี้ คอื ขนั้ ท่ี 1 ครรภาธาน เป็นพธิ ีท่ีจดั ขนึ้ เม่ือทราบวา่ ตงั้ ครรภ์ ถดั จากวนั วิวาห์ ขนั้ ท่ี 2 ปงุ สวนั เป็นพิธีปฏิบตั ติ อ่ เดก็ ในครรภท์ ่ีเขา้ ใจวา่ เป็นเพศชาย ขนั้ ท่ี 3 สีมนั โตนยนั เป็นพธิ ีตดั ผมหญิงมีครรภ์ เม่ือครรภไ์ ด้ 4,6หรือ 8 เดือน ขนั้ ท่ี 5 นามกรรม พิธีตงั้ ช่ือเดก็ ในวนั ท่ี 12 หรอื 14 ถดั จากวนั คลอด ขนั้ ท่ี 6 นษิ กรมณ์ พิธีนาเดก็ ออกไปดแู สงอาทติ ยย์ ามเชา้ เม่ืออายไุ ด้ 4 เดือน ขนั้ ท่ี 8 จฑู ากรรม พิธีโกนผมไวจ้ กุ เม่ืออายไุ ด้ 3 ขวบ ขนั้ ท่ี 9 เกศานตกรม พิธีตดั ผม ถา้ เป็นวรรณะพราหมณต์ ดั เม่ืออายุ 16 ปี ถา้ วรรณะกษัตรยิ ต์ ดั เม่ือ อายุ 22 ปี ถา้ วรรณแพศยต์ ดั เม่ืออายุ 24 ปี ขนั้ ท่ี10 อปุ นยั น์ พธิ ีเรม่ิ การศึกษาเพ่ือเป็นพราหมณโ์ ดยคลอ้ งดา้ ยยชั โญปวีต ขนั้ ท่ี11 สมาวรรตน์ พิธีกลบั บา้ น ปฏิบตั เิ ม่ือสาเรจ็ การศกึ ษาจากสานกั ครูแลว้ พิธีทงั้ 12 ประการนี้ ถา้ เป็นหญิงหา้ มทาพิธีอุปนยั นอ์ ย่างเดียว นอกนนั้ ทาไดห้ มดและหา้ มสวด คมั ภีรพ์ ระเวท ในปัจจบุ นั พวกพราหมณไ์ ดล้ ดพิธีปฏิบตั เิ หลือเพียง 4 อยา่ ง คือ 1.พิธีนามกรรม 2.อนั นปราศนั 3.อปุ นยั น์ 4.ววิ าหะ ความรู้เสริม : หลกั ศรทั ธา 6 ประการ 1. ศรทั ธาตอ่ พระอลั ลอฮ์ มสุ ลมิ จะตอ้ งศรทั ธาตอ่ พระอลั ลอฮเ์ พียงพระองคเ์ ดียว 2. ศรทั ธาตอ่ เทพบรวิ ารของพระอลั ลอฮ์ (เทวทตู ) คือ คนกลางทาหนา้ ท่ีส่ือสาร ระหวา่ งทา่ นนบี มฮุ มั หมดั กบั พระเจา้ ซ่งึ เรยี กวา่ “มลาอีกะฮ”์
3. ศรทั ธาในพระคมั ภีรท์ งั้ หลาย คือ คมั ภีรท์ ่ีพระเจา้ ไดป้ ระทานมาก่อนหนา้ นี้ 104 คมั ภีร์ ซง่ึ รวมทงั้ คมั ภีรข์ องศาสนายดู าย และศาสนาครสิ ต์ แตใ่ หถ้ ือวา่ คมั ภีรอ์ ลั -กรุ อาน เป็นคมั ภีรส์ ดุ ทา้ ย และสมบรู ณ์ ท่ีสดุ ท่ีพระเจา้ ไดป้ ระทานพรลงมาใหแ้ กม่ นษุ ยชาติ โดยผา่ นทางศาสดามฮุ มั หมดั 4. ศรทั ธาตอ่ บรรดาศาสนทตู ศาสนทตู เป็นมนษุ ยธ์ รรมดาท่ีจะเป็นผปู้ ระกาศศาสนา ซ่งึ ทา่ น นบี มฮุ มั หมดั เป็นศาสนทตู องคส์ ดุ ทา้ ย 5. ศรทั ธาในวนั พิพากษา คอื วนั สดุ ทา้ ยของโลก ชาว มสุ ลิม เช่ือวา่ โลกมีวนั แตกดบั เม่ือถงึ วนั นนั้ มนษุ ยท์ กุ คนตอ้ งตาย และจะถกู ทาใหฟ้ ื้นขนึ้ มาเพ่ือพจิ ารณาโทษดว้ ยการสอบสวนพิพากษาตามความดี ความช่วั ท่ีตนไดก้ ระทาไว้ 6. ศรทั ธาในกฎสภาวะของพระเจา้ ผเู้ ป็นมสุ ลิมตอ้ งเช่ือวา่ พระเจา้ เป็นผลู้ ขิ ิตชีวติ มนษุ ย์ 15. “วันกตญั ญแู ห่งชาต”ิ ในประเทศไทยตรงกบั วนั สาคญั ใดทางพทุ ธศาสนา 1. วนั วิสาขบชู า 2. วนั มาฆบชู า 3. วนั อาสาฬหบชู า 4. วนั เขา้ พรรษา 5. วนั ออกพรรษา 16. ขอ้ ใดไมใ่ ชว่ นั พระหรอื วนั ธรรมสวนะ 1. วนั วิสาขบชู า 2. วนั มาฆบชู า 3. วนั เขา้ พรรษา 4. วนั อาสาฬหบชู า 5. วนั อฏั ฐมีบชู า วันสาคัญ ตรงกับ สาระสาคัญ สาระเพม่ิ ช่วยจา วนั วสิ าขบชู า ขนึ้ 15 ค่า เดอื น6 พระพทุ ธเจา้ ทรงประสตู ิ เป็นวนั สาคญั ท่ีสดุ ไดร้ บั ตรสั รู้ ปรนิ พิ พาน การประกาศจาก ยเู นสโก วา่ เป็นวนั สาคญั ของโลกวนั หนง่ึ วนั มาฆบชู า ขนึ้ 15 ค่า เดอื น 3 - พระพทุ ธเจา้ แสดง - ตรงกบั วนั เพ็ญเดือน 3 ธรรม พระอรหนั ตม์ าประชมุ
โอวาทปาตโิ มกข์ ซง่ึ ถือ กนั เหมือนประชมุ เป็นหวั ใจของศาสนา คือ นกั เรียนใหโ้ อวาท - ทาความดี - พระพทุ ธเจา้ แสดง - ละเวน้ ความช่วั ธรรมช่ือโอวาทปาตโิ มกข์ - ทาใจใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ - มีเหตกุ ารณส์ าคญั คอื จาตรุ งคสนั นบิ าต วนั อาสาฬหบชู า ขนึ้ 15 ค่า เดอื น 8 - พระพทุ ธเจา้ แสดง - สญั ลกั ษณข์ องพระ วนั เขา้ พรรษา แรม 1 ค่า เดือน 8 วนั ออกพรรษา ขนึ้ 15 ค่าเดือน 11 ธรรมใหพ้ ระโกณฑญั ญะ ธรรม คอื รูปธรรมจกั ร บรรลอุ รหนั ตแ์ ละออก ธรรมแรกท่ีพระพทุ ธเจา้ บวชเป็นพระภิกษุรูปแรก แสดง คือธรรมจกั รกปั วตั ในพระพทุ ธศาสนา ทา ตนสตู รหรอื อรยิ สจั 4 ใหม้ ีพระรตั นตรยั ครบ องค์ 3 คอื พระพทุ ธ พระ ธรรม พระสงฆ์ - เป็นพิธีสงฆโ์ ดยเฉพาะ - เป็นวนั เดียวท่ีเป็นแรม ในพทุ ธกาล การ 1 ค่าตอ่ วนั อาสาฬหบชู า คมนาคมไมเ่ จรญิ - ถวายเทียนประจา พระสงฆจ์ ารกิ ในหนา้ ฝน พรรษา เหยียบสตั วเ์ ล็กและ - ถวายผา้ อาบนา้ ฝน ขา้ วกลา้ เสียหาย พระพทุ ธเจา้ จงึ มีบญั ญตั ิ พระวินยั ใหพ้ ระสงฆท์ กุ รูปจาพรรษา 3 เดือน ใน ฤดฝู น เป็นวนั ท่ีทาพธิ ีออก หลงั ออกพรรษา 1 วนั พรรษาหลงั จากพระสงฆ์ คอื วนั แรม 1 ค่าเดือน 11 อยจู่ าพรรษาครบ 3 จะมีพิธีทาบญุ ใหญ่ เดือน เรยี กอีกอยา่ งว่า เรยี กวา่ ตกั บาตรเทโว วนั มหาปวารณา คือเป็น จากคาวา่ เทโวโรหณะ วนั ท่ีพระสงฆใ์ นวดั ทกุ หมายถงึ วนั ท่ีพระพทุ ธ
รูปจะปวารณาใหโ้ อกาส องคเ์ สดจ็ ลงจากสรวง แกก่ นั ในการวา่ กลา่ ว สวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ ตกั เตือนกนั ได้ หลงั จากไปจาพรรษา 3 เดอื นเพ่ือเทศนโ์ ปรด พทุ ธมารดา วันธรรมสวนะ หรือเรียกอีกอยา่ งหน่งึ วา่ “วนั พระ” โดยนบั วนั ขนึ้ ๘ ค่า แรม ๘ ค่า วนั ขนึ้ ๑๕ ค่า (วนั เพ็ญ) แรม ๑๕ ค่า (หากเดือนใดเป็นเดอื นขาด ถือเอาวนั แรม ๑๔ ค่า)ของทกุ เดอื น สาระหน้าทพี่ ลเมอื ง 17. ตามกฎหมายไทย การสมรสกระทาไดร้ ะหว่างชายกับหญิงท่ีมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ ขอ้ ใดต่อไปนีช้ าย หญิงทาการสมรสกนั ไดโ้ ดยไม่ขดั ตอ่ กฎหมายไทย 1. ชายหรอื หญิงเป็นคนวกิ ลจรติ 2. ชายหรือหญิงมีคสู่ มรสอยแู่ ลว้ 3. ชายหรือหญิงเป็นผพู้ ิการทางกาย 4. ชายหรอื หญิงเป็นญาตสิ ืบสายโลหติ โดยตรงขนึ้ ไปหรอื ลงมา 5. ชายหรือหญิงมีอายตุ ่ากวา่ 17 ปี แตม่ ีเหตสุ มควร และบิดามารดาอนญุ าตใหส้ มรสกนั ความรู้เสรมิ : สรุปกฎหมายครอบครัว การหม้ัน เงอื่ นไขของการหมั้น 1.ชายและหญิงคหู่ มนั้ ตอ้ งมีอายุ 17 ปีบรบิ รู ณ์ ถา้ การหมนั้ กระทาโดยฝ่าฝืน การหมนั้ ตกเป็นโมฆะ 2. ผเู้ ยาวท์ าการหมนั้ จะตอ้ งไดร้ บั ความยินยอมของบิดามารดาหรือผปู้ กครองดว้ ย ถา้ การหมนั้ ท่ี ผเู้ ยาวท์ าโดยปราศจากความยินยอมดงั กล่าว การหมนั้ นนั้ ตกเป็นโมฆียะ แบบของการหมั้น การหมนั้ จะสมบรู ณเ์ ม่ือฝ่ ายชายไดส้ ง่ หมอบหรอื โอนทรพั ยส์ ินอนั เป็นของหมนั้ ใหแ้ ก่หญิง เพ่ือเป็น หลกั ฐานวา่ จะสมรสกบั หญิงนนั้ สรุป ลักษณะสาคัญของของหมั้นจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ 4 ประการ คือ 1. ตอ้ งเป็นทรพั ยส์ ิน (สิทธิเรยี กรอ้ ง ถือไดว้ า่ เป็นทรพั ยส์ นิ ท่ีนามาเป็นของหมนั้ ได)้ 2. ตอ้ งเป็นของท่ีฝ่ายชายใหไ้ วแ้ กห่ ญิง 3. ตอ้ งใหไ้ วใ้ นเวลาทาสญั ญาและหญิงตอ้ งไดร้ บั ไวแ้ ลว้
4. ตอ้ งเป็นการใหไ้ วเ้ พ่ือเป็นหลกั ฐานว่าจะสมรสกับหญิงนนั้ และตอ้ งใหไ้ วก้ ่อนสมรส ถา้ ใหเ้ ม่ือ หลงั สมรสแลว้ ทรพั ยน์ นั้ ไมใ่ ชข่ องหมนั้ ลักษณะของสนิ สอดมอี ยู่ 3 ประการ คือ 1.ตอ้ งเป็นทรพั ยส์ ิน การตกลงจะใหส้ ินสอดนนั้ จะตอ้ งตกลงใหก้ นั ก่อนสมรส 2.ตอ้ งเป็นของฝ่ายชายใหแ้ ก่บดิ ามารดา ผรู้ บั บตุ รบญุ ธรรมหรอื ผปู้ กครองของหญิง 3. ใหเ้ พ่ือตอบแทนการท่ีหญิงยอมสมรส ทรพั ยส์ ินท่ีเป็นสินสอด เม่ือไดม้ อบไปแลว้ ย่อมตกเป็น กรรมสิทธิเดด็ ขาดแกบ่ ดิ ามารดาหรอื ผปู้ กครองหญิงโดยทนั ทีโดยไม่ตอ้ งรอใหม้ ีการสมรสกนั ก่อน การสมรส 1. คสู่ มรสฝ่ายหนง่ึ จะตอ้ งเป็นชายและอีกฝ่ายหน่งึ จะตอ้ งเป็นหญิง 2. การสมรสจะตอ้ งเป็นการกระทาโดยสมคั รใจของชายและหญิง หากชายและหญิงไมส่ มคั รใจใน การสมรส การสมรสนนั้ เป็นโมฆะ 3. การอย่กู ินดว้ ยกนั ฉันสามีภรยิ าจะตอ้ งเป็นระยะเวลาช่วั ชีวิต การท่ีชายและหญิงทาการสมรสกนั โดยมีขอ้ ตกลงว่าเม่ือครบกาหนดระยะเวลาใดเวลาหน่ึงแลว้ ใหก้ ารสมรสสิน้ สุดลง ขอ้ ตกลงเช่นนีข้ ดั ต่อ ความสงบฯ ตกเป็นโมฆะ 4. การสมรสจะตอ้ งมีคสู่ มรสเพียงคนเดียว เงอื่ นไขแหง่ การสมรส 1. ชายและหญิงตอ้ งมีอายุ 17 ปีบรบิ รู ณแ์ ลว้ ทงั้ สองคน 2. ชายหรือหญิงตอ้ งไมเ่ ป็นคนวกิ ลจรติ หรือเป็นบคุ คลซ่งึ ศาลส่งั ใหเ้ ป็นคนไรค้ วามสามารถ 3. ชายและหญิงมิไดเ้ ป็นญาตสิ ืบสายโลหิตตอ่ กันหรือเป็นพ่ีนอ้ งร่วมบิดามารดาหรือร่วมแตบ่ ิดา หรอื มารดา 4. ผรู้ บั บตุ รบญุ ธรรมและบตุ รบญุ ธรรมจะสมรสกนั ไมไ่ ด้ 5. ชายหรอื หญิงมไิ ดเ้ ป็นคสู่ มรสของบคุ คลอ่ืนอยู่ 6. ชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากัน สาหรบั การท่ีชายหลอกลวงหญิงมาจดทะเบียนสมรสเป็น ภริยาโดยรบั รองว่าจะเลีย้ งดใู หส้ ขุ สบาย แตภ่ ายหลงั กลบั ทิง้ ขวาง เช่นนี้ จะถือว่าหญิงมิไดย้ ินยอมไม่ได้ การสมรสดงั กลา่ วสมบรู ณท์ กุ ประการ 7. หญิงหมา้ ยจะสมรสใหมไ่ ดต้ อ่ เม่ือขาดจากการสมรสเดมิ แลว้ ไมน่ อ้ ยกวา่ 310 วนั 8. ผเู้ ยาวจ์ ะทาการสมรสไดต้ อ่ เม่ือไดร้ บั ความยนิ ยอมของบดิ ามารดาหรือผปู้ กครอง แบบแหง่ การสมรส การสมรสจะมีไดเ้ ฉพาะเม่ือไดจ้ ดทะเบยี นสมรสแลว้ เทา่ นนั้
ทรัพยส์ นิ ระหว่างสามภี รยิ า 1. สินสว่ นตวั ไดแ้ ก่ทรพั ยส์ ินท่ีคสู่ มรสฝ่ายใดฝ่ายหน่งึ มีอยกู่ ่อนสมรส 2. ทรพั ยส์ ินท่ีเป็นเคร่ืองใชส้ อยส่วนตวั เคร่ืองแต่งกาย หรือเคร่ืองประดบั กายตามควรแก่ฐานะ หรอื เคร่อื งมือเคร่อื งใชท้ ่ีจาเป็นในการประกอบอาชีพหรอื วิชาชีพของคสู่ มรสฝ่ ายใดฝ่ายหน่งึ 3. ทรพั ยส์ ินท่ีฝ่ ายใดฝ่ ายหน่งึ ไดม้ าระหวา่ งสมรสโดยการรบั มรดกหรือการใหโ้ ดยเสน่หา ทรพั ยส์ ิน เหลา่ นีถ้ ือว่าเป็นสินสว่ นตวั ของสามีหรือภรยิ าผทู้ ่ีไดร้ บั มาทงั้ สิน้ ไม่ถือวา่ เป็นสินสมรส ทงั้ ๆ ท่ีไดม้ าระหว่าง สมรส 4. ในกรณีท่ีสามีหรือภรยิ าไดร้ บั รางวลั จากการกระทาส่งิ ใดหรือจากการประกวดชิงรางวลั รางวลั ท่ี ไดร้ บั มานนั้ เป็นสนิ สว่ นตวั 5. ทรพั ยท์ ่ีเป็นของหมนั้ เป็นสินสว่ นตวั ของภรยิ า สนิ สมรส มีอยู่ 3 ชนิดคือ 1. ทรพั ยส์ นิ ท่ีคสู่ มรสไดม้ าระหวา่ งสมรส • เงินบาเหน็จ บานาญ เบีย้ หวัด ค่าชดเชยในการออกจากงานหรือการเลิกจ้างหรือ ผลประโยชนต์ อบแทนในการเกษียณอายจุ ากการทางาน ท่ีคสู่ มรสฝ่ายใดฝ่ายหน่งึ ไดม้ าระหวา่ งสมรส 2. ทรพั ยส์ ินท่ีคสู่ มรสฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงไดม้ าระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือการใหเ้ ป็น หนังสือ ทรพั ยส์ ินเช่นว่านีเ้ ป็นสินส่วนตวั ของฝ่ ายนนั้ แต่หากเจา้ มรดกหรือผูใ้ หร้ ะบุไวใ้ นพินัยกรรมหรือ หนงั สือยกให้ ระบวุ า่ ใหเ้ ป็นสินสมรสจงึ จะเป็นสนิ สมรส 18. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งตามกฎหมายการทะเบยี นราษฎร 1. กรณีมีคนเกิดในบา้ น เจา้ บา้ นตอ้ งแจง้ แก่นายทะเบยี นภายใน 20 วนั 2. กรณีมีคนเกิดนอกบา้ น เจา้ บา้ นตอ้ งแจง้ แก่นายทะเบยี น ภายใน 15 วนั นบั แตว่ นั เกิดทกุ กรณี 3. กรณีมีคนเกิดในบา้ น และมีเหตจุ าเป็น เจา้ บา้ นตอ้ งแจง้ แก่นายทะเบียนภายใน 30 วนั นบั แต่ วนั เกิด 4. กรณีมีคนเกิดนอกบา้ น และมีเหตจุ าเป็น เจา้ บา้ นตอ้ งแจง้ แก่นายทะเบียนภายใน 30 วนั นบั แต่ วนั เกิด 5. กรณีคนเกิดไมว่ า่ จะในบา้ นหรอื นอกบา้ น เจา้ บา้ นตอ้ งแจง้ แก่นายทะเบยี นภายใน 45 วนั นบั แต่ วนั เกิด
ความรู้เสรมิ การแจ้งเกิด 1. คนเกิดในบ้าน ให้เจ้าบา้ นหรือบิดามารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องท่ีเกิด ภายใน 15 วนั นบั ตงั้ แตว่ นั เกิด 2. คนเกิดนอกบ้าน ใหบ้ ิดามารดาแจง้ ตอ่ นายทะเบียนผรู้ บั แจง้ แห่งทอ้ งท่ีท่ีเกิดหรือทอ้ งท่ีท่ีพึง แจง้ ไดภ้ ายใน 15 วนั นบั ตงั้ แตว่ นั เกิด ในกรณีไม่อาจแจง้ ไดต้ ามกาหนด ใหแ้ จง้ ภายหลงั ไดใ้ นไมเ่ กิน 30 วนั นบั แตว่ นั เกิด การแจ้งตาย 1. คนตายในบ้าน เจา้ บา้ นหรือผทู้ ่ีไดร้ บั มอบหมายแจง้ ตอ่ นายทะเบยี นผรู้ บั แจง้ แห่งทอ้ งท่ีท่ีมีคน ตายภายใน 24ช่วั โมง นบั แตเ่ วลาตาย หรือไมม่ ีเจา้ บา้ นใหผ้ พู้ บศพเป็นผแู้ จง้ ภายใน 24 ช่วั โมง นบั แตเ่ วลา ตาย 2. คนตายนอกบ้าน ใหผ้ พู้ บศพแจง้ ตอ่ นายทะเบียนทอ้ งท่ีท่ีตายหรอื พบศพภายใน 24 ช่วั โมง นบั แตพ่ บศพ หรือแจง้ ตอ่ พนกั งานปกครองหรอื ตารวจก็ได้ การยา้ ยทอี่ ยู่ 1. การย้ายออก ในกรณีบุคคลยา้ ยออกจากบา้ นใด ใหเ้ จา้ บา้ นหรือผแู้ ทนท่ีจะตอ้ งแจง้ ยา้ ยเขา้ ท่ี อย่ตู อ้ งแจง้ ตอ่ นายทะเบียนผมู้ ีหนา้ ท่ีรบั แจง้ ภายในเวลา 15 วนั นบั ตงั้ แตว่ นั ยา้ ยออก ถา้ เจา้ บา้ นไม่แจง้ ใน กาหนดเวลา มีความผิด ตอ้ งระวางโทษปรบั ไมเ่ กิน 1,000 บาท 2. การย้ายเข้า ในกรณีท่ีบคุ คลยา้ ยเขา้ ในบา้ นใด ใหเ้ จา้ บา้ นหรือผแู้ ทนจะตอ้ งยา้ ยเขา้ ท่ีอย่ภู ายใน เวลา 15 วนั นบั ตงั้ แตว่ นั ยา้ ยเขา้ ถา้ เจา้ บา้ นไมแ่ จง้ ภายในกาหนดเวลา มีความผิด ตอ้ งระวางโทษปรบั ไม่ เกิน 1,000 บาท การแจง้ ยา้ ยเขา้ เจา้ บา้ นจะตอ้ งนาหลกั ฐานการยา้ ยออกของผนู้ นั้ ไปแสดงตอ่ นายทะเบยี น ผรู้ บั แจง้ กฎหมายเกี่ยวกับบัตรประจาตวั ประชาชน บตั รประจาตวั ประชาชนเป็นบตั รแสดงความเป็นคนไทยของคนถือบตั ร ผมู้ ีสญั ชาติไทยเทา่ นนั้ ท่ีมี สทิ ธิมีบตั รประจาตวั ประชาชน - ใหผ้ มู้ ีสญั ชาตไิ ทยท่ีมีอายคุ รบ 15 ปีบรบิ รู ณ์ จะตอ้ งย่ืนคาขอมีบตั รภายใน 60 วนั - กรณีผมู้ ีอายรุ ะหวา่ ง 7 ปีบรบิ รู ณ์ จนถึงกอ่ นครบ 15 ปีบรบิ รู ณ์ ใหย้ ่ืนขอมีบตั รภายใน 1 ปี - หากไมย่ ่ืนขอมีบตั รภายในเวลาท่ีกาหนด จะตอ้ งระวางโทษปรบั ไมเ่ กิน 200 บาท - ผู้ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีบัตรประจาตัวประชาชน ไดแ้ ก่ พระมหากษัตริย์ สมเด็จ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศต์ งั้ แตพ่ ระองคเ์ จา้ ขึน้ ไป องคมนตรี ขา้ ราชการพลเรือน ทหารและตารวจ
กองประจาการ สมาชิกสภา นิตบิ ญั ญัติ สมาชิกสภาเทศบาล พนกั งานองคก์ ารของรฐั กานนั ผใู้ หญ่บา้ น ภิกษุ สามเณร นกั บวช ผพู้ กิ าร เดนิ ไมไ่ ดห้ รือเป็นใบ้ ตาบอดทงั้ สองขา้ ง ผมู้ ีจติ ฟ่ันเฟื อน ไมส่ มประกอบ ฯลฯ - บตั รประจาตวั ประชาชนมีอายใุ ชไ้ ด้ 8 ปี นบั ตงั้ แตว่ นั ออกบตั ร - เม่ือบตั รหมดอายุ ผถู้ ือบตั รตอ้ งขอมีบตั รใหมโ่ ดยย่ืนตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีภายในกาหนด 60 วนั นบั ตงั้ แตว่ นั ท่ีบตั รเดมิ หมดอายุ - ในกรณีผทู้ ่ีถือบตั รมีอายคุ รบ 70 ปีบรบิ รู ณ์ ก็ใหค้ งใชบ้ ตั รไดต้ ลอดชีวติ 19. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเก่ียวกบั การกยู้ ืมเงินและดอกเบยี้ ของบคุ คลธรรมดาตามกฎหมายไทย 1. การกยู้ ืมเงินเกินกวา่ 50 บาทตอ้ งทาหลกั ฐานเป็นหนงั สือ มฉิ ะนนั้ ฟ้องรอ้ งบงั คบั ไมไ่ ด้ และเรียก ดอกเบยี้ เกิดกวา่ รอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปี 2. การกยู้ ืมเงินเกินกว่า 50 บาทตอ้ งทาหลกั ฐานเป็นหนงั สือ มิฉะนนั้ ฟ้องรอ้ งบงั คบั ไม่ได้ และเรียก ดอกเบยี้ เกิดกวา่ รอ้ ยละ 15 ตอ่ ปี 3. การกยู้ ืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทตอ้ งทาหลกั ฐานเป็นหนงั สือ มิฉะนนั้ ฟ้องรอ้ งบงั คบั ไมไ่ ด้ และ เรยี กดอกเบยี้ เกิดกวา่ รอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปี 4. การกยู้ ืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทตอ้ งทาหลกั ฐานเป็นหนงั สือ มิฉะนนั้ ฟ้องรอ้ งบงั คบั ไม่ได้ และ เรยี กดอกเบยี้ เกิดกวา่ รอ้ ยละ 15 ตอ่ ปี 5. การกยู้ ืมเงินเกินกว่า 3,000 บาทตอ้ งทาหลกั ฐานเป็นหนงั สือ มิฉะนนั้ ฟ้องรอ้ งบงั คบั ไมไ่ ด้ และ เรียกดอกเบยี้ เกิดกวา่ รอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปี ความรู้เสริม การกยู้ ืมเงินเป็นสญั ญาอย่างหน่งึ ซ่งึ เกิดจากบุคคลใดบคุ คลหน่งึ ซ่งึ เรียกว่า “ผกู้ ”ู้ ไปขอกยู้ ืมจาก บคุ คลอีกคนหน่งึ เรียกว่า “ผใู้ หก้ ”ู้ และตกลงจะใชค้ ืนภายในกาหนดเวลา การกยู้ ืมจะมีผลสมบูรณก์ ็ตอ่ เม่ือ มีการสง่ มอบเงินโดยผใู้ หก้ จู้ ะคดิ ดอกเบยี้ หรือไมก่ ็ได้ - กฎหมายจึงไดก้ าหนดอตั ราดอกเบีย้ ขนั้ สงู สุดท่ีผใู้ หก้ สู้ ามารถเรียกได้ วา่ ตอ้ งไมเ่ กินรอ้ ยละ ๑๕ ต่อปี คือรอ้ ยละ ๑.๒๕ ต่อเดือน (เวน้ แต่เป็นการกยู้ ืมเงินจากบริษัทเงินทนุ หรือธนาคาร ซ่ึงสามารถเรียก ดอกเบยี้ เกินอตั ราดงั กลา่ วไดต้ าม พ.ร.บ. ดอกเบยี้ เงินใหก้ ยู้ ืมของสถาบนั การเงิน) - กรณีจานวนเงินท่ีกยู้ ืมกนั ไมเ่ กิน 2,000 บาท กฎหมายไมไ่ ดก้ าหนดใหต้ อ้ งทาหลกั ฐานการกยู้ ืม ตอ่ กนั - กรณีจานวนเงินท่ีกู้ยืมกัน เกิน 2,000 บาทขึน้ ไป กฎหมายกาหนดให้การกู้ยืมเงินจะตอ้ งมี หลกั ฐานแหง่ การกยู้ ืมเงิน มิเชน่ นนั้ จะฟอ้ งรอ้ งใหบ้ งั คบั คดีตอ่ กนั ไมไ่ ด้
เนือ้ ความในเอกสารหลกั ฐานการกยู้ ืมเงิน ตอ้ งมีองคป์ ระกอบ ดงั นี้ 1. วนั ท่ีท่ีทาสญั ญากเู้ งิน 2. ช่ือ ผขู้ อกเู้ งินและผใู้ หก้ เู้ งิน 3. จานวนเงินท่ีกู้ 4. กาหนดชาระ (จะมีหรือไมม่ ีก็ได)้ 5. ดอกเบีย้ (ไมเ่ กิน 15% ตอ่ ปี) แตถ่ า้ ไมไ่ ดก้ าหนดเอาไวก้ ฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 7 ไดใ้ ช้ ในอตั รารอ้ ยละ 7.5 ตอ่ ปี 6. ผกู้ ยู้ ืมตอ้ งลงลายมือช่ือ (กรณีลงลายพิมพน์ วิ้ มือจะตอ้ งมีพยานรบั รองลายนวิ้ มือ 2 คน) 20. นายหน่งึ โฆษณาเชิญชวนแก่ประชาชนโดยท่วั ไปว่า จะทาธุรกิจการคา้ ซ่งึ มีผลประโยชนม์ หาศาลทงั้ ใน และตา่ งประเทศ ใหน้ าเงินมาฝากเป็นหุ้นสว่ น จะจ่ายปันผลใหร้ อ้ ยละ 40 ตอ่ เดือน โดยท่ีนายหน่งึ รูอ้ ยแู่ ลว้ ว่าไม่สามารถดาเนินการเช่นนั้นได้ ต่อมานายสองเห็นโฆษณา จึงตดั สินใจนาเงินฝากแก่นายหน่ึงเป็น จานวน 500,000 บาท ดงั นีก้ ารกระทาของนายหนง่ึ มีความผดิ อาญาฐานใดหรือไม่ 1. ผิดฐานฉอ้ โกง 2. ผดิ ฐานลกั ทรพั ย์ 3. ผดิ ฐานหลอกลวงผบู้ รโิ ภค 4. ไมผ่ ิดฐานลกั ทรพั ย์ เพราะเป็นการทานิตกิ รรม 5. ไม่ผิดฐานฉอ้ โกง เพราะไม่ไดแ้ สดงขอ้ ความอนั เป็นเท็จแตอ่ ยา่ งใด เน่ืองจากเป็นขอ้ เท็จจริงใน อนาคตวา่ จะแบง่ กาไร ความรู้เสริม ประเดน็ สาคญั ในเร่อื งการกระทาความผดิ เก่ียวกบั ทรพั ย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา 1. ลักทรัพย์ คอื การ “เอาไป” ซ่งึ ทรพั ยข์ องผู้อื่น หรือ ท่ีผู้อ่นื เป็ นเจ้าของรวมอยดู่ ้วย โดยทจุ รติ 2. วง่ิ ราวทรัพย์ คอื การ “ลกั ทรพั ยโ์ ดยฉกฉวยเอาซ่งึ หนา้ ” 3. กรรโชกทรัพย์ คอื การ “ขม่ ขืนใจ” ผอู้ ่ืนให้ ยอมใหห้ รอื ยอมจะใหต้ นเองหรอื ผอู้ ่ืน 4. รดี เอาทรัพย์ คือการ “ขม่ ขืนใจ” โดยขู่เขญ็ ว่าจะเปิ ดเผยความลับ 5. ชิงทรัพย์ คือการ ลักทรพั ย์ “โดยใช้กาลังประทุษร้าย” หรือ “ขู่เข็ญว่าในทันใดน้ันจะใช้ กาลังประทุษร้าย” 6. ปล้นทรัพย์ คอื การชิงทรพั ย์ “โดยรว่ มกนั กระทาความผิดดว้ ยกนั ต้งั แต่ 3 คนขึน้ ไป” 7. ฉ้อโกง คอื การ “หลอกลวง” ผอู้ ่ืนดว้ ยการ แสดงข้อความเทจ็ หรอื ปกปิ ดข้อความจริง
8. ยักยอกทรัพย์ คือการท่ี “ครอบครอง” ทรัพยข์ องผู้อื่น หรือ ท่ีผู้อื่นเป็ นเจ้าของรวมอยู่ ด้วย แลว้ “เบยี ดบงั ” เอาทรพั ยน์ นั้ เป็นของตนเอง หรือ บคุ คลท่ีสาม โดยทจุ รติ 9. รับของโจร คือการช่วยซ่อนเรน้ ชว่ ยจาหน่าย ช่วยพาเอาไปซือ้ รบั จานา หรือรบั ไวซ้ ่ึง “ทรัพย์ อันได้มาโดยการกระทาความผิด ฐานใดฐานหน่ึง 9 ฐาน” 10. ทาให้เสียทรัพย์ คือการ “ทาให้เสียหาย ทาลาย ทาให้เส่ือมค่า หรือทาให้ไรป้ ระโยชน์” ซง่ึ ทรัพยข์ องผู้อน่ื หรอื ทผี่ ู้อน่ื เป็ นเจ้าของรวมอยู่ด้วย 11. บุกรุก คอื การ “เขา้ ไป” (1) ในอสงั หารมิ ทรพั ย์ ของผู้อน่ื “เพ่ือถือการครอบครอง”อสงั หารมิ ทรพั ยน์ นั้ ทงั้ หมด หรือ แตบ่ างสว่ น (2) กระทาการใดๆ อนั เป็นการ “รบกวนการครอบครอง” อสงั หารมิ ทรพั ยโ์ ดยปกตสิ ขุ 21. ขอ้ ใดไม่ใช่สิทธิของผบู้ รโิ ภค 1. มีอสิ ระในการเลือกสนิ คา้ หรอื บรกิ าร 2. ไดร้ บั การคมุ้ ครองใหป้ ลอดภยั จากการใชส้ ินคา้ และบรกิ าร 3. มีความระมดั ระวงั ตรวจสอบคณุ ภาพและราคาก่อนซือ้ สินคา้ 4. ไดร้ บั การชดเชยคา่ เสียหายในกรณีท่ีผขู้ ายละเมิดสิทธิของผบู้ รโิ ภค 5. ไดร้ บั ทราบถงึ คาพรรณนาคณุ ภาพท่ีถกู ตอ้ งและเพียงพอของสนิ คา้ และบริการ ความรู้เสริม รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540 เป็นรฐั ธรรมนญู ฉบบั แรกท่ีใหค้ วามสาคญั ของการคุม้ ครองผูบ้ ริโภค โดยบัญญัติถึงสิทธิของผู้บริโภคไว้ในมาตรา 57 ว่า\"สิทธิของบุคคลซ่ึงเป็น ผบู้ รโิ ภคยอ่ มไดร้ บั ความคมุ้ ครองทงั้ นีต้ ามท่ีกฎหมายบญั ญตั \"ิ พระราชบัญญัติคุม้ ครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดย (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2541 ได้ บญั ญตั สิ ทิ ธิของผู้ บรโิ ภคท่ีจะไดร้ บั ความคมุ้ ครองตามกฎหมาย 5 ประการ ดงั นี้ 1. สิทธิท่ีจะไดร้ บั ขา่ วสารรวมทงั้ คาพรรณนาคณุ ภาพท่ีถกู ตอ้ งและเพียงพอเก่ียวกบั สนิ คา้ หรือบรกิ าร 2. สิทธิท่ีจะมีอิสระในการเลือกหาสินคา้ หรอื บรกิ าร 3. สทิ ธิท่ีจะไดร้ บั ความปลอดภยั จากการใชส้ นิ คา้ หรือบริการ 4. สทิ ธิท่ีจะไดร้ บั ความเป็นธรรมในการทาสญั ญา 5. สทิ ธิท่ีจะไดร้ บั การพจิ ารณาและชดเชยความเสียหาย
22. ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ งเก่ียวกบั ปฏิญญาสากลวา่ ดว้ ยเร่ืองสิทธิมนษุ ยชน 1. เป็นผลจากการลงประชามติในสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ โดยปราศจากเสียงคัดคา้ นของ ประเทศภาคที ่ีรว่ มลงนาม 2. เป็นคาม่ันสัญญาในการอยู่ร่วมกันบนพืน้ ฐานของความเท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติใน ประเทศภาคีท่ีรว่ มลงนาม 3. เป็นผลของการปรกึ ษาหารือรว่ มกนั ส่งผลใหเ้ กิดการปกปอ้ งคมุ้ ครองสิทธิมนุษยชนในประเทศ ภาคีท่ีรว่ มลงนาม 4. เป็นขอ้ ตกลงสากลระดบั พหภุ าคีท่ีส่งผลใหเ้ กิดการออกกฎหมายท่ีเก่ียวขอ้ งในประเทศภาคีท่ี รว่ มลงนาม 5. เป็นเอกสารท่ีมีศกั ดิแ์ ละสิทธิ์เทียบเทา่ กฎหมาย และมีผลผกู พนั บงั คบั ใชใ้ นประเทศภาคีท่ีรว่ ม ลงนาม ความรู้เสริม : ปฏิญญาสากลวา่ ดว้ ยสิทธิมนษุ ยชนแหง่ สหประชาชาติ (เกิดขนึ้ หลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี 2) - จดั ตงั้ โดยสมชั ชาใหญ่แหง่ สหประชาชาติ เม่ือ 10 ธ.ค. 2491 - เป็นท่ียอมรับร่วมกันแต่ไม่ใช่กฎหมายบังคับภาคี (เป็นแม่บทในการร่างกฎหมาย ภายในประเทศ) มี 30 ข้อ แบ่งเป็ น 4 กลุ่ม - สทิ ธิมนษุ ยชนเบอื้ ตน้ (ขอ้ 1-3) - สทิ ธิพลเมืองและสทิ ธิทางการเมือง (ขอ้ 4-23) - สทิ ธิทางเศรษฐกิจ สงั คม วฒั นธรรม (ขอ้ 24-27) - การรบั รองสทิ ธิมนษุ ยชนพืน้ ฐานระหวา่ งประเทศ (ขอ้ 27-30) 23. ขอ้ ใดกลา่ วถึงวฒั นธรรมไม่ถูกตอ้ ง 1. เป็นส่งิ ท่ีสะทอ้ นความคดิ ความเช่ือท่ีคนในสงั คมหนง่ึ ๆ มีรม่ กนั 2. เป็นวถิ ีชีวิตและแบบแผนท่ีคนในสงั คมหน่งึ ๆ ยดึ ถือเป็นแนวทางปฏิบตั ิ 3. เป็นเคร่อื งมือในการขดั เกลาและหลอ่ หลอมความเป็นสมาชิกของสงั คมหน่ึง ๆ 4. เป็นเอกลกั ษณท์ ่ีสรา้ งขนึ้ เพ่ือสรา้ งความเป็นอนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ของสงั คมหน่งึ ๆ 5. เป็นจารีตท่ีมีลกั ษณะตายตวั เปล่ียนแปลงไดย้ าก เน่ืองจากไดร้ บั การยอมรบั ร่วมกันในสงั คม หนง่ึ ๆ
ความรู้เสริม : วัฒนธรรม คอื ส่ิงท่ีมนษุ ยส์ รา้ งขนึ้ นามาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั และสืบสานตอ่ คนรุน่ หลงั ความสาคญั ของวฒั นธรรม 1. เป็นแบบอยา่ งในการดารงชีวิต 2. เปล่ียนแปลงได้ 3. เอกลกั ษณข์ องแตล่ ะสงั คม 4. ไมไ่ ดเ้ กิดขนึ้ เอง 5. เปรียบเทียบกนั ไมไ่ ด้ 6. ไมใ่ ชเ่ ร่ืองดงี ามเสมอไป ประเภทของวัฒนธรรม 1. คตธิ รรม : หลกั การดาเนินชีวิต 2. เนตธิ รรม : กฎหมาย ประเพณี 3. วตั ถธุ รรม : ทางวตั ถุ 4. สหธรรม : มารยาททางสงั คม **การผสานกลืนทางวฒั นธรรม มกั ใชก้ บั ชนกลมุ่ นอ้ ยท่ีถกู กลืนเขา้ มาเป็นสว่ นหนง่ึ ของวฒั นธรรมหลกั ** 24. ประเพณีในวฒั นธรรมไทยขอ้ ใดท่ีแสดงใหเ้ ห็นถงึ อทิ ธิพลของวิถีการประกอบอาชีพ 1. ประเพณีชงิ เปรต (ชิงเปรต เป็นประเพณขี องภาคใตท้ ที่ ากนั ในวนั สารทเดอื นสบิ ) 2. ประเพณีบญุ บงั้ ไฟ (เป็นประเพณีหน่งึ ของภาคอสี านของไทยรวมไปถงึ ลาว โดยมตี านานมาจาก นทิ านพนื้ บา้ นของภาคอสี านเรือ่ งพระยาคนั คาก เรือ่ งผาแดงนางไอ่ เพอื่ เป็นการบูชาพระยา ช่วงเดอื นหก หรอื พฤษภาคมของทกุ ปี) 3. ประเพณีไหลเรือไฟ (“ลอยเรือไฟ” “ล่องเรือไฟ” หรือ “ปล่อยเรือไฟ” ภาษาถ่ินจะเรียกว่า “ล่องเฮือไฟ” “ลอยเฮือไฟ” เป็นพิธีกรรมทางพทุ ธศาสนา นิยมทากนั ในวนั ขึน้ 15 ค่า เดือน 11(วนั ออก พรรษา) เป็นประเพณีโบราณของชาวอสี าน โดยเฉพาะผูอ้ ยูอ่ าศยั ในแถบลมุ่ แม่นา้ โขง) 4. ประเพณีลอยกระทง 5. ประเพณีชักพระทางนา้ (ประเพณีสาคญั อย่างหน่ึงของภาคใต้ นิยมจัดขึ้นในวนั แรม ๑ ค่า เดอื น ๑๑ คลา้ ยกบั การตกั บาตรเทโวของภาคกลาง, การชกั พระมี ๒ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ชกั พระทางบก คือ อญั เชญิ พระพทุ ธรูปประดิษฐานบนบษุ บกซ่ึงตงั้ อยบู่ นยานพาหนะแลว้ ชกั ลากไป ชกั พระทางน้า คือ อญั เชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนบุษบกในเรือแลว้ ใชเ้ ชือกผูกเรือ พระลากไปยงั สถานทที่ กี่ าหนดแลว้ จดั ถวายภตั ตาหารแดพ่ ระสงฆ์)
25. ค่านิยมในสานวนไทยต่อไปนีข้ อ้ ใดท่ีควรปรบั ปรุงแกไ้ ขเพ่ือสรา้ งวฒั นธรรมใหม่ของพลเมืองในการอยู่ รว่ มกนั อยา่ งสรา้ งสรรค์ 1. เอาใจเขามาใสใ่ จเรา 2. ปิดทองหลงั พระ 3. ขนทรายเขา้ วดั 4. ฟังหไู วห้ ู 5. ไผล่ ลู่ ม ความรู้เสรมิ : คา่ นิยม คือ ส่ิงท่ีสมาชิกทางสงั คมอยากได้ เป็นแนวทางการประพฤตขิ องบุคคล ความสาคัญของค่านิยม 1. กาหนดพฤตกิ รรมของคนในสงั คม 2. ทาใหส้ งั คมสงบหรือวนุ่ วาย 3. กระทบตอ่ ความเจรญิ และเร่อื งของกฎหมาย ค่านิยมของคนไทย 1. เทิดทลู สถาบนั กษตั รยิ ์ 2. ยกยอ่ งอานาจ 3. ยกยอ่ งคนรวย 4. ยกยอ่ งคนมีจิตใจเดด็ ขาด 5. ยกยอ่ งบรรดาศกั ดิ์ 6. ยกยอ่ งความกตญั ญรู ูค้ ณุ 7. ยกยอ่ งคนมีความรู้ การศกึ ษา 8. เช่ือในโชคลาง 9. เคารพผอู้ าวโุ ส 10. เอือ้ เฟื้อเผ่ือแผ่ 26. ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถกู ตอ้ งเก่ียวกบั อตั ลกั ษณแ์ ละการอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมแหง่ ความหลากหลายวฒั นธรรม 1. บคุ คลควรตระหนกั ในสิทธิทางวฒั นธรรมของผทู้ ่ีมาจากพืน้ เพทางวฒั นธรรมท่ีแตกตา่ งกนั 2. บุคคลควรรักษาอัตลักษณ์ของตนไว้ แม้จะอยู่ร่วมกันในสังคมท่ีมีความหลากหลายทาง วฒั นธรรม 3. บคุ คลควรละทิง้ อตั ลกั ษณท์ ่ีมีติดตวั เพ่ือการหลอมรวมทางวฒั นธรรมใหเ้ กิดความเป็นเอกภาพ 4. บคุ คลควรใหค้ วามสาคญั กบั การเรียนรูเ้ พ่ือการส่ือสารและอย่รู ว่ มกนั ระหวา่ งผทู้ ่ีมีอตั ลกั ษณท์ ่ี แตกตา่ งกนั 5. บุคคลควรใหค้ ุณค่ากับการยอมรบั ความแตกต่างและเคารพความหลากหลายเพ่ือการอยู่ รว่ มกนั อยา่ งสนั ติ
27. ขอ้ ใดไม่ใช่แนวทางท่ีถกู ตอ้ งในการผสมผสานวฒั นธรรมสากลใหเ้ ขา้ กบั วฒั นธรรมไทย 1. วฒั นธรรมสากลตอ้ งไมข่ ดั แยง้ ตอ่ คา่ นยิ ม และความเช่ือเดมิ ท่ีมีอยู่ 2. วฒั นธรรมสากลตอ้ งสามารถยดึ โยงกบั โครงสรา้ งทางสงั คมท่ีมีอยเู่ ดมิ ได้ 3. วฒั นธรรมสากลตอ้ งอยรู่ ว่ มเป็นสว่ นหน่งึ กบั วฒั นธรรมไทยท่ีมีอยเู่ ดมิ ได้ 4. วฒั นธรรมสากลตอ้ งกอ่ ใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ การเปล่ียนแปลงทางสงั คมจากเดมิ ท่ีมีอยู่ 5. วฒั นธรรมสากลตอ้ งมีสว่ นเกือ้ หนนุ ใหเ้ กิดการพฒั นาในทางท่ีดีขนึ้ จากพืน้ ฐานท่ีมีอยเู่ ดมิ 28. ขอ้ ใดเป็นเกณฑใ์ นการแบง่ รูปแบบของรฐั ออกเป็นรฐั เด่ียว รฐั รวมแบบสมาพนั ธรฐั และรฐั รวมแบบ สหพนั ธรฐั 1. ประมขุ ของรฐั 2. ขนาดของพืน้ ท่ีรฐั 3. ระบอบการเมืองการปกครองของรฐั 4. ความเป็นอนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ของประชาชนภายในรฐั 5. ความสมั พนั ธท์ างอานาจระหวา่ งรฐั บาลกลางกบั รฐั บาลทอ้ งถ่ิน ความรู้เสริม : ระบอบประชาธิปไตย ความหมาย - ประธานาธิบดีอบั ราฮมั ลินคอรน์ แห่งสหรฐั อเมริกา กล่าวว่า “ประชาธิปไตย เป็น การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพ่ือประชาชน” รูปแบบ 1. แบบพระมหากษตั รยิ ์ คือ กษัตรยิ เ์ ป็นประมขุ นายกรฐั มนตรีเป็นหวั หนา้ ฝ่ ายบรหิ าร เชน่ องั กฤษ สเปน เบลเย่ียม ไทย ญ่ีป่นุ มาเลเซีย 2. แบบประธานาธิบดี คือ ประธานาธิบดเี ป็นทงั้ ประมขุ และหวั หนา้ ฝ่ ายบรหิ าร เช่น สหรฐั อเมริกา รสั เซีย เกาหลีใต้ ฟิลปิ ปินส์ อนิ โดนีเซีย 3. แบบก่ึงประธานาธิบดี คอื ประธานาธิบดีเป็นประมขุ นายกรฐั มนตรีเป็นหวั หนา้ ฝ่ ายบริหาร เช่น ฝร่งั เศส เยอรมนั อิตาลี โปแลนด์ ออสเตรยี สิงคโปร์ ข้อดขี องระบอบประชาธิปไตย 1. เปิดโอกาสใหป้ ระชาชนสว่ นมากดาเนินการปกครองประเทศ 2. ใหป้ ระชาชนใชส้ ทิ ธิเสรีภาพไดอ้ ยา่ งเสมอภาคกนั 3. ถือกฎหมายเป็นมาตรฐานในการปกครอง 4. ระงบั ความขดั แยง้ โดยสนั ตวิ ิธี
ข้อจากัดของระบอบประชาธิปไตย 1. มีความลา่ ชา้ ในการตดั สนิ ใจ 2. เสียคา่ ใชจ้ า่ ยมากในการดาเนนิ การ เชน่ การเลือกตงั้ 3. ไมเ่ หมาะกบั ประเทศท่ียากจนและประชาชนดอ้ ยการศกึ ษา รูปแบบระบอบเผดจ็ การ 1. แบบฟาสซิสต์ – อานาจในการปกครองอยู่ท่ีผูน้ าคนเดียว ซ่ึงมักจะไดร้ บั การสนับสนุนจาก กองทพั และกล่มุ นกั ธุรกิจ เช่น สมยั ฮิตเลอรข์ องเยอรมนั สมยั มสุ โสลินีของอิตาลี สมยั นายพล ฟรงั โกของ สเปน (ในปัจจบุ นั ไมม่ ีแลว้ ) 2. เผด็จการทหาร – อานาจในการปกครองอย่ทู ่ีคณะผนู้ าฝ่ ายทหาร เช่น ประเทศพม่า สมยั จอม พลสฤษดิ์ จอมพลถนอม สมยั นายพลโตโจของญ่ีป่นุ 3. แบบคอมมิวนิสต์ – อานาจในการปกครองอยู่ท่ีพรรคคอมมิวนิสตเ์ พียงพรรคเดียวโดยจะใช้ อานาจควบคมุ ทงั้ การเมือง เศรษฐกิจ สงั คม ในปัจจบุ นั มีอยู่ 5 ประเทศ ไดแ้ ก่ จีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม ลาว และควิ บา 4. แบบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ – อานาจการปกครองอยทู่ ่ีพระมหากษัตรยิ ์ เชน่ บรูไน ภฐู าน ขอ้ ดีระบอบเผดจ็ การ 1. สามารถตดั สินใจไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เชน่ ออกกฎหมาย 2. แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ เชน่ ปราบจลาจล การก่อการรา้ ย ข้อจากัดระบอบเผดจ็ การ 1. การปกครองโดยคนเดียวอาจเกิดขอ้ ผิดพลาดและใชอ้ านาจเพ่ือประโยชนส์ ว่ นตวั 2. มีการใชอ้ านาจกดข่ี ลิดรอนสทิ ธิเสรีภาพกบั กลมุ่ ท่ีไมเ่ หน็ ดว้ ย 3. คนดีมีความสามารถท่ีไมใ่ ชพ่ วกพอ้ งไมม่ ีโอกาสดารงตาแหนง่ ทางการเมือง 4. อาจนาประเทศไปสคู่ วามพินาศได้ เสรีนิยม คือ ปรชั ญาทางการเมืองว่าดว้ ยเร่ืองสิทธิและเสรีภาพทางความคดิ และความเสมอภาค แตถ่ า้ รฐั ปลอ่ ยเสรมี ากเกินไปก็จะเกิดปัญญาเร่ืองเสถียรภาพทางการเมือง อนุรักษน์ ิยม คือ ยดึ ส่งิ ท่ีดงี ามในอดีตเป็นแนวทางการดาเนนิ ชีวติ ในปัจจบุ นั (ตรงขา้ มกบั เสรนี ิยม) สังคมนิยม คอื รฐั บาลเป็นเจา้ ของปัจจยั การผลติ (ประชาชนเพ่ือรฐั ) อานาจนิยม คอื ควบคมุ กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนเทา่ นนั้
29. ขอ้ ใดไมใ่ ชพ่ ระราชอานาจสว่ นพระองคข์ องพระมหากษตั รยิ ต์ ามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 1. การแตง่ ตงั้ องคมนตรี 2. การแตง่ ตงั้ ขา้ ราชการในระองค์ 3. การพระราชทานเคร่อื งราชอิสรยิ าภรณ์ 4. การแตง่ ตงั้ บคุ คลดารงตาแหนง่ นายกรฐั มนตรี 5. การแกไ้ ขกฎมณเฑียรบาลวา่ ดว้ ยการสืบสนั ตตวิ งศ์ ความรู้เสริม : พระราชอานาจของกษัตริยท์ ไ่ี ม่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ 1. พระราชอานาจท่ีทรงจะไดร้ บั รูเ้ ร่ืองราวตา่ ง ๆ 2. พระราชอานาจท่ีจะทรงพระราชทานคาปรกึ ษาหารือ 3. พระราชอานาจท่ีจะทรงพระราชทานคาแนะนา ตกั เตือน 4. พระราชอานาจท่ีจะทรงพระราชทานการสนบั สนนุ สง่ เสรมิ พระราชอานาจทรี่ ะบุไว้ในรัฐธรรมนูญ 1. ทรงใชอ้ านาจอธิปไตย : นิตบิ ญั ญตั ผิ า่ นสภา บรหิ ารผา่ นคณะรฐั มนตรี ตลุ าการผา่ นศาล 2. ผใู้ ดจะละเมดิ มไิ ด้ 3. ทรงเป็นพทุ ธมามกะและอคั รศาสนปู ถมั ภก 4. ทรงดารงตาแหนง่ จอมทพั ไทย 5. ทรงพระราชทานฐานนั ดร เคร่อื งราชฯ 6. แตง่ ตงั้ และถอดถอนองคมนตรี 7. แตง่ ตงั้ ผสู้ าเรจ็ ราชการ 8. แกไ้ ขกฎมณเฑียรบาล 9. ทาหนงั สือสญั ญา 10. แตง่ ตงั้ และถอดถอนนายกฯ 11. พระราชทานอภยั โทษ 30. ขอ้ ใดจบั คอู่ งคก์ รกบั อานาจตรวจสอบการใชอ้ านาจรฐั ตามรฐั ธรรมนญู ไดถ้ กู ตอ้ ง 1. คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ – ไต่สวนเจา้ หนา้ ท่ีของรฐั ระดบั สูง กรณีท่ีถกู กลา่ วหาวา่ ร่ารวยผิดปกติ 2. ศาลรฐั ธรรมนูญ – ถอดถอนผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมืองท่ีกระทาการฝ่ าฝืนมาตรฐานทาง จรยิ ธรรมอยา่ งรา้ ยแรง 3. คณะกรรมการตรวจสอบเงินแผน่ ดนิ – ยดึ ทรพั ยส์ ินของขา้ ราชการระดบั สงู ท่ีทจุ รติ เงินแผน่ ดนิ 4. คณะกรรมการการเลือกตงั้ – ยดึ ทรพั ยผ์ รู้ บั สมคั รรบั เลือกตงั้ ท่ีกระทาผิดกฎหมายเลือกตงั้ 5. ศาลปกครอง – พจิ ารณาคดีอาญาผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมือง
ความรู้เสริม องคก์ รอสิ ระท่ีตงั้ ขนึ้ ตามรฐั ธรรมนญู และมีหนา้ ท่ีสาคญั ท่ีจะใหร้ ฐั ทาตามแนวนโยบายแหง่ รฐั - คณะกรรมการการเลือกตงั้ (กกต.) ตงั้ ขนึ้ เป็นหน่วยงานดาเนินการเลือกตงั้ ท่ีเป็นอิสระ ไมข่ นึ้ กับ หนว่ ยราชการเพ่ือใหส้ ามารถดาเนินการไดโ้ ดยปลอดอิทธิพลใดๆ - ผูต้ รวจการแผ่นดินของรฐั สภาเป็นองคก์ รอิสระท่ีไม่ขึน้ ต่อขา้ ราชการการเมืองและขา้ ราชการ ประจาทาใหส้ ามารถตรวจสอบการทางานราชการไดโ้ ดยอาจตรวจเองหรือตรวจตามคารอ้ งเรียนของ ประชาชน - คณะกรรมการสิทธิมนุษยช์ นแห่งชาติ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ไดใ้ หส้ ิทธิ เสรีภาพแกป่ ระชาชนชาวไทยไมว่ า่ แหลง่ กาเนิด เพศ หรือศาสนาใดจะไดร้ บั ความคมุ้ ครองเสมอกนั - คณะกรรมการการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ (ปปช.) ไตส่ วนขอ้ เท็จจริงและสรุป สานวนในเร่ืองท่ีวฒุ ิสภาส่งมาใหเ้ ก่ียวกบั การถอดถอนผดู้ ารงตาแหนง่ ระดบั สูง การกลา่ วหาว่าเจา้ หนา้ ท่ี ของรฐั ร่ารวยผดิ ปกติ ทจุ รติ ตอ่ หนา้ ท่ีหรอื กระทาความผิดตอ่ ตาแหนง่ หนา้ ท่ีในราชการ - คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นอิสระและเป็นกลาง หมายความว่า ไม่สังกัดในรัฐบาล รฐั สภา หรอื ศาล 31. การท่ีสงั คมการเมืองหน่งึ มีกลมุ่ การเมืองหลากหลาย กลมุ่ การเมืองตา่ งยอมรบั ความแตกตา่ งของกลมุ่ อานาจอ่ืน ๆ และเคารพในฉนั ทานมุ ตั ทิ างการเมืองตามกติกาประชาธิปไตย ใหก้ ลมุ่ อานาจอ่ืนท่ีมีความคดิ คา่ นิยม และผลประโยชนต์ า่ งจากตนไดบ้ รหิ ารประเทศ สะทอ้ นถงึ แนวคดิ ขอ้ ใดมากท่ีสดุ 1. ความเป็นพหนุ ยิ มทางการเมือง 2. ความเป็นสถาบนั ทางการเมือง 3. การมีสว่ นรว่ มทางการเมือง 4. ความสามคั คีทางการเมือง 5. ความวนุ่ วายทางการเมือง ความรู้เสรมิ : สนธิสัญญา คือ ขอ้ ตกลงระหวา่ งประเทศ : เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร เกิดพนั ธะระหวา่ งกนั ลง นามโดยประมขุ หรือรฐั บาลของรฐั ประเภทของสัญญา : 1.แบบทวิภาคี : 2 ฝ่าย 2. แบบพหุภาคี : มากกวา่ 2 ฝ่าย พจิ ารณาจากชือ่ เรียก : สนธิสัญญา : กระทาโดยรฐั มกั เป็นขอ้ ตกลงทางการเมือง อนุสัญญา : สว่ นใหญ่เป็นพหภุ าคี พธิ ีสาร : ขอ้ ตกลงท่ีมีความสาคญั นอ้ ยและไมไ่ ดก้ ระทาโดยประมขุ รฐั
ความรู้เสริม : กฎหมายอาญา คือ การกระทาความผิดท่ีกระทบสงั คม ยอมความไมไ่ ด้ (ยกเวน้ ความผิด อนั เจรจากนั ได)้ จดั เป็นกฎหมายมหาชน โทษทางอาญา 1.ประหาร 2. จาคกุ 3. กกั ขงั 4.ปรบั 5.รบิ ทรพั ย์ หลักของกฎหมายอาญา 1. ไมม่ ีผลยอ้ นหลงั 2. หากไมม่ ีความผิด ไมม่ ีกฎหมาย ไมม่ ีโทษ 3. ตคี วามอยา่ งเครง่ ครดั ประเภทของความมดิ ทางอาญา : ความผิดอาญาแผน่ ดนิ คือ ความผิดท่ีกระทบตอ่ แผน่ ดนิ ยอมความไมไ่ ด้ ความผิดอาญาตอ่ บคุ คล คือ หม่ินประมาท กกั ขงั หนว่ งเหน่ียว ความผิดอนั ยอมความได้ คือ ความผิดอนั เจรจากนั ได้ เช่น หม่นิ ประมาท ความผิดลหโุ ทษ คือ ความผดิ ท่ีจาคกุ ไมเ่ กิน 1 เดอื น ปรบั ไมเ่ กิน 1,000 บาท เชน่ ฉีกทาลายเอกสารราชการ พกพาอาวธุ เขา้ เมืองหรือหมบู่ า้ น ทะเลาะววิ าท เป็นตน้ ความผิดทางอาญา 1. เจตนา : ประสงคต์ อ่ ผล=จงใจกระทา เล็งเห็นผล=รูว้ า่ จะเกิดแตก่ ็กระทา 2. ประมาท : ปราศจากความระวงั 3. ไมเ่ จตนา : กระทาโดยไมไ่ ดม้ ีเจตนาใหเ้ กิด เชน่ ตอ่ ยกนั แลว้ อีกคนเสียชีวติ กฎหมายเว้นโทษ : 1. กระทาโดยความจาเป็น 2. บกพรอ่ งทางจติ 3. มนึ เมา 4. คาส่งั เจา้ พนกั งาน 5. เดก็ อายไุ มเ่ กิน 7 ปี การระงบั ของคดอี าญา : 1. ผผู้ ิดเสียชีวิต 2. เม่ือถอนฟ้องหรอื ยอมความในคดีความผดิ ตอ่ สว่ นตวั 3. คาพิพากษาถึงท่ีสดุ 4. คดีขาดอายคุ วาม(ตอ้ งฟอ้ งรอ้ งภายใน 3 เดือน) 5. กฎหมายเวน้ โทษ 6. โดนโทษตาม ม.37 (ปรบั ) สาระเศรษฐศาสตร์ 32. หากรฐั บาลของประเทศหน่ึงไดป้ ระกาศนโยบายว่าจะดาเนินนโยบายเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ เปิดเสรี การคา้ ระหว่างประเทศ และขยายเสรีภาพทางการเมือง จะส่งผลต่อการดาเนินชีวิตของประชาชนของ ประเทศนนั้ ในเร่อื งตา่ ง ๆ เหลา่ นีย้ กเว้นขอ้ ใด 1. ไดม้ ีสว่ นรว่ มแสดงความคดิ เห็นตอ่ นโยบายพฒั นาของทอ้ งถ่ิน 2. ไดร้ บั สวสั ดกิ ารสงั คมอยา่ งถว้ นหนา้ และกวา้ งขวางจากรฐั 3. ไดร้ บั การสง่ เสรมิ พฒั นาธรุ กิจการคา้ ระหวา่ งประเทศ 4. ไดม้ ีสทิ ธิตรวจสอบการปฏิบตั หิ นา้ ท่ีของเจา้ หนา้ ท่ีรฐั 5. ไดม้ ีโอกาสลงทนุ ในกิจการท่ีรฐั เคยดาเนนิ การเอง
ความรู้เสรมิ เสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism) หมายถึง การกาเนิดใหม่ของความคิดท่ีสมั พนั ธก์ บั เสรีนิยมทาง เศรษฐกิจแบบปล่อยใหท้ าไปสมยั คริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 ในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 20 เสรีนิยมใหม่ประกอบดว้ ย นโยบายเปิดเสรีทางเศรษฐกิจอยา่ งกวา้ งขวาง เชน่ การโอนกิจการของรฐั เป็นของเอกชน การรดั เขม็ ขดั ทาง การเงิน (fiscal austerity) การลดขอ้ บงั คบั (deregulation) การคา้ เสรีและการลดรายจ่ายภาครฐั เพ่ือเพ่ิม บทบาทของภาคเอกชนในเศรษฐกิจ 33. ขอ้ ใดเป็นขอ้ เสียของระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยมหรือตลาดเสรีเม่ือเปรยี บเทียบกบั ระบบเศรษฐกิจแบบ อ่ืน ๆ 1. การจดั สรรทรพั ยากรมีประสิทธิภาพนอ้ ยกวา่ 2. การกระจายรายไดแ้ ละทรพั ยส์ ินมกั ไมม่ ีความเทา่ เทียมกนั 3. รฐั บาลมีเสรภี าพมากเกินไป ประชาชนไมส่ ามารถควบคมุ ได้ 4. รฐั บาลไมส่ ามารถควบคมุ กิจกรรมทางเศรษฐกิจของเอกชนได้ 5. รฐั บาลแทรกแซงตลาดจนทาใหก้ ลไกราคาไมส่ ามารถทางานได้ ความรู้เสรมิ : ระบบเศรษฐกจิ 1. ทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจท่ีเอกชนเป็นเจา้ ของปัจจยั การผลิต มีเสรีภาพในการ ดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มท่ี โดยท่ีรฐั บาลจะไม่เขา้ ไปเก่ียวขอ้ งหรือแทรกแซงในการดาเนิน กิจกรรมทางเศรษฐกิจ รัฐทาหน้าท่ีในการอานวยความสะดวกและการจัดสรา้ งสาธารณูปโภคต่างๆ แกป้ ัญหาตา่ ง ๆ โดยใชก้ ลไกราคา ข้อดี 1. กาไรเป็นแรงจงู ใจ 2. มีการแขง่ ขนั สงู 3. ประชาชนมีทางเลือกมาก ข้อเสยี 1. การกระจากรายไดไ้ มเ่ ทา่ เทียม 2. ใชท้ รพั ยากรสิน้ เปลือง 2. ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (Socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจท่ีรฐั เขา้ ไปควบคุมการ ดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเป็นผูต้ ดั สินใจในการแก้ปัญหาพืน้ ฐานทางเศรษฐกิจ โดยมีการวาง แผนการดาเนินงานทางเศรษฐกิจจากส่วนกลาง ในระบบเศรษฐกิจแบบนีร้ ฐั บาลจะเป็นเจา้ ของปัจจยั การ ผลติ สว่ นใหญ่ แตย่ งั คงใหเ้ อกชนมีสทิ ธิในการถือครองทรพั ยส์ นิ สว่ นตวั อาทิ ท่ีพกั อาศยั ข้อดี 1. ลดความเหล่ือมลา้ ในการกระจากรายได้ 2. ประชาชนมีความสามคั คีรว่ มแรงรว่ มใจมากกวา่ 3. รฐั จะครอบครองปัจจยั ขนั้ พืน้ ฐานไวท้ งั้ หมด และความคมุ กิจการสาธารณปู โภคทงั้ หมด ข้อเสยี 1. แรงจงู ใจในการทางานต่า คนงานจะไดร้ บั สว่ นแบง่ ตามความจาเป็น 2. ผบู้ รโิ ภคไมม่ ีโอกาสเลือกสนิ คา้ ไดม้ าก
3. ประชาชนไมม่ ีเสรีภาพอยา่ งเตม็ ท่ีในการทาธรุ กิจ 4. ไมค่ อ่ ยมีการปรบั ปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพราะไมม่ ีการแขง่ ขนั 3. ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (Mixed Economy) ระบบเศรษฐกิจท่ีรวมเอาลกั ษณะสาคญั ของ ระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยมและสงั คมนิยมเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั ระบบเศรษฐกิจแบบผสม หรือท่ีเรยี กกนั โดยท่วั ๆ ไปอีกอยา่ งหนง่ึ วา่ ”ระบบเศรษฐกิจแบบ ทนุ นิยมใหม”่ ข้อดี 1. เป็นการยกฐานะของคนในสงั คมใหเ้ ทา่ เทียมกนั 2. รายไดถ้ กู นามาเฉล่ียใหผ้ ทู้ างานตามกาลงั งานท่ีไดก้ ระทา 3. เอกชนยงั มีบทบาททางเศรษฐกิจ มีการแขง่ ขนั สินคา้ จงึ มีคณุ ภาพสงู 4. ผบู้ รโิ ภคมีโอกาสเลือกสนิ คา้ ไดม้ ากพอสมควร 5. ความไมเ่ ทา่ เทียมในรายได้ และทรพั ยส์ ินมีนอ้ ย ข้อเสีย 1. ระบบนีม้ ีการวางแผนเพียงบางส่วน จึงอาจจะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในกรณีท่ี ตอ้ งการเรง่ รดั พฒั นาเศรษฐกิจอยา่ งรวดเรว็ เชน่ ยามสงคราม 2. การควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วนโดยรฐั เป็นเคร่ืองกีดขวางเสรีภาพของ เอกชน 3. การวางแผนจากส่วนกลางเพ่ือประสานประโยชนข์ องรฐั บาลเขา้ กบั เอกชนใหเ้ กิดผลดี แกส่ ว่ นรวมอยา่ งแทจ้ รงิ ทาไดย้ าก 4. นกั ธุรกิจขาดความม่นั ใจในการลงทนุ เพราะไมแ่ นใ่ จวา่ ในอนาคตกิจกรรมของตนจะถกู โอนเป็นของรฐั หรือไม่ 5. การบรหิ ารงานอตุ สาหกรรมของรฐั มีประสทิ ธิภาพไมด่ ไี ปกวา่ สมยั ท่ีอยใู่ นมือของเอกชน 34. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเก่ียวกบั ลกั ษณะหรือพฤตกิ รรมของผผู้ ลิตในตลาดแตล่ ะประเภท 1. ผผู้ ลิตในตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณจ์ ะรว่ มมือกนั ตงั้ ราคาสงู 2. ผผู้ ลติ ในตลาดก่งึ แขง่ ขนั ก่งึ ผกู ขาดจะตงั้ ราคาสงู เทา่ ใดก็ได้ 3. ผผู้ ลิตในตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณพ์ บการกีดขวางการเขา้ ออกตลาดจากคแู่ ขง่ 4. ผผู้ ลิตในตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณส์ ามารถสรา้ งกาไรไดท้ งั้ ระยะสนั้ และระยะยาว 5. ผผู้ ลติ ในตลาดก่งึ แขง่ ขนั ก่งึ ผกู ขาดจะแขง่ ขนั กนั สรา้ งความแตกตา่ งใหก้ บั สินคา้ ของตน ความรู้เสรมิ : ตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ 1. มีผซู้ ือ้ ผขู้ ายจานวนมาก 2. สนิ คา้ เหมือกนั 3. ตดิ ตอ่ ซือ้ ขายสะดวก 4. หนว่ ยธรุ กิจเขา้ ออกไดโ้ ดยเสรี
ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ ตลาดผูกขาด คือ มีผขู้ ายรายเดียว ควบคมุ ราคา ปริมาณไดท้ งั หมด เช่น ไฟฟ้า ประปา ยาสบู รถไฟ ตลาดผู้ขายน้อยราย คือ มีผูข้ ายน้อยแต่ขายสินคา้ เป็นจานวนมาก ถ้าผู้ขายรายใด เปล่ียนแปลงราคาจะกระทบตอ่ ผขู้ ายรายอ่ืน ราคาสนิ คา้ จึงใกลเ้ คียงกนั เชน่ นา้ มนั นา้ อดั ลม หนงั สือพิมพ์ รถยนต์ เป็นตน้ ตลาดกึ่งแข่งขันก่ึงผูกขาด คือ มีผซู้ ือ้ และผขู้ ายจานวนมาก สินคา้ ท่ีผลิตมีเอกลกั ษณ์ และมาตรฐานท่ีแตกตา่ งกนั ในหลายดา้ น(ย่ีหอ้ ) ทาใหส้ ามารถกาหนดราคาเองไดโ้ ดยไม่กระทบผขู้ ายราย อ่ืน เชน่ เสือ้ ผา้ รองเทา้ สบู่ ยาสระผม เคร่อื งสาอางตา่ ง ๆ 35. เม่ือราคาสนิ คา้ ชนิดหน่งึ สงู ขนึ้ จะทาใหเ้ กิดเหตกุ ารณใ์ ดกบั สนิ คา้ ชนิดนนั้ 1. เสน้ อปุ ทานเคล่ือนยา้ ยไปทางขวาทงั้ เสน้ 2. เสน้ อปุ สงคเ์ คล่ือนยา้ ยไปทางขวาทงั้ เสน้ 3. เสน้ อปุ สงคเ์ คล่ือนยา้ ยไปทางซา้ ยทงั้ เสน้ 4. ปรมิ าณซือ้ ลดลงโดยเคล่ือนยา้ ยไปบนเสน้ อปุ สงคเ์ ดมิ 5. ปรมิ าณขายลดลงโดยเคล่ือนยา้ ยไปบนเสน้ อปุ ทานเดมิ 36. ถ้าถ่ัวลิสงเป็นสินค้าด้อย (inferior good) หากรายได้ของผู้บริโภคเพ่ิมสูงขึน้ จะส่งผลให้มีการ เปล่ียนแปลงดลุ ยภาพของตลาดถ่วั ลสิ งอยา่ งไร 1. ราคาและปรมิ าณดลุ ยภาพลดลง 2. ราคาและปรมิ าณดลุ ยภาพจะเพ่มิ ขนึ้ 3. ราคาดลุ ยภาพจะลดลง แตป่ รมิ าณดลุ ยภาพจะเพ่มิ ขนึ้ 4. ราคาดลุ ยภาพจะสงู ขนึ้ แตป่ รมิ าณดลุ ยภาพจะลดลง 5. ราคาดลุ ยภาพจะสงู ขนึ้ แตป่ รมิ าณดลุ ยภาพจะคงเดมิ 37. ขอ้ ใดเป็นผลท่ีเกิดขนึ้ เม่ือรฐั บาลกาหนดราคาขนั้ สงู ของตลาดสนิ คา้ 1. ภาวะสนิ คา้ ลน้ ตลาด 2. ภาวะขาดแคลนสนิ คา้ 3. อปุ ทานสินคา้ เพ่มิ ขนึ้ 4. อปุ สงคส์ นิ คา้ ลดลง 5. ราคาปรบั ตวั เขา้ สดู่ ลุ ยภาพในตลาด
38. ถา้ เนือ้ ไก่และเนือ้ ววั เป็นสินคา้ ท่ีใชท้ ดแทนกนั เม่ือราคาเนือ้ ววั ลดลง ในขณะท่ีราคาเนือ้ ไก่ยงั คงเดิมจะ สง่ ผลตอ่ การเปล่ียนแปลงของเสน้ อปุ สงคห์ รือเสน้ อปุ ทานของสนิ คา้ แตล่ ะชนดิ ตามขอ้ ใด 1. เสน้ อปุ ทานของเนือ้ ววั จะเคล่ือนยา้ ยไปทางซา้ ยทงั้ เสน้ 2. เสน้ อปุ ทานของเนือ้ ไก่จะเคล่ือนยา้ ยไปทางขวาทงั้ เสน้ 3. เสน้ อปุ สงคส์ าหรบั เนือ้ ไกจ่ ะเคล่ือนยา้ ยไปทางซา้ ยทงั้ เสน้ 4. เสน้ อปุ สงคส์ าหรบั เนือ้ ไกจ่ ะเคล่ือนยา้ ยไปทางขวาทงั้ เสน้ 5. เสน้ อปุ สงคส์ าหรบั เนือ้ ววั จะเคล่ือนยา้ ยไปทางขวาทงั้ เสน้ ความรู้เสรมิ : อปุ สงค์ คือ ความตอ้ งการซือ้ อปุ ทาน คือ ความตอ้ งการขาย กฎของอุปสงค์ คือ Pขนึ้ .......Dลง Pลง......Dขนึ้ (ตรงกนั ขา้ ม) กฎของอุปทาน คือ Pขนึ้ .......Dขนึ้ Pลง......Dลง (ทางเดียวกนั ) สินค้าทใี่ ช้ทดแทนกัน - อปุ สงคข์ องสนิ คา้ ชนิดหน่งึ จะแปรผนั ตรง(ทางเดียวกนั ) ตามราคาของ สินคา้ ท่ีใชท้ ดแทนกนั เช่น เนือ้ ไก่ราคาถกู ลง อปุ สงคเ์ นือ้ หมกู ็จะลดลง หรือในทางกลบั กนั เป็นตน้ สนิ ค้าทใี่ ช้ร่วมกัน(ประกอบกัน) - อปุ สงคส์ นิ คา้ ชนิดหนง่ึ จะแปรผกผนั (ตรงกนั ขา้ ม) กบั ราคาของสินคา้ ท่ีใชป้ ระกอบกนั เชน่ ถา้ ไมป้ ิงปองราคาสงู อปุ สงคต์ อ่ ลกู ปิงปองจะลดลง เป็นตน้ อุปทานส่วนเกิน คือ ปรมิ าณความตอ้ งการขายมากกวาซือ้ เกิดสินคา้ ลน้ ตลาด ราคาถกู อุปสงคส์ ่วนเกิน คือ ปรมิ าณความตอ้ งการซือ้ มากกวา่ ขาย เกิดสนิ คา้ ขาดตลาด ราคาแพง ดุลยภาพของตลาด คือ สภาวะท่ีปรมิ าณเสนอซือ้ เทา่ กบั เสนอขาย อปุ สงคแ์ ละอปุ ทานสว่ นเกินมี คา่ เทา่ กบั ศนู ย์ ปริมาณดุลยภาพ คือ ปริมาณของความตอ้ งการขายสินคา้ และปริมาณความตอ้ งการซื้อสินคา้ ของผผู้ ลิตและบริโภคตรงกนั ทาใหส้ ินคา้ หมดพอดีไม่มีสินคา้ เหลือหรือตกคา้ ง ถา้ ผขู้ ายนาสินคา้ มาขาย มากเกินกวา่ ความตอ้ งการของผซู้ ือ้ ทาใหม้ ีสินคา้ คงเหลือ เรียกว่า อปุ ทานสว่ นเกิน ขณะเดียวกนั ถา้ ผซู้ ือ้ มี ความตอ้ งการซือ้ สินคา้ มากกวา่ ปรมิ าณสินคา้ ท่ีมีอยู่ ทาใหม้ ีสินคา้ ขาดตลาด เรียกวา่ อปุ สงคส์ ว่ นเกิน 39. ลักษณะหรือพฤติกรรมของหน่วยธุรกิจตามขอ้ ใดท่ีไม่เขา้ ข่ายการประยุกตใ์ ชเ้ ศรษฐกิจพอเพียงใน ภาคอตุ สาหกรรม 1. เนน้ การแขง่ ขนั และการแสวงหากาไรสงู สดุ 2. เนน้ ความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ในการประกอบการ 3. มีขนาดการผลติ และใชเ้ ทคโนโลยีเหมาะสม 4. เนน้ การกระจายความเส่ียงในการประกอบการ 5. ตอบสนองความตอ้ งการในทอ้ งถ่ินเป็นลาดบั แรก ๆ
40. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเก่ียวกบั หลกั การของสหกรณ์ 1. ผลตอบแทนท่ีเป็นทนุ ของสหกรณส์ ามารถนามาแบง่ ปันเพ่ือเป็นประโยชนแ์ ก่สมาชกิ ได้ 2. การเป็นสมาชิกสหกรณต์ อ้ งทาดว้ ยความสมคั รใจ และสหกรณต์ อ้ งเปิดกวา้ งในการรบั สมาชกิ 3. สหกรณพ์ ึงใหก้ ารศกึ ษาและฝึกอบรมกบั บคุ คลท่วั ไป รวมถึงเป็นผนู้ าทางความคิดใหก้ บั สงั คม ได้ 4. สหกรณ์ตอ้ งดาเนินการตามหลักประชาธิปไตย และอยู่ภายใตก้ ารควบคุมดูแลจากผูก้ ่อตงั้ สหกรณ์ 5. สหกรณต์ อ้ งเอือ้ อาทรตอ่ ชมุ ชน และดาเนินนโยบายท่ีไดร้ บั ความเห็นชอบจากกรรมการบรหิ าร สหกรณ์ ความรู้เสรมิ : ประเภทของสหกรณ์ 1. สหกรณก์ ารเกษตร คือ เพ่ือชว่ ยเหลือผมู้ ีอาชีพเกษตรกร 2. สหกรณป์ ระมง คอื ชว่ ยเหลือชาวประมงในดา้ นเงินกแู้ ละการประกอบอาชีพ 3. สหกรณน์ ิคม คือ จดั สรรท่ีดนิ ทากินแก่สมาชิก 4. สหกรณร์ า้ นคา้ คือ จาหน่ายสนิ คา้ แก่สมาชิกในราคาถกู มีรายไดแ้ ละเงินปันผลแก่สมาชิก 5. สหกรณบ์ รกิ าร คือ จดั หาวสั ดอุ ปุ กรณก์ ารประกอบอาชีพแกส่ มาชกิ เชน่ สหกรณแ์ ทก็ ซ่ี 6. สหกรณอ์ อมทรพั ย์ คือ สง่ เสรมิ การออมของสมาชกิ และบรกิ ารสนิ เช่ือดอกเบยี้ ต่า 7. สหกรณเ์ ครดิตยเู น่ียน คือ เพ่ือชว่ ยเหลือสมาชิกผมู้ ีรายไดไ้ มป่ ระจาท่ีอยใู่ นวงวารเดียวกนั เชน่ ในชมุ ชนเดียวกนั อาชีพเดยี วกนั สมาคมเดียวกนั โดยใหบ้ รกิ ารฝากเงิน เงินกู้ 41. ขอ้ ใดเป็นพฤตกิ รรมท่ีถกู ตอ้ งเก่ียวกบั การใชบ้ รกิ ารสถาบนั การเงินของประเทศไทย 1. นาย ก ไมใ่ ชเ่ กษตรกรจงึ ไมม่ ีสทิ ธิฝากเงินท่ีธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์ 2. นาย ข นบั ถือศาสนาพทุ ธจงึ ไมม่ ีสทิ ธิฝากเงินและกเู้ งินจากธนาคารอสิ ลามแหง่ ประเทศไทย 3. นาย ค กูเ้ งินจากธนาคารอาคารสงเคราะหเ์ พ่ือสรา้ งบา้ นจัดสรรจาหน่ายใหแ้ ก่ประชาชนท่ีมี รายไดต้ ่า 4. นาย ง กเู้ งินจากธนาคารพฒั นาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยเพ่ือใชใ้ น การผลิตสินคา้ OTOP 5. นาย จ นาเงินไปฝากท่ีธนาคารเพ่ือการสง่ ออกและนาเขา้ แหง่ ประเทศไทยเพ่ือตอ้ งการสนบั สนนุ การสง่ ออกของประเทศไทย
ความรู้เสริม : สถาบนั การเงินสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ ธนาคาร และสถาบนั การเงินท่ี ไมใ่ ชธ่ นาคาร 1. ธนาคาร 1.1 ธนาคารกลาง หมายถึง สถาบนั ทางการเงินของรฐั ซ่งึ มีอานาจหนา้ ท่ีควบคมุ ปริมาณเงิน และเครดิตของประเทศ ใหอ้ ย่ใู นปริมาณท่ีเหมาะสมเพ่ือใหเ้ กิดความก้าวหนา้ และเสถียรภาพต่อระบบ เศรษฐกิจของประเทศ แต่ตอ้ งอยู่ภายใตน้ โยบายของรัฐบาล ไม่ไดแ้ สวงหาผลกาไรเป็นผลตอบแทน เหมือนกบั ธนาคารพาณิชย์ ไดแ้ ก่ ธนาคารแหง่ ประเทศไทย 1.2 ธนาคารพาณิชย์ หมายถึง ธนาคารท่ีประกอบธุรกิจประเภทรบั ฝากเงินท่ีตอ้ งจ่ายเงินคืน เม่ือตอ้ งทวงถาม หรือเม่ือสิน้ ระยะเวลาท่ีกาหนดไว้ รวมทงั้ ใหก้ ยู้ ืมหรือสินเช่ือแก่ประชาชน ใหบ้ รกิ ารซือ้ ขายต๋วั แลกเงิน หรอื ซือ้ ขายเงินตราตา่ งประเทศ 1.3 ธนาคารทม่ี ีวัตถุประสงคเ์ ป็ นพเิ ศษ ไดแ้ ก่ 1) ธนาคารออมสิน เป็นธนาคารของรฐั บาล มีหน้าท่ีรบั ฝากเงินจากประชาชนท่วั ไป โดยเฉพาะผมู้ ีเงินออมรายย่อย ออกพนั ธบตั ร สลากออมสิน รบั ฝากเงินในรูปแบบตา่ ง ๆ เพ่ือสงเคราะห์ ชีวิตและการศกึ ษาโดยเฉพาะเยาวชนของชาติ และกิจกรรมอ่ืน ๆ เช่น ปล่อยเงินกใู้ หผ้ มู้ ีรายไดน้ อ้ ยใน วงเงินต่า คนท่วั ไปจงึ เรียกวา่ ธนาคารคนจน 2) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นธนาคารของรฐั บาล มีวัตถุประสงคเ์ พ่ือใหค้ วาม อนเุ คราะหแ์ ก่ประชาชนเก่ียวกบั การกยู้ ืม เพ่ือนาไปซือ้ ท่ีดนิ หรืออาคารส่ิงปลกู สรา้ ง หรือซ่อมแซมตอ่ เติม ไถ่ถอนการจานองท่ีดินและอาคาร หรือเพ่ือการลงทุนในกิจการการเคหะ พรอ้ มกับรับฝากเงินของ ประชาชนท่วั ไปดว้ ย 3) ธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สังกัดกระทรวงการคลัง ตงั้ ขึน้ เพ่ือช่วยเหลือดา้ นการเงินแก่เกษตรกร กล่มุ เกษตรกร หรือสหกรณก์ ารเกษตร ในรูปของการกยู้ ืม เงินในอตั ราดอกเบยี้ ต่า เพ่ือนาไปลงทนุ ดา้ นการเกษตร 2. สถาบันการเงนิ ทไ่ี ม่ใช่ธนาคาร 2.1 บรษิ ทั เงินทนุ หลกั ทรพั ยจ์ ากดั มีวตั ถปุ ระสงคค์ ลา้ ยกบั ธนาคารพาณิชยม์ ากท่ีสดุ คือ ระดมา เงินออมโดยออกตราสารเครดติ หรือต๋วั แลกเงินเพ่ือเป็นหลกั ฐานในการกเู้ งินจากประชาชน 2.2 บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงคเ์ พ่ือให้ความช่วยเหลือดา้ น การเงินแก่กิจการอตุ สาหกรรมเอกชน 2.3 บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดยอ่ ม มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือใหค้ วามชว่ ยเหลือดา้ นการเงินแก่ อตุ สาหกรรมขนาดยอ่ มและอตุ สาหกรรมครวั เรือน
2.4 บรษิ ทั เครดติ ฟองซิเอร์ มีวตั ถปุ ระสงคใ์ นการกยู้ ืมเงินเพ่ือการซือ้ ท่ีดนิ สรา้ งบา้ นหรือผอ่ นสง่ 2.5 บริษัทประกันภัยและบริษัทประกันชีวิต เป็นสถาบนั ทางการเงินท่ีช่วยเหลือผปู้ ระสบภยั ให้ ผอ่ นหนกั เป็นเบาได้ สถาบนั นีไ้ มค่ อ่ ยประสบผลสาเรจ็ เพราะขาดการประชาสมั พนั ธ์ และประชาชนไม่เห็น ผลประโยชนท์ ่ีพึงไดร้ บั จากการนาเงินไปลงทุน ทาใหห้ ลายบริษัทลม้ เหลวและในท่ีสุดขาดความม่นั คง ใหก้ บั ผปู้ ระกนั ภยั 2.6 สหกรณอ์ อมทรพั ย์ เป็นสถาบนั การเงินท่ีประชาชนเร่มิ เห็นคณุ คา่ และเห็นประโยชนข์ องการ รว่ มมือเพ่ือชว่ ยเหลือชมุ ชน หรือกลมุ่ บคุ คลท่ีมีความคดิ ในแนวเดยี วกนั จดั ทาขนึ้ เพ่ือออมทรพั ยแ์ ละจดั ทา หนว่ ยธุรกิจของกลมุ่ ตนเอง หรอื ชมุ ชน 2.7 โรงรบั จานา เป็นสถาบนั การเงินขนาดย่อม มี 3 ประเภท คือ โรงรบั จานาเอกชน โรงรบั จานาของกรมประชาสงเคราะห์ โรงรบั จานาของเทศบาล ซ่งึ ไดใ้ หบ้ ริการกยู้ ืมเงินแก่บคุ คลท่วั ไป โดยรบั จานาส่งิ ของเคร่อื งใชต้ า่ ง ๆ 42. ถา้ รฐั บาลมีนโยบายเร่งรดั จดั เก็บภาษี แต่ไม่ตอ้ งการใหผ้ เู้ สียภาษีผลกั ภาระภาษีไปใหบ้ ุคคลอ่ืนได้ รฐั บาลควรเรง่ รดั จดั เก็บภาษีประเภทใด 1. ภาษีศลุ กากร (เป็นภาษีชนดิ ทเี่ รยี กว่า กาแพงภาษี หรือ Tariff Barrier คอื เป็นภาษีทไี่ มเ่ กิดจาก การมีรายไดเ้ พ่มิ ขึน้ แต่เป็นภาษีทีส่ กดั กนั้ การไหลบ่าของสนิ คา้ จากต่างประเทศทจี่ ะเขา้ มาภายในประเทศ ทงั้ นี้ เพือ่ ปกป้องสินคา้ ที่ผลิตภายในประเทศไม่ใหถ้ ูกโจมตีจากสินคา้ ต่างประเทศที่มีคุณภาพดีกว่าแต่ ราคายอ่ มเยากวา่ ) 2. ภาษีมลู คา่ เพ่ิม (เป็นภาษีทีเ่ ก็บจากผูข้ ายสินคา้ ในประเทศรวมถึงการนาเขา้ หรือส่งออก หากมี รายรับจากการขายสินคา้ หรือใหบ้ ริการเกินกว่า 1.8 ลา้ นบาทต่อปี มีหนา้ ที่ตอ้ งยื่นคาขอจดทะเบียน ภาษีมูลคา่ เพม่ิ ) 3. ภาษีสรรพสามิต (ภาษีบาป เรียกเก็บจากการขายสินคา้ บริการบางประเภทที่มีส่วนทาลาย สงั คม วฒั นธรรม ธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม หรือบริการทมี่ ีลกั ษณะเป็นการฟ่ มุ เฟือย เช่น บหุ รี่ เหลา้ ไพ่ นา้ มนั เชอื่ เพลงิ ตา่ งๆ อาบอบนวด รถยนตย์ านพาหนะ นา้ หอม สนามกอลฟ์ พรมขนสตั ว์ เป็นตน้ ) 4. ภาษีท่ีเก่ียวกบั โภคภัณฑ์ (เงินที่ทางภาครฐั เรียกเก็บจากการดดั แปลงสภาพรถยนต์หรือแปล งา่ ยๆก็ \"บริโภคผลติ ภณั ฑ\"์ ) 5. ภาษีเงินไดบ้ คุ คลธรรมดา (ภาษีทจี่ ดั เก็บจากบคุ คลทว่ั ไป หรือจากหน่วยภาษีทมี่ ลี กั ษณะพเิ ศษ ตามทกี่ ฎหมายกาหนดและมรี ายไดเ้ กิดขึน้ ตามเกณฑ์ทกี่ าหนด โดยปกตจิ ดั เกบ็ เป็นรายปี)
ความรู้เสรมิ ภาษีเงนิ ไดน้ ิตบิ ุคคล เป็นภาษีอากรประเภทหน่งึ ท่ีบญั ญตั ไิ ว้ ในประมวลรษั ฎากร จดั เก็บจากเงิน ไดข้ องบรษิ ทั หรือหา้ งหนุ้ สว่ นนติ บิ คุ คล พนื้ ฐานสาหรับ ภาษีโดยตรง ภาษีทางอ้อม การเปรียบเทยี บ ความหมาย ภ า ษี ท า ง ต ร ง เ รี ย ก ว่ า ภ า ษี เ รี ย ก ภ า ษี ท า ง อ้อ ม เ รี ย ก ว่า ภ า ษี เ รี ย ก เ ก็ บ จ า ก เก็บจากรายไดแ้ ละความม่ังค่ัง บุคคลท่ีบริโภคสินคา้ และบริการและจ่าย ของบคุ คลและจ่ายโดยตรงใหก้ บั ใหก้ บั รฐั บาลทางออ้ ม รฐั บาล ธรรมชาติ ความกา้ วหนา้ ถอยหลงั อุบัติการณ์และ ตกหลมุ คนคนเดยี วกนั ตกหลมุ คนละคน ผลกระทบ ประเภท ภาษีความม่ังค่ัง, ภาษีรายได้, ภาษีการขายส่วนกลาง, ภาษีมูลค่าเพ่ิม ภาษีทรัพย์สิน, ภาษีนิติบุคคล, (ภาษีมูลค่าเพ่ิม), ภาษีบริการ, STT (ภาษี หนา้ ท่ีนาเขา้ และสง่ ออก ธุรกรรมความปลอดภัย), ภาษีสรรพสามิต, ภาษีศลุ กากร การหลกี เลย่ี ง การหลีกเล่ียงภาษีเป็นไปได้ การหลีกเล่ียงภาษีแทบจะเป็ นไปไม่ได้ เพราะมันรวมอยู่ในราคาของสินค้าและ บรกิ าร เงนิ เฟ้อ ภาษีโดยตรงช่วยในการลดอตั รา ภาษีทางออ้ มสง่ เสรมิ อตั ราเงินเฟอ้ เงินเฟอ้ การกาหนดและ ก า ห น ด แ ล ะ ร ว บ ร ว ม จ า ก ผู้ กาหนดและเก็บจากผู้บริโภคสินค้าและ การรวบรวม ป ร ะ เ มิ น เ ช่ น บุ ค ค ล HUF บรกิ าร แตจ่ า่ ยและนาไปฝากโดยผปู้ ระเมนิ
(ครอบครวั แบ่งแยกศาสนาฮินดู) บรษิ ัท บรษิ ัท ฯลฯ ภาระ ไมส่ ามารถเล่ือนได้ สามารถเล่ือนได้ เหตกุ ารณ์ รายไดท้ ่ีตอ้ งเสียภาษีหรือความ การซื้อ / ขาย / การผลิตสินค้าและการ ม่งั ค่งั ของผถู้ กู ประเมิน ใหบ้ รกิ าร 43. ขอ้ ใดคือมาตรการของนโยบายการเงินท่ีรฐั บาลควรเลือกใชเ้ พ่ือแกป้ ัญหาเงินเฟ้อท่ีเกิดจากสาเหตดุ า้ น อปุ สงค์ 1. รฐั บาลประกาศลดอตั ราภาษีมลู คา่ เพ่มิ 2. ธนาคารพาณิชยป์ ระกาศลดอตั ราดอกเบีย้ 3. ธนาคารกลางประกาศเพ่มิ อตั รารบั ชว่ งซือ้ ลด 4. ธนาคารกลางประกาศลดอตั ราเงินสารองตามกฎหมาย 5. ธนาคารกลางกระตนุ้ ใหธ้ นาคารพาณิชยข์ ยายสินเช่ือใหม้ ากขนึ้ ความรู้เสรมิ : นโยบายการเงิน : ถกู กาหนดโดยธนาคารแหง่ ประเทศไทย แบบขยายตัว : ลดเงินสดสารอง ซือ้ ขายหลกั ทรพั ย์ ลดดอกเบีย้ เงินกู้ ขอความรว่ มมือจากธนาคารพาณิชย์ แบบหดตัว : ลดปรมิ าณเงินในระบบ ตรงขา้ มกบั ขยายตวั นโยบายการคลัง : เก่ียวขอ้ งกบั การหารายไดข้ องรฐั บาล สว่ นใหญ่ คือ ภาษี แบบขยายตวั : ลดการใชจ้ ่ายของภาครฐั เพ่มิ อตั ราภาษี ใชง้ บแบบเกินดลุ แบบหดตัว : เพ่มิ การใชจ้ า่ ยของภาครฐั ลดอตั ราภาษี ใชง้ บแบบขาดดลุ
44. ประเทศใดมีความจาเป็นในการกอ่ หนีส้ าธารณะนอ้ ยท่ีสดุ 1. ประเทศ ก ซง่ึ เผชิญปัญหาการวา่ งงาน 2. ประเทศ ข ซ่งึ เผชญิ ปัญหาเงินเฟอ้ เน่ืองจากแรงดงึ ของอปุ สงค์ 3. ประเทศ ค ซงึ รฐั บาลเผชญิ ปัญหาการมีรายไดไ้ มเ่ พียงพอกบั รายจา่ ย 4. ประเทศ ง ซง่ึ มีความจาเป็นเรง่ ดว่ นในการแกไ้ ขความเดอื ดรอ้ นของประชาชนจากภยั ธรรมชาติ 5. ประเทศ จ ซ่ึงมีโครงการขยายการลงทุนในการขนส่งระบบรางเพ่ือการพฒั นาเศรษฐกิจและ สงั คม 45. ตอ่ ไปนีเ้ ป็นขอ้ มลู ตวั แปรทางเศรษฐกิจของประเทศหนง่ึ คา่ ใชจ้ า่ ยในการอปุ โภคและบรโิ ภคของเอกชน 50 ลา้ นบาท คา่ ใชจ้ า่ ยในการลงทนุ 20 ลา้ นบาท คา่ ใชจ้ า่ ยในการซือ้ สินคา้ และบรกิ ารของรฐั บาล 20 ลา้ นบาท มลู คา่ การสง่ ออก 40 ลา้ นบาท มลู คา่ การนาเขา้ 30 ลา้ นบาท รายไดส้ ทุ ธิจากปัจจยั การผลติ ท่ีไดร้ บั จากตา่ งประเทศ -12 ลา้ นบาท ภาษีเงินไดข้ องนิตบิ คุ คล 1 ลา้ นบาท คา่ เส่ือมราคา 5 ลา้ นบาท จากขอ้ มลู เบอื้ งตน้ จงคานวณผลิตภณั ฑม์ วลรวมในประเทศ (GDP) ดา้ นรายจา่ ยของประเทศนี้ 1. 88 ลา้ นบาท 2. 94 ลา้ นบาท 3. 100 ลา้ นบาท (50+20+20+40-30=100) 4. 106 ลา้ นบาท 5. 118 ลา้ นบาท ความรู้เสริม : วิธีหา GNP = GDP + รายได้สุทธิจากตา่ งประเทศ GDP (Gross Domestic Product) = ผลิตภณั ฑม์ วลรวมภายในประเทศ : รายไดท้ ่ีเกิดขนึ้ ภายในประเทศ GNP (Gross National Product) = ผลติ ภณั ฑม์ วลรวมประชาชาติ : รายไดข้ องคนในประเทศ PCI (Per Capita Income) = รายไดเ้ ฉล่ียตอ่ บคุ คล : ใชว้ ดั ฐานะทางเศรษฐกิจ คานวณโดย GDP หรอื GNP หารดว้ ยจานวนประชากรทั้งหมดของประเทศ รายไดส้ ุทธิจากตา่ งประเทศ คอื รายไดท้ ่ีคนในประเทศไปทานอกประเทศ-รายไดท้ ่ีคนตา่ งประเทศมาทา ในประเทศ
การวดั ผลิตภณั ฑม์ วลรวมภายในประเทศ (GDP) ถือหลกั ทางภมู ิศาสตรเ์ ป็นหลกั (ผลิตในประเทศ เหมารวมทงั้ หมด) โดย GDP วดั ไดจ้ าก 3 ดา้ นคอื 1. ดา้ นรายได้ 2. ดา้ นรายจา่ ย 3. ดา้ นผลผลิต ด้านทนี่ ิยม และสะดวกตอ่ การวดั มากท่ีสดุ คือ การวดั GDP ดา้ นรายจา่ ย คดิ จากรายการค่าใช้จ่ายรวมของประเทศ ไดแ้ ก่ 1. รายจา่ ยเพ่ือการบรโิ ภค (Consumption : C) 2. รายจา่ ยเพ่ือการลงทนุ (Investment : I) 3. รายจา่ ยเพ่ือซือ้ สินคา้ และบรกิ ารโดยรฐั บาล (Government : G) 4. รายจา่ ยเพ่ือการนาเขา้ และสง่ ออก (Net Export : (X-M)) ดงั นนั้ รายไดป้ ระชาชาต(ิ Y) = C + I + G + (X-M) รายจ่ายทไ่ี ม่ไดร้ วมอยู่ใน GDP 1. รายจา่ ยเงินโอน (Transfer Payments) หมายถึง รายจ่ายท่ีไมก่ ่อใหเ้ กิดการผลิตเป็นเพียงการ โอนอานาจซือ้ (Purchasing Power) จากผใู้ หไ้ ปยงั ผรู้ บั เชน่ เงินโอนรฐั บาล เอกชน บคุ คล ตา่ งประเทศ 2. รายจา่ ยท่ีซือ้ สินคา้ ใชแ้ ลว้ (มือสอง) 3. รายจา่ ยท่ีจา่ ยซือ้ สนิ ทรพั ยท์ างการเงิน รวมถึง ท่ีดิน หรือบา้ นเกา่ 4. รายจา่ ยซือ้ สินคา้ และบรกิ ารนอกกฎหมาย 46. ขอ้ ใดกล่าวถกู ตอ้ งเก่ียวกบั การใชน้ โยบายการคลงั ในการแกไ้ ขปัญหากรณีท่ีประเทศมีภาวะเศรษฐกิจ ตกต่า 1. รฐั บาลลดการเก็บภาษี 2. รฐั บาลใชง้ บประมาณแบบเกินดลุ 3. ธนาคารกลางเพ่มิ อตั ราดอกเบยี้ 4. ธนาคารกลางขายหลกั ทรพั ยข์ องรฐั บาล 5. รฐั บาลลดการใชจ้ า่ ยหรืองบประมาณรายจา่ ย 47. ขอ้ ใดไม่ใช่ปัจจยั ทางเศรษฐกิจท่ีเป็นสาเหตขุ องการเปิดเสรที างเศรษฐกิจของประเทศ 1 การเตบิ โตอยา่ งมากของบรรษัทขา้ มชาติ 2. การคา้ ระหวา่ งประเทศมีการขยายตวั อยา่ งมาก 3. การพฒั นาเคร่อื งมือทางการคลงั มีรูปแบบหลากหลายและซบั ซอ้ นมากขนึ้ 4. ความตอ้ งการขยายตลาดเพ่ือการสง่ ออก 5. ความตอ้ งการขยายการลงทนุ ในตา่ งประเทศ
ความรู้เสริม : การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ เขตการค้าเสรี คือ เขตการคา้ ท่ีไมค่ ดิ ภาษีศลุ กากร โควตาสินคา้ และบรกิ าร **แตอ่ าจมีขอ้ ยกเวน้ ตามสญั ญา ทงั้ นีต้ อ้ งอา้ งองิ ตามกฎหมายของประเทศนนั้ ๆ** สหภาพศุลกากร คือ การรวมตวั เพ่ือเรียกเก็บอตั ราภาษีศลุ กากรเดียวกนั สาหรบั สนิ คา้ ท่ีนาเขา้ จากประเทศท่ีไมไ่ ดเ้ ป็นสมาชกิ ****แตเ่ ม่ือผา่ นแลว้ สามารถขายสินคา้ ไดใ้ นทกุ ประเทศท่ีเป็นสมาชกิ โดยไม่ ตอ้ งเสียภาษีซา้ อีก**** ตลาดร่วม คือ ความรว่ มมือทางการคา้ โดยไมม่ ีภาษีศลุ กากร โควตา หรือภาษีสินคา้ รวมถงึ ให้ นาเขา้ -สง่ ออกสินคา้ บรกิ าร เงินทนุ และการเขา้ ออกของประชากรอยา่ งเสรี อยา่ งเชน่ EU สหภาพเศรษฐกจิ คือ เป็นความรว่ มมือทางเศรษฐกิจโดยสมบรู ณ์ รว่ มมือกนั ในเร่ืองของนโยบาย ทางเศรษฐกิจ การเงิน การคลงั เหมือนกนั **ใชเ้ งินสกลุ เดียวกนั เชน่ EU** สหภาพเหนือชาติ คือ การรวมกลมุ่ กนั ทกุ ดา้ น (ดา้ นการทหาร การเงิน ฯลฯ) ภายใตร้ ฐั บาลเดียว ***แตล่ ะประเทศกาหนดเองไมไ่ ด้ ตอ้ งทาตามสหภาพ*** (ปัจจบุ นั ยงั ไมม่ ี) 48. ขอ้ ใดเป็นผลกระทบจากวิกฤตการณแ์ ฮมเบอรเ์ กอรต์ อ่ ประเทศไทย 1. เกิดการลดคา่ เงินบาท 2. มีการกยู้ ืมเงินจากกองทนุ การเงินระหวา่ งประเทศ เพ่ือนามาแกไ้ ขวิกฤตการณ์ 3. มีการเปล่ียนแปลงระบบอตั ราแลกเปล่ียนจากระบบตะกรา้ เงินมาเป็นระบบลอยตวั 4. การคา้ และการลงทนุ ระหวา่ งประเทศมีแนวโนม้ ชะลอตวั ลงตามแนวโนม้ เศรษฐกิจโลก 5. สถาบนั การเงินไดร้ บั ความเสียหาย และมีการปิดธนาคารหรือบรษิ ัทไฟแนนซจ์ านวนมาก ความรู้เสริม สรุปวกิ ฤตแฮมเบอรเ์ กอร์ : Subprime Crisis บา้ นมกั ถกู มองเป็นสินทรพั ยท์ ่ีมีความปลอดภยั เพราะเหตผุ ลหลายๆ อยา่ ง ท่ีชดั สดุ ก็คืออยา่ งนอ้ ย เรายงั มีท่ีไวซ้ ุกหวั นอน ตรงขา้ มกบั หนุ้ ท่ีนกั ลงทนุ ทาไดเ้ พียงเอาใบหนุ้ ซบั นา้ ตาเทา่ นนั้ เวลาหนุ้ ลงหนกั บา้ น จึงกลายเป็นทางเลือกสามญั สาหรบั ใครก็ตามท่ีอยากลงทุนกับอะไรสักอย่างเป็นจานวนเงินมากๆ แต่ Subprime Crisis วิกฤตครงั้ ใหญ่ในประวตั ิศาสตรท์ ่ีราคาบา้ นทาใหค้ วามม่งั ค่งั ของคนหดหายไปเกือบ 10 ลา้ นลา้ นเหรียญ “Subprime” คือ คาศพั ทท์ ่ีไวเ้ รียกกลมุ่ สินเช่ือท่ีมีความเส่ียงมากกว่าปกติ ลกู คา้ คนไหนมีประวตั ิท่ี ไมด่ ี ชอบเบีย้ วหนีเ้ วลาตอ้ งจา่ ยก็จะโดนคดิ ดอกเบีย้ แพงหนอ่ ยเพ่ือชดเชยกบั ความเส่ียงท่ีมากขึน้ น่ีคอื กลมุ่ ลกู คา้ “Subprime” ยอ้ นไปช่วงปี 2000 อัตราดอกเบีย้ ของเฟด (ธนาคารกลางสหรฐั ) ซ่ึงถูกใชอ้ า้ งอิงกับธนาคารท่วั ประเทศอยู่ในระดับราวๆ 2 เปอรเ์ ซ็นต์ ซ่ึงถือว่าไม่สูงนัก ดอกเบีย้ ท่ีต่านีเ้ องท่ีดึงดูดใหก้ ลุ่มลูกคา้ แบบ
Subprime เข้ามาขอสินเช่ือเพ่ือซื้อบ้านมากขึน้ เพราะช่วงนั้นรัฐบาลเองกาลังกระตุ้นเศรษฐกิจและ สนับสนนุ ใหค้ นมีบา้ นเช่นกัน ทงั้ ลกู คา้ Prime และ Subprime ต่างก็แฮปปี้ท่ีไดซ้ ือ้ บา้ นในฝัน แต่สถาบนั การเงินอาจไม่แฮปปี้นกั เพราะตอ้ งปล่อยสินเช่ือท่ีมีความเส่ียงใหก้ ับกลุ่มลูกคา้ Subprime ไม่มีใครชอบ ลูกหนีท้ ่ีพกดาบพรอ้ มชกั ตลอดเวลา ดงั นนั้ สถาบนั การเงินทงั้ หลายแหล่จึงใชป้ ระโยชนจ์ ากเคร่ืองมือท่ี เรียกวา่ MBS (Mortgage-backed Securities) ความหมายง่ายๆ ก็คือ เอาสินเช่ือของกลมุ่ ลกู คา้ เหลา่ นีม้ า รวมกนั แลว้ ขายตอ่ ใหค้ นอ่ืนเพ่ือถ่ายความเส่ียง ใครกนั เลา่ จะฉลาดขนาดนีถ้ า้ ไม่ใชน่ ายธนาคาร แตค่ วามปราดเปร่ืองของนกั การเงินในวอลสตรีท ยงั ไมห่ มดเพียงเทา่ นี้ เพราะพวกเขายงั ใชต้ ราสารอนพุ นั ธส์ ดุ ซบั ซอ้ นเพ่ือปอ้ งกนั ความเส่ียงของ MBS อีกตวั หน่งึ ท่ีเรียกวา่ CDS (Credit Default Swap) หรือแปลเป็นไทยว่า “ไม่ตอ้ งห่วง ถา้ MBS โดนชกั ดาบ ผมจะ จา่ ยดอกเบยี้ ท่ีเหลือใหค้ ณุ เอง” ลงทนุ แลว้ ยงั มีคนมารบั ประกนั ผลตอบแทนใหอ้ ีก งานนีท้ งั้ คนกู้ คนปล่อยกู้ คนท่ีเอาสินเช่ือมายารวมกนั และคนท่ีรบั ประกนั สินเช่ือเหล่านนั้ ตา่ งก็มี ขอ้ ตกลงท่ีแฮปปี้กันทุกฝ่ าย ดว้ ยเหตนุ ีก้ ารปล่อยสินเช่ือจึงเพ่ิมขนึ้ คนก็เอาเงินไปซือ้ บา้ นมากขึน้ และเม่ือ ความตอ้ งการซือ้ บา้ นมากขึน้ เร่ือยๆ ราคาบา้ นก็พุ่งสูง ย่ิงเป็นประโยชนต์ ่อสถาบนั การเงินเขา้ ไปใหญ่ เพราะตอ่ ใหผ้ ซู้ ือ้ บา้ นเบีย้ วหนีจ้ ริง ก็เอาบา้ นไปขาย เร่อื งง่ายๆ ท่ีเดก็ ประถมก็ทาได้ ไมเ่ ห็นมีอะไรตอ้ งกงั วล ถา้ ตวั แปรทกุ อย่างในสมการยังเป็นค่าคงท่ี (คาพูดท่ีนกั เศรษฐศาสตรช์ อบใชก้ ัน) ทุกคนก็จะมีความสุข ตอ่ ไปทา่ มกลางกองเงินกองทองท่ีเพ่มิ พนู ด่งั ใจนกึ สินเช่ือ Subprime อาจมีความเส่ียง แตจ่ ะมีคนผิดนาชาระหนีบ้ า้ งก็ไม่ใช่เร่ืองแปลกอะไร เพราะ MBS ท่ีเกิดจากการนาสินเช่ือมารวมๆ กันมนั ก็เหมือนการกระจายความเส่ียงไปในตวั อย่แู ลว้ แถมมี CDS เป็นตวั ประกนั ความเส่ียงอีกตอ่ หน่งึ ดว้ ย ชา่ งเป็นการลงทุนท่ีปลอดภยั แน่ย่ิงกว่าแชแ่ ปง้ แตอ่ ะไรจะเกิดขนึ้ ถา้ ทกุ คนไมม่ ีเงินจา่ ยคา่ บา้ นอีกตอ่ ไป ? ขึน้ ดอกเบีย้ แค่ฟังดกู ็รูแ้ ลว้ ว่ามันเกิดขึน้ ยากมาก คงไม่มีทางท่ีลูกหนีผ้ ูน้ ่ารกั จะหยุดการจ่ายหนี้ พรอ้ มๆ กนั แถมราคาบา้ นขึน้ ติดจรวดขนาดนีใ้ ครจะไปหยดุ จา่ ย ? ตรงนีเ้ องท่ีมีประเด็น เพราะในขณะท่ี ราคาบา้ นกาลงั ทาใหท้ กุ คนมีความสขุ อตั ราเงินเฟ้อก็เติบโตขนึ้ เป็นเงาตามตวั เน่ืองจากมีการปลอ่ ยเงินกู้ กนั อย่างสนกุ สนาน เงินเฟ้อท่ีสงู เกินไปยอ่ มไมใ่ ชเ่ ร่ืองดีแน่ ดงั นนั้ เฟดจึงตอ้ งแตะเบรกเศรษฐกิจเสียหน่อย ดว้ ยการขนึ้ ดอกเบีย้ เม่ือดอกเบีย้ สงู ขนึ้ เราๆ ท่านๆ ทงั้ หลายย่อมไม่อยากท่ีจะกเู้ งินเพ่ิมอีกเพราะดอกเบีย้ มนั สงู กวา่ เดมิ จุดนีเ้ องท่กี ารซือ้ บ้านเริ่มชะลอตัวลงรอบแรก ดว้ ยอตั ราดอกเบีย้ จาก 2.25 เปอรเ์ ซ็นต์ ในปี 2004 มาอยู่ท่ี 5.25 เปอรเ์ ซ็นตใ์ นปี 2006 เม่ือคนไม่อยากซือ้ บา้ น ราคามันก็ร่วง และเม่ือดอกเบีย้ ปรบั ตวั สูงขึน้ เหล่าลูกหนีส้ ินเช่ือ Subprime ทงั้ หลายก็เร่ิมจ่ายหนีก้ ันไม่ไหว ดาบท่ีเก็บมานานก็ถูกชัก
ขนึ้ มาอีกครงั้ ไม่มีใครอยากเป็นเจา้ ของบา้ นอีกตอ่ ไป ราคามนั ก็ร่วงหนกั เขา้ ไปใหญ่ ธนาคารอาจยึดบา้ น คนื มาได้ แตจ่ ะขายใครกนั เลา่ เพราะตอนนีไ้ มม่ ีใครอยากไดบ้ า้ นอีกตอ่ ไปแลว้ ดอกเบีย้ ย่ิงสงู คนก็ย่ิงไม่ซือ้ บา้ น คนก็เบีย้ วหนี้ ราคาก็ย่ิงตก เม่ือราคาบา้ นตก ก็คนย่ิงไม่อยากได้ บา้ นและขยนั เบีย้ วหนีก้ นั เขา้ ไปใหญ่ สินทรพั ย์ MBS และตวั ประกนั CDS ท่ีวา่ ปลอดภัยแน่ย่ิงกว่าแช่แป้ง งานนีก้ ลายเป็นแปง้ ฝ่ นุ ท่ีปลิวไปตามลม เน่ืองจากทงั้ คนซือ้ และคนขาย MBS ตา่ งก็เดือดรอ้ นจากการเบีย้ ว หนี้ ผขู้ าย CDS ก็เดือดรอ้ นไมแ่ พก้ นั ใครจะไปคดิ วา่ คนทงั้ ประเทศจะชกั ดาบเป็นหม่คู ณะ ในท่ีสดุ สถาบนั การเงินผชู้ าญฉลาดก็ไดร้ บั ผลกระทบ หนกั ท่ีสดุ ก็คือ Lehman Brothers วาณิชธน กิจช่ือดงั อายุนบั รอ้ ยปี ตอ้ งประกาศลม้ ละลายเพราะผลจากการกระทาของตัวเองท่ีเขา้ ไปร่วมสนุกกับ สนิ เช่ือ Subprime มากกว่าคนอ่ืน และโชครา้ ยท่ี Lehman Brothers จดทะเบียนอยใู่ นตลาดหนุ้ การลม้ ลง ของหุน้ ท่ีมีมูลค่าตลาดมากกว่า 60,000 ล้านเหรียญ ย่อมส่งแรงส่นั สะเทือนต่อตลาดท่วั ทัง้ วอลสตรีท ราคาหนุ้ ท่ีร่วงไปมากกว่า 90 เปอรเ์ ซ็นตใ์ นเดือนกันยายนปี 2008 จึงเป็นชนวนเหตใุ หต้ ลาดหนุ้ พงั พินาศ ดอกแรก ก่อนจะพงั พินาศในดอกท่ีสอง สาม ส่ี เพราะสถาบนั การเงินอ่ืนๆ ก็เขา้ ไปรว่ มสนกุ กบั Subprime ไม่แพ้ Lehman Brothers เลย หนุ้ สายธุรกิจการเงินตวั อ่ืนก็ร่วงไม่เป็นท่า ดชั นีดาวโจนสร์ ่วงไปเกือบ 50 เปอรเ์ ซ็นต์ และตลาดหนุ้ ท่วั โลกตา่ งก็ป่ันป่ วน Subprime Crisis ฟองสบแู่ ตกครงั้ ใหญ่ท่ีสดุ ของมนษุ ยชาติ วกิ ฤตในทงั้ นนั้ ถือเป็นวิกฤตท่ีรุนแรงมาก เพราะธนาคารพาณิชยท์ ่วั โลกตา่ งก็มีความพวั พนั กบั หนีเ้ สียกอ้ น โตน่ีไมท่ างตรงก็ทางออ้ ม อย่างธนาคารไทย หรือ องคก์ รของไทย หลายองคก์ รก็ถือ MBS อย่ดู ว้ ย ฟองสบู่ แตกรอบนีไ้ มไ่ ดพ้ งั แคส่ หรฐั อเมริกา เพราะวิกฤตครงั้ นีเ้ ก่ียวพนั กนั ท่วั โลก ถา้ ธนาคารแตล่ ะประเทศลม้ กนั ละแหง่ สองแหง่ พรอ้ มๆ กนั ยอ่ มกลายเป็นหายนะแน่ วิกฤตครงั้ นีเ้ องท่ีทาใหพ้ วกเราไดร้ ูจ้ กั กบั นวตั กรรมท่ีเรียกว่า QE เป็นครงั้ แรก ช่วงเวลานนั้ สถาบนั การเงินตา่ งก็เงินหมดเพราะเอาไปถลงุ กบั ตราสารประหลาดๆ ท่ีเป็นตน้ เหตขุ องเร่อื งทงั้ หมด ธนาคารกลาง สหรฐั จงึ เขา้ มาชว่ ยเหลือดว้ ย QE หรอื การพิมพเ์ งินอดั ฉีดเขา้ ไปในระบบอีกครงั้ เพ่ือกระตนุ้ เศรษฐกิจก็ทาให้ ตลาดหุน้ พลิกฟื้นกลับมาไดใ้ นเวลา 2-3 ปี และเศรษฐกิจสหรฐั ท่ีค่อยๆ กลับมาอย่างชา้ ๆ และแน่นอน สถาบนั การเงินท่ีเคยซกุ ซนก็ยงั อยดู่ มี ีสขุ เพราะรฐั บาลเขา้ มาอมุ้ ไวน้ ่นั เอง
สาระประวัตศิ าสตร์ 49. ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถูกต้อง 1. ชาวสเุ มเรียนคดิ ประดษิ ฐ์ตวั อกั ษรคนู ิฟอรม์ หรอื อกั ษรล่มิ 2. กฎหมายฮมั มูราบีของจกั รวรรดิบาบิโลเนีย มีรากฐานส่วนหน่ึงมาจากกฎหมายของพวกสเุ ม เรยี น 3. “คมั ภีรม์ รณะ” นบั เป็นวรรณกรรมชนิ้ สาคญั ของอารยธรรมไมซีนี (อียปิ ต)์ 4. ชาวฟิ นีเซีย อาศยั อยตู่ ามชายฝ่ังทะเลเมดิเตอรเ์ รเนียน และมีความสามารถทางการคา้ และการ เดนิ เรือ 5. ชาวอมอไรตเ์ ป็นผสู้ ถาปนาจกั รวรรดบิ าบโิ ลเนียขนึ้ เม่ือประมาณ 2,000 ปีกอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช ความรู้เสริม : ก่อนประวัตศิ าสตร์ = ไม่มีตวั อักษร ยคุ หิน - หนิ เก่า ลา่ สตั ว์ เรร่ อ่ น อาศยั ตามเพิงผา ผนงั ถา้ - หินกลาง ***วาดภาพบนผนงั ถา้ แกะสลกั ปั้นรูปสตั วต์ า่ ง ๆ ทาเข็มจากกระดกู สตั ว์ เรียกวา่ ศลิ ปะแบบเมกกาเลเนียน*** - หนิ ใหม่ เพาะปลกู ตงั้ ชมุ ชนรมิ แมน่ า้ เลีย้ งสตั ว์ ยคุ โลหะ- ยคุ ทองแดง - สารดิ การทาเคร่อื งมือ เคร่อื งใช้ อาวธุ ตลอดจนเคร่ืองปั้นดนิ เผา - เหลก็ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย คือ ดนิ แดนระหวา่ งลมุ่ แมน่ า้ สองสาย คือ ไทกรสิ ยเู ฟรตสิ **จดุ เรม่ิ ตน้ อารยธรรมสมยั ประวตั ศิ าสตรข์ องโลก** สเุ มเรียน - มีการประดษิ ฐ์อกั ษรคนู ฟิ อรม์ (ล่ิม) - เร่มิ ทาชลประทาน - วหิ ารซิกแู รต - แตง่ มหากาพยก์ ิลกาเมซ - ปฏิทนิ จนั ทรคติ อะมอไรต์ - กฎหมายพระเจา้ ฮมั มรู าบี - สรา้ งเมืองบาบโิ ลน อสั ซีเรียน - ภาพสลกั นนู ต่า - ชนชาตินกั รบ - สรา้ งหอสมดุ ในโลกโบราณ ฮติ ไทต์ - เขา้ มายดึ และทาลายเมือง - รูจ้ กั ถลงุ เหล็กและใชเ้ หล็กทาอาวธุ - สอนวธิ ีถลงุ เหล็กใหช้ าวเมโสฯ ดาลเดียน - สรา้ งกรุงบาบโิ ลนใหม่ - สวนลอยบาบโิ ลน - ดาราศาสตร์
เปอรเ์ ซีย - ปกครองแบบจกั รวรรดิ - ระบบไปรษณีย์ - ถนนเช่ือม (Royal Road) - ชนชาตสิ ดุ ทา้ ยในเมโสฯ 50. ขอ้ ใดไมม่ ีสว่ นเก่ียวขอ้ งกบั อารยธรรมกรกี 1. เซอรอ์ าเธอร์ เอเวนส์ (Sir Arthur Evans) 2. จอหน์ คาลวินส์ (John Calvin) 3. วหิ ารพารเ์ ธนอน 4. เฮโรโดตสั (Herodotus) 5. หวั เสาแบบดอรกิ ความรู้เสรมิ : อารยธรรมอียปิ ต์ ลมุ่ แมน่ า้ ไนล์ ไหลจากS (ภเู ขา) ลงทะเลเมดเิ ตอรเ์ รเนียน (N) อียิปตบ์ นอยลู่ า่ ง อียปิ ตล์ า่ งอยบู่ น เกา่ : พีรามิด ชลประทาน ฝายกนั้ นา้ อกั ษรรูปภาพ(เฮียโรกรฟิ ิค) การเกษตร ปกครองโดยฟาโรห์ กลาง-ใหม่ : ประดษิ ฐก์ ระดาษปาปิรุส (คมั ภีรม์ รณะ) การแพทย์ ปฏิทนิ สรุ ยิ ะคติ นาฬกิ าแดด ***แผ่นหินโรเซ็ตตา*** (แผ่นหินมีจารกึ ถกู ส่งไปศึกษาจนอ่านได้ ปวศ.อียิปต์จึงถกู เปิดเผยตอ่ โลก) สรา้ ง วิหาร อารยธรรมกรกี ปกครองแบบนครรฐั (แยกกนั ปกครอง รบกนั เอง รวมกนั เฉพาะรบั ศกึ จากภายนอก) วางรากฐานประชาธิปไตยทางตรง **ยกเวน้ สปารต์ า เป็นเผดจ็ การทหาร** อารยธรรมไมนอส : เกาะครตี ยคุ เฮเลนิก : กรีกแท้ เนน้ ปรญั ชา เหตผุ ล สงั คม เสรภี าพ บคุ คล ยคุ เฮเลนสิ ตกิ : อารยธรรมตก+ออก King อเล็กซานเดอรม์ หาราช เรียบง่าย ใหญ่โต ยคุ ของนกั คดิ นกั วทิ ยาศาสตร์ แนวคดิ สาคญั : มนษุ ยนยิ ม ปัจเจกชนนิยม ธรรมชาตนิ ยิ ม มรดกทางวฒั นธรรม : วิหารหินออ่ นและหวั เสา มหากาพยอ์ ีเลียด แอนด์ โอเดสซี (สงครามกรุง ทรอย) สงครามเพโลพอนเนซสั : เอเธนส์ vs สปารต์ า้ อารยธรรมโรมัน : ***ชาตนิ กั รบ ปกครองแบบรวมอานาจ*** มรดกทางวฒั นธรรม : กฎหมาย 12 โตะ๊ กฎหมายจสั ดเิ นียน(ถือเป็นตน้ แบบของประมวลกฏหมาย ยุโรป) สนามรถมา้ โรงอาบนา้ การผ่าตดั ทาคลอด(ผ่าตดั แบบซีซาร)์ ประตโู คง้ หลงั คาโดม(วิหารแพน ธี ออน) สะพานสง่ นา้ โคลอสเซียม สลกั ภาพบคุ คลครง่ึ ตวั มหากาพยอ์ ีเนียด
***รู้จักใช้คอนกรีตเป็ นชนชาตแิ รก*** ลม่ สลาย (โรมนั ตะวนั ตก (กรุงโรม)) ค.ศ.476 โดยการบกุ รุกของชาวเยอรมนั ประวัตศิ าสตรจ์ ีน ก่อน ปวศ. : หยางเชา มีเคร่อื งปั้นดนิ เผาลายเขียนสี หลงซาน ยคุ โลหะ-สารดิ พบภาชนะ 3 ขา สมัยประวัตศิ าสตร์ ร.ซาง : ประดษิ ฐ์อกั ษรภาพ เขียนลงบนกระดกู สตั วห์ รือกระดองเตา่ (กระดกู เส่ียงทาย) ร.โจว : - ปกครองจีนยาวนานท่ีสดุ - แนวคดิ อาณตั แิ หง่ สวรรค์ -ยคุ ทองทางภมู ิปัญญา - เกิดนกั ปราชญค์ นสาคญั เชน่ ขงจือ้ เตา๋ ฟาเจีย - วทิ ยาการพบวา่ 1 ปี มี 365 วนั - ประดษิ ฐต์ ะเกียบและเขม็ ทศิ - เรม่ิ การแพทย์ ร. ฉิน : - สมยั จกั รพรรด(ิ จ๋ินซี) -เผาตาราขงจือ้ -รวมแผน่ ดนิ จีน - มีภาษาและวฒั นธรรมรว่ มกนั -ใชร้ ะบบแลกเปล่ียนเงินตราเดยี วกนั - กาแพงเมืองจีน ร. ฮ่นั : - รือ้ ฟื้นปรชั ญาขงจ๋ือ - เร่ิมการสอบเขา้ รบั ราชการ(สอบจอหงวน) -พุทธศาสนาจาก อนิ เดียเขา้ มาเผยแผใ่ นจีน - เสน้ ทางสายไหมทาใหเ้ กิดการแลกเปล่ียนอารยธรรมและ การคา้ **ปลาย ร.ฮ่นั = ยคุ สามก๊ก** ร.ถงั : - ยคุ ทองแหง่ วรรณกรรมจีน - พระถงั ซาจ๋งั เดนิ ทางไปอินเดยี ร.ซง่ : - ประดษิ ฐ์แทน่ พมิ พ(์ ไม)้ -ประเพณีการรดั เทา้ สตรี ร.หยวน(มองโกล) : -ตดิ ตอ่ การทตู กบั ไทยสมยั สโุ ขทยั - ศาสนาครสิ ตเ์ จรญิ มากในจีน - การคา้ เสน้ ทางสายไหม (มารโ์ คโปโล) ร.หมิง : - การคา้ ทางทะเลเฟ่ื องฟู -เจิง้ เหอ สารวจทะเล ร.ชงิ (แมนจ)ู : - จีนแพอ้ งั กฤษในสงครามฝ่ิน (ค.ศ.1842) - เป็นราชวงศส์ ดุ ทา้ ยของจีน ยคุ เปล่ียนแปลงการปกครอง ค.ศ.1842 สนธิสญั ญานานกิง : ผลมาจากสงครามฝ่ิน ค.ศ.1911 สมยั สาธารณรฐั : ดร.ซุน ยตั เซน ค.ศ.1949 สมยั คอมมวิ นิสต์ : เหมา เจอ๋ ตง (เตงิ้ เส่ียวผิง ดาเนนิ นโยบายเปิดประเทศเสร)ี อารยธรรมอินเดยี ยคุ ก่อน ปวศ-ยคุ เร่มิ แรก ปวศ. : อารยธรรมล่มุ แมน่ า้ สินธุ ซากเมืองโมเฮนโจ-ดาโร เมืองฮารปั ปา โดยมีการวางผงั เมือง ชนชาตดิ ราวิเดียน(ผวิ ดา) **ผงั เมืองคลา้ ยกบั เมโสโปเตเมีย** สมยั ประวตั ศิ าสตร์ : พวกอารยนั เขา้ มา (แขกผิวขาว)
- ยคุ พระเวท : อารยนั เขา้ รุกรานดราวิเดียน เกิดระบบวรรณะและศาสนาฮนิ ดู - ยคุ จกั รวรรดิ : เมาริยะ (อโศกมหาราช) เนน้ ศาสนาพทุ ธเถรวาท ส่งศาสนทตู ออกเผยแผศ่ าสนา พทุ ธ 9 เสน้ ทาง คปุ ตะ (ยุคทองของอินเดีย) ยุคทองของวรรณคดีสนั สกฤต กวีช่ือดงั “กาลิทาส” สง่ เสรมิ ศาสนาพทุ ธ (มหายาน) และฮนิ ดู มีการสรา้ งวดั ถา้ (อชนั ตา) - ยคุ มสุ ลมิ : ร.โมกลุ (ราชวงศส์ ดุ ทา้ ย) นบั ถือศาสนาอสิ ลาม พระเจา้ อกั บารม์ หาราช : ใหเ้ สรีภาพในการนบั ถือศาสนา พระเจา้ ออรงั เซบ : นโยบายกดข่ีศาสนาอ่ืน พระเจา้ ชารจ์ ะฮาน : สลุ ตา่ นท่ีสรา้ งทชั มาฮาล อนสุ รณส์ ถานแหง่ ความรกั มรดกทางวฒั นธรรม : อินเดียเป็นชาติแรกท่ีเร่ิมใชเ้ ลข 0 (ศูนย)์ เลขอารบิก ระบบคิดคานวณ เช่น ทศนยิ ม รากท่ีสอง กาลงั ท่ีสอง เคร่อื งหมายพาย ระบบวรรณะ(สีผิว) ชว่ งอยใู่ ตก้ ารปกครองขององั กฤษ : เกิดกระบวนการชาตนิ ยิ มเรยี กรอ้ งเอกราช นาโดย “มหาตมะคานธี” ยึด หลกั อหงิ สา จนองั กฤษใหเ้ อกราชอนิ เดยี และปากีสถานพรอ้ มกนั (15 ส.ค. 1947) 51. ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถูกต้องเก่ียวกบั เหตกุ ารณใ์ นสมยั กลางของประวตั ิศาสตรส์ ากล 1. “ยคุ แหง่ ศรทั ธา” เป็นอีกช่ือหนง่ึ ท่ีใชเ้ รยี กสมยั กลางในประวตั ศิ าสตรส์ ากล 2. ระบอบการปกครองแบบฟิวดลั เป็นระบอบการปกครองท่ีกษัตรยิ ไ์ รพ้ ระราชอานาจในทางปฏิบตั ิ 3. “เจตนารมณข์ องพระเป็นเจา้ ” เป็นหนง่ึ ในสาเหตทุ ่ีกระตนุ้ ใหช้ าวครสิ ตเ์ ขา้ รว่ มรบในสงครามครู เสด 4. สงครามครูเสดมีส่วนช่วยทาลายระบอบการปกครองแบบฟิ วดลั และระบบเศรษฐกิจแบบแม เนอร์ 5. ลอรด์ ไมม่ ีสิทธิจดั ตงั้ ศาลเพ่ือพิจารณาคดีความในแมเนอรข์ องตน
ความรู้เสริม การเมอื ง เศรษฐกจิ สังคม ศลิ ปวัฒนธรรม ช่วงเวลา ยคุ กลาง - ชนเผ่าเยอรมนั - เกษตรกรรม - วุ่นวายมากกคน 1. เป็นยคุ มืด คือ ยคุ ท่ี ไ ด้ ตั้ ง อ า ณ า จั ก ร ระบบนาเปิด ท่วั ไปอ่านและเขียน งานสร้างสรรค์ศิลปะ ปกครองดินแดนส่วน - เกิดระบบ หนงั สือไมไ่ ด้ ข อ ง ก รี ก – โ ร มั น ตา่ งๆขนึ้ - พวกแฟรงค์ เศรษฐกิจแบบ - เป็นสงั คมชนบท หยดุ ชะงกั ลง - พ ร ะ เ จ้า ช า ร์ ฟิวดลั - ศ า ส น า ค ริ ส ต์มี 2. มีสถาปั ตยกรรม ล ม า ญ ไ ด้ ร ว บ ร ว ม - การคา้ ซบเซา บทบาทสาคัญต่อ นิยมสร้า ง ปราสา ท ดินแดนและตั้ง เป็ น จากระบบฟิวดลั การดาเนินชีวิต ใหญ่โต มีกาแพงสูง จักรวรรดิเดียวกันได้ - เป็นระบบ - เกิดชมุ ชนเมืองขนึ้ และหนา สาเรจ็ เศรษฐกิจแบบ - สั ง ค ม ศั ก ดิ น า 3. ศลิ ปะ - อานาจของขุน ยงั ชีพ สวามภิ กั ดเิ์ ร่มิ เส่ือม โรมนั เนสก์ และโกธิค นางมีจากดั - การคา้ - แบ่งกลุ่มชน เป็ น ศลิ ปะโรมนั เนสก์ เชน่ - - ดิ น แ ด น ข อ ง ขยายตวั ช น ชั้ น ป ก ค ร อ ง หอเอนเมืองปิซา– จกั รวรรดิแบ่งออกเป็น - เกิดกาฬโรค สามญั ชน และพระ อิตาลี ฝร่งั เศสเยอรมนี อิตาลี เศรษฐกิจตกต่า - ระบบฟิ วดัลเส่ือม - รูปพระเยซูบนประตู - เกิดระบบศกั ดิ สลายลง ทางเขา้ โบสถ์ แซงคฟ์ ัว นาสวามิภกั ดิ์ - ชนชนั้ กลางขนึ้ มามี ฝร่งั เศส -เกิดสงครามครู อานาจแทนขนุ นาง ศลิ ปะโกธิค เชน่ - วิการ เสดขนึ้ นอเตรอดามฝร่งั เศส- - เกิดรฐั ชาตขิ นึ้ วหิ ารออรเ์ วียตโต อติ าลี 52. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเก่ียวกบั แนวคิดเสรีนยิ ม 1. อดมั สมิท เสนอแนวคดิ วา่ รฐั ควรเขา้ ควบคมุ การคา้ ของเอกชน 2. พระเจา้ เฟรเดอรกิ มหาราชแหง่ ปรสั เซียทรงเป็นกษัตรยิ ท์ ่ีตอ่ ตา้ นแนวคดิ เสรีนยิ ม 3. ชอง-ชาคส์ รุสโซ นกั คดิ ชาวฝร่งั เศส เขียนหนงั สือเร่อื งสญั ญาประชาคม 4. เสรีนิยมแบบคลาสสกิ มงุ่ เนน้ การปฏิรูปสงั คมโดยขยายความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสงั คม 5. แนวคดิ เสรีนิยมไมส่ นใจเร่อื งการสรา้ ง “รฐั สวสั ดกิ าร”
ความรู้เสรมิ : แนวคิดเสรนี ิยม - เนน้ เร่ืองเสรีภาพและการเรียกรอ้ งเสรีภาพทงั้ ทางการการเมือง และเศรษฐกิจในขอบเขตของ กฎหมาย เสรีภาพในความหมายเสรีนิยม หมายถงึ เสรีภาพภายใตก้ ฎหมาย - จดุ เร่มิ ตน้ เกิดจากการปฏิวตั ิของชาวอเมริกนั เพ่ือแยกตวั เป็ นเอกราชจากองั กฤษ และการปฏิวตั ิ ฝร่งั เศส เสรีนิยมทางการเมอื ง - ทาใหเ้ กิดการเรียกรอ้ งการปฏิรูปทางการเมืองเป็นประชาธิปไตยแบบมีรฐั สภา - ประชาชนมีสว่ นรว่ มในการบรหิ ารปกครองประเทศ - มีรฐั ธรรมนญู เป็นหลกั กฎหมายของการปกครอง มีกลไกตรวจสอบและถว่ งดลุ อานาจ นักคิดเสรีนิยมคนสาคัญ - จอหน์ ล็อก เสนอความคดิ เร่อื งเสรภี าพของปัจเจกบคุ คล - มงเตสกีเยอ เสนอแนวความคดิ ในเร่ืองการแบง่ แยกอานาจ - รูโซ เสนอแนวคดิ เร่อื งอานาจอธิปไตยของประชาชน เสรนี ิยมทางเศรษฐกจิ - ระยะแรก เรียกรอ้ งระบบเศรษฐกิจเสรี - ชนชนั้ กลางมีบทบาทสาคญั ทางเศรษฐกิจและสงั คม จนสามารถสถาปนาอานาจทางการเมือง ของตนได้ - แนวคดิ นีม้ กั เปล่ียนแปลงไปตามสถานการณท์ างสงั คมตามความเหมาะสม 53. ขอ้ ใดไม่ใช่ผลจากการสารวจทางทะเลในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 15 และ 16 1. สนธิสญั ญาทอรเ์ ดซียสั (Treaty of Tordesillas) (สเปน vs โปรตุเกส ในอเมริกาใต้) 2. ครสิ ตศ์ าสนาเจรญิ รุง่ เรืองในทวีปอเมรกิ าใต้ (การเข้าไปของสเปน ซ่ึงเป็ นคาทอลกิ ) 3. พอ่ คา้ กลายเป็นอาชีพท่ีมีความสาคญั มากขนึ้ ในสงั คม 4. ชารล์ มารเ์ ตล (Charles Martel) ไดร้ บั ชยั ชนะเหนือชาวมสุ ลมิ ท่ีเมืองตรู ์ ทางตอนใตข้ องฝร่งั เศส 5. บางสว่ นของคาบสมทุ รมลายแู ละหมเู่ กาะอนิ โดนีเซียตกอยภู่ ายใตอ้ ิทธิพลของโปรตเุ กส ความรู้เสรมิ : การคน้ พบและการสารวจทางทะเล ปัจจัยทสี่ ่งเสรมิ การค้นพบและการสารวจทางทะเล ด้านเศรษฐกิจ : ชาวยโุ รปตอ้ งการสินคา้ ตะวนั ออกแต่เสน้ ทางการคา้ เดิมถกู พวกเติรก์ ยึดครอง ทาใหต้ อ้ งพยายามหาเสน้ ทางใหมม่ ายงั ตะวนั ออก
ด้านศาสนา : ชาวยโุ รปท่ีเป็นโรมนั คาทอลิกและโปรเตสแตนตต์ อ้ งการเผยแผค่ ริสตศ์ าสนาไปยงั ดนิ แดนตะวนั ออกท่ีลา้ หลงั และป่าเถ่ือน ด้านวิทยาการ : ความเจริญกา้ วหนา้ ทางวิทยาการ เชน่ การสรา้ งเรือเดินทะเล การปรบั ปรุงเข็ม ทศิ แผนท่ี ลว้ นสง่ เสรมิ ตอ่ การสารวจเสน้ ทางเดนิ เรอื ใหม่ ลัทธิจักรวรรดนิ ิยม คือ ลา่ อาณานิคม เร่มิ เม่ือมีการสารวจทะเล (1450-1650) โดยกลมุ่ ประเทศ แรก ๆ คือ องั กฤษ ฝร่งั เศส โปรตเุ กส สเปน ฮอลนั ดา **ก่อน ศ.19 เนน้ ทหาร หลงั 19 เนน้ อ่ืน ๆ หา ผลประโยชนใ์ นดนิ แดนท่ีออ่ นแอกว่า** การลา่ อาณานิคมกลายเป็นส่ิงท่ีจาเป็น เพราะอารยธรรมของคนขาวสงู กวา่ การฆา่ ก็ถือเป็นภาระ ท่ีจะเป็นเชน่ กนั การกระทาเชน่ นีถ้ กู เรยี บกวา่ “ภาระคนขาว” สาเหตุของลัทธิจักรวรรดนิ ิยม 1. ด้านการเมือง : ตอ้ งการดนิ แดน 2. ด้านเศรษฐกิจ : ตอ้ งการทรพั ยากร ตลาด 3. ดา้ นการทหาร : จดั ตงั้ ฐานทพั 4. การเผยแผ่ศาสนา **พอ่ คา้ องั กฤษจะมาพรอ้ มเรอื ปืนกบั ทหาร แตบ่ าทหลวงฝร่งั เศสจะมาพรอ้ มนกั สารวจกบั ทหาร** 54. ประเทศใดไมใ่ ชส่ มาชกิ กอ่ ตงั้ ของสมาคมการคา้ เสรียโุ รป (European Free Trade Association) 1. เยอรมนั ตะวนั ตก 2. องั กฤษ 3. สวีเดน 4. สวิตเซอรแ์ ลนด์ 5. นอรเ์ วย์ ความรู้เสริม : สมาคมการคา้ เสรีแห่งยุโรป ก่อตงั้ เม่ือเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 เน่ืองจากความไม่ พอใจของ กลุ่มประเทศในองคก์ ารความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรป( Organization for European Economic Co-operation : OEEC ) มีสมาชิก 7 ประเทศ คือ ออสเตรีย นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก สวิตเซอรแ์ ลนด์ โปรตเุ กส และสหราชอาณาจกั ร(เรียกว่า กล่มุ 7 นอก) ไดต้ งั้ ช่ือกล่มุ ว่าเอฟตาและมีการ ประชมุ ครงั้ แรกท่ีกรุงสตอกโฮลม์ ประเทศสวีเดน ในเดอื นพฤศจิกายน พ.ศ.2502 ในปัจจบุ นั เอฟตามีประเทศสมาชิกรวม 6 ประเทศ คือ ออสเตรีย นอรเ์ วย์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ (รวมลกิ เตนสไตล)์ ฟินแลนด์ และไอซแ์ ลนด์
55. ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถกู ต้อง 1. การปฏิวตั อิ ตุ สาหกรรมในยคุ แรกเรียกอีกช่ือวา่ สมยั แหง่ พลงั ไอนา้ 2. โยฮนั เคปเลอร์ ไดร้ บั การยกยอ่ งใหเ้ ป็นบดิ าของวิชาพนั ธุศาสตร์ 3. ซามเู อล เดอ ชองแปลง เป็นผจู้ ดั ตงั้ อาณานคิ มนวิ ฟรานซ์ 4. รูปปั้นนนู สงู มารซ์ ายแยส เป็นประตมิ ากรรมแนวจินตนยิ ม 5. ศลิ ปะแบบบารอก เนน้ ความพลงุ่ พลา่ น และบรรยากาศโออ่ า่ หรูหราเป็นพิเศษ ความรู้เสรมิ : นักวทิ ยาศาสตรใ์ นช่วงศตวรรษท่ี 16-18 - นโิ คลสั โคเปอรน์ ิคสั : ทฤษฎีระบบสรุ ิยะจกั รวาล - กาลิเลโอ : กลอ้ งโทรทรรศน์ คน้ พบบริวารรอบดาวพฤหสั ฯ วงแหวนดาวเสาร์ ทาง ชา้ งเผือก - โยฮนั เนส แคปเลอร์ : ดาวเคราะหโ์ คจรเป็นวงรี - ฟรานซิส เบคอน : วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ตงั้ สถานบนั วิทยาศาสตรแ์ หง่ ชาติ - เรอเน เดสการด์ : เรขาคณิตวิเคราะห์ - ไอแซค นิวตนั : กฎแรงโนม้ ถ่วง กฎแรงดงึ ดดู ของจกั รวาล นักวทิ ยาศาสตรช์ ่วงศตวรรษที่ 19-20 - ชารล์ ส์ ดารว์ ิน : ทฤษฎีววิ ฒั นาการของส่งิ มีชีวิต การเลือกสรรโดยธรรมชาติ - เกรเกอ เมนเดล : บดิ าแหง่ วชิ าพนั ธุศาสตร์ - หลยุ ส์ ปาสเตอร์ : จลุ นิ ทรยี ์ วคั ซีนปอ้ งกนั โลกพษิ สนุ ขั บา้ วิธีพาสเจอรไ์ รเซช่นั - เอด็ เวริ ด์ เจนเนอร์ : วคั ซีนปอ้ งกนั โรคฝีดาษ - เจมส์ วตั ต์ : เคร่อื งจกั รไอนา้ - อลั เฟรต โนเบล : ไดนาไมค์ ยางสงั เคราะห์ - อลั เบริ ต์ ไอนส์ ไตน์ : ทฤษฎีสมั พนั ธภาพ 56. ขอ้ ใดไม่ใช่ผลท่ีเกิดจากสงครามเย็น 1. การสรา้ งเข่ือนอสั วานระหวา่ งปี ค.ศ.1960-1976 ในอียิปต์ 2. การก่อตงั้ องคก์ ารสนธิสญั ญากลาง 3. การก่อตงั้ สนธิสญั ญาเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ 4. ประธานาธิบดวี ลิ สนั เสนอหลกั การ 14 ขอ้ เพ่ือสรา้ งสนั ตภิ าพถาวร 5. การจดั ตงั้ สภาความชว่ ยเหลือซง่ึ กนั และกนั ทางเศรษฐกิจ
ความรู้เสรมิ : สงครามเย็น : เรมิ่ หลัง WW2 เสรี : USA คอมมิวนสิ ต์ : โซเวียต (USSR) ลกั ษณะของสงคราม : **ไมร่ บกนั โดยตรง แตข่ ยายอิทธิพลโดยวธิ ีอ่ืน ๆ** - การหาพวก - แขง่ ขนั ดา้ นเศรษฐกิจ - แขง่ ขนั ดา้ นเทคโนโลยี ความกา้ วหนา้ - ใชส้ งครามตวั แทน Ex สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม วาทกรรม สนธิสญั ญาสาคญั - วาทะทรูแมน : ประกาศจะตอบโตค้ อมมิวนสิ ตท์ กุ รูปแบบ - แผนการมารแ์ ชล : USA ประกาศชว่ ยเหลือทางเศรษฐกิจประเทศโลกเสรี - แผนการโมโลตอฟ : USSR ประกาศชว่ ยเหลือทางเศรษฐกิจโลกคอมมิวนิสต์ - สนธิสญั ญาแอตแลนตกิ เหนือ (NATO) : ตอ่ ตา้ นคอมมิวนสิ ต์ - สนธิสญั ญาตะวนั ออกกลาง (CENTO) : ตอ่ ตา้ นคอมมิวนสิ ตใ์ นตะวนั ออกกลาง - พนั ธมิตรรว่ มปอ้ งกนั เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ (SEATO) - สนธิสญั ญาแอนซสั (ANZUS) ปอ้ งกนั คอมมวิ นิสตใ์ นแปซฟิ ิก USA ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ - สนธิสญั ญาวอรซ์ อ : ตอ่ ตา้ นประชาธิปไตย **กาแพงเบอรล์ นิ = สญั ลกั ษณข์ องสงครามเยน็ - ประธานาธิบดี มิคาอลิ กอรบ์ าซอฟ : นโยบาย “กลาสนอต (การเมือง)-เปเรสทรอยกา(เศรษฐกิจ) : เปิดประเทศเขา้ สโู่ ลกเสรมี ากขนึ้ มีผลทาใหส้ หภาพโซเวียตลม่ สลาย แตกออกเป็น 15 ประเทศ ในปี1991 57. ศาสนสถานแบบเขมรโบราณท่ีเรียกวา่ ปราสาทหินในบางท่ีพบศิลาจารกึ ระบวุ า่ เป็นอโรคยาศาลา หรือ โรงพยาบาล สนั นิษฐานวา่ เป็นส่ิงก่อสรา้ งท่ีสรา้ งขนึ้ ในรชั สมยั ของกษัตรยิ เ์ ขมรโบราณพระองคใ์ ด 1. พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 1 (king เจนละ) 2. พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี 1 (สร้างพระวิหาร) 3. พระเจา้ มเหนทรวรมนั (king เจนละ) 4. พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี 2 (สร้างปราสาทนครวัด) 5. พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 7 (สร้างอโรคยาศาลา สังเกตง่าย ๆ ส่วนใหญ่ทาจากศลิ าแลง) 58. ขอ้ ใดคือวตั ถุประสงคห์ ลกั ในการเสดจ็ ประพาสประเทศในทวีปยโุ รปครงั้ ท่ี 2 ของพระบาทสมเดจ็ พระ จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั 1. รกั ษาพระองค์ 2. แสวงหาพนั ธมิตร 3. เจรจาขอแกไ้ ขสนธิสญั ญา 4. สง่ พระราชโอรสไปศกึ ษาตอ่ 5. ทอดพระเนตรความเจรญิ ของตา่ งประเทศ
ความรู้เสรมิ : เหตกุ ารณส์ าคญั สมยั รชั กาลท่ี 5 - 2411 ร.5 ขนึ้ ครองราชย์ - 2413 เสดจ็ ประพาสตา่ งประเทศครงั้ แรก (สิงคโ์ ปร)์ (บอ่ ยสดุ เกาะชวา) - 2416 ตงั้ หอรษั ฎากรพิพฒั น์ (เก็บภาษี) - 2417 ตงั้ “สภาท่ีปรกึ ษา” (ราชการแผน่ ดนิ (เคาน์ ออฟ เสตด) สว่ นพระองค(์ องคมนตรีสภา) ออก พรบ.เกษียนอายลุ กู ทาสลกู ไท (เรม่ิ ตน้ การเลกิ ทาส) - 2425 ตงั้ โรงเรียนมหาดเลก็ หรือโรงเรียนพระตาหนกั สวนกหุ ลาบ(หลวง) - 2427 เกิด ”กลมุ่ กา้ วหนา้ ร.ศ.103” (กลมุ่ เจา้ นายและขา้ ราชการท่ีกราบทลู ร.5 ในการ เปล่ียนแปลงการปกครอง = กษัตริยอ์ ยภู่ ายใตร้ ฐั ธรรมนญู - 2427 ตงั้ โรงเรยี นสาหรบั ราษฎรแหง่ แรก คอื รร.วดั มหรรณพาราม - 2428 ตงั้ “สยามมกฎุ ราชกมุ าร” ปฏิรูปการปกครอง - 2430 ตงั้ “กระทรวง” - 2436 เกิด “วิกฤตการณ์ ร.ศ.112” (เสียดนิ แดนฝ่ังซา้ ยของแมน่ า้ โขงใหฝ้ ร่งั เศส) - 2437 ตงั้ “มณฑลเทศาภิบาล” - 2439 ทางบประมาณแผน่ ดนิ ครงั้ แรก - 2440 เสดจ็ ประพาสยโุ รปครงั้ แรก - 2447 เสดจ็ ประพาสตน้ ครงั้ ท่ี 1 (ออกเท่ียวอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ) - 2448 ออก “พรบ ลกั ษณะการเกณฑท์ หาร ร.ศ.124” (การเลิกไพร)่ - 2449 เสียเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสถณ(กมั พชู า) ใหฝ้ ร่งั เศส - 2451 เสียหวั เมืองมลายใู หอ้ งั กฤษ (กลนั ตนั ตรงั กานู ไทรบรุ ี ปะลสิ = มาเลเซีย) การเสดจ็ ประพาสยุโรปครั้งที่ 1 ใน พ.ศ. 2440 นบั เป็นครงั้ แรกของพระมหากษัตรยิ ใ์ นภูมิภาค นีท้ ่ีเสด็จประพาสยุโรปโดยมีจุดประสงคส์ าคญั คือ เพ่ือทาความเขา้ ใจกับชาติท่ีคุกคามไทย เพ่ือเจรจา โดยตรงกับผนู้ าของฝร่งั เศสเพ่ือแกป้ ัญหาความขดั แยง้ ในกรณีท่ีสืบเน่ืองจากวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) รวมทงั้ เพ่ือแสวงหาชาตพิ นั ธมิตรมาชว่ ยส่งเสรมิ สรา้ งความม่นั คงของประเทศ การเสด็จประพาส ยโุ รปครงั้ นีป้ ระสบความสาเร็จอย่างย่ิงในการสรา้ งสมั พนั ธไมตรีกับรสั เซีย ในรชั สมยั ซารน์ ิโคลสั ท่ี 2 แห่ง ราชวงศโ์ รมานอฟ การเสด็จประพาสยุโรปคร้ังท่ี 2 ใน พ.ศ. 2450 ทรงมีจดุ ประสงคส์ าคญั คือ เพ่ือรกั ษาพระ อาการประชวรเก่ียวกบั ระบบทางเดินหายใจและพระวกั กะ (ไต) และเพ่ือเจรจาราชการบ้านเมืองกบั ชาติ
ตะวนั ตกตา่ ง ๆ ทงั้ เร่ืองสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ปัญหาเร่ืองคนในบงั คบั ฝร่งั เศส อานาจการปกครอง เหนือดนิ แดนเมืองหลวงพระบางบนฝ่ังขวาแม่นา้ โขงและเขตปลอดทหาร (ไทย) ระยะ 25 กิโลเมตรบนฝ่ัง ขวาของแม่นา้ โขงตลอดแนวชายแดนระหว่างราชอาณาจักรสยามกับอาณานิคมอินโดจีนของฝร่งั เศส ปัญหาภาษีรอ้ ยชกั 3 เป็นรอ้ ยชกั 10 และโครงการสรา้ งทางรถไพสายใต้ 59. ขอ้ ใดไมส่ ามารถใชเ้ ป็นหลกั ฐานในการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรส์ มยั อยธุ ยา 1. องคพ์ ระปฐมเจดีย์ จงั หวดั นครปฐม (องคเ์ ดิมเช่ือว่าสรา้ งในชว่ งทวารวดี ท่ีเห็นปัจจบุ นั เป็นการ บรู ณะครงั้ ใหญ่สมยั รชั กาลท่ี 4) 2. ปอ้ มวิไชยประสิทธิ์ กรุงเทพมหานคร (ปอ้ มประจาเมืองธนบรุ ี สรา้ งในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์ มหาราช ชว่ งอยธุ ยา) 3. ศลิ าจารกึ วดั จฬุ ามณี จงั หวดั พิษณโุ ลก (กล่าวยอ้ นไปถึงครงั้ สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถทรงมี พระบรมราชโองการใหส้ รา้ งวดั จุฬามณี เพ่ือทรงจาพรรษาขณะออกผนวช และเหตุการณท์ ่ีสมเด็จพระ นารายณม์ หาราชโปรดใหส้ รา้ งพระพุทธบาทจาลองประดิษฐานไวท้ ่ีวดั จุฬามณี เม่ือ พ.ศ. ๒๒๒๔ โดย สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราชโปรดใหจ้ ารกึ ขนึ้ ราวจลุ ศกั ราช ๑๐๔๓ (พทุ ธศกั ราช ๒๒๒๔) 4. จารึกลานทองวดั ส่องคบ จงั หวดั ชยั นาถ (กล่าวถึงเจา้ เมืองนามว่า ขุนเพชญสาร ท่ีไดท้ าบุญ ดว้ ยการบริจาคขา้ วของเงินทอง และขา้ ทาสจานวนมากแก่วดั ในจลุ ศกั ราช ๗๗๐ (ปีชวดนกั ษัตรสมั ฤทธิ ศก) ซง่ึ ตรงกบั พ.ศ. ๑๙๕๑ อนั เป็นรชั สมยั ของสมเด็จพระรามราชาธิราช (พ.ศ. ๑๙๓๘-๑๙๕๒) ครองกรุง ศรีอยธุ ยา) 5. ซากเตาเผาโบราณบรเิ วณแมน่ า้ นอ้ ย จงั หวดั สิงหบ์ รุ ี (แหลง่ เตาเผาเคร่อื งสงั คโลกสาคญั ในสมยั อยธุ ยา) 60. ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง 1. วนั แรกของรตั นโกสินทรศ์ ก คือ วนั ท่ี 6 เมษายน อนั เป็นวนั ขนึ้ ครองราชยข์ องปฐมกษัตรยิ แ์ ห่ง กรุงรตั นโกสินทร์ (เร่มิ ใชส้ มยั ร.5 ยกเลกิ สมยั ร.6) 2. การประกาศใหใ้ ชร้ ตั นโกสินทรศ์ กในเอกสารราชการมีขนึ้ ในคราวสมโภชกรุงรตั นโกสนิ ทร์ 100 ปี (เร่ิมมีการใช้ครั้งแรกเม่ือจุลศักราช 1250 (พ.ศ.2432) และวันเร่ิมต้นปี คือวันท่ี 1 เมษายน ซ่ึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงกาหนดใหเ้ ป็นวนั ขนึ้ ปีใหมแ่ ละประกาศใชร้ ตั นโกสินทรศก อยา่ งเป็นทางการ) 3. การยกเลิกการใชร้ ตั นโกสินทรศ์ กในเอกสารราชการเกิดขึน้ ในสมัยรชั กาลท่ี 6 (ทรงเล็งเห็น ประโยชนแ์ ละสะดวกในการใชพ้ ทุ ธศกั ราชอา้ งอิงประวตั ิศาสตร์ จงึ ไดม้ ีการยกเลิกการใชร้ ตั นโกสินทร์ศก
Search