Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณค่าทางศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.1

การศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณค่าทางศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.1

Published by ชั้นหนังสือ, 2020-05-28 01:53:01

Description: คุณค่าศิลปะ ใน 5 ด้าน คือ
1) คุณค่าศิลปะในหลักสูตรศิลปศึกษา
2) คุณค่าศิลปะต่อการพัฒนาด้านจิตใจ
3) คุณค่าศิลปะต่อการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
4) คุณค่าศิลปะต่อการเสริมสร้างความสุนทรีย์
5) คุณค่าศิลปะต่อการมีส่วนร่วมและจิตสำนึกสาธารณะ

Search

Read the Text Version

การศกึ ษาความคิดเหน็ เกย่ี วกับคุณคา่ ทางศลิ ปะ รายวชิ าศิลปะ 2 รหัสวชิ า 31102 ตามการรบั รขู้ องนกั เรียน ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4.1 นายพิชิตศิลป์ ปิ่นคา ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ชานาญการ งานวจิ ยั ในชั้นเรยี น รายวชิ าศลิ ปะ 2 รหัสวชิ า 31102 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 กลมุ่ สาระการเรยี นร้ศู ลิ ปะ โรงเรียนดารงราษฎร์สงเคราะห์ สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษามธั ยมศึกษาเขต 36

ก ชื่อเรื่อง การศึกษาความคดิ เห็นเกีย่ วกับคุณค่าทางศิลปะ รายวชิ าศิลปะ 2 รหสั วชิ า 31102 ตามการรบั รู้ของนกั เรยี น ระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 4.1 ผวู้ ิจัย รายวิชา นายพชิ ติ ศลิ ป์ ปิ่นคา ภาคเรยี นที่ ศลิ ปะ 2 รหัสวิชา 31102 ปีการศกึ ษา 2 หน่วยงาน 2562 โรงเรียนดารงราษฎรส์ งเคราะห์ บทคัดยอ่ งานวิจัยในชั้นเรียนน้ี มีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณค่าศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของนักเรียน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 โรงเรียนดารงราษฎร์สงเคราะห์ ใน 5 ดา้ น คอื 1) คุณค่าศลิ ปะในหลกั สูตรศลิ ปศึกษา 2) คุณค่าศิลปะต่อการพัฒนาด้านจิตใจ 3) คุณค่าศิลปะ ต่อการส่งเสรมิ ความคิดสร้างสรรค์ 4) คณุ ค่าศลิ ปะตอ่ การเสริมสรา้ งความสนุ ทรีย์ และ 5) คุณค่าศิลปะต่อการ มีส่วนร่วมและจิตสานึกสาธารณะ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 จานวน 30 คน เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการวิจยั คอื แบบสอบถาม ผลการวจิ ัย พบว่า นักเรยี นระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4.1 มคี วามคิดเห็นเกี่ยวกับคุณค่าศิลปะ รายวิชา ศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก และในแต่ละด้านมีระดับความคิดเห็น คือ 1) คณุ คา่ ศิลปะในหลกั สตู รศิลปศกึ ษา อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ส่งเสริมพัฒนาความ สนใจและค่านิยม เห็นคุณค่าศิลปะมากข้ึน 2) คุณค่าศิลปะต่อการพัฒนาด้านจิตใจ อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ยอมรับในความสามารถและความสาเร็จของเพ่ือนอย่างเข้าใจ และช่ืนชมยินดี 3) คุณคา่ ศิลปะต่อการส่งเสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์ อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ นักเรียน สามารถพัฒนาความคิดเชิงนามธรรมสู่รูปธรรมได้อย่างสร้างสรรค์ 4) คุณค่าศิลปะต่อการเสริมสร้างความ สุนทรีย์ อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ข้อท่ีมีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ ความสุนทรีย์ทางศิลปะสามารถพัฒนาค่านิยมท่ีดี งามอย่างมรี สนยิ ม และ 5) คณุ ค่าศิลปะต่อการมีส่วนร่วมและจิตสานกึ สาธารณะ อยู่ในระดับเห็นด้วยมาก ข้อ ที่มคี า่ เฉลย่ี สงู สุด คือ ศิลปะในวิชาทัศนศิลป์คือเป็นส่ือกลาง ท่ีทาให้วิถีชีวิตมนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่าง สมดุลและสนั ติสขุ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเก่ียวกับคุณค่าศิลปะ ส่วนใหญ่เห็นว่า ศิลปะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ความสนใจและเห็นคุณค่าศิลปะมากข้ึน เป็นการฝึกสมาธิท่ีดี ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ช่วยพัฒนา สนุ ทรยี ภาพ และศลิ ปะทาให้มนษุ ย์อยรู่ ่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสขุ

ข กิตตกิ รรมประกาศ งานวิจัยในช้ันเรียน เรื่อง การศึกษาความคิดเห็นเก่ียวกับคุณค่าศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของนกั เรยี น ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ในการทาวิจัยคร้ังนี้ สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี จาก ความกรณุ าของ นายส่งศักด์ิ เทพดวงแก้ว ผู้อานวยการโรงเรียนดารงราษฎร์สงเคราะห์ได้ให้ความช่วยเหลือ ใหค้ าปรึกษา และคาแนะนาจนสาเร็จลลุ ว่ งเรียบรอ้ ย ขอขอบคุณ นางสาวอังคณา ละออ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ นายกฤษฎา รักษาศิลป์ และ นายจักรกฤษณ์ หมน่ั หมาย ครูผู้สอนสาระทัศนศิลป์ ท่ีได้กรุณาให้คาปรึกษาและตรวจสอบแบบสอบถามท่ีใช้ ในการวจิ ัยครัง้ น้ี ขอขอบคุณครูทุกท่าน ท่ีได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาแก่ผู้วิจัย ขอขอบคุณคณะครูโรงเรียน ดารงราษฎร์สงเคราะห์ ที่ให้กาลงั ใจ จนทาวจิ ยั ครั้งนไ้ี ดส้ าเร็จ ขอบใจนักเรยี นระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4.1 โรงเรยี นดารงราษฎรส์ งเคราะห์ ท่ีให้ความร่วมมือในการ วจิ ยั ครงั้ น้ี

สารบัญ หนา้ บทคัดย่อ ก กติ ติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง จ สารบญั ภาพประกอบ ช บทที่ 1 บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา 1 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 4 ขอบเขตการวจิ ยั 5 ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รับจากการวจิ ัย 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กยี่ วข้อง 1. คุณค่าศิลปะ 6 2. กลมุ่ สาระการเรยี นรศู้ ลิ ปะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 16 3. โรงเรยี นดารงราษฎรส์ งเคราะห์ 22 4. งานวิจยั ทีเ่ กยี่ วข้อง 23 บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจยั 1. การศกึ ษาข้อมูลเบอ้ื งตน้ 30 2. กาหนดกลมุ่ ตวั อยา่ งการวจิ ยั 30 3. เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย 31 4. ข้นั ตอนการสร้างเครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั 31 5. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 32 6. การวเิ คราะหข์ อ้ มูล 32 7. สรปุ ผลการวิจัยอภิปรายผลการวิจัยและนาเสนอข้อเสนอแนะ 33 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 34 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะหค์ วามคดิ เหน็ เกยี่ วกบั คุณค่าศลิ ปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหสั วชิ า 31102 ตามการรบั ร้ขู องนกั เรยี น ระดับช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4.1 38 ตอนท่ี 3 ผลการวเิ คราะหค์ วามคิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะเกี่ยวกบั คณุ ค่าศิลปะ รายวชิ าศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของนกั เรยี น ระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4.1 43 บทท่ี 5 สรุปผลการวจิ ยั อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 1. วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 44 2. วิธีดาเนนิ การวจิ ัย 44 3. สรุปผลการวจิ ัย 45 4. อภปิ รายผลการวิจยั 47 5. ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยในครัง้ ตอ่ ไป 53

บรรณานกุ รม ง ภาคผนวก หน้า ภาคผนวก ก เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจยั 55 ภาคผนวก ข ตารางวิเคราะห์ข้อมูล 58 กลุ่มตวั อยา่ ง กลุม่ ทดลอง 65 ภาคผนวก ค ภาพกจิ กรรม 68 70 ประวตั ผิ วู้ ิจยั 72

สารบัญตาราง หนา้ 34 ตารางที่ 1 จานวน และค่ารอ้ ยละของเพศ จากกลมุ่ ตวั อยา่ ง 34 ซ่งึ เปน็ นกั เรียนระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4.1 ทเ่ี รยี นรายวชิ าศลิ ปะ 2 รหัสวิชา 31102 35 35 ตารางที่ 2 จานวน และคา่ รอ้ ยละของความถนัดทางทัศนศลิ ป์ด้านการวาดภาพ 35 ของนกั เรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4.1 ทีเ่ รยี นรายวิชาศลิ ปะ 2 รหสั วิชา 31102 36 36 ตารางท่ี 3 จานวน และคา่ ร้อยละของความถนัดทางทัศนศิลปด์ ้านการปน้ั 36 ของนกั เรยี นระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 4.1 ที่เรยี นรายวชิ าศิลปะ 2 รหสั วิชา 31102 36 37 ตารางที่ 4 จานวน และค่ารอ้ ยละของความถนดั ทางทัศนศิลป์ด้านการแกะสลกั ของนักเรียนระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 4.1 ทเ่ี รียนรายวชิ าศิลปะ 2 รหสั วชิ า 31102 37 ตารางที่ 5 จานวน และคา่ ร้อยละของความถนดั ทางทัศนศิลปด์ า้ นภาพพิมพ์ 38 ของนกั เรยี นระดับช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4.1 ที่เรยี นรายวิชาศลิ ปะ 2 รหัสวิชา 31102 39 ตารางท่ี 6 จานวน และคา่ รอ้ ยละของความถนัดทางทศั นศิลป์ด้านงานปะติด ของนักเรียนระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4.1 ท่เี รยี นรายวิชาศลิ ปะ 2 รหัสวชิ า 31102 40 ตารางท่ี 7 จานวน และคา่ ร้อยละของความถนัดทางทศั นศลิ ปด์ า้ นอนื่ ๆ 41 ของนกั เรยี นระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4.1 ทเ่ี รยี นรายวชิ าศิลปะ 2 รหสั วชิ า 31102 ตารางที่ 8 จานวน และคา่ รอ้ ยละของการไปทศั นศกึ ษางานทัศนศิลป์ ของนกั เรยี นระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4.1 ทเ่ี รียนรายวชิ าศลิ ปะ 2 รหสั วชิ า 31102 ตารางที่ 9 จานวน และค่ารอ้ ยละของการไปชมนิทรรศการผลงานทัศนศลิ ป์ ของนักเรยี นระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4.1 ท่เี รียนรายวชิ าศลิ ปะ 2 รหสั วิชา 31102 ตารางท่ี 10 จานวน และค่าร้อยละของการมสี ่วนรว่ มกจิ กรรมทางทศั นศิลปท์ ่ีจดั ขึน้ ในโรงเรียน ของนักเรยี นระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4.1 ทเ่ี รียนรายวชิ าศลิ ปะ 2 รหสั วิชา 31102 ตารางที่ 11 จานวน และค่ารอ้ ยละของการมีสว่ นรว่ มกิจกรรมทางทัศนศิลปท์ ีจ่ ัดขึ้น โดยหนว่ ยงานภายนอก ของนักเรยี นระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ท่เี รียนรายวชิ าศลิ ปะ 2 รหสั วิชา 31102 ตารางท่ี 12 คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเหน็ เกย่ี วกบั คุณค่าศลิ ปะ รายวชิ าศลิ ปะ 2 รหัสวชิ า 31102 ตามการรบั ร้ขู องนักเรยี น ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4.1 ด้านคุณค่าศลิ ปะในหลกั สตู รศิลปศกึ ษา ตารางที่ 13 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ความคิดเหน็ เกี่ยวกบั คุณค่าศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรขู้ องนกั เรียน ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4.1 ด้านคุณค่าศลิ ปะต่อการพัฒนาด้านจติ ใจ ตารางท่ี 14 ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ความคิดเหน็ เก่ยี วกบั คุณคา่ ศลิ ปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหสั วชิ า 31102 ตามการรับร้ขู องนกั เรียน ระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ดา้ นคุณคา่ ศลิ ปะตอ่ การสง่ เสริมความคดิ สร้างสรรค์ ตารางที่ 15 คา่ เฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ความคดิ เห็นเก่ียวกบั คุณค่าศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวชิ า 31102 ตามการรับรู้ของนักเรียน ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4.1 ด้านคณุ คา่ ศลิ ปะตอ่ การเสริมสร้างความสุนทรีย์

ฉ ตารางท่ี 16 ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ความคดิ เห็นเกีย่ วกบั คณุ ค่าศลิ ปะ หน้า รายวชิ าศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรบั รขู้ องนกั เรียน ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4.1 42 ด้านคุณค่าศลิ ปะตอ่ การมสี ว่ นรว่ มและจิตสานกึ สาธารณะ 43 ตารางท่ี 17 ขอ้ เสนอแนะและความคิดเห็นเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั คณุ ค่าศลิ ปะในหลักสูตรศลิ ปศึกษา 43 ตารางที่ 18 ข้อเสนอแนะและความคิดเหน็ เพมิ่ เติมเก่ยี วกับคณุ ค่าศิลปะต่อการพัฒนาดา้ นจิตใจ 43 ตารางท่ี 19 ข้อเสนอแนะและความคิดเหน็ เพ่มิ เติมเกี่ยวกับคุณค่าศิลปะ 43 ต่อการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ 43 ตารางที่ 20 ข้อเสนอแนะและความคดิ เห็นเพม่ิ เติมเก่ยี วกับคุณคา่ ศลิ ปะต่อการเสริมสรา้ งความสนุ ทรยี ์ ตารางที่ 21 ขอ้ เสนอแนะและความคดิ เห็นเพิม่ เตมิ เกยี่ วกับคุณค่าศิลปะ ต่อการมีส่วนรว่ มและจติ สานกึ สาธารณะ

สารบัญภาพประกอบ หนา้ 22 ภาพประกอบ 1 ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง มาตรฐาน ศ 1.1 22 ภาพประกอบ 2 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง มาตรฐาน ศ 1.2 23 ภาพประกอบ 3 ขอ้ มูลนักเรียน โรงเรียนดารงราษฎรส์ งเคราะห์ ปกี ารศกึ ษา 2562

บทที่ 1 บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา เมือ่ กล่าวถงึ ศลิ ปะกับมนุษย์ ทุกคนต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับศิลปะทั้งสิ้น จะสังเกตเห็นได้ต้ังแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่ามนุษย์จะไปสถานที่แห่งใดหรือในโอกาสใด มนุษย์จะได้สัมผัสกับศิลปะตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างย่ิงศิลปะด้านทัศนศิลป์ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตย กรรม การท่ีมนุษย์มี ความสมั พันธ์เกีย่ วขอ้ งอย่กู ับศิลปะน้ัน บางคร้ังมนุษย์ลืมละเลยไม่เห็นความสาคัญของศิลปะเท่าไหร่นัก หรือ บางครั้งคิดไปว่านั่นไม่ใช่ศิลปะ หรือถ้าสนใจก็เกิดความวิตกว่าตนเองไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีหัวศิลป์ และศิลปะ เป็นสิ่งท่ียากเกินไปสาหรับตน เป็นต้น ศิลปะจึงกลายเป็นกิจกรรมของกลุ่มคนจานวนน้อยและอยู่ในแวด วงจากดั ดงั นัน้ ครูอาจารยแ์ ละผมู้ ปี ระสบการณ์ในด้านศลิ ปะ ต้องให้คาแนะนาช่วยเหลือแก่บุคคลท่ัวไปให้เกิด ทศั นคติทีด่ ีและสนใจตอ่ วิชาศลิ ปะนใี้ ห้มากยิ่งข้ึน (สุชาติ เถาทอง, 2532: 1) นักศิลปศึกษามีส่วนช่วยโน้มน้าว จติ ใจให้มีความรกั ในความงามของธรรมชาตแิ ละความงามทางศิลปะ ถ้าเยาวชนของชาติมีค่านิยมท่ีดีและเห็น คณุ ค่าของงานศิลปะแขนงต่าง ๆ และมคี วามซาบซึง้ ในศิลปวัฒนธรรมแล้ว ย่อมมีสว่ นชว่ ยในการดาเนินชีวิตให้ ประสบความสันตสิ ุข จิตใจมีความสละสลวยเพราะความสุขอันแทจ้ ริงน้ันไม่ได้อยู่เพียงการกิน การนอน ความ ม่ังมีเงินทอง มีคฤหาสน์ มีรถยนต์ วุฒิบัตรอันยืดยาว หรือมีตาแหน่งเป็นเจ้าขุนมูลนาย หากต้องอิงอาศัย ใกล้ชิดกับงานศิลปะ อันแสดงถึงความก้าวหน้าทางพุทธิปัญญาและสุนทรียภาพด้วย (สงวน รอดบุญ, 2533: 33) จากการสืบค้นความเป็นมาเก่ียวกับศิลปะ ได้พบหลักฐานท่ีบ่งบอกถึงความสามารถสร้างสรรค์ของ มนุษย์นับเป็นเวลากว่า 20,000 ปี หลักฐานท่ีเก่าแก่คือภาพวาดในผนังถ้าอัลตามิรา (Aytamira) ในประเทศ สเปนและในถ้าลาสโกซ์ (Lascaux) ในประเทศฝร่ังเศส เป็นรูปเขียนสีภาพสัตว์ต่าง ๆ อาทิ กวาง ม้า วัวไบซัน เป็นต้นภาพวาดเหล่านี้แสดงลักษณะท่าทางอารมณ์ความรู้สึก บางภาพมีคุณค่าทางศิลปะอย่างยอดเยี่ยม แสดงว่ามนุษยม์ ีความสามารถในการสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะตัง้ แต่คร้งั อดีตกาล (สุชาติ สุทธิ, 2544: 64) นอกจากน้ัน หลกั ฐานทางทัศนศิลป์เหลา่ น้ที าให้เรามองเห็นไดว้ ่า ไม่วา่ จะเปน็ ลวดลายขดู ขีดหรอื เขยี นสีหรือท้ังสองอย่างอยู่ ด้วยกันกต็ าม ส่งิ เหล่านม้ี นุษยม์ ไิ ด้ทาข้ึนเพ่ือความสวยงามแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เป็นสัญลักษณ์ที่ นบั เนือ่ งในระบบความเช่ืออย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมิฉะน้ันก็จะต้องเก่ียวข้องกับการแสดงฐานะทางสังคมของ ผคู้ นกลมุ่ ต่าง ๆ ในชุมชนนน้ั ๆ หรอื เพ่ือแสดงความกตัญญตู ่อธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ต่อพวกเขาในการดารง ชพี เชน่ ให้ผลผลติ ใหน้ า้ ให้แสงแดด แต่เม่อื เกิดเหตุนา้ ท่วม แผน่ ดนิ ไหว พายุ อันเปน็ เหตุให้เกิดความวิบัติข้ึน นัน้ พวกเขาจะพยายามทาหนา้ ท่ีให้เทพทส่ี งิ สถติ ในสิ่งเหล่าน้นั คลา้ ยความพโิ รธจึงได้ มีการสร้างรูปเคารพเพ่ือ เซ่นสรวงบูชา ซึ่งอาจจะแกะสลักจากไม้หรือป้ันดิน จึงทาให้เกิดเป็นงานประติมากรรมข้ึน (สุชาติ เถาทอง, 2547: 60) การทาความเข้าใจเก่ียวกับศิลปะน้ัน ไม่ใช่เรื่องยากเกินกาลังสติปัญญาของคนท่ัวไป คือว่าทุกคน สามารถรับรูแ้ ละชน่ื ชมศลิ ปะได้ หากมีความสนใจไม่ว่าจะเป็นศิลปะประจาชาติไทยหรือศิลปะสมัยใหม่ก็ตาม โดยเฉพาะศิลปะสมัยใหม่และศิลปะร่วมสมัยนั้น ดูเหมือนประชาชนท่ัวไปมักปฏิเสธเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้รู้ ได้ฟัง ได้ชม ความคิดเช่นนี้เป็นอุปสรรคสาคัญประการหนึ่ง ท้ังท่ีแท้จริงแล้วศิลปะไม่ใช่สิ่งสูงส่งเกิน ความสามารถของประชาชนทจ่ี ะรบั รไู้ ด้ เพราะศิลปะเป็นสิ่งท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนด้วยกัน จึงควรเข้าใจและรับรู้ แต่ การรับรู้น้ันมีหลายระดับต้ังแต่การรับรู้เพ่ือการชื่นชมท่ัวไป การชื่นชมระดับชาวบ้าน การชื่นชมระดับ

2 สถานศึกษา วิเคราะหอ์ ยา่ งมีความรู้และมีความเข้าใจ ถึงขั้นประเมินคุณค่าได้น้ันเป็นระดับที่ต้องมีการศึกษา หาความรอู้ ย่างจรงิ จงั (วิบลู ย์ ลสี้ ุวรรณ, 2539: 11) คุณค่าของผลงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นผลงานศิลปกรรมของชนชาติใดเพลาใดหรือบุคคลใด ย่อมมี จุดมุ่งหมายสะท้อนผลแห่งความจริงและความดีงามจริงใจ อบรมชักจูงจิตใจให้ซาบซึ้งในสุนทรียภาพอันเป็น บอ่ เกิดแหง่ ความมีพทุ ธปิ ญั ญา เป็นผลส่งโดยตรงและทางอ้อมกระตุ้นเตอื นจติ ใจให้บงั เกิดความสานึก ได้คิดละ ท้ิงความร้สู ึกอันป่าเถื่อนใหพ้ น้ ไปจากสว่ นลกึ ของจติ ใจและวญิ ญาณ ดงั นน้ั คุณคา่ ท่ีแท้จรงิ ของศลิ ปกรรมจึงมิได้ จากัดหรือแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติภาษา “ศิลปะจึงเป็นสากลอันเป็นของมวลชนทุกชาติ” ซึ่ง เป็นส่ือทางใจและวญิ ญาณของมวลมนษุ ยชาติ ที่ใส่อยู่ในหนทางท่ีมุ่งไปสู่ความดีงามด้วยกัน ให้เกิดความนิยม ศรัทธารักใคร่ซ่ึงกันและกันเสมือนญาติมิตร (พิชัย นิรันต์, 2507) ศิลปะจึงต้องมีคุณค่าเพื่อพัฒนาจิตใจของ มนษุ ย์ แม้ว่าผลงานทางศลิ ปะจะไม่ใช่สิง่ จาเปน็ เสมอไปสาหรับการดารงชวี ติ อยา่ งแทจ้ ริงก็ตาม แต่ศิลปะก็เป็น ส่ิงสาคัญอย่างหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ เพราะอาจใช้ศิลปะเป็นส่ิงที่คลายอารมณ์ พักผ่อนหย่อนใจกับศิลปะ ตลอดจนช่วยสะท้อนให้เห็นความเป็นไปต่าง ๆ ของสังคม ความยุติธรรม การถูกรังแก ความยากจน ในกลุ่ม คนบางกลมุ่ มคี วามม่งั มศี รีสขุ ความอุดมสมบรู ณ์ สง่ิ เหล่านี้ล้วนถ่ายทอดมาสู่ศิลปะท้ังสิ้นเพราะเป็นสิ่งบันดาล ใจอย่างหนงึ่ ซ่งึ ศิลปนิ ใชเ้ ป็นวตั ถดุ บิ (วิทย์ พณิ คันเงนิ , 2547) การพัฒนาประเทศไทยในอนาคต 20 ปี ไดน้ อ้ มนาหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นปรัชญา นาทางในการพฒั นาประเทศอยา่ งต่อเน่ืองจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9-11 โดยการ จัดทาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 สานักคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สคช.) ได้จัดทาบนพื้นฐานของกรอบยุทธศาสตร์และเป้าหมายการพัฒนาท่ีย่ังยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) รวมท้ังการปรับโครงสร้างประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 ตลอดจน ประเด็นการปฏิรูปประเทศ นอกจากน้ันได้ให้ความสาคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันกาหนดวิสัยทัศน์และทิศทางการพัฒนาประเทศ รวมทั้งร่วมจัดทารายละเอียดยุทธศาสตร์ของ แผนฯ เพื่อมงุ่ สู่ “ความมั่งคง ม่งั ค่งั และยั่งยืน” (สรุปสาระสาคัญแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับ ท่ี 12 พุทธศักราช 2560-2564) ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิ พลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร ทยี่ ดึ ทางสายกลางบนพ้นื ฐานของความสมดุลพอดี รู้จักประมาณอย่างมี เหตผุ ลมคี วามรอบรเู้ ทา่ ทันโลก เปน็ แนวทางในการดารงชีวิตเพอื่ ม่งุ ให้เกดิ “การพัฒนาท่ยี ั่งยืนและความอยู่ดีมี สขุ ของคนไทย” ยดึ “คน” เป็นศนู ยก์ ลางการพฒั นา เพื่อใหค้ นไทยมคี วามสุขพ่งึ ตนเองและก้าวทันโลกและยัง รักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ สามารถเลือกใช้ความรู้และเทคโนโลยีอย่างคุ้มค่า เหมาะสม มีระบบ ภมู คิ ุ้มกนั ท่ีดี มคี วามยดื หยนุ่ พรอ้ มรบั การเปล่ียนแปลงควบคู่ไปกับการมีคุณธรรมและความซ่ือสัตย์สุจริตเป็น แบบแผนบูรณาการแบบองค์รวม กระบวนการในการบูรณาการของชีวิตเป็นองค์รวม การศึกษาศาสนา ศิลปวัฒนธรรมและธรรมชาติอย่างสมดุล พึ่งพาอาศัยส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน มีการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่องตลอดชีวิต ในครอบครัวเป็นสถาบันหลักท่ีมีความสาคัญที่สุด พัฒนาชีวิตให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็น คนดีคนเก่งและมีความสุข สมบูรณ์ท้ังร่างกายจิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมในการ ดารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข พัฒนาสังคมให้เข้มแข็งและมีดุลยภาพ ได้แก่ 1) สังคม คุณภาพที่มีความเท่ียงธรรมม่ันคงโปร่งใสประชาชนมีสิทธิเสรีภาพสมบูรณ์ 2) สังคมแห่งภูมิปัญญาและการ เรียนรู้และทุกคนในสังคมมีความใฝ่รู้และพร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ และ 3) สังคมแห่งความสมานฉันท์และ อาทรตอ่ กนั เปน็ สงั คมทีม่ ุ่งฟืน้ ฟสู อ่ื สารและธารงไวซ้ ึง่ เอกลักษณศ์ ิลปะและวฒั นธรรมไทย

3 แนวการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 มาตราที่ 23 (1) กาหนดว่า การจัดการศึกษาทั้งในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้น ความสาคัญท้ังความรู้คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ การศึกษา ในเร่ืองความรู้เก่ียวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภูมิ ปัญญา ตามลักษณะธรรมชาตขิ องกลุ่มสาระการเรยี นรู้ศิลปะ การเรียนรู้ เทคนิค วิธีการทางาน ตลอดจนการ เปิดโอกาสให้แสดงออกอย่างอิสระ ทาให้ผู้เรียนได้รับการส่งเสริม สนับสนุน ให้คิดริเริ่มสร้างสรรค์ดัดแปลง จินตนาการ มสี นุ ทรียภาพ และเห็นคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมไทยและสากล เสริมสร้างให้มนุษย์เปล่ียนแปลง ไปในทางท่ีดีขึ้น ช่วยให้มีจิตใจท่ีงดงาม สมาธิแน่วแน่ สุขภาพกายและสุขภาพจิตมีความสมดุล เป็นรากฐาน ของการพัฒนาชีวิตท่ีสมบูรณ์ เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติโดยส่วนตน และส่งผลต่อการ ยกระดับคณุ ภาพชีวิตของสังคมโดยรวม การจัดการเรียนรู้ทางศิลปะ ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น ได้กาหนดเป้าหมายเพ่ือให้ผู้เรียน สร้าง นาเสนอ โดยแสดงผลงานศิลปะ โดยเลือกใช้การผสมผสานของทัศนธาตุ องค์ประกอบดนตรี องค์ประกอบนาฏศลิ ป์ และทักษะทางเทคนิคให้ได้ผลตามท่ีต้องการ ประเมินผลงานของตนเองและอธิบายให้ ผอู้ นื่ ได้วิเคราะหเ์ ทคนิค การจัดทัศนียภาพ องค์ประกอบดนตรี องค์ประกอบนาฏศิลป์ ท่ีมีอิทธิพลต่อการส่ือ ความคิดความรู้สึกและผลกระทบต่องานศิลปะสาขาต่าง ๆ และอธิบายหลักและความงามคือศิลปะการเวลา และวัฒนธรรมทแ่ี ตกตา่ งกัน อธิบายเกี่ยวกบั สงั คมและวฒั นธรรมท่ีมีผลต่องานศิลปะได้ นาความรู้ทางศิลปะที่ ตนถนัดและความสนใจไปใช้ในชีวิตประจาวัน และการเรียนรู้กลุ่มสาระนาน ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเห็น คุณค่าของการสร้างสรรคร์ ับผิดชอบ และมุ่งมนั่ ในการปฏิบตั ิงานแลกเปลย่ี นความรูป้ ระสบการณ์ในการทางาน ศลิ ปะร่วมกับผูอ้ ื่น เหน็ คณุ คา่ ของศลิ ปะ ธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม หวงแหนภูมิปญั ญาท้องถ่ิน ภูมิปัญญาไทยและ สากล การสืบทอดงานศลิ ปะท่เี กย่ี วข้องกับวัฒนธรรมไทย นักเรยี นระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย จดั เปน็ กลุ่มของวยั รนุ่ ซง่ึ เปน็ วัยท่มี กี ารเปล่ียนแปลงหลายอย่าง เกิดข้นึ ทง้ั ทางร่างกายและจิตใจ เด็กตอ้ งเรยี นรู้ท่ีจะปรบั ตัวให้เข้ากับสภาพการณ์ของผู้ใหญ่ และเนื่องจากเด็ก ยังไม่มีประสบการณเ์ พยี งพอท่ีจะทาเช่นนน้ั ไดป้ ระการหน่ึง และการเปลย่ี นแปลงเข้าสู่การดารงชีวิตแบบใหม่ก็ เปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ อกี ประการหน่ึง จึงทาให้เด็กวยั รนุ่ มปี ญั หาทางกายอารมณ์และทางสงั คม อยา่ งไรก็ดปี ญั หา ต่าง ๆ ของเดก็ วยั รุน่ ตอนตน้ ก็จะคอ่ ย ๆ ลดน้อยลงในวยั รุ่นตอนกลาง ตอนปลาย เพราะเหตสุ ามารถปรับปรุง ตัวให้ดีข้ึนเรือ่ ย ๆ พฒั นาการทางปญั ญาของเดก็ วยั รนุ่ เกดิ จากการลงมอื ทาด้วยตนเอง การสนใจท่ีจะเรียนรู้ส่ิง ใหม่ ๆ แปลก ๆ และเรียนรู้จากการลองผิดลองถูก หรือศึกษาค้นคว้าจากการอ่านและการได้พบเห็นจากท่ี ตา่ ง ๆ (หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551) ได้กาหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 1 ทัศนศิลป์ ดังนี้ มาตรฐาน ศ 1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วพิ ากษว์ ิจารณ์คุณคา่ งานทัศนศิลป์ ถา่ ยทอดความรสู้ ึก ความคิดต่องานศิลปะอย่างอิสระ ช่ืนชม และประยุกต์ใช้ ในชีวติ ประจาวัน มาตรฐาน ศ 1.2 เขา้ ใจความสมั พนั ธ์ระหวา่ งทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างาน ทศั นศิลป์ทเ่ี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภูมปิ ัญญาท้องถ่ิน ภมู ิปัญญาไทย และสากล

4 โรงเรยี นดารงราษฎร์สงเคราะห์ เดิมเป็นโรงเรียนประจาจังหวัดหญิง มีชื่อว่า “บารุงกุมารี” เปิดสอน พร้อมกับโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม เม่ือ พ.ศ. 2461 ต่อมาวันท่ี 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2476 พระยาราชเดช ดารง (ผล ศรุตานนท์) และราษฎรได้แยกโรงเรียนมาต้ังบริเวณคุ้มเจ้าหลวงเชียงราย “พระยารัตนาเขต” (เจ้าหลวงน้อยเมืองไชย) เปล่ียนชื่อเป็นโรงเรียนสตรีประจาจังหวัดเชียงราย “ดารงราษฎร์สงเคราะห์” ปี พ.ศ. 2502 เปลยี่ นชอ่ื เป็น “โรงเรียนดารงราษฎรส์ งเคราะห์” ปัจจุบันเปิดสอนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ถึง ช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 36 สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร จากกลยุทธโ์ รงเรียน มีการส่งเสรมิ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามความสามารถ ความถนัด และความ สนใจของนกั เรยี น เพือ่ สรา้ งความเป็นเลิศทางวชิ าการ ศลิ ปะ ดนตรี นาฏศิลป์ และกีฬา โรงเรียนมีโครงการท่ี เก่ียวข้องกับศิลปะหลายโครงการ เช่น โครงการยกผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โครงการสง่ เสริมความเป็นเลศิ กลุม่ สาระการเรียนรู้ศิลปะ และโครงการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนกลุ่ม สาระการเรียนรูศ้ ลิ ปะ เป็นตน้ การรบั รเู้ กย่ี วกบั คุณค่าศิลปะของผู้เรียน ในรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ระดับช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี 4 จึงเป็นส่ิงสาคัญในการท่ีจะทาให้เยาวชนซ่ึงเป็นคนรุ่นใหม่เกิดสานึกในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรม มีเจตนาคติท่ีดีและตระหนักถึงคุณค่าในงานศิลปะ ในรูปแบบงานศิลปกรรมสากลและท่ีมีอยู่ในชุมชนท้องถ่ิน ของตนเอง เกิดความหวงแหนในมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนและของชาติ และจะเป็นแนวทางท่ีจะนาไป พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการความรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ไทยและการประยุกต์ใชภ้ ูมปิ ัญญา การรับรู้คุณค่าทางศิลปะของผู้เรียนจะเป็นคุณูปการต่อการส่งเสริมผู้เรียน ให้มีสภาพจิตใจที่งดงาม มีสุนทรียภาพ เห็นคุณค่าความสาคัญของศิลปะธรรมชาติส่ิงแวดล้อม ตลอดจน ศลิ ปวฒั นธรรมอนั เป็นมรดกของคนในชาติ แสดงออกได้อยา่ งสรา้ งสรรค์ ผวู้ จิ ยั จึงไดต้ ระหนักถงึ การรับรู้คุณค่า ทางศิลปะของผู้เรียน อันจะเป็นสิ่งสาคัญที่จะทาให้ผู้เรียนเห็นความสาคัญของงานศิลปกรรม เป็นจุดกาเนิด ของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมอย่างมีคุณค่า รวมถึงการสร้างจิตสานึกในการพิทักษ์รักษาศิลปกรรม ท้องถ่ิน ซ่ึงเป็นภูมิปัญญาของคนในชาติ นอกจากน้ันยังสอดคล้องกับเป้าประสงค์ขอโรงเรียนที่ส่งเสริมให้ นักเรยี นมีความเป็นเลศิ ทางวชิ าการ ศิลปะ ดนตรี นาฏศลิ ป์ กีฬา มศี กั ยภาพสู่ความเปน็ พลโลก วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย เพื่อศกึ ษาความคิดเห็นเก่ียวกับคุณค่าศิลปะ ในรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของ นกั เรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 โรงเรียนดารงราษฎร์สงเคราะห์ ในคุณค่าศิลปะ 5 ด้าน คือ 1) คุณค่า ศลิ ปะในหลักสตู รศิลปศึกษา 2) คุณค่าศิลปะต่อการพัฒนาด้านจิตใจ 3) คุณค่าศิลปะต่อการส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ 4) คณุ คา่ ศลิ ปะต่อการเสรมิ สร้างความสนุ ทรยี ์ และ 5) คุณคา่ ศิลปะต่อการมีส่วนร่วมและจิตสานึก สาธารณะ

5 ขอบเขตการวิจยั กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ที่เรียนในรายวิชาศิลปะ 2 รหสั วิชา 31102 ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 จานวน 30 คน ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รบั จากการวิจยั 1. สามารถนาไปใช้พัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระศิลปะ ในการปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษา หลกั สูตรท้องถนิ่ เพอื่ ส่งเสรมิ การรบั รคู้ ณุ ค่าทางศิลปะ 2. เปน็ ประโยชนใ์ นการจัดโครงการ กิจกรรมหรอื งาน และยังสามารถขยายผลต่องานศิลปกรรมอ่ืน ๆ ตลอดจนศิลปะและวัฒนธรรมของชาติตอ่ ไป 3. สร้างจิตสานกึ ใหเ้ ยาวชนได้ตระหนกั ถงึ คณุ ค่าของงานศลิ ปะ 4. เปน็ แนวทางใหผ้ ู้สนใจศึกษาค้นควา้ ขยายผลความรู้ ในงานศลิ ปกรรมดา้ นอ่ืน ๆ ต่อไป

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกยี่ วข้อง เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการศึกษาความคิดเห็นเก่ียวกับคุณค่าศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของผู้เรียน ในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารจาก บทความหนงั สือ วารสาร งานวิจยั และไดน้ าเสนอสาระสาคญั ทเ่ี กี่ยวข้องกับงานวจิ ัยไว้ ดังนี้ 1. คณุ คา่ ศิลปะ 2. กลุ่มสาระการเรียนรศู้ ิลปะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 3. โรงเรยี นดารงราษฎร์สงเคราะห์ 4. งานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวขอ้ งท้งั ในประเทศและตา่ งประเทศ 1. คุณค่าศลิ ปะ ความหมาย ศิลปะมีความสาคัญและมีคุณค่าอย่างไร ต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ อันเห็นได้จากภาพกิจกรรมที่ นาเสนอแนวคดิ ความเช่อื ตา่ ง ๆ ของมนุษย์ ต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ปรากฏตามผนังถ้า รวมถึงผลงาน ดา้ นประตมิ ากรรม สถาปัตยกรรม ผลิตภัณฑ์ส่ิงของเครื่องใช้ต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เกิดจากการพัฒนาแก้ปัญหา คดิ สรา้ งสรรค์ เพอื่ ตอบสนองต่อความต้องการใช้สอยความสุข ท้ังกายและจิตใจ ซ่ึงผลงานที่สร้างสรรค์ตามที่ ปรากฏในประวตั ิศาสตร์น้ัน หากวิเคราะห์อย่างลึกซ้ึงแล้วนาเอาองค์ความรู้ทางด้านศิลปะมาเป็นแนวทางใน การสร้างสรรค์ อนั มีแนวคดิ ตามความเชื่อในแตล่ ะยคุ สมยั หากเราย้อนอดีตในยุคกรุงสุโขทัย จะเห็นได้ว่ามีความเจริญรุ่งเรืองอย่างสูงสุด โดยเฉพาะในด้าน พระพทุ ธศาสนา มีการสร้างสรรค์งานประติมากรรม และสถาปัตยกรรมท่ีส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองทางด้าน พุทธศาสนา ดังท่ีปรากฏว่าพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามสมบูรณ์จน แทบหาทตี่ ิมิได้ อันแสดงถึงภูมิปัญญาความรู้ความสามารถการเห็นคุณค่า และความสาคัญของงานศิลปะจน สามารถที่จะสร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้อย่างงดงามมีความลงตัว ตามแนวคิดและความเช่ือความศรัทธาใน พระพุทธศาสนา องค์ความรู้ทางด้านทัศนศิลป์ มีองค์ประกอบด้วยเนื้อหาและกิจกรรมฝึกปฏิบัติ ในด้านจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพมิ พ์ ประยกุ ต์ศลิ ป์ ประวัตศิ าสตรศ์ ิลป์ และการวจิ ารณ์งานศิลปะ บนแล้วแต่มีคุณค่าและ ความสาคัญอยู่ภายในตัวของมันเอง เนื้อหาวิชาเกี่ยวกับสาระทัศนศิลป์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ก็มีคุณค่าและความสาคัญมากเช่นเดียวกัน ดังน้ันการที่จะทาการศึกษาความ คดิ เหน็ เกย่ี วกับคณุ ค่าทางศลิ ปะในสาระทศั นศลิ ป์ เราจงึ จาเป็นทจ่ี ะต้องทาความเข้าใจเกย่ี วกับความหมายของ คณุ คา่ ศิลปะกอ่ น ได้มผี ูเ้ ช่ียวชาญ ได้ให้ความหมายคาว่าคณุ คา่ หลายทา่ น ดงั น้ี คุณค่า (Value) คือระดับการประเมินค่าข้อเท็จจริงในเร่ืองต่าง ๆ โดยยกกฎเกณฑ์เง่ือนไขที่จาเป็น ยกกฎเกณฑ์หรือเง่ือนไขท่ีจาเป็น ท้ังกฎเกณฑ์เฉพาะตัวหรือข้อตกลงร่วมกัน มาใช้ประกอบในการประเมิน (เจรญิ โชติพนั ์, 2538: 134) กรี ติ บุญเจอื (2522) ได้ใหค้ วามหมายว่า คุณค่าหมายถงึ ระดบั ของการประเมนิ ขอ้ เท็จจริงในแง่ต่าง ๆ ปฤณัต แสงสว่าง (2541: 29) สรุปความหมายของคุณค่าไว้ว่า คุณค่าหมายถึงข้อดีส่วนท่ีดีและ คุณประโยชนข์ องส่ิงหน่ึงส่งิ ใด ที่มลี ักษณะเป็นนามธรรมสามารถประเมินออกมาใหร้ ับรูไ้ ด้

7 ศักดา บุญยืน (2546) สรุปไว้ว่า คาว่าคุณค่าที่มีความหมายท่ีสัมพันธ์กับศิลปะ หมายถึงส่วนดีข้อดี รวมถึงประโยชนท์ ่ีมีอยู่ในศลิ ปะนนั้ ๆ การแบ่งคุณค่าของศิลปะประเภทต่าง ๆ โดยมลี ักษณะกลาง ๆ ไดม้ ีผเู้ ช่ยี วชาญแบ่งไว้ ดงั น้ี กีรติ บุญเจอื (2522: 47-49) ได้แบ่งคุณคา่ ของศิลปะ ไวต้ ามเงื่อนไขการพิจารณาดงั นี้ 1. แบ่งตามแง่พจิ ารณา 1.1 คุณค่าทางเศรษฐกิจ (Economical Value) เป็นระดับการประเมินท่ีมองข้ามวัตถุที่ จาเป็นตอ้ งไดเ้ ปน็ หลกั โดยมองท่ีประโยชนแ์ ละราคา 1.2 คุณค่าทางจริยะ (Ethical Value) ระดับการประเมินความประพฤติท่ีสัมพันธ์กับ จดุ หมายของชีวิตวา่ ดเี ลวหรือหรอื ไมเ่ ป็นต้น 1.3 คณุ ค่าทางตรรกะ (Eogical Value) เป็นitดับการประเมินค่าของความคิด ด้วยกฎเกณฑ์ หรอื เหตุผล หรือไม่สมเหตสุ มผลหรือไม่ 1.4 คณุ ค่าทางญาณะ (Epistemological Value) ไดแ้ ก่การประเมนิ คณุ ค่าความคิดกับความ จรงิ มีความสอดคล้องในระดับใดเป็นจรงิ หรอื เท็จ 1.5 คณุ ค่าทางอภิปรัชญา (Metaphysical Value) เปน็ ระดับการประเมนิ คุณค่าของส่ิงต่างๆ ตามความรู้สกึ ของเราว่าส่งิ ใดมคี ่าเปน็ จริงหรือมายา 1.6 คุณค่าทางสุนทรียะ (Arsthetical Value) คือระดับการประเมินคุณค่าวัตถุความ ประพฤติ และความคิดตามอารมณร์ ูส้ กึ ว่าสวยงามนา่ เกลียดแปลกอย่างไร 2. แบง่ ตามมาตรฐาน 2.1 คุณค่าปฏฐิ าน (Positive Value) เปน็ การมองและประเมินคณุ คา่ พลางบอกว่าสวย งาม นา่ ท่ึง หรอื แปลก 2.2 คณุ ค่าปฏเิ สธ (Negative Value) คอื คุณค่าทางลบท่ีประเมนิ ไวว้ า่ น่าเกลยี ดนา่ กลวั 3. แบง่ ตามขอบเขต 3.1 คุณค่าทั่วไป (General Value) ได้แก่คุณค่าท่ีประเมินให้คุณค่าส่วนรวมของศิลปกรรม หน่วยใดหนว่ ยหนง่ึ 3.2 คณุ ค่าเฉพาะ (Specifical Value) 4. แบ่งตามเวลาของการมีคณุ ค่า 4.1 คุณค่ากรรตภุ าวะ (Actual Value) คอื คุณค่าที่ปรากฏแล้ว 4.2 ทุนค่าสมรรถภาวะ (Potential Value) คือคุณค่าที่ยังไม่ปรากฏแต่อาจจะปรากฏ ภายหลังหรอื รอโอกาสทีจ่ ะแสดงคุณค่าออกมา 5. แบ่งตามความสาคัญ 5.1 คุณค่าภายใน (Intrinsic Value) มีลักษณะคุณค่าเพื่อตัวเองคือคุณค่าท่ีมีประจาตัวและ เพือ่ ตัวเอง 5.2 คุณค่าภายนอก (Extrinsic Value) เป็นคุณค่าที่ไม่มีอยู่ในประจาตัวแต่มีอยู่เพื่อสร้างให้ ส่ิงอ่นื มคี ุณค่า 6. แบง่ ตามความเช่ือถอื 6.1 คณุ ค่าอัตนัย (Subjective Value) เป็นคุณค่าทีเ่ ชอื่ วา่ มอี ย่ภู ายในของผปู้ ระเมนิ เทา่ น้นั 6.2 คณุ ค่าปรนัย (Objective Value) ได้แก่คุณค่าทีม่ อี ยูแ่ ลว้ จรงิ ในส่ิงท่ีเราจะประเมิน

8 6.3 คุณค่าสัมพนั ธ์ (Relation Value) เป็นความเชอ่ื เรือ่ งคณุ คา่ วา่ ข้ึนอยกู่ บั ท้ังผู้ประเมินและ สง่ิ ทจ่ี ะประเมนิ แนวคดิ ทฤษฎแี ละหลกั การท่เี ก่ียวกบั คณุ คา่ ศลิ ปะ จากการศึกษาตารา เอกสาร และงานวิจัยท่ีเก่ียวกับคุณค่าทางศิลปะ พบว่า ผู้กล่าวถึงคุณค่าของ ศิลปะน้ันเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทางศิลปะ โดยสามารถจาแนกออกเป็น 2 สาขา คือ 1) บุคคลที่ เปน็ นกั วชิ าการดา้ นศลิ ปศกึ ษา 2) บุคคลที่สรา้ งสรรค์งานศลิ ปะหรอื ศิลปิน ก่อ สวัสดิพาณิชย์ (2513) มีความเช่ือว่าศิลปศึกษาในโรงเรียน มีส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศ 5 ประการ คือ 1. ศิลปศึกษาช่วยรักษาวัฒนธรรมของชาติ ทาให้เกิดลักษณะประจาชาติซ่ึงคนในชาตินั้นควรจะ ภาคภมู ิใจ 2. เมอ่ื ศิลปศกึ ษาช่วยรักษาวัฒนธรรมของชาติไว้ วัฒนธรรมท่ีเรารักษาไว้น้ีจะช่วยทาให้ความมั่นคง ของมนุษย์มีมากข้นึ เพราะคนในชาตินั้นจะรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน และอยู่ร่วมกันโดยอาศัยวัฒนธรรมชนิด เดียวกัน 3. ศลิ ปศึกษาจะช่วยฝึกให้เยาวชนของชาติมีความคิดริเร่ิม อันจะเป็นทางนาไปสู่การพัฒนาทางด้าน เศรษฐกิจและสงั คม 4. ศิลปศกึ ษาจะชว่ ยทาให้คนจานวนหน่งึ มีอาชพี โดยอาศยั ศิลปะที่ตนเลา่ เรียนมา 5. ศิลปศึกษามีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยตรงหลายด้าน เช่น การออกแบบและการโฆษณา เป็นต้น วิทย์ พิณคันเงิน (2547) เป็นนักวิชาการทางด้านศิลปศึกษา และเป็นภาคีสมาชิกสานักศิลปกรรม สาขาจิตรกรรม ราชบณั ฑติ ยสถาน ไดน้ าเสนอเก่ียวกับคุณค่าทางศิลปะ คือศิลปะต้องมีคุณค่าเพื่อพัฒนาจิตใจ มนษุ ยแ์ มว้ ่าผลงานศิลปะ จะมิใชส่ ิ่งจาเปน็ เสมอไป สาหรับการดารงชีวิตอย่างแท้จริงก็ตาม แต่ศิลปะก็เป็นส่ิง สาคัญอย่างหน่ึงในชีวิตมนุษย์ เพราะอาจใช้ศิลปะเป็นส่ิงที่คลายอารมณ์พักผ่อนหย่อนใจกับศิลปะ ตลอดจน ชว่ ยสะทอ้ นใหเ้ ห็นความเป็นไปต่าง ๆ ของสังคม ความยุติธรรม การถูกรังแก ความยากจนในบุคคลบางกลุ่ม ความมัง่ มีศรสี ุข ความอุดมสมบรู ณ์ สิ่งเหล่านี้ลว้ นถา่ ยทอดมาสู่ศิลปะทั้งสิ้น เพราะเป็นสิ่งบันดาลใจอย่างหนึ่ง ซ่ึงศิลปินใช้เป็นวัตถุดิบและได้จาแนกคุณค่าทางศิลปะ ดังน้ี คือคุณค่าศิลปะทางความรู้สึก คุณค่าทางศิลปะ ทางอานวยประโยชน์ใช้สอย คุณค่าศิลปะทางการสร้างสรรค์ คุณค่าศิลปะทางด้านเนื้อหาและคุณค่าศิลปะ ทางดา้ นรปู ทรง คุณค่าศิลปะทางความรสู้ ึก คอื ความรสู้ กึ ทีต่ อบรบั สง่ิ ต่าง ๆ ทีม่ ากระทบใจเรา ใครเคยรู้สึกเสียใจ ดีใจ นึกสังเวช เกลียด รัก หรือ ปลื้มใจจนน้าตาไหลบ้าง น่ันแหละคือความรู้สึกท่ีมากระทบจิตใจเรา เพราะเรามีหูมีตามีการสัมผัสทางจิตใจ ทางร่างกาย ซึ่งเป็นไปตามความเปน็ จรงิ ตามธรรมชาติของมนุษยน์ ่ันเองอาจแยกออกได้ ดงั นี้ ความรู้สกึ ทางการรบั รู้ เป็นความรสู้ ึกมีสามญั สานกึ ของเรา ท่ีได้รับจากอารมณ์สะเทือนใจโดยมีส่ิงต่าง ๆ มาสะกิดให้บังเกิด ขึ้น เช่นท่ีกล่าวแล้วคือความรัก ความพอใจ ชอบใจ เสียใจ ชิงชัง ยินดี สังเวช สงสาร ถ้าสามารถสร้างสรรค์ ศิลปะให้บังเกิดขึ้นเช่นน้ี ก็ทาให้ความรู้สึกทางการรับรู้เชื่อมโยงกว้างออกไป เช่น มองเห็นความงามอันน่า เล่ือมใสศรัทธาของพระพุทธรูป ทาให้เกิดความอิ่มเอิบใจ ปิติ ยินดี จนต้องแสดงความนอบน้อม หรือถ้า มองเห็นภาพท่ีแสดงถึงความทารณุ โหดร้าย ทาให้เกิดความรู้สึกต่อต้านว่ามันทาอย่างนั้นได้อย่างไร หรือการดู

9 ละครตอนนางเอกถูกกล่ันแกล้ง ทาให้ยิ่งชิงชังหรือเกลียดตัวผู้ร้ายมากขึ้น พร้อมกันน้ันก็ยิ่งรักและสงสาร นางเอกมากขนึ้ เพราะได้รับความกดดนั จากความเกลียดความชิงชัง บางทีน้าตาอาจซึมหรือไหลพรากไปด้วย เพราะไปสะกดิ มโนธรรมในใจ กค็ ือทาให้เกิดอารมณส์ ะเทือนใจของผดู้ ูผู้ชม ความร้สู กึ ทางความเช่อื ถือ ไดแ้ ก่ การท่เี รามคี วามเช่ือตามกนั ว่าส่ิงใดเรียกว่าอะไร เช่น ตัวกระหนก หน้ายักษ์ หน้าลิง หน้าพระ หน้านาง กระจงั บวั สิง่ เหล่าน้ีอย่าขึ้นตามแบบที่เคยเขียนกันมาเช่ือกันมา ลักษณะของพระพุทธรูปที่สวยงาม อ่ิมเอิบด้วยพุทธลักษณะ เราสามารถปฏิบัติตามความเช่ือน้ันได้ก็นับว่าได้สร้างคุณค่าทางความเชื่อถือให้บัง เกดิ ข้นึ ในศลิ ปะแลว้ ซง่ึ จะมีคุณค่าสูงมากน้อยเพียงไรก็ต้องพิจารณากันอีก ยังมีความเช่ือถืออีกอย่างหน่ึงคือ ความเช่ือในตวั ของเราเอง เป็นความเชื่อท่ีพิจารณาเสียก่อนว่ามีเหตุผลเพียงพอหรือไม่พอ ท่ีจะให้คนพบเห็น ผลงานแลว้ มีความเช่อื คล้อยตามหรอื ไม่ ถ้ามีคณุ คา่ จรงิ ๆ ก็จะกลายเปน็ ผลงานทดี่ ีเดน่ ได้ ความรสู้ กึ ทางความงาม เร่อื งของความงามเป็นสิ่งทที่ กุ คนตอ้ งการ ใครมาว่าเราไมง่ ามเลยนา่ เกลียดเรามักจะไม่ค่อยพอใจทั้งๆ ที่พยายามแต่งตัวเท่าท่ีพอจะแต่งได้อยู่ก็ตาม ใคร ๆ ก็อยากมีผลงานทางศิลปะที่มีคนช่ืนชมว่างาม เราเองก็ อยากเห็นสงิ่ งาม ๆ หรือบางทเี ราเองเห็นว่างามเพราะพอใจ แต่ใครจะว่าไม่งามกต็ าม ท่ศี ลิ ปะงดงามในรูปแบบ ที่แสดงออกใหเ้ ห็นนน้ั เป็นสิ่งมองเห็นได้ง่าย เช่น ความงามของดอกไม้ ใบหน้าผู้หญิง หรือลวดลายท่ีซับซ้อน สวยงาม น่าชม แต่ศิลปะท่ีซ่อนความงามไว้ภายใน เป็นส่ิงท่ีมองเห็นได้ยาก เช่น ภาพใบหน้าหญิงชราท่ีเห่ียว ยน่ แต่มีแสงเงาและทแี ปลงที่เด็ดเดย่ี ว งามอยา่ งยิง่ แตก่ เ็ ป็นความรู้สกึ ทางความงามเช่นกนั และเป็นความงาม ทีล่ ึกซง้ึ กว่าภาพทง่ี ามด้วยสสี นั เสยี อกี คุณค่าศิลปะทางอานวยประโยชนใ์ ช้สอย คณุ คา่ ศิลปะทางอานวยประโยชน์ใช้สอย คือ ส่ิงที่ใช้สอยท่ีเป็นประโยชน์แก่การดารงชีวิตของมนุษย์ ใชว่ า่ สักแตส่ ร้างขึ้นอย่างเดยี ว ยังจะต้องมรี ปู แบบลกั ษณะในทางศิลปะอีกดว้ ย เชน่ วทิ ยุ โทรทัศน์ เคร่ืองเรือน เครอื่ งครัว รถยนต์ หากไมม่ ีการออกแบบใหด้ ูสวยงามนา่ ใช้ ทนั สมยั ก็จะขาดคุณคา่ อยา่ งยิ่ง คณุ ค่าของท่ีอยู่อาศัย การอย่อู าศัยของมนษุ ยน์ ัน้ ใช่ว่าจะเปน็ ไปงา่ ย ๆ ตามธรรมชาติอยา่ งสัตวท์ ว่ั ไป หรือยงั ที่เรียกกนั ว่าเอา แต่ท่ซี กุ หัวนอนเท่าน้ัน แตม่ นษุ ยก์ ลับจะตอ้ งสร้างสรรคท์ ่ีอย่อู าศยั ของตนให้พัฒนาข้ึนอยู่ทุกยุคสมัย เดิมท่ีเคย อยตู่ ามถา้ ตามเพิงผาก็ต้องขยบั ขยายออกมาอยใู่ นท่ีกลางแจ้ง การสร้างสรรค์ท่ีอยู่อาศัยจึงต้องมีการออกแบบ ให้ดูถกู ต้องตามหลักทางสุขภาพอนามยั ความม่นั คงแข็งแรงทนทาน ตลอดจนอานวยประโยชน์ให้สามารถอยู่ ไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ดังนั้นคุณค่าในทางอานวยความสุขของท่ีอยู่อาศัยจึงต้องประกอบด้วยความสะดวกต่าง ๆ ตอ้ งกว้างพอท่จี ะใชป้ ระโยชน์ มที ศิ ทางลมทดี่ พี อควร มีแสงสว่าง แตล่ ะหอ้ งมสี ัดส่วนท่ีเหมาะสม มีที่งามตาทั้ง ภายนอกภายใน บริเวณบ้านก็มีพอสมควรแม้จะไม่มากนัก หรือถ้ามีมากก็สามารถจัดแต่งให้ดูเป็นระเบียบ เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังเล็กหลังใหญ่ แม้กระท่ังสถานที่ก่อสร้างอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน จะต้องอานวย ประโยชน์ไดอ้ ย่างเตม็ ที่ พร้อมกบั มีศิลปะอยู่ในตัวอกี ดว้ ย คุณค่าในส่ิงของเครอื่ งใช้ สง่ิ ของตา่ ง ๆ ท่ีอยู่ในชวี ติ ประจาวนั นัน้ กต็ ้องมีคณุ คา่ พอแก่การใชส้ อยดว้ ย ความจริงการดื่มน้านั้นเรา อาจใช้มือวักน้าดื่มง่าย แต่ถ้าเราใช้แก้วท่ีสะอาดและตักน้าท่ีสะอาดเช่ือถือได้ว่าปลอดภัย เย็นชื่นใจ ก็จะย่ิง ชวนด่ืมมากขึ้น หรือแมแ้ ตจ่ ะมีกะลาสักใบ กระปอ๋ งสกั ใบ กย็ งั ไมด่ เี ท่าการใชแ้ ก้ว เพราะเรารู้กันมาแล้วว่าแก้ว น้ันใช้ดื่มน้าจนเรียกกันว่าแก้วน้า ในแก้วน้าจะต้องมีขนาดใหญ่ท่ีพอดีกับมือ ถ้าใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป จานวนน้าทอ่ี ยูใ่ นแก้วกจ็ ะไมท่ าให้ชวนด่ืมอีก ก็มีคุณค่าน้อยลง เพราะฉะน้ันสิ่งของแต่ละอย่างก็จะมีลักษณะ

10 รูปแบบทีท่ รงคุณค่าอยูใ่ นตัวของมนั เอง แมแ้ ตโ่ ต๊ะเก้าอี้ก็จะต้องมีสัดส่วนท่ีพอเหมาะ ที่จะใช้นั่งไม่แคบเกินไป ไม่ใหญ่ หรือเตี้ยเกินไป สูงเกินไป ดังน้ันการออกแบบจึงมักใช้สัดส่วนของคน ทาให้มีความสาคัญในการสร้าง คุณค่าแกส่ งิ่ ต่าง ๆ น้มี าก เพราะการออกแบบนน้ั จะครอบคลมุ ไปถึงการผลติ และการใชส้ อยดว้ ย คณุ ค่าทางการสรา้ งสรรค์ การสร้างสรรค์เป็นคาที่ใช้คู่กับศิลปะ ความหมายของการสร้างสรรค์คือการสร้างส่ิงที่ไม่มีให้เกิดขึ้น โดยศิลปินหรือผู้สร้างสรรค์มีจินตนาการขึ้นจากสิ่งดลใจ คิดเร่ืองของความคิดจึงนาหน้าก่อนฝีมือ การ สร้างสรรค์น้ันมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เด็ก ๆ เช่น รู้จักคล่ีคลายแก้ปัญหาต่าง ๆ พยายามสร้างส่ิงต่าง ๆ ตามความเข้าใจของเด็กเอง การเอาส่ิงหนึ่งสวมลงอกี ส่งิ หนงึ่ การเรียกสงิ่ ต่าง ๆ หรือการเลือกเอาสิ่งที่เป็นพวก เดียวกันไว้ด้วยกัน สิง่ เหล่าน้เี ปน็ ทมี่ าของการสรา้ งสรรค์ทงั้ สิน้ แตอ่ ยใู่ นขน้ั ตอนของเดก็ ๆ การสร้างสรรค์น้ันเป็นทุนกิจกรรมพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเกิดข้ึนได้จากความสนใจเป็นลาดับแรก ดังนั้น การสร้างความสนใจให้เกิดผลในทางสร้างสรรค์จึงนับว่าสาคัญมาก ยกตัวอย่างเช่น การมีกระดาษ 1 แผน่ เราอาจแกป้ ญั หาเร่อื งความว่างเปลา่ บนแผน่ กระดาษ โดยขดี เส้นในทศิ ทางต่าง ๆ หรอื บรรจุรูปเรขาคณิต มรี ปู สีเ่ หล่ยี ม สามเหล่ียม วงกลม ลงในกรอบเส้นดินสอ ซงึ่ ต่างคนต่างก็สามารถวาดได้และมีความคิดเห็นของ ตนเองทุกคน เช่นเดยี วกบั ศลิ ปินผสู้ ร้างสรรค์การตัดสินใจเขียนครั้งแรก ก็เพื่อแก้ไขปัญหาความว่างเปล่าแล้ว ความคิดในการต่อเติมเสริมแตง่ ให้เป็นภาพทด่ี ี มกี ารแรเงาอ่อนแก่สลับกัน ก็จะเกิดข้ึนเองลักษณะของผลงาน ศิลปะทีเ่ กดิ จากความคิด ในการสร้างสรรคน์ ้ันอาจพจิ ารณาได้จากขดี ข้นั ของผลงาน ดังน้ี 1. เป็นขั้นต้นในการแสดงออกอย่างอิสระ แม้จะเป็นเพียงเส้นขยุกขยิก สีที่ระบายหรือภาพก็ยังไม่ เขา้ ทา่ แต่เมอ่ื มกี ารแสดงออกอย่างอิสระแล้ว กถ็ ือว่าเป็นงานสรา้ งสรรค์ เชน่ งานศิลปะของเด็ก 2. เป็นขัน้ ทแ่ี สดงออกอสิ ระมีเร่ืองราวข้ึน หรือเป็นผลผลิตท่ีอิสระแต่มีคุณภาพข้ึนกว่าขั้นที่ 1 เพราะ สามารถอ่านความหมายออกว่าเปน็ อย่างไร ถอื ว่าเป็นผลิตผลท่มี เี รือ่ งราวเกดิ ขนึ้ 3. เป็นขน้ั ทแี่ สดงออกอย่างอิสระและเป็นแนวใหม่ แปลกออกไปจากงานเดิมท่ีมีอยู่แล้ว เป็นงานรูป นามธรรมทีไ่ ดส้ ัดสว่ นกลมกลืนเหมาะสม 4. เป็นงานที่แสดงออกอย่างอิสระและไม่ซ้าแบบใคร ท้ังดีกว่าและน่าสนใจกว่า เป็นงานรูปธรรมท่ี เกี่ยวเนือ่ งด้วยนามธรรมมากข้นึ เป็นผลติ ผลทีท่ าให้เกดิ การกลา้ คดิ และสรา้ งสรรคอ์ ารมณ์สะเทอื นใจมากขึ้น 5. เป็นงานทแี่ สดงออกอย่างอสิ ระ ท่ีมีลักษณะรูปแบบทางนามธรรมสูงหลุดพ้นออกไปจากความเช่ือ ในทฤษฎเี ดิม เปน็ การตัง้ ทฤษฎีใหม่กว็ า่ ได้ มปี รชั ญาเฉพาะตวั ท่ชี ดั เจน คณุ ค่าทางด้านเน้อื หา เป็นสิง่ ท่ีเหน็ ไดง้ า่ ยในงานศลิ ปะ แม้คนธรรมดาทว่ั ไปกเ็ ข้าใจไดง้ ่าย เชน่ การเดินดภู าพเรอ่ื งรามเกียรต์ิ ภาพการ์ตูน ภาพประวตั ิศาสตร์บางตอน โดยในภาพนน้ั ปรากฏสิง่ ที่เปน็ ไปตามเร่อื งราวอย่างกลมกลนื ไปตลอด แสดงว่าผู้สร้างสรรค์มีความประสงค์จะให้ผู้ดูเข้าใจเรื่องราวเนื้อหา เป็นจุดหน่ึงท่ีช่วยให้สามารถวิจารณ์งาน ศิลปะน้นั ๆ ได้วา่ มีความชัดเจนในเน้อื เรื่องเพยี งไร เพราะเนื้อเร่ืองเป็นสื่อก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกในจิตใจ ของผู้ดูอยู่แล้ว แต่หากผลงานน้ันไม่สามารถเน้นเน้ือเรื่องได้ชัดเจน การก่อให้เกิดอารมณ์คล้อยตามก็ลดลง คุณค่าทางศิลปะนน้ั ๆ ก็ไม่เกดิ คณุ ค่าทางเนื้อหานน้ั ทาให้ศิลปินสามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสนองตอบได้หลายทาง และหลาย แบบด้วยกัน เช่น เนื้อหาทางด้านสังคมศาสตร์ การรวมกลุ่มของชนเผ่าต่าง ๆ มีผลงานเป็นอันมากทาให้ การศกึ ษาทางด้านวฒั นธรรมการแสดงตา่ ง ๆ การบรรเลงดนตรีวงดนตรีของชนชาติต่าง ๆ ตลอดจนกิจกรรม ทางดา้ นศาสนาดว้ ย

11 เนื้อหาเร่ืองราวสาระในงานศิลปะไม่จากัดว่าจะมาจากวรรณคดี นวนิยาย ประวัติ ซึ่งมีผู้แต่งข้ึน เท่านนั้ แต่จะเป็นเนื้อหาใด ๆ กไ็ ดท้ ีผ่ ู้สรา้ งสรรค์ศิลปะปรารถนาจะแสดงออกมาให้ปรากฏ แม้กระทั่งเน้ือหาที่ ไม่มีเน้ือหาในแบบศิลปะนามธรรม จึงข้ึนอยู่กับความต้ังใจ และจุดประสงค์ของศิลปินท่ีจะถ่ายทอดอารมณ์ ความรูส้ กึ ท่ีมีพลงั อย่างแรงกล้า จนสามารถน้อมโน้มจิตใจของผู้ดูให้คล้อยตามไปด้วยได้ แม้ว่าเร่ืองน้ัน ๆ จะ ไมใ่ ช่เรอ่ื งท่เี ป็นไปได้หรือไมม่ จี รงิ ในโลก เชน่ เทพนิยาย เร่ืองสวรรค์ นรก จึงทาให้เกิดศิลปะในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ศิลปะที่มีลักษณะเป็นจริงอย่างธรรมชาติ (Realistic art) ศิลปะที่ก่ึงรูปธรรมก่ึงนามธรรม (semi Abstract Art) และศลิ ปะนามธรรม (Abstract Art) คุณค่าทางด้านรูปทรง การสร้างสรรค์ศิลปะน้ันจะต้องเอาเส้นสีรูปร่าง (Shape) รูปทรง (form) ในลักษณะต่าง ๆ มา ประกอบกันเขา้ อย่างกลมกลนื มีหลักเกณฑ์ท่ีดี ถ้างานศิลปะน้ันเป็นไปในลักษณะศิลปะท่ีเป็นจริง (Realistic art) ก็อาจจะปรากฏรปู ทรงใหเ้ หน็ ชัดเจนกว่าศิลปะในแบบอ่ืน ๆ การเน้นในเรื่องของรูปทรงก็แสดงให้เห็นว่า ศลิ ปินนน้ั มคี วามสามารถในการสร้างสรรคร์ ปู ทรงอย่างเดน่ ชดั ในทางประติมากรรมจะปรากฏรูปทรงท่ีชัดเจน กว่าจิตรกรรม เพราะตัวผลงานเองก็เป็นรูปทรงอยู่แล้วการเน้นคุณค่าทางรูปทรงจึงมีความสาคัญไม่ใช่น้อย ประติมากรรมที่ทรงคณุ ค่าจะมีลักษณะเป็นเอกภาพเด่น พลังที่พูดสร้างสรรค์ถ่ายทอดมาจะทาให้บรรยากาศ รอบ ๆ ตัวประติมากรรมนั้นบังเกิดอารมณ์สะเทือนใจร่วมไปด้วย เช่น ประติมากรรมอนุสาวรีย์บุคคลสาคัญ ของชาติ เป็นตน้ ส่วนทางด้านสถาปัตยกรรมน้ัน ถือว่ารูปทรงคือโครงสร้างน่ันเอง สถาปนิกผู้สร้างสรรค์จะต้อง พิจารณาถึงพ้ืนท่ีแผนผัง เพ่ือประกอบเป็นโครงสร้างรูปทรงท่ีเด่นสง่างามและเหมาะสมกับการใช้งาน เช่น อาคารสาธารณะอาคารพาณิชย์ หรือท่ีอยู่อาศัย เป็นต้น คุณค่าทางรูปทรงของสถาปัตยกรรมเปล่ียนแปลงไป ตามยุคสมัย จนในปัจจุบันถือว่าโครงสร้างอย่างเรียบ ๆ เป็นส่ิงที่แสดงคุณค่าท่ีสมบูรณ์ท่ีสุดของงาน สถาปัตยกรรม คุณค่าทางรปู ทรงจงึ เดน่ ชัดมาก จากหนังสอื ศิลปะกับมนษุ ยท์ ่ีเขยี นโดย สชุ าติ เถาทอง (2532) นักวชิ าการดา้ นศลิ ปะและศิลปินผู้สร้าง ผลงานศลิ ปะระดบั แนวหน้า กลา่ วว่ามนุษย์เปน็ ผู้ท่มี คี วามคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละมีการค้นคว้าทดลองอยู่เสมอ เป็น ผลให้มนุษย์ได้พยายามวิเคราะห์และจัดระเบียนผลงานสร้างสรรค์ ทางด้านศิลปกรรมแต่ละชนิดให้เป็น หมวดหมู่ โดยพยายามคานึงถึงคุณค่าทางศิลปะเป็นหลัก ซ่ึงแยกออกได้ 3 ประการ คือ คุณค่าทางความงาม (Aesthetical) คุณค่าทางประโยชนใ์ ช้สอย (Useful) และคุณคา่ ในทางจรรยา (Ethical) ในบทความทางวิชาการเรื่อง คุณค่าของศิลปะจากทัศนะของบุคคลต่าง ๆ ซ่ึงเขียนโดย สุลักษณ์ ศรีบุรี (2536) นาเสนอทัศนะของ นายจอห์น เอฟ. เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประธานาธิบดีเคนเนดี ตระหนักถึงความสาคัญของศิลปะ โดยยอมรับว่าความเจริญก้าวหน้าทาง วทิ ยาศาสตร์ต้องควบคไู่ ปกับความเขา้ ใจในความเป็นมนุษย์ และเคนเนดียอมรับว่านักวิชาการได้แสดงให้เห็น ว่าศิลปะมีสาระสาคญั ท่ศี าสตร์ทางดา้ นนี้เทา่ น้ัน จะหยบิ ย่นื ความเป็นมนุษย์ทีแ่ ทจ้ ริงให้กบั ผเู้ รียน บคุ คลสาคัญอีกทา่ นหน่ึงที่นาเสนอในบทความ คือ นายร็อกกี้เฟลเลอร์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิร็อกก้ีเฟลเลอร์ กล่าวถึงคุณค่าของศิลปะที่มีต่อมนุษยชาติไว้ในคาปราศรัยที่มลรัฐ Saint Louis ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันท่ี 14 เมษายน ค.ศ. 1969 ร็อคก้ีเฟลเลอร์เช่ือว่าศักยภาพของบุคคลในอันที่จะพัฒนาตนเองอย่าง สมบูรณ์แบบน้ันต้องจัดงานศิลปะสอดใส่ในชีวิตจิตใจของเขา เพราะศิลปะจะทาให้เราเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ และมีชีวิตชีวา มีจิตวิญญาณที่จะควบคุมตนเองและสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งในที่สุดแล้วจะเป็นส่วนสาคัญในการ ยกระดับสังคมให้สูงข้ึน

12 สลุ กั ษณ์ ศรบี รุ ี (2536) ไดน้ าเสนอข้อเขียนจากหนังสือ “Basic principles of Curriculum” ซ่ึงเป็น นักพัฒนาหลักสูตรที่มีชื่อเสียง ไทเลอร์ ได้กล่าวถึงความจาเป็นของการบรรจุวิชาศิลปศึกษาไว้ในหลักสูตร โรงเรียนวา่ วิชาศิลปศึกษามคี วามสาคัญ 5 ประการ คอื 1. ศิลปศึกษาช่วยขยายขอบเขตของการรับรู้ของผู้เรียน ทางด้านการใช้ประสาทสัมผัส โดยวิชา ศิลปศกึ ษาช่วยใหค้ นเราสามารถมองเหน็ สิ่งต่าง ๆ ได้อยา่ งชดั เจนย่ิงขึ้น เพราะเป็นการมองด้วยการสังเกตเพ่ง พิจารณาเปรียบเสมือนศิลปินมองสง่ิ ทเ่ี ห็น และเก็บรายละเอียดจากสง่ิ ที่เหน็ มาถ่ายทอดในงานศลิ ปะ 2. ศิลปศึกษาสามารถทาให้ความคิดและความรู้สึกกระจ่างแจ่มชัดออกมา โดยอาศัยสื่ออย่างอ่ืน เพม่ิ เติมจากคาพูด จะเห็นไดว้ ่ามีนักเรียนจานวนไม่น้อยที่สามารถแสดงออกทางศิลปะได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกวา่ การเขียนการพดู 3. ศิลปศกึ ษาช่วยทาใหค้ นมีความเปน็ คนสมบรู ณแ์ บบย่ิงขึ้น กล่าวคือศิลปะช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อน คลายความเครียดตา่ ง ๆ ทางอารมณ์ ทส่ี ะสมอยู่ในตัวโดยอาศัยการแสดงออกด้วยการทากิจกรรมต่าง ๆ เช่น การสร้างศิลปะในสตูดิโอการทางานศิลปะ แล้วนาไปใช้ในชีวิตประจาวันให้เกิดประโยชน์ใช้สอย เช่น การ ตกแต่งหรือแม้แต่การแสดงออกทางการร้องเพลง เต้นรา เล่นดนตรี สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถือว่าเป็นส่ิงท่ีช่วยให้ คนเราได้แสดงออกทาให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และผ่อนคลายความเครียดเป็นการส่งเสริมให้เด็ก และเยาวชนเปน็ คนท่ีสมบูรณย์ งิ่ ข้นึ 4. ศิลปศึกษาช่วยพัฒนาความสนใจและค่านิยมต่าง ๆ ของเด็กและเยาวชนการแสดงออกทางศิลปะ รูปแบบต่าง ๆ ถอื ว่าเป็นพ้ืนฐานทอี่ านวยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และช่วยพัฒนาความเข้าใจในศิลปะต่าง ๆ ได้ชดั เจนยิ่งขนึ้ 5. ศิลปศึกษาเป็นวชิ าที่ช่วยพัฒนาความสามารถทางเทคนิคได้ ยกตัวอย่างเช่น กระบวนการที่จะทา ใหเ้ กิดทกั ษะในการระบายสี การวาดภาพคน การเล่นเครอ่ื งดนตรชี นดิ ตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ไทเลอร์เช่ือว่าประเด็นปัญหาท่ีกล่าวมา แสดงถึงบทบาทสาคัญของวิชาศิลปศึกษา ท่ีมีคุณค่าต่อ นักเรียนในระบบการศกึ ษาในโรงเรยี นเปน็ อยา่ งมาก นอกจากน้ีได้นาเสนอข้อความในหนังสือเรื่อง “Art as Experience” ซ่ึงเขียนโดย จอห์น ดิวอ้ี (1979) นักปราชญ์และนกั การศึกษาคนสาคัญที่เคยมีประสบการณ์ทางศิลปะ ในฐานะท่ีเป็นผู้อานวยการฝ่าย การศึกษาของ มูลนิธิบราสส์ (Educational Director of the Burner Foundation) ซึ่งในข้อเขียนของดิวอี้ เขาชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาชุมชนและภาพโดยผ่านประสบการณ์ทางศิลปะว่าศิลปะเป็นส่ิงจาเป็นที่เสริมสร้าง สติปัญญาให้แก่ชีวิต สตปิ ญั ญาไม่ไดม้ าจากการเรียนอะไรจากส่งิ ภายนอกเพียงอยา่ งเดียว แต่มาจากการเข้าถึง ศลิ ปะของแตล่ ะบุคคลด้วย นอกจากนี้ยังเชื่อว่าศิลปะบอกให้เราทราบถึงสภาวะของชีวิต และอารยธรรมของ คนในชาติต่าง ๆ ท่ีมีวิวัฒนาการต่อเนื่องกันมาในรูปแบบต่าง ๆ ศิลปะจึงเป็นแกนกลางหรือเป็นส่ือสาคัญใน การประสานให้เกดิ ความงามความกลมเกลยี วในสังคม ดงั นนั้ ประเพณแี ละพฤติกรรมคนในสังคมจึงมุ่งไปสู่การ พัฒนาสนุ ทรียภาพ ดิวอ้ี ใหข้ ้อสงั เกตว่าการท่เี ราไมส่ ามารถจะวเิ คราะห์ธาตุแท้ของสุนทรียธาตุในศิลปะได้ เป็นเพราะเรา ขาดการสมั ผัสหรือขาดประสบการณ์ที่มีต่อส่ิงต่าง ๆ อย่างแท้จริง โดยเฉพาะภูมิหลังและส่ิงแวดล้อมของเรา ดังน้ันเราจึงต้องต่ืนตัวให้ทันกับเหตุการณ์และส่ิงแวดล้อมท่ีอยู่รอบตัวเราเสมอ โดยสรุปแล้วว่าศิลปะคือ ประสบการณ์ที่ส่งเสริมสมรรถภาพทางด้านสุนทรียภาพของมนุษย์ และศิลปะไม่สามารถแยกออกไปจาก ประสบการณช์ ีวติ ของมนุษยไ์ ด้ ทัศนะของปรมาจารย์ทางศิลปะ ท่ีผู้เขียนบทความน้ีได้นาเสนอ คือ อาจารย์สงวน รอดบุญ อดีตครู ศิลปะที่มปี ระสบการณ์เช่ียวชาญในทฤษฎี หลกั การ และความรู้ทางศลิ ปะอยา่ งกว้างขวาง ซึ่งปัจจุบันน้ีท่านได้

13 ล่วงลบั ไปแล้ว ซึง่ อาจารย์สงวน รอดบญุ เช่ือว่าศลิ ปศึกษามีคณุ คา่ ต่อเดก็ เป็นอย่างยิ่งเพราะศิลปศกึ ษาเป็นวิชา ท่ชี ว่ ยสร้างเสรมิ คณุ ประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี 1. เปน็ การเตรียมความพรอ้ มของเด็กในการศึกษาวิชาตา่ ง ๆ 2. ชว่ ยกระตุ้นให้เดก็ มคี วามสนใจ และแสดงออกตามความถนัดและความสามารถ 3. ช่วยสรา้ งความเพลิดเพลนิ สนกุ สนาน และทางานร่วมกนั เปน็ กลุม่ ได้ 4. ชว่ ยให้เด็กมีจิตสานกึ ในคณุ ค่าของธรรมชาตแิ ละในงานศิลปะ 5. ช่วยเสรมิ สร้างลักษณะนสิ ัยใหเ้ ดก็ มีความคิดสร้างสรรค์ 6. ชว่ ยปลูกฝงั ความรู้สกึ ทางสนุ ทรยี ภาพและมรี สนยิ มที่ดี 7. ชว่ ยให้รจู้ ักนาเอาศลิ ปะมาประยุกต์ในการดารงชีวติ ให้สมบรู ณ์ขึน้ สุลักษณ์ ศรีบุรี (2536) ได้สรุปทรรศนะต่าง ๆ เก่ียวกับคุณค่าของศิลปะจากบุคคลท่ีนาเสนอใน ขา้ งต้น โดยนาเสนอในบทความไว้ว่า ท่านเหล่าน้ันล้วนแต่มองเห็นคุณค่าของศิลปะในทิศทางที่คล้ายคลึงกัน คอื 1. ศิลปะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันของมนุษย์มีประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิตในสังคมมนุษย์อย่าง แทจ้ รงิ 2. ศิลปะเปน็ ศูนย์รวมความม่นั คงของชาติเป็นบ่อเกดิ ของวฒั นธรรมและอารยธรรม 3. ศิลปะส่งเสริมให้มนษุ ยชาตมิ ีความเจริญและมีความเป็นมนษุ ย์ทสี่ มบรู ณ์แบบ 4. ศิลปะท่ีจัดเข้าไว้ในระบบการศึกษามีส่วนสาคัญในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กและเยาวชนให้ เติบโตเปน็ บุคคลทมี่ ีเจตคติ คา่ นิยม รสนยิ มและสนุ ทรียภาพทด่ี ี อนั นาไปสู่พ้ืนฐานของการเป็นพลเมืองดีในแต่ ละสังคมตอ่ ไปในอนาคต ในบทความทางวชิ าการ เร่ือง ศิลปะเป็นมูลฐานท่ีสาคัญ ท่ีเขียนโดย วิรัตน์ พิชญไพบูลย์ (2536) ซึ่ง เป็นอาจารย์และนักวิชาการด้านศิลปศึกษาในยุคเริ่มต้นของประเทศไทย ปัจจุบันเป็นอาจารย์พิเศษภาควิชา ศิลปะดนตรแี ละนาฏศลิ ป์ศกึ ษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สรุปในตอนท้ายของบทความไว้ว่า เพราะศิลปะ เปน็ มลู ฐานสาคัญ สามารถใช้สนับสนุนการดาเนนิ ชวี ิตให้เปน็ สขุ ศลิ ปะยังชว่ ยสง่ เสริมการแสดงออกถึงอารมณ์ ความคิดและประสบการณ์ เช่น ความรัก การเกิด การตาย และการขัดแย้งของสังคม ศิลปะอาจจะแสดงออก ถึงคุณคา่ ของชีวิตในสงั คมหรือปญั หาของสภาพตา่ ง ๆ ของสังคม เช่น ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว จนถึง ความขดั แยง้ ในโลก ตลอดจนการกอ่ สงคราม หรือศลิ ปะอาจจะสะทอ้ นหรือตอบสนองความต้องการของสังคม เช่น ความต้องการที่อยู่อาศัยภายในเมืองจึงมีการสร้างตึกระฟ้าข้ึน ศิลปะจึงมีความหมายมากกว่าการ แสดงออกถงึ ความงามตามปกติ ศิลปะเป็นสอื่ หรอื สรา้ งเสรมิ ความรไู้ ด้โดยตรง ศลิ ปะจึงตอบสนองการเรียนรู้ที่ มีความหมายต่อสังคมช่วยสนับสนุนการแสวงหาความรู้ประสบการณ์ เพื่อสร้างเสริมพฤติกรรมที่ดีงามแก่ผู้ ศึกษา กิจกรรมศิลปศึกษาช่วยส่งเสริมพัฒนาอารมณ์สติปัญญาร่างกายและสังคม โดยเฉพาะการปฏิบัติงาน ศิลปะต้ังแต่เด็กจะช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างความคิด สายตา และการใช้มือให้ประสานสัมพันธ์กันได้อย่าง คลอ่ งแคลว่ และพัฒนายิ่งข้ึนเมอ่ื เตบิ โตขึน้ การไดม้ ีประสบการณ์ในการสร้างสรรค์การตัดสินใจและการแก้ไข ปัญหา รวมท้งั มีความนิยมและเขา้ ใจในคุณคา่ ของศิลปวัฒนธรรมของชาติ การปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีงามต่าง ๆ เหล่าน้ี มีสว่ นที่จะช่วยสนบั สนนุ ใหบ้ คุ คลปฏบิ ตั งิ านในสาขาวิชาชพี ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับเป็นการ สรา้ งเสริมบุคคลใหส้ ามารถสรา้ งสรรค์งานทีม่ คี ณุ ค่าต่อชวี ติ และสงั คมตอ่ ไป ประเสริฐ ศีลรัตนา (2542) ได้กล่าวถงึ คุณคา่ ของศลิ ปะกับการพฒั นามนุษยโ์ ดยจาแนกได้ ดังน้ี 1. คุณค่าของศิลปะในทางนิมาน (Positive Value) เห็นคุณค่าของศิลปะในแง่ที่ช่วยส่งเสริมความ พอใจและความเจรญิ งอกงามในการพฒั นาด้านต่าง ๆ คอื

14 1.1 พฒั นาและสรา้ งสรรค์ทางด้านร่างกายกิจกรรมทางศิลปะ สามารถส่งผลให้เกิดคุณค่าแก่ บุคคลท้ังทางตรงและทางอ้อม คือ ในทางตรงจะช่วยพัฒนาการทางด้านการเคล่ือนไหวการเติบโต การออก กาลังกาย การฝึกหัดใช้มือ แขน ขา กล้ามเน้ือ ตลอดจนช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ การใช้มือกับประสาทตา ความคดิ การรับร้แู ละระบบการสง่ั งานของสมอง ขณะถา่ ยทอดสร้างสรรคก์ ิจกรรมแกผ่ ปู้ ฏบิ ัติการทางศลิ ปะ ส่วนผลทางอ้อมก็จะทาให้เกิดอิทธิพลแก่มนุษย์ ผู้รับรู้ได้นาความคิดสร้างสรรค์และ จนิ ตนาการเกยี่ วกับความงามเหล่านนั้ มาเป็นแนวทางเลอื กในการพฒั นาปรบั ปรุงแก้ไข ให้เกิดคณุ คา่ ทางความ งามแกร่ ่างกายตนโดยการปรับปรุงเปล่ยี นแปลงและการประดับตกแตง่ การปรับปรงุ เปล่ียนแปลง เช่น การตัด แตง่ ผม แตง่ หนา้ การจัดระเบียบทางของร่างกาย ในการยืน นั่ง เดิน ฯลฯ ให้สอดคล้องกับค่านิยมของสังคม และการประดับตกแต่งร่างกายด้วยส่ิงต่าง ๆ เช่น เคร่ืองนุ่งห่ม เคร่ืองประดับ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับ บุคลิกภาพและสังคมตามยุคสมัย ล้วนเป็นอิทธิพลมาจากการออกแบบสร้างสรรค์ทางศิลปะในรูปแบบที่ เรยี กว่าแฟช่ัน ทาให้เกิดการพฒั นาปรับปรงุ สร้างสรรคค์ ุณคา่ แก่รา่ งกายทงั้ ส้ิน 1.2 พฒั นาการทางดา้ นอารมณ์ ประสบการณ์ในชวี ิตประจาวันของมนุษย์จะเป็นแรงบันดาล ใจกระตุ้นเร้าความรู้สึกสนใจ ตั้งใจ พอใจ อยากรู้ อยากเห็น โกรธ เสียใจ สะเทือนใจ ฯลฯ ซึ่งเป็นอารมณ์ ความร้สู กึ ทถี่ ูกกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมกจิ กรรม และสิ่งท่ีเปน็ ศลิ ปะก็ถือไดว้ า่ เปน็ สิ่งแวดล้อมหรือส่ิงเร้าหน่ึง ท่ีมี อิทธิพลต่ออารมณค์ วามร้สู กึ ของมนุษย์ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมสร้างสรรค์ หรือพฤติกรรมการขาน รับทางความงามและเกิดพัฒนาการทางอารมณ์ได้เช่นเดียวกับส่ิงเร้าอ่ืน ๆ การควบคุมอารมณ์หรือพยายาม สะกดกลั้นมิให้ตนแสดงอารมณ์ออกมาให้ผู้อื่นเหน็ บางครั้งก็มีผลร้ายมากกว่าผลดี สู้การแสดงอารมณ์ออกมา ในลักษณะท่ีเหมาะสมไม่ได้ การแสดงอารมณ์ให้ออกมาในลักษณะท่ีเหมาะสม อาจใช้วิธีการเบี่ยงเบน ความรสู้ ึกให้ลดกระแสความรุนแรงหรอื แสดงออกดว้ ยวธิ ีการทางศิลปะ การสร้างสรรค์ศิลปะเป็นกิจกรรมที่ได้ แสดงออกอย่างเสรี ยอมกระตุ้นเร้าให้เกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน และภาคภูมิใจแก่ผู้ที่ได้กระทางาน ศิลปะ ขณะเดยี วกันกจ็ ะชว่ ยพฒั นาอารมณ์ให้เกดิ ความม่ันใจในตนเอง พึงพอใจมีอารมณ์แจ่มใสเบิกบานหรือ ซาบซ้ึงในความงามท่ีไม่ได้คิดหรือรู้สึกมาก่อน ขณะเดียวกันผู้รับรู้หรือขานรับงานศิลปะก็สามารถมองเห็น ความงามเหล่านไี้ ด้ อกี ท้ังยงั ช่วยสง่ เสริมใหเ้ กดิ การสังเกตเรียนรู้และเกิดอารมณ์ชื่นชม เป็นสุข รู้คุณค่า ทาให้ โลกสดใส มชี ีวติ ชวี า ไม่แหง้ แลง้ นา่ อยู่ นา่ ร่นื รมย์ 1.3 พัฒนาการทางสังคม ศิลปะเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งท่ีช่วยเสริมสร้างความรู้สึกร่วมกัน เพราะศิลปะเป็นการส่ือสารอย่างหนึ่ง ระหว่างผู้สร้างสรรค์กับผู้รับรู้ ระหว่างผู้สร้างผลงานกับผู้สร้างผลงาน และระหว่างผู้ชมผลงาน ที่มีรสนิยมชื่นชอบในสิ่งสวยงามให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน นอกจาก พฒั นาการทางสังคมของมนษุ ยก์ บั มนษุ ย์แลว้ ด้านวัตถธุ รรมศลิ ปะมีส่วนในการสร้างสรรค์พัฒนารูปแบบท่ีเอื้อ ตอ่ การดารงชีพของมนุษยท์ างท่ีตอบสนองความตอ้ งการทางร่างกาย เช่น เคร่ืองนุ่งห่มและที่อยู่อาศัย เป็นต้น และที่ตอบสนองต่อความตอ้ งการของจติ ใจ เชน่ งานศิลปะในรปู ลักษณะต่าง ๆ ในรูปแบบสังคมของมนุษย์กับ วัตถุอกี ด้วย 1.4 พฒั นาการทางสติปัญญา ศิลปะในแต่ละยุคสมัยในช่วงเวลาแตกต่างกันตลอดจนศิลปะ ในแตล่ ะบคุ คลท่ีแตกต่างกนั ยอ่ มแสดงถึงความแตกต่างทางสติปัญญาที่อาจจะปรากฏในรายละเอียด รูปทรง สีและการออกแบบความคิดหรือจินตนาการ ท้ังน้ีสืบเน่ืองมาจากผลของการสารวจทดลองสร้างสรรค์ของแต่ ละคน ซ่ึงเป็นการเพิ่มประสบการณใ์ หมท่ าให้มีความคดิ รเิ รม่ิ มีเหตผุ ล มรี สนิยมอนั ดี มีความเป็นตัวของตัวเอง ทาให้มีสติปัญญากว้างขวางขึ้น ส่วนผลของการรับรู้ในศิลปะท่ีถูกสร้างสรรค์ข้ึน ด้วยสติปัญญาที่แตกต่างกัน ของบคุ คล ผู้สร้างยอ่ มเป็นผ้รู บั ร้ทู ่เี ปดิ โลกกระทดั ของผดู้ ูให้มสี ติปญั ญาความรูก้ วา้ งขวางเชน่ กัน

15 1.5 พัฒนาการทางด้านความรู้ การรับรู้ประสบการณ์ทางสุนทรียภาพในงานศิลปะ เป็น กระบวนการในการรับรู้โดยต้องมีองค์ประกอบท่ีครบวงจร คือมีสุนทรีวัตถุ มีมนุษย์ผู้รับรู้ และมีความรู้สึกที่ เกิดขึ้นคือสุนทรียรส ซึ่งการรับรู้น้ันต้องอาศัยประสาทสัมผัสท่ีได้รับการฝึกปรือมา มีความต้ังใจพอใจโดยไม่ ประสงค์สิ่งใด ทาให้กิจกรรมในชีวิตจริงหยุดพักช่ัวคราวทาให้เกิดอารมณ์ร่วมและความคิดร่องรอย ขณะเดียวกันการรับรูใ้ นลักษณะประสบการณ์ทางสนุ ทรียภาพน้ันยงั ก่อใหเ้ กดิ การวเิ คราะห์และการรับรู้คุณค่า ควบคู่กันไปด้วยการปรากฏข้ึนเห็นคุณค่านี้ ได้แก่ ค่าของความงามท่ีให้อิทธิพลต่อความรู้สึกของการรับรู้แก่ มนษุ ย์โดยตรง และชว่ ยพัฒนาการทางดา้ นความรู้ ซึ่งแบง่ ออกให้เห็น 2 ทาง คอื 1.5.1 การรับร้ทู างด้านวัตถุ จากการรับรู้สุนทรียวัตถุตามธรรมชาติรอบตัว มนุษย์ ไมว่ า่ จะเปน็ รูปร่างรปู ทรงสสี นั แสงเงาพื้นผิวขนาดสัดส่วน ฯลฯ เหล่านี้ ลว้ นเป็นส่ิงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ ผลงานศิลปะ โดยสื่อด้วยวัสดุและเทคนิควิธีการต่าง ๆ ท่ีเกิดจากประสบการณ์ในการฝึกฝนเรียนรู้วัตถุ ส่วน รปู แบบกถ็ ่ายทอดดว้ ยรปู รา่ ง รูปทรง สสี นั แสงเงา พ้ืนผิว ขนาดสดั สว่ น ฯลฯ ทีส่ ะสมประสบการณ์การรับรู้มา จากวัตถธุ รรมชาตริ อบ ๆ ตวั ทาใหป้ ระสาทสมั ผัสท่ีเกดิ จากการเรยี นรทู้ างศิลปะจะทาให้เกิดความฉับไวในการ รับรู้ และนาไปสู่การคิดจนิ ตนาการสร้างสรรคแ์ ละการวิเคราะห์ 1.5.2 การรับรู้ทางด้านความคิดคานึงและจินตนาการ เป็นผลท่ีเกิดจาก ประสบการณท์ รี่ ับรู้ในสิ่งต่าง ๆ และนามาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะในลักษณะจินตนาการ ผลิตซ้า การระลึก ถงึ ประสบการณ์เดิมแล้วถ่ายทอดโดยจินตนาการ ท่ีเกิดขึ้นไม่จาเป็นต้องเหมือนของเก่าทุกอย่างไป หรืออาจ จินตนาการในส่ิงที่มิใช่ประสบการณ์เดิมท่ีเคยรับรู้ แต่จินตนาการนึกถึงภาพส่ิงต่าง ๆ ข้ึนมาจากคาบอกเล่า ของผูอ้ ่ืนแล้วถา่ ยทอดสร้างสรรค์ออกมาเป็นงานศิลปะ ซึ่งจินตนาการลักษณะนี้คือจินตนาการโครงสร้างส่วน การคดิ คานงึ จินตนาการส่งิ ต่าง ๆ เกดิ ข้ึนตามความต้องการของศิลปินเอง ท่ีคิดคานึงขึ้นมาเพ่ือแก้ปัญหาและ ทาให้เกดิ ผลสาเรจ็ ใหม่ ๆ ในทางศลิ ปะน้ันเป็นการจินตนาการการสร้างสรรค์การรับรู้ทางความคิดคานึง และ จินตนาการนี้ช่วยทาให้ความรู้สึกหรืออารมณ์ของมนุษย์ที่สับสนคลุมเครือแจ่มกระจ่างขึ้น โดยการดึงเอา อารมณห์ รือความรู้สึกเหล่าน้ันมาจากส่วนลึกของจิตใต้สานึก ให้ข้ึนมาสู่ระดับท่ีรู้สึกนึกคิดได้ด้วยจิตใจสานึก ธรรมดา 1.6 พฒั นาการทางดา้ นสุนทรียศาสตร์ การรับรู้สภาวะธรรมชาติเป็นส่ือก่อให้เกิดความเจริญ งอกงามทางสุนทรียศาสตร์ และค่าของความงามทางสุนทรียศาสตร์จากธรรมชาติ ก็ให้อิทธิพลต่อความรู้สึก ของมนุษย์ และก่อให้เกิดแรงบันดาลใจให้ถ่ายทอดความรู้สึกทางความงามออกมาในรูปแบบการสร้างสรรค์ ความงามทางศลิ ปะ ความเจริญงอกงามทางสนุ ทรียศาสตร์จึงเกี่ยวขอ้ งกบั การรบั รู้จากประสาทสมั ผัส ความคิด ความรู้สึกท่ีบูรณาการประสบการณ์ และการแสดงออกจนเกิดค่าของความงามในลักษณะใหม่ผู้ท่ีบกพร่อง ทางด้านความงดงามทางสุนทรียภาพ จะขาดความรู้สึกในคุณค่าของความงามความคิด และการแสดงออก ทางด้านการสร้างสรรค์จะสับสน การศึกษาทางด้านความงามจะส่งเสริมให้เกิดสุนทรียภาพท้ังในขณะชื่นชม ผลงาน ตลอดการชื่นชมธรรมชาติสิ่งแวดล้อมกระทั่งสามารถนึกคิดจินตนาการและสร้างสรรค์ความงามทาง ศลิ ปะได้ 1.7 พัฒนาการทางด้านสร้างสรรค์ ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์และเป็นผู้ที่สามารถยึดโยง สัมพันธ์ ระหว่างสิ่งเร้ากับส่ิงตอบสนองต่าง ๆ ที่แปลกใหม่มากกว่าและมีประสิทธิภาพกว่าผู้ท่ีคิดในทิศทาง เดยี วกัน ดว้ ยเหตนุ ้ีผู้ท่ไี ด้รบั การพัฒนาทางการสรา้ งสรรค์และมีความสามารถในการคิดสร้างผลผลิต สิ่งแปลก ใหม่ ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน ผลผลิตน้ันอาจจะเกิดจากการรวบรวมเอาความรู้ต่าง ๆ ที่ได้จากประสบการณ์ แลว้ เชื่อมโยงเขา้ กับสถานการณ์ใหม่ เกิดการกระทาท่ีให้ผลผลิตใหม่ วิถีทางศิลปะจึงเป็นทางท่ีจะพัฒนาการ แสดงออก พัฒนาความคิด อันเป็นหนทางไปสู่การพฒั นาบคุ คลใหส้ มบูรณต์ อ่ ไป

16 2 คณุ ค่าของศิลปะในทางนิเสธ (Negative Value) ศิลปะนอกจากช่วยพัฒนามนุษย์ให้เจริญงอกงาม และพฒั นาการทางด้านต่าง ๆ แล้ว ศิลปะยังช่วยทาหน้าท่ีบาบัดรักษาอาการทางด้านจิตใจของมนุษย์ ท่ีเกิด จากสาเหตุผิดปกตทิ างจิตให้สามารถปรับตัวดารงชีวิตอยู่ในสังคมชีวิตประจาวันได้ การสร้างคุณค่าของศิลปะ ในลักษณะบาบดั ให้ คอื 2.1 ช่วยระบายอารมณ์ มนุษย์นอกจากจะมีความรู้สึกในทางท่ีดีซ่ึงได้แก่ความสนุกสนาน เพลดิ เพลิน ร่าเรงิ แจ่มใส ด่มื ด่า ฯลฯ แล้วอีกดา้ นหนึ่งซึง่ ตรงกันข้าม มนุษย์ยังมีความรู้สึกเคร่งเครียด เกลียด กลัว กังวล และทุกข์ใจ ซ่ึงความรู้สึกในทางลบเหล่าน้ีทาให้เกิดความตึงเครียดทางอารมณ์ได้ทั้งส้ิน และเม่ือ เกดิ อารมณ์เหลา่ น้ีขน้ึ ในจิตใจ ทุกคนยอ่ มตอ้ งการหาทางออกโดยการแสดงพฤติกรรมใด ๆ เพื่อระบายอารมณ์ ที่เคร่งเครียดเหล่านี้ออกไปจากความรู้สึกโดยเร็ว พฤติกรรมการระบายความรู้สึกทางลบของมนุษย์ อาจจะ แบง่ ได้เปน็ 2 ลกั ษณะ คอื ทางตรงและทางออ้ ม ทางตรงเปน็ ปฏกิ ิรยิ าโต้ตอบส่งิ เรา้ ที่เปน็ สาเหตุของอารมณ์ตึง เครียด โดยการอัดหรือทาลายล้างให้สิ่งเร้าน้ันเบาบางหรือสูญหายไป หรือแสวงหาวิธีการทุกวิถีทางเพ่ือให้ ไดม้ า ซึ่งส่ิงท่ีตนปรารถนาโดยไม่คานึงถึงความผิดชอบชั่วดี การระบายอารมณ์ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้แม้ผลที่ ตามมาจะสรา้ งความพงึ พอใจ สะใจ สบายใจ แต่มักทาให้เกิดความวุ่นวาย และเป็นพฤติกรรมการแสดงออกที่ สังคมไม่ยอมรับว่าดีหรือมีคุณค่า ส่วนการระบายอารมณ์ท่ีตึงเครียดในทางอ้อมเป็นการหลีกเล่ียงที่จะแสดง พฤตกิ รรมท่สี ังคมไม่ยอมรบั โดยการสะกดขม่ กลนั้ ความต้องการของตนโดยตรง แล้วเบี่ยงเบนไปใชส้ ง่ิ เร้าอื่น ๆ มาเปน็ ตวั ผ่อนคลายความรสู้ ึกดา้ นลบนัน้ ใหเ้ กิดผลเป็นคณุ คา่ ทางความรู้สึกเป็นทางบวก ศิลปะก็ยังเป็นสิ่งเร้า ส่ิงหนึ่งท่ีสามารถนามากระต้นุ เรา้ ความรูส้ ึกท่ตี งึ เครียดให้เบี่ยงเบนผ่อนคลายหรือระบายออกกระท่ังเกิดความ สงบนง่ิ และเพลดิ เพลนิ เป็นสุขไดท้ ้งั การขานรับหรือการสร้างสรรคก์ ต็ าม 2.2 ช่วยขจัดปมด้อย กิจกรรมทางเศรษฐศาสตร์จะเป็นวิธีหน่ึงท่ีช่วยบรรเทาความทุกข์จาก ปญั หาปมด้อยได้ โดยเบ่ียงเบนความรู้สึกท่ีจดจ่อต่อปัญหาให้หันมาสนใจสร้างสรรค์ สิ่งจรรโลงใจ ไม่หมกมุ่น ฝักใฝ่อยู่กับปัญหานั้นเป็นขั้นต้น คือ การระบายอารมณ์ท่ีตึงเครียดและกล้าแสดงออกความรู้สึกนึกคิด หรือ ความต้องการด้วยสื่อทางศิลปะ เช่น การวาดภาพ การปั้น หรือทางานศิลปะอ่ืน ๆ เป็นการสร้างปมเด่นให้ สังคมยอมรับในความสามารถทางศิลปะ นิสัยและผลงานที่สร้างขึ้น เม่ือได้รับคายกย่องชมเชยและให้ ความสาคญั แก่ตนมากข้ึน ความกล้าในการแสดงในการแสดงออกทางสังคมก็จะยอมรับตามมา ความรู้สึกใน ปัญหาปมด้อยแม้จะยังคงมีอยู่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องท่ีบ่ันทอนความปรารถนาจะอยู่ร่วมกับสังคมอีกต่อไป เพราะ สังคมใหก้ ารยอมรับตอ่ พฤตกิ รรมการแสดงออก และผลงานท่ีสร้างสรรค์ข้ึนทางศิลปะ ทาให้เกิดความม่ันใจท่ี จะกระทาสงิ่ ตา่ ง ๆ โดยไมก่ ระทบกระเทอื นต่อผู้อ่นื ให้เดอื ดรอ้ น ซึ่งตา่ งไปจากทางออกในทางลบ 2.3 ศิลปะในทางบาบัด กิจกรรมทางศิลปะเป็นวิธีการหน่ึงที่สามารถแสดงออกให้ทราบถึง ความปรารถนาความตอ้ งการ ความรู้สึกนกึ คิด จินตนาการและปญั หาตา่ ง ๆ ของมนุษย์ ท่ีมีความผิดปกติ เช่น การแสดงออกให้เหน็ ถึงปญั หาและความคิดจากงานจิตรกรรมผ่านสื่อสีและรูปแบบ ทาให้ผู้รับรู้ทั่วไปสามารถ ทราบถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเร่ืองราวต่าง ๆ ในจิตใจของผู้สร้างสรรค์ ถ่ายทอดว่าเป็นอย่างไรเพราะงาน ศิลปะทถ่ี กู บันทกึ ถ่ายทอดจะบอกถึงความรู้สึกภายใน ให้สามารถรับรู้ได้ศิลปะในถังบาบัดจึงมีคุณค่าในฐานะ เปน็ วถิ ที างของการผ่อนคลายอารมณ์ แสดงความรู้สกึ นึกคดิ ใหป้ รากฏออกมา และในทานองเดียวกันจิตแพทย์ ใช้ศลิ ปะเปน็ เครอ่ื งมอื ตรวจสอบความร้สู ึกนกึ คิด จนิ ตนาการเรอ่ื งราวต่าง ๆ จากจิตใจของคนไข้ ด้วยการให้ดู รูปลักษณะนามธรรมแล้วให้อธิบายภาพว่ามีความรู้สึกอย่างไรเห็นเป็นภาพอะไร ฯลฯ จากการบรรยาย ความรู้สึกเกี่ยวกับภาพท่ีผู้เห็นผู้รับรู้มักจะเอาพื้นฐานความรู้สึกของตนขณะน้ันมาตีความทาให้จิตแพทย์ วินิจฉัยปัญหาเบื้องต้นจากความรู้สึกเหล่าน้ันได้ว่า คนไข้มีจิตหมกมุ่นอยู่ในเรื่องราวอะไรจากการแสดง ความร้สู ึกนึกคิดให้ปรากฏดว้ ยการกระตุ้นเรา้ จากภาพศลิ ปะ นอกจากนีศ้ ิลปะยงั ช่วยกระตนุ้ ความพึงพอใจในผู้

17 ที่มีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ช้า ให้แสดงออกโดยการทางานศิลปะเพ่ือช่วยพัฒนาทางด้านอื่น ๆ ที่ นอกเหนือไปจากสตปิ ญั ญาทีม่ ีปญั หาได้เชน่ กนั ประเสรฐิ ศลี รัตนา (2542) ไดส้ รุปว่า ศลิ ปะเปน็ เพียงองค์ประกอบหนึ่งของชวี ิต ทีส่ ามารถช่วยพัฒนา สร้างสรรคใ์ ห้แก่มนุษย์ทางด้านต่าง ๆ ทั้งแก่ผู้สร้างสรรค์หรือผู้ขานรับ การท่ีมนุษย์ได้พบเห็นซึมซับรับรู้ส่ิงท่ี สวยงามท้งั จากธรรมชาตหิ รอื จากผลงานทางศลิ ปะ ย่อมมีอิทธิพลทาให้ความรู้สึกนึกคิดโน้มเอียงไปในทางท่ีดี และเกิดจติ สานกึ ทีด่ ี ซึง่ ส่งผลไปถงึ พฤตกิ รรมการแสดงออกย่อมดีงามไปด้วย พฤติกรรมการแสดงออกที่ดีงาม ย่อมส่งผลถึงการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมเกิดความสงบสุข ความสงบสุขของสังคมทาให้มนุษย์มีเวลาคิด สร้างสรรค์สิ่งท่ีดีมีคุณค่าไว้สั่งสอนหรือสืบสานแก่มนุษย์รุ่นหลังนั่น คืออารยธรรมทางปัญญาในรูปแบบของ ศลิ ปวฒั นธรรมและประเพณีของแตล่ ะกล่มุ สงั คม ท่ถี ูกนามาปลูกฝังสั่งสอนให้มนุษย์ในสังคมมีความเจริญงอก งามไปสคู่ ณุ คา่ และความหมายของความเปน็ มนษุ ย์อยเู่ สมอมา ศักดิช์ ยั เกียรตินาคินทร์ (2546) กล่าวถงึ คณุ ค่าศิลปกรรมกับเส้นทางของชุมชน ซึ่งเป็นการนาเสนอ คณุ คา่ ศิลปกรรมวา่ มผี ลกระทบต่อการพัฒนาชุมชนในทิศทางใดบ้าง ผลจากการวิจัย พบว่า คุณค่าศิลปกรรม เป็นแก่นสาคัญท่ีสังคมให้การยอมรับว่ามีคุณค่าทั้งในด้านจิตใจและวิถีชีวิต ซ่ึงรวมอยู่ภายใต้หลังคาใหญ่คือ ความเป็นวัตถธุ รรมของชาติ ในขณะเดยี วกนั ก็มีคณุ คา่ ในด้านเศรษฐกจิ และการอาชีพ ซึ่งรวมอยู่ภายใต้หลังคา ใหญค่ อื ความเป็นอตุ สาหกรรมการค้าภายในชาตแิ ละระหว่างชาติ น. ณ ปากนา้ (2540) กล่าวว่าการเข้าถึงศิลปะเป็นเรื่องได้เปรียบหลายประการ ประการแรกคือเรา จะได้รบั รสความงามอันเปน็ อมตะของศลิ ปนิ ซึ่งเราไม่เคยเหน็ ในธรรมชาติมาก่อนเลย ประการต่อมาคือความ งามของศิลปะจะฝังแน่นอยู่ในความทรงจาชนิดไม่ลืมเลือนง่าย ๆ ศิลปะจึงเห็นความงามร่วมทาให้มนุษย์มี จติ ใจผกู พันกนั ยงิ่ กว่าสิง่ ใด ๆ คนทมี่ อี ารมณต์ รงกนั ทางรสนิยมน้นั ยอ่ มจะรักกนั แนน่ แฟน้ ย่ิงกว่าสิ่งอื่นมันเป็น สุขใจท่ีย่งิ กวา่ เราคุยเรอื่ งใด ๆ ทงั้ สน้ิ ศิลปะทีเ่ รากาลงั นิยมช่นื ชมอย่นู นั้ มจี ดุ โนม้ เอียงให้เราเข้าถึงคุณงามความ ดีบางอยา่ ง ซ่ึงศิลปินเขาซ่อนเรน้ อยู่ด้วยแล้วเรากย็ ิง่ ออกรสความอิ่มซึ้งของศิลปะมากข้ึน และพลอยปรับปรุง จติ ใจให้ดขี ึ้นคลอ้ ยตามไปดว้ ย ประสบ ล้ีเหมอื ดภยั (2543) แบง่ คณุ ค่าศิลปะออกเป็น 5 ด้าน คือ 1. คณุ ค่าทางความงาม ศลิ ปะเปน็ สิ่งทีม่ นษุ ย์สรา้ งข้นึ เพื่อมนุษย์ดว้ ยกัน เพอ่ื แสดงออกซง่ึ อารมณ์ความรู้สึกความคิดความงาม ผา่ นผลงานศลิ ปะ อันประกอบด้วยความงามทางรูปทรง กล่าวคือรูปทรงที่เห็นจะให้ความรู้สึกพึงพอใจช่ืนชม เปน็ สุขทางตา ขณะเดยี วรูปทรงก็จะชน้ี าแกอ่ ารมณ์ความร้สู กึ และปญั ญาความคิดท่ีเกิดข้ึนในใจ รูปทรงเปรียบ ได้กับกายที่โลกกระทาของความงามในเบ้ืองต้น นอกจากนี้ยังมีความงามทางด้านเน้ือหาซ่ึงเป็นสิ่งแสดง ความหมายของงานศิลปะนั้น ๆ ผ่านทางรูปทรงศิลปะ โดยเกิดจากการประสานกันของเรื่อง แนวเร่ือง และ รปู ทรง ทีร่ วมตัวกันอย่างมีเอกภาพ ทาให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจและพร้อมจะรับอารมณ์อื่น ๆ เช่น รัก โกรธ เศร้า เกลียด เน้อื หาจึงเปรียบเหมือนจติ วิญญาณของรปู ทรงท่ใี ห้แกผ่ ู้ชน่ื ชมงานศลิ ปะ ความงามของรูปทรงกับความงามของเน้ือหา ท่ีสัมผัสกันด้วยดีมีแบบแผนและมีขอบเขตน่ีเองที่เป็น คุณคา่ ทางความงามของศิลปะ 2. คุณค่าทางเช้อื ชาติ คณุ ค่าทางเชอ้ื ชาตทิ ป่ี รากฏในงานศิลปะ เป็นมรดกตกทอดสาหรับปัจจุบันเป็นสากลแห่งการยอมรับ ให้เป็นเหตุผลสาคญั ท่ถี กู กาหนดขึ้น เพ่ือเป็นสัญลักษณ์แก่ชาติ เป็นเกียรติแก่ชาติ เป็นศักดิ์ศรีและอาภรณ์แก่ คนในชาติ โดยส่งผลใหเ้ กดิ ความงอกงามข้นึ ในจติ ใจ แสดงออกซึ่งความหมายแห่งการเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์และ ทรงเกียรตใิ นแตล่ ะชาติ

18 3. คณุ คา่ ทางวฒั นธรรม ศิลปะท้งั อดีตและปจั จบุ นั ได้รับการสร้างสรรคข์ ้ึนมาเปน็ รูปแบบเสมอื นสง่ิ แทนความคิดเห็นและความ เข้าใจ ทไี่ ดร้ ับการยอมรบั ในสมยั นนั้ ๆ ซึง่ แสดงออกให้เห็นถงึ ลักษณะขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม เป็นต้น ความคิดชี้นาให้เกิดผลงานศิลปะคุณค่าทางวัฒนธรรมท่ีอยู่ในศิลปะจะใช้วัตถุที่มีเพียงความงามทาง ศิลปะเท่านัน้ แตจ่ ะเปน็ สญั ลักษณ์องค์แห่งการรับรู้ ช่วยแผ่ขยายพฤติกรรมทางจิตใจให้เกิดมโนภาพความคิด รวบยอดจนิ ตนาการและเปา้ หมายที่ชดั เจนม่ันคง จึงเป็นคุณค่าทางวัฒนธรรมที่ให้มากกว่าเร่ืองของความงาม และความพึงพอใจ 4. คณุ ค่าทางปรัชญา ปรชั ญา หมายถงึ หลกั แหง่ การรบั รู้และความจรงิ คณุ คา่ ทางปรัชญาของศิลปะจึงมีความหมายถึงการ ทาผลงานของศลิ ปะทใี่ ห้หลักความรแู้ ละความจริงแก่ผู้ชื่นชม ศลิ ปะได้รบั อิทธพิ ลทางความคิดและปรัชญาท่ีส่ัง สมมานานนบั พนั ปี ความคิดไดซ้ ึมซาบอยู่ในความรขู้ องคนรุ่นหนงึ่ ส่คู นอีกรุ่นหน่งึ อยา่ งมีระบบแบบแผน คุณค่า ทางปรัชญาของงานศิลปะ จะดาเนินการควบคู่มากบั การสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะและววิ ัฒนาการทางสงั คมตลอดมา 5. คณุ ค่าทางประวัตศิ าสตร์ การสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะใด ๆ จะด้วยตงั้ ใจหรือไม่ต้ังใจก็ตาม ผลงานแตล่ ะยุคสมัยทปี่ รากฏของแต่ละกลุ่ม ชน ล้วนได้บันทึกสภาพสังคมนั้น ๆ ไว้สาหรับคนรุ่นหลังหรือสังคมอื่นได้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นความเจริญ ความ เสื่อม ความเชอื่ ค่านิยม คุณค่า สตปิ ัญญา ความสามารถ ต่างถูกถ่ายทอดลงสู่ผลงานศิลปะเหล่าน้ันแล้วผ่านสู่ การรับร้ขู องผ้อู ่นื เทวี ประสาท (2546) แปลหนังสือ “Art the basic of education” ที่เขียนโดย Davi Prasad ซ่ึง กล่าวถงึ ความซาบซึ้งในคณุ ค่าของศลิ ปะเป็นหัวใจสาคัญของศิลปศึกษา การเข้าใจศิลปะอย่างถูกต้องแสดงให้ เห็นถึงความรู้สึกท่ีมีต่อความงามและความเข้าใจในหลักเกณฑ์ท่ีเกี่ยวข้อง ซ่ึงแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่เปิด กว้างของคนคนหนึ่ง หมายความว่ามีความรู้สึกท่ีเต็มไปด้วยความเข้าใจต่องานศิลปะของมวลมนุษยชาติ ถึง ที่สุดแลว้ มนุษยต์ า่ งมคี วามต้องการและความใฝ่ฝันรว่ มกนั ว่าจะอยใู่ นเช้ือชาติหรือเผ่าพันธุ์ใด มนุษย์อาจสัมผัส รับรู้ความสขุ ด้วยวิธกี ารทีแ่ ตกตา่ ง แต่ในแต่ละสถานการณ์แต่ละวัฒนธรรมโดยพ้ืนฐานแล้วทุกคนล้วนมุ่งที่จะ สร้างสรรค์ความงามและเข้าถึงภาวะแห่งความอานันทะ (บรมสุข) ตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ จึงจาเป็นที่ อดุ มการณ์ทางการศกึ ษาของเราจะต้อง โอบอุ้มมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นส่วนสาคัญของธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน และความซาบซ้งึ ในคุณค่าของศลิ ปะจะกลายเปน็ ท่ีมาของความรักความเข้าใจต่อมวลมนษุ ยชาติ จากหนังสือแนวคิดเกี่ยวกับศิลปศึกษาโดย เลิศ อานันทะ (2549) เป็นบรรณาธิการได้นาเสนอ บทความทีเ่ ขียนโดย วิรัตน์ พชิ ญไพบูลย์ ซ่ึงจาแนกคณุ คา่ ศลิ ปะออกเป็น 7 ดา้ น คอื 1. คณุ ค่าศิลปะต่อสงั คม ศิลปะจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของบุคคลให้มีคุณค่าต่อสังคม แต่ทว่าการส่งเสริมนั้นจะต้องเน้นให้ เกิดการเรียนรู้ในความสามารถของตนเองและสามารถทางานได้ตามความถนัดและความสนใจของตนเองได้ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ 2. ศิลปะสง่ เสรมิ ความเข้าใจและเหน็ คุณคา่ ของศิลปะและวฒั นธรรม การให้เด็กได้สามารถเข้าใจในความงามของศิลปวัฒนธรรมของชาติจนสามารถประเมินผลและตี คุณค่าของงานศิลปะน้ันได้ นักการศึกษาเชื่อว่าการสอนวิชาศิลปนิยมมีคุณค่าในการส่งเสริมและรักษา ศิลปวัฒนธรรมได้ 3. ศลิ ปะมคี ุณค่าส่งเสรมิ การเตรียมพื้นฐานในการเรียนวชิ าชพี

19 วิชาศิลปศึกษามีขอบข่ายกว้างขวางครอบคลุมถึงวิชาศิลปะหลายแขนง ตามท่ีได้จัดข้ึนในหลักสูตร เพ่อื ใหเ้ ดก็ ไดม้ ีโอกาสสารวจตรวจสอบความถนดั ความสนใจ และความสามารถของตนเอง เพือ่ จะได้เลือกเรียน วชิ าชพี ไดถ้ กู ตอ้ ง 4. ศลิ ปะมีคุณค่าส่งเสริมประสบการณใ์ นการดารงอยู่ในสงั คมปัจจุบัน กิจกรรมทางศิลปศึกษามีส่วนส่งเสริมให้เด็กได้แก้ปัญหาเกี่ยวกับการทางานเพื่อสามารถเตรียมตัว ดารงอยู่ในสังคมปจั จุบันอย่างเป็นสขุ สามารถอยูร่ ่วมกันและประสานงานกบั ผู้อ่นื ได้ 5. ศลิ ปะมคี ุณค่าส่งเสรมิ ความงดงามเปน็ ระเบียบของบา้ นเมืองและสง่ิ แวดลอ้ ม วิชาศิลปศึกษามีส่วนร่วมให้เด็กเจริญเติบโตทางสุนทรียภาพ และการรับรู้เด็กท่ีมีความเจริญเติบโต ทางดา้ นน้ี จะได้รบั การปลกู ฝังนิสัยที่เป็นระเบียบในการทางาน และรักสวยรักงามช่วยปรับปรุงบ้านช่องและ สิ่งแวดลอ้ มใหส้ วยงามเปน็ ระเบยี บดีขนึ้ อยู่เสมอ 6. ศลิ ปะมคี ุณค่าสง่ เสรมิ การใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ วชิ าศิลปะมีกจิ กรรมหลายชนดิ ทเ่ี ด็กสามารถจะทาให้เป็นงานอดิเรกได้ โดยเฉพาะกิจกรรมทางศิลปะ เช่น ศิลปหัตถกรรมและศิลปะตกแต่งทั่วไป อาจจะทาได้โดยไม่จากัดเพศและวัย ขอบข่ายของการทางาน อดิเรกกว้างขวางมาก นอกจากนั้นงานอดิเรกบางอย่างนอกจากช่วยปลูกฝังนิสัยในการทางานแล้วยังเป็น ประโยชน์ชว่ ยการครองชพี ช่วยเศรษฐกิจของครอบครวั ได้เปน็ อย่างดอี ีกดว้ ย 7. ศลิ ปะมคี ุณค่าสง่ เสริมสุขภาพจติ และบคุ ลกิ ภาพ การสร้างสรรค์งานศิลปะ เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์ ความคิดคานึงถึงสติปัญญา ความสาเร็จในการทางาน และชว่ ยให้เกิดความสบายใจ มีความสุขและเกิดความภาคภูมิใจ ซ่ึงจะช่วยให้เด็กมี สขุ ภาพจิตทีส่ มบูรณ์ และมคี วามม่นั ใจในตนเองเปน็ ผลต่อบุคลิกภาพทดี่ ี 2. กลุ่มสาระการเรยี นรูศ้ ลิ ปะ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 2.1 ทาไมต้องเรียนศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระท่ีช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ มี จนิ ตนาการทางศลิ ปะ ช่ืนชมความงาม มสี นุ ทรยี ภาพ ความมคี ุณค่า ซ่ึงมผี ลตอ่ คุณภาพชวี ติ มนษุ ย์ กิจกรรม ทางศิลปะชว่ ยพฒั นาผเู้ รียนท้ังด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจนการนาไปสู่การพัฒนา สิง่ แวดล้อม ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รยี นมคี วามเช่ือมนั่ ในตนเอง อันเปน็ พื้นฐานในการศกึ ษาต่อหรอื ประกอบอาชพี ได้ 2.2 เรยี นรอู้ ะไรในศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิด ความซาบซึ้งในคุณคา่ ของศลิ ปะ เปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นแสดงออกอย่างอิสระในศิลปะแขนงต่าง ๆ ประกอบด้วย สาระสาคญั คือ 1) ทัศนศิลป์ มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบศิลป์ ทัศนธาตุ สร้างและนาเสนอผลงาน ทางทัศนศลิ ป์จากจนิ ตนาการ โดยสามารถใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม รวมทั้งสามารถใช้เทคนิค วิธีการของศิลปิน ในการสร้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ เข้าใจความสัมพันธ์ ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานศิลปะท่ีเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ทอ้ งถ่ิน ภมู ปิ ญั ญาไทยและสากล ช่ืนชม ประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจาวนั 2) ดนตรี มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบดนตรีแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่าดนตรี ถ่ายทอดความรู้สึก ทางดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชมและประยุกต์ใช้ใน ชวี ิตประจาวนั เขา้ ใจความสมั พันธร์ ะหว่างดนตรี ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าดนตรีที่เป็นมรดก

20 ทางวัฒนธรรม ภมู ิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล ร้องเพลง และเล่นดนตรีในรูปแบบต่าง ๆ แสดง ความคิดเห็นเกีย่ วกบั เสยี งดนตรี แสดงความรู้สกึ ท่มี ตี ่อดนตรีในเชงิ สุนทรยี ะ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี กบั ประเพณีวัฒนธรรม และเหตุการณ์ในประวตั ศิ าสตร์ 3) นาฏศิลป์ มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบนาฏศิลป์ แสดงออกทางนาฏศิลป์ อยา่ งสร้างสรรค์ ใช้ศัพท์เบ้ืองต้นทางนาฏศิลป์ วิเคราะห์วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดอยา่ งอสิ ระ สร้างสรรค์การเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ ประยุกต์ใช้นาฏศิลป์ในชีวิตประจาวัน เข้าใจ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งนาฏศลิ ป์กบั ประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรม เหน็ คุณคา่ ของนาฏศลิ ป์ทเ่ี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภูมิปญั ญาท้องถิ่น ภูมปิ ญั ญาไทยและสากล 2.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ทศั นศลิ ป์ มาตรฐาน ศ 1.1 สรา้ งสรรคง์ านทศั นศลิ ปต์ ามจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจาวนั มาตรฐาน ศ 1.2 เข้าใจความสัมพนั ธ์ระหวา่ งทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างาน ทัศนศลิ ป์ที่เปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน ภมู ปิ ญั ญาไทย และสากล สาระที่ 2 ดนตรี มาตรฐาน ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า ดนตรี ถ่ายทอดความร้สู ึก ความคิดตอ่ ดนตรอี ยา่ งอสิ ระ ชนื่ ชม และประยุกตใ์ ช้ในชีวิตประจาวนั มาตรฐาน ศ 2.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ ดนตรที เี่ ป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภมู ิปัญญาท้องถน่ิ ภมู ิปัญญาไทยและสากล สาระท่ี 3 นาฏศิลป์ มาตรฐาน ศ 3.1 เข้าใจ และแสดงออกทางนาฏศลิ ปอ์ ย่างสรา้ งสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่า นาฏศลิ ป์ถา่ ยทอดความรู้สึก ความคิดอยา่ งอสิ ระ ช่ืนชม และประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจาวนั มาตรฐาน ศ 3.2 เขา้ ใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของ นาฏศลิ ป์ทเ่ี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภูมปิ ัญญาทอ้ งถิ่น ภมู ปิ ญั ญาไทยและสากล 2.4 คณุ ภาพผูเ้ รยี น เมือ่ จบช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ ๖ 1) รู้และเขา้ ใจเกย่ี วกบั ทัศนธาตแุ ละหลักการออกแบบในการสื่อความหมาย สามารถใช้ศัพท์ ทางทัศนศลิ ป์ อธิบายจดุ ประสงคแ์ ละเนื้อหาของงานทศั นศิลป์ มีทักษะและเทคนิคในการใช้วัสดุ อุปกรณ์และ กระบวนการที่สงู ขึ้นในการสรา้ งงานทัศนศิลป์ วิเคราะห์เนื้อหาและแนวคิด เทคนิควิธีการ การแสดงออกของ ศิลปนิ ทง้ั ไทยและสากล ตลอดจนการใชเ้ ทคโนโลยีตา่ ง ๆ ในการออกแบบสร้างสรรค์งานที่เหมาะสมกับโอกาส สถานที่ รวมทั้งแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพสังคมด้วยภาพล้อเลียนหรือการ์ตูน ตลอดจนประเมินและ วิจารณค์ ุณค่างานทศั นศิลป์ดว้ ยหลกั ทฤษฎีวจิ ารณ์ศลิ ปะ 2) วิเคราะห์เปรียบเทียบงานทัศนศิลป์ในรูปแบบตะวันออกและรูปแบบตะวันตก เข้าใจอิทธิพลของมรดกทางวัฒนธรรมภูมิปัญญาระหว่างประเทศท่ีมีผลต่อการ สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ใน สงั คม 3) รู้และเข้าใจรูปแบบบทเพลงและวงดนตรีแต่ละประเภท และจาแนกรูปแบบ ของวงดนตรีท้งั ไทยและสากล เข้าใจอิทธิพลของวัฒนธรรมต่อการสร้างสรรค์ดนตรี เปรียบเทียบอารมณ์และ ความรู้สึกท่ีได้รับจากดนตรีที่มาจากวัฒนธรรมต่างกัน อ่าน เขียน โน้ตดนตรีไทยและสากล ในอัตราจังหวะ

21 ต่าง ๆ มีทักษะในการร้องเพลงหรือเล่นดนตรีเด่ียวและรวมวงโดยเน้นเทคนิคการแสดงออกและคุณภาพของ การแสดง สร้างเกณฑส์ าหรับประเมินคณุ ภาพการประพนั ธ์การเลน่ ดนตรขี องตนเองและผอู้ ่นื ได้อย่างเหมาะสม สามารถนาดนตรไี ประยุกตใ์ ชใ้ นงานอ่นื ๆ 4) วเิ คราะห์ เปรียบเทียบรูปแบบ ลักษณะเด่นของดนตรีไทยและสากลในวัฒนธรรมต่าง ๆ เข้าใจบทบาทของดนตรีที่สะท้อนแนวความคิดและค่านิยมของคนในสังคม สถานะทางสังคมของนักดนตรีใน วฒั นธรรมตา่ ง ๆ สรา้ งแนวทางและมสี ว่ นร่วมในการส่งเสรมิ และอนุรกั ษด์ นตรี 5) มีทักษะในการแสดงหลากหลายรูปแบบ มีความคิดริเริ่มในการแสดงนาฏศิลป์เป็นคู่ และเปน็ หมู่ สร้างสรรคล์ ะครสนั้ ในรปู แบบทชี่ นื่ ชอบ สามารถวเิ คราะหแ์ ก่นของการแสดงนาฏศิลป์และละครที่ ตอ้ งการส่อื ความหมายในการแสดง อทิ ธพิ ลของเคร่ืองแต่งกาย แสง สี เสียง ฉาก อุปกรณ์ และสถานที่ที่มีผล ต่อการแสดง วจิ ารณ์การแสดงนาฏศิลป์และละคร พัฒนาและใช้เกณฑ์การประเมินในการประเมินการแสดง และสามารถวิเคราะห์ทา่ ทางการเคลอื่ นไหวของผู้คนในชีวิตประจาวัน และนามาประยกุ ต์ใช้ในการแสดง 6) เข้าใจวิวัฒนาการของนาฏศิลป์และการแสดงละครไทย และบทบาทของบุคคลสาคัญ ในวงการนาฏศิลปแ์ ละการละครของประเทศไทยในยุคสมัยต่าง ๆ สามารถเปรียบเทียบการนาการแสดงไปใช้ ในโอกาสต่าง ๆ และเสนอแนวคดิ ในการอนุรกั ษ์นาฏศลิ ปไ์ ทย 2.5 ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระท่ี 1 ทัศนศลิ ป์ มาตรฐาน ศ 1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่างอิสระ ชื่นชม และ ประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจาวัน ชน้ั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.4-6 1. วเิ คราะห์การใช้ทัศนธาตุ และหลักการออกแบบ  ทศั นธาตแุ ละหลักการออกแบบ ในการส่ือความหมายในรูปแบบต่าง ๆ 2. บรรยายจุดประสงค์และเน้อื หาของงาน  ศพั ท์ทางทัศนศลิ ป์ ทัศนศิลป์ โดยใช้ศัพท์ทางทัศนศิลป์ 3. วิเคราะห์การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ และเทคนิค  วัสดุ อุปกรณ์ และเทคนิคของศิลปิน ของศลิ ปินในการแสดงออกทางทัศนศิลป์ ในการแสดงออกทางทศั นศิลป์ 4. มีทักษะและเทคนิคในการใช้วัสดุอุปกรณ์ และ  เทคนคิ วสั ดุ อุปกรณ์ กระบวนการในการ กระบวนการที่สงู ขนึ้ ในการสร้างงานทัศนศลิ ป์ สร้างงานทศั นศลิ ป์ 5. สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ  หลักการออกแบบและการจัดองค์ประกอบ โดยเน้นหลักการออกแบบและการจัดองค์ประกอบ ศิลป์ดว้ ยเทคโนโลยี ศิลป์ 6. ออกแบบงานทัศนศิลป์ได้เหมาะกับโอกาสและ  การออกแบบงานทัศนศิลป์ สถานที่ 7. วิเคราะห์และอธิบายจุดมุ่งหมายของศิลปินใน  จุดมุ่งหมายของศิลปินในการเลือกใช้วัสดุ การเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ เทคนิคและเน้ือหา เพื่อ อุปกรณ์ เทคนิคและเน้ือหา ในการสร้างงาน สร้างสรรคง์ านทศั นศิลป์ ทัศนศลิ ป์

22 8. ประเมนิ และวจิ ารณ์งานทัศนศิลป์ โดยใช้ทฤษฎี  ทฤษฎีการวิจารณศ์ ิลปะ การวจิ ารณ์ศิลปะ 9. จดั กลมุ่ งานทัศนศลิ ป์เพ่อื สะทอ้ นพฒั นาการและ  การจัดทาแฟ้มสะสมงานทัศนศิลป์ ความก้าวหนา้ ของตนเอง 10. สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ไทย สากล โดยศึกษา  การสร้างงานทัศนศิลป์จากแนวคิดและ จากแนวคดิ และวิธกี ารสรา้ งงานของศิลปินที่ตนชื่น วิธกี ารของศิลปิน ชอบ 11. วาดภาพ ระบายสีเป็นภาพล้อเลียน หรือภาพ  การวาดภาพล้อเลยี นหรือภาพการต์ ูน การ์ตูนเพอ่ื แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพสังคม ในปัจจบุ นั ภาพประกอบ 1 ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง มาตรฐาน ศ 1.1 สาระท่ี 1 ทศั นศิลป์ มาตรฐาน ศ 1.2 เข้าใจความสมั พนั ธ์ระหว่างทศั นศิลป์ ประวัตศิ าสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างาน ทศั นศลิ ป์ท่เี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ภูมปิ ญั ญาไทย และสากล ชนั้ ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.4-6 1. วเิ คราะห์ และเปรยี บเทียบงานทัศนศิลป์ใน  งานทัศนศิลปร์ ปู แบบตะวนั ออกและ รูปแบบตะวนั ออกและรูปแบบตะวนั ตก ตะวันตก 2. ระบงุ านทศั นศิลป์ของศลิ ปนิ ทม่ี ชี อ่ื เสียง และ  งานทัศนศลิ ปข์ องศิลปินทมี่ ีช่อื เสียง บรรยายผลตอบรบั ของสังคม 3. อภิปรายเกยี่ วกับอทิ ธพิ ลของวัฒนธรรมระหว่าง  อิทธพิ ลของวฒั นธรรมระหวา่ งประเทศ ประเทศทมี่ ีผลต่องานทศั นศลิ ป์ในสงั คม ท่มี ผี ลต่องานทัศนศลิ ป์ ภาพประกอบ 2 ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง มาตรฐาน ศ 1.2 3. โรงเรียนดารงราษฎร์สงเคราะห์ 3.1 ประวัติโรงเรยี น โรงเรียนดารงราษฎร์สงเคราะห์ แต่เดิมเป็นโรงเรียนประจาจังหวัดหญิง มีช่ือว่า “บารุงกุมารี” โดย เปิดสอนในสถานที่เดียวกับโรงเรียนชาย “สามัคคีวิทยาคม” พ.ศ. 2561 เปิดสอนช้ันประถมศึกษาถึงชั้น มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ตอ่ มาเมอ่ื วันท่ี 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2476 พระยาราชเดชดารง (ผล ศรตุ านนท์) และราษฎร ได้ดาเนินการให้แยกโรงเรียนมาตั้ง ณ ท่ีตั้งในปัจจุบัน ซึ่งเป็นคุ้มเจ้าหลวงเชียงราย พระยารัตนาณาเขตร์ (เจ้าหลวงน้อยเมืองไชย) ที่ถนนอุตรกิจ เปล่ียนช่ือเป็น โรงเรียนสตรีประจาจังหวัดเชียงราย “ดารงราฎร์ สงเคราะห์” ปัจจบุ นั กาหนดวันท่ี 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2476 เปน็ วนั สถาปนากอ่ ตัง้ โรงเรียน เปิดสอนตั้งแต่ชั้น ประถมศกึ ษาปีที่ 1 ถึง ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 มี นางละออง สโิ รรส เปน็ ครใู หญค่ นแรก มคี รูหญิง จานวน 4 คน ครูชาย จานวน 2 คน รวม 7 คน มีนักเรียนหญิง จานวน 80 คน นักเรียนชาย จานวน 57 คนรวมมีนักเรียน จานวน 137 คน ปี พ.ศ. 2478 เปิดโรงเรียนฝึกหัดครูประกาศนียบัตร ระดับปีท่ี 1, 2 และเปิดสอนอยู่ 2 รุ่น จึงได้ถูก ยบุ ไป

23 ปี พ.ศ. 2481-2484 ยุบชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1-4 เปิดสอนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1-6 ในปี พ.ศ. 2482 รับนักเรยี นหญงิ ท้งั หมด ปี พ.ศ. 2502 กระทรวงศกึ ษาธิการได้อนุมัติให้เปิดสอนช้ันเตรียมอดุ มศึกษา แผนกวิทยาศาสตร์ โดย จัดการเรียนการสอนแบบสหศึกษา จึงเปลี่ยนชื่อจาก โรงเรียนสตรีประจาจังหวัดเชียงราย “ดารงราษฎร์ สงเคราะห์” มาเปน็ โรงเรยี นดารงราษฎร์สงเคราะห์ จนถงึ ปัจจุบัน ปจั จบุ ัน เปดิ สอนระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1-6 มี นายสง่ ศักดิ์ เทพดวงแก้ว เปน็ ผู้อานวยการโรงเรียน 3.2 ข้อมูลนักเรียน ระดบั ชั้นเรียน จานวนห้อง จานวน (คน) มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 12 485 มัธยมศึกษาปที ่ี 2 12 455 มัธยมศึกษาปที ่ี 3 12 460 มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 12 454 มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 12 445 มธั ยมศึกษาปีที่ 6 12 427 รวม 72 2,699 ภาพประกอบ 3 ขอ้ มูลนกั เรียน โรงเรียนดารงราษฎรส์ งเคราะห์ ปีการศึกษา 2562 4. งานวจิ ยั ทีเ่ ก่ยี วข้อง 4.1 งานวิจยั ในประเทศ ฐิติศันส์ พากย์สุขี (2547) ศึกษาผลการสอนทัศนศิลป์โดยบูรณาการ การจัดการศึกษานอกสถานที่ ทมี่ ตี ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่าง ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนชัยมงคลสังกัดกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547 ที่ เรียนรายวิชาทัศนศิลป์ จานวน 48 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยซ่ึงผู้วิจัยสร้างข้ึน ได้แก่ 1) แผนการจัดการ เรียนรู้ทัศนศิลป์โดยบูรณาการการจัดการศึกษานอกสถานท่ี ประกอบด้วยขั้นเตรียมความพร้อมผู้เรียน ขั้น เดินทางไปศึกษานอกสถานท่ี ขัน้ สรปุ ผล และประยุกต์ใช้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบ สังเกตพฤติกรรมนักเรยี น 4) แบบประเมินผลงานนักเรียน และ 5) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน ทา การวเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยการหาคา่ มัชฌมิ เลขคณิต (Mean) ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าร้อยละ ค่าความถี่ และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัย ผลของการสอนทัศนศิลป์โดยบูรณาการการจัดการศึกษานอก สถานท่ีที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยยะสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากน้ีผลการวิจัย พบว่า การศึกษาดงู านศิลปะนอกสถานที่ ชว่ ยขยายขอบเขตความร้แู ละความเข้าใจของนักเรียน ที่มีต่อผลงาน ทัศนศิลป์ใหก้ ว้างขวางขึ้น การทีไ่ ดส้ ัมผสั กับผลงานศิลปะตน้ ฉบับ มสี ่วนปลกุ เร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจใคร่ รู้ และทาการสารวจวิเคราะห์ผลงานด้วยการร่างภาพ จดบันทึก และสนทนาแลกเปล่ียนความคิดเห็นต่อกัน ในขณะชมผลงานศิลปะ ในดา้ นการนาความรู้ทไี่ ด้ศึกษามาประยุกตใ์ ช้ พบวา่ วิธกี ารสร้างงานของนักเรียนส่วน ใหญ่มที ง้ั การเลยี นแบบ ดัดแปลง ผลงานของนักเรยี นมีโครงสร้างทางองค์ประกอบศิลป์ท่ีคล้ายคลึงกับผลงาน ศิลปะตน้ แบบ แต่มีการปรบั เปลีย่ นเนือ้ หา เร่อื งราว ทศั นธาตุ และเทคนิคบางประการในการสร้างงาน

24 สน วฒั นสนิ (2544) ศึกษาปญั หาการจดั การเรียนการสอนวชิ าศลิ ปศึกษา โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ินใน โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดกรมสามัญศึกษา ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลุ่มตัวอย่างประชากร ประกอบด้วยผู้บริหาร จานวน 16 คน ครูศิลปศึกษา จานวน 36 คน และปราชญ์ท้องถ่ิน จานวน 7 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามและแบบสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลในการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ด้านเน้ือหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้บริหารส่วนใหญ่มี ปัญหาปานกลางในด้านนโยบายการดาเนนิ งานและผลการดาเนนิ งาน 2) ครูศิลปะส่วนใหญ่มีปัญหาปานกลาง ในด้านการดาเนินงานและการวัดและประเมินผล และมีปัญหาน้อยในด้านจุดประสงค์การเรียนการสอน 3) ปราชญ์ทอ้ งถิ่นส่วนใหญม่ ปี ัญหาการมีสว่ นร่วมในการจัดการเรยี นการสอนวิชาศิลปศึกษา โดยใช้ภูมิปัญญา ท้องถน่ิ ได้แก่ ปราชญ์ท้องถิ่นขาดการมสี ว่ นรว่ มจดั ทาหลักสูตรและวางแผนการจัดการเรียนการสอน ร่วมกับ โรงเรียน ขาดความชานาญในวธิ กี ารสอน ไมม่ ีเวลาว่างมาสอนในโรงเรียน นักเรียนไม่ซาบซ้ึงในความงามและ คุณค่าศลิ ปะพืน้ บ้าน นกั เรียนส่วนใหญ่ไม่ต้ังใจเรียนเพราะถูกบังคับให้เรียนมากกว่าเลือกเสรี ปราชญ์ท้องถ่ิน ไม่มีโอกาสแนะนาเรอ่ื งศิลปะพน้ื บา้ นให้กับครูศิลปศกึ ษา ปราชญท์ อ้ งถนิ่ ไม่นานกั เรียนไปศึกษาในแหล่งเรียนรู้ ท้องถ่ินและปราชญ์ท้องถิ่น พบว่า ไมป่ ระสบความสาเร็จในการจัดการเรียนการสอนวิชาศิลปศึกษา โดยใช้ภูมิ ปัญญาทอ้ งถนิ่ เพราะปราชญใ์ นท้องถิ่นไม่ใช่ผ้ปู ระเมินผลงานนกั เรยี นด้วยตนเอง คนึงหา สุภานันท์ (2544) ศึกษาความคิดเห็นของครูศิลปศึกษา เก่ียวกับกิจกรรมการเรียนการสอน วิชาศิลปศึกษา ตามทฤษฎี DBAE ในหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) กลุ่มตัวอย่างประชากร คือ ครูผู้สอนศิลปะในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่สอนวิชาบังคับแกน ศลิ ปศกึ ษา สาขาทัศนศลิ ป์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ในโรงเรยี นรฐั บาล สังกดั กองการมธั ยมศึกษา กรมสามัญ ศึกษา กรุงเทพมหานคร จานวน 226 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดเลือกตอบ แบบ ประเมินค่าและแบบปลายเปดิ ซึง่ ผ้วู ิจยั สร้างข้ึนเอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย และค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ครูศิลปะมีความคิดเห็นโดยรวมเก่ียวกับกิจกรรมการเรียน การสอนวิชาศิลปะสาตามทฤษฎี DBAE ในระดับเห็นด้วย และเม่ือพิจารณารายละเอียดเก่ียวกับกิจกรรมการ เรยี นการสอนวิชาศิลปศึกษาจาแนกตามแกนความรู้ตามทฤษฎี DBAE พบว่า ครูศิลปศึกษามีความคิดเห็นใน การความรู้ต่าง ๆ ตามลาดับ ดังนี้ แกนความรู้ที่ครูศิลปศึกษาแสดงความเห็นในระดับสูงสุด คือ แกนความรู้ ด้านศิลปะปฏิบัติ (X = 4.29) รองลงมา คือ แกนความรู้ด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ (X = 4.24) แกนความรู้ด้าน สุนทรียศาสตร์ (X = 4.21) และแกนความรู้ท่ีครูศิลปศึกษาแสดงความคิดเห็นในระดับต่าสุด คือ แกนความรู้ ด้านศิลปวิจารณ์ (X = 4.16) ตามลาดับ ศักด์ชิ ัย เกยี รตินาคนิ ทร์ (2542) ศกึ ษาความสมั พันธ์ระหว่างคุณค่าศิลปกรรมกับการสร้างทัศนคติต่อ ตนเอง และความผูกพันกับชุมชน การวิจัยน้ี มีวัตถุประสงค์ เพ่ือ 1) ศึกษาเชิงวิเคราะห์คุณค่าศิลปกรรมของ ชุมชนท่ีผลิตเครื่องปั้นดินเผา 2) ศึกษาเชิงวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคุณค่าศิลปกรรม กับการสร้าง ทัศนคตติ ่อตนเองและความผูกพันกับชุมชนของชาวบ้านที่ผลิตเครื่องปั้นดินเผา 3) สร้างรูปแบบความสัมพันธ์ ระหวา่ งคณุ ค่าศลิ ปกรรมกับการสร้างทัศนคติต่อตนเอง และความผูกพันกับชุมชนการ วิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิง คณุ ภาพ ด้วยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาภาคสนาม โดยวิธี Participatory Rural Appraisal (PRA) เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก การสนทนากลุ่ม การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มี ส่วนร่วม ในชุมชนเคร่ืองปั้นดินเผาภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีลักษณะอย่างรูปแบบ ความสมั พันธ์ระหว่างคณุ ค่าศิลปกรรมกับการสรา้ งทศั นคตติ อ่ ตนเอง และความผูกพันกับชุมชนและตรวจสอบ รูปแบบโดยผู้เช่ียวชาญ ผลการวิจัย พบว่า 1) คุณค่าศิลปกรรมที่ปรากฏในชุมชนคือ 1.1) คุณค่าด้าน วัฒนธรรม 1.2) ด้านสุนทรียภาพและจริยธรรม 1.3) ด้านบุคลิกภาพและอารมณ์ 1.4) ด้านการเรียนรู้จาก

25 พฤตกิ รรมทางศลิ ปกรรม 1.5) ด้านการเรียนรทู้ างสงั คม 2) ความสัมพนั ธ์ระหว่างคณุ ค่าศิลปกรรมกับการสร้าง ทัศนคติต่อตนเองและความผูกพันกับชุมชน พบว่า 2.1) ทางชุมชนเรียนรู้คุณค่าศิลปกรรมโดยเช่ือมโยง ความคิดกับประวัติศาสตร์และความรู้ดั้งเดิมท่ีเป็นรากฐานของตน ก่อให้เกิดความเข้าใจการตัดสินใจได้เอง ความมน่ั ใจ ความภาคภูมใิ จ และความมีเกยี รตภิ ูมิ จะสง่ ผลใหเ้ กิดทศั นคตติ ่อตนเองในเชิงบวก และหากชุมชน เกิดความคุ้นเคยกับแบบแผนทางสังคม ก่อให้เกิดความเช่ือมั่นการยอมรับการปรับตัวต่อพฤติกรรมภายใน ชุมชนได้ ความพอใจและความรู้สึกเป็นเจ้าของชุมชนส่งผลให้เกิดความผูกพันกับชุมชนมาก 2.2) หากชุมชน เรียนรู้คุณค่าศิลปกรรมโดยเชื่อมโยงความคิดและความรู้ใหม่ภายนอกชุมชน ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจ การ ตดั สนิ ใจเองไมไ่ ด้ ความไมม่ นั่ ใจ ความไม่ภูมิใจ และขาดเกียรติภูมิ จะส่งผลให้เกิดทัศนคติต่อตนเองในเชิงลบ และหากชุมชนเกิดความไม่คุ้นเคยกับแบบแผนทางสังคมก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่น การวางเฉย การปรับตัว ไม่ได้ ตอ่ พฤติกรรมภายใตช้ มุ ชน ความไมพ่ อใจและความไมร่ สู้ กึ เปน็ เจา้ ของชุมชน สง่ ผลให้เกิดความผูกพันกับ ชุมชนน้อย และ 3) รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างคุณค่าศิลปกรรมกับการสร้างทัศนคติต่อตนเองและความ ผูกพันกับชุมชน พบว่า คุณค่าศิลปกรรมส่งผลต่อการสร้างทัศนคติต่อตนเอง พร้อมกับความผูกพันกับชุมชน และเปน็ ไปในทิศทางเดยี วกนั อย่างมีเหตุผล เกิดทัศนคติต่อตนเองในเชิงบวกจะเกิดความผูกพันกับชุมชนมาก แตถ่ า้ เกิดทศั นคติต่อตนเองในเชงิ ลบจะเกิดความสมั พันธก์ บั ชมุ ชนนอ้ ย อนุชติ หนูเอียด (2546) ศกึ ษาคุณคา่ ประติมากรรมไทย ตามการรับรู้ของอาจารย์และนักศึกษาระดับ ปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์ เพ่ือการศึกษา คุณค่าทางประติมากรรมตามการรับรู้ของอาจารย์และนักศึกษา ระดับปริญญาตรี คณะศิลปกรรม สถาบัน เทคโนโลยรี าชมงคล การศึกษาค้นคว้าประตมิ ากรรมไทย เกีย่ วกบั คณุ ค่าประติมากรรมไทย 5 ด้าน คุณค่าด้าน ศิลปกรรม ด้านประวัติศาสตร์ ด้านภูมิปัญญา ด้านศิลปวัฒนธรรม และลัทธิความเชื่อและขนบนิยม ตัวอย่าง ประชากรทีใ่ ช้ในการวจิ ัย ประกอบด้วย อาจารย์หลักสูตรศิลปะบัณฑิต คณะศิลปกรรมสถาบันเทคโนโลยีราช มงคล จานวน 13 คน และนักศึกษาระดบั ปรญิ ญาตรี คณะศิลปกรรม สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล บัณฑิตช้ันปี ท่ี 1 ถึงชน้ั ปีท่ี 4 จานวน 307 คน เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ัย ไดแ้ ก่ แบบสัมภาษณ์และสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เนื้อหา หาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต และค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบวา่ อาจารยผ์ สู้ อนมคี วามคิดเห็นเก่ียวกับคุณค่าประติมากรรมไทยในด้านคุณค่าทางศิลปกรรม และคติความเชื่อและขนมนิยมมากท่ีสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา และด้าน ศิลปวัฒนธรรมตามลาดบั ส่วนนักศึกษามคี วามคิดเห็นโดยรวม กับคุณค่าประติมากรรมไทย ในระดับเห็นด้วย (X = 4.36) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง ในด้าน ศลิ ปวัฒนธรรม (X = 4.53) นอกนั้น อยู่ในระดบั เห็นดว้ ย กล่าวคือ ด้านคติความเช่ือและขนบนิยม (X = 4.39) ด้านศิลปกรรม (X = 4.34) ด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ (X = 4.30) และด้านภูมิปัญญา (X = 4.21) ตามลาดับ นอกจากน้ี อาจารย์ผู้สอนได้ให้ข้อเสนอแนะในเรื่องการสร้างจิตสานึก ในการเผยแพร่และอนุรักษ์ ประติมากรรมไทย ส่วนนักศึกษาได้เสนอแนะแนวเร่ืองการตระหนักถึงคุณค่าของประติมากรรมไทยด้าน ประวัตศิ าสตร์ ซึ่งแสดงถงึ ววิ ัฒนาการและการบนั ทกึ เหตกุ ารณ์ทางประวตั ศิ าสตร์ของงานประติมากรรมไทย ศักดา บุญยืน (2546) ศึกษาความคิดเหน็ เกย่ี วกับศิลปะแกะสลักไมใ้ นหอไตร ภาคอีสานตอนลา่ ง การ วจิ ยั คร้ังนี้ มีวตั ถุประสงค์ เพ่ือศกึ ษาความคิดเห็นเกย่ี วกบั คณุ ค่าศลิ ปะแกะสลักไม้ในหอไตร ภาคอสี านตอนล่าง ของผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์ และนักศึกษา ระดับปริญญาตรี โปรแกรมวิชาศิลปศึกษา และโปรแกรมวิชา ศลิ ปกรรม สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี ใน 4 ด้าน คอื คณุ ค่าทางภูมิปัญญาของชุมชน คุณค่าต่อวิถีชีวิตชุมชน คุณค่าทางประวัติศาสตร์ และคุณค่าทางการศึกษากลุ่มประชากรและตัวอย่างประชากรที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยผู้เช่ยี วชาญงานศิลปะแกะสลักไม้ จานวน 6 คน อาจารย์โปรแกรมวิชาศิลปกรรม จานวน 8 คน

26 และนักศึกษาโปรแกรมวิชาศิลปกรรม ระดับปริญญาตรี จานวน 117 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมี โครงสร้างสาหรับผู้เช่ียวชาญ และแบบสอบถามสาหรับอาจารย์และนักศึกษา ซ่ึงเป็นแบบตรวจสอบรายการ แบบประเมินค่าและแบบปลายเปิด วเิ คราะห์ข้อมูลโดยการหาคา่ ความถี่ คา่ ร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) ผู้เชี่ยวชาญท่ีเป็นช่างพื้นบ้านส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่าศิลปะ แกะสลักไม้ในหอไตร เป็นงานศิลปะเชิงช่างของช่างพ้ืนบ้านอีสานตอนล่าง ที่สร้างสรรค์ขึ้นจากความเช่ือ ศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา แสดงถึงภมู ปิ ัญญาของช่าง และเอกลกั ษณข์ องงานศิลปะเชิงช่างอีสานตอนล่าง จาก รปู แบบ เนื้อหา เร่อื งราว และลวดลายทีเ่ กดิ จากการผสมผสานรูปแบบทางศิลปะระหว่างสกุลช่างบางกอก กับ สกุลช่างพื้นบ้าน สะท้อนถึงวิถีชีวิตวิถีสังคมขนบธรรมเนียมประเพณี ประวัติศาสตร์ของชุมชน และมีคุณค่า ควรแก่การศึกษา เพือ่ ธารงรักษาไวซ้ ่ึงเปน็ มรดกวฒั นธรรมทดี่ ีงามของชมุ ชนและของชาติ 2) ผู้เชี่ยวชาญที่เป็น นักวชิ าการสว่ นใหญม่ คี วามคดิ เหน็ วา่ ศิลปะแกะสลกั ไม้เปน็ งานสรา้ งสรรคท์ างภูมปิ ญั ญา เพ่ือตอบสนองความ เช่ือในพระพุทธศาสนา แสดงออกถึงภูมิปัญญาในการคิดการแก้ปัญหาทางด้านการออกแบบ ด้านวัสดุ และ ดา้ นเครอื่ งมือ สะทอ้ นถงึ วถิ ีการดาเนนิ ชวี ิตตามแนวพระพทุ ธศาสนา และจารีตประเพณีเฉพาะถ่ินดั้งเดิม เป็น เครื่องเช่ือมโยงและสร้างความผูกพันของคนในชุมชนมีสาระท่ีสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของชุมชนและ ประวัติศาสตร์ด้านศิลปะเชิงช่างท้องถ่ิน เป็นมรดกและขุมทรัพย์ทางภูมิปัญญาท่ีมีคุณค่าแก่การศึกษา 3) อาจารย์และนกั ศึกษามคี วามคดิ เห็นเกีย่ วกับคุณค่าของงานศิลปะแกะสลักไม้ ทั้ง 4 ด้าน คือ คุณค่าทางภูมิ ปญั ญาแห่งชุมชน คณุ คา่ ตอ่ วิถีชีวิตและชมุ ชน คณุ คา่ ทางประวัติศาสตร์ และคุณค่าทางการศึกษา อยู่ในระดับ มาก นอกจากนผ้ี ูเ้ ช่ียวชาญ อาจารย์ และนักศกึ ษาโปรแกรมวิชาศิลปกรรม ได้เสนอแนะวา่ ศลิ ปะแกะสลักไม้ใน หอไตร ภาคอีสานตอนล่าง เป็นศิลปะที่ควรค่าแก่การศึกษาและการอนุรักษ์ ควรมีการนาเข้าสู่กระบวนการ ศึกษาในสถาบนั การศึกษาระดบั ตา่ ง ๆ โดยจดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสม ให้ผู้เรียนและเยาวชนได้ เหน็ คุณคา่ และความสาคัญ มคี วามสานกึ และตระหนักในการอนุรกั ษส์ ืบทอดตอ่ ไป 4.1 งานวิจยั ตา่ งประเทศ แมนดิ แพทริเซีย (2007) ได้ทาการวิจัย เร่ือง ผลตอบสนองของครูศิลปะ ระดับมัธยมศึกษาต่อ หลักสตู รทัศนศลิ ปท์ ไ่ี ดร้ ับการอนมุ ัตจิ ากรฐั นิวยอร์ก การวิจัยครง้ั นี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้กรณีศึกษา เพ่ือท่ีจะสารวจถึงผลสะท้อนของครูศิลปะ ระดับชั้นมัธยมศึกษา ต่อการจัดการศึกษาด้านศิลปะ ท่ีได้รับการ อนุมัติจากส่วนการศึกษาของรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างแนวคิดที่เป็นการปรับปรุงให้ดีขึ้น และใน ส่วนของความคิดเหน็ ทีไ่ ม่ตรงกนั ของครู ทีต่ ้องการความเปน็ อสิ ระ และผู้บริหารท่ีต้องการควบคุม คาถามท่ีใช้ ถามครผู ้สู อนวชิ าทัศนศลิ ปร์ ะดับมัธยมศกึ ษา ใชค้ าถามหลกั ๆ เกย่ี วกับการจัดการเรียนการสอนความสัมพันธ์ ระหว่างครูกับนกั เรียน ประสบการณ์เกีย่ วกบั ศลิ ปะของนกั เรียน สถานภาพของการศกึ ษาทางศิลปะ และความ เป็นมืออาชพี ของครศู ิลปะ ครูผู้สอนวิชาศิลปะ ระดับมัธยมศึกษาใน ควีน นิวยอร์ค จานวน 15 คน แต่ละคน จะถูกสัมภาษณ์ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์นามาแปรผลและวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การวิเคราะห์ถึงความพึงพอใจ ในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่คาดหวังตามทฤษฎี ผลจากการสัมภาษณ์ ครูผู้สอนวิชาทัศนศิลป์ส่วนใหญ่ พบว่า หลักสูตรใหม่ช่วยให้หลักสูตรน้ันเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายท่ี ชัดเจนและมกี ารวางแผนกิจกรรมศลิ ปะ คดิ วา่ หลกั สูตรน้ันยกระดับสถานภาพของความสัมพันธ์ของศิลปะกับ เนือ้ หาวิชาทเี่ ป็นวิชาการด้านอ่ืน ๆ จดุ สาคัญและโครงสร้างของหลกั สูตรทาใหค้ วามสัมพันธ์ของครูกับนักเรียน ดขี นึ้ และช่วยสรา้ งประสบการณ์ทางศิลปะให้แก่นักเรียนมากย่ิงขึ้น ครูศิลปะให้ข้อเสนอแนะว่าหลักสูตรใหม่ นั้นทาให้ยกระดับความเป็นมืออาชีพของพวกเขา และทาให้ความสัมพันธ์ของศิลปกรรมหลักสูตรการศึกษา อ่ืน ๆ มีระดับท่ีสูงขึ้น การดาเนินการตามหลักสูตรใหม่น้ันแสดงให้เห็นถึงความสาเร็จ เพราะว่าได้รับการ ออกแบบวางแผนจากนักการศึกษาด้านศลิ ปศกึ ษา ทไ่ี ด้เตรียมโครงสรา้ งใหค้ รูผู้สอน ส่ิงที่เพิ่มขึ้นคือพัฒนาการ

27 หลกั สตู รวชิ าศิลปะ ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษา มีแนวโน้มท่ีจะเพิ่มเติมในเร่ืองของวิชาศิลปะ อันท่ีเกี่ยวข้องกับวิชา พนื้ ฐานด้านอ่ืน ๆ สง่ิ ที่ค้นพบแสดงให้เห็นว่าหลักสูตรศิลปะถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ผู้ใช้ก็ให้การสนับสนุน และมกี ารตอ่ ตา้ นเพยี งเลก็ น้อย เจนนเิ ฟอร์ คิงส์ (2007) ได้ทาการวจิ ยั เรือ่ ง ความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปศึกษา ของนักเรียนในเขตเมือง บทบาท คุณค่า และความสาคัญต่อการดารงชีวิต ความคิดเห็นท่ีไม่ตรงกัน เกี่ยวกับคุณค่า ความสาคัญของ ศลิ ปศกึ ษาท่ีมอี ย่ใู นปัจจบุ นั เบ้อื งหลังพนื้ ฐานความคิดทางการศึกษา ได้จัดสาขาวิชาทางด้านศิลปะอยู่ในส่วน สุดทา้ ย หรือไมก่ ็ถูกตัดท้ิงไป นักเรียนในโรงเรียนรัฐบาลผู้ที่เป็นกุญแจสาคัญของศิลปศึกษา ถูกกีดกันจากการ สนับสนุนให้เข้าใจเกี่ยวกบั คุณค่าของศิลปะ โดยการพดู คยุ อย่างไมเ่ ป็นทางการ การศกึ ษาคร้ังน้ีเป็นการสืบสาน ความเข้าใจของนักเรียนระดบั ประถมศกึ ษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ในเขตเมืองเก่ียวกับคุณค่าของวิชาศิลปะ คาถามนน้ั ครอบคลมุ ถงึ การคน้ หาความเข้าใจ พืน้ ฐานเกยี่ วกบั ระดับของการรับรู้คุณค่าวิชาศิลปะท่ีควรจะเป็น ของนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น คาถามในตอนที่ 2 เป็นการเปรียบเทียบคุณค่าของ วชิ าศิลปะกบั เนื้อหาวิชาอน่ื ๆ ในโรงเรยี น และอะไรคือบทบาทของศิลปะทีใ่ ห้การสนับสนุนการแสดงออกของ นักเรียน ซ่ึงสรุปจากการศึกษารายกรณีในเชิงลึก จากสัมภาษณ์นักเรียน จานวน 10 คน โดยใช้ข้อมูลหลาย ส่วน ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู จากพ่อแม่ ครู ผบู้ ริหารโรงเรยี น การสังเกตภายในหอ้ งเรยี น และวเิ คราะหจ์ ากเอกสารต่าง ๆ ขอ้ มลู ทไ่ี ดน้ ามาวเิ คราะหโ์ ดยใชก้ ารวเิ คราะห์จากคาอธบิ ายที่ตรงกับสาระสาคัญ ในหัวข้อท่ีกาหนดให้นักเรียน มีความรคู้ วามเขา้ ใจเกี่ยวกบั ศิลปะ ในฐานะที่มีความพิเศษและเป็นวิชาท่ีมีคุณค่าในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบ กับวิชาอื่น ๆ ส่ิงท่ีค้นพบแสดงให้เห็นถึงศิลปศึกษาเป็นวิธีการท่ีทาให้เด็กนักเรียนน้ันได้แสดงออกอย่างเป็น ธรรมชาติ และสนับสนุนให้นักเรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง และเป็นการขยายหนทางสู่ความสาเร็จของ นักเรียน การเปล่ยี นแปลงทางสังคมนั้นเป็นผลกระทบอย่างมาก ต่อการวางแผนกาหนดหลักสูตรอันที่จะเป็น การเพิ่มประสบการณ์สาหรับนักเรียนในเขตเมือง ที่จะประสบความสาเร็จ และมีความเช่ือมั่นในตนเองของ พวกเขา แทรคซี ลี คอสแทนติโน (2005) ได้ทาการวิจัย เรื่อง การสอนท่ีส่งเสริมประสบการณ์สุนทรียะคู่กับ กรณีศึกษาเกี่ยวกับสื่อ ท่ีมีอิทธิพลเกี่ยวกับหลักสูตรและอาชีพครู ท่ีเกิดกับประสบการณ์ในการเ ที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ทางศิลปะของนักเรียน การศึกษาครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้และคุณค่าของ ประสบการณ์สุนทรียะ ที่อยู่ภายในศิลปศึกษา ยังมีลักษณะเฉพาะตัวเม่ือนักเรียนได้พบผลงานทัศนศิลป์ใน พิพิธภัณฑ์ศิลปะ อะไรที่ทาให้ประสบการณ์น้ันเกิดขึ้นได้ และมีวิธีการอย่างไรในการให้ความรู้ หลักสูตรที่ เก่ียวขอ้ งกับวิชาศิลปะ ครูจะทาอย่างไรและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมท่ีเป็นเค้าโครงของประสบการณ์ ส่วนคาพูด อื่น ๆ เชน่ ประสบการณ์ของนกั เรยี นจะเป็นอยา่ งไร อันเก่ยี วกับโครงสรา้ งของงานศิลปะตลอดจนกระบวนการ ของครู รวมถึงการแลกเปล่ียนความคิดเห็นของนักเรียนต่อลักษณะท่าทางหรือวัสดุต่าง ๆ ท่ีปรากฏในงาน ศิลปะจะทาอย่างไร กระบวนการของครูและการจัดหลักสูตรท่ีมีโครงสร้าง ท่ีช่วยให้นักเรียนมีความรู้ความ เข้าใจถงึ บทบาทของการทางานศลิ ปะ ทเ่ี ปน็ ผลมาจากประสบการณอ์ ันเป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอน ระดับขั้นของการศึกษาถึงธรรมชาติประสบการณ์นักเรียนท่ีได้สัมผัสกับศิลปะ ในพิพิธภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 2 กรณี (Stake,1995) ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2002 ได้พานักเรียนเกรด 5 และ เกรด 6 ไปที่สถาบันศิลปะแห่งเมือง ชคิ าโก โดยมวี ธิ กี ารในการศึกษา ประกอบด้วย การสังเกตพฤติกรรมของครูและนักเรียนขณะอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ การสัมภาษณค์ รแู ละนักเรียน และการวเิ คราะห์เอกสาร ได้แก่ รายงานของนักเรียน ผลงานศิลปะของนักเรียน และแผนการจัดการหน่วยการเรียนรู้ของครู ตามทฤษฎีของ จอห์น ดิวอ้ี และ แฮน จอร์ด การิดาเมอร์ ซึ่ง เกย่ี วกบั ประสบการณ์สุนทรียะ ที่กล่าวว่า การศึกษาที่เกี่ยวเนื่องกับความเจริญและการอธิบายและการแปล ความหมายแต่ละคน กาหนดแบบแผนทางทฤษฎีในการศึกษาถึงประสบการณ์สุนทรียะของนักเรียน ภายใต้

28 การจัดการศึกษาโดยใช้พิพิธภัณฑ์ศิลปะ การศึกษาครั้งน้ี แสดงถึงความต้องการที่จะทราบถึงศิลปะและ ประสบการณ์สนุ ทรียะในฐานะท่เี ปน็ ปจั จยั พน้ื ฐานของมนษุ ย์ โดยพยายามท่ีจะสืบคน้ ถงึ ความเปน็ ไปได้ที่จะจัด การศึกษาให้เห็นถึงคุณค่าของประสบการณ์สุนทรียะสาหรับเยาวชน ซ่ึงมีวัตถุประสงค์ท่ีจะช่วยทาให้เกิดผล บางอยา่ งต่อสิง่ ทเ่ี กิดข้นึ จากความพยายามของนักวิชาการ ดงั ท่ี เอลเลียต ไอสเนอร์ ที่ค้นหาถึงความเข้าใจใน เน้ือแท้ของคุณค่าศิลปะ สาหรับด้านการศึกษา โดยอธิบายถึงประสบการณ์สุนทรียะอย่างเฉพาะเจาะจง จึง เปน็ ไปได้วา่ มันมคี ณุ คา่ ทางดา้ นการศกึ ษา อนั ท่แี สดงใหเ้ หน็ ถึงศกั ยภาพที่ซ่อนเร้นอยลู่ ึก ๆ ภายใต้ความเข้าใจ ที่มีอยู่ในตัวเองและประสบการณ์ของมนุษย์ ผู้วิจัยได้อธิบายถึงวิธีการท่ีจะเพิ่มศักยภาพทางการศึกษาที่ เก่ยี วกับประสบการณ์สุนทรียะ ฮบั บารด์ (2004) ได้ศึกษา เร่ือง ประสบการณ์ทางสุนทรียะส่วนบุคคล วัยรุ่นกับการได้สัมผัสผลงาน ศิลปะของอิซามุ โนกุชิ (Isamu Noguchi) หลักการและเหตุผลของการวิจัยสืบเนื่องจาก แนวโน้มของการ วัดผลในการศกึ ษาทางดา้ นศลิ ปะนัน้ สว่ นใหญ่จะม่งุ ไปท่ีกระบวนการและผลงานท่ีตรวจสอบได้ และการสอบ ตามเกณฑท์ ีเ่ ปน็ มาตรฐานการศกึ ษา ทางด้านสนุ ทรียศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน ท่ีมักจะตัดสินในวิธีการซึ่งเก่ียวกับ ผลงานศิลปวัตถุทชี่ ่วยพัฒนาทักษะของนักเรียนด้านการรับรู้ อันมีผลต่อการช่วยให้คะแนนสอบของนักเรียน สูงขนึ้ การประเมนิ ผลในรูปแบบน้ีจะทาได้โดยใชเ้ นื้อหาแบบถาวร ทีเ่ กย่ี วกบั ขอบเขตของสุนทรียศาสตร์ในการ ให้การศกึ ษา ซง่ึ ปราศจากหลักการพจิ ารณาความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อศิลปะ วัตถุประสงค์ของการวิจัยน้ี เพื่อ ปลูกฝังนิสัยและค่านิยมในประสบการณ์ทางสุนทรียะของเยาวชน ด้วยกันเน้นไปท่ีมิติของบุคคลต่อการ เผชิญหน้ากับผลงานศิลปะ และมงุ่ ประเด็นไปท่ีลักษณะพิเศษของการสารวจศิลปะ ที่เกี่ยวกับพัฒนาการและ ความเจริญงอกงามของนกั เรียนการ ทดสอบประสบการณ์ของนักเรียนที่มีต่อผลงานศิลปกรรมของโนกุชิ เผย ให้เห็นถึงลักษณะที่เหมือนกันบางประการของโครงสร้างทางความคิด ในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ชมกับ ผลงานศลิ ปะนานกิง (Nanjing) ผลงานศิลปะได้กลายเป็นสัญลักษณ์และสาระสาคัญที่มีความหมายต่อมนุษย์ ซึ่งอยูภ่ ายในค่านยิ มของเยาวชนผู้ชมงาน มากกว่าน้ันผลการวิเคราะห์ พบว่า ประสบการณ์ทางสุนทรียะของ เยาวชนผู้ชมงานได้แสดงให้เห็นมิติท่ีหลากหลาย ประกอบด้วยความสับสน แก่นแท้ของตัวบุคคลและการ ตอบสนองทางอารมณ์ อีกท้ังมันได้กลายเป็นหลักฐานสาคัญที่ชัดเจนว่า ความหมายของผลงานศิลปะไม่ สามารถแยกย่อยไปสู่ความคิดเดียว แต่เป็นการประกอบขึ้นด้วยหลาย ๆ ระดับช้ันของความคิด ความรู้สึก สัมผัส และพ้ืนฐานทางอารมณ์ ข้อเสนอแนะท่ีได้จากการวิจัย คือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนผู้ชมงานกับ ผลงานศิลปกรรมทั้งหลาย สามารถใหผ้ ลในด้านการสร้างสรรค์ของส่งิ ใหม่ ๆ และเตม็ ไปดว้ ยพลังของขีดความรู้ ซึ่งสง่ ผลนาไปสู่ความตระหนักในการรับรู้และการเปลี่ยนแปลงภายในตัวมนุษย์ เป็นส่ิงท่ีอาจเรียกได้ว่าความ ต่อเนอ่ื งของประเพณแี ละวัฒนธรรม บทสรปุ ศิลปศึกษาในหลักสูตรโรงเรียน ถือเป็นปัจจัยท่ีสาคัญขององค์ประกอบการจัดการศึกษาเพื่อการ พัฒนาผู้เรียนใหเ้ ข้าถึงและมีความเปน็ มนษุ ยท์ ี่สมบูรณ์ นอกเหนอื ไปจากการเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ การศึกษา ศิลปะในศิลปศึกษาคือการสร้างความสุนทรีย์ให้กับชีวิต ท่ีผ่านประสบการณ์ทางศิลปะ คุณค่าศิลปะมี ความสาคญั ยิ่งในระบบการจดั การศกึ ษา หรอื วา่ ศลิ ปะเปน็ ส่งิ จาเป็นท่จี ะเสรมิ สร้างสติปัญญาให้แก่ชีวิต เพราะ ศิลปะจะบอกให้ทราบถึงสภาวะของชีวิตและอารยธรรมของคนในชาติ ที่มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเน่ืองใน รูปแบบต่าง ๆ ศิลปะจึงเปน็ แกนกลางหรือส่ือสาคัญในการประสานให้เกิดความงอกงาม ความกลมเกลียว ใน

29 สังคมประเพณีและพฤติกรรมของคนในสังคม ศิลปะไม่สามารถแบ่งแยกออกไปจากประสบการณ์ชีวิตของ มนุษยไ์ ด้ ศิลปะคือประสบการณ์ที่ส่งเสรมิ สมรรถภาพสุนทรียภาพของมนุษย์ ทัศนศิลป์ในศิลปศึกษา เป็นวิชาพ้ืนฐานท่ีสาคัญของการปลุกจิตสานึกและพัฒนาการรับรู้ผ่าน ประสบการณ์ทางศิลปะ ที่มีต่อสิ่งที่อยู่รอบตัว ตลอดจนภูมิหลังต่าง ๆ ที่เป็นมรดกชุมชน ก่อให้เกิดความ ตระหนักต่ืนตัว ทันเหตุการณ์ และสิ่งแวดล้อมท่ีอยู่รอบตัว ก่อเกิดสมรรถภาพทางความงาม กล้าคิด กล้า แสดงออกอยา่ งสร้างสรรค์ จากจนิ ตนาการอย่างมเี หตผุ ล เป็นพลงั สร้างสรรค์งานศิลปะของตนท่ีแสดงความคิด และความภาคภมู ิใจในความเป็นตัวตนของตนเอง

บทท่ี 3 วธิ ดี าเนนิ การวิจยั งานวิจยั ในช้นั เรียน เรื่อง “การศึกษาความคดิ เหน็ เก่ยี วกับคณุ ค่าทางศิลปะ รายวชิ าศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.1” มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคิดเห็น เกย่ี วกบั คุณคา่ ศลิ ปะตามการรับร้ขู องนกั เรยี น ในคุณคา่ ศิลปะ 5 ด้าน ดังน้ี 1. คณุ ค่าศลิ ปะในหลักสูตรศิลปศึกษา 2. คุณคา่ ศิลปะต่อการพัฒนาด้านจติ ใจ 3. คณุ ค่าศลิ ปะตอ่ การสง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์ 4. คุณคา่ ศิลปะต่อการเสริมสรา้ งความสนุ ทรยี ์ 5. คุณคา่ ศิลปะต่อการมสี ่วนรว่ มและจติ สานกึ สาธารณะ การวิจัยครั้งน้ี เป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) ดาเนินการเกบ็ ข้อมูลจากกล่มุ ตัวอยา่ ง ซงึ่ เป็นนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ทเี่ รียนในรายวิชาศลิ ปะ 2 รหสั วชิ า 31102 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนดารงราษฎร์สงเคราะห์ ข้อมูลท่ีได้มาวิเคราะห์โดยการแจกแจงความถ่ี หาค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) โดยมวี ิธดี าเนินการวิจยั ตามข้นั ตอน ดงั ต่อไปน้ี 1. ศกึ ษาขอ้ มูลเบ้ืองต้น 2. กาหนดกลุม่ ตวั อยา่ งท่ีใช้ในการวิจัย 3. สร้างเครื่องมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั 4. ขัน้ ตอนการสร้างเคร่อื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั 5. เกบ็ รวบรวมข้อมลู 6. วิเคราะหข์ อ้ มลู 7. สรุปผลการวจิ ยั อภปิ รายผลการวจิ ยั และนาเสนอข้อเสนอแนะ 1. การศกึ ษาขอ้ มูลเบื้องต้น ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลเบ้ืองต้นจากข้อมูลเอกสาร งานวิจัยที่เก่ียวข้องกับคุณค่าศิลปะ กลุ่มสาระการ เรียนรู้ศิลปะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และโรงเรียนดารงราษฎร์ สงเคราะห์ เพือ่ เปน็ แนวทางในการทาวจิ ยั 2. กาหนดกลมุ่ ตัวอย่างการวิจัย ประชากรทใ่ี ชใ้ นการวิจยั คือ นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนดารงราษฎร์สงเคราะห์ ท่ีเรียนในรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2562 จานวนประชากรทง้ั หมด 207 คน กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใช้ในการวจิ ัย คอื เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ที่เรียนในรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา31102 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2562 จานวน 30 คน แบง่ เป็นเพศชาย จานวน 9 คน และเพศหญงิ จานวน 21 คน โดยได้มาจาก การจับฉลาก

31 ใช้แบบสอบถาม จานวน 30 ฉบับ ได้รับแบบสอบถามกลับมา จานวน 30 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100.00 3. เครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ในการวิจัย แบบสอบถาม เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวิจยั คร้ังนี้ ผ้วู จิ ัยได้สร้างข้ึนโดยศึกษาจากเอกสาร ตารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับคณุ ค่าทางศลิ ปะ เพ่ือเปน็ แนวทางในการสรา้ งแบบสอบถามให้ครอบคลุม โดยแบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังน้ี ตอนที่ 1 แบบสอบถามสถานภาพของผู้เรียน เป็นแบบตรวจสอบคาตอบ (Checklist) และเติมคาใน ชอ่ งว่าง (Questionnaire) ตอนท่ี 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับคุณค่าศิลปะ ในรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา31102 ระดับช้ัน มธั ยมศึกษาตอนปลาย เป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating scale) ซ่ึงแบ่งเป็นคุณค่าทางศิลปะ 5 ด้าน ดังน้ี 1. คณุ ค่าศลิ ปะในหลกั สตู รศลิ ปศึกษา 2. คุณคา่ ศลิ ปะตอ่ การพฒั นาด้านจิตใจ 3. คุณคา่ ศิลปะตอ่ การสง่ เสริมความคิดสรา้ งสรรค์ 4. คุณคา่ ศลิ ปะต่อการเสริมสรา้ งความสนุ ทรยี ์ 5. คณุ คา่ ศิลปะต่อการมสี ว่ นร่วมและจติ สานกึ สาธารณะ ตอนท่ี 3 แบบสอบถามขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เตมิ เปน็ แบบปลายเปิด (Open end) 4. ขั้นตอนการสร้างเครอื่ งมอื ที่ใช้ในการวิจยั 1. ศึกษาข้อมูลจากเอกสาร ตารา และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับคุณค่าศิลปะ ในรายวิชาศิลปะ 2 รหัส วชิ า 31102 กลมุ่ สาระการเรยี นร้ศู ลิ ปะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และ ขอคาแนะนาจากผู้เช่ยี วชาญตรวจสอบเคร่อื งมอื 2. สร้างแบบสอบถามให้ครอบคลุมเนื้อหาท่ีเกี่ยวข้องกับคุณค่าศิลปะ นาเครื่องมือท่ีสร้างขึ้นตรวจ แก้ไขเพิ่มเติม โดยผู้เช่ียวชาญเพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหา ความถูกต้อง ความชัดเจนของภาษา การใช้ถ้อยคา ตลอดจนความน่าสนใจของแบบสอบถาม เพอื่ ปรบั ปรงุ ใหส้ มบูรณ์ยง่ิ ขึ้น 3. นาเคร่ืองมือที่สร้างขึ้นให้ผู้เช่ียวชาญ จานวน 3 ท่าน ได้พิจารณาตรวจสอบแก้ไขความเที่ยงของ เนื้อหา ความครอบคลุมของเนื้อหา การใช้ภาษาแต่ละข้อความ แล้วนามาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยมเี กณฑ์พจิ ารณาเลอื กผเู้ ชี่ยวชาญในการตรวจแกไ้ ขเครื่องมือในครงั้ น้ี ดังนี้ 3.1 เปน็ ผทู้ าการสอนกลุ่มสาระการเรยี นร้ศู ิลปะ ไม่น้อยกว่า 5 ปี 3.2 เปน็ ครผู สู้ อนรายวิชาศลิ ปะ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ไมน่ ้อยกว่า 5 ปี 4. นาแบบสอบถามท่ีได้ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ตามข้อเสนอแนะของผู้เช่ียวชาญ มา ปรับปรงุ ตรวจสอบอกี ครัง้ 5. นาแบบสอบถามที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้ (Try-out) กับกลุ่มตัวอย่างอีกกลุ่ม ซึ่งมีคุณสมบัติ คล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างที่จะทาการศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4.2 ท่ีเรียนในรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ที่ไม่ใชก่ ลุ่มตัวอยา่ ง จานวน 33 คน เพ่ือหาข้อบกพร่องของแบบสอบถามท่ีใช้ในการวิจัยที่ อาจจะเกดิ ขึ้นในการตอบคาถาม เช่น ความยากง่ายของข้อคาถาม การใช้ภาษาและถ้อยคา รวมทั้งเวลาเฉล่ีย ของการตอบแบบสอบถาม เพือ่ แก้ไขปรับปรุงใหม้ คี วามเหมาะสมย่ิงข้ึน

32 6. นาแบบสอบถามที่ใช้ทดลอง มาหาค่าความเช่ือมั่นของแบบสอบถาม (Reliability) โดยวิธีหาค่า สมั ประสทิ ธ์ิแอลฟา (Coefficient Alpha) ของครอนบาค (Cronbach) ไดค้ า่ ความเชอ่ื มั่น .93 7. นาแบบสอบถามท่ีสมบูรณ์ ไปใช้เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างจริง แล้วจึงนาข้อมูลท้ังหมดทาการ วเิ คราะหผ์ ลตอ่ ไป 5. การเก็บรวบรวมข้อมลู แบบสอบถาม 1. ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเอง และนาแบบสอบถามท่ีได้รับคาตอบแล้วมารวบรวม ดงั น้ี นาแบบสอบถามท่ีได้รับคาตอบ มารวบรวมคะแนนความคิดเหน็ ดงั น้ี เห็นดว้ ยมากท่ีสดุ คา่ คะแนนเทา่ กับ 5 เหน็ ด้วยมาก คา่ คะแนนเทา่ กับ 4 เหน็ ดว้ ยปานกลาง คา่ คะแนนเท่ากบั 3 เห็นดว้ ยน้อย ค่าคะแนนเท่ากบั 2 เห็นดว้ ยนอ้ ยท่ีสุด คา่ คะแนนเทา่ กบั 1 เมือ่ วิเคราะห์ค่าเฉลี่ยแลว้ นาไปเปรยี บเทยี บเกณฑ์เพือ่ แปลความหมายคะแนน ดงั น้ี คา่ คะแนนเฉล่ีย หมายถึง 4.50-5.00 มีระดบั ความเห็นดว้ ยมากทสี่ ุด 3.50-4.49 มีระดบั ความเห็นด้วยมาก 2.50-3.49 มรี ะดบั ความเห็นดว้ ยปานกลาง 1.50-2.49 มีระดบั ความเห็นดว้ ยนอ้ ย 1.00-1.49 มีระดับความเห็นดว้ ยนอ้ ยท่ีสดุ 6. การวเิ คราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยใช้โปรแกรม Microsoft Excel 2010 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หาคา่ เฉลย่ี (̅) รอ้ ยละ (Percent) ค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ตามลกั ษณะของเครือ่ งมอื ข้ันตน้ ดังน้ี ข้อมลู จากแบบสอบถามวเิ คราะห์ข้อมูลดว้ ยวิธีสถิติ ดงั นี้ ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู เกี่ยวกบั สภาพท่วั ไป ของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวข้องกับคุณค่าทางศิลปะ นามาแจก แจงความถ่ี (Frequency) ของคาตอบ และวิเคราะห์โดยหาค่าร้อยละ (Percentage) แล้วนาเสนอในตาราง ประกอบความเรียง จากสูตร ตอนท่ี 2 ข้อมูลเก่ียวกับความคิดเห็น นามาแจกแจงความถ่ีของคาตอบแต่ละข้อ โดยให้คาตอบตาม อัตราการประมาณค่า ซึ่งมีสเกล 5, 4, 3, 2 และ 1 ตามลาดับ มาตรวจให้คะแนนในแต่ละข้อ แล้วนามาหา คา่ เฉลีย่ (̅) คา่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยกาหนดให้หาความหมายคา่ ตวั เลข ดงั น้ี เห็นด้วยมากทส่ี ดุ คา่ คะแนนเท่ากับ 5 เห็นด้วยมาก ค่าคะแนนเทา่ กับ 4 เห็นด้วยปานกลาง ค่าคะแนนเทา่ กบั 3 เห็นด้วยน้อย คา่ คะแนนเท่ากับ 2 เหน็ ดว้ ยน้อยทส่ี ุด คา่ คะแนนเทา่ กบั 1

33 เมือ่ วิเคราะหค์ า่ เฉลย่ี (̅) แล้ว นาไปเปรียบเทยี บเกณฑ์เพื่อแปลความหมายคะแนน ดงั นี้ ค่าคะแนนเฉล่ีย หมายถึง 4.50-5.00 มีระดับความเห็นดว้ ยมากที่สุด 3.50-4.49 มีระดบั ความเหน็ ดว้ ยมาก 2.50-3.49 มรี ะดับความเห็นดว้ ยปานกลาง 1.50-2.49 มีระดับความเหน็ ด้วยน้อย 1.00-1.49 มีระดบั ความเห็นดว้ ยนอ้ ยทส่ี ุด เมื่อได้ค่าเฉลี่ย (̅) นามาจัดอันดับ นาเสนอในรูปแบบตารางและความเรียง หาค่าเฉล่ีย (Arithmetic mean) และหาส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ตอนที่ 3 ข้อมูลจากเคร่ืองมือแบบสอบถามปลายเปิด (Open-ended questionnaire) ท่ีเป็นข้อมูล เก่ียวกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ นาข้อเสนอแนะและความคิดเห็นที่ได้รับ มานาเสนอโดยเรียงลาดับ ความถ่ีสูงท่ีสุดไปถึงความถี่น้อยที่สุดของข้อคิดเห็น ตัวเลขความถ่ีแสดงจานวนของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่ให้ คาตอบในข้อน้นั ๆ นาเสนออยู่ในตอนทา้ ยในแตล่ ะขอ้ 7. สรุปผลการวจิ ัยอภิปรายผลการวิจัยและนาเสนอข้อเสนอแนะ

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาความคิดเห็นเกย่ี วกับคุณค่าทางศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของ นักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูล และนาแบบสอบถามความคิดเห็นมา วิเคราะห์ โดยแบง่ เปน็ 3 ตอน ดงั น้ี ตอนที่ 1 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลสถานภาพทัว่ ไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นเก่ียวกับคุณค่าศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับร้ขู องนกั เรยี น ระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4.1 ใน 5 ด้าน คือ 1. คุณค่าศลิ ปะในหลกั สูตรศิลปศึกษา 2. คุณค่าศลิ ปะต่อการพฒั นาด้านจติ ใจ 3. คณุ คา่ ศิลปะต่อการสง่ เสรมิ ความคิดสร้างสรรค์ 4. คณุ คา่ ศลิ ปะต่อการเสริมสร้างความสนุ ทรีย์ 5. คณุ คา่ ศิลปะต่อการมีสว่ นร่วมและจติ สานกึ สาธารณะ ตอนท่ี 3 ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคุณค่าศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวชิ า 31102 ตามการรบั รขู้ องนกั เรยี น ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4.1 ตอนที่ 1 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลสถานภาพทวั่ ไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม ตารางที่ 1 จานวน และค่าร้อยละของเพศ จากกลุ่มตัวอย่าง ซ่ึงเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ทีเ่ รียนรายวิชาศลิ ปะ 2 รหสั วชิ า 31102 เพศ จานวน (N) ร้อยละ เพศชาย 9 30.00 เพศหญิง 21 70.00 รวม 30 100.00 จากตารางท่ี 1 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ท่ีเรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวชิ า 31102 ส่วนใหญเ่ ปน็ เพศหญงิ คิดเป็นร้อยละ 30.00 และ เปน็ เพศชาย คดิ เป็นร้อยละ 70.00 ตารางท่ี 2 จานวน และค่าร้อยละของความถนัดทางทัศนศิลป์ด้านการวาดภาพ ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4.1 ท่เี รยี นรายวิชาศลิ ปะ 2 รหสั วชิ า 31102 ความถนัดทางทัศนศิลป์ดา้ นการวาดภาพ จานวน (N) ร้อยละ ถนัด 11 36.67 ไม่ถนดั 19 63.33 รวม 30 100.00

35 จากตารางที่ 2 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ที่เรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 มคี วามถนัดทางทศั นศิลปด์ า้ นการวาดภาพ จานวน 11 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 36.67 ตารางที่ 3 จานวน และค่าร้อยละของความถนัดทางทัศนศิลป์ด้านการปั้น ของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษา ปที ี่ 4.1 ทเี่ รยี นรายวชิ าศลิ ปะ 2 รหัสวชิ า 31102 ความถนัดทางทัศนศิลป์ด้านการปั้น จานวน (N) ร้อยละ ถนดั 10 33.33 ไมถ่ นดั 20 66.67 รวม 30 100.00 จากตารางที่ 3 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ที่เรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหสั วิชา 31102 มคี วามถนัดทางทัศนศลิ ป์ดา้ นการปัน้ จานวน 10 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 33.33 ตารางท่ี 4 จานวน และค่าร้อยละของความถนัดทางทัศนศิลป์ด้านการแกะสลัก ของนักเรียนระดับชั้น มธั ยมศึกษาปที ี่ 4.1 ทเ่ี รียนรายวชิ าศิลปะ 2 รหสั วชิ า 31102 ความถนัดทางทศั นศลิ ป์ดา้ นการแกะสลกั จานวน (N) รอ้ ยละ ถนดั 8 26.67 ไมถ่ นดั 22 73.33 รวม 30 100.00 จากตารางท่ี 4 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ที่เรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวชิ า 31102 มคี วามถนัดทางทศั นศลิ ปด์ า้ นการแกะสลัก จานวน 8 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 26.67 ตารางท่ี 5 จานวน และคา่ รอ้ ยละของความถนดั ทางทัศนศลิ ป์ดา้ นภาพพิมพ์ ของนักเรียนระดบั ช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ 4.1 ท่ีเรียนรายวชิ าศิลปะ 2 รหสั วิชา 31102 ความถนัดทางทัศนศิลปด์ ้านภาพพิมพ์ จานวน (N) ร้อยละ ถนดั 10 33.33 ไมถ่ นัด 20 66.67 รวม 30 100.00 จากตารางท่ี 5 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ที่เรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 มีความถนดั ทางทศั นศิลป์ด้านภาพพมิ พ์ จานวน 10 คน คดิ เป็นร้อยละ 33.33

36 ตารางที่ 6 จานวน และค่าร้อยละของความถนัดทางทัศนศิลป์ด้านงานปะติด ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4.1 ทเ่ี รียนรายวชิ าศลิ ปะ 2 รหัสวิชา 31102 ความถนดั ทางทัศนศลิ ป์ดา้ นงานปะตดิ จานวน (N) รอ้ ยละ ถนดั 12 40.00 ไม่ถนัด 18 60.00 รวม 30 100.00 จากตารางที่ 6 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ที่เรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวชิ า 31102 มีความถนัดทางทศั นศิลป์ด้านงานปะตดิ จานวน 12 คน คิดเปน็ ร้อยละ 40.00 ตารางที่ 7 จานวน และคา่ ร้อยละของความถนัดทางทัศนศลิ ป์ด้านอื่น ๆ ของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ทเ่ี รียนรายวิชาศิลปะ 2 รหสั วิชา 31102 ความถนดั ทางทศั นศิลป์ด้านอ่นื ๆ จานวน (N) ร้อยละ ถนัด 13 43.33 ไม่ถนัด 17 56.67 รวม 30 100.00 จากตารางท่ี 7 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ท่ีเรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหสั วิชา 31102 มีความถนดั ทางทศั นศิลปด์ ้านอน่ื ๆ จานวน 13 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 43.33 ตารางท่ี 8 จานวน และค่าร้อยละของการไปทัศนศึกษางานทัศนศิลป์ ของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ท่ีเรียนรายวชิ าศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 การไปทัศนศกึ ษางานทัศนศลิ ป์ จานวน (N) ร้อยละ เคย 28 93.33 ไม่เคย 2 6.67 รวม 30 100.00 จากตารางที่ 8 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ที่เรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 เคยไปทศั นศกึ ษางานทัศนศลิ ป์ จานวน 28 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 93.33 ตารางที่ 9 จานวน และคา่ ร้อยละของการไปชมนิทรรศการผลงานทัศนศิลป์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปที ี่ 4.1 ที่เรียนรายวชิ าศลิ ปะ 2 รหัสวิชา 31102 การไปชมนทิ รรศการผลงานทศั นศลิ ป์ จานวน (N) ร้อยละ เคย 25 83.33 ไม่เคย 5 16.67 รวม 30 100.00

37 จากตารางที่ 9 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ท่ีเรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหสั วชิ า 31102 เคยไปชมนิทรรศการผลงานทศั นศิลป์ จานวน 25 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 83.33 ตารางท่ี 10 จานวน และคา่ ร้อยละของการมีส่วนร่วมกิจกรรมทางทัศนศิลป์ท่ีจัดขึ้นในโรงเรียน ของนักเรียน ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4.1 ทเี่ รียนรายวชิ าศิลปะ 2 รหสั วชิ า 31102 การมสี ว่ นร่วมกจิ กรรมทางทศั นศิลปท์ ีจ่ ดั ข้นึ ในโรงเรียน จานวน (N) รอ้ ยละ เคย 14 46.67 ไม่เคย 16 53.33 รวม 30 100.00 จากตารางท่ี 10 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ที่เรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหสั วิชา 31102 เคยมสี ่วนรว่ มกิจกรรมทางทศั นศิลป์ทจ่ี ัดข้นึ ในโรงเรยี น จานวน 14 คน คดิ เป็นร้อยละ 46.67 ตารางท่ี 11 จานวน และค่าร้อยละของการมีส่วนร่วมกิจกรรมทางทัศนศิลป์ที่จัดขึ้นโดยหน่วยงานภายนอก ของนักเรยี นระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4.1 ทเี่ รียนรายวชิ าศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 การมีสว่ นรว่ มกิจกรรมทางทศั นศิลป์ จานวน (N) ร้อยละ ท่จี ัดข้ึนโดยหน่วยงานภายนอก เคย 4 13.33 ไมเ่ คย 26 86.67 รวม 30 100.00 จากตารางที่ 11 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ท่ีเรียนรายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 เคยมีส่วนร่วมกิจกรรมทางทัศนศิลป์ท่ีจัดข้ึนโดยหน่วยงานภายนอก จานวน 4 คน คิดเป็น ร้อยละ 13.33

38 ตอนท่ี 2 ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นเก่ียวกับคุณค่าศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรบั ร้ขู องนกั เรียน ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4.1 ตารางท่ี 12 คา่ เฉล่ยี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นเก่ยี วกับคุณค่าศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรขู้ องนกั เรียน ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4.1 ด้านคุณคา่ ศิลปะในหลกั สูตรศลิ ปศกึ ษา ด้านคณุ ค่าศลิ ปะในหลกั สตู รศลิ ปศึกษา ̅ S.D. ระดับความคิดเหน็ 1. พฒั นาขอบเขตการรับรูไ้ ดช้ ัดเจนข้นึ ดว้ ยการสังเกต 3.63 0.85 เห็นด้วยมาก พจิ ารณา ทัง้ รายละเอยี ดและองค์รวม 2. พฒั นาความคดิ และความรู้สกึ ทีก่ ระจ่างกว่าการใช้ 3.47 0.90 เห็นดว้ ยปานกลาง วธิ พี ดู หรือเขยี น 3. ทาให้คนมีความเปน็ คนสมบรู ณ์แบบยิง่ ขน้ึ 3.73 1.01 เห็นดว้ ยมาก โดยเฉพาะการปรับเปลีย่ นวิถีชวี ิตทล่ี ะเอียดอ่อน อารมณส์ นุ ทรยี ์ อย่างมีความสุข 4. ส่งเสริมพฒั นาความสนใจและค่านิยม เหน็ คุณคา่ 3.80 0.76 เหน็ ดว้ ยมาก ศลิ ปะมากขึ้น 5. พัฒนาทกั ษะการแสดงออกทางศลิ ปะ ดว้ ย 3.57 0.82 เหน็ ด้วยมาก ความสามารถทางเทคนคิ ต่าง ๆ อย่างมปี ระสบการณ์ รวม 3.64 0.87 เหน็ ด้วยมาก จากตารางที่ 12 พบว่า ความคดิ เหน็ เก่ียวกับคุณค่าศลิ ปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการ รับรู้ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ด้านคุณค่าศิลปะในหลักสูตรศิลปศึกษา มีระดับความคิดเห็น อยใู่ นระดับเห็นดว้ ยมาก (̅ = 3.64) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 มีความคิดเห็นส่วนใหญ่อยู่ใน ระดับเห็นด้วยมาก โดยเรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ 1) ส่งเสริมพัฒนาความสนใจและค่านิยม เหน็ คณุ คา่ ศิลปะมากขน้ึ (̅ = 3.80) 2) ทาใหค้ นมคี วามเป็นคนสมบูรณ์แบบยิ่งข้ึน โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยน วิถีชีวิตที่ละเอียดอ่อน อารมณ์สุนทรีย์ อย่างมีความสุข (̅ = 3.73) 3) พัฒนาขอบเขตการรับรู้ได้ชัดเจนขึ้น ด้วยการสังเกต พิจารณา ทั้งรายละเอียดและองค์รวม (̅ = 3.63) 4) พัฒนาทักษะการแสดงออกทางศิลปะ ด้วยความสามารถทางเทคนิคต่าง ๆ อย่างมปี ระสบการณ์ (̅ = 3.57) และมีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยปานกลาง ดังน้ี 1) พัฒนาความคิดและความรู้สึก ที่กระจ่าง กวา่ การใช้วิธพี ดู หรือเขียน (̅ = 3.47)

39 ตารางที่ 13 ค่าเฉล่ยี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณคา่ ศลิ ปะ รายวชิ าศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของนกั เรียน ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4.1 ด้านคุณค่าศลิ ปะต่อการพฒั นาด้านจิตใจ ด้านคุณคา่ ศลิ ปะต่อการพฒั นาด้านจติ ใจ ̅ S.D. ระดับความคดิ เหน็ 1. ความงามในทัศนศิลป์เสริมสรา้ งประสบการณ์ทาง 3.50 0.90 เห็นดว้ ยมาก สนุ ทรยี ์ ก่อใหเ้ กิดการผอ่ นคลายอย่างมคี วามสุข 2. การทางานศลิ ปะสามารถพฒั นาใหเ้ กดิ สมาธิและมี 3.60 0.89 เห็นด้วยมาก ความแนว่ แน่ในการทางาน 3. การมีสมาธใิ นการทางานศิลปะจะเกดิ ความสขุ อย่าง 3.53 0.86 เหน็ ด้วยมาก มจี ดุ หมาย 4. ความภาคภูมิใจในความสาเร็จจากผลงาน กอ่ เกดิ 3.50 0.78 เห็นดว้ ยมาก ความปีติ และยกระดบั จิตใจให้สูงขึน้ 5. ยอมรบั ในความสามารถและความสาเร็จของเพอื่ น 3.70 0.88 เห็นด้วยมาก อยา่ งเข้าใจ และชื่นชมยนิ ดี รวม 3.63 0.83 เห็นด้วยมาก จากตารางท่ี 13 พบว่า ความคิดเหน็ เก่ยี วกับคุณคา่ ศลิ ปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการ รบั รขู้ องนักเรียน ระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4.1 ด้านคุณค่าศิลปะต่อการพัฒนาด้านจิตใจ มีระดับความคิดเห็น อยู่ในระดับเห็นดว้ ยมาก (̅ = 3.63) เมอ่ื พิจารณาเปน็ รายขอ้ พบว่า นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 มีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็น ดว้ ยมาก โดยเรยี งลาดับคา่ เฉลย่ี จากมากไปหาน้อย ดงั นี้ 1) ยอมรบั ในความสามารถและความสาเร็จของเพื่อน อย่างเขา้ ใจ และชื่นชมยินดี (̅ = 3.70) 2) การทางานศลิ ปะสามารถพัฒนาให้เกิดสมาธิและมีความแน่วแน่ใน การทางาน (̅ = 3.60) 3) การมีสมาธิในการทางานศิลปะจะเกิดความสุขอย่างมีจุดหมาย (̅ = 3.53) 4) ความงามในทัศนศิลป์เสริมสร้างประสบการณ์ทางสุนทรีย์ ก่อให้เกิดการผ่อนคลายอย่างมีความสุข และ 5) ความภาคภมู ิใจในความสาเรจ็ จากผลงาน ก่อเกิดความปีติ และยกระดบั จติ ใจใหส้ งู ขน้ึ (̅ = 3.50) เทา่ กัน

40 ตารางที่ 14 ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคดิ เหน็ เกย่ี วกับคณุ ค่าศลิ ปะ รายวชิ าศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของนักเรียน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ด้านคุณค่าศิลปะต่อการส่งเสริมความคิด สรา้ งสรรค์ ด้านคุณค่าศิลปะตอ่ การส่งเสรมิ ความคิดสรา้ งสรรค์ ̅ S.D. ระดับความคดิ เห็น 1. นกั เรียนสามารถเช่ือมโยงความคิดท่ีสัมพันธ์กบั ส่งิ เรา้ 3.50 0.90 เหน็ ดว้ ยมาก หรอื ประสบการณ์การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง 2. นกั เรียนมรี ะบบความคดิ เชิงเหตุผลจากจินตนาการ 3.60 0.89 เหน็ ด้วยมาก 3. นกั เรยี นสามารถพฒั นาความคดิ ท่ีเป็นอิสระอยา่ ง 3.53 0.86 เห็นดว้ ยมาก แปลกใหม่ของตนเอง 4. นกั เรียนกลา้ คิด กล้าทดลอง และกล้าแสดงออก 3.50 0.78 เห็นด้วยมาก อยา่ งฉลาด 5. นักเรยี นสามารถพฒั นาความคดิ เชิงนามธรรมสู่ 3.70 0.88 เห็นด้วยมาก รปู ธรรมไดอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ รวม 3.57 0.86 เหน็ ด้วยมาก จากตารางท่ี 14 พบว่า ความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั คณุ ค่าศลิ ปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการ รับรู้ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ด้านคุณค่าศิลปะต่อการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ มีระดับ ความคดิ เหน็ อยใู่ นระดับเหน็ ด้วยมาก (̅ = 3.57) เมื่อพิจารณาเปน็ รายขอ้ พบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 มีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็น ด้วยมาก โดยเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย ดังนี้ 1) นักเรียนสามารถพัฒนาความคิดเชิงนามธรรมสู่ รูปธรรมได้อย่างสร้างสรรค์ (̅ = 3.70) 2) นักเรียนมีระบบความคิดเชิงเหตุผลจากจินตนาการ (̅ = 3.60) 3) นักเรียนสามารถพัฒนาความคิดที่เป็นอิสระอย่างแปลกใหม่ของตนเอง (̅ = 3.53) 4) นักเรียนสามารถ เช่ือมโยงความคิดที่สัมพันธก์ ับสงิ่ เร้า หรือประสบการณ์การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และ 5) นักเรียนกล้าคิด กล้าทดลอง และกลา้ แสดงออกอยา่ งฉลาด (̅ = 3.50) เท่ากัน

41 ตารางท่ี 15 ค่าเฉล่ยี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ความคดิ เหน็ เกย่ี วกับคณุ คา่ ศิลปะ รายวชิ าศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 ด้านคุณค่าศิลปะต่อการเสริมสร้างความ สนุ ทรยี ์ ด้านคณุ คา่ ศิลปะตอ่ การเสริมสรา้ งความสนุ ทรยี ์ ̅ S.D. ระดบั ความคดิ เหน็ 1. ความเข้าใจในคณุ ค่าและความงามของศลิ ปะ 3.70 0.92 เห็นด้วยมาก กอ่ ให้เกดิ ความสนุ ทรยี อ์ ารมณ์และความคิด 2. ความสนุ ทรยี ์ทางศิลปะสามารถพัฒนาค่านิยมท่ีดีงาม 3.77 0.86 เห็นดว้ ยมาก อย่างมรี สนยิ ม 3. การมีรสนยิ มทางสุนทรีที่ดีงามสามารถเข้าใจและ 3.67 0.92 เหน็ ดว้ ยมาก เขา้ ถงึ คณุ ค่าความงามในมรดกทางศิลปะของชุมชนได้ อยา่ งดแี ละลึกซง้ึ 4. ความมีสุนทรสี ามารถปลกู ฝังและถา่ ยทอดจากรนุ่ สู่ 3.63 0.85 เห็นดว้ ยมาก รนุ่ ได้ดว้ ยกระบวนการเรียนรูแ้ ละบรรยากาศจากงาน ศิลปะ 5. ความสนุ ทรยี ์นาไปสู่อารมณท์ ี่ละเอียดอ่อนงดงาม 3.63 0.96 เห็นด้วยมาก และความคดิ ทเี่ ข้าใจกันทาใหส้ ังคมอยรู่ ว่ มกนั ได้อยา่ งมี ความสขุ รวม 3.68 0.90 เหน็ ด้วยมาก จากตารางท่ี 15 พบว่า ความคิดเหน็ เกีย่ วกับคณุ ค่าศลิ ปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการ รับรู้ของนักเรียน ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4.1 ด้านคุณค่าศิลปะต่อการเสริมสร้างความสุนทรีย์ มีระดับความ คดิ เห็น อยใู่ นระดับเห็นด้วยมาก (̅ = 3.68) เม่ือพิจารณาเปน็ รายขอ้ พบว่า นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 มีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็น ดว้ ยมาก โดยเรยี งลาดับค่าเฉลย่ี จากมากไปหาน้อย ดังน้ี 1) ความสุนทรีย์ทางศิลปะสามารถพัฒนาค่านิยมที่ดี งามอย่างมีรสนิยม (̅ = 3.77) 2) ความเขา้ ใจในคุณค่าและความงามของศิลปะก่อให้เกิดความสุนทรีย์อารมณ์ และความคดิ (̅ = 3.70) 3) การมีรสนิยมทางสุนทรีที่ดีงามสามารถเข้าใจและเข้าถึงคุณค่าความงามในมรดก ทางศลิ ปะของชุมชนได้อยา่ งดีและลึกซ้ึง (̅ = 3.67) 4) ความมีสนุ ทรีสามารถปลูกฝังและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไดด้ ้วยกระบวนการเรียนรู้และบรรยากาศจากงานศิลปะ และ 5) ความสุนทรีย์นาไปสู่อารมณ์ที่ละเอียดอ่อน งดงามและความคิดทเ่ี ข้าใจกนั ทาใหส้ ังคมอยู่ร่วมกนั ได้อย่างมีความสุข (̅ = 3.63) เทา่ กนั

42 ตารางที่ 16 คา่ เฉลี่ย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ความคดิ เห็นเกีย่ วกับคณุ ค่าศิลปะ รายวชิ าศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการรับรู้ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ด้านคุณค่าศิลปะต่อการมีส่วนร่วมและ จิตสานกึ สาธารณะ ดา้ นคุณค่าศลิ ปะต่อการมีส่วนร่วม ̅ S.D. ระดับความคดิ เห็น และจิตสานกึ สาธารณะ 1. วิชาทัศนศลิ ป์ช่วยสง่ เสริมการเรียนรู้คุณคา่ ศิลปะ 3.73 0.74 เห็นด้วยมาก ท่ีเก่ียวข้องกบั วถิ ีชีวติ ของมนษุ ยใ์ นสงั คม 2. วชิ าทัศนศลิ ป์ชว่ ยพฒั นาจติ สานกึ การมีสว่ นรว่ มใน 3.53 0.82 เห็นดว้ ยมาก การอนุรกั ษ์ และการดารงรกั ษาศิลปวฒั นธรรมใน ท้องถนิ่ ทถี่ อื เปน็ มรดกชุมชน 3. ผลงานศลิ ปะของศิลปินที่สรา้ งสรรคด์ ้วยปญั ญา 3.63 0.67 เห็นด้วยมาก จดั เปน็ มรดกท่ีมีคุณค่าเพือ่ การเรียนร้ขู องชุมชน 4. ผมู้ ีการศึกษาและความสามารถทางศิลปะ ควร 3.73 0.98 เหน็ ด้วยมาก ตระหนักถึงบทบาทที่มีต่อชมุ ชน ท่ีจะต้องชว่ ยพัฒนา สภาพแวดล้อมให้น่าอยู่ น่าอาศยั มีคุณค่าทางสนุ ทรีย์ 5. ศลิ ปะในวชิ าทัศนศิลปค์ อื เป็นสื่อกลาง ทท่ี าให้วถิ ี 4.53 0.57 เหน็ ดว้ ยมากทสี่ ุด ชีวติ มนุษย์อยู่ร่วมกันในสงั คมได้อยา่ งสมดลุ และสันตสิ ุข รวม 3.83 0.76 เหน็ ดว้ ยมาก จากตารางที่ 16 พบวา่ ความคิดเห็นเก่ียวกบั คณุ คา่ ศิลปะ รายวิชาศิลปะ 2 รหัสวิชา 31102 ตามการ รับรู้ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4.1 ด้านคุณค่าศิลปะต่อการมีส่วนร่วมและจิตสานึกสาธารณะ มีระดับความคิดเหน็ อยใู่ นระดับเห็นด้วยมาก (̅ = 3.68) เมอ่ื พิจารณาเปน็ รายข้อ พบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4.1 มีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็น ด้วยมากท่ี ดังน้ี 1) ศิลปะในวิชาทัศนศิลป์คือเป็นสื่อกลาง ที่ทาให้วิถีชีวิตมนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่าง สมดลุ และสันติสขุ (̅ = 4.53) และมีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก โดยเรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย ดังน้ี 1) วิชา ทัศนศิลป์ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้คุณค่าศิลปะ ท่ีเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคม 2) ผู้มีการศึกษาและ ความสามารถทางศลิ ปะ ควรตระหนักถงึ บทบาททมี่ ตี ่อชุมชน ท่ีจะต้องช่วยพัฒนาสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่ น่า อาศัย มคี ณุ คา่ ทางสนุ ทรีย์ (̅ = 3.73) เทา่ กนั 3) ผลงานศลิ ปะของศิลปินที่สร้างสรรค์ด้วยปัญญาจัดเป็นมรดก ท่มี ีคุณค่าเพ่ือการเรียนรู้ของชมุ ชน (̅ = 3.63) และ 4) วิชาทัศนศิลป์ชว่ ยพัฒนาจติ สานึกการมีส่วนร่วมในการ อนรุ ักษ์ และการดารงรกั ษาศลิ ปวฒั นธรรมในทอ้ งถน่ิ ทีถ่ ือเปน็ มรดกชมุ ชน (̅ = 3.53)