Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติการต่อสู้ของชนชั้นกรรมกรไทย

ประวัติการต่อสู้ของชนชั้นกรรมกรไทย

Published by นุจรินทร์ นามุลทา, 2021-11-09 23:45:04

Description: ประวัติการต่อสู้ของชนชั้นกรรมกรไทย

Search

Read the Text Version

1

ชนช้ันกรรมกรไทยมีอายุประมาณร้อยกว่าปีแล้ว แต่ จนกระทั่งบัดนี้ เรอื่ งราวของพวกเขายงั เปน็ ท่ีทราบกันนอ้ ยมาก งาน เขียนที่พดู ถึงความเป็นมาและประวัติการต่อสู้ของชนช้ันกรรมกรมี น้อยจนแทบไม่น่าเชอ่ื โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานท่ีมีลักษณะวิเคราะห์ ในเชิงเศรษฐศาสตร์การเมอื งเกือบจะไม่มีเลย. เมื่อปกี ลาย ในงานสัมมนาประวตั ิศาสตร์เศรษฐกจิ ครั้งท่ี๒ นักวิชาการหลายท่านได้เสนอรายงานอันน่าสนใจเก่ียวกับประวัติ ความเป็นมาและวิวัฒนาการของระบอบทุนนิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะการกาเนิดของชนชั้นนายทุน แต่เป็นท่ีน่าเสียดายว่า ร า ย ง า น เ ห ล่ า น้ี แ ท บ จ ะ ไ ม่ ไ ด้ พู ด ถึ ง ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า แ ล ะ วิวัฒนาการของชนช้ันกรรมกรไทยเลย อาจารย์ปรีชา เป่ียมพงษ์ สานต์ ผู้เข้าร่วมการสัมมนาท่านหน่ึงได้ต้ังข้อสังเกตเรื่องนี้ไว้ และ กล่าวว่าภาควิชาประวัติศาสตร์ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ น่าจะได้มี การวิเคราะหเ์ รือ่ งของชนช้นั ผู้ใช้แรงงานให้มากขึ้น ยอ้ นหลังไปกอ่ นหนา้ \"๖ ตุลาคม\" งานเขยี นเกย่ี วกับเรื่องน้ี ก็มีไม่มาก งานท่ีเด่นท่ีสุดในช่วงน้ันเห็นจะได้แก่เรื่อง \"ขบวนการ กรรมกรในประเทศไทย\" ทมี่ ี พิชิต จงสถิตยว์ ัฒนา เป็นบรรณาธกิ าร แต่งานช้ินนี้ก็ยังขาดความเป็นระบบ และข้อมูลบางอย่างยังไม่ แม่นยาเทา่ ที่ควร ทง้ั น้ี เนื่องจากข้อจากัดของความรับรใู้ นขณะน้ัน นอกจากนี้ ก็มีหนังสือเล่มเล็กช่ือ \"พลังใหม่ : กรรมกร\" ที่แผนก ปาฐกถา-โตว้ าที องคก์ ารนักศึกษามหาวิทยาลยั รามคาแหง จดั พมิ พ์ 2

ซ่ึงส่วนมากกล่าวถึงบทเรียนของต่างประเทศมากกว่าเร่ืองของ กรรมกรไทย นอกจากน้ันก็เป็นงานที่มีลักษณะทางวิชาการแบบ ตะวนั ตกเกย่ี วกบั ระบบสหภาพแรงงาน มาในชว่ งหลัง มงี านรวมเล่มท่ีนา่ สนใจของ อารมณ์ พงศ์พ งัน เรื่อง \"กรรมกร\" และ \"ปัญหาแรงงานในประเทศไทย\" น่า เสียดาย ท่ีเน้อื หาถูกจากัดอยู่เพียงการเคลื่อนไหวในแวดวงสหภาพ แรงงานเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นความพยายามท่ีน่า สรรเสริญ โดยเฉพาะ เม่ือคานงึ ถงึ เงอื่ นไขในการเขยี นของเขา 3

สรปุ แล้ว เรายังขาดแคลนงานเขยี นในดา้ นนีอ้ ย่างมาก บทความนี้ เป็นเพียงการสรุปประวัติแห่งการเคล่ือนไหว ตอ่ ส้ขู องชนชั้นกรรมกรไทยในระยะรอ้ ยกว่าปีท่ีผา่ นมาอย่างกว้างๆ เท่าท่ีเวลาและความสามารถของผู้เขียนจะอานวยให้ ซ่ึงแน่นอน ย่อมทาได้ไม่สมบูรณ์ กระท่ังยังอาจบกพร่องผิดพลาดอีกมาก ผู้เขียนหวังว่า เราท่านทั้งหลายท่ีสนใจในความเจริญก้าวหน้าของ สังคมคงจะช่วยกันเร่งผลิตงานด้านนี้ออกมาให้มากๆ เพื่อให้ ขอ้ เท็จจรงิ พื้นฐานเกี่ยวกับสังคมไทย ได้แพร่กระจายและซึมซับลง ไปในหมู่ประชาชน ทาให้พวกเขาสามารถมองเห็นได้ว่า อะไรเป็น ต้นตอแห่งความทุกข์ยากแสนเข็นท่ีพวกเขาเผชิญอยู่ และจะแก้ ไขมนั ได้อย่างไร อนึ่ง เน่ืองจากประวัติการต่อสูข้ องชนชน้ั กรรมกร สัมพันธ์ อย่างแนบแนน่ กับปญั หาสภาพการถูกเอารดั เอาเปรียบของพวกเขา จงึ จาเป็นอยเู่ องทบ่ี ทความนีต้ ้องพาดพิงไปถึง แตเ่ นื่องจากผเู้ ขียนมี ข้อมูลไม่มาก ทาให้ไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดชัดเจนพอ โดยเฉพาะในแง่ของข้อกฎหมายและกฎระเบียบเกี่ยวกับปัญหารง งาน ซึ่งยากแก่การเข้าใจ ไม่เพียงแต่สาหรับคนงานธรรมดาๆ เทา่ นั้น หากยงั ยากแก่การเข้าใจสาหรับปัญญาชนอย่างผเู้ ขียนดว้ ย 4

๑.....สงั คมไทยกับกาเนดิ ของชนชั้นกรรมกร 5

สงั คมไทย เดิมเป็นสังคมเกษตรกรรม การผลติ เป็นแบบยัง ชีพ (Sub distance Economy) หมายความว่า ผลิตเพื่อกินเพ่ือใช้ เองในสังคม การซื้อขายไม่มีหรือมีก็น้อยมาก โดยมากจะเป็นการ แลกเปล่ียนระหวา่ งสง่ิ ของกับส่งิ ของ ชุมชนหนึ่งๆ เช่น หมู่บ้าน จะ ผลิตของกินของใช้ที่จาเป็นในชีวิตประจาวันเองแทบท้ังหมด ผลผลิตส่วนเกินมีไมม่ าก การเคล่ือนย้ายผลผลติ ส่วนใหญ่จะออกมา ในรูปของการส่งส่วย ซ่งึ ผปู้ กครองเรียกเกณฑ์เอาจากประชาชน สังคมถกู แบ่งออกเป็นสองชนชัน้ ใหญ่ ๆ คือ ชนช้ันเจ้าทด่ี ิน ศักดินา กับชนชั้นไพร่ทาส ชนชั้นเจ้าท่ีดินศักดินา ได้แก่ กษัตริย์- เช้ือพระวงศ์ กับขุนนาง(ตลอดจนพระ) ซ่ึงไม่ต้องทาการผลิต แต่ ดารงชีวิตด้วยการบริโภคส่วนเกินซ่ึงไพร่- ทาสสร้างขึ้น พวกไพร่- ทาสมีพนั ธะตอ้ งทาการผลิตเพ่ือเลี้ยงเจ้าทด่ี ิน ที่เรียกว่า \"แรงงาน\" ในสมัยน้ัน โดยท่ัวไปจึงมีแต่แรงงาน เกณฑ์ซ่งึ ไม่ได้รบั ค่าตอบแทน ไพร่-ทาสจะถูกเกณฑไ์ ปทางานให้กับ เจา้ ท่ดี ินในระยะเวลาที่ต่างกัน เช่น ปีละ ๖ เดอื นบ้าง ๓เดอื นบ้าง อย่างไรก็ตาม ในปลายยุคน้ี ไดม้ ีชาวต่างชาติ โดยมากเป็น จนี อพยพเข้ามา คนเหล่านี้ไดร้ ับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑแ์ รงงาน จานวนผู้อพยพชาวจีนมีสูงมก ประมาณกันว่าในปลายรัชกาลที่๒ ชาวจีนอพยพเข้ามาปีลพ ๗,๐๐๐ คน พอถึงปลายรัชกาลท่ี๓ เพ่ิมขึ้นปีละ ๑๕,๐๐๐ คน คานวณว่ามีชาวจีนในประเทศไทยราว ๒๕๐,๐๐๐คน สังราชปาลเลอกัวส์บันทึกว่า จานวนประชากรไทย ๖ ลา้ นคนในปี ๒๓๙๓ เป็นชาวจนี อพยพถึง ๑.๕ ล้านคน 6

ชาวจีนอพยพแบ่งออกเปน็ สองพวกใหญ่ๆ คอื พวกแรก เป็นพ่อค้าซึ่งทามาหากินผูกพันกับเจ้าที่ดินศักดินา โดยรับเป็น เจา้ ภาษีีนายอากร หรอื ไมก่ ็ \"เหมาเมือง\" คือรับเปน็ เจา้ เมอื งคอย เก็บส่วนเกินจากชาวนาส่งใหพ้ ระมหากษัตรยิ ์ ; อีกพวกหนึ่งเป็น คนงานรับจา้ งเป็น \"กลุ ี\" ทางานขุดลอกคูคลอง สร้างเขือ่ น พวก นี้คือบรรพบุรษุ ของชนชัน้ กรรมกรไทย และเป็น \"แรงงานรับจ้าง\" รุ่นแรกสุดในสังคมไทย แรงงานรับจา้ งชาวจีนสมยั น้ัน ได้รับคา่ ตอบแทนไม่มาก มีผู้ ประมาณค่าจ้างสาหรับกรรมกรไร้ฝีมือในกรุงเทพเม่ือปี ๒๓๖๕ เอาไว้ว่าตกราว ๑ ๑/๔ สตางค์ต่อวัน ยิ่งกว่าน้ัน ยังมีการมอมเมา แรงงานจีนด้วยการให้สูบฝ่ิน กล่าวกันว่า ค่าจ้างท่ีกุลีเหล่าน้ีได้รับ ครึ่งหน่ึงจะหมดไปในการสูบฝ่ิน ซ่ึงรัฐบาลเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ จากกจิ การนีอ้ ยู่ด้วย 7

สังคมไทยได้เกิดการเปล่ียนแปลงครั้งสาคัญ หลังจากทา สนธิสัญญากับประเทศตะวันตก คือนับตั้งแต่ปี๒๓๙๘ (๑๘๕๕- สัญญาบาวริ่ง)เป็นต้นมา เศรษฐกิจได้เปลี่ยนเป็นแบบสินค้า (Commercial Economy) การผลิตทุกอย่างเป็นไปเพ่ือขายใน ตลาด โดยเฉพาะคือ ผลิตข้าวเพ่ือขายให้ตลาดโลก ผลก็คือ ทาให้ โครงสร้างทางสังคมเกิดการเปล่ียนแปลงคร้ังใหญ่ เพื่อใหม้ ีแรงงาน มากย่ิงขึ้นในการผลิตสาหรับสง่ ออก ชนชั้นปกครองได้ยกเลิกระบบ การเกณฑ์แรงงานและการถือครองทาสเสีย ขณะเดียวกัน ทุน ต่างประเทศก็ได้เร่ิมเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ โดยลงทุนสร้าง อุตสาหกรรมในไทยข้ึน 8

ปี๒๔๐๑ โรงงานอุตสาหกรรมแห่งแรกในประเทศไทยก็ ได้ถือกาเนิดขึ้น น่ันคือ โรงสีข้าวที่ใช้เครื่องจักร (ชาวบ้านเรียก โรงสีไฟ) ของบริษัท American Steam Rice Mill ซึ่งเป็นของ ทนุ อเมริกัน ชนช้นั กรรมกรสมัยใหม่ไดเ้ กดิ ขนึ้ ในประเทศไทยแล้ว กอ่ นหน้าจะมีชนชั้นนายทุนไทยเสยี อีก พอถึงปี๒๔๓๒ โรงสีไฟใน กรุงเทพก็เพิ่มข้ึนเป็น ๒๓ โรง มีกรรมกรรวมกันกว่าพันคน ในปี ๒๔๑๕ กรรมกรโรงพิมพ์ได้ถือกาเนิดข้ึน มีจานวนร่วมร้อยคน ปี ๒๔๒๗เกิดกรรมกรเหมืองแร่ ปี๒๔๓๐ เกิดกรรมกรไฟฟา้ ปี๒๔๓๑ เกิดกรรมกรป่าไม้ ปี๒๔๔๓เกิดกรรมกรรถไฟ พอถึงปี๒๔๖๓ก็เกิด กรรมกรสวนยางขน้ึ . กรรมกรของโรงงานที่ค่อนข้างใหญ่มาเกิดข้ึนในปี ๒๔๕๖ คือ กรรมกรโรงงานปูนซีเมนต์ กรรมกรโรงงานยาสูบ ปี๒๔๖๒ , กรรมการโรงงานไม้ขดี ไฟ ปี๒๔๖๙, กรรมกรโรงงานโรงกลนั่ สรุ า ปี ๒๔๗๒, กรรมกรโรงงานทอผ้า ปี๒๔๗๖, กรรมกรโรงงานนา้ ตาล ปี ๒๔๘๐ และกรรมกรโรงงานปน่ั ดา้ ย ปี๒๔๙๓. ขบวนของชนช้ันกรรมกรไทยได้พัฒนาเติบใหญ่ย่ิงขึ้น ตามกาลเวลา และนับวันจะกลายเป็นพลังสาคัญที่ใครก็ตามไม่ อาจมองข้ามได้ 9

๒.....เงอ่ื นไขการต่อสู้ 10

ประวัติของชนช้ันกรรมกรไทยเป็นประวัติแห่งการต่อสู้ เพือ่ ชีวิตที่ดกี วา่ ลักษณะพิเศษของอุตสาหกรรมไทยต้ังแต่อดีตจนถึง ปัจจบุ ันคือ ส่วนใหญ่ถูกกุมอยู่ในมือของทุนตา่ งประเทศ การเอา รัดเอาเปรียบท่ีชนชั้นกรรมกรได้รับจึงหนักหน่วงเป็นพิเศษ เนื่องจากทุนต่างประเทศเหล่านี้ต้องการแสวงหากาไรสูงสุด จึง พยายามกดค่าแรงของกรรมกรในประเทศด้อยพัฒนาให้ตา่ เขา้ ไว้ อัตราค่าแรงของกรรมกรในประเทศเหล่าน้ี เม่ือเทียบกับ \"ประเทศแม\"่ ก็ตอ่ กว่ากันไมร่ ู้กี่สิบเท่า มิหนาซ้า ค่าแรงกรรมกร ไทยยงั ต่ากวา่ หลายประเทศในภมู ภิ าคเดยี วกนั อกี ดว้ ย สาหรับกรรมกรท่ีทางานในโรงงานอุตสาหกรรมของคน ไทย(ส่วนมากจะเป็นโรงงานเล็กๆ) ย่ิงย่าแย่ลงไปอีก เพราะ โรงงานเหล่านี้ตอ้ งพยายามแข่งขนั กบั ทุนตา่ งประเทศท่เี หนอื กว่า อย่างสุดฤทธิ์ เพ่ือความอยู่รอดของตัวเอง นายทุนขนาดเล็ก เหล่านี้จึงกดสภาพการจ้างงานให้ต่าท่ีสุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้ บ่อยครั้งที่เราได้ยินข่าวเรื่อง \"โรงงานนรก\" โดยมากก็เป็นของ นายทุนประเภทน้ี ค่าแรงที่ต่าของกรรมกรไทยทากาไรอันมหาศาลให้ชนชั้น นายทุนโดยตลอด จากการคานวณของนายไตรรงค์ สวุ รรณครี ี เม่ือ ครั้งเป็นอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ พบว่า เม่ือปี ๒๕๒๕ คนงานโรงงานทอผ้ามองตากูต์แห่งหนึ่งท่ีจังหวัด สมุทรปราการ คนหน่งึ ทีค่ ุมเคร่ืองทอผ้า ๑๔ เคร่ือง จะทารายไดใ้ ห้ 11

นายทุนถึงวันละ ๑๑,๒๐๐ บาท คิดเป็นกาไรสทุ ธิถงึ วันละ ๓,๘๐๐ บาท หรือตกปีละล้านกว่าบาท ส่วนกรรมกรค่าแรงข้ันต่าวันละ ๓๕ บาท ในปี ๒๕๒๑ คิดแล้วยังไม่ถึงร้อยละ ๑ ของกาไรสุทธิ ต่อให้มี รายได้สูงถึงวันละ ๑๕๐ บาท ก็ยังไม่ถึงร้อยละ ๕ ของกาไรสุทธิที่ นายทนุ ไดร้ บั ชนชั้นกรรมกร นอกจากถูกเอารัดเอาเปรียบจากสภาพใน โรงงานดังกล่าวแล้ว ยังต้องเผชิญกับการบีบคั้นของปัญหาสินค้า แพง ค่าครองชีพสูงอยู่ตลอดเวลา ทั้งน้ีเป็นผลมาจากระบบการ ผกู ขาดร่วมกันของทุนค่างประเทศกับนายทุนผูกขาดท่ีเป็นตัวแทน ในประเทศไทย กลไกและกิจการผูกขาดท้ังหลายแหล่นี้ เล่นงาน กรรมกรหนกั ยง่ิ กว่าใคร ๆ การเอารัดเอาเปรยี บรูปแบบต่างๆทีก่ รรมกรได้รับ ถูกทา ให้ชอบธรรมโดยความคุ้มครองของกฎหมายและกลไกรัฐ ด้วย เหตุน้ี การต่อสู้ของกรรมกรหลายครั้งจึงถูกบังคับใหพ้ ุ่งตรงไปยัง ประเดน็ ทางการเมืองและรฐั บาล ที่กลา่ วมานี้ คือเง่อื นไขเบอื้ งต้นท่ีผลักดันใหช้ นชั้นกรรมกร ต้องลึกข้ึนมาเคลื่อนไหวต่อสู้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั้งหมดน้ี ยัง เป็นเพียงส่วนน้อยเท่าน้ัน หากจะบรรยายอย่างละเอียดคงต้องกิน เน้อื ทเ่ี ทา่ กับหนงั สือเล่มโตๆ เปน็ แน่ 12

๓.....การต่อส้ขู องกรรมกรไทยในระยะแรก(ก่อน๒๔๗๕) 13

ในปี๒๔๖๒ กงสุลอังกฤษประจาไทยรายงานว่า \"ใน กรุงเทพมีโรงงานอยู่เพียง ๗ โรงเท่าน้ัน ในจานวนน้ีเป็นโรงงาน ปนู ซีเมนต์ โรงงานฟอกหนัง โรงงานทาสบู่ และโรงงานยาสูบอย่าง ละหนงึ่ นอกนนั้ เปน็ โรงงานนา้ กล่นั อีก ๓ โรง\" ดงั นั้น กรรมกรรับจา้ งตามโรงงานหรอื กิจการอุตสาหกรรม ในยุคน้ีจงึ มีจานวนน้อย เม่อื เทียบกบั แรงงานด้านเกษตรกรรม ในปี ๒๔๗๒ มีกรรมกรในกิจการอุตสาหกรรม ๑๖๕,๐๐๐ หรือ ๒.๒% ของแรงงานในประเทศทั้งหมด ชนชั้นกรรมกรในระยะแรกส่วนมากยังไม่ใช่คนไทย สกิน เนอร์(G.William Skinner) ประมาณว่า ตั้งแต่ช่วง ๒๔๕๓-๒๔๘๓ กรรมกร ๖๐-๗๕% เปน็ คนจนี ทอมสนั (Virginia Tompson) พบว่า กรรมกรลาว-ขมุ และพม่า เปน็ กรรมกรส่วนใหญใ่ นอุตสาหกรรมป่า ไม้ทางภาคเหนือ กรรมกรจีนและมาเลย์ทางานด้านสวนยาง และ กรรมกรจีนเป็นพลงั ใหญท่ ่ีสดุ ในอตุ สาหกรรมเหมอื นแร่ นอกจากน้นั ในกิจการโรงสีข้าว โรงเลอื่ ยไม้ ขนส่ง และหัตถ-อุตสาหกรรมย่อยๆ ก็ว่าจา้ งคนจนี ทั้งส้นิ กรรมกรจีนเหลา่ นม้ี สี ภาพชีวิตความเป็นอยู่ท่ียากลาบาก มาก นอกจากถูกกดขเ่ี อารดั เอาเปรียบทางชนชน้ั แล้ว ยังถูกกดข่ี เอารัดเอาเปรียบทางเชื้อชาติด้วย ผลก็คอื มีสภาพชีวิตทเ่ี ลวร้าย พอ ๆ กันหรือมากกวา่ ไพร่ชาวไทยเสยี อีก กุลจี นี ได้รับค่าจ้างต่ามากเมอ่ื เทยี บกบั แรงงานไทย เช่น กุลี จีน รับจ้างทางานวันละ ๑๒ ชั่วโมง ค่าจ้างเพียงปีละ ๒๐ บาท 14

ขณะที่กุลีจากอีสานค่าจ้างปีละ ๑๒๐ บาท หรือกรรมกรจีนใน เหมืองแร่ภาคใต้เรียกรอ้ งค่าจ้างเพียงวนั ละ ๑ บาท แลกกับการลง แรงหนักมาก หรือมิฉะนั้นก็เรียกค่าจ้างตามปริมาณงานเท่านั้น นายทุนเหมืองแร่จึงพอใจกรรมกรจีนมาก กว่า๗๐%ของกรรมกร เหมืองแร่เป็นชาวจีน นอกจากค่าแรงต่าแล้ว สภาพการทางานก็ลาบากมาก เช่น กรรมกรเหมืองแร่ภาคใต้ต้องลงไปขุนแร่ในหลุมลึกๆ โดยไม่มี ระบบป้องกันอันตราย มิหนาซ้ายังต้องตกเป็นทาสของ ยาเสพย์ติด ทอมสันกล่าวว่า กรรมกรจีนภาคใต้ถูกมอมเมาด้วย ฝ่นิ เปน็ จานวนถงึ ๗๒๙,๐๐๐ คน ยิ่งไปกว่านั้น ชนช้ันปกครองยังพยายามบิดเบือน ประเด็นความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของตน โดยโยนความผิดไป ใหแ้ ก่ชาวจนี เช่น รัชกาลที่๖ เรียกชาวจีนว่า \"ยิวแห่งบูรพาทศิ \" และกลา่ วหาวา่ พวกนเี้ ปน็ ตัวการสรา้ งความเดอื ดรอ้ นใหค้ นไทย สภาพการถูกกดขี่ทงั้ ทางตรงและทางออ้ มเหล่านี้ บีบบงั คับ ให้กรรมกรต้องรวมตัวกนั ตอ่ สู้ในระยะแรกๆ พวกเขาได้จดั ตั้งกนั ขึ้น ในรูปแบบ \"สมาคมลับ\" มีการเคล่ือนไหวและก่อการประทว้ งหลาย คร้ัง จนรัชกาลท่ี๔ ต้องออกกฎหมายควบคุมสมาคมลับชาวจีน (ที่ เรียกว่า \"อั้งยี่\") เม่ือปี ๒๔๔๐(๑๘๙๗) โดยอ้างว่าเป็นสมาคมท่ีมี จุดประสงค์ทางการเมืองและก่อความวุ่นวาย กฎหมายฉบับน้ีระบุ ให้ทุกสมาคมต้องไปจดทะเบียน แต่การควบคุมไม่เป็นผลสาเร็จ เพราะมีเพียง ๒ สมาคมเท่านั้นที่ยอมไปจดทะเบียน และมีการนัด 15

หยุดงานหลายหน ในช่วงศตวรรษท่ี๑๘-๑๙ ซึ่งเป็นผลงานของ สมาคมลับชาวจีนท้งั สน้ิ ปี๒๔๔๔ รัฐพยายามควบคุมลูกจ้าง โดยตั้งสานักงาน ทะเบียนลูกจา้ งขนึ้ ในกรมตารวจ เพ่ือเป็นทีต่ รวจสอบประวัติลูกจ้าง ตามข้อเรียกร้องของนายทุนตา่ งชาติ เพ่ือจะได้จับกุมได้สะดวกเม่ือ เกิดโจรกรรมหรอื อาชญากรรมขึน้ และคอยค้าประกันไม่ให้นายจา้ ง ฝร่ังต้องมีความผิดในกรณีท่ีไล่คนงานออกจากงาน จะเห็นได้ว่า มาตรการข้อน้ี สร้างข้ึนเพ่ือรักษาผลประโยชน์ของนายทุนต่างชาติ โดยตรง โดยไม่ได้คานึงถึงสวัสดิภาพและผลประโยชน์ของลูกจ้าง เลยแม้แตน่ อ้ ย ปลายปีเดียวกันน้ี(๒๔๔๔) กรรมกรรถรางได้รวมตัวกัน กอ่ ต้ังสหพันธแ์ รงงานขึน้ โดยมีสมาชิกราวๆ ๓๐๐ คน วัตถปุ ระสงค์ ที่สมาคมฯ แถลงต่อรัฐบาลคือ ส่งเสริมการประหยัด สงเคราะห์ผู้ ชราและคนพิการ กับส่งเสรมิ ความสามคั คี รัฐบาลไม่อาจปฏิเสธการ จดทะเบยี นของสมาคมฯน้ีได้ แต่พยายามดัดแปลงให้สมาคมฯจากัด ขอบเขตและบทบาทอยู่เพียงด้านสังคมสงเคราะห์จริงๆ ซึ่งไม่ สาเร็จ. ก่อนหน้านี้ กรรมกรรถรางเคยมีปัญหากับฝ่ายเจ้าของคือ บรษิ ทั การไฟฟา้ สยามมาก่อนแล้ว เม่อื กรรมกรก่อต้งั สมาคมข้ึน ทาง บริษัทไม่ยอมรับคณะกรรมการของสมาคมในการเจรจาไกล่เกลี่ย จนในที่สดุ รัฐบาลตอ้ งเข้ามาประนปี ระนอม ปี ๒๔๕๓ ชาวจีนกอ่ การจลาจลเพ่ือคัดคา้ นรฐั บาลข้ึนภาษี ตา่ งด้าวของคนจนี แต่ถูกปราบปรามเสยี กอ่ น 16

ปี๒๔๕๖ รัฐออกกฎหมายให้รถลากและสามล้อ จด ทะเบยี นเพ่อื สะดวกแก่การควบคุมเมื่อก่ออุบัตเิ หตหุ รอื ผิดกฎจราจร โดยให้กรรมกรลากรถเสยี ค่าทะเบียนถึง ๓ สตางค์ และกาหนดอายุ ผลู้ ากรถว่าต้องมอี ายุระหว่าง ๑๘-๔๐ปี เม่อื พิจารณาดูจะเห็นว่าใน ยคุ นั้นเมืองไทยยังไม่มีรถมากมายเช่นทกุ วันน้ี ปัญหาอุบัติเหตุหรือ การผดิ กฎจราจรจงึ เป็นไปได้ยาก ราษฎรทว่ั ไปกไ็ มม่ ปี ญั ญาซ้อื รถมา ว่ิง กฎหมายน้ีจึงนับได้ว่า กาหนดเพ่ืออานวยความสะดวกให้ นายทุนและต่างชาติท่รี า่ รวยใหข้ บั รถไดส้ ะดวกสบายเท่าน้ัน 17

๔....จากปี ๒๔๗๕ ถึง ๒๔๘๔ 18

การเปล่ียนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มี ผลกระทบต่อสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นกรรมกรไทยน้อย มาก ในหลัก ๖ ประการของคณะราษฎร์ก็ไม่ได้กล่าวถึงปัญหา กรรมกรโดยเฉพาะ ; แม้วา่ จะมีพดู ถึงการปรบั ปรงุ ชีวติ ความเป็นอยู่ ของประชาชนกต็ าม ในทางเป็นจรงิ หลักการดังกลา่ วเกือบจะมไิ ด้มี การปฏิบัติเลย ในปี ๒๔๗๖ เกิดปัญหาการว่างงานเน่ืองจากนาแล้ง และ ผลกระทบของเศรษฐกิจตกต่าทั่วโลก รัฐบาลหาทางแก้ไขด้วยวิธี วา่ จ้างไปขดุ คลองทาถนน เชน่ ให้ไปทาถนนสายปากน้า-บางซือ่ รัฐบาลชุดแรกหลังเปล่ียนแปลงการปกครองได้แถลงต่อ สภาผู้แทนราษฎร ให้เห็นถึงความสนใจและเป้าหมายท่ีจะทาต่อไป ในเรื่องของกรรมกรอุตสาหกรรม ในเรื่องของอุตสาหกรรม , กลา่ วคอื \"ในเรื่องกรรมกร รัฐบาลได้จัดให้มีทะเบียนกรรมกรท่ีไม่มี งานขนึ้ เพ่ือให้รู้ว่าใครไม่มีงานทา เมอื่ เวลาต้องการจะไดเ้ รียกหาได้ งานท่ีจะทาต่อไปคือ รัฐบาลจะได้กาหนดเงื่อนไขว่า ให้ผู้รับ สัมปทานใช้กรรมกรชาวสยามตามส่วน การงานของรฐั บาลจะเพียร ใช้กรรมกรสยามอย่างมากที่สุดท่ีจะทาได้ นอกจากน้ันมีเสียง เรียกรอ้ งใหร้ ัฐบาลตั้งโรงงาน (ซึ่ง) กาลังจะเตรียม ม่ันใจไดว้ า่ รัฐบาล ไม่ลมื ความขอ้ นี.้ ..\" 19

แต่ความพยายามของรัฐบาลในการดาเนนิ นโยบายดังกล่าว ไม่ประสบความสาเร็จมากนัก มีผู้ว่างงานไปจดทะเบียนกับอาเภอ เพียงไม่กี่พัน ส่วนการเข้าไปควบคุมกิจการโรงงาน โดยรัฐบาล ตั้งเป้าหมายวา่ จะถือหุ้นร้อยละ ๒๕ ส่วนท่ีเหลอื รอ้ ยละ ๒๔ ให้เป็น ของชาวต่างชาติ นโยบายน้ีไม่ได้รับความร่วมมือจากบริษัทและ โรงงานตา่ งๆมากนัก ตามสถิติ ในระหว่างปี๒๔๗๖-๒๔๘๒ คนงานกุลีได้รับ ค่าแรงเฉล่ียวันละ ๗๕-๘๐ สตางค์ต่อวันสาหรับผู้ชาย และ ๖๐ สตางค์สาหรับผู้หญิง โดยใช้เวลาทางานวันละ ๘-๙ ชั่วโมง สา หนับช่างฝีมือน้ันจะได้รับสูงสุดวันละ ๒.๔๗ บาท ในขณะที่ พนกั งานเฝ้ายามไดร้ ับเดอื นละ ๒๕.๔๖ บาท และหัวหน้าคนงาน กุลีได้รับเงินเดือนละ ๗๑ บาท ค่าแรงสาหรับคนงานไร้ฝีมือนอก เมืองหลวงจะลดลงไปบ้างเล็กน้อย คือกรรมกรชายได้รับวันละ ๖๕ สตางค์ และกรรมกรหญิงได้รับวันละ ๕๐ สตางค์ เท่ากับ แรงงานกรรมกรรถไฟ เฉล่ียแล้วประมาณว่า กรรมกรโดยทัว่ ไปที่ ไม่ใช่ช่างฝีมือได้รับค่าจา้ งเดือนละ ๒๑ บาทสาหรับกรรมกรชาย และเดือนละ ๑๖.๕๐บาทสาหรับกรรมกรหญิง ในขณะท่ีรัฐสภา ชุดแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองได้กาหนดเงินเดือนข้ันต่า ของขา้ ราชการไว้ ๓๐ บาทต่อเดือน ความแตกต่างในรายได้ข้ันพื้นฐานสาหรับการกินอยู่ นาไปสู่การเรียกร้องของกรรมกรรถไฟให้เพ่ิมค่าแรงจากวันละ ๕๐ สตางค์ เป็น ๑ บาท แต่รัฐบาลปฏิเสธโดยอ้างว่า เพ่ือต้องการให้ กรรมกรรู้จักประหยัด และอ้างว่าถ้าเพ่ิมค่าแรงให้ กรรมกรไทยจะ 20

เอาไปเล่นการพนันหมด ส่วนกรรมกรจีนก็จะเก็บรวบรวมส่งบ้าน เกิด กลับยังขู่กรรมกรอีกว่า รัฐบาลสามารถหาแรงงานได้มากมาย หรือไมก่ ็ใช้เครื่องจักรเขา้ แทนท่ี ในดา้ นชว่ั โมงการทางานระหว่างปี ๒๔๗๙-๒๔๘๑ กรรมกร ในกรุงเทพต้องทางานเฉลี่ยแล้วอาทติ ย์ละ ๕๐ ชั่วโมง และเพม่ิ เป็น ๕๔ ชั่วโมงในปี ๒๔๘๒ ส่วนพนักงานนั้น ทางานอาทิตยล์ ะ ๔๔ ๑/ ๒ ชั่วโมง ระยะเวลาทางานนี้ไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน ข้ึนอยู่กับ นายจ้างเป็นสว่ นใหญ่ วนั ที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๗๕ กรรมกรลากรถในกรุงเทพ ๖ พัน คนได้นัดหยุดงานเป็นเวลา ๕ วัน เพ่ือขอลดค่าเช่ารถ จาก ๗๕ สตางค์ เปน็ ๖๐ สตางค์ ได้รับผลสาเรจ็ อย่างงดงาม.* 21

[*บางแหง่ กลา่ วว่า การนัดหยุดงานของกรรมกรลากรถในปี ๒๔๗๕ เรียกร้องให้นายจ้างลดค่าเช่าลงจากวันละ ๔๐ สตางค์ ซึ่ง เป็นอัตราท่สี ูงมา การตอ่ สู้คร้ังน้ัน กรรมกรเปน็ ฝา่ ยพ่ายแพ้ตอ้ งยอม ประนีประนอมตามข้อเสนอของนายจ้าง หลังจากที่ไม่อาจต่อสู้กับ ความหิวได.้ ] ในปีเดียวกัน กรรมกรหญิงย้อมผ้าได้รับชัยชนะในการนัด หยุดงานคัดค้านการตัดค่าแรงจากวันละ ๔๐ สตางค์ เหลือวันละ ๓๐ สตางค์ ปี ๒๔๗๗ กรรมกรขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพประท้วงให้เพ่ิม ค่าแรง หลังจากน้ัน การนัดหยุดงานก็กระจายไปตามต่างจังหวัด. ในปี ๒๔๗๘ พนักงานขับรถโดยสารสายเชียงรายและลาปางได้ระบุ ค่าแรงสูงข้ึนภายหลังการนัดหยุดงาน. เดือนสิงหาคม ปี๒๔๗๙ กรรมกรเหมืองแร่ ๒๐๐ คนท่ียะลานัดหยุดงานประท้วงการตัด ค่าแรงลดไปอีกร้อยละ ๑๐ แต่การประท้วงเหล่าน้ียังมีลักษณะ โดดเดีย่ วไมเ่ ป็นเอกภาพ และขาดพลังอนั เขม้ แขง็ การประท้วงคร้ังสาคัญที่เปลี่ยนไปจากเดิม คือมีขนาด ใหญ่และมีการร่วมมือกับกรรมกรสาขาอาชีพอ่ืน ได้แก่การ ประท้วงของกรรมกรโรงสีในกรุงเทพ เม่ือปี๒๔๗๗ คดั ค้านการงด จ่ายเงินพิเศษในวันตรุษจีน ซ่ึงเคนปฏิบัติเป็นประจา ทางโรงสีอ้าง ว่าปีน้ันราคาข้าวตก จึงไม่อาจจ่ายเงินทดแทนให้ได้ตามปรกติ แต่ กรรมกรเปดิ โปงว่าไมเ่ ปน็ ความจรงิ กรรมกรโรงสีไดต้ ิดต่อใหส้ มาคม กรรมกรรถราง ซ่ึงจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเป็นตัวแทนใน 22

การเจรจาขอ้ พิพาท พร้อมกันน้ันก็ไดย้ ่ืนข้อเสนอไมใ่ หร้ ัฐบาลเข้ามา ไกล่เกลี่ย แต่ให้รัฐบาลยึดโรงสีมาเสียเลยถ้าจาเป็น จากนั้นกลุ่ม กรรมกรได้แถลงต่อประชาชนว่า การประท้วงครั้งนี้เป็นการต่อสู้ เพื่อสวัสดิการและความอยู่รอดของชาวสยามท้ังมวล ในที่สุด รัฐบาลได้เข้ามาประนีประนอม หลังจากท่ีฝ่ายนายจ้างได้ใช้ มาตรการรุนแรงทาร้ายกรรมกร ทุนส่วนหน่ึงในการประท้วงคร้ังนี้ ได้มาจากการขายรปู ถ่ายของพระยาพหลฯ และหลวงประดษิ ฐ์ฯ ก่อนที่การประท้วงของกรรมกรโรงสีจะยุติลง กรรมกร รถไฟก็มีการนัดหยุดงานเช่นเดียวกัน กรรมกรได้เข้ายึดขบวนรถ และที่ทางานในกรุงเทพ พร้อมกับแถลงต่อประชาชนว่า ผู้บริหาร การรถไฟไมม่ คี วามยุตธิ รรม ขอใหร้ ัฐบาลเปลี่ยนตวั ผบู้ ริหารเสียใหม่ การประท้วงคร้ังน้ียุติลงโดยนายกรัฐมนตรีได้ข้ึนมาพูดยอมรับ ขอ้ เสนอดังกลา่ ว เน่ืองจากการต่อสู้ในช่วงนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในหมู่กรรมกร จีน หรือถ้าเป็นกิจการที่มีท้ังกรรมกรจีนและไทย ผู้นาก็มักเป็น กรรมกรจีน เช่น การสไตรค์ของกรรมกรรถไฟและแท็กซี่ในปี ๒๔๗๗ รัฐบาลจึงใช้มาตรการกีดกันทางเช้ือชาติ เพ่ือขัดขวางการ ต่อสู้ โดยการเนรเทศผู้นากรรมกร ๗ คนในการสไตรค์โรงสีกลับ เมืองจีน ปีต่อมา(๒๔๗๘) รัฐบาลก็ออกกฎหมายว่า โรงสีทุกแห่ง จะต้องจ้างกรรมกรไทยอย่างน้อยท่ีสุด ๕๐%ของกรรมกรท้ังหมด และในเดือนเมษายน๒๔๗๙ คณะรัฐมนตรีก็ออกกฎหมายสงวน อาชีพระบุว่า ให้ผู้รับเหมาทางานของรัฐบาลจ้างคนงานใหมจ่ านวน หน่ึง ซ่งึ จะกาหนดเป็นกรณีๆไป แต่โดยปรกติจะไม่น้อยกว่า ๕๐% 23

และในปีน้ันเอง ก็มีพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิในการประมง โดย ห้ามมิให้เรือประมงไทย ท่ีมีลูกเรือต่างชาติรวมอยู่ด้วย ทาการจับ ปลาในนา่ นนา้ ของไทย หลังจากน้ัน ก็มีการออกกฎหมายสงวนอาชีพขับแท็กซี่ กฎหมายการเดินเรือ ซ่ึงบังคับให้จ้าง \"ชาวสยาม\" เป็น ๗๕% ของ ลูกเรือทัง้ หมด นโยบายดังกลา่ วครอบคลุมไปทกุ ด้าน เช่น การกรีด ยาง, ทารังนก, แต่ทอมสันได้ต้ังข้อสังเกตว่า \"...มีเพียงเหมืองแร่ ดบี ุก อันเป็นกิจการของต่างชาติ(ตะวันตก)เทา่ นั้น ที่รฐั บาลไม่ได้ แตะตอ้ ง...\" ผลจากการดาเนินนโยบายเหล่าน้ี ทาให้โครงสร้าง(เชื้อ ชาติ)ของชนช้ันกรรมกรไทยเริม่ มีการเปลย่ี นแปลงไป(และมาเปลยี่ น เอามาก ตอนจอมพล ป.เร่ิมนโยบายฟาสซิสต์ในช่วงสงครามโลก และหลงั ๒๔๙๐) หนั มาดูในด้านกฎหมายบา้ ง หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ได้มีความพยายามจะออกกฎหมายคุ้มครองการทางานของ กรรมกรแต่อย่างใด. แม้ว่าในปี๒๔๘๑ รัฐบาลจะเสนอกฎหมาย ควบคมุ เวลาการทางาน วันละ ๘ ชัว่ โมง แตก่ ็ถกู สภาลงมติไม่รบั รอง ด้วยคะแนนเสียง ๖๒ ต่อ ๒๘. ต่อมา ในเดือนกรกฎาคม ๒๔๘๓ สมาชิกสภาฯได้เสนอพระราชบัญญัติแรงงาน กาหนดระยะเวลา ทางาน การทาสัญญาแรงงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง รวมท้งั จะ ให้มีการจ่ายค่าล่วงเวลา และค่ารักษาพยาบาลด้วย แต่รัฐบาลได้ ขอให้ถอนร่างพระราชบัญญัตินี้เสีย โดยอ้างว่ากาลังอยู่ในระยะ 24

ส่งเสริมอุตสาหกรรมไม่ควรจะตรากฎหมายดังกล่าวออกมา และ กล่าวว่า กรรมกรส่วนมาก ก็ได้รับการปฏิบัติ \"เหมือนสมาชิกใน ครอบครัวเดยี วกับนายจ้างอย่างเหมาะสมและยตุ ธิ รรมแล้ว\" ในทสี่ ุด ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ก็ถูกถอนออกไป. นักวิชาการตะวันตก บางคนเคยกล่าวว่า ทั้งๆท่ีไทยเข้าเป็นสมาชิกขององค์การ กรรมกรสากล(I. L.O) มาต้ังแต่ปี ๒๔๖๒ แต่ไทยกลับเปน็ ประเทศ ที่แทบลา้ หลังท่สี ุดในดา้ นการใหห้ ลักประกนั ทางสังคมแก่กรรมกร 25

๕....ชว่ ง ๒๔๘๕-๒๔๙๐ : บทบาทของสหอาชวี ะกรรมกร 26

ในระหว่างสงครามโลก จอมพล ป.ได้ตั้งโครงการค่าย แรงงานเกณฑ์ที่เพชรบูรณ์ ทอมสันประมาณว่าแรงงานเกณฑ์ที่ไป ทางานในโครงการนม้ี ีถึง ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน กล่าวกันว่า การเข้าร่วม โครงการนี้ และการได้สัมพันธ์กับกรรมกรเชลยศึกเกาหลี มาเลย์ อินโดนีเซีย จีน ซึ่งญี่ปุ่นบังคับให้มาสร้างทางรถไฟสายแม่น้าแคว และท่ีอื่นๆ มีส่วนช่วยยกระดับความต่ืนตัวของชนชั้นกรรมกรไทย ไมม่ ากก็น้อย ความปน่ั ป่วนทางเศรษฐกิจหลงั สงครามโลก เชน่ ปัญหา เงินเฟ้อ ของแพง ผลักดันให้กรรมกรต้องลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว ต่อสู้ ประมาณกันว่า ระหว่างปี ๒๔๘๘-๒๔๘๙ มีการสไตรค์ถึง ๑๗๓ คร้ัง และการสไตรค์แต่ละคร้ังก็มีลักษณะของการต่อสู้ ร่วมกันระหวา่ งกรรมกรไทยกบั กรรมกรจนี ด้วย วันท่ี ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๘๘ กุลีจีนซ่ึงเป็นลูกจ้างบริษัท ข้าวไทยของรัฐบาล ราว ๒,๐๐๐ คน ได้นัดหยุดงานครั้งใหญ่ เรียกร้องค่าแรงเพ่ิม ทางบริษัทข้าวไทยได้ใชน้ โยบายปราบปรามส่ง คนมาบอ่ นทาลาย(SCAB) แต่ปรากฎว่า พวกท่ีเขา้ มาน้ี กลับเห็นอก เห็นใจกรรมกร จึงร่วมมือต่อสู้กับกรรมกรในวันรุ่งขึ้น จากนั้น กรรมกรโรงสีและลกู จ้างรัฐบาล ก็สไตรคส์ นับสนนุ จานวนผเู้ ข้าร่วม มีถึง ๔,๐๐๐ คน วันท่ี ๒๘ พฤศจิกายน มีการตกลงกันระหว่างกรรมกร นายทุน และรัฐบาล โดยกรรมกรประสบความสาเร็จในการต่อสู้ได้ ค่าแรงเพิ่ม มีสิทธิได้ค่าล่วงเวลาสาหรับการทางานวันอาทิตย์ และ 27

เลิกงานตอนเท่ียงคืน อย่างไรก็ตาม มีเสียงกล่าวว่า การสไตรค์ครั้ง นี้มี \"มอื ที่สาม\" คือ คอมมวิ นิสตห์ นนุ หลงั เดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๙ กรรมกรแบกหามในโรงไม้ก่อกา รสไตรค์ และในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน กรรมกรโรงงานยาสูบ กรรมกรท่าเรือ และกรรมกรรถไฟก็สไตรค์ตามเป็นระลอก โดยเฉพาะการสไตรคข์ องกรรมกรรถไฟมักกะสนั ซง่ึ มคี นเข้าร่วมถึง ๒,๐๐๐ คน กรรมกรได้เรียกร้องให้เพ่ิมค่าแรง มีวันหยุดปีละ ๒ อาทิตย์ เป็นต้น ส่วนการสไตรค์ของกรรมกรท่าเรือซ่ึงมีเข้าร่วมถึง ๑,๕๐๐ คนน้ัน พุ่งเป้าของการประท้วงไปท่ีระเบียบใหม่ที่ลดค่า ครองชีพ กรรมกรทา่ เรือได้เรยี กร้องให้นายจ้างจัดบริการแพทย์ฟรี และเสอ้ื ผา้ ในราคาถกู ในด้านการจัดต้ัง หลังสงครามโลกคร้ังท่ีสอง ชนช้ัน กรรมกรไทยได้ก้าวหน้าขึ้นอีกข้ันหนึ่ง มีการรวมตัวกันจัดต้ังเป็น สมาคมคนงาน เช่น ในเดือนมกราคม๒๔๘๙ กรรมกรโรงพิมพ์ ประมาณ ๒๐๐ คนได้ร่วมกันจัดต้ังสมาคม หลังจากน้ัน ก็มีการ รวมกลุม่ สมาคมคนขบั สามล้อ สมาคมลกู จ้างคนงานในกิจการขนส่ง ในปตี อ่ มา ก็มสี มาคมคนงานรถไฟ สมาคมรถลาก ในช่วงน้ีเอง \"องค์การสหอาชีวะกรรมกรแห่งประเทศ ไทย\" (Central Union of Labour ,CUL.) องค์การจดั ตั้งทใ่ี หญ่ ท่ีสุดในประวัติการเคลื่อนไหวของกรรมกรไทย ก็ได้ถือกาเนิดขึ้น และแสดงบทบาทอันสาคัญในการนาชนช้ันกรรมกรดาเนินการ ตอ่ สู้เพ่อื สิทธิพลประโยชนข์ องตน 28

ปี ๒๔๘๘ สหอาชีวะกรรมกร ได้จดั งานฉลองวนั กรรมกร สากล ๑ พฤษภาคมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ขึ้นท่ีวังสราญ รมณ์ โดยมีกรรมกรเข้าร่วมกว่าพันคน ในปีต่อมา(๒๔๘๙) การ ชุมนุมฉลองวันเมย์เดย์ ซ่ึงสหอาชีวะกรรมกรจัดขึ้นที่ท้อง สนามหลวงมีกรรมกรเข้าร่วมมากท่ีสุดเป็นประวัติการณ์ถึงกว่า แสนคน \"ภายใต้ร่มธงของสหอาชีวะอันมีพื้นเป็นสีเหลืองอร่าม โบกสบัดพรายแพรวอยู่บนเวที ซึ่งประดับคาขวัญว่า \"กรรมกร ท้ังหลายจงสามัคคีกัน\" คาขวัญน้ีเองที่เป็นเสมือนวิญญาณ ของสหอาชีวะ ซ่ึงยังคงสถิตย์อยู่ในดวงใจของกรรมกรทุกคน ตราบเทา่ ทุกวันน้ี. ..\" ปี๒๔๙๐ สหอาชีวะกรรมกร ได้ประกาศจัดตั้งอย่างเป็น ทางการ นับเป็นสหพันธ์กรรมกรแห่งแรกของประเทศไทย ท่ีรวม กรรมกรจากกิจการสาขาต่างๆ เช่น กรรมการโรงเลอื่ ย โรงสี รถไฟ ไฟฟา้ ซีเมนต์ ไมข้ ดี และกรรมกรสาขาเกษตรกรรม เข้าไวด้ ้วยกนั สหอาชีวะมีสมาชิกเข้าร่วมถึง ๗๕,๐๐๐ คน รวบรวมจาก สมาคมต่างๆ ประมาณ ๕๐ สมาคม ลกั ษณะเด่นทสี่ ุดของสหอาชวี ะ ก็คือ กลุ่มนาของสหอาชีวะส่วนใหญ่เป็นคนไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็น ถึงความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของชนชั้นกรรมกรไทย ส่วน สมาชิกนัน้ สกนิ เนอร์ ประมาณว่ามกี รรมกรจีนอยู่ ๒ ใน ๕ แสดงว่า มีกรรมกรไทยถึง ๓ ใน ๕ ซ่ึงช้ีให้เห็นความกระตือรือรน้ ของชนช้ัน กรรมกรไทยได้เปน็ อย่างดี สกินเนอร์ยังต้งั ข้อสงั เกตว่า หลงั จากน้ัน มีกรรมกรจีนเข้าร่วมมากข้ึน และในปี๒๔๙๑ สมาคมกรรมกรจีน 29

ส่วนใหญ่ก็เข้าร่วมกับสหอาชีวะหมด ซึ่งหมายความว่าจานวน สมาชกิ ในขณะน้ันจะต้องมมี ากกวา่ ๗๕,๐๐๐ คนแน่นอน ทางด้านการเคล่ือนไหวทางเศรษฐกิจ สหอาชีวะได้ เรียกร้องให้รัฐบาลออกกฎหมายช่ัวโมงการทางานอย่างสูงไม่เกิน อาทิตย์ละ ๔๘ ชั่วโมง เรียกร้องสิทธิในการรวมกลุ่มของกรรมกร สทิ ธใิ นการนดั หยุดงาน ตลอดจนการประกนั สงั คม ปี๒๔๙๒ สหอาชีวะกรรมกรได้สมัครเข้าเป็นสมาชิก ส ห พั น ธ์ ก ร ร ม ก ร โ ล ก ( The World Federation of Trade Union, WFTU.) และได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมที่ปักกิ่งใน ปลายปีเดียวกัน 30

๖....จาก ๒๔๙๐ ถึง ๒๕๐๑ : แบ่งแยกและปราบปราม 31

เดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๐ สหรัฐอเมริกาได้หนุนให้จอมพล ป.พิบูลสงครามทารัฐประหารล้มรัฐบาลพลเรือนของนายปรีดี พนม ยงค์ ลงไป(นายกรฐั มนตรีในขณะน้นั คอื พลเรือตรีถวัลย์ ธารงนาวา สวัสดิ์ คนของนายปรีดี) พร้อมๆกับที่ดาเนินการกวาดล้างกลุ่ม ปกครองเก่าอย่างนองเลือด, รัฐบาลจอมพล ป.ก็ได้ดาเนินการท้ัง แบ่งแยกทั้งปราบปรามการเคลือ่ นไหวของกรรมกรอยา่ งขนานใหญ่ สิ่งแรกท่ีจอมพล ป.พยายามจะทาก็คือ หาทางทาลาย อิทธิพลของสหอาชีวะกรรมกรแห่งประเทศไทย ด้วยการไม่ยอม ต่อทะเบียนให้อีกตามกฎหมาย ในปี ๒๔๙๒ ซ่ึงก็เท่ากับว่าสห อาชีวะกรรมกรถกู ยบุ เลกิ ไปโดยปริยาย ในระยะเดียวกันนั้นเอง จอมพล ป.ได้ตั้งองค์กรขึ้นมา แบ่งแยกพลังของกรรมกรโดยใช้ชื่อว่า \"สมาคมกรรมกรไทย\"(Thai National Trade Congress, TNTUC.) มีนายสังข์ พัธโนทัย เป็น นายกสมาคม ตัวนายสังข์นั้น ก่อนหน้าท่ีจะมาเป็นนายกสมาคมฯ เคยมีประวตั ิในการตอ่ ต้านคอมมวิ นสิ ต์อยา่ งแขง็ ขัน และไมเ่ พยี งแต่ ต่อต้านคอมมิวนิสต์เท่านน้ั ยังต่อตา้ นการเคลอื่ นไหวของประชาชน ท่คี ัดค้านเผด็จการดว้ ย สมาคมกรรมกรไทยได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลเผด็จ การของจอมพล ป.อย่างเต็มที่ ด้วยการจดั งบประมาณอุดหนุนผ่าน ทางกรมประชาสงเคราะห์ปีละหลายแสนบาท ดังนั้น สมาคมจึงไม่ ต้องเกบ็ คา่ บารุงสมาชิกแต่อยา่ งใด ตวั เลขสมาชกิ ทสี่ มาคมเปิดเผยมี 32

อยู่ประมาณ ๗๐,๐๐๐ คน(แต่ตัวเลขท่ีแท้จริงมีไม่ถึง ๘๐๐ คน) สมาคมมีสานกั งานใหญ่อยทู่ ี่ถนนราชดาเนนิ แฟรงค์ ลอมบาร์ด(Frank Lombard) ได้ต้ังข้อสังเกตว่า สมาคมกรรมกรไทยไมเ่ คยทาหน้าท่ีเป็นตัวแทนของกรรมกรอยา่ ง แท้จริง ไม่เคยเรยี กร้องกฎหมายแรงงานคุ้มครองกรรมกรเลย ไม่ เคยแม้แต่จะต่อรองกับนายจ้าง มีแต่ทางานโฆษณาชวนเชื่อ ตอ่ ตา้ นคอมมิวนิสต์ และท่นี า่ ขันก็คือ มแี ตท่ หารและตารวจอยู่ใน กรรมการของสมาคม สมาคมนี้ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของ \"สหพันธ์สมาคมคนงานเสรีสากล\"(International Confederation Free Trade Union, ICFTU.) ท่ีหันนุ หลังโดยอเมริกาในปี ๒๔๙๓ ปี ๒๔๙๕ รัฐบาลจอมพล ป.ประกาศใช้พระราชบัญญัติ ป้องกันการกระทาอันเป็นคอมมิวนิสต์อีก ปี ๒๔๙๖ ก็ออก พระราชบัญญัตกิ ารกระทาอนั ไม่เปน็ ไทย พร้อมกนั นั้น ก็ดาเนนิ การ กวาดลา้ งจับกุมผู้นากรรมกรและประชาชนวงการต่างๆที่เคล่อื นไหว ในกรณี \"สนั ตภิ าพ\" ปี ๒๔๙๗ รัฐบาลจอมพล ป. หนุนหลังให้พ่อค้าใหญผ่ ู้หนึ่ง ซ่ึงเป็นชาวจีนตั้งสมาคมเสรีแรงงานแห่งประเทศไทย( Free Workmen's Association o Thailand)ขึน้ โดยมีอธิบดกี รมตารวจ สมัยน้ัน พลตารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ให้ความร่วมมือด้วย สานกั งานใหญข่ องสมาคมนีอ้ ยทู่ ่ถี นนสาธรใต้ (ที่ตัง้ ภัตตาคารนวิ เปง เชียงในปัจจุบัน) สมาคมมีสมาชิกเท่าท่ีเปิดเผยตัวเลขประมาณ ๑๔,๐๐๐ คน(กลา่ วกนั ว่า มจี ริงๆประมาณ ๑,๕๐๐ คน) จดุ ประสงค์ 33

ท่ีตั้งสมาคมน้ีขึน้ มาก็เพื่อไวห้ ลอกลวงและแบ่งแยกกรรมกรที่มีเช้ือ สายเป็นจนี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในระยะน้ปี ระเทศไทยจะตกอยภู่ ายใต้ ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ แต่ชนช้ันกรรมกรก็ยังคงลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อปากท้องและสิทธิผลประโยชน์ของตน ท่ีเด่นท่ีสุดได้แก่ การ ต่อสู้ของกรรมกรรถไฟซ่ึงเร่ิมต้ังแต่ปี ๒๔๙๓ ถึงปี๒๔๙๕ มีการนัด หยุดงาน ซึ่งถูกรัฐบาลเผด็จการตอบโตด้ ้วยการจับกุมผู้นากรรมกร ไป ๗ คน แต่กรรมกรยังคงหยุดงานต่อไปอีกสองวัน รัฐบาลจึงต้อง ยอมทาตามข้อเรียกร้อง ผู้นากรรมกรท้ัง ๗ คนถูกส่งฟ้องศาลใน ข้อหากบฏเรยี กว่า \"กบฏมักกะสัน\" ต่อมาศาลได้ยกฟ้องและปล่อย ตวั จาเลยทงั้ หมดเปน็ อิสระ ในระยะประมาณสองปีเศษก่อนปี๒๕๐๐, จอมพล ป.ถูก ส ถ า น ก า ร ณ์ บี บ บั ง คั บ ใ ห้ ต้ อ ง หั น ม า ด า เ นิ น น โ ย บ า ย ท่ี เ ป็ น \"ประชาธิปไตย\" มากขึ้น โดยอนุญาตใหม้ ีการแสดงความคิดเห็นได้ ในระดับหน่ึง กรรมกรได้รวมตัวเป็น \"กรรมกรสิบห้าหน่วย\" เรียกร้องให้มีกฎหมายแรงงานเพื่อคุ้มครองคนงายในด้านต่างๆ ต่อมา เสยี งเรยี กร้องให้จัดวันกรรมกรดังจากโรงงานต่างๆจนรัฐบาล ต้องยอมให้จัดได้ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๔๙๙ ที่สนามเสือป่า มี กรรมกรเข้ารว่ มหลายหมืน่ คน 34

พร้อมกันน้ัน รัฐบาลได้ดาเนินการร่างพระราชบัญญัติ แรงงานฉบบั แรกข้ึน โดยตอนแรกแบง่ ออกเป็นสองรา่ ง คอื ร่างแรก เปน็ เรื่องเก่ียวกับการคุ้มครองแรงงาน เช่น การกาหนดเวลาทางาน การกาหนดอัตราค่าจ้าง การกาหนดสวัสดิการต่างๆของคนงาน เป็นต้น ส่วนอีกร่างหนึ่งเป็นเร่ืองของพระราชบัญญัติแรงงาน โดยตรง เช่น เรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพในการจัดตั้งองค์กรของ คนงานในรูปสหภาพแรงงาน การกาหนดขั้นตอนของการเจรจา ต่อรองสภาพการจ้างงาน เป็นต้น เมื่อร่างพระราชบัญญัติท้ังสอง สาเร็จลง และเสนอให้รัฐบาลพิจารณาโดยผ่านทางพรรคเสรีมนังค ศลิ า รฐั บาลได้เอาร่างพระราชบัญญัติท้ังสองมารวมเข้าด้วยกันเป็น กฎหมายฉบับเดยี ว ใชช้ ่ือวา่ \"กฎหมายแรงงานพทุ ธศกั ราช ๒๔๙๙\" และผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนโดยเรียบรอ้ ย กฎหมายฉบับน้ีมีสาระอยู่ ๓ ด้านด้วยกัน คือ : (๑)การ คุ้มครองแรงงาน ซึ่งรวมไปถึงด้านสภาพการทางาน การทางาน ล่วงเวลา วันหยุดงาน แรงงานเด็กและสตรี ความปลอดภัยของ กรรมกร การชดใช้ค่าเสียหายแก่กรรมกร และชั่วโมงการทางาน ไม่เกิน ๔๘ชั่วโมงต่ออาทิตย์ ; (๒)องค์การกรรมกร อนุญาตให้ กรรมกรมีสิทธิในการจัดตั้งนัดหยดุ งาน ต่อรองกับนายจา้ ง ; (๓) แ ร ง ง า น สั ม พั น ธ์ ว่ า ด้ ว ย ก า ร ไ ก ล่ เ ก ล่ี ย ต่ อ ร อ ง เ ร่ื อ ง แ ร ง ง า น โดยเฉพาะ ในช่วงน้ี มีองคก์ ารและสหพันธก์ รรมกรรวมท้งั สน้ิ ประมาณ ๑๕๔ แห่ง ซึ่งนับว่า เป็นอัตราการจัดต้ังท่ีสูงมาก ในช่วงไม่ถงึ ๒ ปี การสไตรค์เพม่ิ จาก ๑๒ คร้งั ในปี ๒๔๙๙ เปน็ ๒๑ คร้ังในปี ๒๕๐๐ 35

; แม้จะไม่มากเท่าช่วงหลังสงคราม อย่างไรก็ตาม, กฎหมายแรงงานทเ่ี ป็นผลมาจากการต่อสู้อันยาวนานของชนช้ัน กรรมกรและการเคลอ่ื นไหวทเี่ ฟื่องขน้ึ ในระยะนี้ กม็ อี ายอุ ยูเ่ พยี งปี เศษเท่านั้น วนั ที่ ๖ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๐๐ มีการเลือกตั้งท่ัวไป ซึ่งเต็ม ไปด้วยการโกงสารพัด จนเกิดการเดินขบวนประท้วง \"เลือกต้ัง สกปรก\" ของนักศึกษาประชาชนเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม สฤษดิ์ ธนะ รัชต์ ได้ฉวยโอกาสน้ีมาทารัฐประหาร แล้วตั้งพจน์ สารสิน(๑๖ กันยายน - ๑๕ ธันวาคม ๒๕๐๐) และถนอม กิตติขจร (๑ มกราคม ๑๕๐๑) เป็นนายกรัฐมนตรี \"หุ่น\" ตามลาดับ ในที่สุด ก็ทา รฐั ประหารฟ้ืนระบอบเผด็จการฟาสซิสต์อย่างท่ัวดา้ น เม่ือวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ การเคล่ือนไหวของชนช้ันกรรมกรไทยก็ตกอยู่ ภายใต้ยคุ มดื อีกคร้ังหนงึ่ 36

๗..... ยุคมืดของชนชั้นกรรมกรไทย (๒๕๐๑ ถงึ \"๑๔ ตุลาคม\") 37

๑๑ วันหลังทารัฐประหาร สฤษดิ์ได้ออก \"ประกาศคณะ ปฏิวัติ\" ฉบับที่ ๑๙ ยกเลิกพระราชบัญญัติแรงงานปี ๒๔๙๙ ประกาศฉบับนกี้ าหนดให้กรมประชาสงเคราะหเ์ ป็นผู้ดูแลในเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ห้ามการต้ังสหภาพ แรงงาน ประกาศดังกล่าวไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะแก้ปัญหา แรงงานอยา่ งแท้จรงิ พร้อมกันนั้น สฤษดิ์ก็เร่ิมยุคแห่งความสยดสยอง ด้วย การจับกุม-ประหารชีวิตผู้นากรรมกร ปัญญาชนและประชาชน วงการต่างๆท่ีต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มีผู้ถูกจับกุมคุมขังในครั้ง น้นั นับพันคน สฤษด์ิได้ประกาศให้ยุคนี้เป็น \"ยุคพัฒนา\" แต่เนื้อ แท้ก็คือ การขายประเทศให้ทุนผูกขาดอเมริกาอย่างเต็มท่ี สร้าง สง่ิ ท่เี รียกวา่ \"บรรยากาศการลงทุน\" ข้ึนท่ัวประเทศ ซ่งึ กค็ ือ กดข่ี บีบคั้นไม่ให้กรรมกร-ลูกจ้างลุกข้ึนมาเรียกร้องค่าแรงสวัสดิการ หรือสิทธิผลประโยชนด์ ้านอ่ืนๆ ชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมกรจึง ไม่มีหลักประกันใดๆท้ังส้ิน สุดแล้วแต่นายทุนโดยเฉพาะคือ นายทุนผกู ขาดา่ งชาติ จะกาหนดกฎเกณฑ์เอาตามใจชอบ 38

นกั วิชาการต่างประเทศผู้หนึง่ เคยคานวณว่า ตั้งแต่เร่ิมเพ่ิม มากขึ้น กลายเป็น \"กองทัพสารองอุตสาหกรรม\" อันมหึมาสาหรับ นายทุนผูกขาด จากการสารวจในปี ๒๕๑๐ พบว่า ในภาคกลาง จานวนชาวนาไร้ท่ดี ินมีมากถงึ ๒๒.๕% ตัวเลขของกรมแรงงานในปี๒๕๑๓ แสดงว่า มีกรรมกรใน โรงงานอุตสาหกรรมถึง ๘๘๗,๙๑๐ คน ในทางตรงกันข้าม ตัวเลขแสดงการนัดหยุดงานของ กรรมกรกลบั น้อยลง เพราะถูกกดจากอานาจเผด็จการ กล่าวคือ จานวนการนัดหยุดงานลดลงจาก ๒๑ คร้ังในปี ๒๕๐๐ เหลือ เพียง ๔ ครั้งในปี ๒๕๐๑ และเหลือเพียงคร้ังเดียวในปี ๒๕๐๒ ระหวา่ งปี ๒๕๐๓-๒๕๐๗ เฉลี่ยแล้วมีเพียงปีละ ๓-๕ คร้ังเท่านั้น ท้ังน้แี สดงให้เห็นว่ากรรมกรต้องทนอยใู่ นสภาพทถี่ กู กดข่ขี ดู รดี อย่าง หนกั หนว่ งโดยไม่สามารถลกุ ขึ้นมาเรยี กร้องอะไรได้ อัตราค่าจ้างข้ัน ต่าใน \"บรรยากาศการลงทุน\" ในปี ๒๕๐๑ ทุนต่างชาติได้หล่ังไหล เข้ามามากขึ้น จาก ๓,๒๘๐ ล้านบาท เป็น ๑๐,๓๘๐ล้านบาทในปี ๒๕๐๙ และพร้อมกันน้ัน นายทุนต่างชาติได้นากาไรออกนอก ประเทศจากปี ๒๕๐๔-๒๕๐๙ ถึง ๒,๖๐๐ ล้านบาท การตายของสฤษด์ิในปี ๒๕๐๖ ไม่ได้ทาให้นโยบายเหล่านี้ เกิดการเปล่ียนแปลงแต่อย่างใด รัฐบาลถนอม-ประภาส ยังคงสืบ ทอดอดุ มการณข์ ายประเทศให้ตา่ งชาติตอ่ ไปอยา่ งเอาการเอางาน ผลจากการดาเนินนโยบายดังกล่าว ทาให้จานวนกรรมกร เพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว จากจานวนร้อยละ ๒ ของแรงงานทั้งหมด 39

ในช่วงปี ๒๔๙๐ เป็นร้อยละ ๗.๗ ในปี๒๕๑๒ โรงงานอุตสาหกรรม ในช่วง ๒๕๐๓-๒๕๑๐ เพ่ิมจาก ๑๖,๐๐๐ โรงเป็น ๔๔,๒๕๘ โรง และพร้อมกันนั้น จานวนชาวนาที่ล้มละลาย ไม่มีท่ีดินทากินก็ ระยะเวลาร่วม ๑๔ ปี(๒๕๐๑-๒๕๑๕)ถูกกดให้อยู่คงท่ี ราว ๗-๘ บาท ท้ังๆ ท่ีคา่ ครองชพี เพิ่มสูงขึ้นทกุ ปี เม่ือถึงปี ๒๕๐๘ ตัวเลขแสดงการนัดหยุดงานได้เพ่ิม สูงข้ึน ท้ังน้ีได้สะท้อนให้เห็นถึงการพังทลายของนโยบาย เศรษ ฐกิจแบ บขา ยป ระเทศขอ งรัฐ บา ลส ฤษ ด์ิ - ถน อ ม ขณะเดียวกัน ก็แสดงให้เห็นว่า ชนชั้นกรรมกรไม่อาจทนต่อ สภาพการถูกกดข่ีบีบคัน้ อย่างหนักได้อีกต่อไป ; อานาจเผด็จการ ท่ีกดหวั กรรมกรเร่มิ สน่ั คลอนแล้ว เพ่ือยับยั้งการเคลื่อนไหวของกรรมกรท่ีขยายตัวออกไป รัฐบาลถนอมได้ออกพระราชบัญญัติกาหนดวิธีระงับข้อพิพาท แรงงาน พ.ศ.๒๕๐๘ ผ่อนคลายให้กรรมกรมโี อกาสย่ืนข้อเรียกร้อง และเจรจาต่อรองกับนายจ้างได้ แต่ยังคงจากัดสิทธิของลูกจ้างใน การก่อตั้งสหภาพแรงงาน ซ่ึงก็ไม่ได้ทาให้สภาพของกรรมกรดีข้ึน เท่าใดนัก ในที่สุด เมื่อทนต่อเสียงเรียกร้องและแรงบีบคั้นทั้งจาก ภายในประเทศและทางสากลไม่ไหว รัฐบาลถนอมจึงจาต้องออก ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่๑๐๓ เม่ือวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๑๕ อนุญาตใหก้ รรมกรรวมตัวกันเป็น \"สมาคมลูกจ้าง\"ได้ แต่องค์กร ดังกล่าวไม่มีสิทธิที่จะรวมคนงานในอุตสาหกรรมต่างประเทศ 40

และตา่ งจังหวัดเข้าในรูปสหพันธ์ใหญๆ่ ดงั เช่น สหอาชวี ะได้ และ ยงั มกี ารกาหนดอตั ราค่าจ้างแรงงานข้ันตา่ ไว้อย่างจากัด ซึ่งไม่ได้ให้ ความเป็นธรรมแก่กรรมกรเลย บทลงโทษนายทุนท่ีทาผิดก็กาหนด ไว้ตา่ มาก ในทางปฏิบัติไม่มีการลงโทษเลย มหิ นาซ้าขั้นตอนในการ นัดหยุดงาน (บางประเภทเท่าน้ันท่ีนัดหยุดงานได้) ก็ว่างไว้อย่าง สลับซับซ้อนและสับสน ท้ังใช้เวลายาวนานกว่าหนึ่งเดือน ในทาง เปน็ จรงิ ก็คอื นัดหยุดงานไม่ไดน้ น่ั เอง อย่างไรก็ตาม, แม้ว่าประกาศฉบับนั้นจะเป็นสิ่งท่ีสร้าง ขึ้นมาเพื่อหลอกลวงโดยการผ่อนคลายก็ตาม แต่ก็เท่ากับเป็นการ ยอมรับถึงความตืน่ ตัวขน้ึ มาอีกคร้ังหนึ่งของกาลังกรรมกร เป็นการ ยอมรับว่า กรรมกรมีบทบาทมากข้ึนในทางการเมืองและเศรษฐกิจ 41

๘.....จากกระทุ่มแบนถึงสนามหลวง : สามปีแห่ง การลุกขึน้ สู้ 42

การนดั หยุดงานของกรรมกรในช่วงคร่ึงก่อนเกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม เพ่ิมสูงขึ้นเปน็ พิเศษ มกี ารนัดหยุดงานของกรรมกรโรง เหล็กเมืองไทย สมุทรปราการ ที่กินเวลานานถึง ๒๙ วัน ซ่ึงถือว่า \"นานท่ีสุดในประวัติศาสตร์ไทย\" (ในยุคน้ัน) ก่อนหน้าน้ัน , มี การสไตรคข์ องกรรมการโรงงานโฟรส์ โตนนาน ๑๐ วัน การนัดหยุดงานของกรรมกรโรงเหล็กน้ัน มีลักษณะเด่น เป็นพิเศษ กล่าวคือ ได้รับความเห็นอกเห็นใจสนับสนุนจาก ประชาชนวงการตา่ งๆอยา่ งมาก มีเงินบรจิ าคหลัง่ ไหลมาจากทตี่ า่ งๆ มากมาย แม้แต่พระก็ให้ความช่วยเหลือ ให้ใช้วัด ให้ยืมเต้นท์ และ เคร่อื งใช้ในการทาครัว พรอ้ มกนั นั้น นักศึกษากไ็ ด้ให้ความสนบั สนุน โดยนายธีรยุทธ บุญมี เลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่ง ประเทศไทย นายชยั วฒั น์ สรุ วิชัย อปุ นายกสโมสรนิสิต จุฬาฯ นาย สมบัติ ธารงธัญวงศ์ ซ่ึงต่อมาเป็นเลขาธิการศูนย์ฯ และเพ่ือน นักศึกษาได้รับการขอร้องจากตัวแทนคนงานคือ นายวิโรจน์ หวังเจ๊ะ ให้เข้าไปช่วยไกล่เกล่ียข้อพิพาท น่ีเป็นครั้งแรกที่องค์กร นกั ศึกษาระดบั สูงได้เข้าไปสัมพันธ์กับการต่อสู้ทางเศรษฐกจิ ของ กรรมกรอย่างเปิดเผย นักศึกษาได้เรี่ยไรเงินทองข้าวสารไปช่วย อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือคร้ังนกี้ ็ยังเป็นการชว่ ยเหลือเฉพาะหน้า ขบวนการนักศกึ ษาในขณะนั้นยงั ไม่มีนโยบายต่อปัญหากรรมกร ผล ก็คือ พอเสร็จการสไตรค์สันนิบาตเสรีชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็น องค์กรภายใต้การอุ้มชูของอเมริกา ก็เข้าไปให้การอบรมกรรมกร และสนับสนุนให้นายวโิ รจน์ หวังเจ๊ะ จัดต้ังแนวร่วมกรรมกรเสรีข้ึน ซึ่งต่อมา กลบั มีบทบาทในการคัดค้านความช่วยเหลือของนกั ศึกษา เสยี เอง 43

แฟรงค์ ลอมบารด์ ได้กลา่ วถึงเรื่องนว้ี ่า \"...จะเห็นได้ชดั ว่า เมื่อกรรมกรรวมกับนักศึกษาแล้ว ก็จะก่อขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่ คดั ค้านอานาจรฐั บาลได้ มีการพดู กนั หนาหูว่า กรรมกรเริ่มสานึก ถึงพลังและสิทธิของตนเองแล้ว. ..\" เขากล่าวเช่นนี้ในเดือน สิงหาคม๒๕๑๖ หลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่เดือน ยุคใหม่แห่งความ สามคั คีรวมพลังของนกั ศึกษากรรมกรก็เร่มิ ตน้ ข้นึ \"ขบวนการ ๑๔ ตุลาคม\" ที่มีนักศึกษาเป็นผู้ริเร่ิมและ ประชาชนวงการต่างๆ ท่ัวประเทศ ให้การสนับสนุนนั้น เป็นผลอัน ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของการดาเนินนโยบายขายประเทศชาติ และ เผด็จการฟาสซิสต์เป็นเวลากว่า ๑๕ ปี ของกลุ่มสฤษด์ิ-ถนอม- ประภาส ชัยชนะครั้งนี้ ทาให้การเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างลึกซึ้ง เป็นสัญลักษณ์ท่ีแสดงให้เห็นว่ายุคสมัยที่ \"การเมือง เป็นเร่ืองต้องห้ามสาหรับประชาชน\" ได้ผ่านพ้นไปอย่างไม่มีวัน กลับแล้ว กล่าวสาหรบั ชนช้ันกรรมกรชัยชนะเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ก็ เป็นการเปิดยุคใหม่แห่งการเคลื่อนไหวเพ่ือปากท้องและสิทธิ ผลประโยชนข์ องตนด้วย 44

๘.๑ ความเปน็ ไป ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลัง ๑๔ ตุลาคม การนัดหยุด งานของกรรมกรได้เกิดขึ้นคร้ังแล้วครั้งเล่า และแพร่สะพัดไปใน ขอบเขตท่ัวประเทศ สถิติการนดั หยดุ งานในปี ๒๕๑๖ เพียงปีเดียว มากกว่าจานวนการนัดหยุดงานท้ังหมดระหว่างปี ๒๕๐๑ ถึง ๒๕๑๕ รวมกันเสียอีก (มากกว่ากันประมาณ ๓๕๐ ครั้ง) และตลอด ๓ ปีหลัง ๑๔ ตุลาคม การต่อสู้ด้วยรูปแบบต่างๆ ของ กรรมกรก็เกิดขึ้นและพัฒนาไปไม่ขาดสายทั้งการย่ืนข้อเรียกร้อง เจรจาต่อรอง จนกระท่ังการนัดหยุดงานหรือบางคร้ั งถึงกับ เดินขบวนหรือชมุ นมุ ประทว้ ง ตัวเลขแสดงจานวนขอ้ พพิ าทแรงงาน, จานวนลูกจ้างท่ีเก่ียวข้อง และจานวนวันทางานท่ีสูญเสียไปเพิ่ม สงู ขนึ้ เปน็ ประวัติการณ์ การรวมตัวกันเป็นกลุ่มองค์กรก็เพิ่มมากข้ึนอย่างเด่นชัด ต้ังแต่รูปแบบสมาคมลูกจ้าง-กลุ่มสมาคมลูกจ้างสหภาพแรงงาน ศูนย์ประสานงานกรรมกร จนถงึ สภาแรงงานแหง่ ประเทศไทย ผู้นา ด้านแรงงานก็เกิดข้ึนมากมาย และมีบทบาทอันสาคัญในการ เคลือ่ นไหว การตอ่ สใู้ นช่วง ๓ ปีนี้ มีความดุเดือดรุนแรง และแหลมคม เป็นพิเศษ ทั้งน้ีมิใช่เพราะกรรมกรเปน็ ฝา่ ยเร่ิมก่อน ตรงกันขา้ ม ถ้า มองกันให้ดีจะเห็นว่า บรรดานายทุนโดยเฉพาะนายทุนผูกขาด ใหญๆ่ ต่างหากทีเ่ ปน็ ฝ่ายกดขบี่ บี คัน้ จนกรรมกรทนไม่ได้ และเมื่อ 45

คานึงถงึ การทีก่ รรมกรต้องทนอยูภ่ ายใต้สภาพการถูกกดขีเ่ ช่นนี้เป็น เวลากว่า ๑๔-๑๕ ปี จึงเป็นธรรมดาอยู่เองทเี่ ม่ือมโี อกาส มีเสรีภาพ มากขนึ้ พวกเขากต็ ้องลุกข้นึ มาทวงเอาสิ่งที่พวกเขาควรจะได้รับน้ัน กลับคืนมา แต่บรรดานายทุนกลับตอบแทนการเรียกร้องของ กรรมกรด้วยวิธีการเล่นเล่ห์เหล่ียมอาศัยความเหนือกว่าในด้านท่ีรู้ กฎหมาย(กฎหมายแรงงานน้ันไม่เคยร่างสาหรับกรรมกรเลย ; เต็ม ไปด้วยความสลับซบั ซอ้ น ทแี่ ม้แตป่ ญั ญาชนมหาวิทยาลัยก็ยากทจ่ี ะ เข้าใจ) และสนับสนุนจากกลไกของรัฐ ตอบโต้กรรมกรด้วยความ รนุ แรงเสมอ บางครั้งก็ใช้วิธีการท่ีผิดกฎหมายและรุนแรงถึงขน้ั เสีย เลือดเนือ้ และชีวติ แตก่ รรมกรกย็ งั ต้องต่อสูต้ อ่ ไป เพราะนี่เป็นทางออกอย่าง เดียวของพวกเขา ; ถ้าไม่ตอ้ งการอดตาย การต่อสู้ในระยะ ๓ ปี โดยท่ัวไปยังคงล้อมรอบอยู่ท่ี ประเด็นทางเศรษฐกิจ เชน่ เรยี กร้องให้เพิ่มคา่ แรงขัน้ ต่า, ให้ประกัน สวสั ดิการในการทางาน, ปรบั ปรงุ ชีวิตความเปน็ อยู่ ฯลฯ จะมที ี่เป็น ประเด็นทางการเมืองบ้างก็เป็นการเมืองที่เก่ียวเนื่องกับเศรษฐกิจ เชน่ คดั ค้านรัฐบาลข้ึนราคาข้าวสาร เปน็ ต้น การต่อสู้คร้ังสาคัญๆ ได้แก่ การนัดหยุดงาน-เดินขบวน- และชุมนมุ ประทว้ งของกรรมกรทอผา้ สมทุ รปราการท่ีเรยี กร้องให้ เพ่ิมค่าแรงขั้นต่าจาก ๑๖ บาทเป็น ๒๕ บาทเม่ือเดือนมิถุนายน ๒๕๑๗(อัตราค่าแรงขน้ั ต่าของกรรมกรไทยอยู่ในราว ๘-๙ บาทเป็น เวลา ๑๓ ปี ปรบั เปน็ ๑๖ บาทในปี ๒๕๑๖) นเี่ ป็นการสาแดงกาลัง 46

คร้ังใหญ่ที่สุดคร้ังแรกของกรรมกรในระยะสิบกว่าปีท่ีผ่านมา มี ก ร ร ม ก ร จ า ก ท่ี ต่ า ง ๆ ม า ร่ ว ม ชุ ม นุ ม ข้ า ม วั น ข้ า ม คื น ที่ ท้ อ ง สนามหลวงนับพันๆคน และในการต่อสู้น้ีเองที่นักศึกษาได้เข้า ร่วมกับกรรมกรอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ก่อให้เกิดเป็นพลังอัน มหมึ า ท่ีสั่นคลอนความอยตุ ธิ รรมในสงั คมอย่างรุนแรง การตอ่ สู้นี้ ได้รับชัยชนะในระดับหน่ึง รัฐบาลยอมประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่า จาก ๑๖ บาทเปน็ ๒๐ บาท กลางปี ๒๕๑๘ กรรมกรหญิงโรงงานแสตนดาร์ดการ์เมนต์ นัดหยุดงาน ตารวจได้ใช้กาลังเข้าปราบปรามอย่างนองเลือด มี กรรมกรหญิงไดร้ บั บาทเจบ็ สาหัสถึงกระโหลกรา้ ว แขนหัก หลายคน กรรมกรจากท่ีตา่ งๆได้ชุมนุมประท้วง การต่อสู้ครั้งน้ีนามาซ่ึงความ ขัดแย้งในหมู่ผู้นากรรมกรกลุ่มต่างๆ(ดูหัวข้อ ๘.๒) ภาพของ กรรมกรหญิงที่มีแต่มือเปล่ายืนคล้องแขนกัน ดาหน้าเข้ารับมือ กับตารวจปราบจลาจลอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ยังประทับอยู่ใน ความทรงจาของเพือ่ นกรรมกร และประชาชนวงการตา่ งๆ อยา่ ง ลึกซงึ้ ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันน้ัน พนักงานโรงแรมดุสิตธานีก็นัด หยุดงาน นายทนุ ไดว้ า่ จา้ งกลุม่ อนั ธพาลกระทิงแดงท่ีวางตวั อยเู่ หนือ กฎหมายเข้าคุกคามทาร้าย โดยมีเจ้าหน้าที่ตารวจให้การรู้เห็นเป็น ใจอย่างใกล้ชดิ เดือนกรกฎาคม ๒๕๑๘ กรรมกรหญิงโรงงานผลิต กระเบอ้ื งวัฒนาวนิ ิลไทย สมทุ รสาครนัดหยุดงานประทว้ งนายทุน 47

ไล่ตัวแทนคนงานออกอย่างไม่เป็นธรรม นายทุนได้ว่าจ้าง อันธพาลมาข่มขู่คุกคามและทาร้ายกรรมกร จนนางสาวสาราญ คากล่ัน กรรมกรหญิงวัย ๑๗ ปเี สยี ชีวิต ปลายปี ๒๕๑๘ ถึงต้นปี ๒๕๑๙ กรรมกรโรงงานผลิต กางเกงฮาร่านัดหยุดงาน นายทุนกลั่นแกล้งไม่ยอมเจรจา กรรมกร ถกู ปิดล้อมทางเศรษฐกิจ เพื่อความอยรู่ อด กรรมกรจาเป็นต้องเข้า ยดึ โรงงานแล้วเปิดทาการผลิตเอง และนาออกขายแก่ประชาชนใน ราคาถูกเพ่ือหาทุนมาดาเนินการนัดหยุดงานต่อไป การต่อสู้ของ กรรมกรฮาร่าในคร้ังนี้เป็นข่าวเกรียวกราวและส่งผลสะเทือนไปใน ต่างประเทศ ในที่สุด ก็ถูกตารวจใช้กาลังเข้าปราบปรามจับกุม จน พ่ายแพไ้ ป ต้นปี ๒๕๑๙ กรรมกรนับหม่ืนภายใต้การนาของกลุ่ม สหภาพแรงงาน ชุมนุมประทว้ งการขึ้นราคาข้าวสารของรัฐบาลคึก ฤทธิ์ จนได้รับชยั ชนะ วันกรรมกร ๑ พฤษภาคม ๒๕๑๙ กลุ่มสหภาพแรงงาน ประกาศตัง้ สภาแรงงานแห่งประเทศไทย 48

ปลายปี ๒๕๑๙ สภาแรงงานร่วมกับศูนย์กลางนิสิต นกั ศึกษาแหง่ ประเทศไทย เคล่ือนไหวคัดค้านความพยายามที่จะนา ระบอบเผดจ็ การกลบั มาใชก้ รณีประภาส- ถนอมกลบั ประเทศ ในด้านรัฐบาล ไดม้ ีการออกพระราชบัญญัติแรงงานสมั พนั ธ์ ปี พ.ศ.๒๕๑๘(ผ่านสภาในเดือนมกราคม) ยกเลิกประกาศคณะ ปฏิวัติฉบับท่ี๑๐๓ และให้สิทธเิ สรีภาพบางอย่างแกก่ รรมกรมากขึ้น เน้ือหาสาคัญของพระราชบญั ญัติฉบบั น้ี คอื : (๑)ลูกจ้างและนายจ้างท่ีมีความประสงค์จะแก้ไขเก่ียวกับ สภาพการจ้างงานและค่าจ้าง ให้ย่ืนข้อเรียกร้องและเจรจากันเอง ภายใน ๓ วัน เม่ือไม่สามารถตกลงกันได้ ให้ฝ่ายท่ีเรียกร้องแจ้งแก่ เจ้าหน้าท่ีของกรมแรงงานภายใน ๒๔ ชั่วโมง เพ่ือชว่ ยไกล่เกลีย่ ถ้า ภายใน ๕ วันยังตกลงกันไม่ได้ คู่กรณีมีสิทธิตั้งผู้ช้ีขาดข้อพิพาท แรงงานน้ันโดยสมัครใจ และในระหว่างท่ีมีการย่ืนข้อเรียกร้องหรือ 49

เจรจากันน้ัน นายจ้างจะปิดงานหรือลูกจ้างจะนัดหยุดงานไม่ได้ จนกว่าจะพ้นกาหนด ๕ัวัน แต่จะต้องแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ ภายในเวลาไมน่ ้อยกวา่ ๒๔ ชั่วโมง (๒)พระราชบัญญัติฉบับน้ีเปิดโอกาสให้กิจการที่มีลูกจ้าง ต้ังแต่ ๕๐ คนข้ึนไปจัดต้ังคณะกรรมการลูกจ้างเพื่อหารือ แลกเปล่ียนข้อคิดเห็น ตลอดจนปัญหาต่างๆในการทางาน โดย คานึงถึงผลประโยชนท์ ัง้ ของฝา่ ยนายจ้างและฝ่ายลกู จา้ งดว้ ย (๓)สหภาพแรงงานมีสิทธิย่ืนข้อเรียกร้องแทนกรรมกรหรือ ลูกจ้างได้ ถา้ มลี ูกจ้างเขา้ เปน็ สมาชกิ ๑ ใน๕ ของลกู จ้างทั้งโรงงาน จะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติฉบับน้ีเปิดโอกาสให้ นายจ้างเข้าแทรกแซงลูกจ้างได้ โดยอาจเข้าไปมีอิทธิพลในการ จัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้างของตน เพ่ือเป็นดุลย์ถ่วงสหภาพ แรงงาน นอกจากน้ัน พระราชบัญญัติแรงงานฉบับน้ี ยังไมม่ ีการ กาหนดบทลงโทษสาหรับผู้ฝ่าฝืน ทั้งยังมีช่องว่างมากมาย เช่น โรงงานที่มีกรรมกรไม่เกิน ๒๐ คน (ซ่ึงมีอยู่น้อยในประเทศไทย) ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย..ฯลฯ เมื่อเทียบกับกฎหมาย แรงงานของประเทศตะวันตกแล้ว พระราชบัญญัติฉบับนี้ก็ล้าหลัง กว่ามาก และในทางปฏิบัตินายทุนก็มักไม่ค่อยเคารพกฎหมาย เท่าใด. อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ปี๒๕๑๘ นับเป็น ชัย ชนะ คร้ั ง สาคั ญที่ กร ร มก ร ได้ รับจาก ก าร ต่อ สู้ เป็น เว ล า ยาวนาน 50


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook