Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอนคอมพิวเตอร์กราฟิก 3

เอกสารประกอบการสอนคอมพิวเตอร์กราฟิก 3

Published by jantanuch, 2020-08-29 05:04:17

Description: เอกสารประกอบการสอนคอมพิวเตอร์กราฟิก 3

Search

Read the Text Version

ช่ือวชิ า คอมพิวเตอรก์ ราฟกิ 3 รหัสวิชา 2307-2015 ทฤษฎี 0 ปฏบิ ตั ิ 6 .หนว่ ยกติ 2 หลักสตู รประกาศนยี บตั รวิชาชพี ประเภทวชิ า ศิลปกรรม สาขาวิชา เทคโนโลยีศิลปกรรม จดุ ประสงค์รายวิชา เพื่อให้ 1. มีทักษะการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปสร้างสรรครป์ู แบบ และนำเสนอผลงานด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ เหมาะสมกับงาน และกลุ่มเปา้ หมาย 2. มรี ะเบียบ วินยั กิจนสิ ยที่ดีในการเรียน มีความเพียรพยายาม สนใจใฝร่ ู้ มจี รรยาบรรณ และเจตคตทิ ี่ดี ต่อวิชาชีพตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง สมรรถนะรายวิชา 1. ผลติ งานกราฟิกโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามหลักการ 2. นำเสนอผลงานโฆษณาประชาสัมพนั ธ์ให้เหมาะสมกับงาน และกลุ่มเป้าหมาย 3. วเิ คราะห์ สังเคราะห์ ประเมินคา่ ผลงานกราฟกิ ตามหลักการ คำอธิบายรายวิชา ปฏิบตั ิเก่ียวกับการใช้โปรแกรมสำเรจ็ รปู สรา้ งสรรค์งานโฆษณาประชาสัมพันธใ์ หเ้ หมาะสมกับงาน และกลมุ่ เปา้ หมาย

หน่วยที่ 1 การโฆษณาประชาสัมพนั ธ์ ความหมายและความสำคัญของการการโฆษณาประชาสมั พนั ธ์ คำว่า การประชาสัมพันธ์มักจะถูกเข้าใจสับสนกับการโฆษณา คนจำนวนมากมักจะเข้าใจว่าการโฆษณา และการประชาสัมพันธ์มีความหมายเหมือนกัน จนบางทีเราเรียกการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์เป็น “การ โฆษณาประชาสัมพันธ์” ซง่ึ ในความเป็นจริงการโฆษณาและการประชาสมั พันธ์มคี วามแตกต่างกันพอสมควร ดังน้ี การโฆษณา (Advertising) เป็นการกระทำการใดๆ อันเป็นการชักจูงใจต่อกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ซ่ึงอาศัยส่ือมวลชน (Mass media) ในการส่งผ่านข้อมูล ข่าวสารซ่ึงตอ้ งเสียค่าใชจ้ ่ายและมไิ ดเ้ ปน็ ไปในรูปสว่ นตวั ความสำคัญของสื่อโฆษณา การโฆษณาในปัจจุบันเกิดขึ้นด้วยหลายจุดประสงค์ เช่น เน้นย้ำให้เห็นถึงจุดดีจุดเด่นเพ่ือจำหน่ายสนิ ค้า หรือการให้บริการ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเพ่ือปลูกฝังหรือสร้างจิตสำนึกให้ยึดถือปฏิบัติตาม กฎระเบยี บของสังคม การเผยแพรป่ ระชาสัมพันธ์ผลงาน เป็นต้น ดังน้ันความสำคญั ของสื่อโฆษณาจึงมีฐานะเป็น สื่อสนบั สนุนให้ข้อมูลขา่ วสารทีต่ ้องการนำเสนอมีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ลมากยิ่งขึ้น ดังนี้ 1. สรา้ งความเข้าใจในคุณสมบัติของสนิ ค้าและบริการ หรือประชาสัมพนั ธ์ผลงานใหส้ าธารณะชนไดร้ บั รใู้ นวงกว้าง 2. สรา้ งแรงกระตนุ้ แรงจงู ใจให้เกิดความตอ้ งการอยากซ้อื สินคา้ บรกิ ารหรอื ตอ้ งการนำไปทดลองและปฏิบตั ติ าม 3. สรา้ งความเชื่อมนั่ และไวว้ างในในตัวสินค้าและบริการ หรือม่ันใจภมู ิใจในองค์กร 4. สร้างการตอกย้ำความทรงจำของผู้บริโภคหรือบุคคลกลุ่มเป้าหมายให้จดจำสินค้า บริการ หรือส่ิงที่ ต้องการสื่อสารประชาสมั พนั ธไ์ ด้ วัตถปุ ระสงค์ของการโฆษณา 1. เพอ่ื แนะนำสนิ ค้าหรอื บริการใหเ้ ข้าถงึ กลุ่มลูกค้า 2. เพือ่ สนบั สนุน แนะนำทางให้กบั พนกั งานเดนิ ตลาด ให้สามารถทำงานไดง้ ่ายข้นึ เพราะกล่มุ ลูกค้าจะรูจ้ กั สนิ คา้ มาก่อน จากการโฆษณา 3. เพื่อให้ลูกค้ายอมรบั คุณภาพของสินคา้ 4. เพอ่ื กระต้นุ ใหเ้ กิดการใชส้ นิ ค้า 5. เพอ่ื ย้ำความทรงจำของลูกค้า ให้เกิดความตอ้ งการทางการซอ้ื ซำ้ อกี 6. เพื่อช่วยเพ่มิ ยอดขาย 7. เพ่อื สร้างภาพพจน์ทดี่ ขี ององค์การ ในความรสู้ ึกของลกู คา้ การเตรียมการโฆษณา การโฆ ษ ณ าที่ ดี ไม่ ว่าจะ ใช้ สื่อ อะ ไรก็ ตาม จะ ต้อ ง มี การวาง แ ผน เต รียม ง าน ต าม ขั้น ต อ น การโฆษ ณ า (Advertising Process)เนื่องจากการสร้างงานโฆษณาไม่ใช่เร่ืองง่ายๆอย่างท่ีคนส่วนมากคิด ซึ่งในขั้นตอนการ เตรยี มการโฆษณามดี งั น้ี ขน้ั ที่ 1 การเก็บรวบรวมข้อมลู เกย่ี วกับประเภทผลติ ภณั ฑ์ วิธีการดำเนินงานทางการตลาดกลมุ่ เปา้ หมาย ขั้นท่ี 2 การวางแผนงานโดยการกำหนดงบประมาณท่ีจะใช้ในการโฆษณาเพอ่ื ร้ขู อบเขตการจัดทำโฆษณาและ การกำหนดวัตถุประสงค์ของการโฆษณาตอ้ งใหช้ ัดเจน ขนั้ ที่ 3 การกำหนดกลยทุ ธ์ประกอบด้วยการวางโครงรา่ งของการโฆษณา(Layout) ขนั้ ท่ี 4 การผลิตช้ินงาน เปน็ ขน้ั ตอนท่ที ำการผลิตผลงานโฆษณาตามทไี่ ดว้ างแผนไว้

ประเภทของการโฆษณา 10 ประเภท คอื 1.การโฆษณาระดับชาติ (National Advertising) เป็นการโฆษณาท่ีเหมาะสำหรบั สินค้าทีม่ ีจำหน่ายแพร่หลายทั่วไปท้ังประเทศ หรือรวมไปถงึ ต่างประเทศด้วย การ ใช้สื่อควรเป็นส่ือท่ีมีประสิทธิภาพครอบคลุมอาณาเขตกว้างไกลท่วั ไปทั่วประเทศ เชน่ หนังสือพิมพห์ รอื นิตยสารที่ วางจำหน่ายทั่วประเทศ วิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ ที่มีกำลังส่งสูง รับได้ท่ัวประเทศหรือถ่ายทอดใน ระบบเครือข่าย (Network) ไปท่ัวประเทศ การใช้สื่อโฆษณาระดับชาติจะเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าสื่อโฆษณาระดับ ท้องถิ่นมาก แต่ให้ผลคุ้มค่าเม่ือเทียบอัตราเฉล่ียระหว่างค่าโฆษณากัจำนวนประชาชนที่รับทราบข่าวสารการ โฆษณาน้ัน 2. การโฆษณาอตุ สาหกรรม (Industrial Advertising) เป็นการโฆษณาของผู้ผลิตสินค้าประเภทวัตถุดิบ เพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้าอื่นเช่น เคร่ืองจักร เคร่ืองใช้สำนักงาน ชิน้ ส่วน อะไหล่ วตั ถุดิบเป็นต้น โดยโฆษณาที่มุ่งเฉพาะเจาะจงไปยังโรงงานและผู้ผลิตคือ ผู้ซื้อทางอุตสาหกรรม (Industrial Buyers) ซ่ึงมคี วามต้องการทจี่ ะให้ซ้ือวัตถดุ บิ ของผู้ผลิตสนิ ค้า เพอ่ื นำไปใชผ้ ลติ สนิ ค้าอน่ื

3. การโฆษณาเพ่ือขายปลีก (Retail Advertising) การโฆษณาเป็นลักษณะท่ีพยายามนำเสนอสนิ คา้ มากมายหลายชนิดพร้อมกนั ไปเพือ่ เชิญชวน ชักจูงให้ผบู้ รโิ ภคมา ชมหรอื มาซือสินคา้ ที่รา้ น เปน็ ลกั ษณะของการโฆษณาทพี่ บเหน็ มากท่สี ุดทีร่ องลงมาจากการโฆษณาระดับชาติ หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่าการโฆษณารับท้องถ่ิน (Local Advertising) เป็นการโฆษณาท่ีเหมาะสำหรับสินค้าหรือ บริการท่ีมีขอบเขตการจำหน่ายอยู่แต่ละท้องถิ่น เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร อู่ซ่อมรถยนต์ ฯลฯ ซึ่งเหมาะ สำหรับการใช้สื่อโฆษณาระดับท้องถ่ิน เช่น การโฆษณาทางไปรษณีย์ การทำป้ายโฆษณากลางแจ้งขนาดใหญ่ (Cut-Out) โปสเตอร์ (Poster) หรือ “ใบปิด” ใบปลิว ใบโฆษณาพับ จดหมายขาย วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ (เคเบล้ิ ท้องถน่ิ ) หนังสือพิมพท์ อ้ งถิ่น 4. การโฆษณาถึงบุคคลเฉพาะอาชีพ (Professional Advertising) เป็นลักษณะการใหข้ อ้ มูลกับผมู้ ีความรู้ความเชยี่ วชาญเฉพาะกลุ่มอาชีพ โดยท่ผี ู้ผลิตสนิ ค้ามุง่ โฆษณาไปยังกลุ่ม บุคคลเฉพาะอาชพี ท่มี ีส่วนเกี่ยวขอ้ งในการใชผ้ ลิตภณั ฑ์นนั้ ใหม้ กี ารซ้ือสนิ ค้าไปใชใ้ นการประกอบอาชีพของตน

5. การโฆษณาเพอ่ื การคา้ (Trade Advertising) เปน็ การโฆษณาสินค้าของผู้ผลิตเพ่อื สง่ ขอ้ มูลข่าวสารไปยังผู้คา้ ส่ง ผู้ค้าปลีก ร้านค้าเพอื่ ใหเ้ ปน็ ตัวแทนจำหนา่ ย โฆษณาลักษณะนี้ถา้ ปรากฏพบเห็นในส่ือทั่วไปเช่น หนงั สือพิมพ์ นติ ยสาร ฯลฯ โดย มกั จะลงท้ายว่า \"รา้ นคา้ ใด สนใจเป็นตัวแทนจำหน่าย โปรดติดต่อ….\" 6. การโฆษณาความคดิ (Non-product or Idea Advertising) เป็นการโฆษณาขององคก์ ารสถาบัน หรอื กลมุ่ ตา่ งๆ ที่ไม่ใชอ่ งค์การท่ีประกอบธุรกจิ ซึ่งจะโฆษณาความคดิ และหลักการตา่ งๆไปยังสาธารณชนทวั่ ไป เพ่ือให้สนับสนุนความคิดนน้ั หรือปฏบิ ัติตาม หรือ งดเว้นปฏิบัติ

7. การโฆษณาเพื่อขอคำสงั่ ซ้ือทางไปรษณยี ์ (Mail-order Advertising) เป็นการโฆษณาของผ้ผู ลติ สนิ ค้าซงึ่ อาจมีเน้ือหาคล้ายกบั การโฆษณาระดับชาติ คอื มีการแนะนำให้รู้จักสินคา้ จงู ใจ ใหเ้ กดิ ความตอ้ งการ และซอื้ สินค้าในที่สดุ กลา่ วคือท้งั โฆษณาและขายสินค้าไปในตวั 8. การโฆษณานำทางพนกั งานขายสินค้าพเิ ศษ (Advertising to Get Leads for Specialty Salesman) เปน็ การโฆษณาไปยงั ผูบ้ รโิ ภคเพ่ือให้ได้รู้ขอ้ มูลบางประการท่ีเกียวกบั สินค้าหรอื บริการ เปน็ การบอกผู้บริโภคว่า มีสินคา้ อะไรจำหน่ายและมคี วามสำคัญต่อผู้บรโิ ภคอย่างไรแต่ไม่สามารถให้รายละเอียดทั้งหมดในท่ีน้ีได้ จึงเสนอ จะจัดส่งพนักงานขายออกไปแนะนำใหแ้ ก่ลกู ค้าท่ีสนใจฟรี

9. การโฆษณาบริษัท (Corporate Advertising) เปน็ การโฆษณาที่จะไม่เนน้ การโฆษณาขายสินค้าหรอื บริการ แตจ่ ะมงุ่ สร้างภาพพจน์หรอื สร้างศรทั ธาในทางท่ี ดีกับบริษทั การโฆษณาจะเน้นความเป็นผู้นำด้านการผลติ สนิ คา้ ความเจรญิ ก้าวหนา้ ของบรษิ ัท 10.การโฆษณาส่งเสริมการขาย(Promotional Advertising) เป็นการโฆษณาขายสินค้าของรา้ นค้าปลกี โดยเสนอสิทธิพเิ ศษหรอื เสนอผลประโยชนใ์ ห้แก่ลกู คา้ การโฆษณาเชน่ น้ี มักเรง่ เรา้ ให้ผ้บู รโิ ภคซ้ือโดยเรว็ หรอื ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้อาจจะเปน็ 3 วนั 7 วนั หรอื 1 เดือนก็ได้

ลกั ษณะงานของการสรา้ งสรรค์งานโฆษณา 1. เขยี นข้อความโฆษณา 2. การใช้ภาพประกอบขอ้ ความโฆษณา 3. วางผังโฆษณา 4. ผลิตช้นิ งานโฆษณา วธิ กี ารเขยี นข้อความโฆษณา ขนั้ ตอนคอื 3 1. กำหนดแนวคิด(Concept) หลกั ว่า จะบอกอะไรแก่ผซู้ ้อื บ้าง หรือจะเนน้ เรอื่ งใด 2. สรา้ งขอ้ ความโฆษณาที่สำคญั จากแนวความคิดหลกั เพื่อใหผ้ อู้ ่าน ผดู้ ู ผู้ฟงั เข้าใจ 3. เขียนข้อความโฆษณาโดยละเอียดให้สมบูรณส์ ำหรบั ช้นิ งานโฆษณาในการลงสือ่ โฆษณาตา่ งๆโดยนำแรงจูงใจ ต่างๆเข้ามาพฒั นาประกอบการเขียนขอ้ ความโฆษณา ความหมายของขอ้ ความโฆษณา(Copy) หมายถึงรายละเอียดต่างๆท่ีเปน็ ตัวอกั ษร คำพดู บทสนทนา บทบรรยายต่างๆรวมถงึ เสยี งดนตรี เสียง ประกอบต่างๆในช้นิ งานโฆษณานั้นๆ โครงสรา้ งของขอ้ ความโฆษณา(Structure of Copy) 1.พาดหัว(Headline) 2.พาดหัวรอง(Sub Headline) 3.รายละเอียด (Body text) หรอื คำบรรยายใตภ้ าพ (Caption) 4.ขอ้ ความโฆษณา (Copy) 5. ตอนทา้ ยของข้อความโฆษณา(Closing) ประกอบดว้ ย -ช่อื ย่หี อ้ (Brand Name) -คำขวญั (Slogan) ตว้ อยา่ งรูปแสดงโครงสร้างของขอ้ ความโฆษณา

ลักษณะ หนา้ ทแ่ี ละประเภทของโครงสรา้ งขอ้ ความโฆษณา 1.พาดหัว(Headline) เปน็ จุดท่ีสำคญั ท่ีสุดของงานโฆษณา หน้าทีข่ องพาดหัว 1.ดงึ ดูดความสนใจให้เกิดการอา่ น ดุหรอื ฟังงานโฆษณานั้นทนั ที 2.ชักจงู ใจให้ผูบ้ รโิ ภคอยากอ่าน อยากดู ลักษณะทด่ี ขี องพาดหวั 1.ควรใหส้ ั้น กะทัดรัด ได้ใจความ 2.ดงึ ดูดความสนใจ 3.ตอ้ งมีความหมายชดั เจน 4.เจาะจงผู้ท่ีควรอ่าน/ ฟงั โฆษณาได้ 5.ต้องเหมาะสมกบั ผลิตภณั ฑ์ 6.ควรเจาะจงตรง เขา้ ประเดน็ ของจุดขาย ประเภทของพาดหัว 1. พาดหวั แบบข่าว (News Headline) เปน็ การรายงานข่าวสารให้ทราบเก่ียวกับความเคลือ่ นไหวของสินค้า บริการหรือการปรับปรุงเปล่ียนแปลงใหมๆ่ ของสนิ คา้ หรอื บรกิ าร ดงั นั้นพาดหวั แบบข่าวจะมีคำเหล่านีอ้ ยดู่ ้วยเสมอได้แก่คำวา่ “ใหม”่ “ปรบั ปรงุ ใหม่” “มาแล้ว” “เดยี๋ วน้ี” “พิสจู นแ์ ล้ว” “ขอแนะนำ” “ขอเสนอ” “เชิญพบกบั ” เปน็ ตน้ 2.พาดหัวแบบสัญญาหรือรบั รองคณุ ภาพ (Promise Headline) เป็นการพาดหวั บอกผลประโยชน์ของสนิ ค้าที่ผู้บริโภคจะได้รับ โดยบอกกบั ผ้อู ่านทนั ทวี ่าสินค้าน้มี ีประโยชน์ อยา่ งไร เอาไปใชท้ ำอะไรได้บ้าง เชน่

3.พาดหัวแบบให้คำแนะนำทีด่ ี (Good Advise Headline) เป็นพาดหัวในลักษณะของการใหค้ ำแนะนำใหผ้ ูอ้ ่านทดลองทำดโู ดยจะช้ใี หเ้ ห็นถึงประโยชนแ์ ละสรรพคณุ ของ สนิ ค้าตลอดจนความพอใจท่ีจะไดร้ ับเมอื ใช้สนิ ค้า ตวั อยา่ ง “คอลลาเจน ใหร้ ่างกายงา่ ยๆ ดว้ ยโตเซน” 4.พาดหวั แบบกรณีอ้างองิ (Case History Headline) เป็นพาดพิงท่ใี ห้ทราบขอ้ เทจ็ จริงและหรือ อ้างอิงตัวเลขซึ่งเป็นของจรงิ มีลักษณะคล้ายกับการพาดหัวแบบข่าว ตัวอย่าง “เย็นจดั ทนทาน ประหยัดไฟเบอร์ 5” 5.พาดหวั แบบคำขวัญ (Slogan Headline) เปน็ การนำคำขวัญของสินคา้ มาพาดหวั มักใช้กบั สินค้าที่มีช่อื เสียงตดิ ตลาดมานาน ตวั อยา่ ง “เมอื งไทยของเรา เบียรไ์ ทยของเรา”

6.พาดหัวแบบคำส่งั หรอื ชนี้ ำ (Command or Directive Headline) เปน็ พาดหัวที่บอกหรือส่ังให้ผอู้ า่ น ผฟู้ ัง หรอื ลกู ค้ากระทำสง่ิ ใดสง่ิ หนึ่งตามทผ่ี ู้เขียนข้อความโฆษณาว่าต้องการให้ ทำอะไร ตัวอย่าง “อาหาร ถูกปากตอ้ ง โค้กส”ิ 7. พาดหัวแบบเลอื กเข้าถึงเฉพาะกลุ่มเปา้ หมาย (Selective Headline) เป็นพาดหวั ที่มุง่ จะเขา้ ถงึ กลมุ่ บุคคลใดบคุ คลหนงึ่ โดยเฉพาะผู้ที่จะเป็นคนใชส้ ินค้าหรอื บรกิ ารทที่ ำการ โฆษณา เพือ่ ให้มีความรู้สกึ ว่าเปน็ การโฆษณาใหก้ ับพวกเขาโดยตรง ตวั อยา่ ง “pause วัยใสไว้กบั คณุ ” 8.พาดหัวแบบคำถาม (Question Headline) เป็นพาดหัวทต่ี ้งั เป็นคำถามซง่ึ ต้องน่าต่ืนเต้น สรา้ งความอยากรอู้ ยากเหน็ เพ่อื ใหผ้ ู้บริโภคสนใจ อยากทราบหรอื หา คำตอบเองในข้อความโฆษณา ตัวอย่าง “ทำไงดี เมื่อนกั รอ้ ง นกั แสดงอย่างฉนั มกี ลิ่นตวั ”

9. พาดหวั แบบสรา้ งความฉงน ก่อให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity Headline) เปน็ พาดหัวทน่ี ยิ มใช้กนั มาก สามารถดึงดูดความสนใจจากผ้อู ่านให้ตดิ ตามเรอ่ื งราวจากเน้อื เร่ืองได้เป็นอย่างดโี ดย การกระตุน้ ความสงสยั หรือความอยากรู้อยากเห็นให้เกิดขึ้น อาจด้วยการใชข้ อ้ ความขัดแยง้ กบั ความคิดของผู้อา่ น หรอื ใช้ข้อความที่เป็นคำถามใหอ้ ยากร้เู รื่องราวตอ่ ไป ตัวอยา่ ง “เหน็ ปุบ๊ ...จุ๊บปั๊บ” 10. พาดหวั ในลักษณะโอ้อวด (Horn Blowing Headline) เปน็ พาดหวั ทนี่ ำเอาคณุ สมบัตดิ ีเดน่ มีคณุ ภาพเหนอื กวา่ ดีกวา่ ของสินค้าหรือจุดท่ีสามารถคยุ โอ้อวดได้มาย้ำความ ม่ันใจใหก้ ับผู้อ่าน ตัวอยา่ ง “สวิ เสี้ยนเหน็ ชดั จนนับจำนวนได้”

11.พาดหัวแบบขอ้ ความประกอบภาพ(Headline as Picture Caption) พาดหัวแบบนเ้ี ปน็ การเขียนขอ้ ความประกอบหรืออธบิ ายภาพ จงึ ตอ้ งมภี าพโฆษณาขึน้ มาก่อนแลว้ จึงคอ่ ยเขยี น ข้อความโฆษณาอธบิ ายภาพอีกทีหน่ึงตวั อย่าง “ดดู ดูด ดูด อยากดดู ไม่ให้เหลอื ” 12. พาดหัวแบบใช้ลกู เลน่ หรือกลเมด็ (Gimmick Headline) เปน็ การทีผ่ ู้เขียนโฆษณาได้สร้างตวั สัญลกั ษณท์ ่ีสมมตขิ น้ึ มาเพ่อื ใช้เป็นตวั แทนสินค้านัน้ โดยมุ่งหวงั ให้ตวั สัญลกั ษณ์ หรอื ตวั การต์ นู เปน็ ทีจ่ ดจำได้ง่ายข้ึนด้วยตวั อยา่ ง นอ้ งอ่นุ ใจ

13. พาดหวั แบบใช้ตราหรือชอื่ สินคา้ (Logotype Headline) เป็นการเนน้ ช่อื สนิ ค้าใหเ้ ด่นชัด สะดุดตาดว้ ยการใชต้ ัวหนงั สอื โตๆมองเหน็ ชัดเจนและมีสีสนั สะดดุ ตาตวั อย่าง คงิ ส์เทก็ ซ์ ถุงยางอนามัย 14. พาดหัวแบบเร้าอารมณ์ (Emotion Headline) เป็นพาดหัวท่ีเขียนเร้าอารมณ์ของผ้อู ่านหรอื ผฟู้ งั ใหอ้ ่อนไหวและคลอ้ ยตาม โดยใช้จุดออ่ นในความคดิ ความรู้สกึ ของผู้อา่ นมาเป็นเครื่องล่อให้อา่ นต่อและคล้อยตามไปดว้ ย ตวั อย่าง “ผลดั กันเข้ามาไม่มีหยดุ เพราะสะดุดวงแขนขาว” 15. การใช้ภาพประกอบการโฆษณาทำหนา้ ท่แี ทนพาดหัว ( Illustration Headline) ผูโ้ ฆษณาอาจใช้ภาพดีๆ ท่ีสามารถสอื่ สารกบั ผอู้ ่านไดร้ วดเรว็ มาทำหนา้ ท่ีแทนเพาดหัว ทำให้ผอู้ า่ นสะดดุ ตา และหันมาสนใจช้นิ งานโฆษณาน้ันอย่างได้ผล สว่ นใหญจ่ ะใช้กับสินคา้ ทตี่ ิดตลาดแล้ว เป็นสนิ ค้าท่ีคนท่วั ไปรูจ้ กั ดี และมกั จะเปน็ การโฆษณาในขัน้ รักษาตลาด (Retentive Stage)

2. พาดหวั รอง(Sub Headline or Sub Caption) เป็นขอ้ ความทน่ี ำมาใช้ขยายหรอื ประกอบพาดหวั ให้ชัดเจนแจม่ แจ้งมากข้ึน ซงึ่ อาจมตี ำแหน่งอย่เู หนือ พาดหัวหรือใตพ้ าดหัวกไ็ ดแ้ ต่มีลักษณะของตวั อกั ษรทเ่ี ลก็ กวา่ พาดหัวและขนาดใหญ่กว่าตัวอกั ษรในข้อความ โฆษณา พาดหัวรองจะมีหรอื ไม่มีในชน้ิ งานโฆษณาก็ได้ ตัวอย่าง “ไวไว(พาดหวั ) รสไหนกอ็ ร่อยถกู ใจ” (พาดหัวรอง) : สนิ ค้า บะหม่สี ำเร็จรปู ไวไว พาดหวั รอง 3.คำบรรยายใต้ภาพ (Caption) เปน็ ขอ้ ความบอกรายละเอยี ด อาจเปน็ บรรทัดเดยี วหรอื หลายบรรทัดเพือ่ อธบิ ายหรอื ขยายความเพื่อให้เกดิ จุดขาย หรือประเดน็ สำหรับการขายโดยเน้นใหถ้ ึงประโยชนเ์ พื่อการจงู ใจซอ้ื จึงควรช้ใี ห้เหน็ ว่าสินค้านี้ใหป้ ระโยชนค์ มุ้ ค่า อยา่ งไร คำบรรยำยใตภ้ ำพ

4.ขอ้ ความโฆษณา (Copy) เปน็ ข้อความขยายพาดหวั โดยบรรยายรายละเอยี ดของสนิ คา้ ซึง่ ส่วนใหญ่เปน็ เรือ่ งเกีย่ วกับคณุ ภาพสินคา้ ประโยชนท์ ีผ่ ูซ้ ้อื จะไดร้ ับจากการใช้สินค้า วธิ ใี ช้ การดแู ลรักษาอน่ื ๆที่จำเปน็ ซึง่ ข้อความโฆษณาสว่ นนจ้ี ะชว่ ยให้ พาดหัวมีความสมบรู ณ์ยง่ิ ขน้ึ และสร้างความมนั่ ใจในตวั สนิ ค้า 5.ตอนท้ายของขอ้ ความโฆษณา (Closing) เปน็ ตอนจบของข้อความโฆษณา ควรจะเปน็ ขอ้ ความทโี่ ฆษณาต้องการเรง่ เรา้ ให้ผอู้ า่ นปฏิบัติตามสิ่งใดสิง่ หน่ึงที่ เป็นวตั ถุประสงคข์ องการโฆษณาโดยอาจจะเปน็ ลักษณะการเสนอแนะ การเชญิ ชวน การเร่งเร้าหรอื การออกคำสง่ั โดยสรปุ ให้ทราบว่าผูอ้ ่านควรจะทำอย่างไร เช่น ใหต้ ดั สนิ ใจซื้อ ซื้อไดท้ ่ีไหน ซอ้ื ไดโ้ ดยวิธีใด ใครเป็นผูผ้ ลิตหรือ ตวั แทนจำหนา่ ย และคำขวญั กเ็ ปน็ ทนี่ ิยมในส่วนข้อความปดิ ท้าย เปน็ ต้น ตอนทา้ ยของข้อความโฆษณา (Closing) ไดแ้ ก่ 1.ชอื่ ยหี่ อ้ (Brand Name) หมายถงึ ชอ่ื ประจำตัวของสินค้าทีใ่ ช้เรียกกัน ซ่ึงเป็นชือ่ หรอื ขอ้ ความทีอ่ ่านออกเสียงได้ และ เป็นส่ิงที่แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ภาพพจน์ของสนิ คา้ และความแตกต่างจากคู่แข่งขนั 2.คำขวญั (Slogan) หมายถึง ขอ้ ความสน้ั ๆที่สรปุ จุดเด่นของสนิ คา้ เพอื่ สรุปข้อมูลความคดิ เหน็ ทส่ี ำคญั เกีย่ วกบั สินคา้ ใหเ้ ป็นที่ดงึ ดดู ใจ และง่ายตอ่ การจดจำให้กับผู้บรโิ ภค สว่ นใหญม่ ักใช้คำท่คี ล้องจองกนั

หนา้ ทีข่ องภาพประกอบโฆษณา 1. จงู ใจให้เกิดการอยากอ่านข้อความโฆษณาต่อไป 2. ดงึ ดูดความสนใจผู้บริโภคไดด้ ี 3. เปน็ ตัวแทนของสง่ิ ท่เี สนอได้ชดั เจนทสี่ ุด 4. ต้องพยายามช้ใี ห้ผบู้ รโิ ภคเห็นประโยชนท์ ่จี ะได้รับเปน็ สงิ่ สำคัญ ประเภทของภาพประกอบโฆษณา 1.ภาพสนิ ค้าอยา่ งเดียว(Product alone) เปน็ การใช้ภาพของสินคา้ ที่โฆษณาเพียงอย่างเดยี วไมม่ ีองคป์ ระกอบอ่ืนๆปรากฎอยู่ในภาพ

2.การใช้ภาพโดยมีภาพอ่ืนๆประกอบอยูด่ ว้ ย(Product in Setting) เปน็ การใช้ส่งิ ตกแต่งอืน่ เข้ามาประกอบตวั สนิ คา้ โดยจัดเป็นฉากเพ่อื เพ่มิ ความสวยงามใหก้ ับตัวสินค้าเพม่ิ มาก ขน้ึ 3.การใชภ้ าพสินค้าขณะถูกใช้งาน(Product in Use) เป็นการใชภ้ าพที่ตอ้ งการแสดงให้เหน็ ถึงประสิทธิภาพของสินคา้ และสรา้ งความมน่ั ใจให้กบั ผ้พู บเห็น บางครั้งภาพ นอ้ี าจสื่อความร้สู ึกดา้ นอารมณ์ให้เกดิ ความตอ้ งการอยากซือ้ อยากใช้ในสนิ คา้ กับผู้อา่ นหรือผู้ดูได้ดี 4. การใชภ้ าพแสดงการทดสอบสินค้า(Product in Test) เปน็ การใชภ้ าพที่เก่ียวกบั การทดลองหรือทดสอบใหเ้ ห็นชัดเจนเพื่อพิสูจน์คำกล่าวอา้ งองิ คณุ ภาพสินคา้ ทำใหผ้ ูอ้ ่าน เกดิ ความเช่ือมัน่ ในตัวสินค้าน้นั

5.ภาพบางส่วนของสินคา้ (Product Feature) เปน็ การเน้นเฉพาะบางส่วนของสนิ คา้ ท่มี คี วามดีเดน่ เปน็ พิเศษ เป็นจดุ ขายที่สำคญั ของสินค้า 6. การใช้ภาพบคุ คลรับรองคณุ ภาพของสนิ ค้าหรอื แนะนำใหใ้ ช้สินคา้ (Testimonial) เปน็ การใช้ภาพบคุ คลทอี าจเปน็ ลกู ค้าท่ีเคยใช้สินค้าได้ผลมาแล้ว หรอื ใชภ้ าพบคุ คลทีม่ คี วามรูค้ วามชำนาญในงาน อาชพี เกยี่ วกับสินค้า 7. ภาพแสดงประโยชนท์ ่ไี ด้รบั จากการใชส้ นิ คา้ (A Benefit from Use of Product) เป็นการใช้ภาพท่ีตอ้ งการให้ผู้อา่ นเห็นถงึ ความไดเ้ ปรยี บ-เสียเปรียบจากการทีไ่ ด้ใช้สนิ ค้าและจากการท่ไี ม่ได้ใช้ สนิ ค้านนั้ วา่ แตกตา่ งกันอยา่ งไรและปญั หาทีเ่ กดิ ข้ึนจะแกไ้ ขไดด้ ้วยการใช้สนิ ค้าทกี่ ำลงั โฆษณานัน่ เอง

8.ภาพแสดงการเปรียบเทียบ(Comparison) 8.1การใช้ภาพเปรียบเทียบเชิงอปุ มาอปุ มัย คือการเปรียบเทียบส่วนดขี องสนิ ค้าวา่ มีคณุ สมบัติเหมอื นกับบางสง่ิ บางอยา่ งท่ผี ู้อ่านร้จู ักเป็นอยา่ งดีทำให้เกิดความ เข้าใจและสร้างจนิ ตนาการตามได้ 8.2 การใชภ้ าพเปรยี บเทียบความแตกต่างของสินค้า เป็นการเปรียบเทียบใหเ้ หน็ ความแตกต่างในลกั ษณะตา่ งๆกัน เชน่ ความแตกตา่ งกนั ระหวา่ งสินคา้ รนุ่ เกา่ -รุน่ ใหม่ 9.การใช้ภาพแสดงรายละเอียดของสว่ นประกอบสินคา้ ท่ีไม่สามารถมองเหน็ ได้จากภายนอก(Ghost Diagram) มกั นิยมใชก้ บั สินคา้ ประเภทเครือ่ งจักร เคร่ืองยนตก์ ลไก โดยใช้ภาพตัดซงึ่ อาจเปน็ ภาพวาด หรอื ภาพจริงของ สินค้าแสดงใหเ้ หน็ ถึงช้นิ ส่วนประกอบ

10.การใช้ภาพแสดงรายละเอียดของสนิ คา้ (Drama zing a Detail) เป็นการใช้ภาพอธบิ ายประกอบกับข้อความโฆษณาทีเ่ ป็นเนื้อเรอ่ื งโดยนำเอาสาระสำคัญตอนใดตอนหนงึ่ มา ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพ ซงึ่ เป็นเรอื่ งราวเกย่ี วกับการทำงานของสินคา้ วธิ กี ารใช้ การดูแลรกั ษา 11. การใชภ้ าพรางวัลรบั รองคณุ ภาพ (Guarantee) เป็นภาพของรางวลั ต่างๆทส่ี นิ ค้าได้รบั การรบั รองจากสถาบันตา่ งๆ เพ่ือเน้นให้ผู้อ่านมีความม่ันใจในคุณภาพสินคา้ นั้น

12. การใช้ภาพประกอบพาดหัว (Drama zing the Headline) บางคร้งั ภาพประกอบโฆษณาจะทำหนา้ ท่ีแทนพาดหวั กไ็ ดโ้ ดยใช้ภาพขนาดใหญ่ทสี่ ามารถเรา้ อารมณห์ รือกระทบ ความนกึ คิดของผู้อ่านและจะมีขอ้ ความอธิบายส้นั ๆ 2- 3 ประโยคเทา่ น้ัน 13.การใช้ภาพสินค้าท่ีอย่ใู นสภาพเตรียมพรอ้ มจะถูกใชง้ าน (The Product Ready to be Used) การใหต้ วั สนิ คา้ นั้นเผยโฉมตัวเองออกมาอวดสายตาผู้อา่ นเพือ่ เร่งเรา้ ให้เกิดความตอ้ งการได้ด้วยการใชภ้ าพสินค้าท่ี เตรียมพรอ้ มจะถูกใชง้ านในรูปแบบต่างๆ

14.การใชภ้ าพแสดงเรอื่ งราวต่อเน่ือง(Continuous) เปน็ การใชภ้ าพหลายๆภาพแสดงเรื่องราวต่อเนื่องกันไป เมื่ออ่านขอ้ ความและดูภาพประกอบแลว้ ผอู้ า่ นจะ เกดิ ความเข้าใจมากข้ึน 15.ภาพการต์ ูน (Cartoon) ภาพการต์ ูนสามารถแสดงเร่อื งราวตอ่ เนอ่ื งกนั ได้โดยใหท้ ั้งเนือ้ หาสาระและความขบขันเปน็ การคลายเครียด ใหก้ บั ผูอ้ ่านและเปน็ ภาพท่คี นทั่วไปชอบดไู ม่วา่ เด็กหรอื ผใู้ หญ่

16. การใช้ภาพประกอบโฆษณาดว้ ยแผนภมู แิ ละแผนภาพสถติ ิ(Chart and Diagram) การใช้แผนภมู ิและแผนภาพสถิติตวั เลขเขา้ มาประกอบการโฆษณาแทนการใช้ขอ้ ความโฆษณาทย่ี าวเกนิ ไปนั้น ทำ ให้ผูอ้ ่านเข้าใจในเนอ้ื หาสาระของสินคา้ ได้งา่ ยและรวดเร็วขนึ้ 17.การใช้ภาพประดษิ ฐ์ ภาพตกแตง่ หรอื ภาพวาดแปลกๆ (Abstract Design, Decoration and Ornament) อาจเปน็ ภาพท่ีเกยี่ วข้องหรือไม่เกี่ยวขอ้ งกบั สินค้าเลยก็ได้ การใช้ภาพเหล่านเี้ ขา้ มาเพือ่ ต้องการเน้นความ แปลกใหม่ของภาพใหเ้ ปน็ จุดเรยี กร้องความสนใจให้กบั ผู้อา่ นให้สนใจในตัวสินค้าพร้อมกบั อา่ นข้อความโฆษณา

18.การใช้ภาพสญั ลักษณ์ หรอื เครื่องหมายตา่ งๆ (Symbolism) สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ภาพสญั ลักษณ์ท่ัวไปท่เี ป็นที่รู้จักกันดีและสามารถสอื่ ความหมายในเร่ืองใดเร่อื งหนึง่ ได้ 19.การใชภ้ าพเคร่ืองหมายการค้าหรือสัญญลักษณ์ทางการค้าของธรุ กิจ(Trade Character) สัญญลกั ษณ์ทางการค้าของธรุ กิจอาจเปน็ เคร่อื งหมายการค้า(Trademark) สัญญลกั ษณ์ของบรษิ ัท (Logo) หรือ ตรายห่ี ้อสนิ ค้าทเ่ี ปน็ ทีร่ ู้จักของคนท่ัวไปว่าเป็นสินค้าอะไร หรอื เป็นของใคร จงึ นำสัญญลักษณ์เหล่าน้มี าเปน็ ภาพ โฆษณา เพอื่ ต้องการย้ำเตอื นความทรงจำกับผู้บริโภคใหจ้ ดจำสินค้าไดเ้ สมอ 20.การใช้ภาพแสดงคณุ ลักษณะพเิ ศษของสินคา้ (Dramatizing the Evidence) เป็นการใช้ภาพโดยเนน้ สว่ นสำคญั ท่เี ป็นจุดเด่นของสนิ ค้าท่ีอยู่เหนือคู่แขง่ ขัน หรือ มีความแตกต่างจากคแู่ ข่ง อยา่ งไร

การประชาสัมพันธ์ (Public Relation) เป็นการติดต่อส่ือสารจากองค์การไปสู่สาธารณชนท่ี เกี่ยวข้อง รวมถึงรับฟังความคิดเห็นและประชามติจากสาธารณชนที่มีต่อองค์การ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้าง ความเชอื่ ถือ ภาพลกั ษณ์ ความรู้ และแก้ไขขอ้ ผดิ พลาดในเร่ืองใดเรอื่ งหน่ึง ลกั ษณะของการประชาสัมพนั ธม์ ดี งั ต่อไปนี้ การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารสองทาง (Two-way communication) เป็นการสื่อสารจากผูส้ ่งไปยัง ผู้รับเก่ียวกับข่าวสารขององค์การท่ีต้องการสื่อสารให้สาธารณชนรับทราบ และเข้าใจ และยังเป็นการส่ือสาร ย้อนกลับจากผู้รบั คอื สาธารณชน ไปยังองค์การเก่ยี วกับความคิดเห็นที่เกีย่ วกับองคก์ าร การประชาสัมพันธ์อาจมีกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่ม (Multiple target group) เช่น พนักงาน ลูกค้า ผู้ถือ หุ้น ชุมชน รัฐบาล หรือหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับวัตถุระสงค์ในการประชาสัมพันธ์ว่าต้องการ ประชาสัมพนั ธไ์ ปยังกลุ่มเป้าหมายใดบ้าง การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจ ท้ังนี้การประชาสัมพันธ์ต้องตั้งอยู่บนหลักความจริง เพอื่ ม่งุ ใหเ้ กิดความเช่อื ถือและปฏิบัตติ ามด้วยความสมคั รใจ การประชาสัมพันธ์เป็นการดำเนินงานอย่างต่อเน่ืองและสม่ำเสมอ โดยคาดหวังผลต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อให้สาธารณชนมีความศรัทธาและมีความไว้เน้ือเช่ือใจต่อองค์การเพ่ือให้องค์การสามารถดำเนินกิจการอยู่ใน ระยะยาวได้ การประชาสัมพนั ธ์เป็นการดำเนินงานอย่างเปน็ ระบบ โดยจะมกี ารวางแผน ควบคุม และประเมินผลของ การประชาสมั พนั ธ์ เพื่อใหม้ นั่ ใจว่าการดำเนินการประชาสัมพันธเ์ ปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพและประสิทธผิ ล กลมุ่ สาธารณชน (Public) จากความหมายของการประชาสัมพันธ์ จะเห็นว่าการประชาสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ท่ีเก่ียวข้องกับ สาธารณชน (Public) สาธารณชนสามารถแบ่งออกได้เปน็ 2 ประเภท คอื สาธารณชนภายใน (Internal public) คือ สาธารณชนท่มี คี วามเก่ยี วข้องกบั การดำเนินงานขององคก์ าร โดยตรง เช่น พนกั งาน หรือลกู ค้าขององคก์ าร ซง่ึ องค์การในท่ีน้ีอาจเป็นบรษิ ัท รัฐบาล องคก์ ารไมแ่ สวงหาผลกำไร หรือสถาบันใดๆ กิจกรรมในการประชาสัมพันธ์จะดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ัน จะต้องให้สาธารณชน ภายในมีความเข้าใจและสนับสนุนในกิจกรรมเหล่านั้นด้วย ดังนั้นกิจกรรมประชาสัมพันธ์สำหรับสาธารณชน ภายใน คือ การให้สาธารณชนเหลา่ นไ้ี ด้รับรขู้ ้อมลู ข่าวสาร นโยบาย เปา้ หมาย วัตถุประสงค์ รวมถึงมีส่วนรว่ ม ในการตดั สินใจในกจิ กรรมต่างๆ ขององคก์ าร เพื่อสรา้ งภาพลกั ษณ์ขององคก์ าร สาธารณชนภายนอก (External public) คือ สาธารณชนที่อยู่ภายนอกองค์การซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้อง โดยตรงกับองค์การ แต่มีอิทธิพลและมีผลกระทบต่อการดำเนินการต่างๆ ขององค์การ ดังน้ันกิจกรรมในการ ประชาสัมพันธ์เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจกับสาธารณชนเหล่าน้ี เพื่อให้เกิดความร่วมมือและสนับสนุน กิจกรรมต่างๆ ขององค์การด้วยดี เป็นการส่งเสริมและเผยแพรผ่ ลงาน ชื่อเสยี งขององค์การให้สาธารณชนเหล่านี้ ได้เขา้ ใจถึงเจตนารมย์ เปา้ หมาย และวัตถุประสงคข์ ององคก์ าร รวมถงึ การสร้างทศั นคติท่ดี ตี ่อองค์การ เพ่อื ให้เกิด ความร่วมมือในการดำเนินกจิ กรรมต่างๆ สาธารณชนภายนอกอาจแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ดงั นี้ 1. กลุ่มลกู ค้า (Customers) กลมุ่ ลกู คา้ เป็นกลมุ่ สาธารณชนท่ีสำคญั มากต่อองค์การ โดยเฉพาะบรษิ ทั ที่ ดำเนินธรุ กจิ เพ่ือแสวงหากำไร เพราะเป้าหมายหลกั ของธุรกจิ คอื การทำรายไดห้ รือกำไรสูงสุดจากลกู คา้ กลุ่มลูกค้า คือ ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการของบริษัท ดังน้ันลูกค้าจึงมีความสนใจเก่ียวกับคุณภาพของสินค้า หรือบริการของบริษัท ดังนั้นลูกค้าจงึ ต้องการข้อมูลขา่ วสารต่างๆ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ซึ่งลูกคา้ คาดหวงั จะ ไดข้ อ้ มูลข่าวสารเก่ียวกับสนิ ค้าและบรกิ ารจากบรษิ ทั อย่างถูกตอ้ งและเพียงพอในการตัดสินใจซื้อสนิ ค้าหรือบริการ

เหล่านั้น ลูกค้าจะมีความพึงพอใจต่อบริษัทเม่ือเขารู้สึกว่าสินค้าหรือบรกิ ารที่ซ้ือนั้นมีคุณภาพตามท่ีต้องการใน ราคาเหมาะสม ดังน้ันกิจกรรมประชาสัมพันธ์ในกลุ่มลูกค้า คือ การทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อถือ ศรัทธา และมี ภาพลักษณ์ที่ดีต่อสินค้าและบริการของบริษัทน่ันเอง และเม่ือลูกค้าเกิดความเช่ือม่ันแล้ว บริษัทจะสามารถบรรลุ เป้าหมายของบริษัทได้ นอกจากนั้นลูกค้าท่ีมีความพึงพอใจยังจะเป็นกระบอกเสียงที่ดีเยี่ยมให้กับบริษัท โดยการ บอกต่อแบบปากตอ่ ปากและชว่ ยประชาสมั พันธ์สนิ คา้ หรือบริการของบริษัทให้แก่คนรจู้ ัก ญาติหรือเพ่ือนได้อยา่ ง เต็มใจ โดยที่บริษัทไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งเสียคา่ ใช้จ่ายในการประชาสมั พนั ธเ์ ลย กลุ่มผู้ถือหุ้น (Shareholders) เป็นผู้ที่ได้รับผลได้หรือผลเสียของการลงทุน ร่วมเป็นหุ้นส่วนและเป็น เสมือนแหล่งเงินทนุ สำหรับกิจการ เน่ืองจากผู้ถือหุ้นได้ลงทนุ ในกิจการ จึงต้องการผลตอบแทนไม่ว่าจะเป็นในรูป ของกำไรหรือเงินปันผล ดังนั้นผู้ถือหุ้นมักจะให้ความสนใจในการดำเนินงานและการบริหารของบริษัทว่ามี ประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ บริษัทจึงต้องตอบสนองความต้องการของผู้ถือหุ้นดังกล่าว โดยกิจกรรม ประชาสัมพนั ธข์ องบรษิ ัทจะเปน็ ไปเพอ่ื สร้างความสัมพนั ธอ์ ันดกี ับกลุ่มผู้ถือหนุ้ สร้างความน่าเชอื่ ถือและขจัดความ เข้าใจผิดหรือข่าวลือในทางลบที่เกิดข้ึนกับบริษัท และกระตุ้นให้ผู้ถือหุ้นเกิดความกระตือรือร้นต่อกิจกรรมการ ดำเนินงานของบริษัท กลุ่มผู้จัดส่ง (Suppliers) เป็นกลุ่มผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบ อปุ กรณ์และช้ินส่วนต่างๆ เพื่อปอ้ นเป็นปจั จยั ใน การผลิตแก่บริษัท ผู้จัดสง่ จึงตอ้ งการผลกำไรท่ีเกิดจากการค้าขายกับบริษัท ความสัมพนั ธ์ท่ีราบร่นื และเป็นประจำ รวมถงึ การซ้อื ขายในราคายตุ ิธรรม ดังนั้นกจิ กรรมประชาสัมพันธข์ องบริษทั จงึ เป็นไปเพื่อสร้างความสมั พันธ์กบั ผู้ จัดส่ง เพ่ือผลประโยชน์ร่วมกันท้ังสองฝ่ายท้ังบริษัทและผู้จัดส่งกลุ่มชุมชนใกล้เคียง (Communities) เป็นกลุ่ม ประชาชนท่ีอยู่รอบๆ บริเวณที่บริษัทตั้งอยู่ บริษัทจึงเปรียบเสมือนเพื่อนบ้านแปลกหน้า ดังน้ันกิจกรรม ประชาสัมพันธ์ของบริษัทจะเป็นไปเพ่ือสร้างความสัมพันธ์อันดี ความเข้าใจเพ่ือให้กลุ่มชุมชนใกล้เคียงให้การ สนับสนุนกิจกรรมการดำเนนิ การต่างๆ ของบริษทั อย่างดีและเปน็ ไปอย่างราบรืน่ เพื่อสร้างความเช่ือถือกับชุมชน ใกล้เคยี งว่าบรษิ ัทไม่ได้ตักตวงเอาแต่ผลประโยชน์ของบรษิ ัทโดยไมค่ ำนึงถึงสังคมรอบข้าง เช่น การจัดต้ังห้องสมุด ประชาชน การสร้างสวนสาธารณะในชุมชน การรว่ มกจิ กรรมการกุศลต่างๆ เป็นต้น จากความหมายของการโฆษณาและการประชาสมั พันธด์ ังกลา่ ว อาจสรุปเพ่อื เปรียบเทยี บความแตกตา่ ง ได้ดงั น้ี ปจั จัยทใ่ี ช้เปรียบเทียบ การโฆษณา การประชาสมั พนั ธ์ 1. กล่มุ เปา้ หมาย 1. กลุ่มเปา้ หมายชดั เจนและมักมีเพียง 1. กลมุ่ เปา้ หมายหลายกลมุ่ กลุ่มเดียว 2. วตั ถปุ ระสงค์ 2. เพ่ือเชิญชวนหรือชักจงู ให้ซอื้ สนิ คา้ 2. เพื่อสร้างความเชือ่ ถอื ภาพลักษณ์ หรือบรกิ าร ความรู้ ทัศนคติท่ีดี แก้ไขข้อผิดพลาด ในเรื่องใดเรอ่ื งหนง่ึ 3. เครื่องมือที่ใช้ 3.ส่อื มวลชนแมสมีเดยี เช่นวิทยโุ ทรทศั น์ 3. อาจใชส้ ่ือมวลชนหรอื ไมใ่ ชก้ ็ได้เช่น นิตยสารหนงั สือพิมพไ์ ปโฆษณาเปน็ ตน้ การออกขา่ วให้สัมภาษณ์การจัดแสดง สนิ คา้ สมั มนา แขง่ แรลล่ีเปน็ ตน้ 4. การติดต่อส่อื สาร 4. การสื่อสารทางเดียว ( One way 4. การส่ือสารสองทางเดียว ( Two communication) way communication)

หน่วยที่ 2 การออกแบบกราฟิก ความหมายและความสำคัญของการออกแบบกราฟกิ คำวา่ Graphein กบั Graphikos คำ คือ 2 มาจากภาษากรีก \"กราฟิก\" Graphikos หมายถงึ การเขียนภาพทั้งที่เปน็ ภาพสแี ละภาพขาวดำ Graphein หมายถึง การเขียนตัวหนังสอื และการใช้เส้นในการสอื่ สาร ดังน้ัน \" Graphicจงึ หมายถึง การเขียนทั้งภาพสีและภาพขาวดำ ตลอดจนการเขยี นตัวหนังสอื และการ \" ใชเ้ ส้นเพ่อื ส่ือความหมาย กราฟิก หมายถึง วัสดุต่างๆ ท่ีประกอบด้วยภาพถ่าย ภาพวาด สัญลักษณ์ คำบรรยาย สามารถใชเ้ ปน็ ส่ือ ถ่ายทอด ข้อเท็จจริง และแนวความคิดบางประการได้ กราฟิก เป็นศิลป์หรอื ศาสตรท์ างการวาดภาพ เขียนภาพ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งงานสำหรบั ชา่ งเขยี นฝมี ือ งานกราฟิก มีความสัมพันธก์ ับการออกแบบ ซึ่งถ้ามีการออกแบบที่ดีงานกราฟิกจะมีความน่าสนใจมาก ยงิ่ ข้ึน ก่อนอ่ืนเราควรจะทราบความหมายของการออกแบบก่อนวา่ การออกแบบหมายถงึ อะไร ซงึ่ มผี ู้ให้คำนิยาม ความหมายของการออกแบบ ดังนี้ 1. การออกแบบ หมายถึง การรู้จักวางแผนจัดตั้งขั้นตอน และรู้จักเลือกใช้วัสดุวิธีการเพ่ือทำตามที่ ต้องการนั้น โดยให้สอดคล้องกับลักษณะรูปแบบและคุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดตามความคิดสร้างสรรค์ และ การสรา้ งสรรค์สง่ิ ใหม่ขึน้ มา เช่น เราจะทำเก้าอีน้ ่ังซกั ตัวจะตอ้ งวางแผนไวเ้ ป็นข้ันตอนโดยต้องเริ่มเลือกวัสดุท่ีจะใช้ ทำเก้าอี้นั้นจะใชว้ ัสดุอะไรที่เหมาะสม วิธีการต่อยึดน้ันควรใช้กาว ตะปูนอต หรอื ใช้ข้อต่อแบบใด คำนวณสัดส่วน การใช้งานให้เหมาะสม ความแขง็ แรงของเก้าอ้นี ่ังมากน้อยเพียงใด สสี ันควรใช้สีอะไรจึงจะสวยงาม และทนทาน กบั การใช้งาน เปน็ ตน้ 2. การออกแบบ หมายถึง การปรับปรุงแบบ ผลงานหรือส่ิงต่างๆ ท่ีมีอยู่แล้วให้เหมาะสมมีความแปลก ใหม่ขึ้น เช่น เก้าอี้เราทำขึ้นมาใช้ซ่ึงเม่ือใช้ไปนานๆก็เกิดความเบื่อหน่ายในรูปทรง เราก็จัดการปรับปรุงให้เป็น รูปแบบใหม่ให้สวยกว่าเดิม ทั้งความเหมาะสม ความสะดวกสบายในการใช้งานยังคงเหมือนเดิม หรือดีกว่าเดิม เป็นต้น 3. การออกแบบ หมายถึง การรวบรวมหรือการจัดองค์ประกอบท้ังท่ีเป็น มิติ เข้าด้วยกัน 3 มิติ และ 2 อย่างมีหลักเกณฑ์ การนำองค์ประกอบของการออกแบบมาจัดรวมกันน้ัน ผูอ้ อกแบบจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ใช้ สอยและความสวยงาม อันเป็นคุณลักษณะสำคัญของการออกแบบ เป็นศิลปะของมนุษย์เน่ืองจากเป็นการสร้าง ค่านิยมทางความงาม และสนองคณุ ประโยชนท์ างกายภาพให้แก่มนษุ ย์ 4. การออกแบบ หมายถึง กระบวนการที่สนองความต้องการในส่ิงใหม่ๆของมนุษยซ์ ่งึ สว่ นใหญ่เพ่อื ใหช้ ีวิต อยู่รอด และมีความสะดวกสบายมากข้ึน. ดงั นั้น การออกแบบกราฟิก จึงควรหมายถงึ การสร้างสรรค์ลักษณะ สว่ นประกอบภายนอกของโครงสรา้ ง ใหส้ ามารถสื่อสาร ส่ือความหมาย ความเข้าใจในอนั ที่จะใหผ้ ลในการดงึ ดดู ความสนใจ การให้มโนภาพ ดว้ ยการใช้ วิธีการออกแบบ การจัดวางรปู ตัวอกั ษร ถอ้ ยคำ โฆษณา เครื่องหมาย และสญั ลักษณ์ และอาศยั หลักศิลปะการจัด ภาพ ใหเ้ กิดการประสานกลมกลนื กนั อย่างสวยงาม ตามวตั ถปุ ระสงค์ทไ่ี ดว้ างไว้

ความสำคัญของการออกแบบ การออกแบ (Design) คือศาสตร์แห่งความคิด และต้องใช้ศิลป์ร่วมด้วย เป็นการสร้างสรรค์ และการ แก้ไขปัญหาที่มีอยู่ เพื่อสนองต่อจุดมุ่งหมาย และนำกลับมาใช้งานได้อย่างน่าพอใจ ความน่าพอใจนั้น แบ่ง ออกเปน็ 3 ข้อหลักๆ ไดด้ ังนี้ 1. ความสวยงาม เป็นส่ิงแรกท่ีเราไดส้ มั ผัสก่อน คนเราแต่ละคนต่างมคี วามรบั ร้เู ร่อื ง ความสวยงาม กับความ พอใจ ในทั้ง 2 เรื่องน้ีไม่เท่ากัน จึงเป็นสิ่งท่ีถกเถียงกันอย่างมาก และไม่มีเกณฑ์ ในการตัดสินใดๆ เป็นตัวท่ี กำหนดอยา่ งชัดเจน ดังนัน้ งานท่ีเราได้มีการจดั องคป์ ระกอบทเ่ี หมาะสมนั้น ก็จะมองว่าสวยงามได้เหมอื นกัน 2. มปี ระโยชน์ใช้สอยที่ดี เปน็ เรื่องท่ีสำคัญมากในงานออกแบบทุกประเภท เช่นถ้าเป็นการออกแบบส่ิงของ เช่น เก้าอี้ โซฟา นั้นจะต้องออกแบบมาให้นั่งสบาย ไม่ปวดเมื่อย ถ้าเป็นงานกราฟิก เช่น งานสื่อส่ิงพิมพ์น้ัน ตัวหนังสือจะต้องอ่านง่าย เขา้ ใจงา่ ย ถงึ จะไดช้ อ่ื ว่า เปน็ งานออกแบบท่ีมปี ระโยชน์ใชส้ อยท่ดี ไี ด้ 3. มีแนวความคิดในการออกแบบท่ีดี เป็นหนทางความคิด ที่ทำให้งานออกแบบสามารถตอบสนอง ต่อความรู้สึก พอใจ ช่ืนชม มีคุณค่า บางคนอาจให้ความสำคัญมากหรือน้อย หรืออาจไม่ให้ความสำคัญเลยก็ได้ ดังน้ันบางคร้ังใน การออกแบบ โดยใช้แนวความคิดทีด่ ี อาจจะทำให้ผลงาน หรือส่งิ ที่ออกแบบมีคุณค่ามากข้นึ กไ็ ด้ ดงั น้นั นักออกแบบ )Designer) คือ ผู้ที่พยายามคน้ หา และสร้างสรรคส์ ิ่งใหม่ หาวธิ ีแก้ไข หรือหาคำตอบ ใหม่ๆสำหรับปัญหาตา่ งๆ

ประเภทของการออกแบบ 1. การออกแบบทางสถาปัตยกรรม (Architecture Design) เป็นการออกแบบเพื่อ การก่อสร้าง ต่าง ๆ นักออกแบบสาขานี้ เรยี กว่า สถาปนิก )Architect) ซึ่งโดยทั่วไปจะต้องทำงานร่วมกับ วิศวกรและมัณฑนากร โดยสถาปนกิ รับผิดชอบเกีย่ วกบั ประโยชน์ใช้สอยและความงามของสิ่งกอ่ สร้างงานทางสถาปยั ตกรรมได้แก่ 1.1 สถาปัตยกรรมทว่ั ไปเป็นการออกแบบส่ิงก่อสร้างท่วั ไปเช่นอาคารบา้ นเรอื นรา้ นคา้ โบสถว์ หิ าร 1.2 สถาปัตยกรรมโครงสรา้ งเปน็ การออกแบบเฉพาะโครงสร้างห7ลักของอาคาร

1.3 สถาปัตยกรรมภายในเปน็ การออกแบบท่ีต่อเน่อื งจากการออกแบบสถาปัตยกรรมทั่วไป 1.4 งานออกแบบภมู ิทศั น์ เปน็ การออกแบบทีม่ ีบรเิ วณกว้างขวาง เป็นการจัดบรเิ วณพนื้ ท่ีต่างๆ เพ่อื ให้ เหมาะสมกบั ประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม 1.5 งานออกแบบผังเมอื ง เป็นการออกแบบทมี่ ีขนาดใหญ่ และมีองคป์ ระกอบซบั ซ้อน ซึง่ ประกอบ ไป ด้วยกลุ่มอาคารจำนวนมาก ระบบภูมิทัศน์ ระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ

2. การออกแบบผลติ ภณั ฑ์ (Product Design) เปน็ การออกแบบเพ่อื การผลติ ผลิตภัณฑ์ ชนิดต่างๆ งานออกแบบสาขาน้ี มีขอบเขตกว้างขวางมากที่สุด และแบง่ ออกไดม้ ากมายหลายๆ ลักษณะ นักออกแบบ รบั ผิดชอบเกีย่ วกบั ประโยชนใ์ ชส้ อยและความสวยงามของผลติ ภณั ฑ์ งานออกแบบประเภทน้ีไดแ้ ก่ 2.1 งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ 2.2 งานออกแบบครุภณั ฑ์

2.3 งานออกแบบเครอ่ื งสขุ ภณั ฑ์ 2.4 งานออกแบบเครอ่ื งใชส้ อยต่างๆ

2.5 งานออกแบบเครอ่ื งประดบั อญั มณี 2.6 งานออกแบบเครือ่ งแต่งกาย

2.7 งานออกแบบภาชนะบรรจผุ ลติ ภัณฑ์ 2.8 งานออกแบบผลติ เคร่อื งมอื ตา่ ง ๆ

3. การออกแบบทางวิศวกรรม (Engineering Design) เป็นการออกแบบเพื่อการผลิต ผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่นเดยี วกบั การออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ซึง่ มีความเกยี่ วข้องกัน ตอ้ งใช้ความรคู้ วามสามารถและเทคโนโลยใี นการ ผลิตสูง ผู้ออกแบบคือ วิศวกร ซง่ึ จะรับผิดชอบในเร่ืองของประโยชน์ใชส้ อย ความปลอดภัยและ กรรมวิธีใน การผลติ บางอย่างต้องทำงาน รว่ มกันกับนกั ออกแบบสาขาต่างๆ ดว้ ย งานออกแบบประเภทน้ีได้แก่ 3.1 งานออกแบบเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้า 3.2 งานออกแบบเครือ่ งยนต์

3.3 งานออกแบบเครอ่ื งจักรกล 3.4 งานออกแบบเครื่องมือสือ่ สาร 3.5 งานออกแบบอปุ กณอ์ เิ ลคทรอนคิ ส์ต่าง ๆ ฯลฯ

4 การออกแบบตกแต่ง (Decorative Design) เป็นการออกแบบเพื่อการตกแต่งส่ิงต่างๆให้สวยงามและ เหมาะสมกับประโยชนใ์ ช้สอยมากขึ้น นกั ออกแบบเรยี นว่า มัณฑนากร (Decorator) ซึ่ง มั ก ท ำ ง า น ร่ ว ม กั บ สถาปนกิ งานออกแบบประเภทน้ีไดแ้ ก่ 4.1 งานตกแต่งภายใน (Interior Design) 4.2 งานตกแต่งภายนอก (Exterior Design)

4.3 งานจัดสวนและบริเวณ ( Landscape Design) 4.4 งานตกแตง่ มุมแสดงสินค้า (Display)

4.5 การจดั นิทรรศการ (Exhibition) 4.6 การจัดบอรด์ 4.7 การตกแต่งบนผิวหน้าของส่งิ ต่างๆ เปน็ ตน้ ฯลฯ

5. การออกแบบสิ่งพิมพ์ (Graphic Design) เป็นการออกแบบเพ่ือทางผลิตงานส่ิงพิมพ์ ชนิดต่างๆได้แก่ หนังสือ หนังสือพิมพ์ โปสเตอร์ นามบัตร บัตรต่าง ๆ งานพิมพ์ลวดลายผ้า งานพิมพ์ภาพลงบนสิ่งของเคร่ืองใช้ต่างๆ งานออกแบบรูปสญั ลกั ษณ์ เครื่องหมายการคา้ ฯลฯ

ความเป็นมาของคอมพิวเตอร์กราฟิก การสร้างภาพกราฟิกในอดีตนั้นสามารถทำได้โดยใช้ ดินสอ ปากกา หมึก สี เขียนบนพื้นผิววัสดตุ ่างๆ เช่น ผนังถ้ำ ไม้ไผ่ ผ้า หรือกระดาษ ฯลฯ ต่อมามีการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์มาใช้งานในด้านต่างๆ คอมพิวเตอร์กราฟิก จึงเริ่มเขา้ มามบี ทบาทมากข้นึ การพัฒนาการของการนำคอมพวิ เตอร์มาใช้ในงานกราฟิก สามารถสรปุ ไดด้ ังน้ี ในระยะเรม่ิ แรก ปี พ .ศ.2483 มกี ารนำคอมพิวเตอร์มาใชใ้ นการแสดงผลภาพกราฟิกโดยรูปภาพท่ีสร้าง ขึน้ มานน้ั จะเป็นภาพทีเ่ กิดจากการใช้ตัวอกั ษรมาประกอบกนั และทำการแสดงผลภาพโดยใช้เครื่องพิมพต์ ่อมาในปี พ .ศ.2493 สถาบนั เทคโนโลยแี ห่งแมสซาซูเซสต์ )Massachusetts Institue Technology: MIT] ได้มีการพัฒนา คอมพิวเตอร์ ให้มีส่วนแสดงผลภาพโดยใช้หลอดภาพ CRT (Cathode Ray Tube) มาใช้แทนเครื่องพิมพ์ เนือ่ งจากมีความตอ้ งการให้เกดิ การติดตอ่ ระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอรใ์ ห้มีความเรว็ มากยง่ิ ข้นึ ในปีเดียวกันนั้น กองทัพอากาศ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการพัฒนาระบบ SAGE (Semi - Automatic Ground Environment) ท่ีมีความสามารถในการแปลงสัญญาณจากเรดาร์ให้เป็นภาพบนจอคอมพิวเตอร์ ถือว่าเป็นระบบ คอมพิวเตอรก์ ราฟิกเครื่องแรกท่มี กี ารใช้ปากกาแสง )Light Pen) สำหรับการเลอื กสัญลักษณ์ บนจอภาพได้ และหลังจากนั้นระหว่างช่วงปี ค.ศ. 2503 - 2513 ได้มีการศึกษาวิจัยเก่ียวกับระบบคอมพิวเตอร์เป็น จำนวนมากซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบของระบบคอมพิวเตอร์กราฟิกสมัยใหม่ในช่วงเวลาต่อมา ดังเช่นในงาน วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ อีวาน ซูเธอร์แลนด์ )Ivan Sutherland) (2506) ที่ได้พัฒนาระบบการวาดเส้น ที่ สามารถกำหนดจุดบนจอภาพได้โดยตรงโดยการใช้ปากกาแสง โดยคอมพิวเตอรจ์ ะสามารถลากเส้นเชื่อมจดุ ต่างๆ เหล่านีเ้ ข้าด้วยกัน กลายเปน็ ภาพโครงสรา้ งรูปหลายเหลยี่ ม ระบบนี้ไดก้ ลายเป็นหลกั การพ้นื ฐานของโปรแกรมชว่ ย ในการออกแบบระบบงานตา่ งๆ มากมาย เชน่ การออกแบบระบบไฟฟา้ และการออกแบบเครอ่ื งจกั ร เป็นต้น ตอ่ มาในปี พ .ศ.2508 บริษัท ไอบีเอ็ม )IBM) ไดท้ ำการผลิตจอภาพในระบบหลอดภาพ CRT ออกมาขาย เป็นจำนวนมากในราคาถูก ส่งผลให้งานในสาขาคอมพิวเตอร์กราฟิกเริ่มเป็นที่สนใจของคนท่ัวไป แต่ระบบ หลอดภาพ CRT น้ันมีปัญหาบางประการในการแสดงผลก็คือ การวาดเส้นตรงระหว่างจุดสองจุดบนจอภาพน้ัน ภาพที่วาดจะจางหายไปจากจออย่างรวดเร็ว ทำให้ตอ้ งวาดซ้ำลงที่เดิมหลายๆ คร้ังใน 1 วนิ าที เพ่ือให้มองเห็นว่า เส้นไมจ่ างหายไป ซง่ึ ปัญหาน้ีได้ถูกแก้ไขโดย บริษัทเทคโทรนิกส์ )Tektronix) (1968) ท่ีสามารถผลิตจอภาพแบบ เก็บภาพไว้ได้จนกว่าต้องการจะลบ )Storage - Tube CRT) ซ่ึงระบบน้ีไม่ต้องการหน่วยความจำและระบบการ วาดซ้ำจึงทำให้ราคาจอภาพถูกลงมาก และเป็นท่ีนยิ มกันมากในช่วงเวลา 5 ปี และหลังจากน้ันในช่วงกลางปี พ .ศ.2513 เป็นช่วงเวลาที่อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์เร่มิ มีราคาลดลงมาก ทำให้ฮารด์ แวร์ของระบบคอมพิวเตอร์กราฟิกมีราคาถกู ลงตามไปด้วย ผู้ใช้ทั่วไปจึงสามารถนำมาใช้ในงานของตน ได้ ทำใหก้ ารใช้คอมพวิ เตอรก์ ราฟิกเริ่มแพร่หลายไปในงานดา้ นตา่ งๆ มากขึน้ สำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้งานทางด้านกราฟิกน้ัน ก็ได้มีการพัฒนาควบคู่มากับการพัฒนาฮาร์ดแวร์ทางด้าน คอมพิวเตอร์ การพัฒนาซอฟต์แวร์เริ่มแรกก็เร่ิมมาจากงานของ อีวาน ซูเธอร์แลนด์ ผู้ซ่ึงได้ออกแบบวิธีการหลักๆ รวมทั้ง โครงสร้างข้อมูลของระบบคอมพิวเตอรก์ ราฟิก ต่อมากม็ ี สตเี ฟน คูน )StevenCoons, 1966) และ ปิแอร์ เบเซอร์ )Pierre Bazier, 1972) ไดท้ ำการศกึ ษาเกี่ยวกับการสร้างเส้นโคง้ และภาพพ้นื ผวิ ถือว่าเปน็ ต้นแบบของการศกึ ษาที่ทำให้ปัจจุบันเราสามารถสรา้ ง ภาพ 3 มิตไิ ด้สมจริงมากขึ้น การออกแบบกราฟิกในปัจจุบันมกี ารพัฒนาซอฟตแ์ วรท์ ี่ใชง้ านขน้ึ มาอยา่ งมากมาย ใช้งานได้อยา่ ง มีประสทิ ธิภาพมากยงิ่ ข้ึนกวา่ ในอดตี ซง่ึ ซอฟต์แวรค์ อมพวิ เตอร์ที่สนบั สนนุ งานทางดา้ นกราฟิกที่ได้รับความนิยม ไดแ้ ก่ Adobe Photoshop / Illustrator / Indesign / 3D Studio / LightWave /3D /AutoCad ฯลฯ ซ่ึงเป็นเครื่องมือท่ีมีความสำคัญสำหรับ นักออกแบบและศิลปิน ให้สามารถสร้างสรรค์งานกราฟิกที่มีความสวยงาม แปลกตา และมีบทบาทในงานทางด้านต่างๆ ของ สังคมในปัจจบุ ัน ทัง้ งานทางด้านธุรกิจ โรงงานอุตสาหกรรม งานศลิ ปะ งานด้านการบันเทิง งานโฆษณา งานด้านการศกึ ษา การ วจิ ัย การฝึกอบรม เปน็ ต้น

ภาพกราฟกิ แบง่ ตามลักษณะมิติได้เปน็ 2 ประเภท 1. ภาพกราฟิกแบบ 2 มติ ิ เป็นภาพที่พบเห็นโดยทั่วไป เชน่ ภาพถ่าย รูปวาด สัญลักษณ์ การ์ตูนต่าง ๆ ใน โทรทัศน์ เชน่ ชนิ จัง โดเรม่อน 2. ภาพกราฟิกแบบ 3 มิติ เป็นภาพกราฟิกที่ใชโ้ ปรแกรมสร้างภาพ 3 มติ ิ เช่น 3D max, Maya ทำใหไ้ ด้ภาพ ที่มีสีและแสงเงาเหมือนจริง เหมาะสำหรับการออกแบบและสถาปัตยกรรม เช่น การผลิตรถยนต์และ ภาพยนตร์การ์ตนู 3 มิติ ภาพท่ีเกิดบนจอคอมพิวเตอร์ เกิดจากการทำงานของโหมดสี RGB ซ่ึงประกอบด้วย สีแดง (Red) สีเขียว (Green) และสีน้ำเงิน (Blue) โดยใช้หลักการยงิ ประจไุ ฟฟ้าให้เกดิ การเปล่งแสงของสีท้ัง 3 สี มาผสมกันทำให้เกิด เป็นจุดสเี ล็ก ๆ ท่ีเรียกว่า พกิ เซล (Pixel) โดยพิกเซลจะมีหลากหลายสี เมอื่ นำมาวางต่อกันจะเกิดเป็นรูปภาพ ซ่ึง ภาพทีใ่ ช้กับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ มี 2 ประเภท คือ 1. ภาพกราฟิกแบบ Raster ภาพกราฟิกแบบ Raster หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แบบ Bitmap เป็นภาพกราฟิกท่ีเกิดจากการเรียงตัว ของจดุ สี่เหล่ียมเล็กๆ หลากหลายสี ท่ีเรยี กว่า พกิ เซล ในการสร้างภาพกราฟกิ แบบ Raster จะต้องกำหนดจำนวน พิกเซลให้กบั ภาพทตี่ อ้ งการสร้าง ถ้ากำหนดจำนวนพิกเซลน้อย เมอื่ ขยายภาพให้มีขนาดใหญข่ น้ึ จะทำใหม้ องเห็น ภาพเป็นจดุ ส่ีเหลยี่ มเล็กๆ หรือถา้ กำหนดจำนวนพิกเซลมากก็จะทำใหแ้ ฟ้มภาพมีขนาดใหญ่ ดังนั้น การกำหนดจำนวนพิกเซลจึงควรกำหนดให้เหมาะสมกับงานที่จะสร้าง เช่น งานท่ีมีความละเอียด น้อย หรือภาพสำหรับเว็บไซต์ ควรกำหนดจำนวนพกิ เซล ประมาณ 72 ppi )pixel / inch คือ จำนวนพกิ เซลใน 1 300 แตถ่ า้ เป็นงานแบบพิมพ์ เช่น นิตยสาร ปกหนังสือ โปสเตอร์ขนาดใหญ่ จะกำหนดประมาณ (ตารางนว้ิ - 350 ppi เปน็ ต้น ข้อดีของภาพกราฟิกแบบ Raster คือ สามารถปรบั แตง่ สี ตกแต่งภาพได้ง่ายและสวยงาม ซง่ึ โปรแกรมที่ นิยมใช้สรา้ งภาพกราฟิกแบบ Raster คือ Adobe Photoshop, Paint เปน็ ต้น

2. ภาพกราฟิกแบบ Vector เป็นภาพกราฟิกท่ีเกิดจากการอ้างอิงความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ หรือการคำนวณ ซ่ึงภาพจะมีความ เป็นอิสระต่อกัน โดยแยกช้ินส่วนของภาพท้ังหมดออกเป็นเส้นตรง เส้นโค้ง รูปทรง เมื่อมีการขยายภาพความ ละเอยี ดของภาพจะไม่ลดลง แฟ้มมขี นาดเล็กกว่าแบบ Raster ภาพกราฟิกแบบ Vector นยิ มใชเ้ พื่องานสถาปัตยกรรมตกแตง่ ภายใน และการออกแบบต่าง ๆ เช่น การ ออกแบบรถยนต์ การออกแบบอาคาร การสร้างการ์ตูน เป็นต้น ซ่ึงโปรแกรมที่นิยมใช้สร้างภาพแบบ Vector คือ โปรแกรม Illustrator, CorrelDraw, 3Ds Max เป็นตน้ ไฟล์ภาพกราฟกิ 1. ไฟล์สกุล GIF (Graphics Interlace File) เป็นไฟล์กราฟิกมาตรฐานท่ีทำงานบนอินเทอร์เน็ต มักจะใช้เม่ือต้องการ ไฟลท์ ่มี ีขนาดเลก็ จำนวนสีและความละเอยี ดของภาพไมส่ งู มากนัก หรือต้องการนำเสนอภาพแบบภาพเคลอ่ื นไหว จดุ เด่น - มขี นาดไฟล์ต่ำ - สามารถทำพืน้ ของภาพให้เปน็ พ้ืนแบบโปรง่ ใสได้ (Transparent) - มีโปรแกรมสนบั การสรา้ งจำนวนมาก - เรยี กดไู ด้กับ Graphics Browser ทุกตวั - ความสามารถด้านการนำเสนอแบบภาพเคลื่อนไหว (Gif Animation) จดุ ดอ้ ย - แสดงสไี ด้เพียง 256 สี

2. ไฟล์สกลุ JPG (Joint Photographer’s Experts Group) เป็นไฟล์ทีน่ ยิ มใชบ้ น Internet มักใช้ในกรณี ภาพท่ี ตอ้ งการนำเสนอมีความละเอียดสงู และใช้สีจำนวนมาก ไฟลช์ นิดนม้ี ักจะใชก้ ับภาพถา่ ยที่นำมาสแกน และต้องการ นำไปใชบ้ นอนิ เทอรเ์ น็ต เพราะใหค้ วามคมชัดและความละเอยี ดของภาพสูง จดุ เดน่ - สนบั สนุนสีได้ถึง 24 bit - สามารถกำหนดคา่ การบีบไฟล์ไดต้ ามท่ีต้องการ - มีโปรแกรมสนบั สนุนการสร้างจำนวนมาก - เรยี กดูไดก้ ับ Graphics Browser ทุกตวั - ตงั้ ค่าการบบี ไฟลไ์ ด้ ( compress files) จดุ ด้อย - ทำใหพ้ น้ื ของรูปโปรง่ ใสไมไ่ ด้ 3. ไฟลส์ กลุ PNG (Portable Network Graphics) จุดเดน่ - สนับสนุนสีได้ถึงตามค่า True color (16 bit, 32 bit หรอื 64 bit) - สามารถกำหนดค่าการบบี ไฟลไ์ ด้ตามท่ตี อ้ งการ - มรี ะบบแสดงผลแบบหยาบและค่อยๆ ขยายไปสลู่ ะเอยี ด ( Interlace) - สามารถทำพ้นื โปรง่ ใสได้ จุดด้อย - หากกำหนดคา่ การบบี ไฟลไ์ ว้สูง จะใช้เวลาในการคลายไฟลส์ ูงตามไปด้วย แตข่ นาดของไฟลจ์ ะมีขนาดต่ำ - ไมส่ นับสนุนกบั Graphic Browser รุน่ เกา่ สนับสนนุ เฉพาะ IE 4 และ Netscape 4 - ความละเอียดของภาพและจำนวนสขี น้ึ อยกู่ บั Video Card - โปรแกรมสนบั สนนุ ในการสร้างมีนอ้ ย 4. ไฟล์สกุล BMP (Window Bitmap) เป็นรปู แบบพ้ืนฐานที่ใช้งานได้ดีกับโปรแกรมที่ทำงานภายใต้วินโดว์ ไฟล์ BMP ทีเ่ ห็นบ่อยๆ คือ ภาพวอลล์เปเปอร์ท่แี สดงบนจอภาพของวินโดว์ โดยสามารถแสดงได้ตงั้ แต่ 2,16,256 และ 16 ล้านสี CGM Computer Graphic Metafile เปน็ มาตรฐานสากลสำหรับการแลกเปลยี่ นไฟล์ด้านกราฟิก ไปยัง เครื่องท่มี ีระบบแตกต่างกัน 5. ไฟล์สกลุ EPS (Encapsulated PostScript) เป็นรูปแบบท่ีใช้กับงานประเภท Desktop Publishing หรืองาน เก่ียวกับการจัดหน้า เช่น PageMaker โดยใช้กับเคร่ืองพิมพ์แบบ PostScript เท่าน้ัน ไฟล์ EPS นี้เม่ือนำมา ย่อ-ขยาย จะไม่ทำให้ภาพสูญเสียความคมชัด เนอ่ื งจากมีความละเอียดสงู 6. ไฟล์สกุล TIFF (Tagged Image File Format) ไฟล์แบบ TIFF เปน็ รปู แบบท่ีมีคณุ ภาพความคมชัดของภาพสูง ท่ีสุด ไม่ว่าจะย่อหรือขยายภาพคุณภาพที่แสดงก็ยังคงเดิม แต่จะมีขนาดใหญ่เน่ืองจากมีการรวมเอาข้อมูลจาก บติ แมป วันทีแ่ ละเวลาที่ไฟลถ์ ูกสร้าง รวมทัง้ ซอฟท์แวรท์ ใี่ ช้

หนว่ ยท่ี 3 หลักการออกแบบส่อื โฆษณา ส่ือ หมายถึงเครื่องมือทางการตลาดท่ีมีบทบาทหรือมีหน้าที่นำขอ้ มูลข่าวสารเหลา่ นัน้ ไปยังกล่มุ ผบู้ ริโภค หรือกลุ่มเป้าหมาย โดยการใช้สื่อโฆษณานั้นๆจะเกิดประโยชน์หรือประสบความสำเร็จหรือไม่ ข้ึนอยู่กับการ เลอื กใชส้ ่ือแตล่ ะชนดิ อย่างเหมาะสมตอ่ กลมุ่ เปา้ หมายด้วย การวางผังหรอื การจัดหน้าโฆษณา ความหมายของการวางผังโฆษณา(Layout) การนำเอาองค์ประกอบต่างๆที่เตรยี มไว้ทัง้ หมดมารวมกนั เปน็ ช้ินงานโฆษณาทจี่ ะนำออกมาเผยแพรต่ อ่ สาธารณชน โดยองค์ประกอบทเี่ ตรยี มไวอ้ าจมี ภาพ พาดหวั เนื้อเร่อื ง คำขวญั เคร่ืองหมายการค้าฯลฯ ซง่ึ ผูจ้ ัดทำหน้าโฆษณา จะเปน็ ผ้กู ำหนดตำแหน่งภาพและขอ้ ความว่าควรวางไวใ้ นตำแหน่งใด จะใช้แบบขนาดตวั อกั ษรอย่างไร ใหม้ สี ีสรร อยา่ งไรเพื่อใหช้ ิ้นงานโฆษณาน้เี กิดความสวยงามและสะดดุ ตาผู้อา่ น หลกั การจัดทำ Layout ทด่ี ี 1. ความสมดุล (Balance) คือ การจัดตำแหน่งขององคป์ ระกอบต่างๆใหส้ มดุลกัน ซึง่ การจัดหน้าโฆษณาจะตอ้ งพจิ ารณานำ้ หนักของภาพและ ข้อความโฆษณาตลอดจนองค์ประกอบต่างๆในชิ้นงานโฆษณาให้มคี วามสมดลุ กนั ทั้งดา้ นซ้าย ดา้ นขวา ดา้ นบน ด้านล่าง โดยดูจากจุดก่งึ กลางที่สายตาของผ้อู า่ นมองภาพคร้ังแรก (Optical Center) ลักษณะของความสมดุลในการจัดหนา้ โฆษณา 1.ความสมดุลอย่างมรี ะบบ (Formal Balance) คือ การวางภาพหรือขอ้ ความโฆษณาใหไ้ ปทางซา้ ย-ขวา เท่าๆกนั รวมทัง้ ความหนัก-เบา ทั้งด้านบน-ลา่ ง ของจุดกง่ึ กลางที่ตาจับให้มีนำ้ หนักสมดุลกัน 2.ความสมดุลทไี่ มม่ ีระบบ (Informal Balance) คอื การวางองคป์ ระกอบตา่ งๆอย่างกระจัดกระจายแตใ่ ห้ มีนำ้ หนักของทั้ง 2 ดา้ นสมดลุ กนั โดยน้ำหนกั ที่เกิดจากขนาดและแบบตัวอกั ษร ภาพประกอบโฆษณา น้ำหนักของ สแี ละการแรเงาต่างๆมาถว่ งให้เกดิ น้ำหนกั ที่สมดุลกัน 2. การจดั ภาพ(Composition) หลักที่ใชส้ ำหรับการออกแบบโฆษณาจัดภาพ 2.1 ให้ใช้วิธีแบ่งเนื้อทีอ่ อกเป็น 3 สว่ นเทา่ ๆกนั ในแนวนอนเพอ่ื กำหนดเนอื้ ที่แต่ละส่วนให้เปน็ สว่ นของขอ้ ความ หรอื ภาพโฆษณาตามความเหมาะสม สว่ นท่ี 1 ส่วนที่ 2 ส่วนท่ี 3

2.2 วธิ กี ารแบ่งเนอ้ื ทีอ่ อกเปน็ 3 สว่ นเท่าๆกันในแนวต้งั แล้วกำหนดเนอ้ื ที่ในแต่ละส่วนสำหรับองค์ประกอบต่างๆ 2.3 วิธกี ารแบ่งเนอ้ื ทีอ่ อกเปน็ 3 ส่วนเท่าๆกนั แตใ่ ห้แนวตงั้ 2 สว่ นและแนวนอน 1 ส่วน 2.4 ใช้วธิ แี บง่ เน้อื ที่ออกเป็น 4 สว่ นเทา่ ๆกนั ในลักษณะตารางหมากรุก

3. การจัดวางใหไ้ ด้สัดส่วน (Proportion) เปน็ การกำหนดสัดสว่ นของเน้อื ท่ีองค์ประกอบต่างๆให้กลมกลืนสวยงาม ไมใ่ ช้เนือ้ ที่แน่นเกนิ ไปทำใหผ้ อู้ า่ นอดึ อดั ภาพการจัดวางไดส้ ดั สว่ นสวยงาม ภาพการจัดวางสดั ส่วนทแี่ นน่ เกนิ ไป 4. การเคลอื่ นไหวและการเคลื่อนของสายตา (Gaze) ควรกำหนดทิศทางของการเคล่ือนที่ของสายตาท่ีถูกต้องและเป็นไปตามลำดับขั้นตอนก่อนหลังโดยมีการใช้ เครือ่ งชีน้ ำสายตาชว่ ยปทู างให้สายตาผู้อ่านมองไปทิศทางท่ตี ้องการเชน่ การใชล้ กู ศร การใช้มอื ช้ีนำหรือให้คนใน ภาพใช้ตาจอ้ งไปยงั จดุ ท่ีต้องการเป็นตน้ 5. ความแตกตา่ งทส่ี ะดุดตา(Contrast) การเนน้ หรอื สร้างความเดน่ ชดั ในสว่ นประกอบสำคัญ ของชิ้นงานโฆษณาเพือ่ ต้องการให้ตา่ งจากผู้แขง่ ขัน 6. ความเขา้ ใจง่ายและชดั เจน(Simplicity and Clarity) ควรจดั หนา้ โฆษณาท่ีงา่ ยๆไม่ยุ่งยากไม่ใช่เน้นองค์ประกอบ เล็กๆน้อยๆจนดรู กรงุ รงั ซับซอ้ น ภาพและขอ้ ความทีใ่ ช้ต้อง ชัดเจนดแู ล้วรู้เรือ่ งทนั ทีไมต่ อ้ งคิดมาก

7. ช่องวา่ ง(White Space) ควรกำหนดชอ่ งว่างของหน้าโฆษณาใหเ้ หมาะสม การมีชอ่ งว่างจะช่วยดึงดดู ความสนใจและให้ ความหมายบางอย่างได้ เชน่ ความกวา้ งใหญ่ ความอา้ งว้าง เป็นต้น 8.เคร่อื งหมายการคา้ (Trademark – Logo) ช้นิ งานโฆษณาควรจะตอ้ งมเี ครอื่ งหมายการค้า ด้วยเสมอเพ่ือแสดงความเปน็ เอกลักษณ์ สรา้ งความจดจำหรอื สรา้ งภาพพจน์ท่ีดีแก่ร้านค้า 9. ขนาดและสสี ัน (Size and color) ขนาดของการโฆษณามอี ยหู่ ลายขนาดต่างๆกนั ขึ้นอยู่กบั ความต้องการของผทู้ ีต่ ้องการโฆษณา วา่ มงี บประมาณอย่เู ท่าใดส่วนสีสันของการโฆษณา การสรา้ งความสนใจใหก้ บั งานโฆษณาชว่ ยสร้างอารมณ์ ความรูส้ ึก และบุคลิกให้กับสนิ ค้าได้ 10. ตัวอักษร (Typography) ควรเลอื กตวั อกั ษรอยา่ งพิถีพถิ ันให้เหมาะสม กลมกลืนกบั องค์ประกอบอ่นื ๆของงานโฆษณา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook