1
2 เอกสารประกอบการสอน วิชาการออกแบบตวั อกั ษร (Lettering Design) รหัส 20302-2107 ทฤษฎี 1- ปฎบิ ัติ 3- หนว่ ยกิต 2 จุดประสงค์รายวิชา เพ่อื ให้ 1. มีความรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกับประวตั ิความเป็นมา ววิ ฒั นาการของอกั ษรไทย ตัวอักษรอังกฤษ 2. มคี วามรู้ ความเข้าใจรูปแบบตัวอักษรประเภทต่างๆ หลกั การออกแบบการจัดวางตัวอักษร 3. มที กั ษะในการออกแบบตวั อกั ษร เพอ่ื การจัดทำชื่อหนงั สอื หวั คอลัมน์และงานปา้ ย 4. มกี จิ นิสยั ทด่ี ี มรี ะเบยี บวนิ ยั ในการปฏิบตั ิงาน ดแู ล รักษาวสั ดุ อุปกรณ์ เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการออกแบบ 5. สามารถประเมนิ คุณค่าผลงาน สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรูเ้ ก่ยี วกบั ประวัติความเปน็ มา ววิ ฒั นาการตวั อักษรไทย อักษรอังกฤษ รปู แบบตวั อกั ษร หลกั การออกแบบและการจัดวางตวั อักษร 2. ออกแบบตัวอักษรไทย-อักษรอังกฤษ เพอ่ื จัดทำชื่อหนงั สือ หวั คอลมั นแ์ ละงานปา้ ย คำอธบิ ายรายวชิ า ศกึ ษาเก่ียวกับประวตั ิความเป็นมา ววิ ัฒนาการของตวั อักษรไทย ั -อักษรองั กฤษ หลกั การออกแบบและ การจดั วางตัวอักษรประเภทต่างๆ ปฏิบัตกิ ารออกแบบตวั อักษรให้เหมาะสมการการนำไปใช้งาน และการส่อื ความหมายการออกแบบ จัดวางตวั อกั ษร ให้เกดิ ความสมั พันธ์ระหวางรปู แบบตัวอกั ษร เพอื่ การนำไปใชก้ บั งานออกแบบ ชอ่ื หนังสือ หวั คอลัมภ์ งานปา้ ย ได้อยา่ งมปี ระสิทธผิ ล
3 หน่วยที่ 1 ประวตั ิความเป็นมา วิวฒั นาการของตัวอกั ษรไทย ตัวอักษรองั กฤษ ประเทศไทยในปจั จุบัน แมภ้ าษาพดู จะมสี ำเนียง คำบางคำ ที่ต่างกนั ในแต่ละท้องถิ่น แตภ่ าษาเขียน และอกั ขรวธิ นี ้นั ใช้แบบเดยี วกัน ประวตั ิศาสตรอ์ ันยาวนานกว่า ๑,๓๐๐ ปีของการพฒั นานนั้ ผ่านการลองผิด ลองถกู จากมนั สมองของบรรพบรุ ษุ ไทยตั้งแต่กษตั รยิ ์ นกั อักษรศาสตร์ นกั บวช นกั วิชาการไทยมาหลายต่อ หลายครัง้ หลายรูปแบบ และหลายรนุ่ จนกว่าจะมาเป็นรปู แบบปัจจุบัน เปน็ มาตรฐานเดยี วกนั สรุป พัฒนาการแบบสั้น ๆ ได้ดังน้ี ตวั อักษรหรอื ตัวหนงั สอื เรม่ิ ต้นจากภาพลายเสน้ ในพิธกี รรม เพื่อความศกั ดิส์ ิทธิ์ ความอุดม สมบรู ณ์และการสอ่ื สารกนั ภายหลงั ปรบั เปน็ ลายเสน้ ง่าย ๆ เรียกว่า \"อักษรภาพ\" (Pictrographs) ซึง่ ใช้ เขียนคำสำคญั ๆ ท่ีเป็นรปู ธรรม เช่น ตน้ ไม้ บ้าน ไฟ สัตว์ ฯลฯ แล้วพัฒนาไปอีกข้นั หนึ่งเพือ่ ใช้เขียนคำท่เี ปน็ นามธรรมได้ เชน่ รกั เกลยี ด กลัว ฯลฯ เรียกวา่ \"อกั ษรความคิด\" (Idegraphs) ตัวอกั ษรภาพและอกั ษร ความคิดไดใ้ ชก้ นั อยา่ งกว้างขวางและมีวิวฒั นาการของมันเองเปน็ ระยะเวลานับพัน ๆ ปี ใช้ในสมยั อารยธรรม โบราณ ๓ ชนดิ ด้วยกนั คือ 1. อกั ษรอียปิ ต์โบราณหรอื อกั ษรฮีโรกลิฟ (Hieroglyphs) ท่ีมา : http://writer.dek-d.com/ourisya/story/viewlongc.php?id=1105630&chapter=36 ไฮโรกลฟิ (องั กฤษ: Hieroglyph) หรอื ไฮโรกลฟิ ฟกิ เป็นอักษรภาพอยา่ งหน่งึ ของอียิปต์โบราณ เพิ่งมีการอา่ น และแปลความหมายได้อย่างชัดเจนเปน็ ระบบเม่ือมีการคน้ พบหินโรเซตตาในปีพ.ศ.2342 ท่จี ารกึ โดยตัวอักษร 3 แบบ คอื กรกี โบราณดโี มติก และไฮโรกลิฟ การเปรยี บเทยี บชอ่ื ราชวงศ์ต่าง ๆ โดยใช้ตวั อักษร 3 แบบ ทำให้ ผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณสามารถอ่านอักษรไฮโรกลฟิ ไดใ้ น 25 ปีตอ่ มา ชาวอยี ปิ ตเ์ ชอื่ ว่าอักษรน้ีประดิษฐ์โดยเทพเจ้าธอธ คำวา่ ไฮโรกลฟิ ฟิก มาจากภาษากรกี hieros (ศกั ด์ิสิทธ)์ิ + glypho (จารกึ ) คำนีใ้ ช้เปน็ ครง้ั แรก โดยคลีเมนต์แห่งอเล็กซานเดรยี การเขยี นในอียปิ ต์ทเี่ ก่า ท่ีสดุ เริม่ เมอื่ ราว 2,867 ปีก่อนพทุ ธศักราช ส่วนอกั ษร ไฮโรกลฟิ ฟิกท่ใี หมท่ ส่ี ดุ เปน็ ประกาศที่กำแพงวหิ าร ในฟแิ ล (philae) อายุราว พ.ศ. 939 อกั ษรนใ้ี ช้กับจารกึ อย่างเปน็ ทางการ ตามกำแพงวิหารและหลุมฝังศพ บางแหง่ มกี ารระบายสดี ว้ ย การเขยี นทั่วไป ในชีวิตประจำวนั ใช้อกั ษรเฮยี ราติกหลังจากจักรพรรดิทอี อสซิอสุ ที่1 สัง่ ปิดวหิ ารของพวกเพเกิน ทัว่ จกั รวรรดิโรมนั ในชว่ งพ.ศ. 1000 ความร้เู กยี่ วกับอักษรน้ีไดส้ ญู หายไป จนกระทัง่ ชอง-ฟรองซัว ชองโปเลียงชาวฝรัง่ เศสถอดความอักษรนไ้ี ด้
4 อักษรไฮโรกลิฟฟิกอาจจะเก่ากว่าอักษรรูปลิ่มของชาวซูเมอร์ทศิ ทางการเขียนเป็นได้หลายแบบ ท้ัง แนวนอน ซา้ ยไปขวาหรือขวาไปซ้าย แนวตงั้ จากบนลงล่าง ซ้ายไปขวาหรอื ขวาไปซ้าย การบอกทิศทาง สังเกต จากการหันหน้าของรูปคนหรือสัตว์ ซึ่งจะหันหน้าเข้าหาจุดเริ่มต้นของเส้น อียิปต์ยุคต้นและยุคกลาง (ราว 1,457-1,057 ปีก่อนพุทธศักราช) ใช้สัญลักษณ์ 700 ตัว ในยุคกรีก-โรมัน ใช้สัญญลักษณ์มากกว่า 5,600 ตัว สญั ลักษณ์แต่ละตัวบอกทง้ั การออกเสยี งและความหมาย เช่นสญั ลกั ษณ์ของจระเข้ เป็นรูปจระเขร้ วมกับสัญลักษณ์ แทนเสียง “msh”เช่นเดียวกับคำว่าแมว “miw” จะใช้รูปแมว รวมกับสัญลักษณ์แทนอักษร m i และ w ชาวอยี ิปตม์ ีความชำนาญทางศลิ ปหัตถกรรม งานชา่ ง และการทำหนังสอื โดยเฉพาะหนงั สอื ที่เกยี่ วข้อง กับพธิ กี รรมต่างๆ นอกจากนยี้ ังใหค้ วามสำคญั กับชีวติ หลงั ความตายและอักษรภาพหรอื ภาษาตามความเช่ือที่มี อำนาจและอทิ ธพิ ลตอ่ การดำรงชีวติ และพธิ กี รรม ดังน้นั ตวั อักษรในยุคแรกๆ จงึ มักจะพบถูกจารกึ ค่กู บั การแกะสลักหรือวาดภาพเทพเจา้ ไมว่ ่าจะบนกำแพง วิหาร, หลุมฝังศพหรือโลงท่ที ำจากหนิ เพื่อคุ้มครองผตู้ าย นอกจากนยี้ งั จารกึ ทีเ่ ป็นคำสาปแช่งผทู้ ี่ล่วงละเมิดสสุ าน
5
6 2. อกั ษรรปู ลมิ่ (Cuneiforms) รูปอกั ษรล่ิม ท่มี า : http://en.wikipedia.org/wiki/Cuneiform_script อกั ษรรูปล่มิ (cuneiform) แต่ละชาติต่างก็มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน และแต่ละ ภาษาก็ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่หลากหลาย เชื่อว่าหลายคนอาจไม่ทราบว่าอักษรรุ่นแรกๆ ที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ คิดคน้ ขน้ึ มาคืออักษรอะไรและใครทเี่ ป็นผคู้ ิดคน้ อักขระเหลา่ นี้
7 หนึ่งในตัวอักษรแรกเริ่มของโลกก็คือ อักษรรูปลิ่ม หรือ คูนิฟอร์ม (Cuniform) เป็นระบบการ เขียนที่หลากหลาย เป็นได้ทั้ง อักษรพยางค์ อักษรคำ และอักษรที่มีระบบสระ – พยัญชนะ คำว่า “cuneiform”นนั้ มาจากภาษาละตินคำว่า “cuneus” ที่แปลว่า ลม่ิ ดังนัน้ อักษรรปู ลม่ิ จงึ รวมอกั ษรท่ีมีรูปร่าง คล้ายล่ิมทั้งหมดไว้ด้วยกัน อักษรลิ่ม เริ่มแรกนั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวสุเมอเรียน เชื่อว่าเขียนขึ้นด้วยก้านอ้อหรอื ไม้ที่ตัด ปลายเป็นเหลี่ยม แล้วกดลงไปบนแผ่นดินเหนียวที่อ่อนตัว จากนั้นก็นำไปเผาหรือตากแดดให้แห้ง แผ่นดิน เหนยี วจะมขี นาดยาวประมาณ 6 น้ิว กวา้ งประมาณ 3 น้วิ หนาประมาณ 1 นิว้ สว่ นวธิ ีการรกั ษาให้อยูไ่ ด้นานๆ น้ัน บางครงั้ เมื่อเผาหรือตากแดดจนแหง้ แล้วจะหมุ้ ด้วยดินเหนยี วบางๆ อกี ชั้น แลว้ เขยี นทบั ลงไปใหม่นำไปเผา ซ้ำอีกครั้ง เผื่อว่าอักษรด้านนอกลบเลือนหรือกะเทาะแตก ส่วนที่อยู่ด้านก็ในยังเหลือให้เห็นสำหรับแผ่นดิน เหนียวท่ีเป็นรูปทรง 3 มิติ มี 2 ชนดิ คอื แบบแผน่ แบนและแผน่ ซอ้ น แบบแผ่นแบน เป็นรูปแบบโบราณ พบ ต้ังแต่ 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ใน ตุรกี ซีเรีย อิสราเอล จอร์แดน อิหร่าน และอิรัก เป็นแบบที่แพร่หลาย กว่าแบบแผ่น ซ ้อน คาดว่าเป็นแบบที่ใช้ใน การนับทางเกษตรกรรม เช่น การน ับธัญพืช แบบแผ่นซ้อน เป็นแบบที่ตกแต่งด้วยเครื่องหมาย เริ่มพบในช่วง 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทางภาคใต้ของ เมโสโปเตเมีย แผ่นแบบซอ้ นจะใช้บันทกึ เก่ียวกับสินค้าแปรรูป พบในบรเิ วณท่มี ีการขยายตัวของอุตสาหกรรม อยา่ งรวดเรว็ เช่น ซเู มอร์ ตัวอย่างท่ีเก่าสุด พบในวิหารเทพีอินอนั นา เทพแี ห่งความรกั และความอุดมสมบูรณ์ ของชาวซูเมอรใ์ นเมืองอูรุก ท่มี า: http://thaigoodview.com/node/12941 สำหรับการเขียนตวั อักษรล่มิ เขียนเป็นสัญลักษณแ์ บง่ เปน็ กลุ่มๆ แทนความคดิ คำและวตั ถุ ต่อมาได้มีการปรับ ให้ละเอยี ดขึ้นโดย มสี ัญลักษณแ์ ทนความหมายต่างๆ เพ่มิ ขึ้นอกี มากมาย แตว่ ิธีการเขยี นไม่เอื้ออำนวยต่อการ จดบันทึกหรือการเขียนที่มีขนาดยาวๆ เพราะแผ่นดนิ เหนียวแผ่นหนึ่งๆ เขียนข้อความได้ไม่มากนัก เนื้อเรื่อง สว่ นใหญ่เป็นเรือ่ งเกย่ี วกับพระหรือนกั บวช ซงึ่ เกีย่ วข้องกับศาสนา เช่น คำโคลงสดุดพี ระเจา้ เพลงสวด ซงึ่ เป็น การแสดงความยงิ่ ใหญข่ องเทพเจา้ ทต่ี นนับถือ และเพ่ือเรียกรอ้ งใหม้ นษุ ย์เกรงกลัวและจงรักภกั ดี การที่ชาวสุเมเรียนสามารถประดิษฐ์อักษรขึ้นเป็นครั้งแรกในนั้น นับเป็นความสำเร็จทางด้าน สติปัญญาของชนพื้นเมืองในเมโสโปเตเมีย จนมีผู้กล่าวไว้ว่า “ประวัติศาสตร์เริ่มที่ซูเมอร์” เพราะยุค ประวัติศาสตรค์ ือ ยุคที่มกี ารบนั ทกึ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรแลว้ อกั ษรลิ่ม จึงถอื ว่าเปน็ ภมู ิปัญญาข้ันสูงของชาวสุ เมเรียน ที่ทำให้เราได้ทราบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของชนชาติโบราณที่อาศัยอยู่ในดินแดนมโสโปเตเมีย กวา่ 5000 ปีท่ีผ่านมา ท่ีมา: http://worldcivil14.blogspot.com/2014/09/cuneiform.html
8
9 3. อักษรจนี หรอื อักษรพู่กัน นับแต่โบราณกาลมา ผู้คนรู้จกั ใชเ้ ส้นเชือก ภาพวาดและเครื่องหมายเพ่ือใชใ้ นการจดบันทึกส่ิงต่าง ๆ เมื่อล่วงเวลานานเข้า จึงเกิดวิวัฒนาการกลายเป็นตัวอักษร สำหรับศิลปะในการเขียนตัวอักษรจีนนั้น ได้ถือ กำเนิดขึน้ มาพร้อม ๆกับตัวอกั ษรจนี เลยทเี ดยี ว ดงั นัน้ การจะศึกษาถึงศิลปะในการเขียนตวั อกั ษรจีนจึงต้องทำ ความเข้าใจถงึ ตน้ กำเนดิ ของตวั อกั ษรควบคู่กันไป การปรากฏของอักษรจีนที่เก่าแก่ท่ีสุดมาจากแหล่งโบราณคดีปั้นปอจาก เมืองซีอันมณฑลส่านซีทาง ตะวันตกเฉียงเหนอื ของประเทศจีน สามารถนบั ยอ้ นหลังกลบั ไปได้กว่า 5,000 ปี โดยอยู่ในรปู ของอักษรภาพท่ี สลักเป็นรูปวงกลม เสี้ยวพระจันทร์และภูเขาห้ายอดบนเครื่องป้ันดินเผา จวบจนถึงเมื่อ 3,000 ปีก่อนจึงก้าว เข้าสู่รูปแบบของอักษรจารบนกระดูกสัตว์ ซึ่งนับเป็นยุคตน้ ของศลิ ปะการเขียนอกั ษรจีน อักษรภาพทีเ่ ก่าแก่ ทีส่ ดุ ในจนี เมื่อปี ค.ศ. 1899 ชาวบ้านจากหมู่บ้านเลก็ ๆแห่งหนึง่ ทางทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือของอำเภออันหยา งมณฑลเหอหนันประเทศจีนได้ ค้นพบสง่ิ ทเ่ี รียกกันว่า ‘กระดูกมังกร’ จงึ นำมาใชท้ ำเปน็ ตวั ยารกั ษาโรค ต่อมา เนื่องจากพ่อค้าหวงั อ้ีหรงเกิดความสนใจต่อตัวอกั ษรบนกระดูก จึงสะสมไว้มีจำนวนกว่า 5,000 ชิ้นและส่งให้ ผู้เชี่ยวชาญทำการศึกษาวิจัย จึงพบว่ากระดูกมังกรน้ันแท้ที่จริงคือกระดูกที่จารึกอักขระโบราณของยุคสมัย ซาง ทมี่ ีอายุเกา่ แก่ถงึ 1,300 ปีกอ่ นคริสตกาล อยา่ งไรกต็ าม ววิ ฒั นาการของตวั อกั ษรจนี เกิดจากการฟมู ฟกั อยา่ งคอ่ ยเปน็ ค่อยไป มกี ารผสมผสานกัน ของอักษรชนดิ ท่ีแตกตา่ งกนั ในชว่ั ระยะเวลาหน่ึงผา่ นการขัดเกลาจนเกิดเป็นตัวอักษรชนดิ ใหม่เข้าแทนท่ีอักษร ชนดิ เดิม ไมใ่ ชก่ ารยกเลิกอกั ษรชนิดเก่าโดยส้ินเชงิ ดังน้นั ผู้คนในยุคตอ่ มาจงึ ยังคงมีการศึกษาและใช้อักษรใน ยคุ เก่าก่อน ทง้ั ในเชงิ ศลิ ปะหรือในชวี ติ ประจำวันทย่ี งั คงพบเห็นได้อยเู่ สมอ
10 อปุ กรณใ์ นการเขยี นอกั ษรจนี ด้วยพกู่ นั 1. พู่กัน คือสิ่งที่ใช้ลากเส้น มีลักษณะเป็นด้ามยาว มีขนสัตว์ผูกรวมเป็นกระจุกอยู่ตรงปลาย ซึ่งขนสัตว์จะ เลือกชนดิ ทอี่ ่อนนุม่ และซับนำ้ ได้ดี มักเห็นทว่ั ไปอยู่สองประเภทคือขนสุนัขป่า (สีเหลือง) และขนแพะ (สีขาว) นอกจากนี้ยังมขี นอื่นๆ เช่น กระตา่ ย พงั พอน สุนัขจ้งิ จอก ซง่ึ จะใหค้ วามอ่อนหรือแข็งทแ่ี ตกต่างกันไปพู่กันขน สุนัขป่าซึง่ จะมีสเี หลอื ง (ความจริงเป็นสีนำ้ ตาล แตภ่ าษาจนี เรยี กว่าสเี หลือง) จะมขี นที่มนั กว่าและแข็งกว่า ขน จะอยตู่ ัวมากกวา่ สามารถบังคบั ไดง้ า่ ย อมุ้ น้ำไดม้ าก พ่กู นั ขนแพะจะมขี นแห้งและฝืดกวา่ ขนจะแตกกระจาย ง่ายกว่า ทำให้ปลายพู่กันปัดไปมามากกว่า การอุ้มน้ำไม่ค่อยมี เหตุที่พู่กันมีสองประเภทก็เพื่อจะเลือกใช้ให้ เหมาะกับลักษณะอักษรที่จะ เขียน ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าพู่กันแบบหนึ่งดีกว่าอีกแบบหนึ่ง ขึ้นอยู่กบั ความ ถนัดของผู้เขียน แต่ในความเหมาะสมแล้ว นอกจากปลายขนของพู่กันแล้ว ขนาดของพู่กันก็เป็นอีกสิ่งที่ควร คำนงึ ถงึ โดยทัว่ ไปพกู่ ันจะมีขนาด เลก็ กลาง ใหญ่ และ ใหญพ่ เิ ศษ ซึ่งการจะเลือกใช้พู่กนั ขนาดใดก็ข้ึนอยู่กับ ว่าต้องการจะเขียนอักษรขนาดใด การเลือกพู่กันทีเ่ หมาะสมกับขนาดตัวอักษรที่จะเขยี น ช่วยให้ตัวหนังสือท่ี ออกมามคี วามสวยงามสมดลุ ผดิ กับทใี่ ช้พ่กู นั ผิดขนาด 2. หมึก ทีน่ ยิ มใชใ้ นการเขียนอกั ษรจนี เรยี กวา่ หมกึ จีน มักเปน็ แบบแทง่ ผ้ทู ี่นำมาใช้ต้องฝนเอง แท่งหมกึ ทำ เป็นขนาดและรูปทรงต่างๆ กัน และมักมีลวดลายสีสันเพื่อความสวยงาม แท่งหมึกแท่งหนึง่ สามารถเก็บไวไ้ ด้ นานโดยไมเ่ สอ่ื มสภาพ จงึ สามารถเปน็ ของสะสมไดด้ ้วย ลักษณะหมึกแท่งท่ีดเี ป็นสดี ำสนิท แขง็ เนื้อแนน่ ไม่ ปรุพรุน ไม่แตกร้าว ผิวด้าน เวลาจับไม่เป้ือนมือ ลวดลายของแทง่ หมึกไม่เก่ียวกับคุณภาพของหมึก หมึกแทง่ หนงึ่ มอี ายุการใช้งานนานมาก สามารถผสมนำ้ ไดเ้ ป็นลติ ร ปัจจุบันมีหมึกขวดที่ผสมน้ำมาให้แล้ว แต่ว่าคุณภาพยังสู้หมึกฝนเองไม่ได้ และหมึกฝนเองก็มีดีกว่าตรงท่ี สามารถควบคุมความเขม้ ข้นของน้ำหมกึ ไดต้ ามตอ้ งการความเข้มข้นของน้ำหมึกมีผลต่อลายเส้นที่เขยี น หาก เข้มข้นเกนิ ไปเส้นจะแหง้ เขยี นไม่ตดิ หากใสเกินไปหมึกจะซมึ เลอะเทอะ ควรควบคมุ ให้พอเหมาะ ก่อนลงมือ เขียน หากไมแ่ นใ่ จหากระดาษใชแ้ ลว้ มาลองลากเสน้ ดกู อ่ นเขียน
11 3. จานฝนหมกึ คอื แท่นหนิ ที่ใช้บดแทง่ หมึกให้ออกมาเปน็ นำ้ จานฝนหมกึ มหี ลายรูปทรง ท้ังกลม สีเ่ หล่ียม รูป ไข่ ฯลฯ มลี วดลายตา่ งกันไป แต่ทส่ี ำคัญคอื มีรอ่ งสำหรับขังนำ้ หมึก ดังน้นั จานฝนหมึกจึงตอ้ งยกขอบสูงให้เป็น หลุมลงไปเพื่อขังหมึกไว้ด้านใน วิธีการฝนหมึกคือ หยดน้ำลงในจานฝนหมึกเพียงเล็กน้อย จากนั้นจับแท่ง หมกึ วางลงไปในแนวต้งั ฉาก คอ่ ยๆ บดแทง่ หมกึ ลงบนผิวหนา้ จานฝนหมึกวนเปน็ วงกลม ออกแรงกดมากๆ ผง หมึกจะออกมาปนกบั น้ำท่หี ยดไว้ หากฝนไปเร่อื ยๆ นำ้ หมึกจะขน้ มากขนึ้ ควบคมุ ความขน้ ให้อยใู่ นระดับท่ีพอดี เนือ่ งจากจานฝนหมึกดูดซับน้ำเร็วมาก หมกึ จะแห้งไปในเวลาอนั รวดเร็ว เม่ือหมึกแห้งใหห้ ยดนำ้ แล้วฝนอีก ไม่ ควรฝนหมึกทง้ิ ไวท้ ีละมากๆ เพราะจะแหง้ ไปโดยเปล่าประโยชน์ 4. กระดาษ ควรใช้แบบที่มไี ว้เขียนพู่กันโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า เซวียน กระดาษชนดิ นี้มีการดดู ซับน้ำได้ดี และ เมื่อดูดซับไม่ทำให้ลายเส้นแตกกระจาย กระดาษเซวียนมีขนาดและมีความหนาต่างๆ กัน นอกจากนีย้ งั มกี าร ตกแต่งลวดลายให้สวยงาม หรือการใส่เกล็ดทองลงไปในเนื้อกระดาษ เพื่อทำให้ดูมีคุณค่า กระดาษเซวียน มักจะบางมาก และในเนื้อกระดาษจะมีแนวเส้นลางๆ พอเห็นอยู่ทั่วแผ่น ราคาของกระดาษแตกต่างกันไป ขึ้นอยกู่ ับคุณภาพของเนือ้ กระดาษ
12 5. ตราประทับ แกะสลกั ช่อื คนเขยี นหรือตำแหน่งราชการหรอื ขอ้ ความตา่ งๆ ตามแต่พอใจ ตราประทบั เปน็ ส่ิง ใช้แทนตัวมาแต่สมัยโบราณแล้ว โดยมักแกะสลักจากหยก งาช้าง หรือหินมีค่าอื่นๆ โดยแกะลงไปในเนื้อดวง ตราอย่างตรงๆ เวลาใช้ตราประทัดต้องจิ้มตราลงบนชาดก่อนจึงจะใช้ประทับได้ อักษรที่ใช้แกะสลักตรา ประทับมกั เป็นอกั ษรจ้วน ออกแบบอยา่ งงดงาม อักษรแบง่ ไดเ้ ปน็ สองแบบคอื อักษรแดงและอกั ษรขาว อักษร แดงคอื ตราท่แี กะรอบๆ ตัวอักษร ใหอ้ ักษรนนู ขึ้นมา เมื่อใช้ประทับจะเห็นเป็นตวั อักษรสีแดงบนพ้ืนขาว อักษร ขาวคือแกะตวั อกั ษรลกึ ลงไป เมอ่ื ใชป้ ระทับจะเห็นเป็นตัวอกั ษรสีขาวบนพืน้ แดง ตราประทบั เปน็ สิง่ สำคัญมาก ในสมัยกอ่ นเป็นเคร่อื งหมายประจำตัวบคุ คล คนผหู้ นงึ่ อาจมตี ราประทับไดห้ ลายดวง ใช้ในโอกาสตา่ งๆ กัน แต่ จะมีตราทางการอยดู่ วงเดยี ว ใชใ้ นโอกาสท่มี คี วามเปน็ ทางการสงู 6. ชาด เปน็ ยางขน้ สีแดงสดผสมน้ำมนั งา ใชก้ ับตราประทบั วิธีใชค้ อื กดตราประทับลงบนผิวหน้าของชาด เม่ือ ดวงตราติดสีแดงแล้วจึงนำตรานั้นประทับลงกับกระดาษ กดแรงๆ พยายามให้ทุกส่วนของผิวหน้าดวงตรา สัมผสั กบั กระดาษ ชาดมกั จะเกบ็ ไว้ในตลับ โดยปกติแลว้ สามารถใช้ไดน้ านเป็นปี ถ้าเรม่ิ จะแห้งและแข็งก็ดูแล ด้วยการหยดนำ้ มันงาลงไป กจ็ ะใชไ้ ดด้ เี หมือนเดิม อกั ษรทัง้ 3 ชนดิ เจริญรุ่งเรือ่ งอยู่ในยุคไล่เล่ียกนั อกั ษรฮีโรกลฟิ เจริญร่งุ เรือ่ งอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะลุ่มแม่น้ำไนล์ อกั ษรรปู ลิม่ เจริญอยลู่ ุ่มแมน่ ้ำไทกรีสและยเู ฟติสรวมถงึ บริเวณปากอา่ วเปอร์เซีย ส่วน อักษรจีนเจริญรุง่ เร่ืองอยใู่ นประเทศจีนปจั จุบัน และสง่ อทิ ธิพลให้กบั ญี่ปนุ่ และเกาหลใี นภายหลงั อักษรเหล่าน้ี ได้แพร่กระจายไปทั่วดินแดนใกล้เคยี งและออกไปเรื่อย ๆ จากปัจจัยทางการค้าเป็นหลัก พ่อค้าสำคัญที่ทำให้ อักษรลิม่ เกิดการแพรก่ ระจายไปในดินแดนต่าง ๆ และพัฒนาเป็นของตนเองคอื ชาว \"ฟินิเชียน\" (ในเลบานอล ปัจจุบนั )
13 วิวัฒนาการอกั ษรไทย อักษรของไทยมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับอักษรอินเดีย ซึ่งถูกพัฒนามาจากอักษรของชาวฟินิ เชยี นอีกต่อหนง่ึ อักษรท่มี ีอายเุ กา่ แก่ที่สุดในอนิ เดยี พบในศิลาจารกุ ท่ีสร้างเมอื่ พุทธศตวรรษท่ี ๓ สมัยพระเจ้า อโศกมหาราชเรยี กว่า “อักษรพราหมี” และในสมยั เดียวกนั ไดพ้ บอกั ษร “ขโรษฐี” ในภาคตะวนั ตกเฉียงเหนือ ของอินเดีย ส่วนอักษรพราหมีเป็นอักษรที่ใช้อย่างกว้างขวางในสมัยหลังต่อมา จนพัฒนารูปสันฐาน เป็น “อกั ษรเทวนาครี” ที่ใชใ้ นอินเดยี เหนอื และ “อกั ษรคฤน์” หรอื ที่เรยี กวา่ “ปลั ลวะ” (ใช้ในสมัยราชวงศ์ ปัลลวะจงึ เรียกอกั ษรปัลลวะ) อักษรปลั ลวะไดแ้ พรก่ ระจายเข้าสู่ดินแดนเอชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งไทย เขมร พมา่ และชาติอืน่ ๆ ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ เปน็ อย่างน้อย อักษรพราหมี พระเจ้าอโศกมหาราช ราวพุทธศตวรรษที่ ๓ ทม่ี า : http://en.wikipedia.org/wiki/Br%C4%81hm%C4%AB_script ราวพุธศตวรรษที่ ๑๒ พบจารึกรุ่นแรกของประเทศไทย ใน จ. อุบลราชธานี จ. ปราจีนบุรี คือ จารึกของเจ้าชายจิตเสน หรือมเหนทรวรมัน แห่งอาณาจักรเจนละ ใช้ตัว “อักษรคฤนถ์” หรือ “ปัล ลวะ” ภาษาสนั สกฤต เชน่ จารึกเขารัง จ.ปราจีนบุรี ลง พศ. ๑๑๘๒ จารกึ หมาไนของเจา้ ชายจิตเสน อยู่ท่ีวัดสุ ปัฏนาราม จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นอักษรของฝ่ายอินเดียใต้ที่แพร่กระจายเข้ามาในประเทศไทยและเอเชีย อาคเนย์ และพบจารึก “เยธัมมาฯ” บนเหรียญกษาปณ์ ของอาณาจักรทวารวดีในภาคกลางลุ่มแม่น้ำ เจา้ พระยา อักษรปัลลวะพบในภาคกลาง ๓๓ หลัก ภาพจารกึ ชื่องสระแจง พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ อักษรปลั วะ ภาษาสันสกฤต ที่มา : http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/th/main.php?p=ZGV0YWls&id=12 ราวพุทธศตวรรษ ที่ ๑๒ – ๑๕ เป็นต้นมา พบอักษร “ขอมโบราณ” ทั่วบริเวณภาคอิสาน อกั ษรขอมพฒั นามาจากอักษรปลั ลวะ และอักษรยคุ หลังจากนน้ั ในอนิ เดยี ใต้ ใช้ในอาณาจักรต่างๆสองฝั่งแม่น้ำ โขงตั้งแต่สมัยก่อนเมืองพระนคร ต่อมาจึงกลายเป็นอักษรท้องถิ่นในสมัยพระนคร และเป็นต้นแบบของ อกั ษรไทยและอกั ษรเขมรในปัจจุบัน เอกลักษณข์ องอักษรขอมคอื เปลยี่ นบ่าอักษรของอกั ษรปัลลวะเป็นศก หรือหนามเตย อักษรนี้พัฒนาไป 2 ทิศทาง คือ เป็นอักษรขอมในประเทศไทย (ใช้เขียนภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาเขมร) และอักษรขอมในประเทศกมั พูชา (ใช้เขียนภาษาเขมร ภาษาบาล)ี
14 อักษรขอมไทยกับขอมกัมพชู า หนงั สือบางเล่มมักจะใช้คำว่า อักษรขอมแบบของไทย เพราะไดพ้ บหลักฐานชืน้ หน่ึงทศ่ี าสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ไดก้ ล่าวถึงไว้ ในหนังสือ \"ตำนานอกั ษรไทยของทา่ น\" ซึง่ ทำใหว้ เิ คราะหไ์ ด้วา่ อักษรขอมนน้ั แท้จริงก็คือ อักษรแขก หรืออักษรอินเดียใต้ เมื่อชาวอินเดียใต้เป็นผู้นำพุทธศาสนามาเผยแพร่นั้นก็ได้นำหนังสือของตน หรือหนังสือ (อักษร) ปัลลวะของอินเดียใต้มาเผยแพร่ด้วย ดังนั้น หนังสือเหล่านี้จึงปรากฎว่ามีทั่วไปทั้งใน ก ั ม พ ู ช า ใ น ช ว า แ ล ะ ส ุ ม า ต ร า ร ว ม ท ั ้ ง ใ น ส ย า ม ป ร ะ เ ท ศ ด ้ ว ย ( ร ว ม พ . ศ . 1100 - 1600) เมื่อประเทศต่าง ๆ เหล่านี้รับวัฒนธรรมตลอดกระทั่งศาสนาของชาติอินเดียมาปรับปรุงใช้ในประเทศ ของตน ประเทศเหล่านี้ซึ่งยังไม่มหี นังสือของตนใช้มาก่อน จึงยินดีรับหนังสืออินเดียใต้มาใช้เป็นหนังสือของ ชาตติ นดว้ ย แตค่ รนั้ กาลลว่ งมานานความนยิ มในการเขียนการใช้และความคล่องหรือคนุ้ เคยในการเขียนอักษร อินเดียของแตล่ ะท้องถ่ินยอ่ มแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา และกไ็ ด้เกิดเป็นประจักษ์พยานใหเ้ หน็ วา่ อักษรขอมท่ี กัมพชู าใช้เขียนนนั้ แตกตา่ งกบั อกั ษรขอมท่ีสยามเขียนส่วนจะต่างกนั อย่างไรนนั้ ผู้ศกึ ษาจงใช้ข้อสงั เกตอ่านเอา จากข้อเขียนของศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ในหนังสือตำนานอักษรไทยของท่านตอนหนึ่งว่า \"ในสยาม ประเทศนี้พวกสัตบุรุษเคยได้ใช้ตัวอักษรขอมชนิดนี้ (หมายเหตุท่านคงหมายถึงชนิดที่ไทยใช้) ตั้งแต่ครั้งเม่ือ สุโขทัยเป็นราชธานีมตี ัวอยา่ งในศิราจารึกวัดป่ามะม่วงภาษามคธเป็นคาถาซึ่งมหาสามีสังฆราช (สังฆราชของ ประเทศลงั กา ซึ่งเดนิ ทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อเผยแพรล่ ัทธิลังกาวงศห์ รือลัทธเิ ถรวาท) ได้แต่งสรรเสริญพระ เกียรติยศของพระยาลอื ไทย (พระธรรมราชาที่ 1) เวลาเสดจ็ ออกทรงผนวช เมอื่ พ.ศ 1905 (ประชมุ ศิลาจารึก หลักที่ 4) ตัวอักษรในศิลาจารึกนั้น หาเป็นชนิดเดียวกันกบั ตัวอักษรขอมในศลิ าจารึกภาษามคธของพระมหา สามีสังฆราชไม่ ตัวอักษรในศิลาจารึกภาษาเขมรเหมือนกบั ตวั อักษรจารึกกรงุ กมั พูชา เมื่อราว พ.ศ. 1800 ยัง ไม่ได้เปลี่ยนรูปสัณฐาน เป็นอักษรขอมทีเ่ ขียนหนังสือธรรม เหตุที่ในแผ่นดินพระยาลือไทธรรมราชา มีอักษร ขอมใชท้ ่วั ไปชนดิ นี้ อาจเปน็ เช่นน้ีคอื ศิลาจารกึ ภาษาเขมรเขียนตามแบบเกา่ ของเขาแต่ศิลาจารกึ ภาษามคธนั้น เป็นฝีมือคนไทยเขียน หลักฐานชิ้นนี้ น่าจะสันนิษฐานว่า ชนชาติขอมโบราณคงศึกษาลอกแบบอักษรจาก อินเดียมาใช้ของตนแบบหนึ่ง ชาติไทยโบราณก็ได้ศึกษาลอกแบบอักษรจากอินเดียมาใช้ของตนแบบหน่ึง เชน่ กนั เรยี กว่า ตา่ งคนต่างลอกมาใชใ้ นภาษาของตน ตา่ งคนตา่ งปรบั ปรงุ และลอกคัดตามความเหมาะสมและ รสนยิ มของชาตติ น ยิง่ เวลาลว่ งเลยมานานเข้าก็ย่ิงแตกต่างกันมากข้ึน อย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าอักษรนั้น ดั้งเดิมจะมีที่มาจากแหล่งเดียวกันก็คือ อินเดียก็ตาม ฉะนั้น จึงไม่อาจ สนั นิษฐานได้วา่ ไทยเอาอย่างจากขอมหรอื ขอมเอาอย่างจากไทย เพราะหลักฐาน กแ็ จง้ จัดอยูใ่ นศิราจารึกแล้ว ว่าตา่ งกันอยา่ งไร หาใชต่ า่ งกันเพราะลายมือ ชาตนิ ัน้ ชาตนิ ้ีเขียนไม่ เชน่ เดียวกับอักษรโรมัน ทีช่ าตโิ รมันนำไป เผยแพรใ่ นทวปี ยโุ รปชาตติ า่ ง ๆ มเี ชน่ องั กฤษ ฝร่งั เศส เยอรมัน ฯลฯ กล็ ว้ นแต่ใชอ้ กั ษรโรมนั เขยี น ภาษาของ ตนทั้งสิ้นไม่เห็นมีใครเคยอ้างว่า อังกฤษเอาอย่างฝรั่งเศส หรือฝรั่งเศสเอาอย่างอักษรเยอรมัน อักษรขอมในประเทศไทย พบหลักฐานการใช้อักษรขอมโบราณเขียน ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ในบริเวณภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ ของประเทศไทยปัจจุบัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ แต่จะไม่พบเอกสารโบราณประเภท จารกึ ทใี่ ช้อกั ษรขอมโบราณ ในแถบภาคเหนอื ตงั้ แต่จงั หวดั ตากขน้ึ ไป หลกั ฐานทำนองนีร้ วมไปถึงโบราณสถาน ท่เี รยี กว่า ปราสาทหนิ ปราสาทอิฐ และพระปรางคแ์ บบกัมพูชา หรือลพบุรีที่มีอยู่ทว่ั ไปในภาคอสี าน ภาคกลาง ภาคใต้ แต่ไมเ่ คยปรากฏอย่ทู างภาคเหนือ
15 ในประเทศไทย อักษรขอมถือเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในงานด้านศาสนาเป็นส่วนใหญ่ อักษรขอมที่ใช้ เขยี นภาษาบาลีเรยี ก อักษรขอมบาลี ส่วนทีใ่ ช้เขยี นภาษาไทยเรียก อักษรขอมไทย ซ่ึงมีอกั ขรวธิ ตี า่ งจากอักษร ขอมกลุ่มอื่นๆ ต่อมา อักษรขอมไทยถูกแทนที่ด้วยอักษรไทย ส่วนอักษรขอมบาลียังคงใช้เขียนภาษาบาลี เรื่อยมา แมจ้ ะมกี ารพฒั นาอักษรไทยและอกั ษรอริยกะมาเขยี นภาษาบาลีก็ตาม อกั ษรขอมบาลถี ูกยกเลิกไปใน สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม พยัญชนะมีทั้งหมด 35 ตัว โดยแต่ละตัวมีทั้งรูปตัวเต็มกับตัวเชิงหรือ พยัญชนะซ้อน มีการจัดแบ่งเป็นวรรคตามระบบภาษาสันสกฤต พยญั ชนะมที ง้ั หมด 35 ตวั โดยแต่ละตวั มที ้ังรูปตวั เต็มกับตัวเชงิ หรอื พยญั ชนะซอ้ น มีการจดั แบ่งเป็นวรรค ตามระบบภาษาสันสกฤต รูปพยญั ชนะตามผงั อักษรขา้ งต้นถอดเปน็ พยญั ชนะไทยได้ดงั น้ี • วรรค กะ (แถวท่ี 1 จากบน) ก ข ค ฆ ง • วรรค จะ (แถวที่ 2) จ ฉ ช ฌ ญ • วรรค ฏะ (แถวที่ 3) ฏ ฐ ฑ ฒ ณ • วรรค ตะ (แถวที่ 4) ต ถ ท ธ น • วรรค ปะ (แถวท่ี 5) ป ผ พ ภ ม • เศษวรรค (แถวท่ี 6) ย ร ล ว ศ (แถวที่ 7) ษ ส ห ฬ อ สระ แบง่ เป็นสระลอยกบั สระจม รปู สระลอยใช้เขียนคำท่มี เี สียง อ มีทัง้ หมด 8 ตัว ได้แก่ หลังจากพุทธศตวรรษท์ ี่ ๑๕ อกั ษรขอมโบราณได้พัฒนาไปเป็น “อักษรขอม” ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ “อักษรมอญโบราณ” อกั ษรมอญโบราณเด่นชัดในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ในอาณาจกั รพุกามของพม่า แลว้ เพรเ่ ขา้ มาสดู่ นิ แดนประเทศไทยทางภาคเหนือ ปรากฏทอี่ าณาจักรหริภุญ ชยั จ.ลำพูน มอี ายุสมยั พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ จำนวน ๗ หลกั และ ท่วี ัดเวียงมะโน อ.หางดง จ. เชยี งใหม่ อีกหนึง่ หลกั พ.ศ. ๑๘๒๖ พอ่ ขุนรามคำแหงแหง่ อาณาจักรสโุ ขทัย นำตวั อกั ษร “มอญโบราณ” และ “อกั ษร ขอมโบราณ” (ซง่ึ พฒั นามาจากอักษรปลั ลวะทั้งคู่) มาจดั ระบบอกั ขรวิธใี หม่โดยการวางสระไว้บนบรรทัด เดยี วกบั พยัญชนะและดดั แปลงรปู แบบเรยี กว่า “ลายสือไทย” ในปี พ.ศ. ๑๘๒๖ และสร้างศลิ าจารึหลกั ที่ ๑ ในปี พศ ๑๘๓๕ เปน็ ต้นแบบของตัวอักษรไทยในปจั จุบนั
16 จารกึ หลกั ท่ี ๑ พอ่ ขนุ รามคำแหง อกั ษรไทยพ่อขุนรามคำแหง ภาษาไทย ทีม่ า : http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/th/main.php?p=cGFydA==&id=5&id_part=1 ลายสือไทยท่ีพระองค์ทรงประดิษฐ์ข้ึนน้ี ไดน้ ำมาใชเ้ ป็นต้นแบบของการพัฒนารปู แบบตวั อักษรในยคุ ตอ่ ๆมา ราว พ.ศ.๑๙๐๐ พระยาลิไทยหรือพระเจ้าฦๅไทย แห่งอาณาจักรสุโขทัย เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1900 ได้ เปลี่ยนเอาสระ อิ อี อึ อื ขึ้นไปเป็นร่ม และนำเอาสระ อุ อู ลงไปเป็นรองเท้าของพยัญชนะ (โดยเทียบเคียง จากศิลาทั้งสองสมัย) ส่วนรูปแบบของตัวอกั ษรจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย ในปี พ.ศ. 2223 รัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พัฒนารูปแบบตัวอักษรอีกครั้ง โดยได้เปลี่ยนแปลงจากลักษณะเส้นโค้งของ ตัวอักษรมาเป็นเส้นตรงและเป็นเหลี่ยมมากขึ้น ทำให้สามารถเขียนได้สะดวกขึ้น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ตวั อักษรครง้ั นี้อาจกล่าวได้วา่ เปน็ ก้าวสำคญั ของการพฒั นาตวั อกั ษรไทย เพราะได้กำหนดใหเ้ ป็นแบบอยา่ งของ ตัวอักษรไทยที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้ การเปลี่ยนแปลงในระยะหลังที่พอจะพบเห็นได้เป็นลักษณะลีลาของการ เขียน เช่น แบบอยา่ งลักษณะตวั อกั ษรข้อความท่ีเรียกว่า “แบบไทยยอ่ ” ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่มีลีลาการเขียนเป็นแบบตัวเอน เส้นขนานกันเป็นส่วนใหญ่ และเน้นหางตัวอักษรให้มีลีลาที่อ่อนช้อย พยัญชนะ เรียกว่า “อักษรสมัยพระยาลิไทย” จากนั้นจึงแพร่กระจายเข้าไปในภาคเหนือ และปะปน กับ “อักษรยวน” กลายเป็น “อักษรธรรมล้านนา” บันทึกวรรณกรรมเกี่ยวกับศาสนา และ “อักษรฝัก ขาม” บันทึกวรรณกรรมทางโลก แล้วแพร่กระจายต่อไปยังอาณาจักรล้านช้าง (ลาว) และภาคอิสาน เรยี กวา่ “อักษรธรรมอสิ าน” บนั ทึกเรือ่ งทางธรรม และ “อักษรไทยน้อย” บันทกึ เร่ืองทางโลก อีกทั้งยังเป็น ต้นแบบของ “อักษรลาวปัจจุบัน” อีกด้วย นับแต่นี้ไป วัดเป็นศูนย์กลางของการศึกษา พระสงฆ์มีหน้าท่ีสอน หนังสือ จารกึ วดั ชา้ งค้ำ ๑ อกั ษรธรรมล้านนา ภาษาไทย ทีม่ า : http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/th/main.php?p=ZGV0YWls&id=802&userinput=% E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E 0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2
17 อาณาจักรอยุธยา สมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช รูปสัณฐานตัวอักษรเปลี่ยนแปลงเป็นทรง เหล่ยี ม เสน้ ตรงหกั เหล่ยี มย่อมุม เรียกว่า “อักษรไทยยอ่ ” ใช้ในเอกสาราชการ ลกั ษณะตัวอักษรคล้ายปัจจุบัน เกิดหนังสือแบบเรียน “จินดามณี” มีสระครบทุกตัว วรรณยุกต์ ๒ รูป คือ เอก โท ในสมัยอยุธยาตอน ปลาย พยัญชนะครบ ๔๔ ตัว บันทึกรายวนั ของออกพระวสิ ทุ ธสุนธร (โกษาปาน) หนา้ ๑ อกั ษรไทยยอ่ ภาษาไทย ท่ีมา : http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/th/main.php?p=ZGV0YWls&id=1920&userinpu t=%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8 %99 สมยั รัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ พบวรรณยุกตค์ รบทง้ั ๔ รปู คอื เอก โท ตรี จตั วา ในรชั กาลที่ ๓ แหมม่ จตั สัน ชาวองั กฤษออกแบบหล่อตัวอักษรไทยท่ปี ระเทศพม่า พ.ศ. ๒๓๗๑ รอ้ ยเอกเจมส์ โลว์ ได้นำไปพมิ พท์ ่ีเมืองกลั ปก์ าตาประเทศอินเดีย รปู แบบตัวอกั ษรไทยทดี่ ูแลว้ มีรูปลักษณ์แปลกตาไปจากเดิม ยคุ ที่มกี ารนำเอาตัวอักษรไทยเข้ามาใช้ ในการพิมพ์ ได้มีการหล่อตัวพิมพ์อักษรไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นนั้นเป็นตำราไวยากรณ์ไทย ชื่อ A GRAMAR OF THE THAI ตัวอักษรเป็นลักษณะแบบคดั ลายมอื รูปลักษณ์ท่ีดูแปลกตาไปเนื่องจากเปน็ การแกะตัวอกั ษรจากบล็อก และหล่อจากแม่พิมพท์ องแดง แทนการใชว้ สั ดุขีดเขียน หรือจารกึ ดงั เช่นสมัยก่อน การพฒั นาระบบการพมิ พ์ดำเนินไปอย่างต่อเนอ่ื ง พ.ศ. ๒๓๗๙ หมอบลดั เลย์ ซือ้ เครอื่ งพมิ พอ์ กั ษรไทยมาพมิ พท์ กี่ รุงเทพฯ ตงั้ โรงพิมพค์ รั้งแรกในปี เดียวกันได้ทำการหล่อตัวพิมพ์ขึ้นใช้เองในประเทศไทย รูปแบบตัวอักษรขณะนั้นยังคงใช้แบบอย่างตัวอักษร ของ เจมส์ โลว์ แต่ไดแ้ กไ้ ขให้สวยงามและมคี วามประณีตมากข้ึน จากน้ันโรงพิมพก์ ็เจริญรุง่ เรอ่ื งในเมอื งไทย มี การปรบั ปรุงแบบเรยี นจนิ ดามนีอกี คร้งั
18 แบบเรยี นจินดามนี พ.ศ.๒๓๘๕ ทไี่ ด้มีการปรับปรุงรูปลกั ษณ์ของตัวอักษรอย่างเด่นชัด โดยออกแบบให้ตวั อักษรมี ลกั ษณะเป็นแบบหัวกลม ตวั เหล่ียม ซ่ึงอาจกล่าวได้วา่ การสรา้ งรูปแบบตวั อกั ษรในคร้ังนี้ ได้เปน็ แบบอย่างใน การพฒั นารปู แบบตวั อักษรทใี่ ชใ้ นวงการพมิ พจ์ นถึงทกุ วันน้ี พ.ศ. ๒๓๙๐ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงผนวชได้ประดษิ ฐ์ “ตัวอักษร อริยกะ” เพอ่ื ใช้เขียนคำบาลี แตไ่ ม่เปน็ ที่นิยม อักษรอรยิ กะ ทีม่ า : http://nora.exteen.com/20090219/entry
19 ในรัชกาลท่ี ๖ พระองคท์ รงไดเ้ สนอ ” นำรูปแบบอักขรวิธแี บบตะวันตกมาประยุกตโ์ ดยวางสระ ประสมกันไม่ตรงเสียง วางตัวพยญั ชนะติดกนั เปน็ พดื ไม่เวน้ วรรค ไม่มีสระกำกบั การออกเสียง แตไ่ มไ่ ด้ใชเ้ ปน็ ราชการ พ.ศ. ๒๔๘๕ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ใช้อำนาจผู้นำเปล่ยี นแปลงอักขระวธิ ไี ทย โดยตัด ตวั อกั ษรทม่ี เี สียงซ้ำออกไป ๑๓ ตัว ตดั สระออกไป ๕ ตวั ประกาศใหเ้ ป็นตัวหนงั สอื ของทางราชการ และเลิก ใช้เมื่อหมดอำนาจในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ รปู แบบเอกสารและอักขระวิธรสมัยจอมพล ป. ทมี่ า : www.dek-d.com/borad/view.php?id=1449605 พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็นตน้ มา อกั ขรวิธไี ทยก็เขา้ สรู่ ปู แบบปัจจบุ นั ตารางการเปรียบเทยี บรปู แบบตัวอกั ษรไทยท่เี ปลย่ี นแปลงไปในสมยั ตา่ งๆ
20 ท่ีมา: http://tathanapan.blogspot.com/p/blog-page_8.html
21 หนว่ ยท่ี 2. รูปแบบตวั อักษร ในการเลือกตวั อกั ษรทเี่ หมาะสมจะชว่ ยให้งานออกแบบกราฟกิ นน้ั ส่อื ความหมายได้อย่างเต็มท่ี ซงึ่ ปจั จบุ ัน มีรปู แบบตวั อกั ษรตัวพมิ พม์ ากมาย พงษศ์ ักดิ์ (2544 : 52-56)อาจแบ่งได้ดงั น้ี 1. ตวั อักษรตัวพมิ พ์ 1.1 ตวั อักษรแบบมีเชงิ เป็นอักษรท่ีมเี สน้ ย่นื ของฐานและปลายตวั อกั ษรในทางราบทเี่ รียกวา่ Serif ลกั ษณะ ตัวอักษรจะมเี สน้ ตวั อักษรเป็นแบบหนาบางไม่เท่ากนั ตัวอักษรแบบนบี้ ราวเซอร์หลายชนิดจะใช้ ตวั อกั ษรแบบ น้ีเป็นหลกั เชน่ Times New Roman, Garamond, Georgia และ New Century Schoolbook ตัวอักษร ประเภทน้ีเหมาะจะใชเ้ ป็นรายละเอียดเนอ้ื หา แต่ตัวอักษรประเภทนไ้ี มค่ อ่ ยเหมาะจะใชก้ บั ตวั หนา (bold) 1.2 ตัวอักษรแบบไมม่ ีเชงิ (Sans Serif) เปน็ ลักษณะของตวั อกั ษรอีกแบบหนึ่งทรี่ ูปแบบเรียบงา่ ย เปน็ ทางการ ไมม่ เี ชิง หมายถึงไม่มเี สน้ ยน่ื ออกมาจากฐาน และปลายของตวั อักษรในทางราบ ไดแ้ ก่ Arial, Helvetica, Verdana, Geneva และ Univers ตัวอักษรประเภทนเี้ หมาะที่จะใช้กบั หัวขอ้ หรอื ตวั อักษรขนาด ใหญ่ แตไ่ ม่เหมาะสมกับลักษณะเอียง 1.3 ตัวอกั ษรแบบตัวเขยี น (Script) ตัวอักษรแบบนเี้ นน้ ใหต้ วั อกั ษรมลี กั ษณะคล้ายกับการเขียนด้วยลายมือ ซงึ่ มีหางโยงต่อเนอ่ื งระหวา่ งตัวอักษร มขี นาดเส้นอักษรหนาบางแตกต่างกนั นิยมทำใหเ้ อยี งเล็กนอ้ ย
22 1.4 ตัวอกั ษรแบบตวั อาลักษณ์ (Text Letter) เป็นตวั อักษรแบบโรมันแบบตัวเขยี นอกี ลกั ษณะหนง่ึ มีลักษณะ เปน็ แบบประดษิ ฐ์มเี สน้ ตงั้ ดำหนา ภายในตวั อกั ษรมีเส้นหนาบางคล้ายกับการเขยี นดว้ ยพ่กู ัน หรือปากกาปลาย ตดั 1.5 ตัวอกั ษรแบบประดิษฐ์ (Display Type) หรือตวั อักษรตัวพมิ พ์ขนาดใหญ่ มลี กั ษณะเด่น คือ การออกแบบ ตกแตง่ ตัวอกั ษรให้สวยงามเพ่ือดงึ ดดู สายตา มีขนาดความหนาของเสน้ อักษรหนากวา่ แบบอนื่ ๆ จงึ นิยมใช้เป็น หวั เรอ่ื ง 1.6. ตวั อักษรแบบสมัยใหม่ (Modern Type) เป็นตัวอกั ษรที่ประดิษฐข์ ึน้ มีลกั ษณะเรยี บงา่ ย 2. โครงสร้างตัวอักษรไทย ตวั อกั ษรไทยประกอบด้วยลกั ษณะพเิ ศษตา่ งๆ ซึ่งพอจะแยกเป็นกลุม่ ๆ ไดด้ ังนี้ 2.1 หัวตวั อักษร ตวั อักษรไทยมโี ครงสรา้ งสว่ นหน่งึ เรียกว่า หัว เหมอื นกันทุกตัว มียกเว้นอยู่ 2 ตัว คือ ก ธ และส่วนหวั ของตวั อักษร จะอยู่ในตำแหนง่ ทแี่ ตกตา่ งกันซึ่งพอจะแยกเป็นกลุ่มไดด้ ังตอ่ ไปน้ี 1)หวั อยู่ส่วนบนแตห่ ันหวั ออก ไดแ้ ก่ ข ฃ ฆ ง ช ท ฑ น บ ป พ ฟ ม ษ ห ฬ 2) หวั อยดู่ า้ นบนแตห่ ันเข้า ได้แก่ ย ผ ฝ 3) หวั อยูด่ ้านล่างหันออก ไดแ้ ก่ ภ ฎ ฏ ร ว 4) หวั อยู่ด้านล่างหนั เขา้ ไดแ้ ก่ ถ ณ ล ส ญ ฌ 5) หวั อยูส่ ่วนกลางหนั หวั ออก ได้แก่ จ ฐ ฉ ด ต ฒ 6) หวั อยตู่ รงกลางหนั หวั เข้า ได้แก่ ค ศ ฅ อ ฮ
23 2.2 หลังคาตวั อักษร ตัวอกั ษรไทยจำนวนหน่ึงจะมสี ว่ นข้างบน ที่เรียกได้ว่าเป็น “หลงั คา” แยกได้ดงั น้ี 1) ตวั อกั ษรกลุม่ มหี ลังคา ประกอบดว้ ยตัว ก ค ฅ จ ฉ ฌ ญ ฏ ฎ ฐ ฒ ณ ด ต ถ ธ ภ ร ล ว ศ ส อ ฮ 2) ตัวอกั ษรกลุ่มไมม่ หี ลังคา ประกอบดว้ ย ข ฃ ฆ ง ช ซ ฑ ท น บ ป ผ ฝ พ ฟ ม ย ษ ห ฬ 3. การแบ่งกลมุ่ ตวั อักษร นอกจากจะแบง่ เป็นกลมุ่ ตามลักษณะตำแหน่งของหัวและหลังคาแล้ว ยังสามารถแบ่งเป็นกลุม่ ตาม ลักษณะโครงสร้างทางทศั นะธาตุท่ีคลา้ ยกนั ไดด้ งั น้ี กลุ่มอกั ษร ก ถ ภ ฎ ฏ ฌ ณ ญ ฤ ฦ (ฤ ฦ เป็นสระแตม่ ีรูปแบบคล้ายพยัญชนะ) กลุ่มอักษร ข ช ซ (โครงสร้างตัวอกั ษรเหมือนกนั ตา่ งกนั เฉพาะสว่ นหาง) กลุ่มอักษร จ ว (โครงสร้างตัวอักษรโดยรวมเหมือนกนั ) กลุ่มอักษร ค ศ ด (มีลักษณะเหมือนกันทห่ี ลังคา) กลมุ่ อกั ษร ฅ ต ฒ (มีลกั ษณะเหมอื นกนั ทีห่ ลงั คา) กลุ่มอกั ษร บ ป ษ (โครงสรา้ งตัวอักษรโดยรวมเหมอื นกัน) กลมุ่ อกั ษร ฃ ช ฆ ฑ (มีลักษณะเหมือนกันทห่ี วั ) กลุม่ อักษร ร ธ ฐ (มีลักษณะเหมอื นกนั ทีห่ ลงั คา) กลมุ่ อักษร พ ฟ ฬ (โครงสรา้ งตัวอกั ษรเหมือนกนั ตา่ งกันเฉพาะสว่ นหาง) กลุม่ อักษร ผ ฝ (โครงสร้างตัวอกั ษรเหมือนกนั ต่างกนั เฉพาะส่วนหาง) กลุ่มอกั ษร ฉ น ณ (เหมอื นกันสว่ นลา่ ง) กลุ่มอกั ษร ฌ ณ ญ ฒ (มีลักษณะสองส่วน) กลมุ่ อกั ษร ง ห ย (ลักษณะพเิ ศษไม่เหมือนอกั ษรกลุ่มใด) เมอื่ ไดศ้ ึกษาวิเคราะหถ์ งึ โครงสรา้ งของตัวอกั ษรแลว้ ก็สามารถทีจ่ ะออกมาแบบหรือประดิษฐ์ให้เกิด รูปแบบตัวอักษรใหม่ และทำใหง้ ่ายต่อการออกแบบเพ่อื ให้ตัวอักษรมีรูปแบบทีเข้าชุดกนั มีสดั ส่วนทสี่ ัมพนั ธ์กนั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การประดิษฐ์ต้นแบบตวั อกั ษรสำหรบั ใช้ในเคร่ืองพมิ พด์ ดี ซ่ึงมคี วามประณีตเปน็ พิเศษ การแบง่ กลุ่มตวั อกั ษรในภาษาไทยนอกจากจะแบ่งตามที่กล่าวแลว้ อาจแบ่งได้เป็นลักษณะต่างๆ โดย อาศยั หัวตัวอักษร ทางเดนิ ของเสน้ ขนาดความกวา้ งของตวั อกั ษรและขนาดความสูงเปน็ เกณฑ์ เพอื่ ความ สะดวกในการออกแบบ ก็สามารถกระทำได้ ไม่วา่ จะเป็นในลักษณะใด ก็มีจุดประสงค์เพ่ือความสะดวกในการ ออกแบบตวั อกั ษร ให้มีความประสานกลมกลืนกันท้ังชดุ ทง้ั สนิ้ ดงั ตวั อยา่ ง 3.1. การแบ่งโดยอาศัยหัวอักษรเปน็ เกณฑ์ กล่มุ ที่ ลักษณะหวั ตัวอักษร ตวั อยา่ งตวั อกั ษร 1 ไมม่ ีหัวกลม กธ 2 มีหวั กลมสองชัน้ จากเสน้ นอนบนและหวั หันออก ขฃช 3 มีหัวสองหยัก ซฆฑ 4 มหี วั กลมเร่ิมจากเส้นนอนบนและหันหวั ออก งบปพฟทหฬษมน 5 มีหวั กลมเร่ิมจากเสน้ นอนบนและหันหวั เขา้ ผฝย 6 มหี วั กลมเร่ิมจากก่งึ กลางบรรทดั และหนั หวั ไปทางขาวมอื ค ฅ ศ อ ฮ 7 มีหัวกลมเริ่มจากก่งึ กลางบรรทัดและหนั หวั ไปทางซ้ายมือ จ ฉ ฐ ด ต 8 มหี วั กลมเรม่ิ จากดา้ นล่างบรรทดั และหนั หวั เขา้ ญณฌถลสฤ 9 มีหัวกลมเริ่มจากด้านล่างบรรทดั และหนั หัวออก ภรฎฏวฦ
24 2 การแบง่ โดยอาศยั ทางเดินของเสน้ เปน็ เกณฑ์ กล่มุ ที่ ลกั ษณะเส้นตวั อกั ษร ตวั อยา่ งตัวอักษร 1. เส้นนอน ได้แก่ เส้นนอนบนและเสน้ นอนลา่ ง กขญย 2. เสน้ ต้ัง ได้แก่ เสน้ ที่ลากขึ้นหรือลากลงในแนวด่งิ พยญั ชนะจะมี ร จ ธ น บ ป ม เส้นตัง้ หลกั อย่างนอ้ ย 1 เส้น ยกเว้นสระและตวั เลขบางตวั 3. เส้นทแยง ได้แก่ เส้นทแยงว้ายหรอื เส้นทแยงขวา หรือทแยงทั้ง ง ฉ ท ฑ ง พ ฟ ฅ ต ฒ ห ซา้ ยและขวา ฬ 3 การแบ่งโดยอาศัยขนาดความกวา้ งของตัวอกั ษรเปน็ เกณฑ์ ตวั อย่างตัวอกั ษร กลุ่มที่ ลักษณะขนาดตัวอกั ษร ข ฃ ง จ ช ซ ร อะ เอ 1 ขนาดตวั แคบ กคดตถบผอนมธ 2 ขนาดตัวกว้างปานกลาง ฌณญฒ 3 ขนาดตวั กวา้ งมาก อกั ษรตวั แคบ อักษรกว้างปานกลาง อกั ษรตวั กวา้ งมาก ภาพท่ี 5 การแบง่ โดยอาศัยขนาดความกว้างของตวั อกั ษรเปน็ เกณฑ์ ที่มา : หนงั สืออักษรประดษิ ฐ์ (วรพงศ์ วรชาตอิ ุดมพงศ์,2545: 1) 4 การแบ่งโดอาศัยความสูงของเส้นบรรทดั อกั ษรเปน็ เกณฑ์ ตวั อย่างตัวอกั ษร กลุ่มที่ ลักษณะขนาดตัวอักษร ปฝฟศสโไใ 1 ขนาดสงู เกนิ ระดับเส้นบรรทัดอักษร กคดตถบผอนมร 2 ขนาดสงู ระดับเสน้ บรรทดั อกั ษร ฐญฎฏฤฦๆ 3 ขนาดหอ้ ยตำ่ กว่าระดบั เส้นบรรทดั อักษร ภาพท่ี 6 การแบง่ โดอาศัยความสงู ของเสน้ บรรทัดอกั ษรเป็นเกณฑ์ ท่ีมา : หนงั สอื อกั ษรประดษิ ฐ์ (วรพงศ์ วรชาตอิ ดุ มพงศ์,2545: 1)
25 4.ประเภทของตัวอกั ษร ลกั ษณะเด่นชดั ของตวั อกั ษรทีท่ ำใหร้ ูปลกั ษณ์หลากหลายรูปแบบ เน่ืองมากจากการออกแบบเพอื่ ให้มี ความสอดคลอ้ งและเหมาะสมกบั ลกั ษณะการใช้งานท่ีแตกตา่ งกัน การประดษิ ฐใ์ หเ้ กิดรปู แบบตัวอักษรใหม่ๆ เกดิ จากปัจจยั หลายอย่าง ไดแ้ ก่ การสรา้ งเครอ่ื งมือท่ใี ชเ้ ขยี นตัวอกั ษร การประดิษฐ์ตัวอักษรเพื่อใช้เฉพาะงาน การพฒั นาเทคโนโลยที ำให้มีเคร่ืองมือและอุปกรณ์ ทจ่ี ะสนับสนุนให้การออกแบบทำได้อยา่ งสะดวกและมี ความประณตี สวยงามมากยิง่ ขน้ึ ตัวอักษรในภาษาไทย แบ่งไดต้ ามรูปลักษณ์ทีแ่ ตกต่างกนั ตามลักษณะทางกายภาพ หรอื ทัศนะธาตุ เป็น 3 ประเภท ดงั นี้ 4.1 ตัวอักษรแบบมาตรฐานหรือแบบราชการ ตัวอักษรแบบน้ีมีลกั ษณะเรียบงา่ ย มีระเบียบ มหี วั อกั ษร ท่ีเรยี กว่าเป็นแบบมาตรฐานหรอื แบบ ราชการเพราะได้รับการรับรองโดยทางราชกสร มีลกั ษณะเปน็ แบบตัวเรียงพิมพ์ในระบบงานพิมพ์ หรือแบบ ตัวอักษรในเครอื่ งพมิ พ์ดดี มีท้ังแบบตวั ธรรมดา ตัวหนา ตวั บาง และตัวเอน มักนยิ มใช้ในลักษณะของข้อความ รายละเอยี ด ตวั อักษรที่มขี นาดเล็ก เอกสารทางราชการ และงานส่ือสง่ิ พิมพ์ทั่วๆไป รูปลักษณข์ องแบบตวั อักษร ประเภทนีก้ ็มีมากมาย แตล่ ะรปู แบบจะมีลกั ษณะและรายละเอียดทีแ่ ตกต่างกนั ไป นักออกแบบอาจประดิษฐ์ให้ เกิดจดุ เด่นท่ีหวั ตัวอักษร ทห่ี ลังคาตัวอักษรทรี่ ปู รา่ งตัวอักษร หรือที่สัดสว่ นของตวั อักษร เปน็ ต้น
26 4.2 ตวั อกั ษรแบบคดั ลายมอื หรือตวั เขียน ตัวอักษรประเภทน้เี กิดจากากรคัดหรอื เขยี นด้วยวสั ดหุ รอื ปากกาประเภทต่างๆ อาจเป็นการเขยี น โดยอสิ ระ หรอื อาจมเี ครือ่ งมือประกอบบา้ งก็ได้เม่อื ต้องการเน้นความประณตี ความแตกตา่ งของรูปแบบ ตัวอกั ษร ส่วนหน่ึงจงึ เปน็ แบบอกั ษรสำหรบั งานเฉพาะกิจ ความสวยงามของตวั อักษร จงึ เกดิ จากความพอดีของ องค์ประกอบต่างๆและความแม่นยำในการเขียนแบง่ ออกเป็น 4 ลักษณะด้วยกัน คือ 1. แบบตัวอาลกั ษณ์ 2. แบบตัวริบบิ้น 3. แบบตวั เขยี นอสิ ระหรือตวั เขียนหวัด
27 ตวั อักษรแบบคดั ลายมือหรอื แบบตัวเขยี นเป็นการเขียนด้วยวสั ดตุ า่ งๆ ส่วนมากจะเป็นการเขียน ดว้ ยปากกา ดนิ สอ หรอื วัสดอุ น่ื โดยอิสระ จงึ ทำใหม้ ีรูปแบบและรปู ลักษณข์ องแบบตัวอักษรอย่างหลากหลาย ไมม่ กี ฎระเบยี บที่กำหนดอยา่ งชดั เจน การประดษิ ฐต์ วั อกั ษรแบบตวั เขียนอิสระตอ้ งการความประณีตใช้ หลกั การทางศิลปะเป็นขอ้ พิจารณา เช่น ทฤษฎีเกี่ยวกับองค์ประกอบศิลป์ หลกั แห่งความสมดลุ เป็นตน้ ความ สวยงามและความโดดเด่นของตวั อกั ษรจงึ ตอ้ งดคู วามสัมพันธ์ และความสอดคล้องของลักษณะตัวอกั ษรทัง้ ข้อความ ตวั เขียนอิสระ หรือตัวเขยี นหวัดจะมีรปู ลกั ษณ์ที่แตกต่างกันไปตามลกั ษณะการเลือกใช้วสั ดุเขียน ลกั ษณะลายมอื ขอ้ ควรระวังอย่างหนง่ึ ของการเขียนตัวอกั ษรแบบนี้ คือ ลลี าการเขยี นแตล่ ะตัว แต่ละข้อความ จะตอ้ งเน้นลักษณะทอี่ ่านง่าย ไมย่ ุ่งเหยิงเกนิ ไปอันเนอื่ งจากการตวัดหางอกั ษร ตัวอกั ษรแบบนี้นยิ มใช้เขยี นเป็น หัวเร่ือง เชน่ หวั คอลมั น์ หัวเรอ่ื งนวนยิ าย หัวเร่อื งปกหนงั สอื นิยมใชเ้ ขยี น แสดงข้อความส้ันๆ ไดแ้ ก่ คำบรรยาย ประกอบภาพ หรอื ข้อความในส่อื โฆษณาสั้นๆ เป็นต้น 4.3 ตัวอกั ษรแบบประดิษฐ์ ตวั อกั ษรแบบประดิษฐ์บางครัง้ เรยี กว่า อกั ษรแฟนซี เปน็ การสร้างสรรคข์ ึ้นเพอ่ื ใช้งานโดยเฉพาะ โดยเน้นใหม้ รี ปู แบบที่แตกต่างไปจากแบบท่ัวไป แตย่ งั มีเคา้ โครงสร้างตวั อกั ษรตามโครงสร้างเดิม การประดิษฐ์ รูปแบบตัวอักษรจงึ ไมม่ ีกฎใดๆทแ่ี นน่ นอน อาจมีหัวตวั อักษรหรอื ไมก่ ไ็ ด้ บางครัง้ เปน็ การเน้นขอบ บางคร้ังเปน็ การใส่ลวดลายลงบนตัวอักษร หรอื ใส่เงาตวั อักษร การเนน้ เสน้ หนาบาง ฯลฯ การประดษิ ฐ์ช่วยใหส้ ามารถท่จี ะ เนน้ ให้เกิดความดึงดูดใจ น่าสนใจ ละแระทบั ใจ ตัวอกั ษรแบบประดษิ ฐน์ ิยมนำไปใช้ในงานหวั เร่ือง ช่อื หนงั สอื ชอ่ื สินคา้ หรือผลิตภณั ฑใ์ หม่ หัวเรอ่ื งงานโฆษณา หัวเรอ่ื งปา้ ยนเิ ทศ ตลอดจนปา้ ยโฆษณา เปน็ ตน้
28 5. ชนดิ ของตัวอักษร ตัวอกั ษร จัดแบ่งเปน็ ชนดิ ใหญๆ่ ตามลักษณะ โครงสรา้ งตวั อกั ษร ทเ่ี ขยี น หรืออกแบบได้ 4 ชนิดดังนี้ 5.1 ตัวตรง (Stand) โครงสรา้ งตัวอกั ษรมีเส้นตั้งอยใู่ นลักษณะเสน้ ด่งิ หรอื ตงั้ ฉาก ตวั อักษร 5.2 ตวั เอน (OBLIQUE) โครงสร้างตวั อักษรมีเสน้ ตั้งอยูใ่ นแนวเอยี ง หรือเฉยี ง ตัวอกั ษร 5.3 ตวั อกั ษรจดุ รวมสายตา (Perspective) โครงสร้างตัวอักษรเปน็ แบบ Perspective 5.4. ตัวอสิ ระ( Free Form) โครงสร้างตัวอกั ษรอสิ ระ ไมแ่ นน่ อน
29 หน่วยท่ี 3 เครื่องมือพื้นฐานทใ่ี ช้ในการออกแบบตัวอักษร การออกแบบประเภทต่าง ๆ จำเป็นต้องมีเครื่องมือเครื่องใช้ และวัสดุอุปกรณ์อย่างครบครัน เพื่อช่วยให้งาน ออกแบบสะดวกรวดเร็ว สวยงามและมีคณุ ค่า เคร่อื งมอื ดีมีคุณภาพพร้อมที่จะใชง้ าน มีจำนวนหลายชน้ิ ท่สี ามารถสนองความ ตอ้ งการในการออกแบบได้ในทกุ ลักษณะงาน ยอ่ มทำใหง้ าน ช้นิ นน้ั สำเรจ็ ออกมามีคณุ คา่ ยิง่ ข้ึน เครื่องมือวสั ดุอปุ กรณ์ ที่จำเป็น สำหรับ ใชใ้ น การออกแบบมีดงั นี้ 1.กระดาษ (Peper) หลักในการเลอื กซ้ือกระดาษจะตอ้ งเลอื กซื้อทเ่ี นื้อหนาแนน่ ๆไม่บางไป เพราะเวลาลบจะทำให้เป็นขุย ได้ แลว้ กต็ ้องเลอื กที่มเี น้ือหนาพอที่จะตัดเส้นแลว้ เส้นไมแ่ ตก ไม่ซึมเป้ือนหมกึ หรือสงี า่ ย แต่ถ้าเป็นในกรณีของ คนท่ีวาดแลว้ นำไปตกแต่งในคอมพิวเตอร์กส็ ามารถเลอื กซอื้ กระดาษท่หี นาเพียง 80 แกรมได้ ควรเลือกใช้ให้ เหมาะสมกับกลวิธีการสร้างสรรค์ เช่น กระดาษอาร์ต กระดาษการ์ด เหมาะสำหรับวาดด้วยปากกาจุ่มหมึก พู่กันจุ่มหมกึ และปากกาหมึกสำเร็จรูป เป็นต้น กระดาษวาดเขียนร้อยปอนด์ด้านผิวเรียบเหมาะสำหรับการ วาดด้วยดินสอดำ ดินสอสี ปากกา เป็นต้น ด้านผิวหยาบเหมาะสำหรับการวาดด้วยกลวิธีการระบายสีน้ำ สี โปสเตอร์ เป็นตน้ ประเภทของกระดาษ กระดาษแบง่ ออกเป็น 2 ประเภทตามลกั ษณะของผิวกระดาษคอื 1.กระดาษเคลือบผิว (Coated paper) คือกระดาษทีถ่ ูกนำไปเคลือบผวิ โดยส่วนมากเราจะรู้จักในท่ี เรียกว่ากระดาษอาร์ตซึ่งมีคุณสมบัติคือเมื่อนำไปพิมพ์จะดีสีสันที่สวยงาม กระดาษชนิดนี้จะใช้ สำหรับ งานพิมพ์ออฟเซท็ งานพมิ พ์ท่ไี ด้จะมีสใี กล้เคียงกับสีจรงิ สามารถนำไปเคลอื บลามิเนต หรือเคลือบยูวี ต่อได้ สามารถซ่ึงจะมอี ยู่ 2 แบบคือ - กระดาษชนดิ เคลอื บมัน หรอื กระดาษอารต์ มนั (Gloss paper) ใชส้ ำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการความ มนั วาว เนน้ ความสวยงามเปน็ พิเศษ ความหนาของกระดาษมีหน่วยเรยี กวา่ ”แกรม”โดยทั่วไปทีใ่ ช้ในงานพิมพ์ จะมีขนาด 100, 128, 130, 160 แกรม ถ้าขนาด 160 แกรมข้นึ ไปเราจะเรยี กวา่ กระดาษอารต์ การ์ด ใช้สำหรับ พิมพ์การ์ดหรอื นามบตั ร
30 - กระดาษชนดิ เคลอื บด้าน หรือกระดาษอาร์ตดา้ น(Matt paper) ใชส้ ำหรบั งามพมิ พ์ทต่ี ้องการความ ละเอียดอ่อนของภาพ แกรมทโี่ รงพิมพ์เลอื กใช้ 100, 128, 130, 160 2. กระดาษแบบไม่เคลือบผวิ เปน็ กระดาษทไ่ี มไ่ ดน้ ำไปเคลอื บผิว ซ่ึงจะไม่เหมาะท่ีจะนำไปพิมพง์ านท่ี ต้องการความละเอยี ดสูง ส่วนมากจะใชก้ บั งานพิมพ์แบบ 1 สี - กระดาษปอนด์ หรอื กระดาษวาดเขยี น กระดาษทเ่ี หมาะในการเขียนภาพระบายสี มีแบบ กระดาษปอนดเ์ รียบ เหมาะสำหรับใชก้ ับสโี ปสเตอร์ และสีไม้ ทำให้ไม่ซมึ ซับน้ำมากและเรว็ เกินไป และ กระดาษปอนดห์ ยาบมคี ุณสมบตั ิดูดซึมน้ำอยา่ งรวดเรว็ เหมาะสำหรับใชก้ บั สีน้ำภาพเขียนที่ออกมาจะดูชุ่มน้ำ กระดาษทใ่ี ช้ควรหลกี เลย่ี งความชืน้ และการมว้ นกระดาษทำให้กระดาษเกิดรอยยับ และแตกหักเสยี หายได้มักใช้สำหรับ วาดภาพ มีหลายขนาด เรม่ิ จาก 80 ปอนด์ ขนึ้ ไป
31 - กระดาษปอนด์ ใช้สำหรบั ทำสมุดบันทกึ พมิ พ์นติ ยสารมกั ใชน้ าด100-120 แกรม - กระดาษปอนด์ 80-100 แกรม มักใชใ้ นกับเครอื่ งพิมพส์ ำนักงานทั่วไป หรือ ใช้ถา่ ยเอกสาร - กระดาษปอนด์ ขนาด 60 แกรม จะมคี วามบาง ราคาถูก มกั ใช้ในกับงานโรเนยี ว
32 2. ดนิ สอดำ (Pencil) ดินสอดำเป็นเคร่ืองเขยี นขัน้ พ้ืนฐานอยา่ งหนึง่ ท่ีมไี สท้ ำดว้ ยแกรไฟท์ ผสมดินเหนยี ว ใชใ้ นการออกแบบท่วั ๆ ไปแบง่ ออกไดด้ งั น้ี - ดินสอชนดิ หุ้มด้วยไม้ ( Drafting Wood ) มีตั้งแต่ไสแ้ ข็งไปจนถึงไสอ้ ่อน ไดแ้ ก่ HB B 2B 3B 4B 5B 6B และEE ตามลำดบั - ดนิ สอชนดิ บรรจไุ ส้ ( Merchanical pencil ) ไส้ดนิ สอมีหลายชนิด มีทั้งชนิดเหลาไส้ และไมเ่ หลา ไส้ดนิ สอ ทั้ง 2 ชนิดน้แี บ่งออกเป็น 3 กลุ่มคอื 1. กลมุ่ แขง็ ( Hard ) เหมาะกับ งานรา่ งภาพหรือรา่ งแบบ 2. กลมุ่ ออ่ นปานกลาง ( Medium ) เหมาะกับงานรา่ งภาพแรเงา 3. กล่มุ อ่อน ( Soft ) เหมาะกับงานแรเงาเนน้ นำ้ หนักผิวเนน้ เงาแก่ ( เข้ม) การเก็บรกั ษา นกั เรียนควรมีกล่องสำหรบั เก็บดินสอและเครอ่ื งเขยี นอ่ืน ๆ ใหอ้ ยู่ ในสภาพพร้อมท่ี จะใชง้ านได้ 3. ยางลบ (Eraser) เปน็ วสั ดุทำดว้ ยยางหรอื พลาสติก ส่วนใหญท่ ำเป็นแท่งมี 2 ประเภทคอื - ยางลบทำด้วยยาง ( Rubber ) ยางลบที่ทำมาจาก “ยาง” ถือว่าเป็นชนิดที่เป็นจุดกำเนิดของ ยางลบ จะมีเนื้อสัมผัสท่ีค่อนข้างแข็งกว่าแบบแรกทำให้ลบแลว้ ไม่คอ่ ยมีข้ียางลบช่วยยืดอายกุ ารใช้งานได้ นาน แต่ข้อเสียคือลบยากต้องออกแรงในการถูถึงจะทำความสะอาดได้หมดจด นอกจากนี้หากโดน แสงแดดมาก ๆ ประสทิ ธิภาพอาจเสอ่ื มลง ดงั นน้ั คนท่จี ะซือ้ ยางลบประเภทน้ีจงึ ควรเลือกขนาดที่กะว่าใช้ หมดไดใ้ นระยะเวลาไมน่ าน - ยางลบทำด้วยพลาสติก ( Plastic ) คุณสมบัติของยางลบพลาสติก ยางลบพลาสติกทำมาจาก Vinyl chloride ถอื เป็นประเภททีพ่ บเห็นกันไดง้ ่ายแทบจะทุกร้านเครอ่ื งเขยี น เพราะมีให้เลือกหลากหลาย รุ่น มีทั้งแบบเนื้อนิ่มลบง่าย ขี้ยางลบจับตัวกันง่ายหรือแบบเนื้อแข็งหน่อยอย่างไรก็ ตาม ข้อเสียของ ประเภทนี้ คอื หมดเร็วเพราะเนอื้ นม่ิ และด้วยความทเี่ ป็นพลาสติกถ้าไม่ได้ใช้นาน เน้อื ยางลบจะเหนียวติด ตามที่ต่าง ๆ ได้ การเก็บรักษาเมือ่ ใช้เสร็จแล้ว ควรทำควาสะอาดยางลบโดยถูกับกระดาษทีส่ ะอาด แล้ว เก็บใส่กล่องพร้อมกบั ดินสอ
33 4. ไมบ้ รรทดั (Ruler) ใช้ช่วยในการตีเส้นต่างๆ ตอนเลือกซื้อควรเลือกแบบที่มียกขอบ เพราะตอนตเี ส้นด้วยปากกา หมึกจะไม่ ไหลลงไปกองขา้ งลา่ ง และควรเลือกทมี่ หี น่วยสเกลชัดเจน หลงั ใชเ้ สรจ็ ควรหมั่นทำความสะอาด เพราะถ้ามันมี คราบสกปรกคราบนน้ั จะเป้ือนงานของเราใหส้ กปรกไปดว้ ย 5.ปากกา (Pen) ปากกาหมึกสำเรจ็ รูป เช่น ปากกาเขยี นแบบ ปากกามาร์กเกอร์ ปากกาปลายสกั หลาด และปากกา หัวไฟเบอร์ เป็นต้น - แบบทีม่ ีหมกึ ในตวั (Pigma) ทำจากโฟมหรอื สักหลาด และมีสำลอี ัดแทง่ เปน็ ไสห้ มึก ปากกาชนิด น้ีใช้ ไม่ค่อยทน หมึกหมดก็ทิง้ ไม่นิยมนำมาเติมหมึก หรืออีกชนิดหน่ึงคือแบบทีห่ วั เป็นโลหะ ไส้หมึกเป็น หลอดพลาสตกิ สามารถเติมหมกึ ได้ หวั ปากกามคี วามคงทน - ปากกาเขียนแบบ ปากกาเขียนแบบและหมึก ปากกาเขียนแบบ เป็นเครื่องมอื ที่ใช้สำหรับการขีด เขียนเส้นลงในกระดาษไข ลักษณะคล้ายปากกาหมึกซึม เส้นที่เขียนจะได้ความหนาของเส้นตามมาตรฐาน มี หลายขนาดตั้งแต่ 0.10, 0.18, 0.25, 0.35, 0.5, 0.7, 1.0, 1.4 และ 2.0 มิลลิเมตร สำหรับงานเขียน แบบทั่วไปจะนิยมใช้กลุ่มเสน้ 0.5 ซึ่งจะใช้ปากกาเขียนแบบจำนวน 3 ด้าม คือปากกาขนาด 0.5, 0.35 และ 0.25 มลิ ลิเมตร
34 - ปากกาปลายแหลมจ่มุ เขยี น เหมาะสำหรบั งานวาดเสน้ และงานออกแบบ ปากกาสปีดบอล เหมาะสำหรบั งานเขียนน้ำหนักและเขียนตัวอกั ษร 6.หมึก ( Ink ) หมกึ เปน็ อุปกรณ์ประกอบเครอ่ื งเขยี น มที ้งั ชนิดบรรจขุ วดและบรรจุหลอด มีลกั ษณะเหลว หมกึ ที่ใช้ในการออกแบบส่วนใหญ่เปน็ สดี ำ มี 2 ชนดิ คือ 6.1 หมกึ จมุ่ เขยี น ได้แกห่ มกึ ท่ใี ช้พู่กันหรอื ปากกาจุ่มเขยี น เชน่ อินเดียอิ้งค์ สหี มกึ เปน็ ต้น เหมาะกบั การเขียนแบบและระบายนำ้ หนักบริเวณกว้าง ๆ 6.2 หมึกซึม เปน็ หมึกทใ่ี ชก้ ับปากกาเขยี นแบบโดยเฉพาะ ใชเ้ ติมเขา้ ไปในหลอดปากกาเขียนแบบ นอกจากนย้ี งั มหี มกึ ท่บี รรจุหลอดสำเรจ็ รูป สามารถใชก้ ับปากกา เขียนแบบไดท้ นั ที ชว่ ยให้งานเขยี นแบบมี ความคล่องตัวยิง่ ขน้ึ เม่ือใชแ้ ล้วตอ้ งปดิ ฝาให้สนทิ
35 7. วงเวยี น (Compass) คอื เครื่องมอื ประกอบการเขยี น มีสองขาใชใ้ นการสร้างวงกลม สว่ นโคง้ และ ส่วนเวา้ ทนี่ ยิ มใชก้ ัน คอื - วงเวียนดนิ สอ มีลักษณะปลายแหลมข้างหนง่ึ อีกขา้ งหนึ่งมีทีค่ บี ดินสอ ใสเ่ ขา้ และถอดออกได้ใช้ ในการเขยี นวงกลม เสน้ โค้งและเส้นเว้า 8. ไม้ที (T - Square) ใช้เป็นแนวในการลากเส้นตรงในแนวนอน (180 องศา) และใช้เป็นฐานรองรับฉากสามเหลี่ยม เพื่อ เขยี นเสน้ ในแนวตั ง้ หรือในแนวดิง่ (90 องศา) ซึง่ จะตอ้ งใช้รว่ มกบั โต๊ะเขยี นแบบหรือกระดานเขยี นแบบ ฉาก ตัวทีประกอบด้วยสว่ นหัว(Head) และส่วนใบ (Blade) ติดกันเป็นรูปตวั ที ทำมุมฉากต่อกนั ขอบบนของส่วนใบ ซึ่งเป็นที่ใชเ้ พ่อื เขียนเสน้ ในแนวนอนมักหุ้มด้วยพลาสตกิ เพอื่ รักษาขอบให้ตรง และสามารถมองเห็นเส้นขณะ เขียนได้ ความยาวของไมท้ มี ีต้งั แต่ 45 - 180 ซม. การเลอื กใช้ไม้ทีขนาดยาวเทา่ ใดข้นึ อยู่กับระดับงานของผู้ใช้ และขึ้นอยู่กับขนาดของโต๊ะและกระดาษปกติขนาดของไม้ทีที่เลือกใช้ ควรมีขนาดความยาวเกือบเท่าหรือ เทา่ กับความยาวของโตะ๊ เขียนแบบเวลาทใี่ ชไ้ ม้ทีจะต้องให้สว่ นหวั ของไมท้ ีเกาะแน่นขนานกับขอบของโต๊ะหรือ กระดานเขียนแบบ และส่วนใบแบนราบทับบนพืน้ โต๊ะบนกระดาษเขียนแบบ เวลาเขียนเส้นในแนวนอนเพยี ง ใชแ้ รงกดเล็กนอ้ ย ให้ส่วนใบแบนราบกับพื น้ โต๊ะ และใหส้ ่วนหัวเกาะแน่นกับขอบโตะ๊ เขียนแบบ แล้วลากเส้น ไปตามขอบบนส่วนใบของไมท้ ี เล่ือนไม้ทีขนึ้ ลงตามวิธีทีก่ ล่าว เมือ่ ต้องการเขยี นเส้นในตำแหนง่ ตา่ ง ๆ ทีสไลด์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ทำงาน ในลักษณะเดียวกับไม้ทีธรรมดา สามารถนำมาประกอบกับโต๊ะ เขียนแบบหรือกระดานเขียนแบบได้ ใช้หลักการทำงานของเชือกและรอก มีความสะดวก รวดเร็ว และมี ความขนานเท่ียงตรงกว่าไม้ที
36 9. ไม้สามเหล่ยี ม (Triangle) เปน็ อุปกรณ์ใช้ในงานออกแบบ มีลกั ษณะ เปน็ รปู สามเหล่ียมหนา้ จัว่ และสามเหล่ียมมุมฉากสองอันคู่กัน ทำ ดว้ ยพลาสติก ใชส้ ำหรับ เขียนมมุ ในองศาตา่ ง ๆ บางชนิดปรบั องศาได้เป็นอุปกรณ์ประกอบในการออกแบบ ฉากสามเหลี่ยม แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คอื - ฉากสามเหล่ยี มมุมคงท่แี บ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้ แบบมมุ 45 องศา 45 องศาและ 90 องศา มุม 30 องศา 60 องศา และ 90 องศา - ฉากสามเหลี่ยมแบบมุมคงทีส่ ามารถใช้เขียนเส้นทำมมุ 15 องศา 30 องศา 45 องศา 60 องศา 75 องศา และ 90 องศาโดยใช้ฉากทั้งสองชน้ิ มาประกอบกัน - ฉากสามเหลี่ยมแบบปรับองศาได้ สามารถปรับมุมได้ตาม ความต้องการใช้งานใช้เขียนเส้นใน แนวดิ่งและเส้นในแนวเอยี งทำมุมใชค้ ู่กับไม้ที 10.เทมเพลท ( Template ) ทำด้วยพลาสตกิ เป็นรปู ส่เี หลยี่ มผนื ผ้าเจาะพิมพ์รปู ทรงเรขาคณติ เป็นอุปกรณ์ ประกอบในการเขียแบบท่ีจะทำใหง้ านเขียนแบบเกดิ ความคล่องตวั
37 11. พู่กัน( Brush ) พู่กันเป็นอปุ กรณ์สำหรับวาดระบายสีภาพ ตอนปลาย ทำดว้ ยขนสัตว์หรือใยสังเคราะห์ มีหลาย ชนดิ แตท่ ี่จะกล่าวถึงพูก่ ันท่ีใช้กับสีน้ำและสีโปสเตอร์เท่านั้น พู่กันดงั กล่าวบางชนดิ มลี ักษณะกลมปลายแหลม บางชนิด กลมพอง บางชนิดมีลักษณะ แบนปลายตัด ขนพู่กันบางชนิดทำด้วยใยสังเคราะห์ บางชนิดทำด้วยขนสัตว์ ซึ่งมี คุณสมบตั ิ อุ้มน้ำไดด้ ีและมีสปรงิ ดกี ว่าขนพ่กู นั ที่ทำดว้ ยใยสังเคราะห์ 11.1พ่กู ันกลมพอง เปน็ พกู่ นั ทีม่ ีขนาดใหญ่ ใช้สำหรับระบายสบี นพ้ืนทกี่ ว้าง 11.2 พกู่ ันปลายแหลม มีขนาดเล็กกว่าพู่กันกลมพอง ใช้สำหรบั ระบายสีบรเิ วณพน้ื ท่แี คบเก็บ รายละเอียดของภาพไดด้ ีเมอื่ เน้นความสมบรู ณ์ของภาพ 11.3 พู่กันปลายตดั ใช้สำหรบั ระบายสบี นพ้ืนที่กวา้ ง ระบายสีในลักษณะโครงสร้างและเขียนตัวอักษร พกู่ ันดงั กล่าว มีตั้งแต่เบอร์ 0 ถึงเบอร์ 24 แต่ในระดับนักเรียนใช้ เบอร์ 3, 6, และ 12 ก็เพียงพอและเหมาะสมกับงานแล้ว การวาง พกู่ นั หรือเก็บพู่กนั ไม่ควรวางพ่กู ัน จุ่มลงในภาชนะรองรบั เพราะจะทำให้ขนของพ่กู ันบดิ งอเสียรปู ทรงไดท้ ำใหก้ ารระบาย สีขาด ประสิทธิภาพ ควรวางพกู่ นั ให้ด้ามปักลงและขนพ่กู นั ต้งั ข้ึน
38 12. สี ( Colour ) คือคลื่นหรือความเข้มของแสงที่เข้ามากระทบตาเรา ทำให้เรามองเห็นเป็นสีได้ สีที่ นิยมมาใช้ในการออกแบบได้แก่ ดินสอสี สีน้ำ สีโปสเตอร์และสีเมจิก็เพียงพอแล้ว ส่วนคุณสมบัติควรมี ดังต่อไปน้ี 12.1 สีดนิ สอ เป็นประเภทเครอื่ งเขยี นที่เหลาไส้มมี ากมายหลายสี ใชร้ ะบายสีเป็นลาย วาดเสน้ เน้น นำ้ หนกั แสงและเงา ดนิ สอสีบางชนิดเม่อื ระบายแล้ว ใชพ้ ่กู ันจมุ่ นำ้ ระบาย ทับลงไปสีจะกลายเป็นเทคนิคสีน้ำ อยา่ งสวยงาม 12.2 สนี ำ้ เป็นสวี ัตถุธาตุมคี ุณสมบัติโปรง่ ใส ( Transparent ) การลดน้ำหนัก ของสีใชว้ ิธกี ารผสม นำ้ ให้เจือจาง ไม่ควรระบายสที ับกนั หลาย ๆ ครงั้ จะทำให้สไี มส่ ดใส สีนำ้ มีท้งั ชนดิ บรรจุหลอดและบรรจุ ตลบั แตท่ น่ี ิยมใช้กนั มากคือสีบรรจุหลอด เม่ือนกั เรยี นใช้เสรจ็ แล้วควรปดิ ฝาใหเ้ รียบร้อย เพื่อปอ้ งกนั ปญั หาสแี หง้ แขง็ 12.3 สโี ปสเตอร์ เปน็ สวี ตั ถธุ าตุใช้ผสมกับนำ้ ระบายมีคุณสมบัติทึบแสง ( Opaque ) การลดน้ำหนัก ของสที ำได้โดยการผสมกบั สีขาว สามารถระบายสีทบั กนั ไดห้ ลาย คร้ังเม่ือนกั เรยี นใชเ้ สรจ็ แล้วต้องปิดฝา ขวดให้แนน่ เก็บบรรจเุ ข้ากลอ่ งใหเ้ รียบร้อย
39 12.4 สีเมจิก เป็นสีน้ำบรรจุหลอด ส่วนปลายเป็นสักหลาด ( ทำด้วยขนสัตว์ ) มีคุณสมบัติกึ่งทึบ แสง มีหลายขนาด ใช้สำหรับเขียนตัวอักษร วาดลายเส้นระบายสอด สีได้หลากหลาย เมื่อนักเรียนใช้ เสร็จแลว้ ตอ้ งปิดฝาใหแ้ น่น มฉิ ะนน้ั สจี ะแห้งอย่างรวดเรว็ 13. จานสี ( Pallet ) เปน็ ภาชนะสำหรบั ใสแ่ ละผสมสี มีชอ่ งสำหรับบีบสแี ละผสมสี นกั เรยี นควรใช้จานสีที่ มสี ขี าว ถา้ เปน็ จานสพี ลาสตกิ ควรเปน็ พลาสตกิ สีขาวทึบแสง เพราะถา้ ใชจ้ านสีท่เี ปน็ สีอื่น จะทำให้มองเห็น สีในจานหลอกตาเราได้ ส่วนจานสีที่เป็นสังกะสีด้านนอก จะเป็นสีอะไรก็ได้ แต่ด้านในควรเป็นสีขาว เท่านน้ั เมอื่ ใชเ้ สร็จแลว้ ต้องลา้ งสีออกให้สะอาดเช็ด ให้แหง้ เกบ็ ให้เรยี บรอ้ ย หนว่ ยท่ี4 หลกั การออกแบบการจัดวางตัวอกั ษร การออกแบบอกั ษรเป็นศลิ ปะแขนงหน่ึงเรียกวา่ เลขนศิลป์ (Graphic Art) ทส่ี รา้ งสรรคข์ ้ึนเพื่อการสื่อ ความหมาย และเพอื่ ใหเ้ กดิ ตวามเข้าใจได้ โดยการสมั ผัสดว้ ยตาหรอื การอ่าน มีบทบาทสำคญั เก่ยี วขอ้ งกับ การดำเนินชีวติ ของทกุ คน ทจ่ี ะตอ้ งได้พบ ไดเ้ หน็ ไดอ้ ่าน ในรูปลักษณะตา่ งๆ ในสถานท่ตี ่างๆกัน นบั ตั้งแต่ต่ืน นอนจนถงึ เขา้ นอน ตัวอกั ษรออกแบบข้นึ เขยี นข้ึนดว้ ยแนวความคิดเพ่ือให้บรรลุผล (Concept) ในการอ่านอันเป็น ประโยชนใ์ ชส้ อย (Function) โดยตรง เช่นเดียวกับการออกแบบทว่ั ไป ผสมผสานกบั ปัจจัยในการออกแบบ เขียนเป็นตัวอักษรท่ีเหมาะสมในการใชง้ าน ปจั จยั ที่สำคัญที่ตอ้ งคำนงึ ถงึ ในการออกแบบ มอี ยู่ 2 อย่างคือ 1. เน้ือหา จะเหน็ ไดว้ ่า การออกแบบตวั อักษรยังแฝงไว้ด้วยความตอ้ งการ หรอื จุดประสงค์ซอ่ นอยู่ เปน็ ตน้ ว่า ตอ้ งการใหเ้ ห็นเปน็ สญั ลกั ษณ์ สร้างความอยากร้อู ยากเหน็ เน้นความสำคัญ เร้าใจ ชวนตดิ ตาม ตน่ื เตน้ หรอื ตลกขบขัน จนถึงความรู้สกึ สงสยั งงงนั ทงั้ หมดน้เี ปน็ ความคดิ รวบ ยอดจากเนือ้ เร่ืองสว่ นท่ีเกยี่ วขอ้ งต่อเน่ืองกัน 2. เน้ือที่ คอื ตำแหน่ง สถานที่ รวมไปถงึ พืน้ ทีข่ องขนาดด้วย กอ่ นอน่ื ต้องรวู้ า่ ตัวอกั ษรทีต่ ้องออกแบบนนั้ ใชง้ านหรือทำเป็นอะไร จะนำไปใชท้ ่ไี หน ใช้งานหรือใช้ ทำเป็นอะไร ระยะการอ่าน วธิ ีการ วัสดทุ ใ่ี ช้ ขนาด อะไรบ้าง หลักการออกแบบ เปน็ หลกั เกณฑท์ างศิลป์ เพอื่ ก่อใหเ้ กิดความงาม มีหลกั ท่ีต้องคำนึงดังน้ี
40 1. ความมเี อกภาพ (Unity) เอกภาพคอื ความเปน็ อนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ในรูปแบบตัวอกั ษรทอ่ี อกแบบขึน้ มีความสอดคล้องกัน ทั้งสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ โดยเฉพาะเม่อื เขยี นเป้นข้อความทั้งประโยค 2. ความกลมกลนื (Harmony) มีความสัมพันธก์ ลมกลนื กันในส่วนตา่ งๆ ไม่ว่าจะเปน็ เส้นต้ัง เส้นนอน หรือหวั ตวั อกั ษร ไมข่ ดั ตา ในทศิ ทางของเส้น รูปลักษณะ และขนาดของอกั ษร 3. สดั สว่ น (Proportion) ความเหมาะสมในการกำหนดขนาดตวั อักษร ความกว้าง และความสูงของตวั อกั ษร และรวมไปถึง การเขียนตวั อกั ษรทั้งประโยคดว้ ย 4. ความสมดุล (Balance) คือความเท่าเทยี มกนั ในรปู ลกั ษณะของโครงสรา้ งตวั อักษร อาจเท่ากนั โดยแบง่ แกนกลาง หรือ คาดคะเนมคี วามรู้สกึ ได้ว่าเทา่ กัน 5. ช่วงจงั หวะ (Rhythm) ช่วงจงั หวะคือช่วงลีลาของเสน้ ท่ปี ระกอบกันเป็นตวั อกั ษร อาจซ้ำๆกันสลับกนั มีทิศทางพ่งุ ขึน้ หรอื ลากลงแสดงให้เหน็ เป็นจังหวะลีลาต่อเนอ่ื ง 6. จดุ เด่น( Emphasis) การเนน้ ตัวอกั ษรใหด้ งึ ดดู ความสนใจ สะดุดตา ไม่ซ้ำซากจำเจ จะเป็นรปู แบบ ขนาด สัดสว่ น ลกั ษณะเสน้ หรือลวดลายท่ีนำมาประกอบตกแต่งก็ตาม แสดงเส้นบรรทัดกำหนดความสูงของตัวอักษร แบ่งช่องความกว้างและช่องไฟของตัวอกั ษร ตามข้อความท่ี จะต้องออกแบบ อนั เปน็ ขน้ั ตอนแรกของการออกแบบตวั อักษร วธิ อี อกแบบ การเร่มิ ตน้ การออกแบบตัวอักษร ควรเริ่มต้นด้วยการทดลองร่างครา่ วๆ ตามความคิดซ่งึ ไดม้ าจากการนำเอาหลักการ และปัจจัยต่างๆมาประกอบกัน รา่ งหลายๆรปู แบบจนได้แบบท่พี อใจแล้วจึงเรมิ่ ลงมือออกแบบจรงิ กระดาษท่ีทดลองร่างอาจเป็นกระดาษท่ที ีเส้นกราฟด้วยยง่ิ ดี เพราะจะได้รู้ขนาด สดั ส่วนและจังหวะท่ีเป็นไป ได้ อันดบั แรกกำหนดเน้อื ท่ีท่ีจะตอ้ งออกแบบ ซงึ่ มีอยู่ 2 ลกั ษณะดว้ ยกันคือ เนื้อทที่ ่ีจำกัด และเนอื้ ทีท่ ี่ไม่จำกดั ในการออกแบบเน้อื ทที่ ่จี ำกดั ต้องมีการจัดแบง่ เนื้อท่ี ให้เหมาะสม กับจำนวนตัวอักษรท่ีต้องการ ออกแบบ จากน้นั เร่ิมลากเสน้ บรรทัดเพอ่ื กำหนดความสงู ของตัวอกั ษรหรอื เสน้ ต้ัง
41 จัดแบ่งช่อง ตามจำนวนตวั อกั ษรทต่ี ้องออกแบบซึ่งกค็ ือความกวา้ ง หรือเส้นนอนของตวั อักษร พรอ้ มทงั้ ชอ่ งไฟ อันเปน็ ระยะต่อแต่ละตวั อกั ษร เส้นแบ่งตั้งฉาก จะเปน็ แนวของเสน้ ตั้งในตัวอักษร แบบตัวตรงดว้ ย ตวั อกั ษรภาษาไทย มีสระ วรรณยกุ ต์ อย่ขู า้ งบนและข้างลา่ งอกี ดว้ ย จงึ ตอ้ งลากเส้นกำหนดเผื่อเอาไว้ ด้วยและหากว่าข้อความมีความมากกวา่ หนึง่ บรรทัด จะตอ้ งเวน้ ระยะระหว่างบรรทัดไวใ้ หพ้ อเหมาะพอดี ลากเส้นกำหนดความหนาของตัวอักษร หมายถงึ ความหนาของเสน้ ต้ังและเส้นนอน ทป่ี ระกอบเปน็ ตวั อกั ษร รา่ งตวั อักษรท่ีเป็นแบบจรงิ ตามท่ีพอใจ เม่อื ไดแ้ บบรา่ งจรงิ แล้ว จึงลงเส้นอีกครงั้ เปน็ แบบอกั ษรที่ ต้องการ ในการออกแบบอักษร ตวั เอียง หรือ ตัวจุดรวมสายตา กค็ งใชว้ ธิ กี ารอันเดยี วกัน เพียงแต่เวลาแบ่งชอ่ ง จำนวนตวั อกั ษรเส้นท่แี บง่ จะเป็นเส้นเอียงหรือเส้นรวมจุดสายตา ตามทศิ ทางที่ตอ้ งการซ่ึงเสน้ แบ่งนี้ถือเปน็ แนวของเสน้ ตั้ง ในอักษรที่ออกแบบดว้ ย สว่ นตวั อิสระอาจแบง่ แบบเดยี วกบั ตวั ตรง ถือเป็นแนวคร่าวๆ แล้วจึงร่างเปน็ ตัวอสิ ระตามตอ้ งการ การรา่ งตัวอักษร ถ้าเปน็ กระดาษ นบั แตเ่ ส้นบรรทัด เส้นแบง่ ชอ่ ง จนถึงเส้นร่างแบบจรงิ ควรใชด้ นิ สอไส้อ่อน และรา่ งเพียงแผว่ ๆ เมือ่ ลงสีเป็นเส้นจรงิ ซงึ่ จะใชเ้ ป็นสีหรือหมึกตามต้องการ จะไดค้ มชัดเรยี บร้อย สวยงาม ปฏิบตั ิการเป็นขน้ั ตอนสดุ ทา้ ยของการออกแบบตัวอักษรเพ่อื นำไปใชง้ าน นอกเหนือจากหลกั การ และขน้ั ตอนแล้ววิธเี ขียนและฝีมอื มีส่วนชว่ ยเสริมสรา้ งใหป้ ระสบความสำเรจ็ ในการออกแบบ ความอ่อนช้อย คมชัด ตลอดจนสีสันอนั สวยงาม เหมาะสมส่งิ ต่างๆเหล่าน้ี ล้วนต้องอาศัยการฝกึ ฝนฝมี อื เพอื่ หาความ ชำนาญและประสบการณ์ประกอยดว้ ยทงั้ สิ้นอนั นำมาซ่ึงตัวอักษรท่สี วยงาม มีคุณค่าและสมบรู ณ์ครบถว้ น เชน่ เดียวกับการปฏิบตั ิในงานศิลปแ์ ขนงอ่ืนๆ เรมิ่ ต้นลากเส้นบรรทดั กำหนดความสูงของตัวอักษร แบ่งเสน้ ตั้งเปน็ ความกว้างและชอ่ งไฟ ลากเสน้ ความหนาของตวั อักษร และร่างแบบทีพ่ อใจจากนน้ั จึงลงเสน้ จริงที่สมบูรณ์
42 การเขยี น ตัวเอียง ก็ใชว้ ิธีการอันเดียวกนั เพียงแตเ่ ส้นต้งั แบ่งความกว้างของตัวอกั ษร เป็นเส้นเอียง ตามองศาที่ตอ้ งการ ช่องไฟ เปน็ สง่ิ สำคัญในการออกแบบ การเขยี นตัวอักษรแตล่ ะตัว จะกำหนดระยะเท่ากันตายตัว ไมไ่ ด้ เพราะตวั อักษรแตล่ ะตัวจะมสี ่วนยืน่ ส่วนเวา้ ต้องจดั แบง่ เฉล่ียใหพ้ อเหมาะ ตวั อกั ษรในทจ่ี ำกดั วธิ ีเขียนตวั อักษรตัวอกั ษรในพนื้ ทีท่ ่ีจำกดั เพอ่ื ใช้เปน็ สัญลกั ษณ์ เครื่องหมาย หรอื ตรายาง อาจกำหนดพื้นท่ี เปน็ รูปวงกลม วงรสี ามเหล่ยี มหรอื สี่เหลีย่ ม เปน็ ต้น จากตัวอยา่ งกำหนดพ้ืนท่ีเปน็ วงกลม แนวเส้นต้งั อาศยั เสน้ รศั มขี องวงกลมเป็นเสน้ กำหนด แบ่งชอ่ ง ตัวอักษรตามแนวเสน้ รัศมี ส่วนเสน้ นอกกำหนดโดยวงกลมทมี่ ขี นาดเล็กลงตามลำดับ เม่อื ได้เส้นกำหนดตา่ งๆแล้ววธิ กี ารเขียนตัวอักษรก็คงเหมือนตวั อกั ษรในบรรทัดตรงๆต่อไป ตัวอกั ษรในท่จี ำกดั การกำหนดพื้นทส่ี ่ีเหล่ียม แต่วางบรรทดั ในลักษณะทแยงมุม ตัวอกั ษรแรกและสดุ ท้ายจงึ มี พ้ืนที่บงั คับ ตอ้ งหักเหตามแนวเส้นกำหนดพน้ื ที่ การถมพ้ืนที่ด้วยสี โดยเว้นตวั อกั ษรปล่อยวา่ งไว้ เป็นอีก ลักษณะหนง่ึ ของการเขยี นตวั อกั ษร วิธนี ต้ี ้องระมดั ระวังเรอื่ งชอ่ งไฟใหเ้ หมาะสมสวยงาม
43 เงาตัวอกั ษรชว่ ยทำให้เกิดความรู้สึกเป็น 3 มติ ิ คือมี ความลึก เพ่ิมข้ึนจากปกตซิ งึ่ มีความกวา้ งและความสูง เงา จะชว่ ยเนน้ ตัวอกั ษรใหเ้ ด่นชัดสวยงาม มักนยิ มทำเงาเปน็ ทศั นียภาพ (Perspevtive) มีจุดรวมสายตา จากตวั อยา่ งเปน็ ภาพทศั นยี ภาพจุดเดียวจุดรวมสายตาอยกู่ ่งึ กลางคำ ตัวอักษรอยู่เหนือระดับสายตา
44 การเขยี นการออกแบบตวั อักษรแบบทัศนยี ภาพมีจุดรวมสายตาสองจดุ ในสองลักษณะ คอื ตัวอกั ษรอย่ใู ตร้ ะดบั สายตา(บน) และเส้นระดบั สายตาอยู่กลางตัวอักษร(ลา่ ง) ตัวอกั ษรที่ไดจ้ ะมีลักษณะต่างกัน ตวั อักษรเป็นสามมิติ คือมคี วามกว้าง ความสูง ความลกึ สัดสว่ นตวั อักษรจะแตกต่างกันทุกตัวอักษร ตามลักษณะของทัศนยี ภาพ แบบมจี ุดรวมสายตาสองจุด การเขยี นตัวอักษรลักษณะน้ี ต้องคำนงึ ถงึ การกำหนดจดุ รวมสายตาทง้ั สองจุด เพราะมคี วามสำคญั และเป็นผลตอ่ เนื่องถงึ รูปลักษณะของตัวอักษรที่เขียนขน้ึ ดว้ ย จากตัวอยา่ งเป็นตวั อกั ษรแบบสามมิติ มีความกวา้ ง ความสงู ความลกึ และยงั มีเงาของตัวอักษรทอดท่ีพื้นที่ ดา้ นหน้า เป็นการใส่เงาของตัวอักษรอีกลักษณะหน่งึ
45 การเขียนตวั อกั ษรแบบทัศนยี ภาพมจี ดุ รวมสายตาสองจุดอีกลักษณะหน่งึ โดยกำหนดให้เสน้ บรรทัด ลา่ งสุด เสน้ นอนล่าง เป็นเส้นโค้ง เพื่อใหต้ ัวอักษรท่เี ขียนขึ้นดูแปลกตา วธิ ีเขียนกเ็ หมอื นปกติ เพียงแต่เงาตัวอกั ษรแถวลา่ งโค้งตามบรรทดั ลา่ งด้วยเท่านนั้
46 การเขยี นตัวอักษรอกี ลกั ษณะหนึ่ง ซงึ่ มจี ุดรวมสายตาสองจดุ และมีเงาทอดที่ดา้ นหลังตวั อกั ษร แล้วหกั ข้นึ ตั้ง ฉาก ทำใหร้ ู้สกึ เหมือนตวั อักษรต้งั อยู่บนพน้ื ทห่ี ่างผนงั มีเงาทอดไปตามพื้นแลว้ หักเหข้ึนบนผนงั
47 ตัวอักษรที่มีเสน้ บรรทัดบนและเส้นโค้ง ส่อื ความรู้สกึ เหมอื นตัวอักษรต้งั เรยี งเป็นแถวอยู่ด้านหนา้ เวลามอง เหมอื นตัวอักษรโค้ง อักษรตามความหมายคำ อีกลักษณะหนึ่งของตัวอกั ษร นอกจากเขียนขน้ึ เพือ่ ใหอ้ า่ นไดเ้ ขา้ ใจหรอื รู้เรื่องราวแลว้ รปู แบบตัวอักษรยงั แสดงออก บง่ บอกความหมายของคำทเ่ี ขยี น เปน็ การนำภาพมาประกอบตวั อกั ษร ตัวอักษรชนดิ นมี้ กั เขียนใน ทำนองล้อเลียน ตลกขบขัน เปน็ ชอื่ เรื่องภาพยนตร์ หวั คอลัมน์ในหนงั สือ เป็นข้อความสนั้ ๆ มีตวั อักษรไม่มาก นกั
48 หน่วยที่ 5 การออกแบบชือ่ หนงั สือ การออกแบบชื่อหนังสือ หรือชื่อเรื่อง เป็นตังอักษรที่สำคัญที่สุดบนหน้าปกหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์ทุกชนิด ตัวอักษรควรมีขนาดใหญ่ เพื่อเร้าความสนใจจากผู้ดู โดยใช้ภาพประกอบเป็นฉากหลัง รูปแบบของตัวอักษร ควรมลี กั ษณะความกลมกลนื กบั เนือ้ หาภายในเลม่ สง่ิ ท่ีตอ้ งกำหนดและวางแผนกอ่ นการออกแบบตวั หนังสือเพ่ือใชใ้ นประกอบปกหนังสือน้นั มีดงั นี้ 1. ประเภทของหนังสอื 1.1 หนงั สือตำราและสารคดี ตำราเปน็ หนงั สือทเี่ ขยี นขน้ึ ตามหลกั สูตรการเรียนการสอนในระดับและแขนงวิชาต่างๆมีเน้อหาวิชาการ ล้วน และมีลักษณะเหมือนหนังสือสารคดี คือ มุ่งให้ความรู้ ต่างกันแต่ว่าหนังสือสารคดีนอกจากจะให้สาระ ประโยชน์ในขอบเขตที่ไม่จำกัดแล้ว ยังให้ความ เพลิดเพลินจากสำนวนภาษาลีลาการเขียน หรือเนื้อหาด้วย การใช้ตัวอักษรจะเป็นรูปแบบที่อ่านง่าย เรียบง่าย เหมาะสมกับเนื้อหาสาระภายในเล่ม น่าเชื่อถือ ไม่ค่อยมี ลูกเล่นมากนกั 1.2 บนั เทงิ คดี เปน็ หนังสอื ท่ีเขียนขนึ้ จากจนิ ตนาการของผู้เขยี น ซึ่งต้องการให้ความบนั เทิงและความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน เป็นหลกั อาจสอดแทรกความร้แู ละความคิดตา่ งๆ ไวด้ ว้ ย แบง่ เป็น ประเภทต่างๆ ไดด้ งั น้ี 1.2.1. นวนิยาย เป็นหนังสือท่ีผูเ้ ขียน เขียนขึ้นเพื่อให้เกิดความบนั เทิงแก่ผู้อ่าน โดยไม่เน้นความเป็น จรงิ หรอื เนื้อหาสาระ รปู แบบตวั อกั ษรมักจะมลี ักษณะตามเร่ืองราวของหนังสอื เชน่ ถ้าเปน็ นวนิยายรกั โรแมน ตกิ ตวั หนังสอื จะอ่อนหวาน นุ่มนวล ถา้ เป็นนวนยิ ายผี ตัวหนงั สอื จะเปน็ ลักษณะท่ีออกแบบเพื่อให้ดูลึกลับน่า กลัว เปน็ ตน้
49 1.2.2. เรือ่ งสน้ั เป็นหนงั สือที่ผูเ้ ขียน เขียนขนึ้ ตามวัตถุประสงคเ์ ชน่ เดียวกับนวนิยาย แต่มีเน้ือหาน้อย กวา่ นวนิยาย มกั รวมหลายเร่ือง อย่ใู นเลม่ เดียวกนั 1.2.3.หนังสอื สำหรบั เดก็ และเยาวชน เป็นหนงั สอื ทจี่ ัดทำขึ้นสำหรับเด็กโดยเฉพาะ สว่ นใหญ่มีเนื้อหา ง่ายๆ หรอื เป็นหนังสือ ภาพการต์ นู หนงั สอื ประเภทน้จี ะใหค้ วามรู้ คติสอนใจ และสนองความตอ้ งการอยากรู้ อยากเห็นของเด็กก่อนที่จะทำการออกแบบ นักออกแบบจะต้องพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือถึง วัตถุประสงค์ในการจดั ทำหนงั สือ และต้องศกึ ษาลกั ษณะของผอู้ ่านท่ีเป็นกลมุ่ เป้าหมาย เชน่ อายุ รูปแบบของ ตวั หนงั สือจะดสู นุกสนาน ไม่ต้องยึดความเปน็ ระเบียบมากนกั ถา้ เป็นหนงั สือสำหรบั เยาวชนทโี่ ตข้ึนตัวหนังสือ อาจจะดูแข็งข้ึน ทนั สมัยข้นึ ทง้ั นี้ ขนึ้ อยกู่ บั เน้อื หาของหนงั สอื เลม่ นั้นๆด้วย 1.2.4. วารสาร เป็นหนังสอื ท่มี ีชื่อหนังสือคงท่ี จัดพิมพ์ออกจำหน่ายจ่ายแจกตามลำดับเร่ือยไป เช่น หนังสือท่ีพิมพ์ออกมาทกุ วัน จะมีชื่อหนงั สือชื่อเดียวกันตลอด ได้แก่ สยามรัฐ ไทยรัฐ เดลินิวส์ หรือหนังสือท่ี พิมพอ์ อกมาทุกสปั ดาห์ ทุกสองสปั ดาห์ ทุกเดือน หรือทุกระยะเวลาตา่ งๆ มีชื่อหนงั สือเหมอื นกัน เชน่ สตรีสาร วิทยาจารย์ หลกั ไท หนังสอื เหล่านี้เปน็ วารสาร หนังสอื ประเภทวารสารยังอาจแบ่งออกเป็นประเภทย่อยได้เป็น หนังสือพิมพ์ (newspaper) และนิตยสาร (magazine) 1.2.4.1 หนังสือพิมพ์ (newspaper) หมายถึง สื่อสิ่งพิมพ์รายงานข่าว และข่าวสาร เพื่อให้ ความรู้ ความบันเทิงและเสนอข้อเขียนเชิงวิพากษ์ วิจารณ์เสนอข้อคิดเห็นต่างๆ หนังสือพิมพ์เป็นสิ่งพิมพ์ที่ พิมพ์ขึ้นเพื่อคนทุกระดับความรู้ ไม่จำกัดผู้อ่าน สามารถอ่านจบได้ในเวลาอันสั้นและอ่านได้ทุกเวลาและทุก สถานท่ีมีจดุ มุ่งหมายเพือ่ เสนอเร่ืองราวท่ีน่าสนใจท่วั ไปอย่างกวา้ งขวาง หนงั สอื รายวันมกั มรี ายงานข่าวต่างๆมี ข่าวในประเทศ ข่าวต่างประเทศ ประกอบไปด้วยข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง ข่าว วิทยาศาสตร์ ขา่ วเหตุการณ์ในชีวิตประจำวนั เชน่ การทะเลาะววิ าทและข่าวอาชญากรรม นอกจากการเสนอ
50 ข่าวแล้ว หนังสือพิมพ์อาจมีเรื่องสารคดี นวนิยาย บทความแสดงความคิดเห็น ภาพประกอบข่าว และ ภาพประกอบเรื่องต่างๆและภาพการ์ตูน หนังสือพิมพ์จัดเป็นสิ่งพิมพ์ที่ได้รับความนิยมแพร่หลายจากผู้อ่าน มากกว่าสิ่งพิมพ์ประเภทอื่นๆ การออกแบบ ตัวอักษรสำหรับหนังสือพิมพ์ มีหลายแบบหลายคอลัมน์ภายใน เล่ม แต่ถ้าเป็นขอ้ ความพาดหัวมกั จะใช้ตัวอกั ษรใหญๆ่ อา่ นง่ายสะใจ 1.2.4.2 นิตยสาร (magazine) นิตยสาร เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีกำหนดออกระบุไว้แน่นอนและ ต่อเนื่อง จัดพิมพ์ออกเผยแพร่ตามกำหนดเวลา หรือคาบเวลาที่แน่นอน มีเนื้อหาหลากหลาย สำหรับผู้อ่าน ท่วั ไป เน้ือหาประกอบไปด้วยบทความต่างๆ เรื่องราวที่ทันสมยั ทันต่อเหตุการณ์ บางเรื่องจบในฉบับแต่บาง เรื่องลงต่อเนื่องกันไปหลายฉบับ เนื้อเรื่องภายในเล่มอาจจะจำกัดขอบเขตตามแขนงวิชาใดวิชาหนึ่ง หรือ อาจจะเปน็ เรอ่ื งทวั่ ไป มงุ่ ทั้งใหค้ วามรู้และความบันเทิง ความรู้มักเป็นไปในลกั ษณะท่ีให้ความรอบรู้แก่ผู้อ่าน การออกแบบตวั อักษรบนปกมกั ขึ้นอยกู่ ับประเภทของนติ ยสารแตล่ ะชนดิ 1.3 หนังสืออ้างอิง (Reference Books) คือ หนังสือที่รวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อใช้ประโยชน์ได้อย่าง รวดเร็ว เป็นหนังสือที่อ่านเฉพาะตอนที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องอ่านตลอดทั้งเล่ม มีวัตถุประสงค์ในการจัดทำ เพ่ือเปน็ แหลง่ ความรู้และการคน้ หาข้อเท็จจรงิ อยา่ งสัน้ ๆ มปี ระโยชน์ในการค้นควา้ วิจยั และการเรียนการสอน
Search