Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Magmai

Magmai

Published by donuttakarn, 2023-07-30 19:48:23

Description: Magmai

Search

Read the Text Version

MAGMAI 2023 แ ม ก ไ ม้





กวักมรกตดำ ชื่อภาษาอังกฤษ : Zamio Culcus ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zamioculcas zamiifolia (Lodd.) Engl. ราคา : 150-350 บาท

วิธีปลูกต้นกวักมรกตดำ สามารถปลูกและเลี้ยงได้เช่นเดียวกัน กับต้นกวักมรกตเขียว โดยขั้นตอน แรกให้ตัดใบมา แล้วน่าไปล้างให้ สะอาด จากนั้นแช่นํ้ายาเร่งราก กวักมรกตดำ ประมาณ 15 นาที ระหว่างที่รอ น้ำยาเร่งรากทํางาน ให้เตรียมดิน กวักมรกตดำ มีลักษณะเหมือนกับกวักมรกตเขียว ใบอ่อนจะมีสีเขียว และ ปลูกไว้ ควรใช้ดินร่วนในการปลูก เมื่อใบแก่แล้วก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ไม้ที่มีเอกลักษณ์สวยงาม กวักมรกต เป็นดินที่สามารถระบายน้ำได้ดี และ ดำเป็นไม้มงคลอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็พอหาได้ใน สามารถรักษาความชุ่มชื้นได้ดี อาจ ปัจจุบัน เป็นไม้ที่มีลักษณะเหมือนต้นกวักมรกตสีเขียว แต่จุดเด่นคือเวลาแทง ใช้ดินผสมกับกาบมะพร้าวก็ได้ ดินใช้ หน่อใหม่ จะมีสีเขียวอ่อนและจะเปลี่ยนเป็นสีดำในระยะเวลาต่อมา ทำให้เป็นไม้ ดินใบก้ามปูได้ดี แต่ควรมีการร่วนดิน ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมากๆ แถมมาให้ดูสวยงาม เมื่อหน่อสีเขียวอ่อน ก่อน โดยเฉพาะถ้าใช้ดินถุง ส่วนใหญ่ สลับกับหน่อที่ใบมีที่ดำ ทำให้ต้นกวักมรกตดำเป็นไม้ที่มีคนนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จะมีเม็ดดินแข็งก้อนใหญ่ปะปนมา แถมราคาก็สูงกกว่าต้นเขียว แต่มีวิธีการขยายพันธุ์เหมือนกันกับกวักมรกตเขียว นําดินใส่ในกระถางรองก้นกระถางอุด กวักมรกตเป็นไม้อวบน้ำ ลำต้นเรียวยาว ขนาดมีตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ ใบมี รูกันดินไหลสักเล็กน้อยตามด้วยดิน รูปทรงมนสวยมีความเงาเล็กน้อย โดยทั่วไปมีชนิดของใบสองสีคือเขียว และดำ ปลูก เมื่ออัดดินแล้วนำใบกวักมรกต ถ้าพิเศษหน่อยก็เป็นพันธุ์ด่าง และพันธุ์แคระซึ่งมีราคาสูงกว่าปกติ ขยายพันธุ์ ปักลงในกระถาง ด้วยการแตกหน่อเป็นก้านใหม่ออกมาเรื่อยๆกวักมรกตดำเป็นไม้มงคลที่สามารถ ปลูกเอาไว้ได้แทบทุกบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นในบ้านนอกบ้าน หรือจะปลูกใส่ กระถางตั้งเอาไว้ในห้องก็ได้เช่นกัน แต่ควรปลูกไว้ในบริเวณที่มีแสงแดดรำไร หรือแสงแดดจากหน้าต่าง ถ้ายิ่งปลูกไว้ในบ้านหรือห้องนอนนั้นก็ยิ่งดี เพราะมัน จะช่วยดูดสารพิษในห้องได้ แต่ถ้าใครต้องการปลูกเอาโชคลาภก็ให้วางไว้หน้า บ้าน จะช่วยกวักเงินกวักทองเข้าบ้าน วิธีการดูแล กวักมรกดำเลี้ยงอย่างไรให้รอด แนะนําว่าปุ๋ยใช้ออสโมโค้ตได้ ถ้าไม่อยากใส่ปุ๋ย บ่อยๆ ดินต้องระบายได้ดีๆ อาจใช้ดินใบก้ามปูผสมกับดินแคคตัสได้ เพื่อช่วย เรื่องการระบายน้ำ จำไว้ว่าดินแห้งดีกว่าดินฉ่ำน้ำมากๆ เพราะจะทําใหไม้เน่า ได้ง่าย ส่วนการรดนํ้าให้หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากจนเกินไป ก็รดน้ำสัก 1-2 วัน ต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพอากาศของแต่ละแห่ง

ครีบปลาวาฬด่าง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sansevieria masoniana Chahin. วงศ์ : Asparagaceae ประเภท : ไม้อวบน้ำ ราคา : 350 บาท

ต้นครีบปลาวาฬ ต้นไม้น่ารักแปลกตาที่มี คุณสมบัติฟอกอากาศ ดูดสารพิษ และคลาย ออกซิเจนได้ดี ต้นครีบปลาวาฬนั้นจะมีใบ คล้ายกับต้นลิ้นมังกรแต่จะมีขนาดใบใหญ่และ กว้างกว่าต้นลิ้นมังกร ใบของต้นครีบ ปลาวาฬเป็นทรงกลมรี ปลายแหลม สีเขียว สดใสมีลายสวยงาม ใบหนา ผิวเรียบ และ แข็งแรง สามารถปลูกได้ทั้งในร่มและกลาง แจ้ง แต่แนะนำว่าปลูกไว้ในห้องนั่งเล่นและ ห้องนอน นอกจากจะได้ความสวยงาม สร้าง บรรยากาศธรรมชาติให้กับห้องและอาคาร จุดเด่นคือต้นครีบปลาวาฬสามารถฟอก อากาศ ดูดสารพิษ คลายอากาศที่บริสุทธิ์ ทำให้ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย และดีต่อ สุขภาพ วิธีการปลูกต้นครีบปลาวาฬ เริ่มต้นจากการเลือกกระถางให้สวยงามได้ตามใจชอบ ใช้ดิน ทราย แกลบดำหรือขุยมะพร้าว โดยคลุกเคล้าให้เข้ากันในอัตราส่วน 1:0.5:2 เลือกเหง้าจากต้นแม่ที่มีใบติดมาด้วยประมาณ 1-2 ใบ ทำการตัดส่วนปลายใบเป็นรูปปากฉลาม ให้เหลือความยาวของใบประมาณ 20 ซม. แล้วจึงนำไปปลูกลงดินในกระถางที่เตรียมไว้ การดูแลต้นครีบปลาวาฬ ตั้งไว้ในที่โดดแสงแดด หรือแสงแดดส่องถึง ต้นครีบปลาวาฬเป็นต้นไม้ทนแล้ง ไม่ชอบน้ำมาก รดน้ำแค่พอชุ่ม วันละ 1 ครั้ง ไม่รดน้ำจนท่วมขัง หรือแฉะเด็ดขาด เมื่อมีการแตกใบใหม่แล้วจะรดดน้ำวันเว้นวันก็ได้ ทั้งนี้ต้องพิจารณาจากความชุ่มชื้นของดินด้วย ใส่ปุ๋ยคอกเพื่อบำรุงให้ต้นสวยงาม แข็งแรง เดือนละ 1-2 ครั้ง การขยายพันธุ์ที่ง่ายที่สุด การขยายพันธุ์ต้นครีบปลาวาฬที่ง่ายที่สุดคือการแยกกอ เมื่อสังเกตเห็นใบอ่อนขึ้นมาแสดงว่ามีเหง้าที่ อยู่ใต้ดินนั้นแตกออกมาแล้ว สามารถตัดและแยกเหง้าที่มีใบอ่อนและนำมาปลูกได้ทันที

เบญจมาศเงิน ชื่อวิทยาศาสตร์ : Crossostephium วงศ์ : Asteraceae ราคา : 150-450 บาท

มีลักษณะเด่นคือใบสีเขียวอมเทาถึงสีเทาเงิน ดอกออกเป็น วิธีปลูกต้นเบญจมาศเงิน ช่อสีเหลือง นิยมปลูกเป็นไม้กระถาง มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน สามารถปลูกในกระถางหรือปลูงลง เช่น เกาะไต้หวัน, กวางตุ้ง, บางส่วนของประเทศญี่ปุ่น, อินโด ดิน เพื่อเป็นไม้พุ่มตามทางเดิน จีน, และฟิลิปปินส์ ได้รับการนำเข้าไปปลูกในประเทศไทย ส่วนดิน แนะนำให้ด้วยด้วยดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ระหว่างเรื่องเชื้อรา เป็นไม้พุ่มคลุมดินหลายปี ลำต้นตั้งตรงหรือเอนทอดเลื้อยได้ ที่อาจเกิดขึ้นได้ง่าย สูง 10−40 เซนติเมตร แตกกิ่งแขนงมาก ใบเป็นใบเดี่ยว ออก เรียงสลับเป็นรูปช้อน รูปไข่กลับ หรือรูปใบหอกกลับถึงรูปรี วิธีขยายพันธุ์ต้นเบญจมาศเงิน ยาว 2−4 กว้าง 0.4−0.5 เซนติเมตร เนื้อใบอวบหนา ใบมีสี นิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำกิ่ง เขียวอมเทาถึงสีเทาเงิน เหมือนหิมะเกาะ แตกใบมากในส่วน ตอนกิ่ง หรือจะเพาะปลูกจาก ยอดกิ่ง ใบเล็กเรียงกันเป็นพุ่มรวมกันที่ปลายกิ่ง มีขนสั้นนุ่มสี เมล็ดก็ได้เช่นกัน ขาวปกคลุมหนาแน่นทั่วใบ เมื่อขยี้ใบมีกลิ่นหอม ใบแก่มักเว้า เป็น 3 แฉก ใบมีลักษณะไม่ค่อยแน่นอน ดอกออกเป็นช่อ ช่อ ดอกเป็นช่อกระจุก ดอกย่อยกลมสีเหลือง ออกที่ปลายยอด หรือตามง่ามใบปลายกิ่ง ค่อนข้างเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 7 มิลลิเมตร มักออกดอกในช่วงที่มีอากาศเย็น โดย เฉพาะในช่วงฤดูหนาว ผล เปลือกบางแห้ง มี 5 สัน วิธีการดูแล รดน้ำวันเว้นวัน หรือ 2-3 วันครั้ง ขึ้นอยู่กับจุดที่วาง และ แสงแดด ชอบดินชุ่มชื้นแต่ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขังแฉะ ชอบอากาศถ่ายเทดี ชอบแสงรำไร เลี้ยงในอาคารในบ้านได้

มอนสเตอร่า ชื่อวิทยาศาสตร์ : Monstera deliciosa Liebm. วงศ์: Araceae ราคา : 70 บาท

มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกากลางพบมากในป่าดิบชื้น มี ลักษณะลำต้นเป็นข้อสั้น จัดอยู่ในกลุ่มไม้เลื้อย สามารถ เลื้อยได้ไกล 4 เมตร มีจุดเด่นที่ใบเดี่ยวขนาดใหญ่ โคน ใบเว้าลึกเป็นรูปหัวใจ ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบหยัก ลึกเกือบถึงเส้นกลางใบ 5 แฉก ใบหนาผิวมัน มีทั้งสี เขียวเข้มและใบด่าง ออกดอกตามซอกใบ มีผลสีเขียว จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อผลสุกและส่งกลิ่นแรง มอนสเตอร่า กลายเป็นต้นไม้อีกหนึ่งชนิดที่คนไทยเริ่ม หันมาปลูกกันเยอะในช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมา รวมถึงได้ รับกระแสความนิยมในหมู่คนวงการบันเทิง พร้อมกับ ความสวยแปลกตาที่เป็นเอกลักษณ์ของมอนสเตอร่า ที่ สามารถปลูกประดับบ้านได้ แถมยังช่วยดูดซับสารพิษ อันตรายในอากาศทั้งฟอร์มาลดีไฮด์ เลยส่งผลให้มอนส- เตอร่า กลายเป็นต้นไม้ยอดนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง ปัจจุบัน วิธีปลูกมอนสเตอร่า มอนสเตอร่า นิยมขยายพันธุ์ 2 วิธี คือ การเพาะเมล็ด โดยแช่เมล็ดในน้ำประมาณ 2 วัน แล้วค่อยนำไปฝัง กลบในดิน หากต้องการปักชำ ควรลิดใบออกให้หมด กรีดปลายก้านขึ้นมาประมาณ 1 นิ้ว จากนั้นปักลงไปใน ดินพร้อมไม้ค้ำด้านข้างช่วยพยุงก้าน ดินที่นำมาใช้ควรเป็นดินร่วนผสมวัสดุปลูก เช่น หินเพอร์ไลต์ ขุย มะพร้าว หรือกาบมะพร้าวสับ เพื่อทำให้ดินโปร่ง ถ่ายเทอากาศได้สะดวก และระบายน้ำได้ดี ไม่ทำให้ดินชื้น เกินไปจนทำให้รากเน่า วิธีดูแลมอนสเตอร่า มอนสเตอร่า เป็นต้นไม้ที่ชอบแสงแดดปานกลาง หากจะปลูกในบ้านควรวางไว้ในที่มีแดดรำไร เลี่ยงพื้นที่ที่ โดนแสงแดดแรงโดยตรง แล้วรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง โดยเพิ่มความถี่ในการรดน้ำช่วงหน้าร้อนหรือเมื่อดินแห้ง และลดปริมาณการให้น้ำลงมาในช่วงฤดูฝน หรือเมื่อเห็นว่าดินยังชุ่มหรือเวลาที่มีความชื้นสูง เพราะหากรดน้ำ น้อยหรือมากเกินไปจะทำให้เกิดโรคใบไหม้และใบเหลืองได้ นอกจากนี้สามารถย้ายกระถางได้ แต่ไม่ควรย้าย บ่อย เพราะจะทำให้ต้นโตช้า รวมถึงหมั่นใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดใบให้สะอาดประมาณเดือนละครั้ง โดยเช็ด ตามแนวเส้นใบ ก็จะทำให้ต้นสวยงาม

เสริมบารมี ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aglaonema sp. ‘Soembarame’ ชื่อสามัญ : Chinese Evergreen วงศ์ : ARACEAE ราคา : 150 บาท

ต้นเสริมบารมี มีลำต้นสีเขียวอ่อนๆ ก้านใบมีสีขาวลักษณะปลายใบแหลมสวยงาม และยังจัดว่า เป็นอีกหนึ่งไม้ประดับมงคลที่นิยมของคนไทยเรามาช้านาน ซึ่งคนในสมัยก่อนมักมีความเชื่อว่า ถ้า บ้านหลังใดปลูกต้นไม้ชนิดนี้เอาไว้ จะช่วยเสริมบารมี เป็นมหาเสน่ห์ และเมตตามหานิยมยิ่งนัก ทำให้คนรักใคร่ มีโชคลาภ และมีคนยำเกรง มีอำนาจบารมี จึงมักเรียกติดปากว่า “ต้นเสริมบารมี” จะปลูกไว้ในกระถางตั้งไว้ในที่ร่มหรือจะปลูกลงดินก็ได้ทั้งนั้น แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมปลูกไว้ใน กระถางตั้งไว้ในที่ร่มมีแสงแดดรำไร หรือถ้าไม่สะดวกจะปลูกลงดินกลางส่วนหย่อมในที่โล่งแจ้งก็ได้ ทั้งนั้น ส่วนดินสำหรับปลูกควรเป็นดินร่วน แนะนำให้ผสมปุ๋ยคอกเก่าและขี้เถ้าแกลบลงไปด้วย จะ ทำให้มีใบเขียวสดอยู่ตลอดเวลา การให้น้ำพอให้เปียกชื้นก็พอ คือไม่ต้องแฉะมาก ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น ไม้พุ่มขนาดเล็ก อายุหลายปี ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปขอบขนานแกมรูปใบ หอก ปลายเรียวแหลมหรือมีติ่ง โคนมน ขอบใบ เรียบ ใบหนาเป็นมันคล้ายแผ่นหนัง ค่อนข้าง เรียบ เกลี้ยง ก้านใบกลมเป็นร่องสีขาว ลิ้นใบแผ่ กว้างไปตามความยาวของกาบใบ กาบใบเป็น ร่องห่อหุ้มลำต้น แผ่นใบสีเขียวเข้มตลอดทั้งใบ เส้นใบสีขาว เส้นกลางใบนูนเด่นชัดบริเวณโคน และค่อยๆเล็กลงจนสุดปลายใบ ดอก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออก บริเวณซอกใบ ดอกสีขาว ข้อมูลทั่วไป มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนทั่วๆไป หรือบริเวณเส้นศูนย์สูตรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ อินเดียลงไปจนถึงมาเลเซีย หมู่เกาะในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และ จีนตอนใต้ การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำลำต้น แยกหน่อ วิธีการดูแล ปลูกในแดดรำไร ไม่จัด หรือในร่ม ที่มีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องถึง เป็นไม้มงคล มีพุทธคุณ ควรปลูกบริเวณ หน้าบ้าน หรือหน้าร้านค้า รดน้ำ 2-3 วันครั้ง อย่าให้แฉะมาก

ยางอินเดีย ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus elastica วงศ์ : Moraceae ราคา : 150 บาท

ถิ่นกำเนิดต้นยางอินเดีย ยางอินเดีย (Rubber Plant หรือ Indian Rubber Tree) มีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า Ficus Elastica มีต้นกำเนิดในเอเชีย พบได้ใน หลายประเทศทั้งอินเดีย เนปาล จีน พม่า มาเลเซีย และอื่น ๆ รวมถึงในไทย บางพื้นที่เรียกกันว่าต้นยางลบ เพราะเมื่อน้ำยาง จากต้นแข็งตัวและจับตัวเป็นก้อน สามารถนำมาใช้แทนยางลบได้ ลักษณะต้นยางอินเดีย ยางอินเดีย เป็นไม้ยืนต้น มีทั้งแบบไม้พุ่มและไม้เลื้อย จัดอยู่ในวงศ์ Moraceae ลักษณะเด่นของยาง อินเดียคือ ใบเดี่ยวทรงรีหรือไข่ ปลายเรียวแหลม ขอบเรียบ ผิวใบมันวาว ใบหนา เมื่อแตกยอดอ่อนจะ มีสีแดงระเรื่อก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว หรือสีอื่น ๆ ตามสายพันธุ์ เมื่อลำต้นโตเต็มที่จะสามารถสูงได้ มากถึง 30 เมตร และมีรากอากาศห้อยย้อยออกมา ออกดอกสีขาว กลีบดอกใหญ่ เรียงสลับกัน 2 ชั้น และมีผลสดกลมรี เปลือกสีเขียว คล้ายหมาก เนื่องจากอยู่ในวงศ์เดียวกับต้นไทรใบสัก ทำให้บางคนสับสนระหว่างต้นไม้ 2 ชนิดนี้ ซึ่งสามารถสังเกต ความแตกต่างได้จากใบ เพราะใบของไทรใบสักจะมีขนาดใหญ่กว่า ผิวใบด้านสีเขียวอ่อน ขอบหยักเล็ก น้อย และมีเส้นใบชัดเจน วิธีปลูกยางอินเดีย วิธีดูแลยางอินเดีย นิยมขยายพันธุ์ต้นยางอินเดียด้วยการปักชำและตอนกิ่ง เพราะ ถ้าเป็นต้นยางอินเดียที่มีขนาดใหญ่ ทำง่าย ได้กิ่งพันธุ์เร็ว เมื่อได้ต้นที่แตกรากเรียบร้อย จึงค่อยนำ สามารถตัดแต่งกิ่งก้านให้เป็นทรง ไปปลูกลงแปลงหรือกระถาง ปลูกได้ดีในดินทุกประเภท โดย พุ่มแน่นได้ หรือถ้าเป็นต้นเล็ก ๆ เฉพาะดินร่วนผสมทรายและวัสดุปลูก เช่น พีทมอส เปลือกสน ปลูกในกระถาง ควรหมั่นเช็ด มูลสัตว์ หรือขุยมะพร้าว เพื่อช่วยให้ดินระบายน้ำและอากาศได้ ทำความสะอาดใบด้วยผ้าหรือ ดี ชอบน้ำ แต่ก็ทนแล้งได้ จึงควรรดน้ำเป็นประจำทุก ๆ 2-3 ฟองน้ำนุ่ม ๆ ชุบน้ำบิดหมาด ให้ วันต่อครั้ง หรือรดเมื่อหน้าดินแห้ง นอกจากนี้ยังทนแดดได้ดี เป็นมันลื่น สวยงาม และกระตุ้นให้ แต่ก็ไม่ควรวางในบริเวณที่โดนแดดตรง ๆ ต้นเจริญเติบโตได้ดี นอกจากนั้น ควรบำรุงด้วยปุ๋ยน้ำเดือนละครั้ง และเปลี่ยนดินทุก ๆ ปี สิ่งที่ต้องระวังก็คือ โรครากเน่า หากรดน้ำเยอะเกินไปจนดินแฉะ และโรคใบเหลืองหรือใบร่วง เพราะ ต้นไม้ขาดน้ำ

ย า ง อิ น เ ดี ย ด่ า ง Ficus elastica variegata ชื่อวิทยาศาสตร์: Ficus elastica Roxb. ex Hornem. ‘variegata’ ชื่อสามัญ: Variegated Indian Rubber วงศ์: MORACEAE ราคา: 200 บาท ยางอิ นเ ดี ยด่ าง เป็นไม้พันธุ์ด่าง ที่สามารถแตกกิ่งแผ่ใบ กว้าง ถ้าหากปลูกลงในดินจะสูงได้ถึง 25 เมตร แต่ถ้าหากปลูกลงในกระถางก็จะมี ขนาดเล็กลงมา เป็นต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบ ลำต้น จะมีสีเข้ม ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว ใบเดี่ยว รูปรี หรือรูปไข่ ขอบใบเรียบ ใบหนาแข็ง เกลี้ยงเป็นมัน โดยในปัจจุบันยางอินเดียด่าง ได้กลายพันธุ์เป็นใบด่างที่มีสีสันสวยงาม เช่น ด่างสีขาว เหลือง หรือสีเข้มเกือบดำ เป็นต้น

ย า ง อิ น เ ดี ย ด่ า ง วิธีการปลูกยางอินเดียด่าง วิธีการขยายพันธุ์ของยางอินเดียด่าง นั้นจะทำด้วยการปักชำและตอนกิ่ง เนื่องจากทำง่ายและได้กิ่งพันธุ์เร็ว เมื่อ เราได้ต้นที่แตกรากแล้วจากนั้นให้นำไป ปลูกลงในดินหรือกระถางได้เลยซึ่งยาง อินเดียด่างสามารถปลูกได้ในดินทุก ประเภทโดยเฉพาะดินร่วนผสมทรายและ การรดน้ำยางอินเดียด่างนั้นเราควรรด เป็นประจำ2-3 วันครั้ง หรือรดน้ำเมื่อ หน้าเริ่มดินแห้ง วิธีการดูแลยางอินเดียด่าง สามารถตัดแต่งกิ่งก้านให้เป็นทรงพุ่มแน่นได้หรือถ้าใครที่ ปลูกลงกระถางก็ควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดใบด้วยฟองน้ำหรือ ผ้าที่ชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆ จะช่วยทำให้ใบของทมันดูสวยงาม และช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตได้ดีอีกด้วยนอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ เราควรระวังก็คือไม่ควรลดน้ำเยอะจนเกินไปเพราะจะทำให้ดิน แฉะ และจะทำยางอินเดียกลายเป็นโรครากเน่า

ว่ า น ง า ช้ า ง Sansevieria cylindrica ชื่อวิทยาศาสตร์: Cylindrical snake plant, Spear Sansevieria, Common Spear Plant ชื่อสามัญ: Common Spear Plant, Spear Sansevieria ชื่อวงศ์: Dracaenaceae ราคา: 80-100 บาท ว่ านงาช้ าง จัดเป็นว่านมหานิยมที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับต้นและดอกทั้งในกระถาง ตั้งหน้าบ้านหน้าร้านค้า รวมถึงแปลงจัดสวนเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล และช่วยให้ทำมาค้าขายร่ำรวย ทั้งนี้ ด้วยลักษณะเด่นทีมีใบหรือลำต้นเทียมตั้งตรง ปลายลำแหลมทำให้มีรูปร่างคล้ายงาช้างจึงทำให้เป็นที่มาของชื่อที่เรียกกันว่า ว่านงาช้าง

วิธีการปลูกว่านงาช้าง นั้นแสนง่าย เพียงแค่แยกเหง้าออกมาปลูก เป็นต้นใหม่ โดยผสมวัสดุปลูกซึ่งเป็นดินร่วนเข้า กับปุ๋ยคอกหรือขี้เถ้าแกลบ จากนั้นเอาลงดินได้ เลย รดน้ำประมาณสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และนำ ไปวางตั้งไว้ในที่ที่แสงแดดสามารถส่องถึงได้ วิธีดูเเลว่านงาช้าง วิธีดูแลที่ไม่ยุ่งยากเพราะเป็นพืชที่ทนต่อความ เเห้งเเล้งได้ดี เป็นพืชที่สามารถปลูกได้ทั้งในเเปลงดินเเละ ในกระถาง ควรปลูกในดินที่ร่วนซุยเเละมีความชื้น ช่วงที่ นำกอหรือเหง้ามาลงดินควรผสมปุ๋ยอินทรีย์ลงในดินเเละ รดน้ำดินให้พอมีความชื้นเเล้วค่อยปลูก การดูเเลทำได้ โดยการวางว่านงาช้างให้โดนเเสงเเดดเเบบรำไร เป็นพืชที่ ชอบน้ำปานกลางสามารถรดน้ำอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง

บี โ ก เ นี ย Begonias บีโ ก เ นี ย มีถิ่นกำเนิดในต่างประเทศในโซนเมริกา และเอเชีย จึงสามารถปลูกได้ทั้งอากาศ ร้อนและอากาศเย็นต้นบีโกเนียถือเป็นต้น ไม้ประดับประเภทหนึ่งสามารถปลูกได้ทั้ง ในพื้นที่ร่ม และกลางแจ้งแดดจัด ความสูง ของต้นบีโกเนียตั้งรากจนถึงปลายใบสุงสุด เฉลี่ย 10-45 เซนติเมตร ต้นบีโกเนีย เป็นต้นไม้อวบน้ำ กิ่งของต้นบีโกเนีย จะ เปราะหักง่าย และมีขน การวางต้นบีโก เนียในที่เหมาะสมหลีกเลี่ยงในจุดที่ลมกัน โชกแรงเพราะกิ่งบีโกเนียจะหักได้ ชื่อวิทยาศาสตร์: Begonia sp วงศ์: BEGONIACEAE ราคา: 50 บาท

วิธีการปลูกและขยายพันธุบีโกเนีย นิยมใช้การปักชำเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากได้ผลดีและได้ต้นที่แข็งแรง สวยงามดินที่เหมาะสำหรับการปลูกต้องเป็นดินร่วนโปร่ง ระบายน้ำ และอากาศได้ดี และยังชอบที่ร่มแสงแดดรำไร ไม่จำเป็นที่ต้องรดน้ำ ทุกวัน โดยเราอาจจะรดสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพ อากาศและวัสดุที่ใช้ในการปลูกด้วย) วิธีการดูแลบีโกเนีย เป็นไม้ที่ไม่ชอบน้ำแฉะ รดน้ำปริมาณปานกลาง ถ้าหากเลี้ยงในร่มมีการรดน้ำ มากกเกินไปจะทำต้นบีโกเนียเน่าตาย และควรใส่ปุ๋ยบำรุงในทุกๆ 2-4 สัปดาห์ เพื่อ กระตุ้นการออกดอกของต้นบีโกเนีย เมื่อมีดอกแล้วควรเก็บดอกที่เหี่ยวและแห้งออก จากต้นเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราที่ใบและก้านใบ ตัดแต่งใบที่ได้รับการเสียหาย และ การย้ายต้นบีโกเนียจากกระถางไปอีกกระถาง สามารถทำได้โดยทำตอนดินของบีโก เนียแห้งเพื่อที่จะป้องกันการเสียหายของรากเพราะถ้าย้ายตอนดินเปียกจะทำให้ดินมี น้ำหนักเพิ่มขึ้นจะทำให้รากที่ติดอยู่กับติดขาดจากกัน จึงทำให้ต้นบีโกเนียเสี่ยงตายได้

ผีเสื้อราตรี ชื่อวิทยาศาสตร์: Oxalis triangularis A. St.-Hil ชื่อสามัญ: Shamrock /Sorrel วงศ์: OXALIDACEAE ราคา: 80-200 บาท ผี เ สื้ อราตรี เป็นพันธุ์ไม้ต่างประเทศ มีถิ่นกำเนิดในประเทศบราซิล เป็นไม้ล้มลุก เป็น ไม้ประดับพุ่มเตี้ยกว่า 0.5 เมตร ต้นผีเสื้อราตรีมีความโดดเด่นด้วยมีฟอร์มใบที่ เป็นใบประกอบรูป 3 ใบติดกัน สีของใบเป็นสีเขียวหรือสีม่วง ดอกออกตาม ซอกใบ สีชมพูอ่อนเกือบขาว ก้านดอกยาว เติบโตได้ดีในที่ร่ม หรือแดดเพียง รำไร ชอบน้ำปานกลาง นิยมปลูกเป็นไม้กระถางเพราะสีสันของดอกและใบโดด เด่นสวยงามและมักจะหุบใบในเวลากลางคืนใบ ต้นผีเสื้อราตรีได้รับความนิยม ในยุโรปเพราะนอกจากจะให้ความสวยงามแล้ว ยังสามารถรับประทานได้ ใบรับ ประทานเป็นผักทั้งปรุงสุกและทานสด เป็นผักที่ให้รสเปรี้ยวสามารถช่วยแก้ เลี่ยนได้ดี ส่วนในประเทศไทยผีเสื้อราตรีเป็นพันธุ์พืชที่นิยมนำมาปลูกประดับ บ้าน หรือสถานที่ต่าง ๆ เพิ่มความสวยงามและเสน่ห์เป็นอย่างมาก เนื่องจาก ต้นผีเสื้อราตรีให้สีสันสดใส สวยงาม หากวางไว้ในจุดที่ลมพัด ใบก็จะปลิว เหมือนผีเสื้อกำลังบินอีกด้วย

วิธีการปลูกผีเสื้อราตรี การปลูกหรือการขยายพันธุ์ของต้นผีเสื้อราตรี สามารถที่จะทำได้ด้วยการแยก หน่อซึ่งต้นผีเสื้อราตรีนั้นมีหัว หรือหน่ออยู่แล้ว เราสามารถที่จะแยกหน่อของต้น ผีเสื้อราตรีเพื่อการขยายพันธุ์ได้เลย โดยการบิออกมาเป็นปล้องๆ แล้วก็เอาใส่ กระถางที่ต้องการ และวางไว้ในบริเวณที่มีแดดส่องถึงแต่ไม่ถึงกับจัดมาก จากนั้นก็ รดน้ำเมื่อรู้สึกว่าดินแห้งหรือให้ดินนั้นชุ่มตลอด หลังจากนั้น 4 – 5 วัน ก็จะมีใบ อ่อนออกมา นอกจากนี้การขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำกิ่งก็สามารถทำได้เช่นกัน นิยมปลูกในกระถาง สามารถปลูกด้วยดินทั่วไป ชอบแดดรำไร ระวังการปลูกใน หน้าฝน อย่าให้ฝนตกโดนต้นโดยตรง เพราะอาจทำให้ลำต้นที่อ่อน หักได้ง่าย ชอบ น้ำระดับปานกลาง แต่ก็รดได้เรื่อยๆ อย่าให้ดินแห้งจนเกินไป วิธีการดูแลผีเสื้อราตรี ผีเสื้อราตรีจะชอบแดดร่ำไรตามปกติก็จะปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ หรือปลูกในบ้าน ใกล้ๆหน้าต่าง แต่ถ้าปลูกในบ้านก็ต้องโดนแดดไม่งั้นใบจะสีไม่สวย จะชอบน้ำปาน กลางถ้าเป็นหน้าฝนจะออกดอกสวยๆ ควรปลูกในดินร่วน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่ไม่ ชอบน้ำขัง เพราะอาจจะเน่าได้ดังนั้นไม่ควรใช้ดินเหนียวปลูก

ออมชมพู pink syngonium ชื่อวิทยาศาสตร์: Syngonium podophyllum วงศ์: ARACEAE ราคา: 50 บาท อ อ ม ช ม พู จริงๆแล้วคือ ต้น เงินไหลมา แต่เป็นสาย พันธุ์ที่มีใบสีชมพูสีสวยสะดุดตา จัดอยู่ในวงบอน ถือเป็นต้นไม้ฟอร์มสวยจนใครๆก้อยากปลูกเพื่อ นำมาประดับบ้านและอาคาร ลักษณะของต้น ออมชมพูนั้นมีใบแฉก โคนเว้าลึกปลายแหลม ขอบใบยัก กาบใบและใบจะมีสีชมพูทั้งใบ จุด เด่นอีกหนึ่งอย่างของต้นออมชมพูคือมีดอกออก ตรงยอดของต้นหน้าตาคล้ายดอกหน้าวัว

วิธีการปลูกออมชมพู การปลูกในแปลงปลูกเพื่อใช้ประดับตกแต่ง บริเวณบ้านและสวน ควรทำร้านหรือซุ้ม เพื่อให้ ลำต้นเลื้อยขึ้นไป โดยเตรียมหลุมปลูกขนาด 20 x 20 x 20 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก ถ้าต้องการปลูกไว้เตี้ยๆ เป็นกอไม่ให้เลื้อยควรมี การตัดแต่งเถาหรือยอดให้สั้นอยู่เสมอและนิยม ปลูกเป็นกลุ่มเพื่อให้ดูสวยงามเป็นกอ วิธีการดูแลต้นออมชมพู ด้วยความเป็นพืชใบ จึงต้องการแสงสว่าง และน้ำที่เพียงพอเพื่อที่จะทำให้ต้นเติบโตอย่าง สวยงาม ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง หากปลูกในห้องควรอยู่ใกล้บริเวณที่มีแสงเข้ามา ในบ้านเช่นริมหน้าต่างริมระเบียง ต้องการ ปริมาณน้ำมาก ควรให้น้ำสัปดาห์ละ 2 หน ดิน ร่วนซุย ความชื้นสูง เพื่อให้พืชเติบโตได้ดี หาก ดินร่วนมากๆ จะทำให้ไม่ต้องให้น้ำถี่ ควรใส่ปุ๋ย คอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 300-500 กรัม/ต้น ใส่เดือนละ 1-2 ครั้ง

ชื่อสามัญ Dumbcane, Diffenbachia ชื่อวิทยาศาสตร์ Dieffenbachia sp. ชื่อวงศ์ ARACEAE ราคา 100 บาท แสงจันทรา เป็นพืชไม้ใบในตระกูลอโกลนีมา มีถิ่นกําเนิดในเขตร้อนของอเมริกาใต้ และแถบหมู่เกาะอินดิสตะวันตก จากนั้นก็แพร่พันธุ์มาที่ศรีลังกา และฟิลิปปินส์ในตอนหลังจนสุดท้ายก็กระจาย ไปทั่วเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงในประเทศไทยด้วย เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ขนาดไม่ใหญ่มากเหมาะสําหรับปลูกเป็นไม้ ประดับตกแต่งอาคาร หรือปลูกบนพื้นที่เล็กๆ เพ่ื่อเพิ่มความเป็นธรรมชาติปัจจุบันนิยม นําไปวางบนโต๊ะทํางาน ห้องน้ำห้องต่างๆและที่สําคัญต้นแสงจันทรา ยังเป็นไม้มงคลอีกด้วย ความเชื่อเกี่ยวกับต้นแสงจันทรา ตั้งแต่โบราณ เชื่อกันว่าหากปลูกต้นแสงจันทราไว้ในบ้านจะเป็นมงคลกับชีวิต เป็นต้นไม้เรียกทรัพย์สามารถเรียก เงิน ทอง โชค ลาภ วาสนา มาให้กับผู้ปลูกและยังเสริมดวง ให้ธุรกิจมั่นคง ราบรื่น รุ่งเรืองอีกด้วย

ลําต้นไม้ล้มลุก อายุหลายปีสูง 0.8-1.2 เมตร ลําต้นทรงกระบอก อวบน้ำใบ ใบเดี่ยวเรียงเวียน รูปไข่ถึงรูปไข่กว้าง ปลายติ่งแหลม โคนมน หรือตัดขอบเป็นคลื่นเล็กน้อยใบหนาคล้ายแผ่นหนัง เป็นร่องเกลี้ยงเป็นมันแผ่นใบสีเขียวอ่อนถึงสีเขียวเข้ม ใบอ่อน สีเหลืองขอบใบสีเขียวเข้มตลอดแนว ความยาวก้านคล้ายรูปทรง กระบอก เป็นร่องสีเขียวโคนหุ้มลําต้นเส้นกลางใบและเส้นใบสีขาว ด้านใต้ใบตามเส้นใบเป็นสันเส้นกลางใบนูนเด่นตามเส้นใบเป็นสัน เส้นกลางใบนูนเด่น ชัดบริเวณโคนและค่อยๆ เล็กลงจนสุดปลาย ใบดอกออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกบริเวณซอกใบ ดอกมีสีขาว และมีกลิ่นแรง วิธีการดูแล การรดน้ำ ต้นแสงจันทราถือเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่สามารถเติบโตได้ง่าย ควรรดนําต้นแสงจันทราทุกๆ 5-7 วัน ยกเว้นในกรณีที่อากาศมีความร้อน และแห้งแล้งมากเกินไปควรจะรดนําต้นแสงจันทราทุก 2-3 วัน ไม่ควรรดน้ำ ในปริมาณที่มากเกินไปอาจเฉาได้เนื่องจากต้นแสงจันทราไม่ชอบน้ำ การเลือกดิน ต้นแสงจันทรานั้นเป็นต้นไม้ที่ชอบอาศัยอยู่ในดินร่วนซุย และมีความชื้นเล็กน้อย ดังนั้นหากต้องการปลูกไว้ในกระถางควรใส่แกลบลงไป ในดินก่อนที่จะนําต้นแสงจันทราลงในกระถางด้วยเล็กน้อย เนื่องจากแกลบ จะเป็นตัวเพิ่มความร่วนซุยให้กับดิน และสามารถช่วยอุ้มนําในดินได้อย่างดี ต้นไม้นั้นต้องการ การสังเคราะห์แสงโดยหากเป็นต้นอ่อนของต้นแสงจันทรา มักจะชอบแสงแดดรําไร ในยามเช้าแล้วค่อยนํากลับเข้ามาในช่วงเวลาก่อนเที่ยงสําหรับต้นที่โตเต็มที่แล้วนั้นสามารถทนอากาศร้อนจึงต้องการ แสงตั้งแต่ระดับอ่อนๆไปจนถึงแดดจัดได้อย่างไม่ต้องกลัวจะเฉาการใส่ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ย อย่างน้อยปีละ 4-5 ครั้ง โดยควรเลือกเป็นปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจึงจะดีต่อการเจริญเติบโต

สนฉัตร ชื่อสามัญ Coral reef araucaria, Cook pine, New Caledonia pine, Cook araucaria ชื่อวงศ์ ARAUCARIACEAE ชื่อวิทยาศาสตร์ Araucaria cookii R.Br.(Salisb.)Franco ราคา 500 บาท เป็นไม้ยืนต้นโบราณในกลุ่มสนมีความหลากหลายสูงสุดใน ยุคจูราสสิกและยุคครีเทเชียสซึ่งแพร่กระจายไปทั่วโลก หลังจากที่หมดยุคครีเทเชียส ต้นสนฉัตรเป็นต้นสนชนิดหนึ่ง ที่มีถิ่นกำเนิดบนเกาะนอร์ฟอล์กซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในมหาสมุทรแปซิฟิก แม้ว่ามัน จะไม่ใช่ต้นสนจริงๆ แต่ต้นสนฉัตรก็มีลักษณะเหมือนต้นสน และมักใช้เป็นต้นคริสต์มาส

ต้นไม้เหล่านี้สามารถเติบโตได้ถึง 61 เมตร ตามธรรมชาติต้นสนฉัตรยังเป็นไม้ประดับที่ยอดเยี่ยม และจะมีความสูง 1.5-2.4 เมตรในร่ม เคล็ดลับในการดูแล ต้นไม้ประเภทนี้คือการให้ความชื้นและแสงแดดทางอ้อม และการรักษาช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม ความเชื่อ หากบ้านใดปลูกต้นฉัตรในบ้านโดยเฉพาะในตำแหน่งหน้า บ้าน มักจะทำให้เกิดความสนใจจากบุคคลที่ผ่านไปผ่านมา ที่ได้มาพบเห็นเพราะด้วยรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ แตกกิ่งแผ่ออกเป็นชั้น รูปทรงคล้ายฉัตร การดูแแลรักษา ในส่วนของวิธีการดูแลนั้น การให้ความชื้นและแสงแดด ทางอ้อมจะช่วยทำให้สนฉัตรเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และสวยงามและการรดน้ำสนฉัตรนั้น เราควรรดสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ ไม้มงคลชนิดได้รับน้ำที่มากเกินไปอาจจะส่งผลทำให้ เกิดอาการใบเหลืองไม่สวยงาม และตายได้

ม่วงเจริญ

ชื่อเวียดนาม : Cây Linh Sam หลินซานแคระ ชื่อวงศ์ Pinaceae Vietnam. ชื่อวิทยาศาสตร์ Antidesma acidum - Linh Sam ราคา 50-800 บาท ม่วงเจริญหรือหลินซาม บอนไซไม้ดอกหอม ดอกดกสีม่วง กลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี เลี้ยงง่าย ไม่มีโรคแมลงรบกวน มีพันธุ์ใบเล็ก ใบกลาง ใบใหญ่ ควรได้รับแสงแดดครึ่งวันเป็นอย่างน้อย(แดดจัด แดดต้องส่งถึงใบ) ควรรดน้ำเช้า-บ่าย รดให้ชุ่มจนมีน้ำไหลออกมาจากกระถาง (ถือว่าใช้ได้เพียงพอต่อความต้องการของไม้) ใช้ปุ๋ยละลายช้าออสโมโคส(มีขายตามร้านทั่วไป) ตัดแต่งกิ่งบ่อยๆ ดอกจะออกทั้งปี ม่วงเจริญจะมีผลัดใบเป็นช่วงๆ ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องหลบร่ม ไม้ประเภทนี้ชอบแดดจัดๆ รดน้ำให้ชุ่มๆ หากไม้มีลักษณะใบไหม้ เป็นอาการของไม้ขาดน้ำ หรือรดน้ำไม่เพียงต่อความต้องการ เพราะไม้จิ๋วกระถางจะมีขนาดเล็กเครื่องปลูกน้อยจึงทำให้เก็บความชื้นได้น้อย แนะนำให้หาจานรองกระถาง

บุหงาแต่งงาน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Friesodielsia sp. ชื่อวงศ์ ANNONACEAE บุหงาแต่งงาน เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย ลำต้นเลื้อยไปได้ไกล 4-6 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้มเนื้อไม้เหนียว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับสองด้าน ในระนาบเดียวกันของกิ่งใบรูปหอกกลับแกมขอบขนาน กว้าง 4-8 ซม. ยาว 8-15 ซม. ขอบใบเรียบหลังใบมีขนสากดอกเป็นดอกเดี่ยวสีเหลือง ออกตามลำต้น กิ่ง หรือซอกใบ กลีบดอกมี 6 กลีบ เรียงเป็นสองชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบชั้นในเรียงอัดเป็นรูปสามเหลี่ยมกลีบชั้นนอกรูปขอบขนาน กว้าง 0.5-1 ซม. ยาว 4-6 ซม. กลีบบิดเล็กน้อย เรียงตัวอยู่เป็นสามด้าน ขณะเป็นดอกอ่อนมีสีเขียว เมื่อดอกบานกลีบดอกชั้นนอกกางออกมีสีเหลือง ส่วนกลีบดอกชั้นในมีสีส้มหรือสีน้ำตาลอมส้ม ส่งกลิ่นหอมตั้งแต่ช่วงบ่าย และหอมมากในช่วงพลบค่ำหากเก็บดอกไว้ในที่อับอากาศจะมีกลิ่นหอมรุนแรงมาก ออกดอกตลอดปี ผลออกเป็นกลุ่ม มี 8-12 ผล รูปทรงกระบอก ผลอ่อนสีเขียว ขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง การเพาะเมล็ด ควรเลือกผลที่แก่เป็นสีแดง ใช้เวลาเพาะเมล็ดหนึ่งเดือนก็เริ่มงอกทในช่วงแรกต้นกล้าเจริญเติบโตช้ามาก ต้องบำรุงรักษาเป็นเวลาสามปีจึงออกดอก ควรใช้วิธีการตอนกิ่ง ซึ่งใช้เวลาตอนประมาณสองเดือน จึงออกรากเหมาะลงแปลงกลางแจ้งจะมีลักษณะเป็นพุ่มได้ดี หากปลูกในที่ร่มรำไรจะแตกกิ่งยืดยาว ชอบดินที่ชุ่มชื้นและระบายน้ำดี





เศรษฐีเงินล้าน ชื่อสามัญ: Chinese Evergreen ชื่อวงศ์ ARACEAE ชื่อวิทยาศาสตร์ Aglaonema sp. ‘Setthingoenlan’ ราคา 150 บาท

เศรษฐีเงินล้านหรือใบละพัน เป็นต้นไม้พุ่มขนาดเล็ก อายุหลายปี สูงประมาณ 32 เซนติเมตร ใบเดี่ยว ค่อนข้างตรง รูปไข่ รูปใบหอกแกมรูปไข่ หรือรูปขอบขนาน ปลายแหลมถึงเรียวแหลม โคนตัดมน หรืออาจมีคล้ายรูปหัวใจ ใบหนาคล้ายแผ่นหนัง เรียบ เกลี้ยง เป็นมัน ยาวประมาณ 26-29 เซนติเมตร กว้างประมาณ 9-13 เซนติเมตร ก้านใบกลมเป็นร่อง สีเขียวเข้มยาว 3-11 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลิ้นใบยาว 1 เซนติเมตร กว้าง 0.3 เซนติเมตร แผ่กว้างไปตามความยาวของกาบใบ กาบใบเป็นร่อง ยาว 12 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ห่อหุ้มลำต้นแผ่นใบสีเขียวปนเทาแต้มด้วยสีเขียว บริเวณขอบใบและเส้นกลางใบใต้ใบสีเขียวเข้มตลอดทั้งใบ และเส้นกลางใบเส้นกลางใบนูนเด่นชัดบริเวณโคน และค่อยๆเล็กลงจนสุดปลายใบ ดอกออกดอกเป็นช่อ แบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกบริเวณซอกใบ มีดอกสีขาว มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนทั่วๆไป หรือบริเวณเส้นศูนย์สูตรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่อินเดียลงไปจนถึงมาเลเซีย หมู่เกาะในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ วิธีการดูแล การปลูกเลี้ยงดินร่วนระบายน้ำดีต้องการน้ำปริมาณมากแสงแดดรำไรการขยายพันธุ์เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำลำต้น แยกหน่อ

ว่านลูกไก่ทอง ชื่อสามัญ Golden Moss, Chain Fern ชื่อวงศ์ Dicksoniaceae ชื่อวิทยาศาสตร์ Cibotium barometz ราคา 100-150 บาท เป็นเฟินตามพื้นดิน ลำต้นเป็นเหง้ามีขนสีทองปกคลุมใบประกอบแบบขนนก ก้านใบใหญ่สีน้ำตาลแกมดำ โคนก้านมีขน ใช้เป็นไม้ประดับ ใบอ่อนใช้เป็นยารักษาแผลสด โบราณเชื่อว่าหากบ้านใด มีสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย หมู หมา เกิดโรคติดต่อ ให้ท่านนำขนว่านลูกไก่ทองนี้ ไปแช่กับน้ำ แล้วให้สัตว์ที่ป่วยนั้น กิน หลังจากนั้นสัตว์จะหายป่วยอย่างน่าอัศจรรย์

ลำต้นมีความสูงได้ประมาณ 2.5-3 เมตร มีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศจีน อินเดีย และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบได้มากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยมักพบขึ้นเองตามหุบเขา เชิงเขา และตามที่ชื้นแฉะ ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 800-1,500 เมตร ใบว่านลูกไก่ทองก้านใบเป็นสีเทามีความแข็งแรง ส่วนที่โคนจะมีขนสีทองยาวขึ้นปกคลุมอยู่ ลักษณะของตัวใบใหญ่รีแหลมเป็นรูปขนนก 3 ชั้น ยาวได้ถึง 2 เมตร ตัวใบส่วนล่างรีแหลม มีขนาดกว้างประมาณ 15-30 เซนติเมตร และยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตร ใบส่วนบนค่อยๆ เล็กลง ปลายสุดเรียวแหลมผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างเป็นสีเทาคล้ายกับมีแป้งเคลือบอยู่ ส่วนอับสปอร์จะเกิดที่ริมใบ มีลักษณะกลมโต แต่ละรอยหยักของตัวใบจะมีอับสปอร์ อยู่ประมาณ 2-12 กลุ่ม เยื่อคลุมอับสปอร์เป็นสีน้ำตาล และใบย่อยมีขนาดกว้างประมาณ 2-4 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 0.4-1 เซนติเมตร วิธีการดูแล ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกหน่อ ชอบดินเปรี้ยว ความชื้นสูง ระบายน้ำได้ดี มีแสงแดดรำไร เนื่องจากว่านลูกไก่ทอง เป็นว่านที่ศักดิ์สิทธิ์ ควรจัดหาสถานที่ให้เหมาะสม โดยพิจารณาดังนี้ สถานที่ อยู่ในที่ร่ม มีลมโกรก ไม่มีน้ำแฉะขัง ดินที่ใช้ เป็นดินร่วนปนทรายผสมใบไม้ด้วย แต่ให้เน้นหนักทรายมากหน่อย เพราะลูกไก่ชอบเล่นดินทราย ชอบใบไม้ กระถาง ต้องเป็นกระถางดิน และรองด้วยเศษอิฐมอฐ ที่ทุบเป็นก้อนหยาบๆรองก้นกระถาง ป้องกันน้ำขัง ตำแหน่งการวาง ควรจัดวางกระถางไม่ให้ใกล้ คนเดินข้ามไปมา(เพราะเป็นว่านศักดิ์สิทธ์)รดน้ำพอประมาณไม่ต้องแฉะมาก ลูกไก่ไม่ชอบ

มาลัยทอง ชื่อสามัญ Wolfei’s vine ชื่อวงศ์ Lamiaceae ชื่อวิทยาศาสตร์ Petreovitex bambusetorum King ราคา 120 บาท

มาลัยทอง หรือมาลัยนงนุช ไม้เลื้อยขนาดกลาง อายุหลายปี ลำต้นเลื้อยได้ไกล 2 – 5 เมตร มีมือเกาะ กิ่งก้านเป็นเหลี่ยมใบ ใบประกอบ 3 ใบย่อยออกตรงข้าม รูปใบหอกแกมรูปรี กว้าง 6-7 เซนติเมตร ยาว 14-16 เซนติเมตร ปลายใบเรียว แหลม โคนใบมน ขอบใบจักซี่ฟัน แผ่นใบสีเขียวเข้ม ผิวใบเกลี้ยง ก้านใบยาว 8 เซนติเมตร โคนก้านอ้วนพองดอก ออกเป็นช่อตาม ปลายยอด ช่อยาว 15-45 เซนติเมตร กลีบประดับสีเหลือง แตกช่อย่อย ดอกย่อยเป็นหลอด กลีบเลี้ยง 5 กลีบรูปขอบขนาน ปลายแหลม กลีบดอกสีเหลือง โคนกลีบสีเหลืองเชื่อมติดกัน เป็นหลอด ปลายแยกออกเป็น 5 กลีบซ้อนทับกัน ด้านบน 3 กลีบ ด้านล่าง 2 กลีบ มีขนปกคลุม เมื่อนำมาปลูกเลี้ยง จะออกดอกเป็นระยะตลอดปี แต่ในธรรมชาติออกเดือนสิงหาคม ถึงกันยายน วิธีการดูแล ต้องการแสงแดดปานกลาง สามารถปลูกได้ในพื้นที่แดดรำไรไป จนถึงแดดครึ่งวัน และต้องการน้ำปานกลาง ในช่วงแรกของ การเพาะต้นกล้าให้รดน้ำจนชุ่มเป็นประจำทุกวัน หลังจากนั้น ค่อยลดปริมาณน้ำลงให้เหลือ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์เติบโตได้ดี ในดินร่วนที่มีแร่ธาตุสูงและระบายน้ำดี เป็นดินร่วนหรือดินร่วน ปนทรายก็ได้ ใช้ปุ๋ยคอกบำรุงดินปีละ 2-4 ครั้งแล้วแต่สภาพดิน แล้วเสริมปุ๋ยบำรุงดอกปีละ 1-2 ครั้ง

เ ฟิ น หิ น อ่ อ น Tiger fern

เฟินหินอ่อน ชื่อสามัญ: Tiger fern ชื่อวิทยาศาสตร์: Nephrolepis exaltata (L.) Schott cv. Bostoniensis Variegata ชื่ออื่น: บอสตันด่าง วงศ์: LOMARIOPSIDACEAE กลายพันธุ์จาก Nephrolepis exaltata ‘Bostoniensis’ โดยพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 2000 ที่โบกอร์ ประเทศอินโดนีเซีย ราคา : 120 บาท ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น เฟินดินหรือเฟินอิงอาศัย ลำต้นเป็นเหง้าสั้นตั้งตรง เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-8 มิลลิเมตร ปกคลุม ด้วยเกล็ด เกล็ด รูปแถบ สีน้ำตาล กว้างประมาณ 0.5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร ปลาย เรียวยาวเป็นหาง โคนเว้าถึงตัด ขอบเรียบ ใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ก้านใบน้ำตาลถึงสีน้ำตาล ยาว 7-15 เซนติเมตร ด้านบนมีร่อง โคนก้านใบปกคลุมด้วยเกล็ด แผ่นใบรูปแถบแกมรูปใบหอก กว้าง 6-12 เซนติเมตร ยาว 30-60 เซนติเมตร ปลายเรียวแหลม ใบย่อยไร้ก้าน มี 25-50 คู่ แผ่นใบย่อยรูปสามเหลี่ยมแคบยาว กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 3-6 เซนติเมตร ปลายแหลมค่อนข้างมน โคนเบี้ยว ขอบหยักฟันเลื่อย และ เป็นคลื่นเล็กน้อย เส้นกลางใบเห็นเด่นชัด สีน้ำตาลเข้มถึงดำ เส้นใบแตกง่ามปลายเปิด เนื้อใบบาง มี ลายด่างสีเหลืองทองเป็นแนวยาวระหว่างเส้นใบย่อย สลับกับสีเขียวอ่อน แต่ละแนวมีความ กว้างไม่ เท่ากัน บางใบย่อยเป็นสีเหลืองทองหรือเขียวทั้งแผ่นใบ ใต้ใบปกคลุมด้วยขนสั้นนุ่ม การปลูกเลี้ยงและการใช้ประโยชน์ ปลูกด้วยเครื่องปลูกโปร่ง การระบายน้ำดี ไม่ขังแฉะ แต่เก็บความชื้นได้นาน เช่น มะพร้าวสับ ให้ปุ๋ยละลายช้าสูตรเสมอ 14-14-14 ทุก 3 เดือน ความชื้นปานกลางถึงชื้นมาก แสงแดดรำไร หรือพรางแสงประมาณร้อยละ 60 การขยายพันธุ์ แบ่งกอ ชำไหล การใช้ประโยชน์ ไม้กระถาง ไม้กระถางแขวน ไม้ประดับแปลง

หน้าวัวฮอลแลนด์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Anthurium Andraeanum วงศ์: Araceae วงศ์บอน วงศ์ย่อย: Pothoideae ราคา : 300 บาท

ลำต้น หน้าวัวเป็นไม้อายุหลายปี อวบน้ำลำต้นตรง โดยจะมีการแตกหน่อเลื้อยมีการเจริญยอด เดียว เมื่อยอดเจริญสูงขึ้นอาจพบรากบริเวณ ลำต้น โดยจะแตกเมื่อมีความชื้นเพียงพอ เนื่องจากเป็นพืชระบบรากอากาศสามารถดูด น้ำและความชื้นจากอากาศได้ดี ช่อดอก ส่วนช่อดอกของหน้าวัวหรือที่เรียกว่า ปลี คือ ส่วนที่เป็นดอกจริง ซึ่งประกอบด้วย ก้านช่อ ซึ่งมีดอกย่อยเล็กเรียงอัดแน่นอยู่บนปลี ดอกย่อยนี้เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ที่มีทั้งเกสร เพศผู้และเกสรเพศเมีย อยู่ในดอกเดียวกัน ดอกที่อยู่บนก้านดอกนี้จะมีสีต่างๆหลายสี การขยายพันธุ์ ดูแล ต้นดอกหน้าวัว ส่วนมากจะใช้วิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ วิธีการนี้จะทำให้ได้จำนวนต้นดอกหน้าวัวที่เยอะ มาก แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยทำวิธีนั้น สามารถใช้วิธีในการแบ่งแยกกอและปักชำในน้ำได้ สามารถทำได้ ง่ายโดยการดึงต้นดอกหน้าวัวออกจากกระถาง แล้วใช้นิ้วเขี่ยดินออกแล้วดึงแยกออกจากกัน ควรจัดวางไว้ ในพื้นที่ที่มีร่มเงา ไม่โดนแสงแดดโดยตรง ถ้าโดนแสงแดดโดยตรง ใบของต้นดอกหน้าวัวจะไหม้ รดน้ำตาม ความเหมาะสมในแต่ละวัน รดน้ำไปที่โคนต้นดอกหน้าวัว ทุกๆ สองเดือน เติมดินปลูกลงไป แต่ถ้าเป็นการ ปักชำด้วยน้ำ

กุ ห ล า บ หิ น Kalanchoe กุหลาบหินเป็นไม้ประดับกระถางที่ ปลูกง่าย ปลูกได้ทั้งภายในและ ภายนอกอาคาร แต่เจริญเติบโตได้ดี เมื่ออยู่กลางแจ้งเพราะเป็นพืชที่ ชอบแดด จุดเด่นของกุหลาบหินอยู่ ที่ดอกมีสีสันจัดจ้านสวยงาม

ชื่อวิทยาศาสตร์ Kalanchoe การปลูก Blossfeldiana เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกในที่แสงแดดจัด ปลูกเป็นไม้ประดับ วงศ์ CRASSULACEAE ได้ทั้งกลางแจ้งและปลูกเป็นไม้กระถางภายในอาคาร ราคา : 150 บาท กุหลาบหินปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด แต่ปลูกได้ดีใน ดินร่วนปนทราย ส่วนผสมดินร่วน 2 ส่วน ทราย หยาบ 1 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน การดูแล กุหลาบหินจะออกดอกในช่วงฤดูหนาว ดอกจะทยอยบานนาน 2-3 เดือน แม้ดอกจะเล็ก แต่สีสันสะดุดตามาก กุหลาบหินถ้าปลูกในร่มใบจะเขียวเข้มและไม่ค่อยออกดอกเพราะ ชอบแดดจัด จึงควรตั้งไว้ในที่แสงอย่างเพียงพอหรือแสงแดดส่องถึง ให้น้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็เพียงพอ ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดในช่วงที่กำลังออกดอก



เคราฤษี หรือ มอสสเปน เคราฤษี หรือ มอสสเปน Spanish moss ชื่ออื่น ๆ มอสสเปน,หนวดตาแป๊ะ ชื่อวิทยาศาสตร์: Tillandsia usneoides) วงศ์ Bromeliaceae สับปะรด ราคา : 40 บาท ลำต้น ลำต้นทอดยาวได้ถึง 30 เมตรและยืดยาวเรียวเล็ก คล้ายเส้นด้าย ทุกส่วนมีขนเส้นเล็กละเอียดสีเทาเงินที่เรียกว่า ไทรโคม (trichome) ช่วยสะท้อนแสงและเก็บรักษาความชื้น ดอก ดอกสีม่วงขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มัก ออกดอกดกในช่วงฤดูหนาว ดอกจะเล็กมาก และมีอายุ เพียง 2-3 วันเท่านั้น วิธีการปลูก ต้นเคราฤาษี ค่อนข้างปลูกง่าย ไม่ต้องใส่ปุ๋ยหรือดูแลรักษามากนัก เพราะรากที่มีของต้น เคราฤาษีนั้นมีไว้เพียงเพื่อยึดเกาะเท่านั้น วิธีการขยายพันธุ์ การขยายพันธุ์สามารถทำได้ง่ายๆ โดย เพียงเด็ดลำต้นที่ห้อยระย้า มาแขวนบนกิ่ง ไม้ หรือคาคบไม้ รดน้ำวันเว้นวัน แขวนไว้ในจุดที่มีลมถ่ายเท แสงแดดรำไร

Mecardonia


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook