หนงั สอื เรียนวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กล่มุ เพ่อื พัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 1
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กลุม่ เพอ่ื พฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 2 หนังสอื เรยี นวิชาเลอื กสาระการประกอบอาชพี รายวชิ า การจัดการกล่มุ เพ่อื พฒั นาอาชพี รหัส อช33029 หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบ ระดับการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สานกั งานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จังหวดั สุโขทยั สานักงานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ
หนงั สือเรยี นวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจดั กลมุ่ เพอ่ื พัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 3 คานา สานักงาน กศน.จังหวัดสุโขทัย ได้จัดทาหนังสือเรียนวิชาเลือกสาระการประกอบอาชีพ รายวิชา การจัดการกลุ่มเพื่อพัฒนาอาชีพ รหัส อช33029 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จานวน 3 หน่วยกิต หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันฐานพุทธศักราช 2551 สาหรับนักศึกษาได้ใช้ ประกอบการเรยี นขึน้ ซึง่ มีรายละเอยี ดเกี่ยวกบั เนอื้ หา และกจิ กรรมการเรียนรู้ สาหรับใหน้ ักศึกษาได้ทา กจิ กรรม หรือแบบฝึกปฏิบัติท่ีกาหนดให้ครบถ้วน จะทาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ตามผลการเรียนรู้ท่ี คาดหวังของหลักสตู ร คณะผ้จู ัดทาหวังเปน็ อยา่ งย่ิงว่าหนังสอื เล่มน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษา ครู และผูส้ นใจ ทัง้ น้ี ขอขอบคุณผมู้ ีส่วนรว่ มจดั ทาหนงั สือเรยี นฉบับน้ีให้สาเร็จดว้ ยดีไวใ้ นโอกาสนี้ดว้ ย (นายสงั วาลย์ ชาญพชิ ติ ) ผอู้ านวยการสานกั งาน กศน.จงั หวัดสโุ ขทยั
หนังสือเรยี นวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจัดกลุม่ เพอื่ พัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 4 สารบญั หนา้ คานา คาแนะนาในการใช้หนงั สอื เรียน......................................................................................................... 1 โครงสรา้ งหนงั สอื เรียนรายวชิ าการจดั การกล่มุ เพอ่ื พฒั นาอาชีพ.........................................................2-7 แบบทดสอบกอ่ นเรียน.........................................................................................................................8-9 บทที่ 1 ลักษณะและประเภทของการรวมกลุ่ม………………………………………………………………………….10-17 เรอ่ื งท่ี 1 ลักษณะของกลุ่มอาชีพ เรอ่ื งที่ 2 ประเภทของกลุ่มอาชีพ เรอ่ื งที่ 3 ภมู ิปญั าทอ้ งถ่ินด้านอาชีพ เรอ่ื งท่ี 4 แหลง่ เรียนรแู้ ละสถานทีฝ่ กึ ทกั ษะ เรื่องท่ี 5 คุณธรรมในการบรหิ ารการจัดการกลมุ่ เพอื่ พฒั นาอาชีพ บทที่ 2 ความสาคญั ของการรวมกลุ่มอาชพี …………………………………………………………..………………..18-27 เรื่องท่ี 1 ความจาเป็นของการรวมกลุ่มอาชีพ เรื่องท่ี 2 ประโยชน์จากการรวมกลุม่ อาชพี บทท่ี 3 การบรหิ ารจดั การกลมุ่ ………………………………………………………………………….…………………….28-43 เรอ่ื งที่ 1 ปัจจยั เกย่ี วเบื้องต้นกับการดาเนนิ ธุริจอาชพี เรอ่ื งที่ 2 การบรหิ ารเงินทนุ ของกลุ่มอาชพี เรอ่ื งท่ี 3 การบริหารการผลติ เรอ่ื งที่ 4 การบรหิ ารการตลาด เร่อื งท่ี 5 การบรหิ ารงานบคุ คล บทที่ 4 ปจั จยั ทีท่ าให้กลุ่มอาชีพประสบความสาเรจ็ และความเสี่ยงในการดาเนนิ งาน……………….…44-50 เรื่องที่ 1 ปัจจยั ภายในทีส่ ่งผลให้กลุ่มประสบความสาเรจ็ เรื่องที่ 2 ปจั จัยภายนอก เร่อื งที่ 3 การจัดการความเสย่ี งของการดาเนนิ งาน แบบทดสอบหลังเรยี น………………………………………………………………………………………………..……….51-52 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน..............................................................................................53 บรรณานกุ รม…………………………………………………..…………………………………………………………………….54 ภาคผนวก………………………………………………………..……………………………………………………………………55
หนังสือเรียนวิชาเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจดั กลุ่มเพ่ือพฒั นาอาชีพ รหสั ทร02002 5 คาแนะนาการใช้หนังสอื เรยี นสาระการประกอบอาชพี รายวชิ า การจดั การกลุ่มเพอ่ื พฒั นาอาชพี รหัส อช33029 หนังสือเรียนสาระการประกอบอาชีพ รายวิชา การจัดการกลุ่มเพ่ือพัฒนาอาชีพ (รหัส อช33029) เปน็ หนงั สอื เรียนทจี่ ดั ทาขน้ึ สาหรับครู นักศกึ ษากศน. และผูส้ นใจ รายละเอียดดังน้ี 1. หนังสอื เรยี นน้มี ี 4 บท บทท่ี 1 ลกั ษณะและประเภทของการรวมกลุ่ม เรอ่ื งที่ 1 ลักษณะของกลมุ่ อาชีพ เรื่องท่ี 2 การแบ่งประเภทของอาชพี เร่อื งที่ 3 ภมู ปิ ัญาทอ้ งถ่ินดา้ นอาชพี เร่ืองที่ 4 แหล่งเรียนรู้และสถานทฝี่ ึกทกั ษะ บทท่ี 2 ความสาคญั ของการรวมกลุ่มอาชีพ เรือ่ งท่ี 1 ความจาเปน็ ของการรวมกล่มุ เรื่องที่ 2 ประโยชน์จากการรวมกลุ่มอาชพี บทที่ 3 การบรหิ ารจดั การกลมุ่ เรื่องที่ 1 ปัจจัยเบ้ืองตน้ เกยี่ วกับการดาเนินธุริจของกลมุ่ อาชพี เรื่องท่ี 2 การบริหารเงนิ ทนุ ของกลุม่ อาชีพ เรื่องท่ี 3 การบริหารการผลติ เรื่องที่ 4 การบริหารการตลาด เรอื่ งที่ 5 การบรหิ ารงานบคุ คล บทท่ี 4 ปัจจัยที่ทาใหก้ ลุ่มอาชพี ประสบความสาเรจ็ และความเส่ียงในการดาเนนิ งาน เร่ืองที่ 1 ปัจจยั ภายในทส่ี ง่ ผลใหก้ ล่มุ ประสบความสาเรจ็ เรื่องที่ 2 ปัจจัยภายนอก เรื่องท่ี 3 การจัดการความเสย่ี งของการดาเนินงาน 2. ระยะเวลาในการศกึ ษา จานวน 120 ชัว่ โมง จานวน 3 หน่วยกิต 3. วิธกี ารศกึ ษา 3.1 ทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพ่อื ทดสอบความรู้ ความเข้าใจในรายวิชา 3.2 ศกึ ษาหนงั สอื เรียนทลี ะบท ทกุ เรื่อง และทากิจกรรมทา้ ยบท ใหค้ รบถว้ นทุก กจิ กรรมหรอื แบบฝกึ 3.3 ทาแบบทดสอบหลังเรียน อีกครั้งและตรวจให้คะแนนตามเฉลยท้ายเล่มและนา คะแนนที่ได้มาเปรยี บเทียบกับคะแนนก่อนเรยี น ว่าเพ่ิมข้ึนหรือไม่หากนอ้ ยกวา่ เดิม
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจดั กลมุ่ เพอ่ื พัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 6 ให้กลับไปศึกษาทบทวนบทเรียนอีกคร้ัง หากได้คะแนนเพิ่มข้ึนจากก่อนเรียน แต่ ยงั ไม่พอใจระดับคะแนนให้กลับไปทบทวนบางบทเรียนท่ีไม่เข้าใจเพิ่มเติมจะช่วยให้ นักศกึ ษามีความรู้ ความเขา้ ใจตามผลการเรียนรู้ท่คี าดหวัง 4. นอกจากศึกษาจากหนงั สือเรียนนี้แลว้ นกั ศึกษาควรหาความรูเ้ พิม่ เตมิ จากแหลง่ การเรียนรู้ อน่ื ๆ เชน่ เว็บไซต์ หอ้ งสมุดประชาชน ผ้รู ู้ในเรื่องนั้นๆ เป็นต้น
หนังสอื เรยี นวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กลุ่มเพอ่ื พฒั นาอาชีพ รหสั ทร02002 7 โครงสรา้ งหนงั สอื เรียนสาระการประกอบอาชีพ รายวิชา การจัดการกลุ่มเพื่อพฒั นาอาชีพ รหสั อช33029 สาระสาคญั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การจัดการกลุ่มเพ่ือพัฒนาอาชีพ เป็นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ ผเู้ รียนได้บูรณาการทักษะต่าง ๆ ไปพร้อมกับการสร้างสถานการณ์ในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ โดยมีครู เปน็ ผู้ให้คาปรึกษา โดยให้ผเู้ รียนได้ศึกษาเรยี นรู้ การจัดการกลุ่มจากกลุ่มอาชพี ต่างๆท่ีมอี ย่ใู นชุมชน และ มีเจตคตทิ ่ีดีต่อการจัดการกลุ่มเพ่ือพัฒนาอาชีพ สามารถบริหารจดั การกลุ่ม อีกท้งั สามารถวิเคราะห์ปัจจัย ที่เก่ียวข้องต่อความสาเร็จของกลุ่มและจัดการความเส่ียงที่จะเกิดจากการดาเนินการกลุ่มได้ ที่สาคัญ สามารถนาความรู้ท่ีได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนากล่มุ อาชีพต่างๆที่มอี ยู่ในชมุ ชนของตนเองได้เป็น อย่างดี ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. รู้จกั เห็นคุณคา่ การจดั การกลุม่ เพื่อพัฒนาอาชีพ 2. มีความรู้ ความเข้าใจ เจตคติที่ดตี ่อการรวมกลุ่มอาชพี 3. มคี วามรู้ ความสามารถบริหารจัดการกลุ่มได้ 4. สามารถวเิ คราะหป์ จั จัยสูค่ วามสาเรจ็ การรวมกลมุ่ อาชพี ได้ 5. สามารถจดั การความเสยี่ งการดาเนินงานกลุ่มได้ ขอบข่ายเนอื้ หา บทที่ 1 ลกั ษณะและประเภทของการรวมกลุ่ม เรอ่ื งท่ี 1 ลกั ษณะของกลุ่มอาชพี เรือ่ งที่ 2 ประเภทของกลุ่มอาชพี เรื่องท่ี 3 ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ ดา้ นอาชีพ เรื่องที่ 3 ภูมปิ ญั าท้องถิน่ ด้านอาชพี เร่ืองท่ี 4 แหล่งเรยี นรูแ้ ละสถานท่ฝี กึ ทกั ษะ เรอื่ งท่ี 5 คุณธรรมในการบรหิ ารการจดั การกลุม่ เพ่ือพัฒนาอาชีพ บทที่ 2 ความสาคัญของการรวมกลุม่ เรื่องที่ 1 ความจาเปน็ ของการรวมกลมุ่ เรื่องที่ 2 ประโยชนจ์ ากการรวมกลุม่ อาชีพ
หนงั สอื เรียนวิชาเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจัดกลมุ่ เพือ่ พัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 8 บทท่ี 3 การบรหิ ารจัดการกลมุ่ เรื่องที่ 1 ปัจจยั เกย่ี วกบั การธรุ ิจ เรอ่ื งท่ี 2 การบริหารเงนิ ทนุ ของกลมุ่ อาชีพ เรอื่ งที่ 3 การบริหารการผลติ เร่ืองท่ี 4 การบรหิ ารการตลาด เรื่องท่ี 5 การบรหิ ารงานบุคคล เรื่องท่ี 6 วิเคราะห์ปจั จัยสู่ความสาเร็จ บทท่ี 4 ปัจจยั ท่ที าใหก้ ลมุ่ อาชีพประสบความสาเรจ็ และความเส่ยี งในการดาเนนิ งาน เรอ่ื งท่ี 1 ปจั จัยภายในท่ีสง่ ผลให้กลุ่มประสบความสาเร็จ เรื่องท่ี 2 ปัจจยั ภายนอก เรอ่ื งท่ี 3 การจดั การความเสย่ี งของการดาเนนิ งาน กิจกรรมการเรียนรู้ 1. แบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลังเรียน 2. ศกึ ษาหนังสอื แตล่ ะบท 3. ทาใบงาน 4. ตรวจสอบความรจู้ ากเฉลยและแนวทางการตอบทา้ ยเล่ม 5. ศกึ ษาเพิ่มเติมจากแหล่งการเรียนรู้เพ่มิ เตมิ การวดั และประเมินผลการเรียน 1. ใบงาน 2. ทดสอบหลังเรยี น
หนงั สอื เรยี นวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กลมุ่ เพอื่ พฒั นาอาชีพ รหสั ทร02002 9 แบบทดสอบกอ่ นเรียน 1. ลกั ษณะของกลมุ่ อาชพี หมายถึงข้อใด ก. การจาหน่ายสนิ คา้ ประเภทเดียวกัน ข. การรวมกลมุ่ เพื่อทาธุรกิจเดียวกัน ค. การรวมกันจาหนา่ ยสนิ คา้ ประเภทเดยี วกนั ง. การรวมกลมุ่ ของผูท้ ่ีมอี าชีพเหมือนกนั 2. กลมุ่ ขยายอาชีพแบ่งออกเปน็ ก่ีประเภท ก. 3 ประเภท ข. 4 ประเภท ค. 5 ประเภท ง. 6 ประเภท 3. เงินทุนมีกปี่ ระเภท ก. 2 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 5 ประเภท 4. ขอ้ ใดกล่าวถูกต้องทส่ี ุดเกี่ยวกบั เงนิ ทนุ ก. เงินทุน หมายถงึ เงนิ สดเทา่ นน้ั ข. เงินทนุ คอื เงินตราทีธ่ รุ กิจจดั หามาเพือ่ ใชด้ าเนินงาน ค. เงนิ ทุน ใชส้ าหรบั การลงทนุ ในสนิ ทรพั ย์ถาวรเทา่ นนั้ ง. เงนิ ทนุ คงที่ คือ เงินทนุ ทใี่ ช้ในการใชจ้ ่ายประจาวัน 5. ปัจจัยในการดาเนนิ ธรุ กจิ ใดมีความสาคัญมากทสี่ ุดในการประกอบธุรกิจ ก. คน (Man) ข. เงนิ (Money) ค. วตั ถุดบิ (Material) ง. วธิ ีปฎบิ ตั ิงาน (Method) 6. ขอ้ ใดคือการรวมกล่มุ อาชีพทถ่ี ูกต้อง ก. มีสมาชกิ มปี ระธาน จดทะเบยี นจัดต้ังกลุ่ม ข. มีสมาชิก มหี ุ้น จดทะเบียนจัดตั้งกลุ่ม ค. มสี มาชิก มหี นุ้ จดทะเบยี นจดั ต้งั กลมุ่ ง. มสี มาชิก มีประธาน มหี ้นุ จดทะเบียนจดั ตัง้ กลมุ่
หนังสอื เรียนวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจัดกลมุ่ เพอ่ื พฒั นาอาชีพ รหสั ทร02002 10 7. ขอ้ ใดคือประโยชน์ของการวเิ คราะหป์ จั จยั เบือ้ งต้นเก่ียวกับการธุรกิจของกลุ่ม ก. เพอ่ื ทราบความตอ้ งการของกลุม่ ลูกค้าเปา้ หมาย ข. เพือ่ ควบคุมขน้ั ตอนการผลติ ค. เพ่ือการจาหนา่ ยสินค้าของกลมุ่ ใหเ้ ปน็ ไปตามเปา้ หมาย ง. เพอ่ื ความปลอดภัยในการทาธุรกิจของกลุ่ม 8. ข้ันตอนสดุ ทา้ ยของการวิเคราะหก์ ล่มุ ลกู คา้ เป้าหมายคือ ขอ้ ใด ก. ปจั จยั อะไรที่ เปน็ ตวั กระตุ้นการซื้อสินคา้ ข. กระบวนการตัดสนิ ใจของลูกคา้ ต่อการซ้ือสินคา้ ค. ของสินคา้ และการใช้บริการท่ลี ูกคา้ ต้องการ ง. ราคาสินคา้ ที่ลกู คา้ ตัดสนิ ใจซ้อื สินค้า 9. ข้อใดคือเงนิ ทนุ เบือ้ งต้นท่ีกล่มุ อาชพี ใช้บริหารกลมุ่ ก. เงนิ กองทนุ ข. เงนิ หนุ้ สมาชกิ กลมุ่ ค. เงินออมทรัพย์ของกลมุ่ ง. ถูกทุกข้อ 10. ขอ้ ใดคือประโยชนข์ องการบรหิ ารเงนิ ทุนของกลุม่ อาชพี ก. มีเงนิ ทุนสนับสนนุ การประกอบอาชีพ ข. ชาวบ้านมกี องทนุ การเงินเพอื่ พ่ึงพาตนเอง ค. สมาชกิ รวมน้าใจรวมทุนช่วยเหลอื ซงึ่ กันและกัน ง. มเี งินทุนหมุนเวยี นภายในกลมุ่ 11. ขอ้ ใดคือวตั ถุประสงคใ์ นการบริหารการผลิต ก. ใหไ้ ดผ้ ลผลิตที่ออกมามีคุณภาพ ข. ผลผลิตตรงตามความต้องการของลกู คา้ ค. การใชท้ รัพยากรท่ีมีอยู่ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสดุ ง. ถูกทกุ ข้อ 12. การบรหิ ารการตลาดมีก่ีข้ันตอน ก. 2 ข้นั ตอน ข. 3 ขั้นตอน ค. 4 ขนั้ ตอน ง. 5 ขั้นตอน
หนังสอื เรียนวิชาเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจัดกลมุ่ เพื่อพัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 11 13. การเลือกตลาดเป้าหมายและอัตราความต้องการซอ้ื ของตลาด อยูใ่ นกระบวนการใดของการบรหิ ารการตลาด ก. การวางแผนการตลาด ข. การปฏิบตั ิการทางการตลาด ค. การประเมินผลการทางานทางการตลาด ง. การจัดองคก์ รทางการตลาด 14. การจดั การกลุม่ เพื่อพฒั นาอาชีพจาเป็นจะต้องมีความรู้ในเรื่องการบรหิ ารงานบุคคลเพ่อื ประโยชน์ในข้อใด ก. การจัดการเก่ียวกับบุคคลในกลมุ่ ข. ความจาเปน็ ในการเลอื กคนให้เหมาะสมกบั งาน ค. คนเป็นปัจจัยสาคัญในการบริหารงาน ง. การรจู้ กั ใช้คนอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 15. ขน้ั ตอนที่สาคญั ทีส่ ุดของกระบวนการบรหิ ารงานบคุ คลคอื ข้อใด ก. การสรรหาบุคคล ข. การใช้บุคคล ค. การพัฒนาบุคลากร ง. การธารงรกั ษาบคุ คล 16. ความจาเปน็ ตอ่ การวิเคราะห์ปัจจยั สู่ความสาเรจ็ ของกลมุ่ คอื ขอ้ ใด ก. ความย่ังยืน อยู่รอดของกลุ่ม ข. ผลกาไรท่จี ะเกิดข้ึนกบั กลุ่ม ค. การจัดการกลุ่มเพื่อการพัฒนา ง. การจดั การกล่มุ เพื่อคุณภาพของสินค้า 17. ปัจจัยภายในทีค่ วบคมุ ได้มีกีป่ จั จยั ก. 2 รายการ ข. 3 รายการ ค. 4 รายการ ง. 5 รายการ 18. ปัจจัยภายนอกท่ีควบคมุ ไมไ่ ด้มีกี่ปจั จัย ก. 7 ปจั จัย ข. 8 ปจั จัย ค. 9 ปจั จัย ง. 10 ปจั จยั
หนังสอื เรียนวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจดั กลุม่ เพื่อพัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 12 19. ภัยทเี่ กิดจากภาวะเศรษฐกจิ จะส่งผลอะไรต่อกล่มุ อาชีพ ก. ความเส่ยี งในการจาหน่ายสนิ คา้ ข. ความเสี่ยงในการดาเนินงาน ค. ความเส่ียงในการผลติ สนิ ค้า ง. ถกู ทุกขอ้ 20. ขอ้ ใดคือความหมายของการจัดการความเสีย่ งของการดาเนนิ งาน ก. เพอื่ ให้องคก์ รลดความเสียหายจากความเส่ียงมากทีส่ ุด ข. เพื่อใหอ้ งค์กรหลุดพ้นจากความเสียหายท่ีเกิดจากความเส่ยี ง ค. เพ่ือใหอ้ งคก์ รเผชญิ ความเสี่ยงน้อยทีส่ ดุ ง. เพ่ือให้องค์กรมีการควบคุมความเส่ียงมากทีส่ ุด
หนงั สอื เรียนวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจัดกลุม่ เพอื่ พัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 1 บทท่ี 1 ลักษณะและประเภทของการรวมกลมุ่ เร่ืองที่ 1 ลักษณะของกลุ่มอาชีพ ความหมายของกลุ่ม ตามความเห็นของ Maciver and Page ไดอ้ ธบิ ายว่า กลุ่ม หมายถงึ การ รวมตวั ของมนุษย์ชาติทต่ี ้องสัมพนั ธต์ ิดต่อกบั บุคคลอ่นื เม่อื ไมม่ ีความสัมพนั ธต์ ิดต่อกับการรวมตวั ของ มนษุ ย์จะไมเ่ รยี กว่า กลุ่ม แบบของการรวมกลุ่มมคี วามสมั พนั ธ์ทางสงั คมเปน็ พ้ืนฐาน เท่าน้นั ตามความเหน็ ของ Ogburn and Nimkoff เขาอธิบายว่า “บุคคลตัง้ แต่สองคนขน้ึ ไปอยู่รว่ มกนั และสัมพนั ธ์กบั บคุ คลอนื่ เรียกวา่ กลมุ่ สังคม” นกั สงั คมวทิ ยาบางท่านใหค้ วามหมายวา่ “กลมุ่ คือ คนจานวนหนึง่ มาอยรู่ วมกันหรอื กาลงั รอคอย ส่งิ ใดส่งิ หนง่ึ ” หรือ “คนจานวนหนง่ึ ที่มลี กั ษณะบางอยา่ งเหมอื นกนั ” หรือ “คนจานวนหน่ึงซ่งึ มแี บบแผน บางอย่างรว่ มกันและมกี ารตอบโตซ้ ่งึ กันและกัน” หรือ “กลุ่มคนจานวนหน่งึ ซึ่งมีความร้สู ึกนึกคิดเป็นพวก เดียวกันและมีการกระทา โต้ตอบซ่งึ กนั และกัน” สรปุ ความหมายของกลมุ่ คือ กลุ่มคนทม่ี ิใช่มีความใกลช้ ดิ กันทางร่างกายเท่าน้ัน แตจ่ ะต้องมกี าร กระทาโต้ตอบซ่ึงกนั และกนั มีการตดิ ต่อสัมพนั ธก์ ันตามสถานภาพและบทบาท มีความร้สู กึ เปน็ พวก เดยี วกัน มคี วามเช่อื ในดา้ นคุณค่ารว่ มกนั หรือคลา้ ยคลงึ กนั กลุ่มสงั คม ได้แก่ ครอบครวั กลมุ่ เพ่ือน กลมุ่ อาชีพ กลุ่มเช้ือชาติ กลุ่มประชาชนของประเทศ เปน็ ต้น อาชีพ ตรงกบั คา หลายคาในภาษาองั กฤษดงั นี้ Employment Meatier Occupation Profession Pursuit Vocation Avocation Bu siness Calling Career ซ่งึ ก็มีความหมายไปในลักษณะเดียวกนั วา่ เป็น อาชีพ ซงึ่ มีผู้ใหค้ วามหมายของ อาชพี ไวห้ ลายความหมาย ดังนี้ อาชีพ หมายถึง รูปแบบการดารงชีพในสงั คมมนุษย์ปจั จุบนั อาชีพเป็นหนา้ ทขี่ องบุคคลในสงั คม การท่บี คุ คลประกอบอาชพี จะได้มาซึ่งคา่ ตอบแทน หรือ รายได้ เพื่อใชจ้ ่ายในการดารงชวี ติ อาชีพ หมายถงึ การทามาหากิน ทาธรุ กจิ ตามความชอบหรือความถนดั ได้ค่าตอบแทนเปน็ ค่าจ้าง หรือเงินเดอื น อาชพี หมายถงึ การทามาหากนิ จากการทางานหรือกิจกรรมใดๆ ที่ก่อให้เกิดผลผลิตและรายได้ เปน็ งานทสี่ จุ ริต ไมผ่ ดิ ศลี ธรรมเป็นทยี่ อมรบั ของสงั คม อาชพี หมายถึง ประเภทหรือชนดิ ของงานท่ีบุคคลน้ันทา ปกติบุคคลมอี าชีพเดียว หากในระหว่าง รอบ 52 สัปดาห์ท่ีแล้ว บุคคลใดมีอาชีพมากกว่า 1 ชนดิ ให้ถอื อาชีพท่มี ีจานวนสัปดาห์การทางานมากที่สุด หากจานวนสัปดาหเ์ ทา่ กันให้นับอาชพี ทม่ี ีรายไดม้ ากทส่ี ดุ
หนงั สือเรียนวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจัดกลมุ่ เพอ่ื พฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 2 ลักษณะอาชีพ อาชีพที่จาเป็นต้องความรู้ความสามารถเฉพาะด้านเรียกว่า วิชาชีพ เช่น วิศวกร แพทย์ พยาบาล ทนายความ และอาชพี ท่ถี กู กฎหมายและศีลธรรม เรยี กว่า สัมมาชพี เช่น ค้าขาย ส่วนบาง อาชีพที่ผดิ กฎหมาย เรียกว่า มิจฉาชีพ เชน่ โจร อาชีพอาจมรี ายได้ต่างๆกันไป ลักษณะอาชีพที่เปน็ ลกู จา้ ง จะได้ค่าตอบแทนในรูปแบบเงินเดือน อาชีพค้าขายหรือประกอบกิจการส่วนตัวหรือ การลงทุนจะได้ คา่ ตอบแทนในรูปแบบ กาไร การดารงชวี ิตและความตอ้ งการอาชพี การงานอาชีพ หมายถงึ การทามาหากินท่ีเกิดจากกจิ กรรมหรอื บริการใดๆ ท่ีก่อใหเ้ กดิ ผลผลติ และรายได้ ซ่ึงเป็นงานประจาท่สี จุ รติ ไม่ผดิ ศีลธรรม ลักษณะอาชีพ แบ่งออกเปน็ 1. อาชพี อิสระ มีลักษณะเปน็ เจ้าของกิจการ บรหิ ารจัดการดว้ ยตนเอง อาจเปน็ กจิ การขนาดเล็ก หรอื เปน็ อุตสาหกรรมในครัว เรือน อาชีพอสิ ระแยกย่อยออกไปเปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ 1.1 อาชีพอสิ ระด้านการผลติ การแปรรูปผลผลิตเป็นสินคา้ นาไปจาหน่ายในทอ้ งตลาดเป็นการ ขายปลกี และขายส่ง เชน่ อาหารไทย ขนมไทย เบเกอรี่ ผักผลไม้ 1.2 อาชพี อิสระด้านการใหบ้ รกิ าร เป็นอาชีพท่ีนิยมกนั แพร่หลาย เน่ืองจากมีความเสย่ี งนอ้ ย การลงทุนตา่ เช่น บริการทาความสะอาด ทานายโชคชะตา บรกิ ารซกั รีดเสื้อผ้า ช่างซอ่ มอ่ืน ๆ 2. อาชีพรับจา้ ง เปน็ การทางานท่มี ีเจา้ นายมอบหมาย ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงนิ เชน่ งานกอ่ สรา้ ง พนกั งานในบรษิ ัท ห้างร้าน และโรงงาน 3. อาชพี งานฝีมือ เป็นอาชีพทป่ี ฏิบัตงิ านโดยใชป้ ระสบการณ์และความชานาญเฉพาะด้าน เชน่ งานศิลปะ งานหัตถกรรม งานปฏิมากรรม 4. อาชพี ข้าราชการหรอื เจ้าหนา้ ที่ของรัฐ รวมทงั้ พนกั งานรฐั วสิ าหกจิ เป็นอาชพี ทีใ่ หบ้ รกิ ารแก่ประชาชน แนวทางการเลอื กอาชีพ อาชีพมีหลายประเภท มลี ักษณะแตกตา่ งกนั การเลือกอาชีพตอ้ งพจิ ารณาจากปจั จยั ต่าง ๆ ดงั น้ี 1. ความสนใจ สารวจความถนดั ความสนใจ ตลอดจนประสบการณต์ ่าง ๆ ให้เหมาะสม กบั ตนเองมากทสี่ ดุ เพื่อเปน็ แนวทางการเลือกอาชพี ทเี่ หมาะสม 2.แนวโนม้ ด้านอาชพี เป็นอาชีพทีเ่ จรญิ กา้ วหนา้ และเปน็ ท่ีต้องการของสังคม การ เปลีย่ นแปลงดา้ นธุรกิจและ ด้านอตุ สาหกรรม ซึ่งประกอบด้วยด้านการสอื่ สาร ด้านอิเล็กทรอนิกส์ ดา้ น ระบบควบคุมอัตโนมตั ิ และด้านธุรกิจระดับชุมชน 3. ทรพั ยากรทอ้ งถิ่น จะชว่ ยประหยดั ตน้ ทุนและคา่ ใช้จ่าย เปน็ การสรา้ งงานใหค้ นในท้องถนิ่ 4. วสิ ยั ทัศน์ การเปน็ คนทีม่ ีความคิดริเริม่ สรา้ งสรรค์ และมองการณไ์ กล จะได้เปรียบใน เชิงธุรกจิ มากกวา่ คนอ่ืน 5. ทกั ษะในการประกอบอาชีพ จะต้องมีทักษะหรือความชานาญในวชิ าชีพสาขาน้ัน ๆ
หนงั สอื เรียนวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจดั กล่มุ เพือ่ พฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 3 ประโยชน์ของอาชพี ประโยชน์ของอาชีพมหี ลายด้าน ดงั น้ี 1. ด้านตนเอง เปน็ คนทรี่ ู้คณุ ค่าของเงนิ ใชจ้ ่ายเงนิ อยา่ งประหยัด วางแผนการใช้จา่ ยเงิน การเก็บออมเงินเพื่อความมนั่ คงของชวี ิต 2. ดา้ นครอบครัว การมีอาชีพจะสรา้ งคณุ ค่าใหก้ ับตนเองและสมาชิกในครอบครวั เป็น ตัวอย่างแก่คนในครอบครวั และบคุ คลอ่นื ๆ 3. ดา้ นชมุ ชน เป็นการสร้างรายได้ให้ชุมชน ทาใหเ้ ศรษฐกิจชุมชนดขี ้นึ ทาให้ชุมชน เข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ 4. ดา้ นประเทศชาติ เมอื่ ประชาชนมีอาชพี มรี ายได้ รัฐสามารถเก็บภาษีจากประชาชนได้ สามารถนารายไดจ้ ากการเก็บภาษีไปพัฒนาประเทศในดา้ นต่าง ๆ ได้ หลักการวิธกี ารดาเนินการจดั ตง้ั กลุ่มพฒั นาอาชีพ การจัดต้งั กลุ่มพฒั นาอาชพี มีขั้นตอนท่ีกลุม่ ผูเ้ รียนควรพิจารณาดงั นี้ 1. กลุม่ เป้าหมายจัดต้ัง คือบุคคลที่มีอาชพี มีผลติ ภณั ฑ์ของตนเองแต่ขาดความเขม้ แข็ง ในการจัดการธุรกจิ 2. การรวมกลมุ่ 2.1 ลักษณะกลุ่ม 2.1.1 กลมุ่ อาชีพท่มี ีผลิตภณั ฑ/์ ผลติ ผลชนิดเดียวกัน 2.1.2 กลมุ่ อาชีพที่มีผลติ ภณั ฑ์หลายชนดิ แต่จัดการตลาดร่วมกนั ได้ 2.2 การสรา้ งกลุ่ม ดาเนินการตามข้ันตอนดังนี้ 2.2.1 ผู้นาชุมชน ประชาสัมพันธใ์ หช้ าวบ้านที่มีผลิตภัณฑ์ของตนเอง มารวมกนั ทาความเข้าใจในการรวมกลมุ่ อาชีพ 2.2.2 จัดตง้ั ระบบบรหิ ารจัดการกลมุ่ ดว้ ยการศึกษาดูงานกลุ่มอาชีพ ท่มี ีคุณภาพ ภาพลักษณข์ องธุรกจิ กลุ่มพัฒนาอาชพี กล่มุ พัฒนาอาชีพ เปน็ การเรียนรู้ของกลมุ่ ท่ีจดั ตั้งมีผลติ ภณั ฑข์ องตนเองได้มารวมกลมุ่ เพอ่ื รว่ มกันเรยี นรู้ สรา้ งธรุ กิจด้วยทุนตนเอง เพ่ือให้องค์กรท้องถิ่นไดม้ ีรายไดจ้ ากภาษแี ละการว่าจ้างแรงงาน ในทอ้ งถิน่ วิสาหกิจชุมชน คือ การประกอบการโดยชุมชนที่มีสมาชิกชุมชนเป็นเจ้าของปจั จัยการผลติ ท้ัง ด้านการผลิต การค้า และการเงิน และตอ้ งใช้ปัจจยั การผลติ ใหเ้ กดิ ดอกออกผล ท้ังทางเศรษฐกิจและ สังคม ดา้ นเศรษฐกิจ คือ การสร้างรายได้ และอาชีพด้านสังคม คือ การยึดโยง รอ้ ยรัดความเปน็
หนังสือเรยี นวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กลุ่มเพื่อพฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 4 ครอบครวั และชุมชนใหร้ ว่ มคิด ร่วมทา ร่วมรับผดิ ชอบ แบ่งทกุ ข์แบ่งสขุ ซ่ึงกันและกัน โดยกระบวนการ ประกอบการของชุมชน ในทัศนะดงั กลา่ ว วิสาหกจิ จะเป็นเครอ่ื งมือ ในการสรา้ งฐานรากทางเศรษฐกิจ และสงั คมใหเ้ ขม้ แขง็ เพื่อท่ีจะให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมสว่ นอื่น ๆ ไดต้ อ่ ยอดบนฐานทีเ่ ขม้ แข็งที่คงทน ต่อการเปลยี่ นแปลงของโลกและทุนนิยม รูปแบบแนวทางการพัฒนาท่ียงั่ ยืนของวิสาหกิจ การพฒั นาผลติ ภณั ฑใ์ หม่ จะต้องพิจารณาสงิ่ ต่าง ๆ และเก็บข้อมลู ดังนี้ 1. ปจั จัยท่ีทาให้มีโอกาสขยายกิจการทคี่ วรให้ความสาคญั 1.1 กองทนุ หมบู่ ้าน 1.2 การเปดิ ตลาดระดับต่าง ๆ 1.3 พนั ธมิตรทางธุรกิจ 2. วเิ คราะหห์ าส่งิ ทีล่ ูกค้าอยากได้ แตไ่ ม่เคยได้รบั มาก่อน มาใชเ้ ปน็ ข้อมลู ในการพัฒนา 3. วเิ คราะห์คแู ขง่ อนื่ ๆ ท่อี ยู่ในธุรกิจเดียวกัน ดูวา่ วสิ าหกิจของเราจะทาให้แตกตา่ ง ดกี วา่ ได้อยา่ งไร 4. วเิ คราะห์หาว่าอะไร คอื อุปสรรคทีท่ าให้เราไม่กล้าคดิ ทาใหมก่ บั ส่งิ ทีเ่ คยทามาจาก ด้ังเดิม 5. หาสาเหตขุ องปัญหาและอปุ สรรค แลว้ หาทางเอาชนะอุปสรรคให้ได้
หนงั สือเรยี นวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจัดกลุ่มเพื่อพัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 5 เรือ่ งที่ 2 การแบง่ ประเภทของอาชพี ประเภทและลักษณะของอาชพี การแบง่ ประเภทของอาชีพ สามารถจัดแบ่งตามลกั ษณะได้เป็น 2 ลกั ษณะ คือ แบง่ ตาม เนอ้ื หาวชิ าของอาชพี และแบ่งตามลักษณะของการประกอบอาชีพ 1. การแบ่งอาชีพตามเน้ือหาวชิ าของอาชีพ สามารถจัดกลุ่มอาชีพตามเน้ือหาวิชาได้เป็น 6 ประเภท ดังนี้ 1.1 อาชีพเกษตรกรรม ถอื ว่าเปน็ อาชพี หลัก และเป็นอาชพี สาคัญของประเทศ ปจั จุบันประชากร ของไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ยังประกอบอาชีพน้ีอยู่ อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพเก่ียวเนื่องกับการผลิต และการจัดจาหน่ายสินค้าและ บริการทางด้านการเกษตรซ่ึงผลผลิตทางการเกษตรนอกจากใช้ในการ บริโภคเป็นส่วนใหญ่แล้วยังใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตทางอุตสาหกรรมอีกด้วย อาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ การทานา ทาไร่ ทาสวน เลยี้ งสัตว์ ฯลฯ 1.2 อาชีพอุตสาหกรรม การทาอุตสาหกรรม หมายถึง การผลติ สินคา้ อันเนอ่ื งมาจาก การนาเอา วสั ดุ หรือสินค้าบางชนิดมาแปรสภาพใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อผู้ใชม้ ากขึน้ กระบวนการประกอบการ อุตสาหกรรมประกอบด้วย ในขั้นตอนของกระบวนการผลิต มปี ัจจัยมากมายนับต้ังแต่แรงงาน เครอ่ื งจักร เครื่องมอื เคร่ืองใช้ เงินทนุ ทด่ี นิ อาคาร รวมท้ังการบริหารจัดการ การประกอบอาชีพอุตสาหกรรมแบ่งตามขนาด ได้ดงั น้ี อุตสาหกรรมในครอบครัว เป็นอุตสาหกรรมท่ีทากันในครัวเรือน หรือภายในบ้าน ใช้แรงงานคน ในครอบครัวเป็นหลัก บางทีอาจใช้เครอ่ื งจักรขนาดเล็กช่วยในการผลิต ใช้วัตถุดิบ วัสดทุ ี่หาได้ในท้องถิ่นมา เป็นปัจจัยในการผลิตอุตสาหกรรมในครัวเรือน ได้แก่ การทอผ้า การจักสาน การทาร่ม การทาอิฐมอญ ฯลฯ ลักษณะการดาเนินงาน ไม่เป็นระบบเท่าใดนัก รวมท้ังการใช้เทคโนโลยีแบบง่าย ๆ ไม่ย่งุ ยากซับซ้อน และมีการลงทุนไม่มากนักอุตสาหกรรมขนาดย่อม เป็นอุตสาหกรรมท่ีมีการจ้างคนงานมากกว่า 50 คน ใช้ เงินทุนดาเนินการไม่เกิน 10 ล้านบาท อุตสาหกรรมขนาดย่อม ได้แก่ โรงกลึง อู่ซ่อมรถ โรงงานทาขนมปัง
หนังสอื เรยี นวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชพี รายวชิ าการจดั กลุ่มเพ่ือพฒั นาอาชีพ รหสั ทร02002 6 โรงสีข้าว เป็นต้นในการดาเนินงานของอุตสาหกรรม ขนาดย่อมมีขบวนการผลิตไม่ซับซ้อน ใช้แรงงานท่ีมี ฝีมอื ไม่มากนัก อตุ สาหกรรมขนาดกลาง เป็นอุตสาหกรรมท่ีมกี ารจ้างคนงานมากกว่า 50คน แตไ่ ม่เกิน 200 คน ใช้เงินทุนดาเนินการมากกว่า 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท อุตสาหกรรมขนาดกลางได้แก่ อุตสาหกรรมทอกระสอบ อุตสาหกรรมเส้ือผ้าสาเร็จรูป เป็นต้น การดาเนินงานของอุตสาหกรรมขนาด กลางต้องมีการจัดการที่ดี แรงงานที่ใช้ ต้องมีทักษะ ความรู้ ความสามารถในกระบวนการผลิตเป็นอย่างดี เพื่อทีจ่ ะไดส้ นิ ค้า ทมี่ คี ณุ ภาพระดับเดยี วกนั อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เป็นอุตสาหกรรมที่มีคนงานมากกว่า 200 คนข้ึนไป เงินทุน ในการ ดาเนินการมากกว่า 200 ล้านบาท อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ได้แก่ อุตสาหกรรม ผลิตแบตเตอร่ี อุตสาหกรรมถลุงเหล็ก เป็นต้น อุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีระบบการจัดการ ท่ีดี ใช้คนท่ีมีความรู้ ทักษะ ความสามารถเฉพาะด้าน หลายสาขา เช่น วิศวกรรม อิเล็กทรอนิกส์ ในการดาเนินงานผลิตมีกรรมวิธีท่ี ยุ่งยาก ใช้เคร่ืองจักร คนงาน เงินทุน จานวนมากขึ้น มีกระบวนการผลิตที่ทันสมัยและผลิตสินค้าได้ทีละ มาก ๆ มีการว่าจา้ งบุคคลระดับผู้บรหิ ารทีม่ คี วามสามารถ 1.3 อาชีพพาณิชยกรรมและอาชีพบริการ อาชีพพาณิชยกรรม เป็นการประกอบอาชีพที่เป็น การแลกเปลี่ยนระหว่างสินค้ากบั เงนิ ส่วนใหญจ่ ะมลี ักษณะเป็นการซอื้ มาและขายไป ผู้ประกอบอาชีพทางพาณิช ยกรรมจึงจัด เป็นคนกลาง ซึ่งทาหน้าที่ซ้ือสินค้าจากผู้ผลิตและนามาขายต่อให้แก่ผู้บริโภค ประกอบด้วย การค้าส่งและการค้าปลีก โดยอาจจัดจาหน่าย ในรูปของการขายตรงหรอื ขายออ้ ม อาชีพบริการ หมายถึง อาชีพท่ีทาให้เกิดความพอใจแก่ผู้ซ้ือ การบริการอาจเป็นสินค้า ท่ีมี ตัวตน หรือไม่มีตัวตนก็ได้ การบริการที่มีตัวตน ได้แก่ บริการขนส่ง บริการทางการเงิน ส่วนบริการที่ไม่มี ตัวตน ไดแ้ ก่ บริการทอ่ งเท่ียว บรกิ ารรักษาพยาบาล เป็นตน้ อาชีพพาณชิ ยกรรม จึงเปน็ ตัวกลางในการขายสินค้า หรอื บรกิ ารต่าง ๆ นับตง้ั แตก่ ารนาวตั ถุดิบ จากผู้ผลิตทางด้านเกษตรกรรม ตลอดจนสินคา้ สาเร็จรปู จากโรงงานอตุ สาหกรรม รวมท้ังคหกรรม ศลิ ปกรรม หัตถกรรม ไปให้ผู้ซื้อ หรอื ผู้บรโิ ภค อาชพี พาณิชยกรรมจึงเป็นกิจกรรมทส่ี อดแทรกอยู่ทกุ อาชีพ ในการประกอบอาชีพ พาณชิ ยกรรม หรอื บรกิ าร ผู้ประกอบอาชีพจะตอ้ งมคี วามสามารถในการจดั หา มคี วามคดิ รเิ ริ่ม และมคี ุณธรรม จงึ จะทาใหก้ ารประกอบอาชพี เจรญิ กา้ วหนา้ 1.4 อาชีพคหกรรม การประกอบอาชีพคหกรรม ได้แก่ อาชีพท่ีเกย่ี วกับการประกอบ อาหาร ขนม การตดั เยบ็ การเสรมิ สวย ตดั ผม เปน็ ต้น 1.5 อาชพี หตั ถกรรม การประกอบอาชพี หตั ถกรรม ไดแ้ ก่ อาชีพที่เกี่ยวกับงานชา่ ง โดยการใชม้ อื ใน การผลติ ชิ้นงานเปน็ สว่ นใหญ่ ไดแ้ ก่ อาชพี จักสาน แกะสลัก ทอผ้าด้วยมอื ทอเส่ือ เปน็ ต้น
หนงั สือเรยี นวิชาเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กลุ่มเพ่อื พัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 7 1.6 อาชพี ศิลปกรรม การประกอบอาชพี ศิลปกรรม ไดแ้ ก่ อาชพี เกย่ี วขอ้ งกบั การแสดงออกใน ลกั ษณะตา่ ง ๆ เช่น การวาดภาพ การป้ัน การดนตรี ละคร การโฆษณา ถ่ายภาพ เป็นต้น 2. การแบ่งอาชีพตามลกั ษณะของการประกอบอาชีพ นอกจากจะจัดกลุ่มอาชพี เปน็ 6 ประเภทแลว้ เรายังสามารถจัดกลมุ่ อาชีพตาม ลักษณะการ ประกอบอาชีพ เป็น 2 ลกั ษณะ คอื อาชีพอสิ ระ และอาชีพรบั จ้าง 1. อาชพี อิสระ หมายถึง อาชพี ทุกประเภทท่ผี ูป้ ระกอบการดาเนินการด้วยตนเอง แต่เพียงผเู้ ดียว หรอื เป็นกลุม่ อาชพี อสิ ระเป็นอาชีพท่ีไม่ต้องใช้คนจานวนมาก แต่หากมีความจาเป็นอาจมกี ารจา้ งคนอ่ืนมา ชว่ ยงานได้ เจ้าของกจิ การเป็นผลู้ งทนุ และจาหน่ายเอง คิดและตดั สินใจด้วยตนเองทุกเรอื่ ง ซ่งึ ช่วยใหก้ าร พัฒนางานอาชีพ เปน็ ไปอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ การประกอบอาชีพอสิ ระ เช่น ขายอาหาร ขายของ ชา ซอ่ มรถจกั รยานยนต์ ฯลฯ ในการประกอบอาชพี อสิ ระ ผปู้ ระกอบการจะตอ้ งมีความรู้ ความสามารถใน เร่อื ง การบริหาร การจดั การ เชน่ การตลาด ทาเลที่ตง้ั เงนิ ทนุ การตรวจสอบ และประเมนิ ผล เปน็ ต้น นอกจากนยี้ งั ต้องมีความอดทนตอ่ งานหนกั ไม่ถ้อถอยต่อ ปัญหาอปุ สรรคทเี่ กดิ ข้นึ มคี วามคิดรเิ ร่ิม สรา้ งสรรค์ และมองเห็นภาพการดาเนินงาน ของตนเองได้ทะลปุ รุโปรง่ 2. อาชพี รับจา้ ง หมายถงึ อาชีพท่ีมผี ู้อืน่ เปน็ เจ้าของกจิ การ โดยตัวเองเป็นผูร้ บั จา้ ง ทางานให้ และไดร้ ับค่าตอบแทนเป็นคา่ จา้ ง หรอื เงินเดือน อาชีพรบั จ้างประกอบด้วย บคุ คล 2 ฝา่ ย ซงึ่ ได้ตกลงว่าจ้าง กนั บคุ คลฝ่ายแรกเรยี กว่า \"นายจ้าง\" หรอื ผ้วู ่าจ้าง บคุ คลฝ่ายหลังเรยี กว่า \"ลูกจ้าง\" หรอื ผู้รับจา้ ง มี ค่าตอบแทนที่ผู้วา่ จ้างจะต้องจ่ายใหแ้ ก่ ผ้รู บั จ้างเรยี กว่า \"ค่าจ้าง\" การประกอบอาชีพรบั จา้ ง โดยทว่ั ไปมี ลักษณะ เปน็ การรับจา้ งทางานในสถาน ประกอบการหรือโรงงาน เป็นการรับจ้างในลักษณะการขายแรงงานโดย ไดร้ บั ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน หรอื คา่ ตอบแทนท่ีคิดตามชิน้ งานท่ีทาได้ อตั ราค่าจา้ งขึน้ อยู่กับการกาหนด ของ เจา้ ของสถานประกอบการ หรือนายจ้าง การทางานผูร้ ับจ้างจะทาอยู่ภายในโรงงาน ตามเวลาท่ีนายจา้ ง กาหนด การประกอบอาชพี รับจา้ งในลกั ษณะน้ีมีข้อดีคือ ไม่ต้องเสย่ี ง กบั การลงทนุ เพราะลูกจา้ งจะใช้ เครอื่ งมอื อปุ กรณ์ท่นี ายจ้างจัดไว้ให้ทางานตามทน่ี ายจ้าง กาหนด แต่มีข้อเสีย คอื มกั จะเป็นงานที่ทาซ้า ๆ เหมอื นกนั ทกุ วัน และตอ้ งปฏิบัติตาม กฎ ระเบยี บของนายจ้าง ในการประกอบอาชีพรับจ้างน้นั มีปจั จัย หลายอยา่ งที่เอือ้ อานวยใหผ้ ปู้ ระกอบอาชีพ รับจ้างมีความเจริญก้าวหน้าได้ เชน่ ความรู้ ความชานาญใน งาน มีนิสยั การทางานท่ีดี มีความกระตือรอื รน้ มานะ อดทน ในการทางาน ยอมรบั กฎเกณฑแ์ ละเชื่อฟัง คาสงั่ มีความซ่ือสัตย์ สจุ รติ ความขยนั หม่นั เพียร รบั ผิดชอบ มมี นุษยสัมพนั ธท์ ่ีดี รวมทงั้ สขุ ภาพอนามัยที่ ดี อาชพี ต่าง ๆ ในโลกมีมากมาย หลากหลายอาชีพ ซ่งึ บุคคลสามารถจะเลือกประกอบ อาชีพได้ตามความ ถนดั ความต้องการ ความชอบ และความสนใจ ไมว่ ่าจะเป็นอาชีพ ประเภทใด จะเปน็ อาชพี อสิ ระ หรอื อาชีพรับจ้าง ถ้าหากเป็นอาชีพทส่ี ุจรติ ย่อมจะทาให้ เกิดรายได้มาสตู่ นเอง และครอบครัว ถ้าบุคคลผ้นู ้นั มี
หนังสือเรยี นวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจัดกลุม่ เพอ่ื พฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 8 ความม่งุ ม่ัน ขยัน อดทน ตลอดจน มีความรู้ ข้อมลู เกย่ี วกับอาชพี ต่างๆจะทาให้มองเหน็ โอกาสในการเข้าสู่ อาชีพ และพฒั นา อาชพี ใหม่ ๆ ใหเ้ กิดขึน้ อยเู่ สมอ เรอื่ งท่ี 3 ภมู ปิ ัญญาท้องถ่ินดา้ นอาชพี ภูมปิ ญั ญาท้องถ่ิน หรือ ภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง ความรขู้ องชาวบ้าน ซึ่งเรียนรูม้ าจากพ่อแม่ ปู่ยา่ ตากตยั าย ญาตพิ ่ีน้อง หรือผู้มคี วามรู้ในหมู่บ้านในท้องถน่ิ ต่างๆ ความรู้เหลา่ นส้ี อนใหเ้ ดก็ เคารพผูใ้ หญ่ มีความญญรู ู้คณุ พ่อแม่ และผู้มพี ระคณุ มีความเอ้ืออาทรต่อคนอน่ื รู้จักชว่ ยเหลอื แบ่งปันข้าวของของตน ใหแ้ กผ่ ้อู ่ืน ความรทู้ ีเ่ ป็นภมู ิปัญญาเป็นความรู้ท่มี คี ุณธรรม สอนให้คนเปน็ คนดี สอนให้คนเคารพธรรมชาติ รู้จักพ่ึงพาอาศัยธรรมชาตโิ ดยไมท่ าลาย ใหเ้ คารพสงิ่ ศักดสิ์ ิทธิ์ และคนทล่ี ่วงลับไปแล้ว ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นเปน็ ความรู้เรือ่ งการทามาหากิน เชน่ การจับปลา การปลกู พชื การเลี้ยงสตั ว์ การทอผ้า ทอเส่ือ การสานตระกร้าและเครื่องใชด้ ้วยไมไ้ ผ่ ดว้ ยหวาย การทาเครื่องปั้นดินเผา การทาเคร่ืองมอื ทางการเกษตร นอกจากนนั้ ยงั มีศิลปะดนตรี การฟอ้ นรา และการละเล่นตา่ งๆ การรกั ษาโรคดว้ ยวิธตี ่างๆ เช่น การใชย้ าสมุนไพร การนวด เป็นต้น ภูมปิ ญั ญาเหล่านเี้ ป็นความรูค้ วามสามารถทบ่ี รรพบรุ ษุ ได้ สร้างสรรค์ และถ่ายทอดมาใหเ้ รา มวี ิธกี ารหลายอย่างท่ีทาใหค้ วามรเู้ หลา่ นี้เกดิ ประโยชนแ์ กส่ ังคมปจั จบุ นั ดว้ ย
หนงั สือเรยี นวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจดั กลุม่ เพอ่ื พฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 9 เร่อื งท่ี 4 แหลง่ เรียนรู้และสถานทฝี่ กึ ทักษะ ความหมายของแหล่งเรียนรู้ แหล่งเรยี นรู้ หมายถงึ แหล่งข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ทส่ี นบั สนนุ สง่ เสริม ให้ผู้เรยี นใฝ่เรียนใฝร่ ู้ แสวงหาความรู้ และเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองตามอธั ยาศัยอยา่ งกวา้ งขวางและตอ่ เน่ือง เพอื่ เสริมสรา้ งให้ผูเ้ รียนเกดิ กระบวนการเรยี นรู้และเป็นบคุ คลแห่งการเรยี นรู้ การเรยี นรูท้ ีเ่ น้นผู้เรียนเปน็ ศนู ย์กลางเปน็ แนวคิดทม่ี ุ่งเน้นการเรียนรูข้ องผู้เรียน ความสาคญั ของแหล่งเรียนรู้ 1. เปน็ แหลง่ เสริมสร้างจนิ ตนาการและความคดิ ริเริ่มสรา้ งสรรค์ 2. เป็นแหล่งศกึ ษาตามอธั ยาศัย 3. เป็นแหลง่ เรียนรู้ตลอดชีวิต 4. เป็นแหล่งสร้างความรู้ ความคดิ วชิ าการและประสบการณ์ 5. เป็นแหลง่ ปลกู ฝังค่านิยมรักการอ่านและแหลง่ ศกึ ษาค้นควา้ แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง 6. เปน็ แหลง่ สร้างความคิดเกดิ อาชีพใหมส่ คู่ วามเปน็ สากล 7. เป็นแหล่งเสรมิ ประสบการณต์ รง 8. เป็นแหล่งส่งเสริมมิตรภาพความสมั พนั ธร์ ะหว่างคนในชมุ ชนหรอื ผ้เู ปน็ ภูมปิ ัญญาท้องถิน่ ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหล่งเรียนรูม้ ที ้งั ภายในและภายนอกชุมชน ซ่ึงแหล่งเรยี นรู้เหลา่ นส้ี ามารถ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือแหล่งเรียนรทู้ ่ีมีอย่แู ลว้ ตามธรรมชาติ และท่มี นุษย์สรา้ งขนึ้ 1. แหลง่ เรยี นรู้ท่มี ีอยแู่ ล้วตามธรรมชาติ เช่น บรรยากาศ สิง่ แวดล้อม ปรากฏการณธ์ รรมชาติ สิง่ มีชวี ติ ปา่ ภเู ขา แหล่งนา้ ทะเล สัตว์และพืชต่าง ๆ ฯลฯ 2. แหลง่ เรยี นรทู้ ่มี นษุ ยส์ ร้างขน้ึ เช่น ชมุ ชน วิถีชวี ติ อาชพี ภูมปิ ญั ญา ประเพณี วฒั นธรรม สถาบัน โบราณสถาน สถานที่สาคญั สถานประกอบการ ห้องสมดุ โรงเรยี น ห้องสมดุ เคลื่อนท่ี หอ้ งเรียน ห้องปฏบิ ัตกิ ารตา่ ง ๆ ห้องโสตทศั นศึกษา ห้องมัลตมิ ีเดยี เว็บไซต์ หอ้ งอินเทอร์เนต็ หอ้ งเรยี นสเี ขียว หอ้ ง พิพิธภณั ฑ์ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสขุ ภาพสวนหนิ สวนสมนุ ไพร สวนวรรณคดี สวนหย่อม สวนผีเส้อื บอ่ เล้ียงปลา เรือนเพาะชา ฯลฯ ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือภูมิปัญญาพ้ืนบ้าน หมายถึง ความรู้ของชาวบ้านในท้องถ่ินซ่ึงได้มาจาก ประสบการณ์และความเฉลียวฉลาดของชาวบ้าน รวมท้ังความรู้ท่ีส่ังสมมาแต่บรรพบุรษุ สืบทอดจากคนรุ่น หนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหน่ึง ระหว่างการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต์ เปล่ียนแปลง จนอาจเกิดเป็นความรู้ใหม่ ตามสภาพการณ์ทางสังคม วฒั นธรรมและสิ่งแวดล้อม ภมู ิปัญญาเป็นความรู้ที่ประกอบไปด้วยคุณธรรม ซ่ึง สอดคล้องกับวิถีชีวิตด่ังเดิมของชาวบ้านในวิถีดั่งเดิมนั้น ชีวิตของชาวบ้านไม่ได้แบ่งแยกเป็นส่วนๆหากแต่
หนังสอื เรียนวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจัดกลุ่มเพื่อพัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 10 ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กัน การทามาหากิน การอยู่ร่วมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและ ประเพณี ความรู้เป็นคุณธรรมเมื่อผู้คนใช้ความรู้นั้นเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง คนกับคน คนกับ ธรรมชาติและคนกับสง่ิ เหนือธรรมชาติ ดงั เชน่ ภาคเหนือ มีภูมิปญั ญาเกี่ยวกับการแกะสลกั ไม้ ท่มี ีความลึก สลบั ซบั ซ้อน สามารถมองได้หลายมิติ และได้ถา่ ยทอดภูมิปญั ญาน้นั ออกไปอย่างกวา้ งขวางโดยวธิ กี ารต่างๆ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มีภูมิปัญญาในการทอผา้ ไหมลวดลายตา่ งๆตามถน่ิ ฐานของภมู ิปญั ญา น้นั จนเปน็ ทย่ี อมรับกันทั่วโลก แตล่ ะจงั หวัดมีการจัดงานผลติ ภัณฑห์ นึ่งตาบลหนึง่ ผลติ ภัณฑ์ ภาคกลาง มกี ารอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมการละเลน่ มากมาย เช่น ลิเก ราตดั เปน็ ตน้ ปัจจุบันไดม้ ีหลาย หนว่ ยงานทง้ั ภาครัฐและเอกชนมีการสนบั สนุนส่งเสรมิ ภูมิปัญญาแขนงน้ีให้เด็กและเยาวชนเรยี นรูก้ ารแสดง เหลา่ นี้เพ่ือใหส้ ืบทอดตอ่ ไป ภาคใต้ มกี ารสืบทอดการทาหนังตลุง การแสดงมโนราห์ มีการทาตวั หนงั ตลุงออกมามากมาย ทา เปน็ ของทีร่ ะลึกหรือของชาร่วย ใครเห็นกร็ ู้ว่าเป็นสินค้าที่มาจากฝมี อื ภูมิปัญญาของคนภาคใต้ สถานท่ีฝกึ อาชีพ ตัวอยา่ ง สถานทฝี่ ึกอาชีพของรฐั บาล 1. ศูนยก์ ารศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก “วทิ ยาลัย ในวัง” รบั ฝึกวิชาชีพเพ่อื การมีงานทา หลักสตู รระยะสัน้ 60 ช่ัวโมง ได้แก่ วชิ าชพี ลายไทยเบื้องต้น โถประดบั พลอย พื้นฐานการจดั ดอกไม้ การ ทาบายศรี (ผ้า) อาหารว่าง แกะสลกั ของอ่อน และการตกแต่งผลติ ภัณฑ์ ขนมอบ ปั้นต๊กุ ตาดินไทย เครือ่ งหอม ดอกไม้ประดิษฐ์ เครอ่ื งแขวน และศลิ ปะภาพนูนต่า (ผา้ ไทย) สอบถามรายละเอยี ด โทร. 0 2431 3623 ต่อ 14 โทรสาร 0 2431 3624 หรือ www.nfe.go.th/0415/ 2. ศนู ย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร ทัง้ 8 แหง่ ตดิ ต่อได้ที่ 2.1 ศูนยฝ์ ึกอาชีพกรงุ เทพมหานคร วดั ธรรมมงคลโทรศพั ท์ 0 2331 7573-4 2.2 ศนู ย์ฝึกอาชพี กรงุ เทพมหานคร สวนลมุ พินโี ทรศพั ท์ 0 2251 5849, 0 2251 5268 2.3 ศนู ยฝ์ ึกอาชีพกรุงเทพมหานคร วัดวรจรรยาวาสโทรศพั ท์ 0 2292 0194 2.4 ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร บางพลดั โทรศัพท์ 0 2423 2026 2.5 ศนู ยฝ์ กึ อาชพี กรุงเทพมหานคร จัตจุ ักร 2 (มนี บุร)ี โทรศัพท์ 0 2540 4375-6 2.6 ศนู ย์ฝกึ อาชพี กรุงเทพมหานคร วัดสุทธาวาส บางกอกน้อย โทรศัพท์ 0 2412 4611-2 2.7 ศนู ยฝ์ กึ อาชีพกรุงเทพมหานคร จตุจักร 1โทรศัพท์ 0 2272 4741, 0 2272 4742 2.8 ศูนยฝ์ ึกอาชพี กรงุ เทพมหานคร มหาวทิ ยาลัยรามคาแหงโทรศัพท์ 0 2369 2823-4 3. สถาบันพฒั นาฝีมือแรงงานจงั หวดั ทกุ แห่ง ตวั อย่าง สถานท่ฝี ึกอาชีพของเอกชน ซงึ่ มีคา่ ใช้จา่ ยในการฝึกอาชพี แต่ละอาชีพแตกต่างกนั ออกไป เชน่ 1. วชิ าชพี ของศนู ย์อาชีพและธุรกจิ มติชน สอบถามรายละเอียดที่ โทร.0 2589 2222, 0 2589 0492,0 2954 4999 ต่อ 2100, 2101, 2102, 2103
หนงั สอื เรียนวิชาเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจัดกลุม่ เพื่อพฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 11 2. คมชดั ลึก ฝึกอาชพี หนังสอื พมิ พ์ คม ชัด ลกึ “โครงการฝึกอบรมอาชีพระยะส้นั ”เปิดอบรม หลักสตู รเดด็ เคล็ดลับของสารพนั อาหาร งานฝีมือ และอีกหลายงานวชิ าชพี ติดตอ่ ศูนย์ลูกค้าเนช่ัน กรุป๊ 1854 ถ.บางนา-ตราด แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 โทร. 0 2338 3356-57 แฟกซ์. 0 2338 3942 3. สถานประกอบการ เชน่ สถาบันเสรมิ ความงาม สถาบันสอนอาหาร เป็นตน้ 4. สถานศึกษาในสงั กัดกระทรวงศึกษาธิการ เช่น วิทยาลัยเทคนิค, วทิ ยาลัยอาชวี ศึกษา , วทิ ยาลยั สารพดั ชา่ ง, วิทยาลยั การอาชีพ และสถานศกึ ษาในสงั กัด กศน.
หนังสอื เรียนวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจดั กลุ่มเพื่อพัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 12 กิจกรรมทา้ ยบทท่ี 1 เรอ่ื ง ลักษณะและประเภทของการรวมกลุ่ม 1.จงบอกลกั ษณะของการรวมกล่มุ ทอี่ ยู่ในชมุ ชนของผเู้ รยี น วา่ มีกล่มุ อะไรบา้ ง และเกิดประโยชนอ์ ะไรจาก การรวมกลุม่ (อยา่ งน้อย 2 กลมุ่ ) ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ 2. จงอธบิ ายลกั ษณะของกลุ่มอาชพี ท่ผี ู้เรยี นรจู้ ักในชมุ ชนมา 1 กลุ่ม ............................................................................................................................. ........................................... ................................................................................................................................................. ....................... ............................................................................................................ ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ......................................................................................................................................................... ............... .................................................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................. ........................................... ................................................................................................................................................................. ....... 3. จงอธบิ ายประเภทของกลุ่มอาชีพ ที่ผู้เรียนเข้าใจ มา 1 กลุ่มอาชีพ ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................
หนงั สือเรียนวิชาเลือก สาระการประกอบอาชพี รายวชิ าการจัดกล่มุ เพ่อื พัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 13 4.ให้ผูเ้ รยี นสารวจภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ ในชุมชนของตนเองแล้วบนั ทึกตามแบบฟอรม์ ที่กาหนดให้อย่างน้อย 5 อยา่ ง ที่ ชอื่ ภูมปิ ัญญาท้องถ่ิน ทอ่ี ยู่ ภมู ปิ ญั ญาเรอื่ ง ประโยชน์ 1 2 3 4 5 5. ให้ผู้เรียนสารวจสถานท่ฝี ึกอาชีพในชุมชนของตนเองหรือชมุ ชนใกล้เคียงแลว้ บันทึกตามแบบฟอรม์ ที่ กาหนดให้ อย่างน้อย 5 แห่ง ท่ี ชอ่ื สถานท่ฝี ึกอาชพี อาชพี ท่ีฝกึ ประโยชน์ 1 2 3 4 5
หนงั สือเรียนวิชาเลือก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจดั กลุ่มเพ่อื พัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 14 บทที่ 2 ความสาคัญของการรวมกลุ่มอาชีพ เรื่องท่ี 1 ความจาเปน็ ของการรวมกลุ่ม ความหมายของกลมุ่ ตามความเห็นของ Maciver and Page ได้อธิบายว่า กลุ่ม หมายถึง การรวมตัวของมนุษยช์ าตทิ ่ี ต้องสมั พันธต์ ิดต่อกบั บคุ คลอื่น เมอ่ื ไม่มคี วามสมั พนั ธ์ตดิ ต่อกับการรวมตวั ของมนุษยจ์ ะไม่เรียกวา่ กลมุ่ แบบของการรวมกลุ่มมคี วามสัมพนั ธท์ างสังคมเปน็ พน้ื ฐาน เทา่ นั้น ตามความเห็นของ Ogburn and Nimkoff เขาอธบิ ายว่า “บคุ คลต้งั แต่สองคนขึน้ ไปอยูร่ ่วมกัน และสัมพันธ์กับบุคคลอ่นื เรยี กว่า กล่มุ สงั คม” นกั สงั คมวทิ ยาบางท่านใหค้ วามหมายวา่ “กลุ่ม คือ คนจานวนหนึง่ มาอยูร่ วมกนั หรือกาลังรอคอย สิง่ ใดสงิ่ หนงึ่ ” หรอื “คนจานวนหนึง่ ทีม่ ลี ักษณะบางอยา่ งเหมอื นกัน” หรือ “คนจานวนหนึ่งซง่ึ มีแบบแผน บางอย่างรว่ มกันและมีการตอบโตซ้ ึ่งกนั และกัน” หรอื “กลุ่มคนจานวนหนงึ่ ซง่ึ มีความรูส้ ึกนึกคิดเปน็ พวก เดียวกนั และมีการกระทา โต้ตอบซ่ึงกันและกัน” สรุป ความหมายของกลุ่ม คือ กลมุ่ คนท่มี ิใชม่ คี วามใกล้ชิดกันทางร่างกายเท่านัน้ แตจ่ ะต้องมีการ กระทาโตต้ อบซ่งึ กนั และกนั มีการตดิ ต่อสัมพนั ธก์ นั ตามสถานภาพและบทบาท มีความรสู้ กึ เป็นพวก เดยี วกัน มีความเชอื่ ในด้านคุณคา่ ร่วมกันหรือคลา้ ยคลงึ กัน กลมุ่ สังคม ได้แก่ ครอบครวั กลุม่ เพื่อน กลมุ่ อาชีพ กลมุ่ เชื้อชาติ กลมุ่ ประชาชนของประเทศ เปน็ ตน้ การจาแนกประเภทของกลุ่ม เราเป็นสมาชิกของกลุ่ม ซงึ่ อาจเป็นดว้ ยสถานการณ์ของการจดั การทางสถิติ เราเปน็ สมาชิกของ กลุ่มอ่ืน ก็เพราะว่าเรามีความรู้สึกว่ามบี างสิง่ บางอย่างร่วมกันกับกลุ่มนั้น เราเป็นสมาชิกของอกี กลุ่ม เพราะเรามีความสัมพนั ธท์ างสังคมกบั กลมุ่ นนั้ เราเป็นสมาชิกของกลุ่มใดกลุม่ หนงึ่ เพราะวา่ เข้าร่วมเปน็ สมาชิกของกล่มุ และมีชื่อปรากฏเปน็ สมาชิกของกลุ่มนั้น เพราะฉะนั้น จงึ อาจจัดกลมุ่ ออกไดเ้ ป็น 4 กลุ่ม ดังตอ่ ไปนี้ 1) กลุ่มทางสถิติ (Statistical Group) 2) กลุม่ คนพวกเดียวกัน (Societal Group) 3) กลุ่มทางสังคม (Social Group) 4) กลมุ่ สมาคม (Associational Group)
หนังสือเรยี นวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กลุ่มเพ่ือพฒั นาอาชีพ รหสั ทร02002 15 อย่างไรก็ดี ช่ือทั้งสี่ข้างต้นอาจจะไม่ใช่ชื่อที่ดีหรือเหมาะท่ีสุด แต่เมื่อไม่สามารถจะแสวงหาชื่อที่ดีกว่านี้ ชื่อ ทั้งสี่ก็น่าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้างและก่อนอ่ืน เราควรจะได้ทราบว่าการจัดกลุ่มดังกล่าวน้ัน ข้ึนอยู่กับ ลกั ษณะทส่ี าคญั อยู่ 3 ประการ กลา่ วคือ 1. ความรู้สกึ เปน็ พวกเดียวกัน 2. การปะทะสงั สรรค์ทางสงั คม 3. การจัดระเบียบทางสงั คม 1) กลุ่มทางสถิติ (Statistical Group) เป็นกลุ่มท่ีสมาชิกมิได้จัดขึ้นด้วยตนเอง หากเป็นการจัดขึ้น โดยนักสังคมวิทยาและนกั สถติ ิ โดยปกตแิ ล้ว สมาชกิ ของกลุ่มไม่มีความรู้สกึ ว่าเปน็ สมาชกิ ของกลุ่มและไม่มี สิทธิหรือพันธะต่อกลุ่มแต่อย่างใด ขอยก ตัวอย่างเช่น กลุ่มคนที่เกิดในโรงพยาบาลและกลุ่มคนท่ีเกิดนอก โรงพยาบาล เหล่านี้เป็นต้น การจัดกลุ่มทางสถิติข้ึนนั้นก็เพื่อความมุ่งหมายของสถิติ จึงไม่สู้สาคัญในทาง สังคมวทิ ยานัก ประโยชน์ท่ีได้รับจากกลุม่ ทางสถติ ิ คือ ช่วยให้ทราบถงึ ลักษณะสาคัญบางประการของชุมชนได้ เช่น ชุมชน ทเี่ กิดในโรงพยาบาลร้อยละ 10 ยอ่ มแตกตา่ งจากชมุ ชนทไ่ี ม่เกิดในโรงพยาบาลรอ้ ยละ 90 เปน็ ต้น 2) กลุ่มคนพวกเดียวกัน (Societal Group) กลุ่มคนประเภทน้ีมีลักษณะแตกต่างไปจากลุ่มสถิติ คือ สมาชิกของกลุ่มคนพวกเดียวกันมีความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน ซ่ึงมีเครื่องแต่งกายเหมือนกันหรือมี ภาษาเดียวกัน กลุ่มน้ีมีความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน ท้ัง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและไม่มีการปะทะ สังสรรค์กัน ตลอดท้ังไม่มีการจัดระเบียบทางสังคม เช่น กลุ่มท่ีมีภาษาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ภาษาชาว เหนอื คนที่พูด ภาษาเหนอื อาจไม่รูจ้ ักกนั ก็ได้ แตพ่ อพดู ออกมาก็ร้ไู ดว้ ่าเป็นพวกเดียวกนั 3) กลุ่มทางสังคม (Social Group) การใช้คาว่า “สังคม” ก็เพื่ออธิบายว่า มีการติดต่อกันทาง สังคมและมีการปะทะสังสรรค์กันทางสังคม สมาชิกของกลุ่มประเภทนี้ นอกจากจะมีความรู้สึกเป็นพวก เดียวกันแล้ว ยังมีการปะทะสังสรรค์ทางสังคมอีกด้วย กลุ่มทางสังคมนี้ก็ได้แก่ กลุ่มเพ่ือนเล่น กลุ่มเพ่ือ นกั เรยี นร่วมชั้นเดียวกัน เปน็ ตน้ 4) กลุ่มสมาคม (Associational Group) กล่าวได้ว่า กลุ่มประเภทน้ีเป็นกลุ่มท่ีมีความสาคัญท่ีสุด ในสังคมเชิงซ้อนสมัยใหม่ ทั้งนี้เพราะว่า กลุ่มสมาคม (หรือสมาคม) เป็นกลุ่มที่ได้มีการจัดระเบียบหรือ องค์การ เป็นกลุ่มท่ีมีโครงสร้างอย่างเป็นทางการ เพราะฉะน้ัน กลุ่มสมาคมจึงมีลักษณะครอบถ้วนใน ความหมายทางสังคมวิทยา กล่าวคือ มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีการปะทะสังสรรค์ทางสังคม และมี การจัดกลมุ่ อย่างมรี ะเบยี บเพือ่ รักษาผลประโยชนข์ องกลุ่ม
หนงั สอื เรียนวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจดั กลุม่ เพื่อพฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 16 เรอื่ งที่ 2 ประโยชนจ์ ากการรวมกลุ่มอาชีพ การทางานเป็นกล่มุ จะช่วยให้งานทท่ี าประสบความสาเรจ็ งานจะดาเนนิ ไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคนจะมสี ว่ นรว่ มช่วยกนั คิดพจิ ารณาชว่ ยกันทางาน งานจะผิดพลาดน้อยลงเม่ือทางานเปน็ ระบบกลมุ่ อีกท้ังจะทาให้บคุ คลหรอื สมาชิกในกลุม่ นน้ั ๆ มีความรกั ความผูกพันเปน็ มิตรไมตรีต่อกัน มีความรกั สามัคคใี นหมูค่ ณะมากขึ้นดว้ ย หลกั การทางานกลุ่ม การทางานเปน็ กล่มุ ทจ่ี ะประสบผลสาเร็จดว้ ยดีนั้น ต้องอาศัยหลกั การ ดังน้ี 1. กระบวนการกลุม่ เปน็ การทางานซงึ่ อาศยั ความรคู้ วามสามารถของหมคู่ ณะโดยวิธกี าร หลายๆ อยา่ ง เชน่ การระดมพลงั สมอง การอภปิ ราย การประชมุ การทางานในรูปคณะกรรมการ โดย เปิดโอกาสให้สมาชิกทกุ คนได้แสดงความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของตนเองอยา่ งเตม็ ท่ี ซ่ึงจะ ช่วยแก้ปญั หาในการทางานได้ดี 2. การปฏบิ ตั ิตามขน้ั ตอน กล่าวคอื เม่ือรวมกลมุ่ แลว้ จะต้องมีการเลอื กประธาน รองประธาน เลขานุการ หรือตาแหนง่ อน่ื ๆ ตามความเหมาะสมและกาหนดบทบาทหน้าทีแ่ ตล่ ะคนใหช้ ดั เจน โดย สมาชกิ ทกุ คนชว่ ยกันเลอื กผู้มีความเหมาะสมขึน้ มา ซึ่งผูด้ ารงตาแหนง่ น้นั ๆ จะต้องปฏิบัติตามบทบาท หนา้ ท่ขี องตนใหด้ ที ี่สดุ 3. กระบวนการแกป้ ัญหา การทางานเปน็ กล่มุ จะราบรนื่ และบรรลุผล ตามตอ้ งการได้ ตอ้ ง อาศัยกระบวนการแก้ปัญหาท่ีมรี ะบบ ได้แก่ “กระบวนการคิดเปน็ ” ซึง่ หมายถงึ การแก้ปัญหา โดยตอ้ ง มขี อ้ มลู ประกอบในการคิดอย่างน้อย 3 ประการ ซึ่งได้แก่ ขอ้ มูลเก่ียวกบั ตนเอง ข้อมูลเกยี่ วกับด้าน สงั คม สง่ิ แวดล้อมและความรู้ด้านวิชาการ เพอื่ จะช่วยทาใหส้ ามารถตดั สนิ ใจแก้ปัญหาตา่ งๆ ให้สาเรจ็ อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 4. คุณธรม จรยิ ธรรม คือการเปน็ คนท่ีมีความเออ้ื เฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกอ้ื กูลกนั ร้จู ักเสียสละ เพอ่ื ประโยชนส์ ว่ นรวม การใชถ้ อ้ ยคาทีส่ ภุ าพอ่อนโยนเหมาะสมกับกาลเทศะ การสรา้ งสรรค์สิ่งทีด่ ีมี ประโยชนแ์ กก่ ันและกัน ความเสมอต้นเสมอปลาย วางตวั ไดเ้ หมาะสม รจู้ ักถ่อมตนสภุ าพไม่ถือตัว เป็น คนตรงตอ่ เวลาและซ่ือสตั ย์ต่องาน 5. การมีมนษุ ยส์ ัมพันธ์ คือ การเสรมิ สร้างความสมั พันธอ์ นั ดี และสามารถปรบั ตวั เขา้ กับผ้อู นื่ ไดเ้ พื่อจงู ใจผู้อน่ื ให้เกิดความร่วมมอื ในการทางานรว่ มกันเกิดความเข้าใจทด่ี ีต่อกัน ซ่งึ จะทาให้งานสาเรจ็ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ 6. วิธีการประชาธปิ ไตย คอื การเคารพในสิทธขิ องผอู้ ื่น ใหค้ วามเสมอภาคแก่ทกุ คน ต้อง เคารพกฏเกณฑ์ หรือกติกาท่ีกลุม่ ได้วางไว้ ปฏบิ ตั ติ ามเสยี งส่วนใหญข่ องกลมุ่
หนังสอื เรียนวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจัดกลุม่ เพ่อื พฒั นาอาชีพ รหสั ทร02002 17 กิจกรรมท้ายบทท่ี 2 เร่ือง ความสาคญั ของการรวมกลุ่ม 1.ให้ผเู้ รียนศกึ ษา รวบรวมข้อมูล การรวมกล่มุ อาชีพในชมุ ชน แลว้ บันทึก อธิบายลักษณะเด่นของกลุ่ม และแสดงข้อคิดเห็นมาพอเขา้ ใจ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................................................ ............ ....................................................................................................................... ................................................. ............................................................................................................................. ........................................... .................................................................................................................................................................... .... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ 2. ใหผ้ ู้เรียนอธบิ ายประโยชน์ท่ไี ดจ้ ากการรวมกลุ่มอาชีพ จากกลมุ่ อาชพี ตวั อยา่ ง และกลุ่มอาชีพท่ีมีอย่ใู น ชมุ ชนของผู้เรยี น ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ................................................................................................... .....................................................................
หนังสอื เรยี นวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจัดกลมุ่ เพือ่ พฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 18 บทที่ 3 การบริหารจัดการกลุ่ม สาระสาคัญ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การจัดการกลุ่มเพื่อพัฒนาอาชีพ เป็นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ ผเู้ รียนได้บูรณาการทักษะต่าง ๆ ไปพร้อมกบั การสร้างสถานการณ์ในการเรียนรอู้ ย่างสร้างสรรค์ โดยมีครู เป็นผู้ให้คาปรึกษา โดยให้ผเู้ รยี นได้ศึกษาเรียนรู้ การจัดการกลุ่มจากกลุ่มอาชพี ตา่ งๆที่มอี ยใู่ นชุมชน และ มเี จตคตทิ ่ีดีตอ่ การจดั การกลุ่มเพ่ือพฒั นาอาชีพ สามารถบริหารจดั การกลุ่ม อีกทงั้ สามารถวิเคราะห์ปัจจัย ท่ีเก่ียวข้องต่อความสาเร็จของกลุ่มและจัดการความเส่ียงท่ีจะเกิดจากการดาเนินการกลุ่มได้ ที่สาคัญ สามารถนาความรูท้ ่ีไดไ้ ปใช้ให้เกิดประโยชน์ตอ่ การพัฒนากลุม่ อาชีพต่างๆที่มีอยู่ในชมุ ชนของตนเองได้เป็น อย่างดี ผลการเรียนรูท้ ่คี าดหวงั เพื่อให้ผูเ้ รยี น มีความรู้ ความสามารถบริหารจัดการกลมุ่ ได้ ขอบขา่ ยเนื้อหา เรื่องท่ี 1 ปจั จัยเบื้องตน้ เกย่ี วกบั การดาเนินธรุ กจิ ของกลุ่มอาชพี เรอื่ งท่ี 2 การบรหิ ารเงินทนุ ของกลุ่มอาชพี เรอื่ งท่ี 3 การบริหารการผลิต เรอ่ื งท่ี 4 การบรหิ ารการตลาด เรือ่ งท่ี 5 การบริหารงานบุคคล
หนังสือเรยี นวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชพี รายวชิ าการจดั กล่มุ เพอื่ พฒั นาอาชีพ รหสั ทร02002 19 เรื่องที่ 1 ปัจจยั เบื้องต้นเกี่ยวกบั การดาเนนิ ธุรกิจของกลุ่ม การดาเนินธุรกจิ ต้องอาศยั หลาย ๆ ปจั จัยประกอบกัน จึงจะเกดิ กจิ กรรมในการประกอบธุรกิจ จะ ขาดปัจจัยใดปจั จัยหน่ึงไม่ได้ โดยท่ัวไปปจั จัยพน้ื ฐานในการดาเนินธุรกจิ มี 4 ประเภท ท่เี รยี กวา่ 4 M ได้แก่ 1. คน (Man) ถอื ว่าเปน็ ปัจจยั ทสี่ าคัญทส่ี ดุ เพราะธุรกิจต่าง ๆ เกดิ ขนึ้ ได้ต้องอาศยั ความคิดของ คน มีคนเป็นผูด้ าเนินการหรือเป็นผู้จัดการ จึงจะทาให้เกดิ กิจกรรมทางธรุ กจิ หลายรปู แบบ ซง่ึ ในวงจรธุรกิจ มคี นหลายระดับ หลายรูปแบบ ทั้งระดบั ผบู้ รหิ าร ผูใ้ ช้แรงงานรว่ มกนั ดาเนนิ การ จงึ จะทาให้ประสบความสาเรจ็ ในการประกอบธรุ กิจ 2. เงิน (Money) เงินทุนเปน็ ปจั จัยในการดาเนนิ ธรุ กิจอีกชนิดหน่งึ ทีต่ ้องนามาใชใ้ นการลงทนุ เพอ่ื ใหเ้ กิดการประกอบธรุ กิจโดยธรุ กจิ แตล่ ะประเภทใช้ปริมาณเงินทุกทีแ่ ตกต่างกัน ธรุ กจิ ขนาดใหญ่ย่อม ใช้เงินทุนสูงกว่าธรุ กจิ ขนาดเล็กกว่า ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกจิ จึงตอ้ งมีการวางแผนในการใช้เงินทุน และการ จดั หาเงนิ ทนุ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ เพ่ือทาให้การดาเนนิ ธุรกิจไม่ประสบปัญหา ดา้ นเงินทุน และก่อใหเ้ กดิ ผลตอบแทนสูงสุดคุ้มกบั เงนิ ที่นามาลงทนุ 3. วสั ดหุ รอื วตั ถุดบิ (Material) ในการผลติ สินค้าตอ้ งอาศยั วตั ถุดิบในการผลติ คอ่ นข้างมาก ผู้บริหารจงึ ต้องรจู้ ักการ บริหารวัตถดุ ิบใหม้ ีประสิทธิภาพ เพ่ือให้เกดิ ตน้ ทุนดา้ นวตั ถุดิบตา่ สดุ อันจะสง่ ผลใหธ้ รุ กิจมีผลกาไรสูงสุด ตามมา 4. วิธปี ฎบิ ตั งิ าน (Method) เป็นวิธกี ารในการปฎิบตั งิ านในแตล่ ะขน้ั ตอนของการดาเนินธรุ กจิ ซ่งึ ต้องมีการวางแผน และควบคุม เพ่ือให้การปฎบิ ัติงานมปี ระสิทธิภาพ เกิดความคลอ่ งตวั สอดคลอ้ งกับสภาพแวดล้อมทง้ั ภายในและภายนอกกจิ การ
หนังสือเรียนวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจัดกลุ่มเพอื่ พัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 20 เรื่องที่ 2 การบรหิ ารเงนิ ทุนของกลมุ่ อาชพี เงินทนุ หมายถึง เงินตราทอี่ งคก์ ารธรุ กิจจดั หามา เพื่อนามาใชใ้ นการดาเนนิ กิจการ โดยมี จุดประสงค์เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลตอบแทนจาการลงทุนอย่างคมุ้ ค่า เงินทุนมคี วามสาคัญต่อธรุ กจิ เพราะเป็นปัจจัย ในการดาเนนิ ธรุ กิจ ตัง้ แตเ่ ริ่มตั้งกิจการ และระหว่างดาเนินกจิ การ เงินทุนทาให้การผลติ การซ้ือขายเปน็ ไป อยา่ งมีประสิทธภิ าพและทาให้ธุรกิจขยายตัวได้อยา่ งรวดเร็ว ประเภทของเงินทนุ เงินทนุ ทีใ่ ช้ในการดาเนนิ ธรุ กิจแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภทคือ 2.1 เงนิ ทุนคงท่ี เงนิ ทนุ คงท่ีหมายถึง เงนิ ทนุ ที่องค์การธุรกจิ จดั หาเพื่อนามาใชใ้ นการจัดหาทรัพย์สนิ ถาวร ทรพั ยส์ ินถาวร หมายถึง สินทรพั ย์ทีอ่ ายุการใชง้ านนานเกนิ กวา่ 1 ปี ดงั นัน้ เงนิ ทุนคงที่ องค์การธรุ กจิ จงึ นามาใช้ในการลงทนุ ซ้ือที่ดิน สรา้ งอาคาร ซ้ือเครื่องจักร ซื้อเคร่ืองใช้สานักงาน เปน็ ต้น 2.2 เงินทนุ หมุนเวียน เงนิ ทนุ หมุนเวยี น หมายถงึ เงนิ ทนุ ท่ีองค์การธุรกจิ จัดหา เพอ่ื นามาใช้ในการจดั หาทรพั ยส์ นิ หมนุ เวยี นหรือใชใ่ นการดาเนินกิจการ ทรัพยส์ ินหมนุ วเวียน หมายถงึ สนิ ทรัพย์ท่อี ายุการใช้งานไมเ่ กนิ หนงึ่ ปี ดงั น้ัน เงินทนุ หมุนเวียน องคก์ ารธุรกจิ จึงนามาใชใ้ นการซื้อวัตถดุ ิบ ซื้อสินคา้ จา่ ยคา่ แรงงาน จ่ายค่าเบีย้ ประกันภัย จา่ ยค่าขนส่ง จส่ ยคา่ โฆษณา จา่ ยคา่ สาธารณูปโภค เปน็ ต้น การจัดหาเงินทนุ องค์การธรุ กิจสามารถจัดหาเงินทนุ เพือ่ นามาใช้ในการดาเนินการตามระยะเวลาได้ 2 ประเภท คอื เงนิ ทนุ ระยะส้ัน หมายถึง เงินทุนท่ีองค์การธรุ กิจจดั หา เพ่ือใชด้ าเนินงาน มีกาหนดระยะเวลาจา่ ยคนื ไม่ เกนิ 1 ปี ไดแ้ ก่ การจดั หาทรัพยส์ ินหมุนเวียน จ่ายเงนิ เดือนพนกั งาน ซ้ือวัตถุดบิ เพ่ือใช้ในการผลิตแหล่งใน การจดั หาเงินทนุ ระยะสนั้ ไดแ้ ก่ 1. ธนาคารพาณิชย์ การจัดหาเงินทนุ ระยะส้นั จากธนาคารพาณชิ ย์ขององคก์ าร ธรุ กิจแบง่ เปน็ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี 1.1 การเบิกเงินเกินบัญชธี นาคาร คอื องค์การธรุ กิจมีบญั ชเี งินฝากธนาคารประเภทกระแสรายวนั เมือ่ องค์การธุรกจิ มีความตอ้ งการเงนิ ทุนระยะส้ัน สามารถทาข้อตกลงกับธนาคารขอเบอกเงนิ มากกว่า จานวนทฝี่ ากไว้ โดยธนาคารอาจขอให้ใช้หลกั ทรัพย์บุคคลมาคา้ ประกัน และธนาคารคิดดอกบเบยี้ จาก จานวนเงินที่เบิกเกนิ บัญชเี งนิ ฝากไปใช้
หนังสอื เรยี นวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจดั กลุม่ เพือ่ พัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 21 1.2 การนาสินค้นหรอื ใบรับสินค้าคา้ ประกันการกู้ คือ องค์การธุรกจิ กู้เงินจากธนาคารโดยนาสนิ คน้ หรอื สลักหลังใบรับสินค้าเปน็ หลักประกนั การกูจ้ ากธนาคาร กาหนดการชาระเงินเม่อื จาหน่ายสินคา้ ได้ 2. ใชเ้ อกสารเครดิต คอื องค์การธรุ กิจใช้เอกสารเครดติ ในการกู้เงนิ จากเจา้ หนีเ้ อกสารทีใ่ ชใ้ นการกู้ ระยะสนั้ ไดแ้ ก่ เชค็ ลงวันที่ลว่ งหน้า การขายลดตว๋ั เงินให้ธนาคารหรือสถาบันการเงิน ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ให้เจา้ หนี้ 3. สนิ เชือ่ ทางการคา้ คอื องค์การธรุ กิจจัดหาเงนิ ทุนระยะสนั้ ไดต้ ามประเพณกี ารคา้ โดยการซื้อ สินค้าเป็นเงนิ เชอื่ ไดส้ นิ คา้ ก่อนชานะเงินภายหลงั หรือการรบั รองต๋วั แลกเงนิ ทีเ่ จ้าหนีเ้ ป็นผอู้ อก เงนิ ทุนระยะยาว เงินทุนระยะยาว (Long Term Financing) หมายถึง เงินทุนท่ีองค์การธุรกจิ จัดหามีกาหนด ระยะเวลาจา่ ยคนื เกนิ กวา่ 5 ปี แหล่งในการจัดหาเงนิ ทุนระยะยาว ไดแ้ ก่ 1. เจ้าของทุนองค์การธุรกิจ โดยการเพ่มทุนของเจ้าขององค์การธรุ กจิ ประเภทเจ้าของคนเดยี ว หา้ งหุ้นส่วน และ การออกจาหน่ายหนุ้ ทนุ ขององคก์ ารธุรกจิ ประเภทบริษัทจากัด หุ้นทุนของบรษิ ัท ได้แก่ 1.1 หนุ้ สามัญ บรษิ ัทออกหนุ้ สามญั จาหนา่ ยให้แกป่ ระชาชน เพื่อนาเงินไปเป็นทนุ ของบริษทั โดยผู้ถอื หุน้ สามัญมีสิทธิ ออกเสยี งในทปี่ ระชมุ บรษิ ัท และได้รบั เงินปันผลในกรณีบริษทั มีกาไร แต่อตั ราเงินปนั ผลของห้นสามัญไม่ กาหนดแน่นอน 1.2 หุน้ บรุ มิ สิทธิ บรษิ ทั ออกหุ้นบุริมสิทธิจาหน่ายให้แก่ประชาชน เพอ่ื นาเงนิ ไปเป็นทนุ ของ บรษิ ัท โดยผถู้ อื หุ้นบุรมิ สิทธิ ไมม่ ีสิทธิออกเสียงในทป่ี ระชุมบรษิ ัท และรบั เงินปันผลเปน็ อัตราแน่นอน 2. ธนาคารพาณิชยห์ รอื สถาบนั การเงนิ อ่นื องค์การธรุ กิจสามารถจัดหารเงนิ ทุนระยะยาวไดโ้ ดย การกูย้ ืมจากธนาคารพาณชิ ย์หรือ สถาบันการเงนิ อนื่ โดยมีหลกั ทรัพย์คา้ ประกันในการกู้ยืม เชน่ ทด่ี ิน อาคาร เป็นต้น 3. จาหน่ายพันธบตั ร องค์การธุรกิจสามารถจัดหาเงินทนุ ระยะยาวได้ โดยออกเอกสารจาหนา่ ย ใหแ้ กป่ ระชาชน ผ้ถู ือพนั ธบตั ร มสี ภาพเป็นเจ้าหนีข้ ององค์การธุรกิจ ผลตอบแทนท่ีได้รับคือ ดอกเบีย้ ท่มี ีอัตราแนน่ อน ไม่ว่าองค์การธุรกจิ จะมกี าไรหรือขาดทนุ 4. กูย้ ืมจากรัฐบาล รฐั บาลมนี โยบายใหอ้ งค์การธุรกจิ ขนาดเล็กกรู้ ะยะยาวโดยคดิ ดอกเบ้ียใน อตั ราตา่ เพอ่ื สง่ เสริมการขยายตัวของธรุ กจิ
หนังสือเรยี นวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กล่มุ เพ่ือพัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 22 เรอ่ื งที่ 3 การบรหิ ารการผลิต การบริหารการผลติ เป็นส่วนหน่งึ ในหนา้ ท่หี ลักของการบริหารธรุ กจิ และองคก์ ารอันมีพันธะกิจ (Mission) คอื ผลกาไรที่ทาให้องค์การอยรู่ อดและเจรญิ เตบิ โตไดใ้ นระยะยาว เม่อื มีการแยกพนั ธะกิจ ออกเป็นวัตถปุ ระสงคข์ องแต่ละหน้าท่หี ลักจะพบว่า ฝา่ ยการตลาด : วตั ถุประสงค์หลัก คือ การขยายตัวของส่วนแบง่ ตลาด (Market Share) และความ พงึ พอใจของลูกคา้ (Customer Satisfaction) ฝ่ายการเงนิ : วัตถุประสงคห์ ลักคือ ความสามารถในการทากาไร (Profitability) และการรักษา สภาพคล่องของธรุ กิจ (Liquidity) การผลติ เปน็ การสรา้ งสรรคส์ ินคา้ และบริการเพ่ือตอบสนองความตอ้ งการมนุษย์ ผูซ้ งึ่ มีความ ต้องการอยา่ งไม่สน้ิ สดุ แตเ่ น่ืองจากการมีทรพั ยากรทีม่ ีอยู่อยา่ งจากัดนั้น จงึ ไดเ้ ขา้ มาเป็นตวั กาหนดบทบาท ในกระบวนการผลติ เปน็ อย่างมาก ดงั น้นั จึงทาใหเ้ กิดการบริหารการผลติ เพอื่ ช่วยใหผ้ ลผลติ ทอี่ อกมามี คณุ ภาพ และตรงตามความต้องการของมนษุ ย์ อกี ประการหนึ่งยงั เปน็ การช่วยใหเ้ รานาเอาทรัพยากรท่ีมอี ยู่ อยา่ งจากัดน้ัน มาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนส์ ูงสุดอกี ดว้ ย โดยการผลติ มีการแปรรปู ปัจจยั นาเข้าตา่ งๆ ประเภทของการผลติ ประเภทของการผลิตแบ่งตามลกั ษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ การผลิตตามคาส่ังซื้อ (Made-to-order) เป็นการผลิตท่ีคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์จะ เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย การเตรียมการผลิตและวัตถุดิบที่ต้องการจะใช้ ตลอดจนกระบวนการผลิตจึงไม่สามารถคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าได้ เครื่องจักรอุปกรณ์ที่ใช้ต้องเป็นแบบ อเนกประสงค์ และผู้ผลิตต้องมีความสามารถและความชานาญหลายอย่าง เพ่ือทาการผลิตสิ่งที่ลูกค้า ต้องการได้ ตวั อยา่ งของการผลิตตามคาส่ังซ่ือได้แก่ การตัดเยบ็ ชุดวิวาห์ การรับสร้างบ้านบนที่ดนิ ของลูกค้า การทาผม ฯลฯ การผลิตเพ่ือรอจาหน่าย (Made-to-stock) เป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณลักษณะเป็น มาตรฐานเดียวกันตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่ การจัดหาวัตถุดิบและการเตรียม กระบวนการผลิตสามารถทาได้ล่วงหน้า เคร่ืองจักรอุปกรณ์จะเป็นเคร่ืองมือเฉพาะงานและผู้ผลิตถูกอบรม มาเพ่ือทางานตามหน้าที่เฉพาะอย่าง ตัวอย่างของการผลิตเพื่อรอจาหน่ายได้แก่การผลิตสบู่ การผลิต รถยนต์ การผลิตเส้ือผ้าเครอ่ื งแบบนกั เรยี น ฯลฯ การผลิตเพ่ือรอคาสั่งซื้อ (Assembly-to-order) เป็นการผลิตชิ้นส่วนท่ีจะประกอบเป็น สนิ ค้าสาเร็จรูได้หลายชนิด ซึ่งชิ้นส่วนเหล่าน้ันจะมีลักษณะแยกออกเป็นส่วนจาเพาะหรือโมดูล (Module) โดยผลิตโมดูลรอไว้ก่อน เมื่อได้รับคาส่ังซ้ือจากลูกค้าจึงทาการประกอบโมดูลให้เป็นสินค้าตามลักษณะที่ ลูกค้าต้องการ จึงนับได้ว่าการผลิตเพ่ือรอคาส่ังซื้อได้นาเอาลักษณะของการผลิตเพื่อรอจาหน่ายซ่ึงมีการ
หนงั สือเรยี นวิชาเลือก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจัดกลุ่มเพือ่ พัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 23 ผลิตชิ้นส่วนเป็นโมดูลมาตรฐานท่ีใช้ประกอบเป็นสินคา้ หลายชนิดรอไว้มาผสมเข้ากับลักษณะของการผลิต ตามคาสั่งซื้อซ่ึงนาโมดูลมาประกอบ และแต่งเติมรายละเอียดให้สินค้าสาเร็จรูปมีความแตกต่างกันไปตาม ความต้องการของลูกค้าเฉพาะราย ตัวอย่างการผลิตเพ่ือรอคาสั่งซื้อ ได้แก่ การผลิตเคร่ืองใช้ไฟฟ้า หลาย รุ่นที่มกี ารใช้อะไหลเ่ หมอื นกัน ประเภทของการผลติ แบ่งตามลักษณะของระบบการผลติ และปริมาณการผลิต การผลิตแบบโครงการ (Project Manufacturing) เป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่ ราคาแพง และมีลักษณะเฉพาะตามความต้องการของลูกค้าเฉพาะราย เช่น การสร้างเข่ือน การสร้างทาง ด่วน การต่อเรือดาน้า การต่อเคร่ืองบิน ฯลฯ การผลิตแบบโครงการมักมีปริมาณการผลิตต่อครั้งน้อยมาก หรือผลิตครั้งละชิ้นเดียวและใช้เวลานาน การผลิตจะเกิดขึ้นที่สถานท่ีตั้งของโครงการ (Site) เม่ือเสร็จงาน โครงการหน่ึงจึงย้ายทั้งคนและวัสดุส่ิงของเครื่องมือต่าง ๆ ไปรับงานใหม่ เครื่องมือที่ใช้จึงเป็นแบบ อเนกประสงค์ซึ่งเคลื่อนย้ายได้ง่าย และคนงานต้องสามารถทางานได้หลายอย่างจึงต้องใช้แรงงานมีฝีมือท่ี ผ่านการอบรมอยา่ งดี การผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง (Job Shop หรือ Intermit ten Production) เป็นการผลิต ผลิตภัณฑ์ท่ีมลี ักษณะหลากหลายตามความต้องการของลกู คา้ โดยมีปริมาณการผลิตต่อครัง้ เป็นลอ็ ต มีการ เปล่ียนผลิตภัณฑ์ท่ีผลิตค่อนข้างบ่อย และผลผลิตไม่มีมาตรฐานมากนัก เช่น การบริการคนไข้ท่ีเข้ารับการ รักษาในโรงพยาบาล เครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ จะถูกรวมกันตามหน้าท่ีการใช้งานไว้ในสถานีการผลิตแยก เป็นหมวดหมู่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของผังโรงงานในจุดท่ีจะสามารถทาให้กระบวนการผลิตทุกผลิตภัณฑ์ สามารถดาเนินไปตามขั้นตอนการผลิตท่ีกาหนดไว้อย่างคล่องตัว การเดินเครอื่ งจักรผลิตจะผลิตสินค้าชนิด หนงึ่ จนได้ปริมาณตามท่ตี ้องการแล้วจงึ เปลีย่ นไปผลติ สินคา้ ชนดิ อน่ื โดยใช้เคร่อื งจกั ชุดเดมิ การผลิตแบบกลุ่ม (Batch Production) เป็นการผลิตท่คี ลา้ ยกับการผลติ แบบไม่ตอ่ เนื่อง มาก จนบางครั้งจัดเป็นการผลิตประเภทเดียวกัน แต่จะแตกต่างกนตรงท่ีการผลิตแบบกลุ่มจะมี ลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ท่ีผลิตแยกเป็นกลุ่ม ๆ ในแต่ละกลุ่มจะผลิตตามมาตรฐานเดียวกันท้ังล็อต ในขณะที่การผลิตแบบไม่ต่อเน่ืองจะมีลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์หลากหลายมากกว่า ลักษณะการจัด เครื่องจักรอุปกรณ์ของการผลิตแบบกลุ่มจะเหมือนกับการผลิตแบบไม่ต่อเนื่องคือจัดเครื่องจักรตามหน้าท่ี การใช้งานเป็นสถานีแล้วงานจะไหลผ่านไปแต่ละสถานีตามลาดับขึ้นตอนของงาน และเน่ืองจากการผลิต แบบกลุ่มเป็นการผลิตของเป็นลอ็ ต ขน้ั ตอนการผลิตจึงมีแบบแผนลาดับเหมือนกันเป็นกลมุ่ ๆ ตามล็อตการ ผลิตเหล่าน้ัน การผลิตแบบกลุ่มน้ีใช้ได้กับการผลิตตามคาสั่งซ้ือและการผลิตเพ่ือรอจาหน่าย เช่น การเย็บ เสอื้ โหล เป็นต้น การผลิตแบบไหลผ่าน หรือการผลิตตามสายการประกอบ หรือการผลิตแบบซ้า (Line- Flow หรือ Assembly หรือ Repetitive Production) เป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกันในปริมาณมาก เช่น การผลิตแชมพู การผลิตรถยนต์ การผลิตเครื่องซักผ้า การผลิตแบบไหลผ่านจะมีเครื่องจักอุปกรณ์ เฉพาะของแต่ละสายผลิตภัณฑ์แยกต่างหาก โดยไม่มีการใช้เครื่องจักรร่วมกันเคร่ืองจักรอุปกรณ์จะเป็น
หนงั สอื เรยี นวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจัดกลมุ่ เพือ่ พัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 24 แบบเฉพาะงานสาหรับแต่ละสายผลิตภัณฑ์เพ่ือการผลิตท่ีรวดเร็ว และได้ปริมาณมาก การผลิตแบบน้ีจะ เหมาะสมกับการผลิตเพื่อรอจาหน่ายหรือใช้ในการประกอบโมดูลในการผลิตเพ่ือรอคาสั่งซ้ือจากลูกค้า ต่อไป การผลิตแบบต่อเนื่อง (Continuous Process หรือ Continuous Flow Production) เป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวในปริมาณท่ีมากมายอย่างต่อเน่ืองโดยใช้เคร่ืองจักรเฉพาะอย่าง ซึ่งมักจะ เป็นการผลิตหรือแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นวัตถุดิบในการผลิตขั้นตอนต่อไป เช่น การกล่ันน้ามัน การผลิตสารเคมี การทากระดาษ ฯลฯ
หนังสือเรยี นวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจัดกลมุ่ เพอ่ื พฒั นาอาชีพ รหสั ทร02002 25 เรื่องที่ 4 การบรหิ ารการตลาด ในข้นั ตอนของการบริหารการตลาดนน้ั ใชห้ ลกั เกณฑ์เหมอื นกับการบริหารทวั่ ไป ซึ่งประกอบด้วยการวางแผนการตลาด การปฏิบัติการทางการตลาด และการประเมินผลการดาเนินงาน ทางการตลาด ข้ันตอนในการบริหารการตลาด จะเก่ียวข้องกับคา 2 คา คือ การตลาด กับการจัดการ หรือการบริหาร การจัดการ หรือ การบริหาร ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Management มีความหมายคล้าย กับคาว่า Administration ซึ่งหมายถึง \"กระบวนการวางแผน การปฏิบัติตามแผน และการประเมินผล ตามลาดบั ซึ่งขนั้ ตอนในการบริหารการตลาดสามารถอธบิ ายไดด้ ังนี้ การวางแผน (Planning) ประกอบด้วยการกาหนดจดุ มุ่งหมาย (Goals) หรอื วัตถุประสงค์ การเลือกกลยุทธ์ และยุทธว์ ิธี เพื่อใหบ้ รรลจุ ดุ มงุ่ หมายโดย รายละเอยี ดดงั นี้ วัตถุประสงคแ์ ละจดุ มุ่งหมาย คือความมงุ่ หมายที่ได้จาแนกรายละเอยี ดในการปฏบิ ตั ิงาน ไว้ เชน่ ตอ้ งการสว่ นครองตลาด 25% จดุ มุ่งหมาย เปน็ การกาหนดเป้าหมายการทางานทีก่ ระชับกว่า วตั ถปุ ระสงค์ หรืออาจกล่าวไดว้ า่ จุดม่งุ หมายเปน็ การกาหนดวตั ถุประสงคร์ องเพอ่ื ใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ หลัก แตอ่ ยา่ งไรก็ตามทั้งสองคานม้ี ีความคล้ายคลงึ กันกลา่ วคอื \"เปน็ สิ่งที่ต้องการได้รับหรอื คาดหมายเอาไว้ ในอนาคต\" และสองคานส้ี ามารถใชแ้ ทนกันได้ กลยทุ ธ์ (Strategies) หมายถึง \"แผนการปฏิบตั ิงานท่ีองคก์ รกาหนดเพ่ือใหบ้ รรลุ จดุ ม่งุ หมาย\" ถ้าวัตถุประสงค์กาหนดไว้ว่าปหี น้าต้องการยอดขายเพิ่มเปน็ 10% จากปที ผี่ ่านมา กลยุทธน์ ้ี อาจเปน็ การเพม่ิ ความพยายามทางการตลาดโดยการส่งเสริมการตลาดในรูปโฆษณาและสง่ เสริมการขาย ยทุ ธวิธี (Tactics) \"เป็นวธิ กี ารนาเอารายละเอยี ดของกลยุทธม์ าปฏิบตั \"ิ ยุทธวิธจี ะแสดง รายละเอียดและมลี ักษณะเฉพาะเจาะจงยิง่ กวา่ กลยทุ ธ์ และใช้ยุทธวธิ ภี ายในชว่ งเวลาส้นั กว่ากลยุทธ์ โปรแกรม (Program) หมายถึงแผนงานท่ีมีความสมบรู ณ์ เปน็ แผนท่รี วมนโยบายกล ยทุ ธ์ วธิ กี ารปฏิบัติ มาตรฐาน งบประมาณและสว่ นประกอบอนื่ ๆ เข้าด้วยกัน เพ่ือใหบ้ รรลุวัตถุประสงค์ ขององค์กร ในแต่ละวตั ถปุ ระสงคจ์ ะต้องกาหนดว่า จะทาอะไร จะทาเมื่อใด จะทาโดยใคร จะทาอย่างไร และสน้ิ เปลอื ง คา่ ใชจ้ ่ายเทา่ ใด นโยบาย (Policy) หมายถึง \"หลักการท่ีกาหนดขอบเขตอย่างกว้าง ๆ เพ่ือเป็นแนวใน การปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร\" นโยบายจึงเสมือนเป็นแนวทางในการกระทาหรือการ ดาเนินงาน นโยบายจะเป็นท่ยี อมรับสาหรับทุกระดับในองค์กรหนึ่ง ตั้งแต่ประธานจนถึงพนกั งาน นโยบาย จะเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการผลิต การเงิน การตลาดและการบุคลากร ซ่ึงฝ่ายต่าง ๆ จะใช้เป็นแนวทางอย่างกว้าง ๆ ในการดาเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายน้ีการปฏิบัติการ ประกอบด้วย การกาหนดรูปแบบโครงสร้างองค์กร การจัดบุคคลเข้าทางาน และการปฏิบัติการตามแผน การประเมินผล การทางาน เป็นข้ันตอนท่ีประสานงานในกระบวนการบริหาร กล่าวคือ เปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานกับ จดุ มงุ่ หมาย การประเมนิ ผลจึงเป็นตัวเช่ือมระหวา่ งการทางานในอดีตและการวางแผนการทางานในอนาคต
หนงั สอื เรยี นวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กลุ่มเพ่อื พัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 26 การบริหารการตลาด หมายถึงกระบวนการวางแผนการตลาด การปฏิบัติการตามแผนการตลาด และการ ประเมินผลการทางานทางการตลาด ให้บรรลุจุดมุ่งหมาย จะเห็นว่าความหมายของการบริหารการตลาด เป็นการนากระบวนการบริหาร 3 ข้ันตอนมาใช้กับการตลาดนั่นเองข้ันตอนในการบริหารการตลาดก็จะใช้ หลักเกณฑ์ เดยี วกับข้ันตอนในการบรหิ ารงานทวั่ ไป ซง่ึ ประกอบดว้ ย ขน้ั ท่ี 1 การวางแผนการตลาด ขั้นที่ 2 การปฏบิ ตั ิการทางการตลาด ขน้ั ที่ 3 การประเมินผลการทางานทงการตลาด 4.1 การวางแผนการตลาด กระบวนการวางแผนการตลาด ประกอบดว้ ยขั้นตอน คือ (1) วเิ คราะห์สถานการณ์ (2) การพิจารณาวตั ถปุ ระสงค์ทางการตลาด (3) การเลือกตลาดเปา้ หมายและวัดขนาดความตอ้ งการซื้อของตลาด (4) การออกแบบส่วนประสมทางการตลาด (5) การจัดเตรียมแผนการตลาดสาหรับป\"ี การวเิ คราะห์สถานการณ์ หมายถงึ การสารวจโปรแกรมการตลาดใน ปจั จบุ ันของบริษัทเพื่อพจิ ารณาวา่ โปรแกรมการตลาดในอนาคตควรจะเปน็ อยา่ งไร รวมทั้งตอ้ งวเิ คราะห์ สงิ่ แวดล้อมภายใน(สว่ นประสมทางการตลาดหรอื ปัจจัยทางการตลาดและสิ่งแวดลอ้ มภายในอ่ืน นอกเหนือจากปัจจัยทางการตลาด) และส่งิ แวดล้อมภายนอก (ส่งิ แวดล้อมจลุ ภาคและสง่ิ แวดลอ้ ม มหภาค) ท่มี อี ิทธพิ ลตอ่ โปรแกรมการตลาด การพจิ ารณาวตั ถปุ ระสงคท์ างการตลาด เป็นการกาหนดเป้าหมายทางการตลาดซ่ึงต้องเป็นจริง มลี กั ษณะเฉพาะเจาะจงและวัดได้ ตวั อย่างวตั ถุประสงค์ทางการตลาดของบริษัทขายนา้ ยาปรับผ้าน่มุ ประกอบดว้ ย ต้องการรายได้จากการขาย 9 ล้านบาทยอดขายเพ่ิมขนึ้ จากปที ่ผี ่านมา10% ปริมาณการขาย 70,000หนว่ ย คิดเปน็ สว่ นคลองตลาด 5% สามารถขยายการรบั รขู้ องผบู้ รโิ ภคในตรายี่ห้อจาก 15% เพมิ่ เปน็ 30% สามารถขยายจานวนร้านค้าปลกี เปน็ 10% ฯลฯ
หนังสอื เรียนวิชาเลือก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจัดกล่มุ เพอ่ื พัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 27 การเลอื กตลาดเปา้ หมายและวดั ความตอ้ งการซอื้ ของตลาด เป็นการวิเคราะห์ตลาดในปัจจุบนั เพอ่ื หาโอกาสในตลาดทคี่ าดหวงั แล้วเลอื กตลาดทีธ่ รุ กจิ มีความสามารถท่ีจะตอบสนองความพอใจในตลาด นั้นได้ การออกแบบส่วนประสมทางการตลาดและยทุ ธวิธกี ารตลาด) เป็นงานที่เก่ียวขอ้ งกับส่วน ประสมการตลาด(4'Ps) เพื่อใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไว้ กลา่ วคอื สามารถสนองความต้องการของ ตลาดเป้าหมายให้พงึ พอใจและสามารถบรรลจุ ดุ มงุ่ หมายของตลาด โดยมีจุดเริม่ ตน้ ที่การกาหนดและ วิเคราะห์ตลาดเปา้ หมาย แลว้ จึงพัฒนาโปรแกรมทางการตลาดและส่วนประสมการตลาดเพ่อื สนองความ ตอ้ งการของตลาดเปา้ หมายนั้น โดยมีวัตถุประสงคท์ างการตลาดคอื ความพึงพอใจของลูกคา้ การวางแผนการตลาดสาหรบั ปี เป็นแผนรวมกจิ กรรม การตลาดของทง้ั ปสี าหรับธรุ กิจ หรอื ผลิตภัณฑ์หนึ่งอย่าง ในแผนประกอบด้วย (1) การกาหนดวัตถปุ ระสงค์ (2) การกาหนดตลาดเป้าหมาย (3) กลยุทธแ์ ละยุทธวิธีการตลาด (4) ข้อมูลเกี่ยวกบั งบประมาณท่ีใชส้ าหรบั กิจกรรมการตลาดการปฏบิ ัตกิ ารทางการตลาด 4.2 การปฏบิ ัตกิ ารทางการตลาด เป็นขนั้ ตอนท่ีสองในการบริหารการตลาดมีกิจกรรมที่สาคัญ 3 ประการ คือ 1. การจดั องค์กรทางการตลาด 2. การจัดบุคคลเข้าทางานในองค์กรนั้น 3. การปฏิบตั ิการทางการตลาด โดยมีรายละเอยี ดดังน้ี 1. การจัดองคก์ รทางการตลาด การจดั องคก์ รทางการตลาด หมายถงึ การกาหนดภาระหน้าที่และโครงสร้างทาง การตลาดขององค์กร โดยถอื เกณฑ์การตลาด เป็นวิธีการการจดั องค์กรตลาดที่ใช้กนั แพร่หลายมาก ตาแหนง่ ทีส่ ูงสดุ ดา้ นการตลาด คือรองประธานด้านการตลาด และกาหนดหน้าทใ่ี ห้กบั ผจู้ ัดการฝ่ายต่างๆ ตามหนา้ ที่ ประกอบด้วย ผู้จัดการฝ่ายโฆษณา ผจู้ ดั การฝ่ายสง่ เสริมการขาย ผจู้ ัดการฝ่ายวจิ ัยการตลาด ผู้จัดการฝา่ ยการขาย ผู้จดั การฝ่ายกระจายตวั สนิ คา้ ผจู้ ดั การฝ่ายกจิ กรรมการตลาดอนื่ ๆ ผ้จู ัดการแต่ละ ฝา่ ยจะควบคมุ งานแต่ละฝ่าย เช่น ผจู้ ดั การฝา่ ยการขายจะควบคุมแตล่ ะหน่วยงานการขายภาคสนาม เปน็ ตน้ การจดั องคก์ รตลาดตามภมู ศิ าสตร์ เปน็ การกาหนดภาระหนา้ ทแี่ ละโครงสร้างของ องค์กรการตลาดตามอาณาเขตทางภมู ิศาสตร์ ตาแหน่งสงู สุดคือ ผู้บริหารการตลาดระดบั สงู จะควบคมุ ผูจ้ ดั การฝ่ายต่างๆ ซึ่งมกี ารแบ่งองค์กรการตลาดตามหนา้ ที่กอ่ น ในส่วนท่ีเป็นฝ่ายการขายทัว่ ไป จะแยก
หนังสือเรียนวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจดั กลมุ่ เพือ่ พัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 28 งานความรบั ผิดชอบตามเขตภูมิศาสตร์ ตัวอยา่ งเช่นผู้จดั การภาคเหนือ ผู้จัดการภาคใต้ ผู้จดั การภาค ตะวันออก ผู้จัดการภาคตะวันตก ผู้จดั การภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ผูจ้ ดั การภาคกจ็ ะควบคุมดแู ล พนักงานขายประจาภาคของตน การจัดองคก์ รการตลาดตามผลติ ภัณฑ์หรือตรายี่ห้อ เป็นการกาหนดภาระหน้าทแี่ ละ โครงสร้างขององคก์ รการตลาด โดยแยกประเภทตามลักษณะผลิตภัณฑ์หรือตรายห่ี ้อ ถือว่ามกี ารจัด โครงสร้างองค์กรตามผลิตภณั ฑก์ ล่าวคือ ผจู้ ดั การฝ่ายผลติ ภณั ฑ์ ก ข ค อยภู่ ายใต้ผจู้ ัดการฝา่ ยขายท่ัวไป หรแื ยกเป็นผู้จดั การฝา่ ยผลติ ภัณฑข์ ้นึ ตรงต่อผู้บริหารการตลาดระดบั สูงก็ได้ การจัดองค์กรการตลาดตามประเภทลูกคา้ เป็นการกาหนดภาระหนา้ ทแี่ ละโครงสร้าง ขององค์กรการตลาด โดยแยกตามกลุ่มลกู คา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ตวั อยา่ งผจู้ ดั การฝา่ ยขายทว่ั ไปสาหรับรถ กระบะจะแยกภาระความรบั ผดิ ชอบตามประเภทลูกค้า เช่น ผู้จดั การขายสาหรบั ผบู้ ริโภค ผู้จดั การขาย สาหรบั กลุ่มเกษตรกร ผู้จดั การขายสาหรับกลุ่มธุรกิจ ผจู้ ดั การขายสาหรับกลุ่มขา้ ราชการ เป็นต้น การจดั โครงสรา้ งการตลาดโดยอาศัยหลกั เกณฑ์หลายวิธรี ว่ มกัน มักจะใชใ้ นธุรกิจขนาดกลาง และใหญ่ โครงสร้างขององคก์ รการตลาดซ่งึ แยกตามหน้าทรี่ ่วมกบั ผลติ ภณั ฑ์ 2. การจดั หาบคุ คลเขา้ ทางาน การจัดหาบุคคลเขา้ ทางาน ประกอบดว้ ย การสรรหา และคดั เลือกบคุ คลเข้าทางาน ในองคก์ ร ในกระบวนการคดั เลือกบคุ คลเป็นส่งิ สาคญั มากโดยเฉพาะหนว่ ยงานขายเพราะหนว่ ยนีเ้ ปน็ หนว่ ยท่ีสรา้ งรายได้และกาไรโดย เหตนุ ้ีจงึ เป็นสง่ิ สาคญั ทจ่ี ะตอ้ งมโี ปรแกรมการคัดเลือกหนว่ ยงานขายที่ดีเน่อื งจาก - พนักงานที่ดียากทจี่ ะสรรหาและทาให้เกิดความลาบากในการคดั เลือกด้วย - การทไี่ ดพ้ นักงานท่ีไมม่ ีคุณภาพเมือ่ เลื่อนตาแหน่งเปน็ ผจู้ ดั การก็จะกลายเปน็ ผ้จู ัดการไม่มคี ณุ ภาพ - การคัดเลือกท่ดี จี ะทาใหง้ านการบริหารงา่ ยขน้ึ พนกั งานที่ไดร้ ับการคดั เลือกทด่ี จี ะง่ายต่อ การฝกึ อบรม ควบคมุ และจูงใจ - การคัดเลือกที่ดี โดยทัว่ ไปจะลดอัตราการออกจากงานและลดต้นทนุ ในการสรรหา การ คัดเลอื ก และฝกึ อบรมด้วย - พนักงานขายที่ได้รบั การฝกึ อบรมท่ดี ีจะสามารถทางานใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงค์ได้ 3.การปฏบิ ัติการทางการตลาด การปฏบิ ตั กิ ารทางการตลาด ในขั้นนจี้ ะเก่ียวขอ้ งกบั การสัง่ การและการปฏบิ ตั กิ ารทาง การตลาดตามโปรแกรมทวี่ างไว้ งานท่ีเก่ียวข้องในขน้ั นจ้ี ะประกอบด้วย การมอบหมายงาน การ ประสานงาน การจูงใจและติดต่อส่ือสาร ดงั น้ี
หนงั สอื เรยี นวิชาเลือก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจัดกลมุ่ เพ่ือพฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 29 การมอบหมายงาน ในข้นั น้ีผู้บริหารจะมอบหมายหนา้ ที่ความรับผิดชอบให้ ผู้ใตบ้ งั คบั บัญชา ความสามารถของผู้บริหารอาจจะวดั จาความสามารถของตวั เขา หรือวดั จาก ความสามารถในการมอบหมายงานก็ได้ การประสานงาน หมายถึง การจดั ใหก้ ลุม่ บคุ คลระหวา่ งฝา่ ยต่างๆ สามารถทางานร่วมกัน ไดโ้ ดยบรรลุวัตถปุ ระสงค์ที่กาหนดไว้ การจงู ใจ หมายถงึ การชักนา หรือโนม้ นา้ วคนให้มที ัศนคติและพฤตกิ รรมไปในทางทผี่ ้จู งู ใจตอ้ งการ การทจ่ี ะจงู ใจพนกั งานไดส้ าเรจ็ นั้นต้องขนึ้ อยู่กับเทคนคิ ของผบู้ ริหารทีจ่ ะเปล่ยี นพฤติกรรมไป ในทางทผ่ี ู้จงู ใจของพนักงานให้เปน็ ไปในทิศทางขององค์กร การตดิ ตอ่ สอ่ื สาร หมายถึง \"การถ่ายทอดข่าวสารจากผูส้ ่งไปยงั ผรู้ บั โดยที่ผสู้ ่งข่าวสารและผรู้ บั ข่าวสารตา่ งก็มีความเขา้ ใจในข่าวสารนัน้ \" การตดิ ต่อส่ือสารเป็นส่งิ สาคญั มาก สาหรับการปฏบิ ัติการทางการตลาด เพราะทาใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจตรงกนั 4.3 การประเมินผลการทางานทางการตลาด การประเมินผลการทางานทางการตลาด หมายถึง การตรวจสอบหรอื วัดผลการปฏิบัติงานทาง การตลาดและแก้ไขปัญหาขอ้ ผิดพลาดเกีย่ วกับการปฏิบตั งิ านทีผ่ า่ นมา เพื่อให้งานเป็นไปตามแผนการ ตลาดที่วางไว้ การประเมนิ ผลเปน็ งานข้นั สดุ ท้าย ในการบริหารการตลาด 1 .กระบวนการประเมินผลการทางานทางการตลาดมดี งั น้ี การเปรียบเทียบผลการทางานกับแผนการตลาด เพ่ือดูวา่ ผลการทางานเป็นอย่างไร (What happened?) เสร็จแลว้ กน็ าผลการทางานนน้ั ไปเปรยี บเทียบกบั เปา้ หมาย กลยทุ ธห์ รือยุทธวธิ หี รือ โปรแกรมการตลาดทีก่ าหนดไว้ ในขนั้ น้คี ือการวางแผนการตลาด เชน่ วัดผลยอดขายจรงิ ได้ 8 ลา้ นบาทจะ นาไปเปรยี บเทียบกบั ยอดขายท่กี าหนดไว้ 10 ล้านบาท วเิ คราะหส์ าเหตุทเี่ กิดผลในการทางานนน้ั (Why? it happened?) เป็นการค้นหาถงึ สาเหตุที่ เกดิ ขนึ้ จากผลการทางานทแ่ี ตกต่างจากแผนที่กาหนดไว้ เช่นวเิ คราะหถ์ ึงสาเหตุท่ียอดขายต่ากวา่ เป้าหมาย อาจเนือ่ งมาจากผลติ ภัณฑล์ ้าสมยั การแก้ไขปรับปรุง เป็นการพิจารณาว่าจะทาอะไรกับปัญหาท่เี กดิ ขึน้ (What to do?) แนว ทางการแก้ไขปรบั ปรุงจะนามาใชใ้ นการวางแผนการตลาดต่อไปในอนาคต เช่น ถา้ ทราบว่าสาเหตทุ ี่ ยอดขายลดเนื่องจากผลติ ภณั ฑ์ล้าสมยั บริษทั จะตอ้ งค้นหาความต้องการของลูกค้าเก่ียวกบั ผลติ ภณั ฑ์ใหม่ รวมทั้งวางแผนโปรแกรมการตลาดสาหรบั ผลติ ภัณฑใ์ หมต่ ่อไป
หนังสือเรยี นวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กลุ่มเพ่อื พฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 30 2. รปู แบบของการประเมินผลการทางานทางการตลาด รูปแบบของการประเมินผลการทางานทางการตลาดท่ีใช้กนั มาก คือการวิเคราะหย์ อดขาย การ วเิ คราะห์สว่ นครองตลาด โดยมรี ายละเอียดดังน้ี การวเิ คราะห์ยอดขาย หมายถึง การเปรียบเทียบระหวา่ งยอดขายจริงกับยอดขายตามเป้าหมายใน รปู แบบของจานวนหนว่ ย หรอื จานวนเงิน (รายได้จากการขาย) การวเิ คราะห์ยอดขายอาจจะถือเกณฑ์ วิเคราะหย์ อดขายรวม ยอดขายสาหรับสายผลิตภัณฑห์ รือแต่ละผลติ ภัณฑ์หรือแตล่ ะตรายห่ี ้อ ยอดขายตาม อาณาเขตตา่ งๆ และยอดขายตามกลมุ่ ลูกค้า เม่ือวัดยอดขายจริงไดแ้ ล้วจะนามาเปรยี บเทียบกบั ยอดขาย ตามเป้าหมายแลว้ วิเคราะห์ปัญหาทีอ่ าจจะเกิดขน้ึ และสาเหตุของปัญหารวมทัง้ เสนอแนะวิธแี ก้ไขปรบั ปรงุ ปัญหานั้นต่อไป การวิเคราะห์ส่วนครองตลาด คาวา่ ส่วนครองตลาดหมายถงึ อตั รายอดขายของบริษัทต่อยอดขาย ท้งั ส้ินของอุตสาหกรรม หรือยอดขายของคู่แขง่ ขัน ในการวเิ คราะห์สว่ นครองตลาดบรษิ ัทจะหาสว่ นครอง ตลาดทเ่ี กิดข้นึ แลว้ นาไปเปรียบเทยี บกบั อัตราส่วนครองตลาดทไ่ี ด้กาหนดไว้ แล้ววเิ คราะหถ์ งึ ผลต่างท่ี เกิดขึน้ ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรแลว้ จงึ หาวิธีแกไ้ ขปรบั ปรงุ ต่อไป
หนังสือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจดั กลุ่มเพ่ือพัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 31 เรื่องที่ 5 การบริหารงานบคุ คล การบรหิ ารงานบคุ คล หมายถึง วิธกี ารจดั การหรือดาเนินการเกยี่ วกับบุคคลในการทางานในอนั ท่ี จะทาให้บุคคลที่มคี วามรู้ ความสามารถเหมาะสมกบั การปฏบิ ตั งิ านให้บรรลอุ ยา่ งมีประสิทธภิ าพหรอื ศาสตร์ แขนงหน่งึ ท่วี ่าดว้ ยการดาเนนิ การหรือการจัดการเกี่ยวกับบคุ คลในหนว่ ยงาน องคป์ ระกอบของการบริหารงานบคุ คล 1. องค์กรและสิง่ แวดล้อม 2. งาน 3. บุคคล กระบวนการบริหารงานบคุ คล 1. การสรรหาบุคคล ไดแ้ ก่การวางแผน การกาหนดตาแหน่ง และการสรรหา (เปน็ ข้นั ตอนท่ี สาคัญทสี่ ดุ ) 2. การใชบ้ ุคคล ไดแ้ ก่ การบรรจุแต่งตั้ง การย้าย การโอน 3. การพฒั นาบุคคล ไดแ้ ก่ การพัฒนา การพิจารณาความดี ความชอบ การเล่ือนตาแหนง่ 4. การธารงรกั ษาบุคคล ไดแ้ ก่ การดาเนินการทางวนิ ยั การอทุ ธรณ์ ร้องทกุ ข์ การจัดสวัสดกิ ารการทะเบียน ประวัติ ระบบการบริหารงานบคุ คล ระบบการบรหิ ารงานบคุ คลท่ีสาคญั มี 2 ระบบ คอื 1. ระบบอปุ ถมั ภ์ ( Patronage System ) ใช้มาตงั้ แต่โบราณ สามารถแบง่ ออกได้ 3 ลักษณะ คือ 1.1ระบบสืบสายโลหิต 1.2 ระบบแลกเปล่ียน นาสิง่ ของมาแลกเปลย่ี น 1.3 ระบบชอบพอกันพิเศษ 2. ระบบคณุ ธรรม ( Merit System ) บางแหง่ เรียกใชค้ าว่า ระบบคุณวฒุ ิ- ระบบความรู้ ความสามารถ- ระบบคุณความดี – ระบบความดีและความสามารถ มีหลักสาคัญ 4 ประการ คือ 2.1 หลกั ความสามารถ ( Put the right man on the right job ) 2.2 หลักความเสมอภาค –เปิดโอกาสใหเ้ ทา่ เทยี มกัน( Equal Pay for Equal Work ) 2.3 หลกั ความมั่นคง-หลกั ประกนั ในการทางาน 2.4 หลักความเปน็ กลางทางการเมือง
หนังสอื เรยี นวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจดั กลมุ่ เพ่ือพัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 32 ภาคราชการนยิ มใช้ ระบบคุณธรรม ภาคธุรกิจ นิยมใช้ ระบบคณุ ธรรมและระบบอปุ ถัมภ์ ขอบข่ายในการบรหิ ารงานบคุ คล 1. การดาเนนิ การเกยี่ วกับความตอ้ งการบคุ คลในราชการ 2. การสรรหาบคุ ลากรเขา้ รับราชการ ไดแ้ ก่ การสอบแข่งขัน,การคัดเลือก,การสอบคัดเลือก 3. การแตง่ ต้งั ได้แก่การบรรจุและแตง่ ตั้ง การย้าย การโอน การเล่อื นตาแหนง่ 4. การพัฒนาบุคลากร ไดแ้ ก่การฝึกอบรม 5. การพจิ ารณาความดคี วามชอบ 6. การรักษาระเบยี บวินัย 7. การออกจากราชการ 8. การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ 9. การจัดทาทะเบียนประวัติ 10. การใหบ้ รกิ ารเกยี่ วกับงานบุคคล 5.1 การคัดเลอื กสรรหาบคุ คล การสรรหาบคุ ลากร (Recruitment) หมายถงึ กระบวนการในการคน้ หาบุคคลที่มีความ เหมาะสมกบั ตาแหนง่ ทอี่ งคก์ รตอ้ งการจากแหล่งตา่ งๆใหส้ นใจสมคั รเขา้ ร่วมงานกับองค์กร โดยผูม้ หี น้าที่ใน การสรรหาบคุ ลากรจะตอ้ งเข้าถึงแหล่งท่ีมาของบุคลากร ดึงดูดบคุ ลากรท่ีมีศักยภาพเหมาะสมกับงานให้ เกดิ ความสนใจทีจ่ ะร่วมงานกับองค์กรอย่างมีประสทิ ธิภาพภายใตข้ อ้ จากัดของระยะเวลาและค่าใชจ้ ่าย การสรรหาบคุ ลากรจะต้องมีองคป์ ระกอบ 3 ด้านคอื 1. ตอ้ งมกี ารส่ือสาร เช่น การโฆษณารับสมคั ร การตดิ ประกาศทบ่ี ริษทั และแหลง่ ตา่ งๆ การส่อื สารผ่านพนักงานในบริษทั ฯลฯ 2. ผู้หางานต้องมีบุคลกิ ภาพและทกั ษะตรงกับความตอ้ งการในตาแหนง่ งานนน้ั 3. ผหู้ างานต้องมีแรงจงู ใจทีจ่ ะสมคั รงาน การสรรหาจากแหลง่ ภายในองค์กร การสรรหาจากภายในองค์กร หมายถึง การคัดเลือกจากคนในองค์กรที่มคี วามรคู้ วามสามารถโดย การสบั เปลยี่ นโอนยา้ ยและเล่ือนตาแหนง่ ขึน้ มา นโยบายการสรรหาภายในองค์กร (Internal Organization Policies) นโยบายการสง่ เสรมิ บคุ คลจากภายในองค์กรมผี ลดีหลายประการ คอื 1. เปน็ การประชาสัมพนั ธ์ทดี่ ีตอ่ องคก์ ร 2. เปน็ การสรา้ งขวัญและกาลังใจใหก้ ับบุคคลในองค์กร 3. ชว่ ยกระตุ้นเร่งเร้าคนทด่ี ี ซ่ึงตอ้ งการความก้าวหน้าและความทะเยอทะยาน 4. เปน็ การพสิ จู นค์ วามน่าจะเปน็ ของการคัดเลือกทดี่ ี 5. เปน็ การเสียค่าใช้จา่ ยน้อยกว่าการสรรหาจากภายนอก
หนงั สือเรยี นวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจดั กลุ่มเพือ่ พัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 33 วิธีการสรรหาจากแหล่งภายใน (Internal Recruiting Method) การสรรหาภายในมวี ิธกี ารทสี่ าคญั อยู่ 5 วิธีด้วยกันคือ 1. การแจง้ ตาแหนง่ งานว่างและการคดั เลอื กด้วยตนเอง (Job Posting : Self Selection) เป็น กระบวนการแจ้งข้อมูลให้พนักงานทราบวา่ มีตาแหน่งงานใดทเ่ี ปดิ รับสมคั รอยู่ 2. การใชท้ กั ษะ (Skill Inventories) 3. การใช้การอ้างองิ จากบคุ คลภายใน (Referrals) 4. หวั หนา้ ทาหนา้ ทค่ี ดั เลือกเอง 5. การจัดให้มแี ผนงานพัฒนานักบริหาร (Executive Development Plan) การสรรหาจากแหลง่ ภายนอกองค์กร (External Organization) การสรรหาจากแหลง่ ภายนอกสามารถพิจารณาไดจ้ ากแหลง่ ต่าง ๆ ข้ึนอยู่กับจดุ มุ่งหมายของความ ต้องการในการจ้างและผลการวิเคราะห์แหล่งต่าง ๆ แหลง่ ภายนอกนน้ั ประกอบดว้ ย 1. สานักงานจดั หางานของรัฐ (Public Employment Services) 1.1 สานกั งานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) 1.2 กองการจดั หางานของกรมแรงงาน แระทรวงแรงงานและสวัสดิการสงั คม 2. สานักจัดหางานเอกชน (Private Employment Agencies) ตัวแทนหรือนายหนา้ จัดหางานเอกชน ก็คือ สานกั จัดหางานต่าง ๆ ที่มใี บอนุญาตประกอบ กิจการจดั หางาน ซ่ึงไดร้ ับอนุญาตจากกรมแรงงาน กระทรวงแรงงาน ซ่ึงส่วนใหญเ่ ราจะเหน็ จากหน้า หนงั สอื พมิ พ์ 3. หนว่ ยจัดหางานของสถาบันการศกึ ษา (High School, Trade and Vocational Schools, Colleges, Professional Schools and Universities) 4. จากผ้มู าสมัครงานดว้ ยตัวเอง (Personal Application) หรือท่เี รียกวา่ Walk in โดยผู้สนใจหางานทามาสมัครเองที่หน่วยงาน องค์กรหลายแห่งใช้วิธรี ับสมคั รไว้ลว่ งหน้า ทา การคดั เลือกจากใบสมคั รและเก็บรายช่อื ไวใ้ นบัญชี เพอ่ื รอการคัดเลือกอกี คร้ังหนง่ึ เม่ือมีตาแหน่งวา่ ง และบัญชีนีต้ ้องแก้ไขปรบั ปรุงอยู่เสมอ เพราะถา้ เก็บไว้นานเกินไปคนทม่ี าสมัครงานไวอ้ าจจะได้งาน จากท่อี ่ืนไปกอ่ นแล้วก็ได้ 5. สมาคมทีเ่ กยี่ วข้องกบั การบริหารงานบุคคล หรอื สมาคมวชิ าชีพต่าง ๆ สมาคมดงั กลา่ ว ไดแ้ ก่ สมาคมการจดั การงานบุคคลแหง่ ประเทศไทย (Thailand Management Association) สมาคมจะมเี อกสารหรอื วารสารแจกเกีย่ วกับตาแหนง่ ว่างอ่นื ๆ และมักจะใหค้ วามรว่ มมอื บอกตาแหน่งวา่ งกับผสู้ นใจสอบถาม และบางครงั้ กช็ ่วยลงเผยแพรค่ ุณสมบตั ิของผู้สมัครไวด้ ว้ ย
หนังสอื เรียนวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าการจัดกลมุ่ เพอื่ พัฒนาอาชีพ รหสั ทร02002 34 6. ประกาศรับสมคั ร วธิ กี ารน้ีองค์กรสามารถสรรหาบุคลากรโดยประกาศผา่ นทางสอ่ื สารมวลชน เช่น วทิ ยุ โทรทศั น์ หนงั สอื ทัศน์ หรอื ปิดประกาศตามแหลง่ ต่าง ๆ เพ่ือดงึ ดูดบุคคลท่ีมีความเหมาะสมกบั ตาแหน่งงานนน้ั ๆ ใหส้ นใจสมคั รเข้ารับการคดั เลือกจากองคก์ ร 7. วนั ตลาดนัดแรงงาน (Labor Market Day) การจัดตลาดแรงงานจะได้รับความรว่ มมือจากบริษัทห้างหุ้นส่วนตา่ ง ๆ งานดงั กลา่ วนี้มี จุดประสงค์เพือ่ แนะนาอาชพี ต่าง ๆ และพร้อมท่จี ะเปิดรบั สมัครผู้คนต่าง ๆ ใหเ้ ข้ามาทางานในตาแหน่ง ว่างตา่ ง ๆ ของวันเวลาที่ได้จดั ข้ึนมาจริงๆ การจัดตลาดนัดแรงงานจะถูกโฆษณาตามหนังสือพมิ พ์ตา่ ง ๆ หนว่ ยราชการและสถานที่ท่ใี ห้บริการเกย่ี วกับการจดั หางานทาสถานทที่ ่ีจัดมกั จะถูกกาหนดขึน้ ตาม เมืองใหญ่ท่ีมผี ูค้ นอยเู่ ปน็ จานวนมาก และจะมีทีมงานท่ีพร้อมจะให้คาแนะนาต่าง ๆ แก่ผ้ทู ่มี ีความสนใจ 8. แหล่งอ่ืนๆ (Other Sources) จากศนู ย์สง่ เสริมวิชาชพี คนพิการ หรือจากสถานฝกึ อาชีพของคนบางประเภท ซึ่งมกี ารอบรม และฝกึ หดั ใหป้ ฏบิ ัตงิ านบางอย่าง เป็นตน้ 5.2 สวัสดกิ ารของกลุ่ม สวัสดิการ คือ การดาเนินการใดๆ ไม่วา่ โดยนายจา้ ง สหภาพแรงงาน (ลูกจา้ ง) หรือรฐั บาล ทีม่ ี ความมุ่งหมายเพื่อให้ลกู จ้างสามารถมีระดับความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร มีความผาสกุ ท้งั กายและใจ มี สุขภาพอนามยั ท่ีดี มีความปลอดภัยในการทางาน มีความเจรญิ กา้ วหนา้ มีความมัน่ คงในการดาเนนิ ชีวติ ไม่ เฉพาะแต่ตวั ลูกจ้างเทา่ นนั้ แตร่ วมถึงครอบครวั ของลูกจา้ งด้วย การดาเนินการเพื่อให้มกี ารจดั สวสั ดิการขน้ึ ในสถานประกอบการนน้ั กรมสวสั ดกิ ารและค้มุ ครองแรงงานดาเนินภารกิจ 3 ประการ ดังน้ี 1. กาหนดและพฒั นารูปแบบการจดั สวสั ดกิ าร 2. ส่งเสรม สนับสนุนและดาเนนิ การใหม้ ีการจดั สวสั ดกิ าร 3. ปฏบิ ตั ิงานรว่ มกบั หรือสนับสนนุ การปฏบิ ตั ิงานของหน่วยงานอน่ื ท่ีเกย่ี วข้องหรอื ที่ ได้รบั มอบหมาย 5.3 การพฒั นาบคุ ลากร เปน็ การแก้ปญั หา เก่ียวกบั การบริหารงานบุคคล เนื่องจากความเจรญิ ของวิทยาการตา่ ง ๆ ตลอดจนเทคนิคในการทางานทีเ่ ปลีย่ นแปลงอยูเ่ สมอ คนท่ีมีความร้คู วามสามารถเหมาะสมกับตาแหน่ง หนา้ ท่ใี นสมัยหนึ่ง ก็อาจกลายเปน็ คนท่ีหยอ่ นความสามารถไปในอกี สมยั หนึ่งก็ได้ เพ่ือให้ผปู้ ฏิบัติงานเป็นผู้ ที่มีความรู้ความเหมาะสมกับตาแหน่งหนา้ ท่ีอยูเ่ สมอ ไม่ว่าวทิ ยาการและหน้าทคี่ วามรับผดิ ชอบจะได้ เปลยี่ นแปลงไป
หนังสอื เรยี นวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจดั กล่มุ เพ่ือพฒั นาอาชีพ รหสั ทร02002 35 ความหมายของการพัฒนาบุคลากร การพฒั นาบุคลากร มีความหมายตรงกับคาว่า Development of Personnelการพัฒนา บุคลากร หมายถึง กระบวนการที่มงุ่ จะเปล่ยี นแปลงวธิ กี ารทางาน ความรูค้ วามสามารถ ทักษะและทัศนคติ ของบุคลากรให้เปน็ ไปทางทด่ี ีขึน้ เพ่ือให้บคุ ลากรที่ไดร้ บั การพัฒนาแล้วนนั้ ปฏิบัตงิ านได้ผลตามวตั ถุประสงค์ ของหนว่ ยงานอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ หลกั การพฒั นาบคุ ลากร จะต้องคานึงถงึ สิ่งต่อไปน้ี 1. ควรตอบสนองความตอ้ งการขององค์การ 2. ควรมีการวางแผนในการพฒั นาบคุ ลากร 3. ควรตอบสนองความต้องการของบุคลากร 4. ควรสนองความต้องการของชมุ ชนท่ีองค์การนนั้ ต้ังอยู่ การพัฒนาบุคลากร นบั เป็นกระบวนการที่มีความจาเปน็ มากในการบริหารงานบคุ ลากรและเปน็ กระบวนการทีจะต้องกระทาตอ่ เนื่องกันไปตลอดระยะเวลาที่องค์การดาเนนิ อยู่ซึ่งมวี ธิ ีการพฒั นาบุคลากร แตกตา่ งกนั ออกไปในแต่ละหนว่ ยงาน กระบวนการพัฒนาบคุ ลากร กระบวนการพัฒนาบคุ ลากร การพฒั นาบคุ ลากรนั้น สามารถแบ่งการดาเนินการเป็นขน้ั ตอน ได้ 4 ขน้ั ตอนคือ 1. การหาความจาเป็นในการพฒั นาบุคคล หรอื หาปัญหาทต่ี ้องแกโ้ ดยวิธกี ารพฒั นาบุคคล 2. การวางแผนในการพฒั นาบคุ คล 3. การดาเนินการในการพัฒนาบุคคล 4. การตดิ ตามและประเมนิ ผลการพัฒนาบคุ คล ซงึ่ กระบวนการในพฒั นาบคุ คล และขน้ั ตอนน้ีเป็นกระบวนการดาเนนิ การทีส่ าคญั และจาเปน็ ที่ จะต้องดาเนนิ การ จะขาดเสียมไิ ดแ้ ละในการพฒั นาบุคลากรนัน้ จะต้องดาเนินการตามกระบวนการดงั กล่าว นีอ้ ยา่ งสอดคลอ้ งต่อเนื่อง และสมั พนั ธ์กันอย่างครบวงจร โดยเรม่ิ จากการหาความจาเป็นในการพัฒนา บคุ ลากร การวางแผนในการพฒั นาบคุ ลากร การดาเนินการพฒั นาบุคลากร และการติดตามประเมนิ ผล ซง่ึ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. การหาความจาเป็นในการพัฒนาบุคลากร หรือหาปัญหาที่จะต้องพัฒนาบคุ ลากร การสารวจ ความต้องการบคุ ลากรนั้น ธีรวฒุ ิ ประทุมนพรตั น์ (2539 : 63) ไดเ้ สนอแนะว่า องคก์ ารพึงกระทาเป็นระยะ เพ่อื ทราบระดบั ความต้องการว่าสงู พอนาไปทาโปรแกรมขน้ึ หรอื ไม่ ทน่ี ่าสนใจคือบคุ ลากรไดร้ ่วมในการ พฒั นาบุคลากรอย่ดู ว้ ย ซ่งึ แนวโน้มจะเกดิ ความพงึ พอใจสงู และมรี ะดบั ขวัญสูงในการปฏิบตั งิ านตามมา
หนงั สอื เรยี นวิชาเลอื ก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจัดกลมุ่ เพอ่ื พฒั นาอาชีพ รหัส ทร02002 36 2. การวางแผนในการพฒั นาบุคลากรมีกจิ กรรมที่ต้องกาหนดในการวางแผนการพฒั นาบคุ ลากร อยหู่ ลายประการ เชน่ จะจดั โปรแกรมอะไร ดว้ ยวิธีการอยา่ งไร เรื่องอะไรควรอยู่ในการวางแผนระยะยาว อะไรเป็นสิง่ ท่ตี ้องรบี ทา ส่ิงท่ีอาจจะเกดิ ปัญหาอุปสรรคในการปฏิบตั ติ ามแผนทีม่ อี ะไรบ้าง ถา้ มีปัญหา เกดิ ขนึ้ จะมีวิธีการขจัดปัญหาน้นั อยา่ งไร ตลอดจนการวางแผนในดา้ นการจดั สรรทรัพยากรเพ่ือการบรหิ าร การพัฒนาบุคลากรการกาหนดตวั บุคลากรที่จะรบั ผิดชอบ การวางแผนในการพฒั นาบุคคลนั้นโดยทว่ั ไปจะ ดาเนินการ ดังน้ี 2.1 การกาหนดขอบขา่ ยของการพัฒนากาลังคนโดยกาหนดวา่ จะพฒั นากาลงั คนโดย วธิ กี ารใดบ้างเพื่อทจ่ี ะแกป้ ัญหาของหน่วยงานโดยกาหนดเป็นงานหรอื โครงการ เชน่ การฝึกอบรม การสง่ บคุ คลไปศึกษา ฝกึ อบรม ดูงาน การพัฒนาโดยกระบวนการปฏบิ ตั ิงาน การพัฒนาดว้ ยตนเอง การพัฒนา ทมี งานหรอื พฒั นาองค์การ 2.2 การวางแผนดาเนนิ การพัฒนาบุคคลในแตล่ ะวิธีหรอื ในแตล่ ะเร่อื ง กาหนดวัตถปุ ระสงค์ เป้าหมาย ขัน้ ตอนในการดาเนนิ งาน และแผนการดาเนินงานในแต่ละขนั้ ตอนว่าจะดาเนินการเม่ือไร 2.3 กาหนดผู้รบั ผดิ ชอบว่ามีผ้ใู ดรบั ผดิ ชอบงานใด อย่างไร 2.4 กาหนดงบประมาณค่าใชจ้ ่ายวา่ ในการพฒั นาบุคลากรในแต่ละเรื่องหรอื แต่ละ โครงการจะใช้งบประมาณจากหมวดไหน จานวนเท่าไร 2.5 กาหนดระบบ วิธกี ารตดิ ตาม และประเมนิ ผลในการพัฒนาบุคคลวา่ จะติดตามผลและ ประเมนิ ผลอย่างไร 2.6 จดั ทาโครงการและเสนอผลมีอานาจเพ่ือพจิ ารณาอนุมตั ิโครงการ 3. การดาเนินการพัฒนาบคุ คล เปน็ การดาเนนิ การพัฒนาบคุ คลตามที่ได้วางแผนไวต้ ามระยะเวลา หรือปฏิทนิ การปฏิบัตงิ านที่กาหนด 4. การตดิ ตามและประเมนิ ผล การติดตามและประเมินผลการพัฒนากาลงั คนวิธีต่าง ๆ ตามแผน ทีก่ าหนดไว้ว่าไดด้ าเนินการไปตามแผนงาน วตั ถปุ ระสงค์และเปา้ หมายท่ีกาหนดไวแ้ ค่ไหน การติดตามและ ประเมินผลงานนน้ั อาจดาเนินการไดเ้ ปน็ สามระยะคือ 4.1 การตดิ ตามและประเมินผลในระหว่างการดาเนนิ การพัฒนาบคุ ลากร 4.2 ประเมินผลหลังจากการเสรจ็ สนิ้ การพฒั นาบุคลากร หรือหลงั จากสน้ิ สุดโครงการ 4.3 การติดตาม และประเมนิ ผลภายหลงั จากทบี่ ุคคลนัน้ เสร็จสิ้นจากการกลบั ไปปฏิบตั ิงาน ในระยะหน่ึง เพื่อจะไดท้ ราบว่าผนู้ ั้นได้นาผลการพฒั นาบุคลากรไปใช้ประโยชน์แก่เขาอยา่ งไรบา้ ง กล่าวโดยสรุป กระบวนการในการพัฒนาบุคลากรนนั้ เปน็ ไปในลักษณะของกระบวนการ บริหารงานบุคคล หรือการบริหารงานด้านตา่ ง ๆ ทั่วไป แต่ได้มีบางขัน้ ตอนทแ่ี ยกออกมาใหเ้ ด่นชดั ขึน้ เพ่ือ จะดาเนนิ การไดด้ ียงิ่ ขนึ้
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการจดั กลุม่ เพือ่ พัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 37 เรอ่ื งท่ี 6 ปัจจัยส่คู วามสาเร็จ ปจั จัยสู่ความสาเร็จ คนส่วนใหญ่ที่คิดทาธุรกิจเป็นของตนเอง ต้องมีสญั ชาตญาณของความเป็น ผู้ประกอบการคนที่ไม่มีสัญชาติญาณของความเป็นผู้ประกอบการมักจะทาธุรกิจไม่ประสบความสาเร็จ ถึงแม้คนเหล่าน้ันจะไม่พอใจกับงานท่ีทาอยู่ และกาลังขวนขวายหาธุรกิจท่ีเหมาะสมจะลงทุน ดังนั้นคนท่ีจะเป็น ผู้ประกอบการมักจะไม่สะทกสะท้านกับปัญหาอุปสรรคใดท่ีจะเกิดขึ้น มีแต่ต้ังใจแน่วแน่ว่าจะทา ต้องทาให้ได้ แม้จะ เหนด็ เหน่อื ยอยา่ งไรกอ็ ดทน ทางานหนักต่อไปและมีความผกู พนั กับงานท่ที าเพือ่ ใหเ้ กิดความสาเรจ็ ได้มผี ู้ศกึ ษาคณุ ลักษณะของความเป็นผูป้ ระกอบการทป่ี ระสบความสาเรจ็ น้ัน ต้องมีหลายประการ ประกอบกนั ทา่ นที่จะเป็นผู้ประกอบการอาจจะไมจ่ าเปน็ จะต้องมีให้ครบทุกขอ้ ยกเว้นข้อท่จี าเป็นบางข้อ ทค่ี ุณควรจะมี ดังน้นั ขอให้ท่านพิจารณาดูตนเองวา่ ขาดข้อใดบา้ ง เห็นสมควรที่จะพัฒนาให้ เกิดขน้ึ กบั ตนเองกจ็ ะเป็นประโยชน์ คุณลักษณะดังกล่าวมดี ังต่อไปน้ี 1. ความกล้าเสย่ี ง (Risk Taking) \"ธรุ กจิ \" กับ\"ความเสย่ี ง\" เป็นของคู่กนั ผู้ที่เป็น ผปู้ ระกอบการ ชอบทางานที่ท้าทายความรู้ ความสามารถของเขา เขาจะไม่มีความภูมิใจกบั งานที่ ง่าย หรอื งานทมี่ ีความเป็นไปไดร้ อ้ ยเปอร์เซน็ ตห์ รือเทา่ กบั ไมม่ คี วามเส่ยี งเลย และเขาจะหลีกเลีย่ งงานที่มี ความเส่ียงสงู เกนิ ไป แต่เขาชอบงานท่ีมีความเสย่ี งปานกลาง คอื มโี อกาสประสบความสาเรจ็ หรือความ ลม้ เหลว ความเสีย่ งระดบั น้ีเขาประเมินแล้ว ไมเ่ กนิ ความสามารถของเขาที่จะทาใหบ้ รรลผุ ลสาเรจ็ โดย เขาหาทางเลือกไวห้ ลายทาง เช่นการลงทนุ ธุรกิจ เขาจะใช้เวลาศกึ ษาวางแผนตลาด เลอื กการผลติ ท่ี เหมาะสมกับวตั ถุดบิ เคร่ืองจักร อุปกรณ์ เงินลงทุน หลกั การบริหาร พรอ้ มทั้งคานวณผลตอบแทน ที่ คาดวา่ จะได้รบั ภายใตภ้ าวะเศรษฐกิจ สงั คม การเมอื ง และหนว่ ยงานของรฐั บาล ศึกษาอย่างละเอียดถ่ี ถ้วน แลว้ คอ่ ยตัดสินใจพร้อมทีจ่ ะผจญกบั ปัญหาต่าง ๆ เขาจะไมเ่ หมือนกบั คนท่วั ไปท่ีหลีกเลย่ี งความ เสี่ยง แต่เขาจะกล้าเส่ยี งระดับปานกลางท่ีคดิ ว่ามกี ารประเมนิ ความเป็นไปได้อย่างดีแลว้ 2. ต้องการมุง่ ความสาเรจ็ (Need for Achievement) เม่อื มองเห็นโอกาสแห่งความเปน็ ไป ได้ พร้อมท้ังพิจารณาอยา่ งละเอียดถ่ีถ้วนแล้ว เขาจะมุ่งมั่นใช้พลงั งานความคดิ สตปิ ัญญา ความสามารถ ท้งั หมด ทางานหนักทุ่มเทให้กบั งาน เพื่อใหบ้ รรลุความสาเร็จตามชอ่ งทางท่ีวางไว้ โดยไมค่ านึงถงึ ความ ยากลาบาก เขายังคงต่อสตู้ ่อไป พรอ้ มจะทมุ่ เทเวลาทั้งหมดใหก้ บั งาน เกดิ การเรียนรู้ถึงความผดิ พลาด จากทผี่ ่านมา เพอ่ื แก้ไขไปสู่ความสาเร็จ พอใจภูมใิ จที่งานออกมาดเี ดน่ จุดมุ่งหมายทางธรุ กิจมิได้อย่ทู ท่ี า กาไร แตจ่ ะทาเพือ่ การขยายความเจริญเติบโตของกิจการ กาไรเปน็ เพียงเครอื่ งสะท้อนวา่ จะทาได้เขาไม่ เพยี งสนใจท่ีผลบรรลเุ ปา้ หมาย แต่เขาสนใจวธิ ีการของขบวนการที่ทาให้บรรลุเปา้ หมายด้วย 3. มคี วามคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity Thinking) เมื่อท่านต้องการประสบความสาเรจ็ ต้อง เปน็ ผู้ทีม่ คี วามคดิ ริเริ่มสรา้ งสรรค์ ไม่พอใจทจี่ ะทาในสง่ิ ซา้ ๆเหมอื นแบบดั้งเดมิ แตเ่ ปน็ ผู้ที่ชอบเอา ประสบการณ์ท่ผี ่านมา นามาประยุกตใ์ ช้สรา้ งสรรคห์ าวิธีการใหม่ที่ดีกวา่ เดิมนามาใช้กับการ
หนงั สอื เรียนวชิ าเลือก สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการจดั กลมุ่ เพือ่ พัฒนาอาชีพ รหัส ทร02002 38 บรหิ ารธุรกิจ เป็นผเู้ ขา้ ถงึ ปัญหาแลว้ หาทางแก้ไข หาแนวทางพฒั นาผลติ ภณั ฑ์ ปรับปรุงการผลติ ตลอดเวลา กล้าที่จะผลติ สินค้าท่แี ตกต่างจากตลาดที่มีอยู่เดิม กลา้ ใช้วธิ ีการขายท่ีไมเ่ หมือนใคร กลา้ ประดษิ ฐค์ ้นควา้ สิ่งแปลกใหมเ่ ขา้ สตู่ ลาดและเกอื บทกุ ครง้ั ของความแตกตา่ งนน้ั ทาใหไ้ ด้ผลเปน็ อย่าง ดี นอกจากน้ียังกล้าคดิ ค้นประดิษฐเ์ ครื่องจกั ร เครอื่ งมอื อปุ กรณ์ใหม่ ๆมาใชใ้ นการผลติ นาเทคโนโลยใี หมๆ่ มา ใช้ พรอ้ มทั้งแสวงหาวตั ถใุ หมๆ่ มาทดแทน ปรบั ปรุงการดาเนนิ งานนาการจัดการสมยั ใหมม่ าใชผ้ ลติ ให้มีประสิทธิภาพ ลด ตน้ ทนุ การผลติ ความคดิ สร้างสรรคน์ ี้เขาอาจคิดขน้ึ มาเองหรอื เอาแนวคิดมาจากนักประดษิ ฐ์ นกั วจิ ัยผู้เช่ียวชาญทีศ่ ึกษามา ก็ได้ 4. รจู้ ักผูกพันต่อเป้าหมายเม่ือการตง้ั เปา้ หมายมีการวาดภาพจนิ ตนาการไปถงึ ความสาเรจ็ และจะต้องทาอยา่ งไรถ้า ลม้ เหลวจะเกดิ จากอะไร แก้ไขอย่างไร ดงั น้นั เพ่อื ให้เกิดความสาเรจ็ ตามเปา้ หมายทต่ี ้ังไว้ เขาจะทุ่มเททุกอยา่ งเพื่อใหบ้ รรลุ เป้าหมายเป้าหมายนัน้ ล้วนแต่เปน็ การเอาชนะทั้งน้ัน ความคิดผูกพันที่จะเอาชนะถงึ กับวางแผนกลยทุ ธไ์ ว้ล่วงหน้าเป็น อย่างดี เพราะกลัวความลม้ เหลว มีการวเิ คราะห์ปัญหาอุปสรรค์ทอี่ าจขดั ขวางในการไปสเู่ ป้าหมายเตรยี มป้องกนั ท่ีจะ เอาชนะปญั หาอุปสรรคท์ ่ีคาดวา่ จะทาให้เกิดการล้มเหลวแต่ขณะเดียวกนั มองโลกในแง่ดี มคี วามหวงั ม่งุ มน่ั ต่อเปา้ หมาย ของความสาเรจ็ จนมองเหน็ อนาคต 5. ความสามารถโน้มนา้ วจติ ใจผอู้ น่ื ผู้ประกอบการทดี่ ีนอกจากมีความสามารถในการทางานแลว้ ยงั ต้องมี ความสามารถในการชกั จงู โน้มนา้ วจติ ใจ ผ้อู น่ื ให้ความร่วมมอื ชว่ ยเหลือในการทางานรจู้ ักใชค้ วามสามารถในการทางาน สรา้ งทศั นคตแิ ละแรงจงู ใจต่อผ้รู ว่ มงานให้สามารถเขา้ ใจการทางานเตม็ ใจปฏบิ ตั ิงานตามที่วางไว้ สามารถโนม้ น้าวใจแหล่ง เงินทนุ เช่นธนาคาร ญาติพ่นี อ้ งเพ่อื นฝูง ให้คล้อยตามความคดิ ของเขาและยนิ ดีให้การสนบั สนนุ ทางการเงินลงทุนแก่ เขา คณุ ศภุ กิจ รงุ่ โรจน์ ผู้มีชือ่ เสยี งในการทาพซิ ซ่าลอยฟา้ เจ้าของบรษิ ทั อลั เพรโดเอน็ เตอรไ์ พรส์ จากดั มี สาขา19แหง่ ไดก้ ลา่ วเกี่ยวกบั เร่อื งการโนม้ นา้ วจติ ใจผู้อืน่ ไว้ ดังนี้ \"คดิ อะไร เราจะเรมิ่ จากความคดิ เมอื่ คดิ ว่าเป็นไปไดก้ ็ นาไปส่คู วามเชอ่ื เม่อื เชอ่ื แลว้ กต็ อ้ งบอกวา่ ทาได้ เมือ่ เป็นเช่นนก้ี ต็ ้องขายความเช่ือให้กับผู้ทรี่ ่วมทาใหส้ าเรจ็ คือตอ้ งขาย ความคดิ น้ใี หห้ ุ้นสว่ นใหก้ บั ลกู น้องใหก้ ับผขู้ ายวัตถดุ ิบ(ซพั พลายเออร์)ใหก้ ับลกู คา้ และครอบครวั \" 6. ยืนหยัดตอ่ สทู้ างานหนักเมอ่ื พจิ ารณารอบคอบแล้วตง้ั เป้าหมาย พยายามทางานหนักทางานอยา่ งเต็มกาลงั ความสามารถยากทจี่ ะหยุดย้ังหรอื ทอ้ แท้ได้ แมว้ ่าจะตอ้ งเผชญิ กบั ปัญหาอปุ สรรคถูกกดดันอยา่ งใหญห่ ลวงกไ็ มส่ ามารถ หยุดยง้ั ได้ ขอเพียงให้งานท่ีเขารับผิดชอบสาเรจ็ เท่านน้ั พูดไดว้ ่าเขาเกบ็ ตัวอย่กู บั งานตลอดเวลา 7. เอาประสบการณใ์ นอดีตมาเปน็ บทเรียน เป็นคุณลักษณะสาคัญทค่ี วรจะปฏบิ ตั ิสาหรบั ผปู้ ระกอบการ เปน็ การมองในอดตี ท่ีเคยทาผิดพลาด นามาเปน็ บทเรียนสะทอ้ นไมใ่ ห้เกิดเหตกุ ารณเ์ ชน่ นั้นอีก หรอื นาไป ประยุกต์ใช้ในการทางานหรอื นาไปปรับปรงุ เปลยี่ นแปลงการทางาน ให้มงุ่ ไปสู่การทางานทีด่ ีกว่าเดมิ เขาจะมองเหตุการณ์ ตา่ งๆ เป็นโอกาสท่จี ะไดเ้ รยี นรู้ ในการทางาน บางครัง้ เขาไมส่ ามารถทาไดส้ าเรจ็ เขาก็จะหยดุ คดิ หาวธิ ใี หม่ ๆมาแกไ้ ข ปัญหา เขาจะไมม่ ทุ ะลยุ ดึ ม่ันกบั แผนเดมิ แลว้ ทาไม่ได้ เขาจะยดื หยุน่ เปลีย่ นแปลงจนทาได้สาเรจ็ ฟงั ความคิดเหน็ ของผ้รู ้ผู ู้ แนะนา
Search