วธิ ีการสอน
ชนิดของวธิ ีการสอน วิธีการสอนมีอยหู่ ลายวิธี ซ่ึงแต่ละวิธีจะ มีขอ้ ดี-ขอ้ เสียแตกต่างกนั ไป เพราะวา่ ใน แต่ละวธิ ีจะเหมาะสมกบั แต่ละสถานการณ์ เท่าน้นั ในบางคร้ังอาจต้องผสมผสาน วธิ ีการสอนหลายวธิ ีเข้าด้วยกนั วธิ ีการสอน ท่ีนิยมใชก้ นั อยบู่ ่อย ๆ ดงั น้ี
เทคนิคการสอนโดยใช้ครูเป็ นศูนย์กลางการเรียนรู้ การสอนโดยใช้ครูเป็ นศูนย์กลางการเรียนรู้กระทาได้หลายวธิ ีดงั นี้
1. การบรรยาย (Lecture) ครูดาเนินการบรรยายตามหัวข้อที่ ได้รับมอบหมาย โดยใช้ส่ืออุปกรณ์ ประกอบการบรรยาย มกี ารเปิ ด โอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถาม
2. การอภปิ รายเป็ นคณะ (Panel Discussion) เป็ นการอภิปรายโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3-10 คน ให้ข้อเทจ็ จริง ความคดิ เห็น ปัญหาอปุ สรรค และแนวทางแก้ไข โดยมีพธิ ีกรเป็ นผู้ดาเนินการ อภปิ ราย ประสาน เชื่อมโยงและสรุปการอภิปรายแต่ละ คน
3. การชุมนุมปาฐกถา (Symposium) เป็ นการบรรยายแบบมีวทิ ยากรผู้เชี่ยวชาญ 2-6 คน มพี ธิ ีกรเป็ นผู้ดาเนินการอภปิ ราย ประสาน เชื่อมโยงและสรุปการบรรยาย ของวทิ ยากรแต่ละคน มกี ารเปิ ดโอกาสให้ ผู้เรียนซักถามข้อสงสัยหรือปัญหาต่าง ๆ
4. การสอนงาน (Coaching) เป็ นการแนะนาให้ผู้เรียนรู้จักวธิ ีการปฏบิ ัตงิ าน ให้ถูกต้อง วทิ ยากรโดยทวั่ ไปคือ หัวหน้างาน หรือผู้มีประสบการณ์มากกว่า
5. การสาธิต (Demonstration) เป็ นการแสดงให้ผู้เรียนเห็นการปฏบิ ัติ จริง มกี ารใช้เคร่ืองมือและการทดลอง ต่าง ๆ สาหรับกลุ่มเลก็
วธิ ีการสอนแบบบรรยาย เป็ นวธิ ีการสอนทีถ่ ือเอากจิ กรรมหรือ บทบาทของครูเป็ นหลกั โดยผู้สอนจะพูด บอกเล่า หรืออธิบายเนื้อหาต่าง ๆ ให้แก่ ผู้เรียน ซ่ึงผู้สอนได้เตรียมการศึกษาค้นคว้า เนื้อหามาเป็ นอย่างดีแล้วโดยทผ่ี ู้เรียนเป็ น ฝ่ ายมารับผลการศึกษาค้นคว้าน้ันวิธีนี้ ผู้เรียนจะมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมน้อย
เทคนิคการให้เนื้อหาแบบบรรยาย ข้ันนา ข้นั อธิบาย ข้นั สรุป
ข้นั นา ชี้ให้เห็นประโยชน์และความสาคญั ของเนื้อหา ทบทวนความรู้เดิมเพื่อเช่ือมโยงกบั ความรู้ใหม่ หรือเรื่องทเี่ รียนใหม่
ข้นั อธิบาย - บอกขอบข่ายเนื้อหา และแจ้งวตั ถุประสงค์ - เสนอหรือเน้นประเด็นท่ีสาคญั เพ่ือให้ผู้เรียนสนใจ - อธิบายเนื้อหาให้ชัดเจน ตามลาดับอย่างต่อเนื่อง
ข้นั อธิบาย - ใช้ท่าทางประกอบการอธิบายและ อารมณ์ขันท่เี หมาะสมกบั การนาเสนอ เนื้อหา - สังเกตปฏกิ ริ ิยาของผู้เรียนตลอดเวลาเพ่ือ หาวธิ ีกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เช่น ยกตัวอย่างประกอบหรือพูดซ้าในบางคร้ัง
ข้นั สรุป โยงเนื้อหาเร่ืองต่าง ๆ เข้าด้วยกนั เพ่ือให้ ผู้เรียนเห็นเค้าโครงเร่ืองท้งั หมด ต้ังปัญหาให้ผู้เรียนได้วเิ คราะห์หรือ วจิ ารณ์เนื้อหา มอบหมายงานให้ผู้เรียนได้ค้นคว้า เพมิ่ เตมิ เปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถาม
ขอ้ ดี - สามารถสอนกบั ผู้เรียนจานวนมากได้ จึงเป็ นวธิ ีทปี่ ระหยดั - ทาให้เนื้อหาน่าสนใจกว่าการอ่านหนังสือ - ผู้สอนสามารถดาเนินการคนเดยี วได้และการสอนทาได้ง่าย - ผู้เรียนไม่ต้องทางานมากและรับรู้เรื่องทเ่ี รียนตรงกนั และพร้อมกนั - สามารถสรุปเนื้อหาจากทต่ี ่าง ๆ เข้าเป็ นกลุ่มก้อนได้ง่าย
ข้อเสีย - เป็ นการแสดงออกของผู้สอนคนเดียว ผู้สอนซ่ึงเสมือนผู้รู้คนเดยี วเป็ น ผู้กาหนดให้ผู้เรียนรู้ตามทผี่ ้สู อนต้องการ - การบรรยายมักไม่คานึงถึงความแตกต่างของ ผู้เรียน - ผู้เรียนไม่มีโอกาสแสดงความเห็น (บางคร้ังมีได้บ้างแต่มีน้อย) - การบรรยายทด่ี ีไม่สามารถทาได้ทุก ๆ คน - ส่งเสริมให้ผู้เรียนท่องจามากกว่าวธิ ีอื่น
วธิ ีการสอนแบบบรรยายนี้ จึงเหมาะ สาหรับวตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรมระดับ ฟื้ นคืนความรู้ คือ เนื้อหาทเ่ี ป็ นประเภทความจา เช่น ช่ือ คน ชื่อเครื่องมือ/อปุ กรณ์ ช่ือชิ้นส่วน ฯลฯ หรือเนื้อหาประเภทความจริง (Fact)
ข้อควรหลกี เลยี่ งในการสอนแบบบรรยาย ในขณะสอนจะจอ้ งมองแต่เพดาน โดยไม่ สนใจมองหรือสงั เกตผเู้ รียน ขงเบง้ ดูดาว
ในขณะสอนจะยกเอกสารหรือตารา บงั หน้าไว้หรือใช้สายตามองไปด้าน อื่น โดยไม่มองหรือสบตากบั ผู้เรียน สาวนอ้ ยหลบตา
สอนนอกเร่ือง และหาวิธีการต่าง ๆ มาเล่นให้ผู้เรียนดูเสมอ ดาราเลน่ กล
สอนโดยอ่านตารา หรือเอกสารไม่เงยหน้า มองผู้เรียน พูดเบาและใช้โทนเสียงเดียวกนั ตลอด นิมนตห์ ลวงพ่ี
สอนด้วยนา้ เสียงเบา ๆ ได้ยนิ เฉพาะผู้เรียน ทนี่ ่ังอยู่แถวหน้าเท่าน้ัน หมีกินผ้งึ
สอนออกนอกเร่ือง แสดงท่าทาง ลามก หรือสองแง่สองง่ามให้ผู้เรียนดู ถึงบทจาอวด
เทคนิคการสอนโดยใช้ผู้เรียนเป็ นศูนย์กลางการเรียนรู้
1. การประชุมกล่มุ ย่อย ( Buzz Session หรือ Buzz Group Method ) เทคนิคนีเ้ ป็ นการแบ่งผ้เู รียนเป็ นกล่มุ ย่อยจากกลุ่ม ใหญ่กลุ่มละ 2-6 คนเพื่อพจิ ารณาประเดน็ ปัญหา อาจเป็ นปัญหาเดยี วกนั หรือคนละปัญหา ในช่วง เวลาทก่ี าหนด มวี ทิ ยากรคอยช่วยเหลือ เม่ือแบ่งกล่มุ ย่อยผ้เู รียน แต่ละกล่มุ ต้องมปี ระธานกล่มุ และเลขานุการกลุ่ม บันทกึ ความคดิ เห็นของกล่มุ และนาเสนอกล่มุ ใหญ่ท้งั หมด
2. กรณศี ึกษา (Case Study) เป็ นการศึกษากรณี หรือเร่ืองราวซึ่งได้รวบรวมขนึ้ จากเหตุการณ์ทเี่ กดิ ขึน้ จริง หรือเหมือนจริง เพ่ือให้ ผู้เรียนตดั สินใจแก้ปัญหาต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์ ทใี่ กล้ความจริงมากทสี่ ุด เป็ นเทคนิคทเ่ี หมาะกบั กล่มุ เลก็ เรื่องทมี่ อบหมาย ต้องมรี ายละเอยี ดมากพอให้ผ้เู รียนมองเห็น จุดสาคญั ของปัญหา และข้อมูลเพ่ือพจิ ารณา
3. การระดมสมอง (Brainstorming) เป็ นเทคนิคทใี่ ช้เพ่ือเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนทุก คนได้แสดงความคดิ เห็นอย่างเสรี โดย ปราศจากข้อจากดั หรือกฎเกณฑ์ใด ๆ ภายใน เวลาจากดั และในช่วงแสดงความคดิ เห็นไม่มี การคานึงว่าผดิ -ถูก ดี-ไม่ดี ความคดิ ทุกอย่างจะได้การยอมรับจากกลุ่ม ท้งั สิ้นขนาดของกลุ่มไม่ควรเกนิ 20 คน เป็ น ผู้มปี ระสบการณ์ ความรู้ ความคดิ สร้างสรรค์ พอสมควร
4. ทัศนศึกษา (Field Trip) เป็ นการนาผู้เรียนไปยงั สถานทอี่ ่ืน นอกสถานทีจ่ ัดการเรียนการสอน
5. Forum เป็ นเทคนิคใช้กบั คนกลุ่มใหญ่ได้มีโอกาส แสดงความคดิ เห็นมสี ่วนร่วมในการ ฝึ กอบรมและพฒั นาเป็ นการซักถาม แสดงข้อเทจ็ จริง ปรึกษาหารือ แสดง ความคดิ เห็นกบั วิทยากร
6. เกมการบริหาร (Management Games) เป็ นเทคนิคทมี่ ลี กั ษณะคือ เป็ นการแข่งขัน ระหว่างบุคคลต้ังแต่ 2 ฝ่ ายขึน้ ไป และเป็ น การแข่งขนั เพ่ือดาเนินการให้บรรลุ วตั ถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็ น เทคนิคให้ปฏบิ ตั ิเหมือนเหตุการณ์จริง ผู้รับบทบาทเป็ นนักบริหารทต่ี ้องจัดการ กบั ปัญหาทเ่ี ผชิญอยู่เป็ นการฝึ กผู้นาเร่ือง การตัดสินใจ
7. การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) เป็ นการให้ผู้เรียนแสดงบทบาทใน สถานการณ์ท่เี หมือนจริง โดยกาหนดโครง เร่ืองและให้ผู้แสดงคดิ คาพดู ไปตามโครง เรื่องและตามบทบาททแี่ สดง เทคนิคนีเ้ หมาะกบั กลุ่มทมี่ ที กั ษะการ แสดงออกและมวี ุฒิเพยี งพอทจี่ ะวเิ คราะห์ ตรวจสอบและแก้ปัญหา
8. การสัมมนา (Seminar) เป็ นการประชุมเพื่อร่วมกนั ศึกษาค้นคว้าใน หัวข้อเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงภายใต้คาแนะนาของ ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้คุณวุฒิ
9. การประชุมปฏบิ ัตกิ าร (Workshop) การทผี่ ู้เรียนสนใจจะแก้ไขหรือ ปรึกษาหารือเพ่ือเพมิ่ พูนประสิทธิภาพ ในการทางานหรือเพื่อให้เกดิ ความรู้ กว้างขวางขึน้
10. การฝึ กประสาทสัมผสั ( Human Relation Laboratary Training) เป็ นเทคนิคการเรียนเพื่อเลือกเปลยี่ น พฤติกรรม วธิ ีการคือไม่มกี าร มอบหมายหรือปัญหาใด ๆ ให้กลุ่ม พจิ ารณา แต่ให้กลุ่มมีอสิ ระในการ เลือกกจิ กรรมว่าจะทาอะไรและทา อย่างไรโดยครูมบี ทบาทน้อยทสี่ ุด
11. การใช้กจิ กรรมนนั ทนาการ ( Recreational Activity) เป็ นการให้ผู้เรียนร่วมกนั นากจิ กรรมอย่าง ใดอย่างหน่ึง หรือหลายอย่างเช่น การ ร้องเพลง การปรบมือเป็ นจงั หวะพร้อม กนั ร้องเพลงประกอบท่าทาง การเล่น เกมส้ัน ๆเป็ นต้น โดยเน้นการทากจิ กรรม เป็ นกล่มุ เพื่อมุ่งเปลย่ี นทศั นคติและสร้าง ความสัมพนั ธ์ ตลอดจนสร้างความ สนุกสนานในระหว่างการเรียนการสอน
เทคนิคการสอนเป็ นรายบุคคล
1. คอมพวิ เตอร์ช่วยในการสอน (Computer Aided Instruction) เป็ นการนาคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนงานหรือ ให้ความรู้ทสี่ าคญั การจดั โปรแกรมจะ ประกอบด้วยความรู้พืน้ ฐาน และการ ทดสอบ พร้อมกบั ประเมนิ ผลทันที
2. การสอนแบบสาเร็จรูป (Programmed Instruction) เป็ นวธิ ีการสอนตนเองโดยปฏิบัตติ าม ข้ันตอนทท่ี ดสอบและจัดลาดับไว้อย่างดแี ล้ว
3. การฝึ กอบรมทางไปรษณยี ์ (Correspondence Study) เป็ นการเรียนโดยการส่งเอกสารให้ผู้เรียน ศึกษาด้วยตนเอง บางคร้ังมีครูไปบรรยายมี วทิ ยุบรรยายและมเี ทปโทรทศั น์บรรยาย ประกอบ เมื่อจบแต่ละหัวข้อวชิ า จะมีการ ทดสอบ ส่วนเอกสารแต่ละบทของหัวข้อ จะมีการประเมนิ ผลความเข้าใจ
วธิ ีการสอนแบบถามตอบ หมายถึง วธิ ีการสอนทผี่ ู้สอนและผู้เรียนมี กจิ กรรมร่วมกนั ในระหว่างบทเรียน โดยการ เปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคดิ เห็น ร่วมค้นคว้าและสรุปเนื้อหาวชิ าการโดยผู้สอน จะใช้คาถามถามเกยี่ วกบั ประสบการณ์เดิม ของผู้เรียน จนนาไปสู่ข้ันตอนสุดท้าย คือ ผู้เรียนสรุปเนื้อหาใหม่ได้จากคาถามคาตอบ ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
จุดประสงค์ของการต้งั คาถาม 1. ทาให้ผู้เรียนเกดิ ความสนใจและต้ังใจ 2. เสริมสร้างความนึกคดิ ในการเข้าสู่ การสร้างเนื้อหา 3. ดงึ ผู้เรียนให้เข้าร่วมกจิ กรรมใน กระบวนการเรียน 4. ทาให้รู้ถงึ ข้อมูลป้อนกลบั ว่าผู้เรียน เข้าใจหรือไม่
เทคนิคการให้เนื้อหาแบบถาม-ตอบ 1. ต้งั คาถาม ผสู้ อนต้งั คาถามกบั ผเู้ รียนท้งั ช้นั 2. เว้นระยะให้คดิ หยดุ ชวั่ ขณะใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีเวลาคิดหา คาตอบตามความยากง่ายของคาถาม
3. กาหนดตัวผู้ตอบ ผสู้ อนควรเลือกผตู้ อบใหเ้ หมาะสมอยา่ ปล่อยใหผ้ เู้ รียนไดต้ อบมาโดยอิสระ เพราะจะเป็นการสนบั สนุนผเู้ รียนที่เก่ง 4. ตรวจคาตอบ ทุกคร้ังท่ีถามควรมีการตรวจคาตอบ อยา่ ถามลอย ๆ โดยปราศจากคาตอบ
ลกั ษณะของคาถามท่ีดี 1. เป็ นคาถามทชี่ ัดเจน ถูกต้อง ไม่กากวม สองแง่สองมุม 2. เป็ นคาถามทใี่ ช้คาพดู ง่าย ๆ 3. เป็ นคาถามทช่ี วนให้คดิ และสนุกไป ตามบทเรียนทก่ี าหนด 4. เป็ นคาถามทผ่ี ู้เรียนสามารถตอบได้ ทุกคาถาม 5. เป็ นคาถามส้ัน ๆ และจากดั ขอบเขต ของคาถามให้มีข้อคดิ หลกั เพยี งข้อเดียว
ลกั ษณะของคาถามท่ีดี 6. ไม่ควรใช้คาถามทตี่ อบว่า ใช่-ไม่, จริง-ไม่จริงบ่อยคร้ังเกนิ ไป 7. เป็ นคาถามทส่ี ัมพนั ธ์กบั เนื้อหาและ วตั ถุประสงค์ 8. เป็ นคาถามท่ไี ม่ง่ายจนทาให้น่าเบ่ือ 9. เป็ นคาถามทีท่ ้าทายความคดิ 10. เป็ นคาถามทตี่ ่อเข้ากบั ประสบการณ์ เดมิ ของผู้เรียน
หลกั การในการใช้คาถาม เลยี วนาร์ด และคณะ (Leonard and Others 1972) การหาความตอ้ งการ จาเป็นมีข้นั ตอนอยา่ งไร ? 1. ถามคาถามก่อนแล้วจึงเรียกให้คนใดคน หน่ึงตอบ จะทาให้ผู้เรียนทุกคนเพม่ิ ความสนใจในคาถามมากขนึ้ 2. ถ้าเป็ นคาถามท่ตี ้องใช้ความคดิ ควร ยกเว้นระยะให้โอกาสผู้เรียนคดิ ก่อนตอบ แล้วจงึ ให้ การเสริมแรง
หลกั การในการใช้คาถาม การหาความตอ้ งการ 3. หลงั จากใช้คาถามบ่อยๆแล้ว ควรเรียกให้ จาเป็นมีข้นั ตอนอยา่ งไร ? ผู้เรียนคนใดคนหนึ่งสรุปแนวคดิ ทไี่ ด้ วธิ ีนีจ้ ะ ช่วยรักษา ระดับความสนใจในการฟังของ นักเรียน 4. ให้นักเรียนได้มโี อกาสตอบคาถามหลายๆคน เพราะเด็กบางคนอาสาตอบบ่อยบางคนอาจไม่ ยอมตอบเลย ส่ิงทค่ี วรคานึง 3 ประการ คือ ความท้าทายของคาถาม เจตคติในการเรียกตอบของครู และเจตคตใิ นการแสดงออกของนักเรียน
หลกั การในการใช้คาถาม การหาความตอ้ งการ 5. พยามชักจูงผู้เรียนทเ่ี งียบเฉย โดยการ จาเป็นมีข้นั ตอนอยา่ งไร ? เรียนรู้เกย่ี วกบั งานอดิเรก ความสนใจ กจิ กรรมของเขา 6. ไม่เรียกถามเรียงตวั หรือชนิดทน่ี ักเรียน จะคาดคะเนได้ว่าครูจะถามใครต่อไป
หลกั การในการใช้คาถาม การหาความตอ้ งการ 7. พยามยามอย่าซ้าคาถามบ่อยๆ เพราะวิธี จาเป็นมีข้นั ตอนอยา่ งไร ? น้ันไม่ช่วยพฒั นาความสามารถในการฟัง หรือความสนใจของผู้เรียน 8. สอนให้ผู้เรียนหวงั ทจ่ี ะได้รับแง่คดิ จาก คนอื่นเมื่อตนเองตอบคาถามไปแล้ว เพ่ือให้ ผู้เรียนรู้จักไตร่ตรองในส่ิงทเ่ี ขาได้ยนิ ได้ฟัง 9. ครูฟังคาถามของตนเองอย่างใช้ ความคดิ เช่น จะทาให้ครูรู้ตัวว่าคาถาม ชัดเจนเพยี งใด เหมาะสมกบั พืน้ ความรู้ ของนักเรียนเพยี งใด
เทคนิควธิ ีการสอนงานปฏบิ ัติ เป็ นวธิ ีการทใ่ี ช้สอนกบั กล่มุ วชิ าภาคปฏิบัติใน โรงงานสาหรับการฝึ กภาคปฏบิ ัติเพื่อให้ได้ทักษะ ปฏบิ ตั ิ หรือกลุ่มวชิ าทดลองในห้องปฏิบตั ิการ ซึ่งการสอนกบั กล่มุ วชิ าเหล่านี้ จะต้องใช้การ ผสมผสานกนั ระหว่างการสอนทฤษฎแี ละปฏิบัติ น่ันเอง ซ่ึงวธิ ีการสอนเหล่านีพ้ อสรุปเป็ นวธิ ีการ สอนทางทกั ษะปฏบิ ัตไิ ด้ดังนี้
Search