Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบงานรวมของ ม.ต้น (1)

ใบงานรวมของ ม.ต้น (1)

Published by มุจลินท์ ภูยาธร, 2021-11-08 07:01:56

Description: ใบงานรวมของ ม.ต้น (1)

Search

Read the Text Version

ใบงานครง้ั ที่ ๒.๑ รายวิชา คณิตศาสตร์ รหสั วิชา พค21001ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนต้น เรอ่ื ง จานวนเตม็ คาชีแ้ จง พิจารณาประโยคต่อไปนี้วา่ ประโยคใดเป็นจริงประโยคใดเปน็ เท็จ แลว้ เขยี นเครอ่ื งหมาย หรอื ลงใน ช่องว่างหน้าข้อความที่กาหนด ................. 1) 0 เปน็ จานวนเต็มบวกทีน่ ้อยทส่ี ดุ ................. 2) 1 เป็นจานวนเต็ม ................. 3) จานวนนบั ทน่ี อ้ ยทสี่ ดุ คือ 0 ................. 4) - 2 เป็นจานวนเต็ม ................. 5) มีจานวนเตม็ ลบมากมายนับไมถ่ ว้ น ................. 6) 2.5 เปน็ จานวนเตม็ ................. 7) จานวนทต่ี อ่ จาก 0 โดยลดลงคร้ังละ 5 คือ-5 ................. 8) จานวนที่ต่อจาก-7 โดยเพ่มิ ครั้งละ 5 คือ-2 ................. 9) -1, -2, -3, ...เปน็ การนบั เพิ่มครงั้ ละ 1 ................10) -3 เป็นจานวนทอ่ี ยู่หา่ งจาก 0 ทางซา้ ยมือ 3 หน่วย ................11) เป็นจานวนเตม็ ลบ ................12) -5 มคี า่ น้อยกว่า 0

เฉลย ใบงานคร้งั ที่ ๒.๑ รายวชิ า คณิตศาสตร์ รหสั วิชา พค21001ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น เรอ่ื ง จานวนเตม็ คาช้แี จง พจิ ารณาประโยคต่อไปนีว้ ่าประโยคใดเปน็ จริงประโยคใดเปน็ เทจ็ แลว้ เขียนเคร่อื งหมาย หรอื ลงในชอ่ งว่างหน้าข้อความที่กาหนด  1) 0 เปน็ จานวนเตม็ บวกทนี่ อ้ ยทีส่ ดุ  2) 1 เปน็ จานวนเตม็  3) จานวนนับทีน่ ้อยทส่ี ดุ คือ 0 4) - 2 เป็นจานวนเต็ม 5) มจี านวนเต็มลบมากมายนับไม่ถว้ น 6) 2.5 เปน็ จานวนเตม็  7) จานวนท่ตี ่อจาก 0 โดยลดลงคร้งั ละ 5 คือ-5 8) จานวนทีต่ ่อจาก-7 โดยเพ่มิ ครงั้ ละ 5 คอื -2 9) -1, -2, -3, ...เปน็ การนบั เพิ่มคร้งั ละ 1 10) -3 เป็นจานวนทีอ่ ยหู่ ่างจาก 0 ทางซา้ ยมือ 3 หน่วย 11) เป็นจานวนเตม็ ลบ 12) -5 มคี า่ น้อยกวา่ 0

ใบงานท๒่ี .๒ รายวิชา คณิตศาสตร์ รหัสวิชา พค21001ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ เรือ่ ง การเปรียบเทียบจานวนเตม็ คาชีแ้ จง เติมคาตอบลงในชอ่ งวา่ งให้ถูกตอ้ งสมบูรณ์ 1. เตมิ เคร่ืองหมาย>หรือ<ลงใน 1) -6  - 10 2) -2  - 1 3) -13  - 15 4) -75  - 100 5) -20  - 10 2. เติมจานวนลงในชอ่ งว่างต่อจากจานวนท่ีกาหนดใหอ้ ีก 3 จานวน 1) -16, -13, -10, ............, ............, ............ 2) -2, -5, -8, ............, ............, ............ 3) - 98, -105, -112, ............, ............, ............ 4) -5, -16, -27, ............, ............, ............ 5) -111, -99, -87, ............, ............, ............ 3. เรยี งลาดับจานวนท่กี าหนดให้จากนอ้ ยไปมาก 1) - 11 -5 -7  ......................................................................................... 2) - 1 -21 -15  ......................................................................................... 3) - 32 -9 -25  ......................................................................................... 4) - 18 -29 -36  ......................................................................................... 5) - 17 -6 -20  .........................................................................................

เฉลยใบงานทีค่ ร้ังท่ี ๒.๒ รายวชิ า คณติ ศาสตร์ รหัสวิชา พค21001ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น เร่ือง การเปรียบเทียบจานวนเตม็ คาช้แี จง เตมิ คาตอบลงในช่องว่างให้ถูกตอ้ งสมบรู ณ์ 1. เติมเคร่ืองหมาย >หรือ<ลงใน 1) -6 > - 10 2) -2 < - 1 3) -13 < - 15 4) -75 > - 100 5) -20 < - 10 2. เติมจานวนลงในช่องวา่ งต่อจากจานวนท่ีกาหนดใหอ้ ีก 3 จานวน 1) -16, -13, -10,/-๗, -๔, -๑ 2) -2, -5, -8,/ -๑๑, -๑๔, -๑๗ 3) - 98, -105, -112,/-๑๑๙, -๑๒๖ 4) -5, -16, -27, /-๓๘, --๔๙, -๖๐ 5) -111, -99, -87,/-๗๕, -๖๓, -๕๑ 3. เรยี งลาดับจานวนท่ีกาหนดใหจ้ ากนอ้ ยไปมาก 1) - 11 -5 -7 ๑๑, -๗, -๕. 2) - 1 -21 -15 ..-๒๑, -๑๕, -๑. 3) - 32 -9 -25 -๓๒ , -๒๕, -๙ 4) - 18 -29 -36 -๓๖, -๒๙, -๑๘ 5) - 17 -6 -20 .-๒๐, -๑๗, -๖

ใบงานครง้ั ที่ ๓.๑ รายวชิ า คณิตศาสตร์ รหัสวิชา พค21001ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนต้น เรอ่ื ง การวัดความยาว คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นปฏบิ ตั ดิ ังตอ่ ไปน้ี 1. จงเติมคาตอบลงในช่องว่างต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1) เชอื กเส้นนย้ี าว 5 เมตร คิดเปน็ ................... เซนตเิ มตร 2) บา้ นก้อยอยหู่ า่ งจากบ้านนุ้ย 1.2 กโิ ลเมตร คดิ เปน็ ..................... เมตร 3) ด้านหน้าของทีด่ นิ แปลงนก้ี ว้าง 40 เมตร คดิ เปน็ ..................... วา 4) ถนนเลียบคลองสายนย้ี าว 2,500 เมตร คดิ เป็น ..................... กโิ ลเมตร 2. จงเปรียบเทยี บความยาวในแต่ละข้อและระบุความยาวท่ีมากกวา่ 1) สดุ าสูง 6 ฟุต กบั ดวงใจสูง 175 เซนตเิ มตร 2) เรือบดยาว 3 วา กบั เรอื พายยาว 5 เมตร 3) ระยะทางจากกรงุ เทพมหานคร ถึงจังหวดั นครราชสมี าประมาณ 254 กโิ ลเมตร กบั ระยะทางจากกรงุ เทพมหานคร ถงึ เกาะชา้ ง จงั หวัดตราดประมาณ 205 ไมล์ 4) ไม้ยาว 5ฟุต 7 นิว้ กบั ไมย้ าว 170 เซนตเิ มตร

ใบงานครั้งที่ ๓.๒ รายวิชา คณติ ศาสตร์ รหสั วิชา พค21001ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ เรือ่ ง การวดั ความยาว คาชี้แจง ให้นักเรยี นปฏบิ ตั ดิ ังต่อไปน้ี 1. จงเปลี่ยนหน่วยความยาว เติมลงในชอ่ งว่างใหเ้ ป็นไปตามหนว่ ยท่กี าหนด 1.1 5 เซนติเมตร = ...................... มิลลเิ มตร 1.2 17 เซนตเิ มตร = ...................... มลิ ลเิ มตร 1.3 3.2 เซนติเมตร = ...................... มิลลเิ มตร 1.4 25.6 เซนตเิ มตร = ...................... มลิ ลเิ มตร 1.5 5,000มลิ ลิเมตร = ...................... เซนตเิ มตร 1.6 23 เมตร = ...................... เซนตเิ มตร 1.7 2,000 เมตร = ...................... กิโลเมตร 1.8 2.35 เมตร = ...................... เซนตเิ มตร 1.9 1.2 กโิ ลเมตร = ...................... เมตร 1.10 630 มลิ เิ มตร = ...................... เมตร 2. ให้นักเรียนเติมเคร่อื งหมาย = , > หรือ <ในช่องว่าง 2.1 0.5 ม. ........... 5 มม. 2.2 650 มม. ........... 60 ซม. 2.3 750 ซม. ........... 0.75 กม. 2.4 12.5 ซม. ........... 1.25 มม. 2.5 10 ซม. ........... 0.01 กม.

เฉลยใบงานครัง้ ท่ี ๓.๑ รายวชิ า คณิตศาสตร์ รหัสวิชา พค21001ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ เรอ่ื ง การวัดความยาว 1. จงเติมคาตอบลงในช่องว่างต่อไปนใี้ ห้ถูกต้อง 1) เชือกเสน้ น้ียาว 5 เมตร คิดเป็น 500 เซนตเิ มตร 2) บ้านก้อยอยู่หา่ งจากบา้ นนยุ้ 1.2 กิโลเมตร คิดเป็น1,200 เมตร 3) ด้านหนา้ ของท่ีดนิ แปลงน้ีกวา้ ง 40 เมตร คดิ เปน็ 20 วา 4) ถนนเลียบคลองสายน้ยี าว 2,500 เมตร คิดเป็น 2.5 กิโลเมตร 2. จงเปรียบเทยี บความยาวในแตล่ ะข้อและระบุความยาวที่มากกว่า 1) สุดาสงู 6 ฟุต กบั ดวงใจสูง 175 เซนติเมตร ความยาวทมี่ ากกว่าคือ 6 ฟุต 2) เรือบดยาว 3 วา กับเรอื พายยาว 5 เมตร ความยาวทม่ี ากกวา่ คือ 3 วา 3) ระยะทางจากกรุงเทพมหานคร ถงึ จงั หวัดนครราชสมี าประมาณ 254 กโิ ลเมตร กับ ระยะทางจากกรุงเทพมหานคร ถึงเกาะชา้ ง จังหวัดตราดประมาณ 205 ไมล์ ความยาวทม่ี ากกว่าคือ205 ไมล์ 4) ไมย้ าว 5ฟุต 7 นว้ิ กบั ไมย้ าว 170 เซนติเมตร ความยาวที่มากกว่าคือ5 ฟตุ 7 นิ้ว

เฉลย ใบงานครงั้ ที่ ๓.๒ รายวิชา คณติ ศาสตร์ รหสั วิชา พค21001ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น เรอ่ื ง การวดั ความยาว 1. จงเปลี่ยนหนว่ ยความยาว เตมิ ลงในช่องวา่ งใหเ้ ปน็ ไปตามหนว่ ยทกี่ าหนด 1.1 5 เซนตเิ มตร = 50 มิลลเิ มตร 1.2 17 เซนติเมตร = 170 มิลลเิ มตร 1.3 3.2 เซนติเมตร = 32 มลิ ลิเมตร 1.4 25.6 เซนติเมตร = 256 มิลลิเมตร 1.5 5,000มลิ ลเิ มตร = 500 เซนตเิ มตร 1.6 23 เมตร = 2,300 เซนตเิ มตร 1.7 2,000 เมตร = 2 กิโลเมตร 1.8 2.35 เมตร = 235 เซนตเิ มตร 1.9 1.2 กโิ ลเมตร = 1,200 เมตร 1.10 630 มลิ เิ มตร = 0.63 เมตร 2. ให้นักเรยี นเตมิ เครือ่ งหมาย = , > หรือ <ในช่องว่าง 2.1 0.5 ม. > 5 มม. 2.2 650 มม. > 60 ซม. 2.3 750 ซม. < 0.75 กม. 2.4 12.5 ซม. > 1.25 มม. 2.5 10 ซม. < 0.01 กม

ใบงานครง้ั ที่ ๔.๑ รายวิชา คณิตศาสตร์ รหัสวิชา พค21001ระดับ มัธยมศึกษาตอนตน้ เรอ่ ง การแกโจทยปญหาเกย่ี วกบั ปริมาตรและพื้นทผี่ ิว จงแสดงวธิ ีทา ๑.ลังกระดาษบรรจุกลองซดี ี วัดความยาวภายในไดกวาง12เซนตเิ มตร บรรจุ ยาว 14 เซนตเิ มตร และสงู 15 เซนตเิ มตรและบรรจุกลองซีดเี ต็มลังพอดี ลงั กระดาษนี้มปี รมิ าตรเทาไรและถาหยบิ กล่องซีดอี อกมา .......1...ก...ล..อ..ง....ซ..่งึ..ม..ีป...ร..มิ ..า..ต...ร...2...7...0....ล..กู...บ..า..ศ..ก...เ.ซ..น...ต..เิ..ม..ต..ร....ก..ล...อ..ง..ซ..ีด...ีจ..ะ..ห...น..า..เ..ท..า..ไ..ร.......................................................... ............................................................................................................................. .................................................. ............................................................................................................................. .................................................. ........................................................................................................................................................................... .... ๒.นา้ ขันครงึ่ วงกลมรศั มี 3 นิ้ว ตกั นา้ ใสถังทรงกระบอกที่มีรศั มี27น้ิวกี่คร้ัง10นิ้ว และสูงนา้ จงึ จะเต็มถัง ................................................................................................................................................ ............................... ................................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ..................................................

เฉลยใบงาน ครง้ั ที่๔.๑ รายวิชา คณิตศาสตร์ รหสั วิชา พค21001ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น เร่อื ง การแกโจทยปญหาเกีย่ วกบั ปริมาตรและพื้นทผ่ี ิว ๑.ลงั กระดาษบรรจุกลองซีดี วัดความยาวภายในไดกวาง12เซนติเมตร บรรจุ ยาว 14 เซนติเมตร และสงู 15 เซนตเิ มตรและบรรจุกลองซดี ีเต็มลงั พอดี ลังกระดาษน้ีมีปริมาตรเทาไรและถาหยบิ กลซีดอี อกมา1กลอง ซงึ่ มปี รมิ าตร 270 ลกู บาศกเซนติเมตร กลองซดี จี ะหนาเทาไร วิธีทา ลังกระดาษมีปรมิ าตร = พื้นท่ีฐานxสงู = (12 x 14) x 15 = 2, 520 ลูกบาศกเซนติเมตร กลองซีดี 1 กลอง มีปริมาตร= พ้นื ทฐ่ี านxหนา 270 = (12 x 15) x หนา หนา = 270 12 15 กลองใสซีดมี ีความหนา= 1.5 เซนติเมตร ลังกระดาษมีปรมิ าตร2,520 ลกู บาศกเซนตเิ มตร ๒. ํน้าขนั คร่งึ วงกลมรัศมี 3 นิ้ว ตกั ํนา้ ใสถงั ทรงกระบอกทมี่ ีรศั มี27น้วิ ก่ีคร้ัง 10นิ้ว และสูงํนา้ จงึ จะเตม็ ถัง วธิ ที า ปรมิ าตรํน้า1ขนั = 1 ของปริมาตรของทรงกลม 2 = 1 4 πr 3 2 3 = 1 4 π333 2 3 = 18 πลกู บาศกนิว้ ปรมิ าตรถงั ทรงกระบอก = πr 2 h = π 102 27 = 2,700 πลกู บาศกนิ้ว จะตองตักํนา้ = 2,700π ครงั้ 18π = 150 ครงั้ ตอบ 150 ครั้ง

ใบงานครงั้ ที่ ๕.๑ รายวิชา คณติ ศาสตร์ รหสั วิชา พค21001ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น เรอ่ื ง กราฟของคู่อันดับ คาชแี้ จง 1. ใหน้ ักเรียนเตมิ ช่ือเรยี กจตภุ าคบนระนาบให้ถกู ต้อง 2. ให้นักเรียนเขยี นจุดต่อไปน้บี นระนาบให้ถูกต้อง A(3, 2) B(-4, 3) C(-5, -1) D(-3, 0)E(2, -2) F(1, 4) G(5, -2) H(-2 ,-2)

3. ใหน้ ักเรียนเตมิ คูอ่ นั ดับ ลงในช่องว่างให้ถูกตอ้ ง พิกดั ของ A คือ………….....……… พกิ ดั ของ E คือ…………....…………... พิกดั ของ B คือ………….....……… พกิ ดั ของ F คือ…………….....………... พกิ ดั ของ C คือ………….....……… พกิ ดั ของ G คือ…………....…………... พกิ ดั ของ D คือ………..…...……… พกิ ดั ของ H คือ……………....………...

เฉลยใบงานครั้งที่ ๕.๑ รายวิชา คณิตศาสตร์ รหสั วิชา พค21001ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ เรื่อง กราฟของคู่อนั ดับ ๑. ๒. พิกดั ของ E คอื (5,-3) . พิกดั ของ A คอื (5, 8) พกิ ัดของ F คอื (7, 3) พกิ ัดของ G คือ (12, 4) พิกดั ของ B คือ (3, 5) พิกัดของ H คอื (7, 5) พกิ ัดของ C คอื (-2, 4) พิกดั ของ D คือ (3, 3)

ใบงานครัง้ ท่ี ๖.๑ รายวชิ า คณติ ศาสตร์ รหสั วิชา พค21001ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนตน้ เร่อื ง การอ่านและแปลความหมายจากราฟ 1. กานดาทดสอบหาความยาวของลวดสปรงิ อันหนึ่งท่ีแขวนกับเพดานโดยใชต้ ้มุ นา้ หนักถว่ งเพ่ิมข้นึ คร้ังละ 10 กรมั จนถึง 50 กรัม แลว้ บนั ทกึ ผลการทดลองดังตาราง ใหน้ กั เรียนเติมจานวนลงในช่องวา่ งที่เว้นไวใ้ น ตารางต่อไปนี้ น้าหนกั ของตุ้มนา้ หนกั (กรัม) ความยาวของลวดสปรงิ (เซนติเมตร) 0 10 3.5 20 4 30 …………. 40 5 50 …………. 6 ใหแ้ กน x แสดงน้าหนกั ของตุ้มน้าหนักเป็นกรัม แกน y แสดงความยาวของลวดสปรงิ เปน็ เซนติเมตร ให้นักเรียนเขียนกราฟแสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งน้าหนักของตุ้มนา้ หนักและความยาวของลวดสปรงิ แล้ว ตอบคาถาม

1. เมื่อถ่วงดว้ ยตมุ้ นา้ หนัก 10 กรัม ลวดสปรงิ จะยาว..................................ซม. 2. เมื่อลวดสปรงิ ยาว 4.75 เซนตเิ มตร ตุม้ น้าหนักจะหนัก..................................กรมั 1. จากความสัมพนั ธด์ ังกลา่ วหากต้มุ นา้ หนักเพิ่มข้นึ ความยาวของลวดสปรงิ จะเป็นอยา่ งไร ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... 2. ถงั นา้ ขนาดใหญ่สาหรบั เก็บน้าจานวนมาก เรียกวา่ แท็งก์ อาคารแหง่ หน่ึงมีแท็งก์สาหรับ เก็บนา้ ไว้ ใช้ 2 แท็งก์ ในขณะที่ปล่อยน้าออกจากแท็งกใ์ บทห่ี น่งึ ก็จะเปิดนา้ เข้าแท็งก์ใบท่ีสอง โดยเรม่ิ พร้อมกนั เม่ือ เวลา 7.00 น. กราฟต่อไปนี้แสดงความสัมพันธร์ ะหว่างเวลาทผ่ี า่ นไปจาก 7.00 น. และปรมิ าณน้าในแต่ ละแทง็ ก์ ปริมาณน้า (ลิตร) 9,000 8,000 7,000 แท็งก์ใบที่หนึ่ง 6,000 5,000 2 4 6 8 10 12 4,000 14 แท็งก์ใบท่ีสอง 3,000 เวลาที่ผา่ นไป(ชั่วโมง)

จากกราฟขา้ งต้น จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1. ก่อนปล่อยนา้ ออกและเปดิ นา้ เข้าเมื่อเวลา 7.00 น. แท็งกใ์ บทีห่ นึ่ง และแทง็ ก์ใบทีส่ อง มีน้าอยู่ แทง็ ก์ละก่ีลิตร ..................................................................................................... ............................................................ ............................................................................................................................. .................................... 2. แท็งก์ใบทส่ี อง บรรจนุ ้าอยู่ 3,500 ลติ ร เมื่อเวลาผา่ นไปก่ีชัว่ โมง ............................................................................................................................. .................................... 3. นา้ ในแท็งก์ใบท่ีหน่ึง ลดลงไป 2,000 ลติ รเม่อื เวลาใด ................................................................................................................................ ................................. ................................................................................................. ................................................................ 4. แทง็ ก์ใบที่สอง มนี ้าบรรจุอยู่ 7,000 ลิตรเมือ่ เวลาใด ............................................................................................................................. .................................... ................................................................................................................................................................. 5. นานเทา่ ไรน้าในแทง็ กท์ ั้งสองมีปรมิ าณน้าเท่ากัน และปรมิ าณน้าในแตล่ ะแท็งกเ์ ท่ากบั ก่ีลติ ร ................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................... 6. เมอื่ เวลา 12.00 น. แท็งกใ์ บทห่ี นึง่ และแทง็ ก์ใบทสี่ อง มีนา้ อยู่แท็งกล์ ะกี่ลติ ร ............................................................................................................................. .................................... ........................................................................................................................................... ...................... 7. ถ้าปดิ น้าแท็งก์ใบทห่ี นึ่งเมื่อเวลา 17.00 น. แลว้ ยงั ตอ้ งเปิดนา้ เข้าแท็งก์ใบทสี่ อง จนถึงเวลาใดจงึ จะได้น้าทั้งสองแทง็ ก์รวมกันเท่ากับ 10,000 ลิตร ............................................................................................................................. .................................... .................................................................................................................................................................

เฉลยใบงานคร้ังท่ี ๖.๑ รายวิชา คณิตศาสตร์ รหัสวิชา พค21001ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ เรอ่ื ง การอ่านและแปลความหมาย 1. น้าหนกั ของตุ้มน้าหนกั (กรมั ) ความยาวของลวดสปรงิ (เซนตเิ มตร) 0 3.5 10 4 20 4.5 30 5 40 5.5 50 6 กราฟแสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ งนา้ หนักของตุ้มน้าหนกั และความยาวของลวดสปริง ความย9 าวลวดสปรงิ (เซนติเมตร) 8 7 6 5 4 3 2 1 10 20 30 40 50 นา้ หนักของตุ้มนา้ หนัก(กรมั ) -1 1) 4 เซนตเิ มตร 2) 25 กรมั 3) ถ้าตมุ้ น้าหนกั เพ่มิ นา้ หนักขึ้น ความยาวของลวดสปรงิ กจ็ ะเพิม่ ขึน้

2) 1. แท็งก์ใบทห่ี น่ึงมีน้าอยู่ 9,000 ลิตร และแทง็ ก์ใบทส่ี อง มีน้าอยู่ 3,000 ลิตร 2. 2 ชว่ั โมง 3. 11.00 น. 4. 23.00 น. 5. เม่ือเวลาผ่านไป 8 ชว่ั โมง และปริมาณน้าแตล่ ะแทง็ ก์เท่ากบั 5,000 ลิตร 6. แทง็ ก์ใบท่ีหนึง่ มีอยู่ 6,500 ลติ ร และแทง็ กใ์ บท่สี อง มีน้าอยู่ 4,250 ลติ ร 7. 19.00 น.

ใบงานคร้งั ที่ 7 วชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 ระดับ มัธยมศึกษาตอนตน้ เรือ่ ง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ............................................................................................................................................................... ......... คาสั่ง : จงปฏิบัติกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตามหลกั วิทยาศาสตร์ 5 ขอ้ 1. การกาหนดปญั หา 2. การต้ังสมมตฐิ าน 3. การตรวจสอบสมมติฐาน 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. การสรุปผลการทดลอง

ใบงานครงั้ ที่ 8 วิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว 21001 .ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ เรอ่ื ง กระบวนการทส่ี ารผ่านเซลล์ 1. การแพร่ (Diffusion) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การออสโมซสี (Osmosis) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

เฉลยใบงานครั้งท่ี 8 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว 21001 .ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น เรอ่ื ง กระบวนการทีส่ ารผา่ นเซลล์ 3. การแพร่ (Diffusion) ตอบ การแพร่ เป็นการกระจายตัวของโมเลกุลของสสารจากจุดท่ีมีความเข้มข้นสูงกว่า ไปยังจุดที่มี ความเขม้ ขน้ ตา่ กว่าดว้ ยการเคล่อื นท่เี ชิงสุม่ ของโมเลกุล การแพรจ่ ะทาให้ เกิดการผสมของวัสดุอย่างช้าๆ สาหรับเฟสหนึ่งๆของวัสดุใดๆก็ตามท่ีมีอุณหภูมิสม่าเสมอ และไม่มีแรงภายนอกมากระทากับ อนุภาค กระบวนการแพร่ก็จะยังคงเกิดถึงแม้ว่า สสารจะผสมกันโดยสมบูรณ์หรือเข้าสู่ภาวะสมดุลแล้ว โดยพ้นื ฐานแล้ว การเคล่อื นที่ของโมเลกุล จากพื้นท่ีที่มีความเข้มข้นสูงไปสู่ความเข้มข้นท่ีต่ากว่าเรียกว่า การแพร่ท้ังส้ิน ตัวอย่างการแพร่ เช่น การแพร่ของเกล็ดด่างทับทิมในน้า การแพร่ของน้าหวานในน้า การแพร่ของสีน้าในนา้ การแพรข่ องแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ในอากาศ 4.การออสโมซีส(Osmosis) ตอบ ออสโมซิส (อังกฤษ: osmosis) เป็นกระบวนการแพร่โมเลกุลของเหลวหรือน้าผ่านเยื่อเลือก ผ่าน จากบรเิ วณทมี่ คี วามเขม้ ข้นของน้ามาก (สารละลายความเข้มข้นต่า) ไปยังบริเวณท่ีมีความเข้มข้นของ น้าน้อย (สารละลายความเข้มข้นสูง) กระจายจนกว่าโมเลกุลของน้าจะเท่ากัน เป็นกระบวนการทาง กายภาพทตี่ ัวทาละลายจะเคล่ือนท่ีโดยอาศัยพลังงานความร้อน ผ่านเยื่อเลือกผ่าน (ซึ่งตัวทาละลายจะผ่าน เยื่อเลือกผ่านได้ แต่สารละลายจะไม่สามารถผ่านเยื่อเลือกผ่านได้) ออสโมซิสก่อให้เกิดพลังงาน และ สามารถสร้างแรงได้ การเคล่ือนท่ีของตัวทาละลายจะเคล่ือนท่ีจากสารละลายความเข้มข้นต่ากว่า ไปยัง สารละลายท่ีมีความเข้มข้นสูงกว่า เพื่อเป็นการลดความต่างของความเข้มข้นของสาร แรงดันออสโม ซสิ หมายถงึ แรงดันท่ีใช้สาหรบั การคงดลุ ยภาพ โดยทไี่ มม่ กี ารเคลอื่ นทขี่ องตัวทาละลายอีกต่อไป ออสโมซิสเป็นกระบวนการสาคัญสาหรับระบบชีววิทยา โดยเย่ือหุ้มเซลล์ของสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่จะมี คุณสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน โดยทั่วไปแล้ว เยื่อหุ้มเซลล์จะไม่ยอมให้สารละลายอินทรีย์ท่ีมีโมเลกุลขนาด ใหญ่ (เช่น พอลิแซ็กคาไรด์) ผ่านเข้าออกได้ ขณะที่น้า อากาศ และสารละลายท่ีไม่มีประจุไฟฟ้าสามารถ ผ่านเข้าออกได้ ความสามารถในการผ่านเข้าออกเยื่อหุ้มเซลล์ของสารอาจข้ึนอยู่กับคุณสมบัติในการละลาย ประจุไฟฟ้า หรือคุณสมบัติทางเคมี และขนาดของสารละลายน้ัน กระบวนการออสโมซิสเป็นกระบวนการ พื้นฐานในการนาน้าผ่านเข้าออกเย่ือหุ้มเซลล์ แรงดันเทอร์เกอร์ของเซลล์จะถูกควบคุมโดยออสโม ซสิ ตวั อยา่ งออสโมซิส เช่น การออสโมซิสของน้าเข้าไปในเซลล์พืชทาให้ผิวของพืชเต่ง การออสโมซิสของสี นาเข้าไปในผวิ กระดาษ ทาให้ผิวกระดาษเปลี่ยนสี

ใบงานเท่ี 9.1 วชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น เรื่อง ระบบนเิ วศ 1. ระบบนเิ วศ คือ ................................................................................................................................. ........................................ ........................................................................................... .............................................................................. ............................................................................................................................. ............................................ ...................................................................................................................................... ................................... ................................................................................................ ......................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ........................................................................................................................................... .............................. ..................................................................................................... .................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ .............................................................................................................................................................. ........... 2. ประเภทของระบบนิเวศ 2.2 ระบบนเิ วศในน้า ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ............................................................................................................................. ............................................ ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................ .................................................................................................................................................. ...................... 2.3 ระบบนิเวศบนบก ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................ .........................

2.4 องค์ประกอบของระบบนเิ วศ ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................... .....................................

เฉลยใบงานท่ี 9.1 วชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น เรอ่ื ง ระบบนเิ วศ 1. ระบบนเิ วศ คอื ตอบ ระบบนิเวศ (Ecosystem) หมายถึง หน่วยพนื้ ทีห่ น่ึงประกอบด้วยสงั คมของ สง่ิ มชี วี ิตกับ สงิ่ แวดล้อมทาหน้าทีร่ ่วมกนั ระบบนิเวศเป็นระบบท่ีแสดงให้เหน็ ถึงความสมั พนั ธ์อยา่ งใกลช้ ิด ของสง่ิ มชี ีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม โดยการลาดับขน้ั ของการกินแบบตา่ ง ๆ ตลอดจนการหมุนเวยี นของสารแร่ ธาตุและการถา่ ยทอดพลงั งาน จนทาให้เกิดองค์ประกอบของส่ิงมีชวี ติ เปน็ ระบบที่มลี กั ษณะต่าง ๆ กัน... 2. ประเภทของระบบนิเวศ 2.2 ระบบนเิ วศในน้า ตอบ ระบบนิเวศน้า (Aquatic Ecosystem) เช่น ระบบนิเวศน้าจดื , ระบบนิเวศนา้ เค็ม, ระบบนิเวศนา้ กร่อย 2.3 ระบบนิเวศบนบก ตอบ ระบบนิเวศบนบก (Terrestrial Ecosystems) เปน็ ระบบนเิ วศทป่ี รากฏอย่บู นพื้นดนิ ซงึ่ แตกตา่ ง กันไปโดยใช้ลกั ษณะเดน่ ของพืชเป็นหลกั แบ่ง ซงึ่ ข้ึนกับปัจจยั สาคัญ 2 ประการ คือ อณุ หภูมแิ ละปริมาณ น้าฝน ทาใหพ้ ืชพรรณต่างๆ แตกตา่ งกนั ระบบนเิ วศบนบกน้ันพอแบง่ ออกไดด้ ังนี้ 1.1 ระบบนิเวศป่าไม้ (Forest Ecosystem) เป็นระบบนิเวศท่ีพื้นทีส่ ่วนใหญ่ปกคลุมไปดว้ ยป่า ไม้ สามารถแบง่ ย่อยออกไปไดด้ ังน้ี 1) ระบบนิเวศป่าไม้เขตรอ้ น ไดแ้ ก่ ระบบนิเวศปา่ เบญจพรรณ ป่าเตง็ รัง ป่าดิบช้ืน ปา่ ดิบแล้ง ป่าดิบ เขา เป็นต้น 2) ระบบนิเวศปา่ ไม้เขตอบอุ่น ได้แก่ ระบบนิเวศปา่ ผลดั ใบเขตอบอุน่ ปา่ เมดิเตอรเ์ รเนียน 3) ระบบนเิ วศปา่ ไมเ้ ขตหนาว ไดแ้ ก่ระบบนเิ วศป่าสน 4) ระบบนิเวศป่าชายฝั่ง (ป่าชายเลน ปา่ ชายหาด ปา่ โขดหนิ ) 1.2 ระบบนเิ วศนท์ งุ่ หญา้ (Grassland Ecosystem) เปน็ ระบบนิเวศที่มีพืชตระกลู หญา้ เปน็ พชื เด่น แบ่งไดด้ ังนี้ 1) ระบบนเิ วศนท์ ุ่งหญา้ เขตร้อน ได้แก่ ระบบนิเวศทงุ่ หญ้าซาวันนา โดยมีทุง่ หญา้ ที่กวา้ งใหญท่ ่ีสดุ ในโลก ที่รจู กั กันในนามทงุ่ หญ้าซาฟารี 2) ระบบนเิ วศน์ทงุ่ หญ้าเขตอบอนุ่ ไดแ้ ก่ ระบบนเิ วศท่งุ หญ้าแพรรี่, ทุง่ หญา้ สเตปป์ 3) ระบบนเิ วศนท์ ุ่งหญ้าเขตหนาว ทงุ่ หญา้ ทนุ ดรา 1.3 ระบบนิเวศนท์ ะเลทราย (Desert Ecosystem) เป็นพ้ืนท่ีทม่ี ีปริมาณฝนตกน้อยกว่า ปรมิ าณการระเหยนา้ แตบ่ างพนื้ ที่อาจมีฝนตกบา้ งเลก็ น้อยกจ็ ะมหี ญ้าเขตแห้งแลง้ งอกงามได้ ไดแ้ ก่ 1) ระบบนิเวศนท์ ะเลทรายเขตร้อน ทะเลทรายเขตอบอุน่ 2) ระบบนเิ วศนท์ ่งุ หญ้ากึ่งทะเลทรายเขตร้อน ทุ่งหญา้ กงึ่ ทะเลทรายเขตร้อน

2.4 องคป์ ระกอบของระบบนิเวศ ตอบ ในระบบนเิ วศหนึ่งๆ นน้ั จะประกอบดว้ ยองค์ประกอบหลัก 2 สว่ นดว้ ยกนั คอื · อนินทรียสาร ไดแ้ ก่ คารบ์ อนไดออกไซด์ ไนโตรเจน น้า ไฮโดรเจน ฟอสฟอรสั ซัลเฟอร์ โซเดียม โพแทสเซยี ม แคลเซยี ม แมกนเี ซียม ฯลฯ · อินทรียสาร ไดแ้ ก่ โปรตนี คารโ์ บไฮเดรต ไขมัน ฯลฯ ซงึ่ พืชและสิ่งมีชวี ิตขนาดเลก็ ท้ังหลาย ทาการ สงั เคราะห์ขน้ึ มาจากสารอนินทรีย์

ใบงานครัง้ ที่ 9.2 วิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น เรื่องวัฏจกั รของนา้ 1. วัฏจกั รของน้า ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ............................................................................................................................. ............................................ ........................................................................................................................................................................ 2. ความชื้นในบรรยากาศ (Atmospheric Moisture) .................................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ............................................................................................................................................... .......................... ......................................................................................................... ................................................................ ............................................................................................................................. ............................................ .................................................................................................................................................... ..................... .............................................................................................................. ........................................................... 3.หยาดนา้ ฟา้ (Precipitation)............................................................................................................................. ................... ...................................................................................................................................................... ................... ................................................................................................................ ......................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ........................................................................................................................................................... .............. ..................................................................................................................... .................................................... .......................................................................................................... ............................................................... ............................................................................................................................................................... .......... 4.การซมึ ลงดิน (Infiltration)............................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ............................................................................................................................................................. ............ ....................................................................................................................... .................................................. ............................................................................................................................. ............................................

5.การไหลของน้าบนผวิ ดนิ (Surface Runoff)............................................................................................................................. ............................... .............................................................................................. ........................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................... ................................ 6.การระเหย (Evaporation)................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ............................................ ............................................................................................................................................. ............................ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………... 7.การคายนา้ ของพืช (Transpiration)............................................................................................................................. .................. ......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................ ............................................................................................................................. ............................................ ......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... ……………………………………………………………………………………………………………………….……………………………..

ใบงานคร้ังท่ี 9.2 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ เรอ่ื งวัฎจักของน้า 1. วฏั จกั รของน้า ตอบ คอื วัฏจักรของนา้ หมายถงึ การหมุนเวียนเปลยี่ นแปลงของน้าซึ่งเปน็ ปรากฏการณท์ ่เี กิดขนึ้ เองตามธรรมชาติ โดยเร่ิมต้นจากน้าในแหลง่ น้าต่าง ๆ เชน่ ทะเล มหาสมทุ ร แมน่ ้า ลาคลองหนอง บึง ทะเลสาบ จากการคายนา้ ของพืช จากการขับถ่ายของเสียของสิ่งมีชีวติ และจากกิจกรรมตา่ ง ๆ ท่ีใช้ในการ ดารงชีวิตของมนุษย์ ระเหยขึ้นไปในบรรยากาศ กระทบความเยน็ ควบแน่นเป็นละอองน้าเล็ก ๆ เป็นกอ้ น เมฆ ตกลงมาเปน็ ฝนหรอื ลูกเหบ็ สู่พ้นื ดนิ ไหลลงส่แู หลง่ น้าต่าง ๆ หมนุ เวยี นอยู่เชน่ นีเ้ รือ่ ยไป ตัวการทที่ าใหเ้ กดิ การหมุนเวียนของนา้ 1. ความร้อนจากดวงอาทติ ย์ ทาให้เกิดการระเหยของน้าจากแหล่งน้าตา่ ง ๆ กลายเป็นไอนา้ ข้ึนสู่ บรรยากาศ 2. กระแสลม ชว่ ยทาใหน้ า้ ระเหยกลายเป็นไอได้เร็วขนึ้ 3. มนุษยแ์ ละสตั ว์ ขบั ถ่ายของเสยี ออกมาในรูปของเหงื่อ ปสั สาวะ และลมหายใจออกกลายเป็นไอ นา้ สูบ่ รรยากาศ 4. พชื รากตน้ ไม้เปรยี บเหมือนฟองน้า มคี วามสามารถในการดูดน้าจากดนิ จานวนมากขึ้นไปเก็บไว้ ในส่วนต่าง ๆ ท้งั ยอด กงิ่ ใบ ดอก ผล และลาตน้ แล้วคายน้าสูบ่ รรยากาศ ไอเหลา่ นจ้ี ะควบแน่นและ รวมกันเปน็ เมฆและตกลงมาเปน็ ฝนตอ่ ไป ปรมิ าณนา้ ที่ระเหย ปรมิ าณน้าท่ตี กลงมา จากมหาสมุทร 84% ในมหาสมุทร 77% จากพ้ืนดนิ 16% บนพ้นื ดนิ 23% รวม 100% รวม 100% 2. ความชื้นในบรรยากาศ (Atmospheric Moisture) ตอบ ความชืน้ ของอากาศ คอื ปรมิ าณไอนา้ ท่ีมอี ยใู่ นอากาศบริเวณใดบรเิ วณหน่ึง ซง่ึ มีสัดส่วนที่ แตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่ ถ้าอากาศมีความช้นื ต่า นา้ จะเกิดการระเหยได้มาก เสอ้ื ผา้ ท่ีตากไว้จะแห้ง เรว็ แต่ถ้าอากาศมีความช้นื สงู นา้ จะระเหยไดน้ อ้ ย เส้ือผา้ ที่ตากไวจ้ ะแห้งช้า ขณะทน่ี ้าเกิดการระเหยจะ ทาใหอ้ ุณหภมู ิของสง่ิ แวดลอ้ มลดตา่ ลง เนือ่ งจากน้าทีร่ ะเหยจะดดู ความร้อนจากสง่ิ ตา่ ง ๆไปใช้ในการ ระเหยนั่นเอง เช่น อุณหภูมิของเทอรม์ อร์มิเตอรเ์ ปียกลดตา่ ลง อุณหภมู ิของนา้ ในตุ่มดินเผาลดต่าลง เป็น ตน้ การที่น้าในตุ่มดินเผาเยน็ กวา่ น้าท่ีเกบ็ ในภาชนะอน่ื นน้ั เนอ่ื งจากตุ่มดินเผามลี กั ษณะรูพรุน ซึ่งน้า สามารถระเหยออกมาได้ จงึ ทาให้อุณหภมู ิของตุ่มและนา้ ลดตา่ ลง นา้ ในตมุ่ ดินเผาจึงเย็นกวา่ 3.หยาดน้าฟา้ (Infiltration). ตอบ (Precipitationหยาดน้าฟ้า (องั กฤษ: precipitation) เป็นปรากฏการณ์ของน้าในอากาศ (hydrometeor) ประเภทหน่ึง ซ่ึงหมายความถึงผลติ ภณั ฑ์ใด ๆ อนั เกิดจากการควบแนน่ ของไอนา้ ใน บรรยากาศและตกลงมาดว้ ยอิทธพิ ลของแรงโน้มถ่วง รปู แบบหลกั ของหยาดนา้ ฟา้ ประกอบด้วยฝนละออง (drizzle), ฝน, ฝนนา้ แข็ง (sleet), หมิ ะ, ลกู ปรายหิมะ (graupel) และลกู เหบ็ หยาดนา้ ฟ้าเกดิ ขึน้ เม่ือ บรรยากาศเหนือพื้นดนิ บรเิ วณหนง่ึ อมิ่ ตวั ด้วยไอน้า จากน้ันน้าเกิดการควบแนน่ และตกลงมา หมอกและ หมอกน้าค้างจงึ ไมจ่ ัดเป็นหยาดน้าฟ้า มีอยสู่ องกระบวนการที่อากาศอมิ่ ตัวได้ คือ อากาศไดร้ ับความเย็น

หรือเพม่ิ ไอน้าเข้าไปในอากาศ ซึง่ สองกระบวนการนี้อาจเกิดร่วมกันได้ โดยท่ัวไป หยาดนา้ ฟ้าจะตกกลบั คนื สู่พื้นดนิ การซึมลงดนิ 4. การไหลของนา้ บนผิวดิน (Surface Runoff. ตอบ เม่ือน้าฝนทีต่ กลงมามีมากเกนิ กวา่ จะไหลซึมลงในดินได้หมด ก็จะกลายเป็นน้าบ่า หน้าดินหรอื น้าท่า เมอ่ื มันไหลไปเติมพน้ื ผวิ ทเ่ี ปน็ แอง่ ลมุ่ ต่าจนเตม็ แล้ว มนั กจ็ ะไหลไปบนผวิ ดินต่อไป จนไปบรรจบกบั ระบบ รอ่ งนา้ ในที่สุด แลว้ กไ็ หลตามเส้นทางของลานา้ จนกระท่งั ลงสมหาสมุทร หรอื แหล่งน้า ในแผ่นดินบางแหง่ ในระหวา่ งทางนี้มนั กจ็ ะสูญเสียไปดว้ ยการระเหยสบู่ รรยากาศ และการไหลซึมลงตามของตลิง่ และท้องนา้ ซึ่งในสว่ นนีอ้ าจจะเป็นไปได้ ตั้งแต่ 0 ไปจนถึง 100 % ของจา้ นวนทัง้ หมด 5. การระเหย (Evaporatio) ตอบ นา้ ในสถานะของเหลว เมอ่ื ถกู ความร้อนจากพลงั งานแสงอาทิตย์หรอื แหล่งอ่นื จะเปล่ียนไปสู่สถานะ กา๊ ซหรือเรียกปรากฏการณน์ ี้ว่า \" การระเหย \" การระเหยจากนา้ และจากผวิ ดินจากจานวนหยาดน้าฟ้า ท้งั หมดทต่ี กลงมา ส่วนใหญจ่ ะตกลงโดยตรงสู่พ้นื มหาสมุทรทะเลสาบขนาดใหญ่ ในแผ่นดินแหลง่ นา้ บนดิน อ่ืน ๆ เชน่ แมน่ า้ ล้าคลอง หนองบึง ส่วนท่ตี กลงในมหาสมุทรเมื่อรวมกับนา้ ทา่ ท่ไี หลกลับคนื มา จะทา้ ให้ เกดิ ความสมดลุ ของน้าที่มั่นคง และแสดงหลกั ฐานโดยระดับนา้ ทะเลคงที่น้าหลายส่วนก็ระเหยจากผิวน้า กลบั สบู่ รรยากาศและกลายเป็นสว่ นหน่ึงของความชืน้ ในบรรยากาศในทะเล และพื้นท่ีตอนเหนอื ของเขต อบอนุ่ การระเหยจากน้าและจากผวิ ดินมีความถีน่ ้อยกว่าหยาดนา้ ฟ้า แต่วา่ ส่วนเกนิ ของมัน ก็จะไหล กลับคนื ส่มู หาสมุทร ท่ีมันระเหยออกมาเช่นเดมิ ในเขตอืน่ ๆ นน้ั การระเหยจากผิวนา้ มักจะเท่ากับหรือ มากกว่าน้าฟา้ ท่ีตกลงบนแหล่งน้านั้น 6. การคายน้าของพชื (Transpiration) ตอบ หน้าท่ีพน้ื ฐานอยา่ งหนึ่งในกระบวนการดาเนนิ ชีวติ ของพืช กค็ ือการนา้ เอาน้าจากในดนิ ผา่ นเขา้ มาทาง ระบบราก ใช้ประโยชนใ์ นการสร้างความเจริญเติบโตและการดารงชพี น้าจะถูกปล่อยคืนสู่บรรยากาศ ทางรู พรุน ทป่ี ากใบในรปู ของไอนา้ กระบวนการคืนความชน้ื ของดินใหแ้ ก่บรรยากาศนเี้ รียกวา่ การคาย น้า (transpiration) ปริมาณของหยดนา้ ฟ้าที่กลับคนื สบู่ รรยากาศนจ้ี ะมากน้อยต่างกนั ไปตามลักษณะของ พืชและความชื้นทม่ี ีอยู่บรเิ วณระบบรากของมัน

ใบงานครัง้ ที่ 10 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ เร่ืองสารและผลิตภณั ฑใ์ นชีวิตประจาวัน 1. สารปรงุ แตง่ อาหาร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. เครื่องดื่ม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. สารทาความสะอาด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. สารกาจัดแมลง และสารกาจัดศตั รพู ืช ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. เครื่องสาอาง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

เฉลยใบงานครง้ั ท่ี 10 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น เรือ่ งสารและผลติ ภัณฑใ์ นชีวิตประจาวนั 1. สารปรุงแต่งอาหาร ตอบ สารปรุงแต่งอาหาร หมายถงึ สารปรงุ รสและวัตถุเจอื ปนในอาหารที่นามาใชเ้ พ่อื ปรุงแตง่ สี กลิ่น รส และคุณสมบตั ิอ่ืน ๆ ของอาหาร มอี ยู่ 3 ประเภท 1. ประเภทที่ไม่เปน็ อันตรายแกร่ ่างกาย ได้แก่ 1.1 สตี ่าง ๆ ท่ใี ช้ผสมอาหาร ซง่ึ เป็นสีธรรมชาติ ไดแ้ ก่ สีเขียว จากใบเตยหอม พรกิ สี เหลือง จากขมนิ้ อ้อย ขมิ้นชัน ลูกตาลยี ไข่แดง ฟกั ทอง ดอกคาฝอย เมลด็ คาแสด สีแดง จากดอก กระเจย๊ี บ มะเขือเทศ พรกิ แดง ถว่ั แดง คร่งั สนี ้าเงิน จากดอกอัญชัญ สีดา จากกากมะพร้าว เผา ถว่ั ดา ดอกดนิ สีน้าตาล จากนา้ ตาลเคีย่ วไหม้ หรอื คาราเมล 1.2 สารเคมีบางประเภท ได้แก่ 1.2.1 สารเคมีประเภทให้รสหวาน เชน่ น้าตาลทราย กลโู คส แบะแซ 1.2.2 สารเคมีบางประเภทใหร้ สเปร้ียวในอาหาร เช่น กรดอะซีติก (กรดน้าสม้ ) กรดซิ ตริก (กรดมะนาว) 1.2.3 สารเคมีทเี่ ปน็ สารแต่งกลิ่น เช่น น้านมแมว หรือหัวนา้ หอมจากผลไมต้ า่ ง ๆ 3. สารทาความสะอาด ตอบ ความหมายของสารทาความสะอาด หมายถงึ คณุ สมบตั ใิ นการกาจัดความสกปรกต่างๆ ตลอดจนฆ่าเช้อื โรค ประเภทของสารทาความสะอาด แบ่งตามการเกดิ ได้ 2 ประเภท คอื 1. ได้จากการสงั เคราะห์ เช่น นา้ ยาล้างจาน สบกู่ ้อน สบเู่ หลว แชมพสู ระผม ผงซกั ฟอก สารทาความ สะอาดพน้ื เป็นต้น 2. ไดจ้ ากธรรมชาติ เชน่ น้ามะกรูด มะขามเปยี ก เกลอื เป็นต้น แบ่งตามวัตถปุ ระสงค์ในการใช้งานเป็นเกณฑ์ แบ่งออกไดเ้ ปน็ 4 ประเภท คอื 2.1 สารประเภททาความสะอาดร่างกาย ไดแ้ ก่ สบู่ แชมพสู ระผม เป็นต้น 2.2 สารประเภททาความสะอาดเส้ือผ้า ได้แก่ สารซกั ฟอกชนดิ ตา่ งๆ 2.3 สารประเภททาความสะอาดภาชนะ ไดแ้ ก่ นา้ ยาล้างจาน เปน็ ต้น 2.4 สารประเภททาความสะอาดห้องน้า ได้แก่ สารทาความสะอาดห้องน้าท้งั ชนดิ ผงและชนิดเหลว สมบัตขิ องสารทาความสะอาด สารทาความสะอาด เช่น สบู่ แชมพูสระผม สารลา้ งจาน สารทาความสะอาด ห้องนา้ สารซักฟอก บางชนิดมีสมบตั ิเป็นกรด บางชนิดมีสมบัตเิ ป็นเบสซ่ึงทดสอบไดด้ ้วยกระดาษลติ มสั สารทาความสะอาดห้องนา้ และเคร่ืองสขุ ภณั ฑ์บางชนดิ มีสมบัตเิ ปน็ กรด สามารถกัดกร่อนหนิ ปนู ท่ี ยาไวร้ ะหวา่ งกระเบ้ืองปูพื้นหรือฝาห้องนา้ บรเิ วณเครื่องสขุ ภัณฑ์ ทาใหค้ ราบสกปรกท่ีเกาะอย่หู ลดุ ลอก ออกมาดว้ ย ถา้ ใชส้ ารชนิดน้ไี ปนานๆ พืน้ และฝาห้องน้าจะสึกกรอ่ นไปด้วย นอกจากนี้ ยังทาใหผ้ ูใ้ ชเ้ กดิ ความระคายเคืองของระบบทางเดนิ หายใจและผวิ หนงั อีกด้วย ดังนั้น ในการใช้ตอ้ งระมดั ระวังโดยปฏบิ ัติ ตามคาแนะนาการใชอ้ ย่างเคร่งครัดและต้องใชใ้ นปรมิ าณที่เหมาะสม การใช้ในปรมิ าณมากเกนิ ไป ไม่ได้

หมายความว่าจะช่วยทาความสะอาดไดม้ ากขึ้น ในทางตรงกันข้าม อาจทาใหส้ นิ้ เปลอื งและทาลาย สงิ่ แวดลอ้ ม ส่วนสารทาความสะอาดห้องนา้ และเครื่องสขุ ภัณฑ์ 4. สารกาจดั แมลง และสารกาจดั ศัตรูพืช ตอบ สารกาจัดแมลง และสารกาจดั ศัตรูพชื 4.1 ความหมายของสารกาจัดแมลงและสารกาจดั ศัตรูพชื สารกาจัดแมลงและสารกาจัดศตั รพู ชื หมายถึง สารเคมที ผ่ี ลติ ขึน้ เพอื่ ใช้ป้องกนั การกาจดั และควบคมุ แมลงตา่ งๆ ไมใ่ หม้ ารบกวน มที ัง้ ชนิดผง ชนดิ เมด็ และชนิดนา้ 4.2 ประเภทของ สารกาจัดแมลงและสารกาจัดศัตรูพชื แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื 1. ได้จากการสังเคราะห์ เชน่ สารฆ่ายงุ สารกาจดั แมลง เปน็ ตน้ 2. ได้จากธรรมชาติ เช่น เปลอื กมะนาว เปลือกมะกรูด เปลือกส้ม เป็นต้น 4.3 ประโยชน์ของสารกาจัดแมลงและสารกาจัดศตั รูพืช 1) กาจดั ควบคมุ ปอ้ งกนั แมลง เพลี้ย และหนอนทีเ่ ป็นศัตรูพืช และเป็นอันตรายต่อคน 2) ชว่ ยให้พืชเจรญิ เติบโต 3) ทาให้ผลผลติ ทางการเกษตรเพิม่ ขนึ้ 4.4 อันตรายของสารกาจดั แมลงและสารกาจัดศตั รูพชื 1) เปน็ อันตรายตอ่ ผใู้ ช้ ถา้ ผู้ใช้ขาดความระมดั ระวัง หรอื ถา้ ใชไ้ ม่ถกู วธิ ี 2) สงิ่ แวดลอ้ มเสยี สมดลุ ถา้ สารกระจายในอากาศ หรอื สะสมตกคา้ งในน้า ในดนิ 3) ทาให้รา่ งกายทางานผดิ ปกติ ถ้ามสี ารสะสมในร่างกาย และถงึ แก่ความตายได้ เมื่อบรโิ ภค สารทตี่ กคา้ งในพชื หรอื ส่วนตา่ งๆ ของพืช 4.5 การใช้สารกาจดั แมลงและสตั ว์ท่เี ปน็ พาหะนาโรคในบ้าน สารเคมีทีใ่ ช้ฆา่ แมลงในบา้ นมีหลายรปู แบบ ท้ังแบบทีเ่ ป็นกระป๋องใช้ฉดี พน่ แบบเปน็ ก้อนใสไ่ ว้ ในกล่องเพ่ือลอ่ แมลงใหเ้ ขา้ ไปตดิ อย่ใู นนัน้ หรอื เป็นแท่งชอลก์ สาหรบั ขีดไปบนพนื้ หรอื ตามบรเิ วณทไี่ ม่ ต้องการให้แมลงเขา้ ไปอาศยั ซง่ึ มวี ิธีการใช้งานดงั นี้ 1) ฉีด พน่ สารบริเวณที่เป็นซอกมมุ ใตโ้ ต๊ะ หรือตามผนัง 2) เกบ็ ภาชนะใสอ่ าหารใหเ้ รียบร้อย ปดิ ขวดหรอื ภาชนะใสน่ า้ ก่อนฉดี สาร 3) ขณะฉดี พน่ ไม่ควรใหเ้ ดก็ หรือสตั ว์เลย้ี งอยบู่ รเิ วณท่ีฉีด และฉีดตา่ ๆ ไม่ควรฉดี พน่ ใน อากาศเหมอื นอยา่ งโฆษณาในโทรทัศน์ เพราะสารเคมจี ะฟ้งุ ไปในอากาศ 4) หลงั ฉดี พ่นแล้วประมาณ 2-3 ชัว่ โมง จึงใช้บรเิ วณนัน้ ได้ 5) เมอ่ื ฉดี พ่นเสรจ็ แลว้ รีบลา้ งมือให้สะอาดทันที 5. เครอ่ื งสาอาง ตอบ 1. สารปรอท (Mercury) เปน็ สารที่พบในเคร่ืองสาอางทช่ี ว่ ยทาให้สผี วิ จางลง ไมว่ ่าจะช่วยในการลดสิว ฝา้ กระและปญั หาจดุ ดา่ งดา โดยสง่ ผลให้ผู้ใช้มีอาการแพ้หรือได้รบั ความระคายเคืองอยา่ งรุนแรง ส่งผลอันตรายได้ถึงระบบทางเดนิ ปสั สาวะ อกี ทง้ั สารปรอทน้ียังสามารถเข้าสูร่ ่างกายเราไดห้ ลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการสูดดมซงึ่ จะเขา้ ทาง ปอด หากกลืนกนิ เข้าไปก็จะดูดซมึ ไปยงั ลาไสเ้ ล็กและหากนามาทาผวิ ก็จะสามารถซมึ เขา้ ไปสะสมภายใน ร่างกายได้เชน่ เดียวกนั

2. สารตะกั่ว (Lead) เปน็ สารตอ้ งห้ามทางกฎหมายเลยกว็ า่ ได้ เพราะหากตรวจพบว่าผลติ ภัณฑใ์ ดมีสารดังกล่าวมากกวา่ 20 สว่ นจากนา้ หนักผลิตภณั ฑน์ น้ั ๆ กจ็ ะเข้าขา่ ยเป็นเครอื่ งสาอางท่ไี ม่มีความปลอดภยั นั่นเอง เพราะมนั จะเข้าสู่ ร่างกายจนก่อใหม้ ีอาการปวดทอ้ งบิดอยา่ งรนุ แรงพร้อมกับเกิดอาการท้องผกู หรืออาจถ่ายเปน็ เลอื ด เนือ่ งจากเมด็ เลอื ดแดงได้รบั การทาลายอยา่ งรวดเรว็ อีกทงั้ ยังลดอตั ราการสรา้ งเม็ดเลือดแดงจนส่งผลให้ ระบบประสาทภายในรา่ งกายทางานผดิ ปกติตามมาได้ดว้ ย 3. พาราเบน (Paraben) เป็นสารกนั เสยี ที่นิยมนามาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสาอาง ผลติ ภณั ฑบ์ ารุงดแู ลผิวต่างๆ รวมถงึ โร ลออนระงับกลิน่ กาย เพราะมีราคาถกู และประสทิ ธภิ าพของมันยงั ชว่ ยยบั ยั้งการเจรญิ เติบโตของเช้ือ แบคทีเรยี หากผลเสยี ก็คือ มันสามารถซึมเข้าสูก่ ระแสเลือดได้รวดเรว็ อีกทง้ั ยังก่อใหเ้ กิดการสะสมภายใน ร่างกายงา่ ยด้วย ดังน้ัน ใช้แล้วจงึ เสี่ยงต่อการก่อให้เปน็ มะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม 4. ทาล (Talc) เปน็ อีกหน่งึ สารทกี่ ่อใหเ้ กิดมะเรง็ ได้ และหากได้จากแหล่งวัตถดุ บิ ที่ไมด่ ยี ่อมก่อให้มกี ารปนเปอ้ื นของสาร \"Asbestos\" ไดเ้ ช่นกัน แต่สารดงั กลา่ วจะก่อให้เกิดผลรา้ ยไดก้ ต็ ่อเมือ่ ร่างกายไดร้ ับการสะสมไวป้ ริมาณมาก ทาลนั้นมพี บมากท่ีสุดในเคร่ืองสาอางจาพวกแปง้ ตลบั บลัชออนหรืออายแชโดว์ชนดิ เนอื้ ฝนุ่ เป็นต้น เม่ือ นามาใช้ทาผิวหน้าแลว้ มันจะทาหน้าทช่ี ว่ ยให้ผวิ มีความหล่อล่ืน เรยี บเนียน เมอ่ื ยามสมั ผัสและไม่มีการจับ ตัวเป็นก้อน 5. Petroleum Derivative เป็นสารท่ผี ลติ ขึน้ จากการแยกน้ามันปโิ ตรเลียม มักเป็นส่วนประกอบในเคร่ืองสาอางหลายชนิด เชน่ โฟ มล้างหนา้ ครีมบารงุ ผวิ หรอื ครมี รองพ้ืน เปน็ ต้น โดยมันจะทาหน้าทช่ี ่วยเกบ็ ลอ็ กความชุ่มชนื้ ไวผ้ า่ นการ เคลือบผิว ขณะเดยี วกัน เนือ่ งจากมนั มโี มเลกลุ ขนาดใหญ่และยังผา่ นกรรมวิธีทางด้านเคมี จึงทาใหผ้ ิวหนา้ ระคายเคืองจนเกิดสวิ อดุ ตนั ได้ หากผิวหน้าไดร้ บั สารดงั กล่าวสะสมไว้เรื่อยๆ จนมีปริมาณมากกอ็ าจทาให้ผิว เสือ่ มสภาพก่อนวยั และสง่ ผลใหภ้ ูมิค้มุ กนั ของฮอรโ์ มนเพศหญงิ เสื่อมลงไดด้ ้วย

ใบงานคร้ังที่ 11 วชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ าพว21001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ เร่อื ง ดาราศาสตรเ์ พ่อื ชีวติ 1.กลุม่ ดาวจักราศี ตอบ 1.กลมุ่ ดาวแกะ (Aries or Ram) กลุ่มดาวกลุม่ แรกใน 12 ราศี คือ กลมุ่ ดาวแกะตวั ผู้ เรยี ก ราศเี มษ ดาวกลุ่มน้ีสังเกตได้ง่าย มีดาวสว่างสุกปล่ังอยู่ตรงหัว แกะ 3 ดวง มีรปู คลา้ ยสามเหลีย่ มมุมปา้ นกลุ่มดาวราศีเมษหรอื กลุ่มดาวแกะ จะเหน็ อยตู่ รงศรี ษะเมือ่ เวลา 3 ทุ่ม ใน วนั ท่ี 10 ธันวาคมของทุกปี มีหลกั การสงั เกตงา่ ย ๆ สาหรบั หาดาวกลุ่มนี้ คือ ดจู ากกลุ่มดาวลูกไก่ เม่ือเหน็ กลุ่มดาว ลูกไก่แลว้ มองไปทางทิศตะวนั ตก ใกล้ ๆ กลุ่มดาวลกู ไกจ่ ะเห็นกลมุ่ ดาวสามเหล่ียมมุมปา้ น ซึ่งเป็นหวั แกะได้ โดยงา่ ย และเมื่อมองไปทางทิศตะวันตกจะเหน็ กลุ่มดาวม้า 2.กลุ่มดาวววั (Taurus) กลมุ่ ดาวในราศีท่ี 2 หรือ กลุ่มดาวราศีพฤษภ คือ กลุม่ ดาวววั ตัวผู้ คนไทย โดยทั่วไปเห็นกลุ่มดาวนเี้ ปน็ กลมุ่ ดาวธง สุนทรภ่เู ขยี นชมดาวไว้ตอนหนึ่งวัน “ ดโู น่นแน่ะแม่อรณุ รัศมี ตรงมือช้ี ดาวเตา่ นั่นดาวไถ ดาวธงตรงหนา้ อาชาไนย ดาว ลกู ไก่เคียงค่เู ปน็ หม่กู ัน” ดาวธงของสุนทรภู่ คือ กลุ่มดาวหน้าวัวของกล่มุ ดาว หนา้ วัวนัน่ เอง กลมุ่ ดาวววั เป็นกลุ่มดาวท่ี สะดุดตาเห็นคร้ังเดยี วจาไดต้ ลอดไป วธิ กี ารสังเกตดูกลุ่มดาวน้ีงา่ ย ๆ คือ ดจู ากกลุ่มดาวลูกไก่ ซึ่งเปน็ กระจกุ ดาวที่ สวย งานทสี่ ดุ ในท้องฟา้ กลุ่มดาวลูกไก่อยู่บนหนอกขา้ งขวา 3.กลมุ่ ดาวคนคู่ (Gemini) กลมุ่ ดาวในราศีที่ 3 หรอื กลุ่มดาวราศีมิถนุ คือ กลมุ่ ดาวคนคู่ ดาวกลมุ่ นี้มีดาวดวง สวา่ งสุกใส 2 ดวง เปน็ สงั เกต คือ ดาว Pollux และ Castor ดาว 2 ดวงน้ี เปน็ จุด สะดุดตาหาไดง้ ่าย อยู่ใกล้ ๆ กลุ่มดาววัว เหนือกล่มุ ดาวนายพรานใหญ่ ขนึ้ มาทาง ทศิ ตะวนั ออกของกล่มุ ดาวสารถี กลุม่ ดาวคนคู่จะเห็นอยู่กลางท้องฟ้าเม่ือเวลา 3 ทุม่ ในวนั ที่ 20 กุมภาพันธ์ ของทุกปดี าวฤกษ์พอลลักซ์และแคสเตอรน์ ้ี คนโบราณโดยท่ัวไปถอื วา่ เป็นดาวคู่แฝด คือชาวอาหรบั เหน็ เปน็ นกยงู 2 ตัว ชาวอียปิ ตเ์ หน็ เปน็ ต้นไม้ใหญ่ 2 ต้น ชาวฮินดเู หน็ เปน็ เทพเจ้า 2องค์ 4.กลุ่มดาวปู (Cancer) ดาวฤกษ์พอลลักซ์และแคสเตอรน์ ้ี คนโบราณโดยทั่วไปถือว่าเป็นดาวคู่แฝด คือชาวอาหรับเห็นเปน็ นกยูง 2 ตวั ชาว อียปิ ตเ์ ห็นเป็นตน้ ไม้ใหญ่ 2 ตน้ ชาวฮินดเู ห็นเปน็ เทพเจ้า 2 องค์ กลุ่มดาวในราศีท่ี 4 หรือ กล่มุ ดาวราศีกรกฏ คือ กลุ่ม ดาวปู ดาวกลุ่มนเี้ ป็นกลุ่มดาว ท่ไี ม่สะดุดตาและหาไดย้ ากท่ีสุดในกลมุ่ ดาว 12 ราศี ดาวกลมุ่ นอี้ ยู่ระหวา่ ง กล่มุ ดาวคนคู่ และกลมุ่ ดาวสิงโต วธิ ีหากล่มุ ดาวกลุ่มน้ี ก็ต้องหากลมุ่ ดาวคนคแู่ ละ กล่มุ ดาวสิงโตให้ได้ ระหว่าง กลุ่มดาวท้ังสองมีดาว ฤกษ์ สว่างจาง ๆ อยู่ 8 ดวง ท่ปี ระกอบกันเปน็ ตวั ปปู ูเป็นสัตว์ท่เี คลื่อนที่ไปโดยลาตัวไมต่ ั้งตรงหรือ เหน็ ปรากฏถอยหน้า ถอยหลงั ดวงอาทติ ย์เม่ือเคล่ือนทเี่ ข้ามาในกลมุ่ ดาวปู จะปรากฏเหมือนเคลอื่ นที่ถอยหลัง ชอ่ื ทรอปคิ ออฟ แคนเซอร์ (Tropic of Cancer ) ได้ชื่อมาจากการเคล่อื นท่ี ปรากฏของดวงอาทิตยว์ ่าคล้ายปู เม่ือดวงอาทิตยเ์ คลอื่ นท่ีปรากฏเข้าสู่ กล่มุ ดาวปู ราศกี รกฏ ( 22 มิถนุ ายน ) ระยะนเี้ ปน็ ฤดรู ้อนทางซีกโลกเหนือ คนในประเทศ อบอนุ่ จะเห็นดวงอาทติ ย์อยู่ ตรงศีรษะเมื่อเวลาเท่ียงวัน วันที่ 22 มถิ นุ ายน เป็นวัน ท่ีมีเวลากลางวันมากกวา่ กลางคืนมากทส่ี ุด 5.กลมุ่ ดาวสิงโต (Leo) กลุ่มดาวในราศีท่ี 5 หรือ กลุ่มดาวราศีสงิ ห์ คอื กลมุ่ ดาว สิงหโ์ ตดาวกลุม่ น้ี เปน็ กล่มุ ดาวทีค่ นรจู้ กั ดีที่สดุ และสะดดุ ตา ทสี่ ดุ อีกกลุม่ หนึ่ง กลุ่มดาวราศีสงิ ห์ เปน็ กล่มุ ดาวทเ่ี ก่าแก่ท่ีสดุ ตามที่ได้มกี ารบนั ทกึ มา ดาวกลุ่มนเ้ี ก่ยี วข้องกับ ดวง อาทิตย์อยา่ งใกล้ชิด นบั แต่แรกเกิดระบบสุริยะ ฉะนนั้ ทางโหราศาสตร์ เขาจึงกาหนดใหด้ วงอาทิตย์เปน็ เจา้ ของราศีสงิ ห์ นี้ กล่มุ ดาวสิงหโ์ ต เป็นกล่มุ ดาวที่บอกฤดูกาลไดเ้ ม่ือจะเรม่ิ หน้ารอ้ นของฝรงั่ คือ ปลายเดือนมิถนุ ายน กลุ่มดาวสิงโตจะ อย่างท้องฟ้าตงั้ แตเ่ รมิ่ มืด กล่มุ ดาวสงิ โต จะอยู่กลางท้องฟ้าตรงศีรษะเม่ือเวลา 3 ทุ่ม (21.00 น.) ในวนั ที่ 10

พฤษภาคม ของทุกปี 6.กลุ่มดาวหญงิ พรหมจารยี ์ (Virgo) กลมุ่ ดาวในราศีที่ 6 หรือกลุ่มดาวราศีกนั ย์ คือ กลุ่มดาวหญิงพรหมจารยี ์ กลุ่มดาวนีอ้ ย่รู ะหวา่ งกลุ่มดาวสิงหโ์ ตกบั กลมุ่ ดาวคันชัง่ มดี าวฤกษท์ ี่สวา่ ง สุกใสอันดับท่ี 16 ในทอ้ งฟา้ ชอ่ื สไปกา (Spica) ซง่ึ แปลว่ารวงข้าว จากแผนท่ี ดาวเก่าแก่ เขาเขยี นรูปกลม่ ดาวน้ีเป็นผ้หู ญงิ สาวถือฟอ่ นขา้ วสาลีอยู่ในมอื ดาวกลมุ่ น้ีมดี าวสาคญั เกี่ยวกับวชิ า ดาราศาสตรอ์ ยอู่ ย่างหนึ่งคอื จุดตัดของ เสน้ ศูนยส์ ตู รทอ้ งฟ้า และเส้นอคี ลิพดคิ จุดที่ 2 ซง่ึ เรยี กว่า Autumnal Equinox (บางทา่ นเรยี กวันสารทวิษุวตั แปลวา่ วนั ทด่ี วงอาทิตย์ ยกเข้าสรู่ าศีตุลย์ ) นัน้ อยใู่ น กลมุ่ ดาวกลุม่ น้ี วนั ที่ 23 กันยายนเป็นวนั ที่ประเทศทางซกี โลก 7.กลมุ่ ดาวคนั ช่ัง (Libra) กลุ่มดาวในราศีท่ี 7 หรือ กลุ่มดาวราศีตุลย์ (ดุลย์) คือ กลุ่มดาวคนั ชั่ง กลุ่มดาวนสี้ ังเกตได้งา่ ยมีรปู คลา้ ย ๆ สี่เหลย่ี มขนม เปยี กปนู อยทู่ าง ทิศตะวนั ตกของกลมุ่ ดาวแมงปอ่ ง ในสมยั 2,000 ปีกอ่ น นกั ดาราศาสตรถ์ ือว่า ดวงอาทิตย์ปรากฏ โคจรเขา้ มาอยใู่ นกล่มุ ดาวราศีตุลย์ ในวนั ท่ี 23 กนั ยายน ซึ่งในวนั นก้ี ลางวนั กบั กลางคนื เทา่ กันพอดี และดวงอาทติ ยข์ ึ้น ที่จุดทศิ ตะวนั ออก ตกทจ่ี ุดทิศตะวนั ตก โคจรผา่ นกลางท้องฟา้ พอดี กลุม่ ดาวน้ีจงึ แทนความ เสมอภาคแหง่ ท้องฟา้ ใน ปัจจุบันน้ี ดวงอาทิตยจ์ ะปรากฏโคจร เขา้ มาใน กลุ่มดาวราศีตุลย์ เมอ่ื ต้นเดอื นพฤศจกิ ายน ท้ังนเี้ นื่องจากการส่ายของ โลก ดังได้ อธิบายไว้แล้ว แต่การเกดิ กลางวันกลางคนื เท่ากันกย็ ังคงเป็นวนั ที่ 23 กันยายน ตามเดิม 8.กลุ่มดาวแมงป่อง (Scorpius ) กล่มุ ดาวในราศีที่ 8 หรือ กลุ่มดาวราศีพิจิก คือ กลุม่ ดาวแมงปอ่ ง กลมุ่ ดาวแมงปอ่ งเป็นกลุ่มกาวใน 12 ราศี กลมุ่ เดยี ว ทม่ี รี ปู รา่ งเหมาะสมเหมือน ชื่อทส่ี ุด มีส่วนหวั ส่วนตวั สว่ นหาง และจงอยของหางเหมือนแมงป่องจรงิ ๆ กลุ่มดาวแมง ปอ่ งเป็นกลุ่มดาวทส่ี วยงามที่สดุ ในบรรดากลุ่มดาว 12 ราศี ดาวฤกษ์ Antares ซงึ่ เปน็ หัวใจของแมงป่องมี เส้นผา่ ศูนย์กลางถึง 400 ล้านไมล์ กลุ่มดาวแมงป่อง จะเห็นอยตู่ รงศีรษะเมอื่ เวลา 3 ทุ่ม ในวนั ที่ 20 กรกฎาคม ในต้น เดอื นพฤศจิกายน พอดวงอาทติ ย์ลับขอบฟา้ ไป จะเหน็ กลมุ่ ดาวแมงป่อง ทางขอบฟา้ ทิศตะวันตกใกล้จะตกจากขอบฟ้า ไป ในตอนต้นเดือนกุมภาพนั ธ์ จะเห็นอยูเ่ หนือขอบฟ้าทิศตะวันออก เมื่อเวลาก่อนดวงอาทติ ย์ขนึ้ นกั เรียนท่ีตน่ื ทอ่ ง หนงั สอื เตรียมสอบไล่ ถา้ ดูจะสังเกตเหน็ ทุกคน กลมุ่ ดาวแมงป่อง เป็นกลุ่มดาวทม่ี นุษย์รจู้ ักมาแตด่ ึกดาบรรพ์ การใช้ช่ือ ว่ากลมุ่ ดาว สคอร์ – ปี – อสุ (Scorpius) เพราะในสมัยโบราณ เมือ่ ดวงอาทิตย์เคลอ่ื นที่ ปรากฏมาอยู่ในกลุม่ ดาวน้ี ปรากฏวา่ ในประเทศอิยิปตไ์ ม่มโี รคภัยไข้เจบ็ ใด ๆ เกิดข้นึ เลย 9.กลมุ่ ดาวคนถอื ธนู (Sagittarius) กลมุ่ ดาวในราศีท่ี 9 หรอื กลุ่มดาวราศีธนู คอื กลุ่มดาวคนถือธนู กลมุ่ ดาวกลมุ่ นี้อยู่ในแนวทางชา้ งเผือก กลุ่มดาวคนถือ ธนูไดช้ ือ่ ว่า กลมุ่ ดาวผฆู้ ่า กลุ่มดาววัวตวั ผ้เู พราะเมื่อกลมุ่ ดาวนขี้ ้ึน กลุม่ ดาวววั จะตก หรือเม่ือ กลมุ่ ดาวน้ีตก กลุ่มดาวววั จะขึ้น กลุม่ ดาวคนถือธนนู ้ีมรี ูปรา่ งคลา้ ยกาน้า ขอให้สังเกตดรู ูป ซงึ่ ไดโ้ ยงเสน้ เชอื่ มไว้ ดาวกล่มุ นอ้ี ยู่ทางทศิ ตะวนั ออก ของกลุ่มดาวแมงป่อง กลุ่มดาวราศีธนู เป็นกลุม่ ดาวที่อยตู่ ิดกบั กลุ่มดาวแมงป่อง ตามนยิ ายดาวชาวกรกี กลา่ วว่าดาวราศี ธนูเปน็ กลมุ่ ดาวแทน ชีรอน (Chiron) ซ่งึ มรี ปู คร่ึงคนครึ่งม้า เปน็ บุตรพระเสาร์และพระนาง Philyra ตามนิยายกลา่ วว่า Chiron แปลงตัวเป็นสตั ว์ประหลาดคร่งึ คนครึง่ ม้า เพ่ือหนภี รรยาข้หี ึงของเขา Chiron เป็นผ้ทู ม่ี ีชือ่ เสียงเด่นมากในสมัย นนั้ เขาเป็นทัง้ แพทย์ นักดนตรี และ นักการศึกษา เขาเปน็ ผู้สอนให้รู้ชือ่ ของหญ้าหรือพชื ตา่ ง ๆ ทีใ่ ชท้ ายา เปน็ นักการ ศกึ ษาที่ทรงคณุ วุฒิ มีลกู ศิษย์มากมาย แตผ่ ลท่ีสุด Chiron กต็ ายเพราะยาพษิ คือถูกศรพิษกรีดผวิ หนังถงึ แกค่ วามตาย 10.กลุ่มดาวมังกร (Capriconus) กลุ่มดาวในราศีที่ 10 คอื กลุ่มดาวราศมี ังกร กลมุ่ ดาวมงั กรอยูต่ รงขา้ มกับกลุ่มดาวราศปี ู กล่มุ ดาวนี้สว่ นใหญอ่ ย่เู ลยไป ทาง ทศิ ใตข้ องเส้น Ecliptic อยู่ระหว่างกลมุ่ ดาวคนถือหม้อนีแ้ ละกลุม่ ดาวราศธี นู ดาวกลุ่มนี้ไมม่ ีดาวท่ีสว่างสุกใส พอทจ่ี ะสังเกตเหน็ ได้ง่าย ๆ แต่ถ้ารวมกลมุ่ ดาวน้ี ท้ังกลมุ่ เข้าดว้ ยกัน จะเห็นเปน็ รูปสามเหล่ียมฐานโคง้ ดาวกล่มุ นจ้ี ะเห็น อยบู่ นเสน้ Meridian (เส้นทลี่ ากจากทิศเหนอื ผา่ นกลางฟา้ ไปยังทิศใต้) เมื่อเวลา 3 ทุ่ม ในวนั ที่ 20 กันยายน กลมุ่ ดาวน้นี ักดาราศาสตรเ์ ขาจินตนาการ เหน็ เปน็ มงั กรหรือแพะทะเล คือ มสี ่วนหัวเป็นแพะ สว่ นหางเป็นปลา กลุ่มดาว

นีม้ ีความสาคัญตอ่ นักดาราศาสตร์ และนักภูมิศาสตร์มากเหมอื นกนั เพราะกลุ่มดาวราศีมังกร (Capriconus) เปน็ กลุ่ม ดาวทเี่ ราเอาช่อื มาเรยี กแถบเส้นรุง้ ที่ 23 องศาใต้ไดช้ ื่อเช่นนี้ เพราะฤดูรอ้ นของทางซีกโลกฝา่ ยใต้ หรือ ฤดูหนาวของ ประเทศทางซีกโลก ฝา่ ยเหนอื เกดิ ข้นึ เมื่องดวงอาทิตยเ์ คลื่อนที่ปรากฏเขา้ มาในกลุ่มดาวน้ี 11.กลุ่มดาวคนถือหมอ้ นา้ (Aquarius) กลุ่มดาวราศที ่ี 11 หรือกลมุ่ ดาวราศีกุมภ์ คือ กลุ่มดาวคนถอื หม้อน้า เป็นกลุ่มดาวใหญ่แตไ่ ม่สะดดุ ตา อย่ทู างทิศใต้ของ กล่มุ ดาวม้า ในระหวา่ งปี พ.ศ. 2507 และ พ.ศ. 2508 การจะหากลมุ่ ดาวคนถือหม้อน้าหาได้งา่ ยมากเพราะใน ระหวา่ ง 2 ปนี ี้ ดาวเสารป์ รากฏโคจรมาอยู่ในกลุ่มดาวนก้ี ลุ่มดาวน้ี เป็นกลมุ่ ดาวท่ี มปี ระวตั เิ กา่ แก่กลุ่มหนึ่ง คนโบราณ เขาเหน็ เป็นรปู คนกาลงั เทน้าออกจากหม้อ ตามนยิ ายดาวของกรีกกล่าววา่ เทพเจ้า Zeus กาลังเทน้า ซ่ึงจะตกเป็นฝน มายัง โลก ฉะนน้ั กลมุ่ ดาวกลุ่มน้จี งึ เป็นเครื่องหมายแห่งฤดูฝน สว่ นชาวอยี ิปต์โบราณ กลา่ ววา่ อุทกภยั แถบลุ่มแมน่ า้ ไนล์ เกดิ จากคนเทหม้อนา้ ในกลุ่มดาวน้ี เทนา้ ลงไป บนแม่นา้ ไนล์ 12.กลุ่มดาวปลา (Pisces) กลุ่มดาวใน 12 ราศี กล่มุ สุดท้ายคอื กลุ่มดาวปลา เปน็ กลุ่มทไี่ มส่ ะดุดตา หาไดย้ าก แต่นกั ดาราศาสตร์อา้ งถงึ อยู่บ่อย ๆ เพราะในวันท่ี 21 มีนาคม ดวงอาทิตยเ์ คลอื่ นท่ปี รากฏเข้ามาอย่ใู นราศนี ้ี ทางโหราศาสตรส์ ากล เขาถือวา่ ในวนั ท่ี 21 มนี าคม ดวงอาทติ ยเ์ ริ่มยกเข้าสูร่ าศเี มษ แต่ตามความจริง แลว้ ไมใ่ ช่ ในวนั ที่ 21 มนี าคม ซง่ึ เปน็ วนั ที่เส้น Ecliptic ตดั กบั เส้นศูนยส์ ูตร ท้องฟา้ นนั้ ดวงอาทติ ย์เร่มิ โคจรปรากฏเข้ามาอยใู่ นบรเิ วณกลมุ่ ดาวซ่ึงเป็น หัวปลาค่นู ี้ แลว้ ค่อย ๆ ปรากฏเคล่ือนไปทางทิศตะวันออก ในวันท่ี 21 มนี าคม เปน็ วนั เร่ิมต้นฤดูใบไม้ผลิ เป็นวันทีก่ ลางวันและกลางคืนเท่ากัน จึงเปน็ วนั ท่ี น่าสนใจและควรจดจา 2. การสงั เกตตาแหนง่ ของดาวฤกษ์ ตอบ ในการบอกตาแหน่งของดวงดาวข้นั พื้นฐานเราใช้ระบบเส้นขอบฟา้ คอื บอกตาแหน่งดว้ ยคา่ 2 คา่ คือ มมุ ทศิ และมมุ เงย รูปแสดงค่ามมุ ทศิ และมุมเงย + มมุ ทศิ (azimuth) เป็นมมุ ในแนวราบขนานกบั เสน้ ขอบฟ้า นับจากทิศเหนือในทิศทางตามเขม็ นาฬิกาไปยังทิศตะวนั - ออก ทศิ ใต้ ทศิ ตะวันตก และกลบั มายังทิศเหนืออกี ครง้ั มีค่า 0-360 องศา + มมุ เงย (altitude) เป็นมมุ ในแนวต้งั หรอื มุมทีม่ องขึ้นสงู จากขอบฟ้า นบั จากเส้นขอบฟ้าขึน้ ไปสู่จุดเหนือศรี ษะ มี คา่ 0-90 องศา จดุ เหนือศีรษะ (zenith) คือจุดสงู สุดบนขอบฟา้ จะอยู่ตรงศรี ษะพอดี จดุ เหนือศีรษะจะทามุมกบั ผู้สังเกตและขอบฟ้า ทุกๆ ดา้ นเป็นมุมฉากพอดี ในการสังเกตดวงดาวบนท้องฟ้า ผู้สังเกตอาจมีจนิ ตนาการแตกตา่ งกนั ไป นักดาราศาสตรส์ ่วนใหญจ่ ึงเหน็ ควรว่าจะแบ่ง

ท้องฟา้ เป็น 88 เขต แต่ละเขตประกอบดว้ ยดาวฤกษ์จานวนหนงึ่ และเรียกวา่ กลุ่มดาว กลุ่มดาวทีใ่ ช้ในการบอกทิศ และฤดูกาลทร่ี ้จู กั กนั ดี ได้แก่ กลมุ่ ดาวจระเข้ กลุ่มดาวคา้ งคาว กลมุ่ ดาวเต่า และกลุ่มดาวจกั รราศี 3.วิธีหาดาวเหนอื ตอบ วธิ กี ารหาดาวเหนอื หากไมม่ ีเข็มทิศ ใหจ้ าตาแหน่งทด่ี วงอาทิตยห์ รือดวงจันทรต์ กลับขอบฟ้าไว้ว่า นน่ั คอื “ทศิ ตะวันตก” (โดยประมาณ) หากเราหันหน้าเขา้ หาทศิ ตะวนั ตก ยกแขนขวาข้ึนขนานพื้น และเหยียดออกไปทางขา้ ง ลาตวั มือขวาจะชี้ไปยังทิศเหนอื จากนน้ั เหยียดนวิ้ โปง้ ลงพ้ืนไวท้ ่เี สน้ ขอบฟา้ เหยียดน้ิวชี้ ชขี้ ึ้นข้างบน จะมองเห็นดาว เหนืออยูบ่ นปลายนว้ิ ชี้ ดาวเหนือเปน็ ดาวสีขาวมคี วามสวา่ งปานกลาง (ดาวเหนอื จะอยูส่ งู จากขอบฟา้ ด้านทิศเหนือ เทา่ กบั องศาละติจูดของผู้สงั เกตการณ์ ตัวอยา่ งเชน่ ถา้ ผสู้ งั เกตการณอ์ ยู่ที่ กทม. หรอื ละตจิ ดู ท่ี 13° เหนือ ดาวเหนอื ก็ จะอยเู่ หนือขอบฟ้าดา้ นทิศเหนอื ขนึ้ มา 13° เชน่ กัน)

ใบงานคร้งั ท่ี ๑๒ วิชา ทักษะการเรยี นรู้ รหัสวชิ า ทร ๒๑๐๐๑ ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น เร่ืองการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ************************************************************************************* คาชแี้ จง ใหน้ กั ศึกษาตอบคาถามตอ่ ไปน้ใี หถ้ ูกต้อง 1.การเรยี นร้ดู ้วยตนเอง คือ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเรียนรดู้ ว้ ยตนเองมีก่ลี ักษณะ อะไรบ้าง………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. องค์ประกอบของการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองมีอะไรบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน คือ อะไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การพูดเป็นทักษะที่จาเป็นในการเรียนรู้ดว้ ยตนเองอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานครง้ั ท่ี ๑๓ วชิ า ทกั ษะการเรียนรู้ รหัสวชิ า ทร ๒๑๐๐๑ ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนตน้ เรอื่ งการใช้แหล่งเรียนรู้ ************************************************************************************* คาชแ้ี จง ใหน้ ักศึกษาตอบคาถามตอ่ ไปนี้ให้ถูกต้อง 1.แหล่งเรียนรู้ หมายถงึ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ใหน้ ักศึกษาบอกความสาคัญของแหล่งเรียนรมู้ า ๕ ขอ้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………......…………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…… 3. ประเภทของแหล่งเรียนรู้ แบง่ ตามสาระลักษณะกายภาพและตามวัตถปุ ระสงค์ได้เป็นกี่กลุม่ อะไรบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ภูมปิ ัญญาไทย หมายถงึ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ประเภทของภูมิปญั ญา / สาขาของภมู ปิ ัญญาไทยแบ่งออกไดก้ ีส่ าขา อะไรบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงาน ครั้งที่ ๑๔ วิชา ทักษะการเรยี นรู้ รหัสวชิ า ทร ๒๑๐๐๑ ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น เรอ่ื งการจดั การความรู้ ************************************************************************************* คาชีแ้ จง : จงกากบาท X เลือกขอ้ ท่ีท่านคิดว่าถูกตอ้ งทส่ี ดุ 1. การจัดการความรู้เรียกสนั้ ๆ ว่าอะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 2. เปา้ หมายของการจดั การความร้คู อื อะไร ก. พัฒนาคน ข. พัฒนางาน ค. พัฒนาองคก์ ร ง. ถกู ทกุ ขอ้ 3. ข้อใดถูกต้องมากที่สุด ก. การจดั การความรู้ หากไม่ทา จะไม่รู้ ข. การจดั การความรูค้ อื การจัดการความรู้ของผ้เู ช่ียวชาญ ค. การจดั การความรู้ถือเป็นเป้าหมายของการทางาน ง. การจดั การความรู้คือการจัดการความรทู้ ี่มีในเอกสาร ตารา มาจัดใหเ้ ปน็ ระบบ 4. ขนั้ สูงสุดของการเรยี นรู้คอื อะไร ก. ปญั ญา ข. สารสนเทศ ค. ข้อมูล ง. ความรู้ 5. ชุมชนนกั ปฏบิ ัติ (Cop) คืออะไร ก. การจดั การความรู้ ข. เป้าหมายของการจดั การความรู้ ค. วิธกี ารหนึ่งของการจัดการความรู้ ง. แนวปฏิบัตขิ องการจดั การความรู้ 6. รูปแบบการจัดการความรู้ตามโมเดลปลาทู สว่ น “ท้องปลา” หมายถงึ อะไร ก. การกาหนดเป้าหมาย ข. การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ ค. การจดั เกบ็ เป็นคลังความรู้ ง. ความรู้ทีช่ ดั แจ้ง 7. ผทู้ ท่ี าหน้าท่ีกระตนุ้ ใหเ้ กิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้คือใคร ก. คุณเอ้ือ

ข. คุณอานวย ค. คุณกิจ ง. คุณลิขติ 8. สารสนเทศเพื่อเผยแพร่ความรูใ้ นปัจจุบนั มีอะไรบ้าง ก. เอกสาร ข. วีซดี ี ค. เวบ็ ไซด์ ง. ถกู ทุกข้อ 9. การจัดการความรดู้ ้วยตนเองกบั ชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้มีความเกี่ยวขอ้ งกนั หรอื ไม่ อย่างไร ก. เกย่ี วข้องกนั เพราะการจดั การความรูใ้ นบุคคลหลาย ๆ คน รวมกันเปน็ ชมุ ชน เรียกว่าเป็นชุมนมุ แหง่ การเรียนรู้ ข. เกี่ยวข้องกนั เพราะการจัดการความร้ใู ห้กบั ตนเองกเ็ หมือนกับจัดการความรู้ ใหช้ ุมชนดว้ ย ค. ไมเ่ กยี่ วข้องกัน เพราะจดั การความรู้ด้วยตนเองเป็นปจั เจกบุคคล สว่ น ชุมชนแหง่ การเรียนรเู้ ป็นเรอ่ื งของชุมชน ง. ไม่เกย่ี วข้องกนั เพราะชมุ ชนแห่งการเรยี นรเู้ ป็นการเรยี นรเู้ ฉพาะกล่มุ 10. ปัจจยั ท่ที าให้การจัดการความรู้การรวมกลุ่มปฏบิ ตั ิการประสบผลสาเรจ็ คืออะไร ก. พฤตกิ รรมของคนในกลุ่ม ข. ผนู้ ากลุม่ ค. การนาไปใช้ ง. ถกู ทุกขอ้ คาชแ้ี จง : ให้นักศึกษาตอบคาถามต่อไปนี้ ให้ถกู ต้อง ๑. ให้อธบิ ายความหมายของ “การจัดการความรู้” ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๒. ให้อธิบายความสาคัญของ “การจัดการความรู้” ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๓. ให้อธบิ ายหลักการของ “การจัดการความรู้” ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ใบงาน ครั้งที่ ๑๕ วิชา ทกั ษะการเรียนรู้ รหสั วชิ า ทร ๒๑๐๐๑ ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนตน้ เรอื่ งการคิดเปน็ ************************************************************************************* คาชีแ้ จง : จงกากบาท X เลือกข้อทีท่ ่านคิดว่าถูกต้องที่สดุ 1. ข้อใดคือประโยชนข์ องการคิดเป็น ก. สามารถสืบเสาะแสวงหาความรู้ ข. เปน็ ผูร้ ูจ้ ักปญั หาเรอ่ื งทกุ ข์สาเหตุของทุกข์ ค. พัฒนาการตดั สนิ ใจ ง. การมีความสขุ อย่บู นความตัดสินใจของตนเอง 2. ข้อมลู การคดิ เป็นทั้งสามด้านคอื ขอ้ ใด ก. ด้านความรูด้ า้ นครองครัวและด้านชุมชน ข. ดา้ นวชิ าการดา้ นตนเองและดา้ นครอบครัว ค. ดา้ นวิชาการด้านตนเองดา้ นสังคมชุมชน ง. ดา้ นวิชาการดา้ นความรแู้ ละด้านชีวติ 3. ข้อใดไม่ใชค่ วามเชือ่ พนื้ ฐานของการศึกษาผ้ใู หญ่ ก. คนทกุ คนแตกตา่ งกนั ข. คนทุกคนตอ้ งการความสุข ค. คนทุกคนต้องการความร่ารวย ง. คนทกุ คนมคี วามต้องการไมเ่ หมือนกัน 4. ขอ้ มลู ท่นี ามาตัดสนิ ใจในกระบวนการคดิ เป็นคือข้อมลู ด้านใด ก. ขอ้ มูลตนเอง ข. ขอ้ มูลวชิ าการ ค. ข้อมูลส่ิงแวดลอ้ ม ง. ใชข้ ้อมลู ทั้ง 3 ดา้ น 5. ข้อใดคือประโยชนข์ องการคดิ เปน็ ก. พัฒนาการตดั สินใจ ข. สามารถสืบเสาะแสวงหาความรู้ ค. เป็นผู้รู้จกั ปญั หาเรื่องทุกข์สาเหตขุ องทุกข์ ง. การมีความสขุ อยบู่ นความตดั สินใจของตนเอง 6. จากกระบวนการคิดเป็น หากผลท่ีได้ไมเ่ ป็นทพี่ อใจ ควรทาอยา่ งไร ก.เลอื กทางปฏบิ ตั ใิ หม่ ข.ศกึ ษาขอ้ มลู ทัง้ 3 ดา้ นใหม่ ค.ย้อนกลบั ไปเรม่ิ ตน้ วิเคราะหป์ ัญหาใหม่

ง.ยอมรับผลทีเ่ กิดขึน้ จากการตดั สนิ ใจนนั้ เสยี 7. ขน้ั ตอนใดไมม่ ีในกระบวนการ “คนคดิ เปน็ ” ก. การสารวจปัญหา ข. การวเิ คราะหป์ ัญหา ค. การตัดสนิ ใจ ง. การสรปุ ผล 8. คนแต่ละคนมีความแตกต่างกนั มีวถิ กี ารดาเนนิ ชวี ติ ทไี่ ม่เหมือนกนั แตท่ กุ คนมีความตอ้ งการท่ีคลา้ ยกนั คือข้อใด ก. ความรัก ข. ความเขา้ ใจ ค. ความซอ้ื สตั ย์สุจริต ง. การประสบความสาเรจ็ 9. ข้อใดไมใ่ ช่สาเหตสุ าคัญของกระบวนการแกป้ ัญหาของคน ก.ตนเอง ข.สงั คม ค.วิชาการ ง. วธิ ีแกป้ ัญหา 10. ขอ้ ใดถกู ตอ้ งทีส่ ดุ ในเร่ืองกระบวนการคิดเป็น ก. การทาความเข้าใจด้วยกระบวนการคิด ข. สรา้ งความเข้าใจดว้ ยตนเองเป็นหลัก ค. สร้างความเขา้ ใจดว้ ยการรวมกลมุ่ เปน็ หลัก ง. การทาความเขา้ ใจดว้ ยกระบวนการคดิ และสร้างความเข้าใจด้วยตนเองเป็นหลกั คาชี้แจง : ให้นักศึกษาตอบประเดน็ ถาม จากกรณีตัวอย่างของเร่ืองท่ีกาหนดไว้ กรณตี ัวอย่างเรอื่ ง “ธัญญวดี” ธัญญวดีได้รับการบรรจุเป็นครูในโรงเรียนมัธยมที่ต่างจังหวัดพอเป็นครูได้ 1 ปีก็มีอันเป็นต้องย้ายเข้ามาอยู่ใน กรุงเทพมหานครโรงเรียนที่ธัญญวดีย้ายเข้ามาทาการสอนเป็นโรงเรียนมัธยมเช่นเดียวกันแต่มีการสอนการศึกษาผู้ใหญ่ ระดับท่ี 3 – 4 และ 5 ในตอนเย็นอีกด้วยมาเม่ือเทอมท่ีแล้วธัญญวดีได้รับการชักชวนจากอาจารย์ใหญ่ให้สอน การศึกษาผู้ใหญ่ในตอนเย็นธัญญวดีเห็นว่าตัวเองไม่มีภาระอะไรก็เลยตกลงโดยไม่ต้องคิดถึงเร่ืองอ่ืนซ้ายังจะมีรายได้ เพ่ิมข้ึนอีกด้วยแต่ธัญญวดีจะคิดผิดหรือเปล่าไม่ทราบเริ่มต้นจากเสียงกระแนะกระแหนจากครูเก่าบางคนว่ามาอยู่ยังไม่ ทันไรก็ได้สอนภาษาค่าส่วนครูเก่าท่ีสอนภาคค่าก็เลือกสอนเฉพาะชั่วโมงต้นๆโดยอ้า งว่าเขามีภารกิจที่บ้านธัญญวดียัง สาวยงั โสดไม่มีภาระอะไรต้องสอนชว่ั โมงท้ายๆทาใหธ้ ญั ญวดตี อ้ งกลับบา้ นดึกทกุ วนั ถึงบ้านก็เหน่ือยอาบน้าแล้วหลับเป็น ตายทุกวันการสอนของครภู าคค่าส่วนใหญ่ไมค่ อ่ ยคานงึ ถงึ ผู้เรยี นเขาจะรีบสอนให้หมดไปช่ัวโมงหนึ่งๆเท่านั้นเทคนิคการ สอนที่ได้รับการอบรมมาเขาไม่นาพาทางานแบบขอไปทีเช้าชามเย็น ชามธัญญวดีเห็นแล้วก็คิดว่า คงจะร่วมสังฆกรรม ไม่ไดจ้ ึงพยายามทุ่มเทกาลังกายกาลงั ใจและเวลาทาทกุ ๆวิถีทางเพ่ือหวังจะให้ครูเหล่าน้ันได้เอาเย่ียงอย่างของตนบ้างแต่ ก็ไม่ได้ผลทุกอย่าง เหมือนเดิมธัญญวดีแทบหมดกาลังใจไม่มีความสุขเลยคิดจะย้ายหนีไปอยู่ทีอ่ืนมาฉุกคิดว่าท่ีไหนๆคง เหมอื นๆกันคนเราจะใหเ้ หมือนกันหมดทุกคนไปไม่ได้

ประเดน็ ถา้ ทา่ นเป็นธัญญวดีทาอย่างไรจงึ จะอยใู่ นสงั คมนั้นได้อยา่ งมีความสุข ธญั ญวดี ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงาน ครั้งท่ี ๑๖ วชิ า ทักษะการเรียนรู้ รหัสวชิ า ทร ๒๑๐๐๑ ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น เรือ่ งการวิจยั อย่างง่าย ************************************************************************************* คาช้แี จง ให้นกั ศกึ ษาตอบคาถามตอ่ ไปน้ใี ห้ถูกต้อง 1.การวจิ ยั คือ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การวิจัยอยา่ งงา่ ย คืออะไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3.จงบอกประโยชน์ของการวิจยั อย่างงา่ ย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. จงเขียนแผนภูมิกระบวนการและข้นั ตอนการวิจยั ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ความถ่ี (Frequency) คอื ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานคร้ังที่ 1 วชิ า ลูกเสือ กศน. รหัสวิชา สค22021 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ เร่อื ง ลูกเสือกบั การพัฒนา ***************************************************************************************** คาชีแ้ จง ให้ผ้เู รยี นอธิบายความสาคัญของการลูกเสือกับการพฒั นา ในประเดน็ ตอ่ ไปนี้ 1. การพัฒนาตนเอง ........................................................................................................................................................... ................................. .................................................................................................. .......................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ........................................................................................................................................................................... ................. ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. .............................................................. ................................................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. .............................................................. 2. การพฒั นาสมั พนั ธภาพระหว่างบุคคล ............................................................................................................................. ............................................................... ...................................................................................................................................................................... ...................... ............................................................................................................. ............................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... .................................................................................................................................................................................... ........ ........................................................................................................................... ................................................................ ................................................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................... ............................................................. ...................................................................... ................................................................................................. .................... 3. การพัฒนาสัมพนั ธภาพภายในชุมชนและสงั คม ................................................................................................. ........................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... .......................................................................................................................................................................... .................. ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. .............................................................. ................................................................................................................................................. ...........................................

เฉลย ใบงานคร้งั ท่ี 1 วิชา ลกู เสือ กศน. รหสั วิชา สค22021 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ เรอ่ื ง ลกู เสือกับการพัฒนา ****************************************************************************** 1. การพฒั นาตนเอง มคี วามสาคญั ดงั นี้ ตอบ สามารถพัฒนาตนเอง ทั้งทางกาย จิตใจ อารมณ์ สตปิ ัญญา สังคม ความรู้ อาชีพส่งิ แวดล้อมใหด้ ีขน้ึ 2. การพฒั นาสัมพันธภาพระหวา่ งบคุ คล มีความสาคัญ ดงั นี้ ตอบ รจู้ กั ปรับตนเองใหม้ ีอารมณห์ นกั แน่น เขา้ กับผอู้ ่นื และสถานการณ์ รู้จักสงั เกต จดจา ประมาณตน และเปน็ ผู้มี เหตุผล อยรู่ ่วมกนั และทางานรว่ มกบั ผอู้ ่นื ได้ 3. การพัฒนาสัมพันธภาพภายในชุมชนและสังคม มีความสาคญั ดังนี้ ตอบ เป็นการเปลย่ี นแปลงภายในสังคม ทัง้ ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และวฒั นธรรม เพอ่ื ให้ ประชาชนมชี วี ติ ความเป็นอยู่ทดี่ ขี ้นึ เชน่ ท่ีอยู่อาศยั อาหาร เครอื่ งนุง่ หม่ สุขภาพอนามัย ฯลฯ

ใบงานครงั้ ที่ 2 วชิ า ลกู เสือ กศน. รหัสวิชา สค22021 ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ เร่อื ง การลูกเสอื ไทย ***************************************************************************************** คาชีแ้ จง ให้ผู้เรียนอธิบายประวตั ิการลูกเสือไทย ดังตอ่ ไปนี้ 1. พระราชประวตั ขิ องพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอย่หู วั รัชกาลท่ี 6 ........................................................................................................................................................................... ................. .................................................................................................................. .......................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... .............................................................. ............................................................................................................................. . ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ...................................................................................................................................... ...................................................... ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ..................................................................................................................................................... ....................................... ............................................................................................ ................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... 2. กาเนิดการลูกเสอื ไทย ............................................................................................................................................. ............................................... .................................................................................... ........................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................................................. ............................... ................................................................................................... ......................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................................................................ ................ ................................................................................................................... ......................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... .............................................................. ............................................................................................................................. . ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ...............................................................

3. กจิ การลกู เสือไทยแตล่ ะยคุ ............................................................................................................................. ............................................................... ........................................................................................................................................................................... ................. .................................................................................................................. .......................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... .............................................................. ............................................................................................................................. . ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ....................................................................................................................................... ..................................................... ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................... ............................................................................................. ............................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ..................................................................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................ ................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... .................................................................................................................................................................................... ........ ........................................................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ............................................................... ................................................................................................................................ ............................................................ ............................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................................... ............................................. ...................................................................................... ...................................................................................................... 4. ใครเป็นประมุขของคณะลูกเสือแหง่ ชาติ …………………………………………………………………………………….......................................................………………………………… 5. ใครเป็นสภานายกสภาลกู เสอื ไทย …………………………………………………………………………………………………….......................................................………………… 6. ใครเป็นประธานกรรมการบริหารลูกเสือแหง่ ชาติ ………………………………………………………………………………………………......................................................……………………… 7. ใครเป็นประธานกรรมการลกู เสอื จังหวดั …………………………………………………………………………………………………………….....................................................………… 8. ใครเปน็ ประธานกรรมการลูกเสือเขตพ้ืนท่ีการศึกษา

…………………………………………………………………………………………….....................................................…………………………


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook