ที่ เร่ือง เนอื้ หา ชว่ั โมง กระบวนการ วดั / ประเมิน ๒.๕ ลงโทษทางสังคม ๒.๖ ชอ่ งทางและวธิ ีการร้องเรียนการ ทุจริต ๒.๗ มาตรการค้มุ ครองชว่ ยเหลือพยาน และการกันบุคคลไวเ้ ป็นพยานโดยไม่ ด�ำ เนินคดี - มาตรการคมุ้ ครองช่วยเหลอื พยาน - การกันบุคคลไว้เปน็ พยานโดยไม่ ด�ำ เนินคดี - กฎ ก.พ. วา่ ดว้ ยหลกั เกณฑแ์ ละวิธี การการใหบ้ ำ�เหนจ็ ความชอบ การ กนั เป็นพยาน การลดโทษ และ การให้ความคมุ้ ครองพยาน พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓ การประยกุ ต์หลกั ๓.๑ ต้นแบบความพอเพียง (ปรัชญา ๓ การอภิปราย สอบเนื้อหา ความพอเพยี งด้วย เศรษฐกจิ พอเพยี ง) กรณีโครงการ (๒๐ คะแนน) โมเดล STRONG : ๓.๒ โมเดล STRONG : จติ พอเพยี ง STRONG จิตพอ จติ พอเพยี งตา้ นทุจริต ตา้ นทุจรติ เพยี งตา้ นทจุ รติ การบรรยาย การฝกึ ปฏบิ ัตกิ ารเป็น การฝกึ ปฏบิ ตั ิถ่ายทอดความรู้ ตามท่ี ๖ - ๓ ชั่วโมงแรก การประเมิน ๔ วทิ ยากร ก�ำ หนดได้อยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสม ให้ผูเ้ ข้ารว่ มทกุ คน ฝึกปฏิบตั ิ - ความหมายของวิทยากร แบ่งกลุ่มฝกึ ปฏบิ ัติ การเปน็ - บทบาทและหนา้ ท่ขี องวทิ ยากร การเปน็ วทิ ยากร วทิ ยากร - คุณสมบตั ิของวิทยากรท่ดี ี โดยสุม่ หวั ข้อ (๔๐ คะแนน) - การเปน็ ผนู้ ำ�เสนอท่ีดี วชิ าการบรรยาย - เทคนิคการเตรียมตวั ที่ดีของวทิ ยากร จาก ๓ วชิ า โดยให้ วิทยากรประเมนิ - ๓ ช่ัวโมงหลัง วิทยากรใหข้ ้อเสนอ แนะกระบวนการ หลากหลาย หลกั สูตรโค้ชเพ่อื การรู้คิดตา้ นทจุ รติ 43
สว่ นที่ ๒ เรื่อง การเรยี นร้ดู า้ นการป้องกนั การทุจริต หลกั สูตรโค้ชเพ่อื การรู้คิดต้านทจุ ริต วิชาท่ี ๒.๑ เร่อื ง การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและ เวลา ๖ ชวั่ โมง ผลประโยชน์ส่วนรวม เร่อื ง การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม สาระส�ำ คญั วชิ านเี้ ปน็ การเรยี นรเู้ กยี่ วกบั การขดั กนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม กฎหมายที่เกย่ี วขอ้ ง แนวคดิ เกย่ี วกับการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นสามารถน�ำ ไปถา่ ยทอดไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและน�ำ ไปปรบั ใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม วตั ถุประสงค์ ๑. เพอื่ เสรมิ สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจ การน�ำ ไปใช้ การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และการประเมนิ เกีย่ วกบั การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๒. เพื่อสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างถูกต้องในเรื่องการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ ส่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวมใหผ้ ูเ้ รยี นน�ำ ไปปรับใชไ้ ด้อยา่ งเหมาะสมกบั ผู้เขา้ รับการฝกึ อบรม ขอบเขตเนื้อหา ๑. สาเหตขุ องการทจุ ริตฯ ๒. ความหมายของการขดั กนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม รปู แบบ ของการขดั กันระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม ๓. กฎหมายท่เี กี่ยวข้องกบั การขดั กันฯ ๔. วิธีคิดแบบ Analog thinking (ฐาน ๑๐) / Digital thinking (ฐาน ๒) ๕. บทบาทของรัฐ / เจ้าหนา้ ท่ขี องรฐั (มาตรฐานทางจรยิ ธรรมของเจ้าหน้าท่ขี องรฐั ) ๖. กรณีตวั อยา่ งการคดิ แยกแยะระหวา่ งประโยชน์สว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวม วธิ กี ารฝกึ อบรม การบรรยาย การคดิ วิเคราะห์กรณีศกึ ษา การทำ�กิจกรรมกลุม่ การอภปิ รายกล่มุ ส่ือการเรยี นรู้ Power Point วิดโี อ ภาพยนตร์ส้ัน ใบงาน หรือส่ืออนื่ ๆ ทเ่ี หมาะสม การวดั และประเมนิ ผล การทดสอบเน้ือหา (๒๐ คะแนน) 44 หลักสูตรโคช้ เพือ่ การรู้คิดต้านทจุ รติ
ส่วนที่ ๒ เร่ือง การเรียนรดู้ ้านการปอ้ งกนั การทุจรติ เนอื้ หาโดยสงั เขป วิชาที่ ๒.๑ เร่อื ง การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ เวลา ๖ ช่ัวโมง ผลประโยชน์สว่ นรวม รายละเอยี ดเน้อื หา ๑. สาเหตขุ องการทจุ ริตและทศิ ทางการปอ้ งกนั การทจุ ริตในประเทศไทย การทจุ รติ เปน็ หนง่ึ ในประเดน็ ทท่ี วั่ โลกแสดงความกงั วล อนั เนอื่ งมาจากเปน็ ปญั หาทม่ี คี วาม ซบั ซอ้ น ยากตอ่ การจดั การและเกยี่ วขอ้ งกบั ทกุ ภาคสว่ น เปน็ ทย่ี อมรบั กนั วา่ การทจุ รติ นน้ั มคี วามเปน็ สากล เพราะมกี ารทจุ รติ เกดิ ขน้ึ ในทกุ ประเทศ ไมว่ า่ จะเปน็ ประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ หรอื ประเทศทก่ี �ำ ลงั พฒั นา การทุจริตเกิดขึ้นท้ังในภาครัฐและภาคเอกชน หรือแม้กระท่ังในองค์กรท่ีไม่แสวงหาผลกำ�ไรหรือองค์กร เพื่อการกุศล ในปัจจุบันการกล่าวหาและการฟ้องร้องคดีการทุจริตยังมีบทบาทสำ�คัญในด้านการเมือง มากกวา่ ชว่ งทผี่ า่ นมา รฐั บาลในหลายประเทศมผี ลการปฏบิ ตั งิ านทไ่ี มโ่ ปรง่ ใสเทา่ ทคี่ วร องคก์ รระดบั โลก หลายองค์กรเสอ่ื มเสียชือ่ เสียง เนื่องมาจากเหตุผลดา้ นความโปรง่ ใส ส่อื มวลชนทั่วทงั้ โลกต่างเฝา้ รอ ทจ่ี ะไดน้ �ำ เสนอขา่ วออื้ ฉาวและการประพฤตผิ ดิ จรยิ ธรรมดา้ นการทจุ รติ โดยเฉพาะบคุ คลซงึ่ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ ระดบั สงู ตา่ งถกู เฝา้ จบั จอ้ งวา่ จะถกู สอบสวนเมอ่ื ใด อาจกลา่ วไดว้ า่ การทจุ รติ เปน็ หนง่ึ ในปญั หาใหญ่ ทจ่ี ะขดั ขวางการพฒั นาประเทศใหเ้ ปน็ รฐั สมยั ใหม่ ซง่ึ ตา่ งเปน็ ทที่ ราบกนั ดวี า่ การทจุ รติ ควรเปน็ ประเดน็ แรกๆ ท่ีควรให้ความสำ�คัญในวาระของการพัฒนาประเทศของทกุ ประเทศ เหน็ ได้ชดั วา่ การทจุ รติ สง่ ผลกระทบอยา่ งมากกบั การพฒั นาประเทศ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในประเทศทกี่ �ำ ลงั พฒั นา เชน่ เดยี วกนั กบั กลมุ่ ประเทศในภมู ภิ าคเอเชยี แปซฟิ กิ กม็ คี วามกงั วลในปญั หา การทจุ รติ ดว้ ยเชน่ เดยี วกนั โดยเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั วา่ การทจุ รติ เปน็ ปญั หาใหญท่ ก่ี �ำ ลงั ขดั ขวางการพฒั นาเศรษฐกจิ การเมอื ง และสงั คม ให้กา้ วไปสรู่ ฐั สมยั ใหม่ และควรเปน็ ปญั หาที่ควรจะตอ้ งรีบแก้ไขโดยเร็วทส่ี ดุ การทจุ ริตนนั้ อาจเกดิ ขึน้ ไดใ้ นประเทศท่มี สี ถานการณ์ ดังตอ่ ไปน้ี ๑) มีกฎหมาย ระเบยี บ หรือข้อก�ำ หนดจำ�นวนมากที่เกยี่ วขอ้ งกับการด�ำ เนนิ การทางธรุ กจิ ซึง่ จะเป็นโอกาสท่ีจะทำ�ใหเ้ กิดเศรษฐผล หรอื มูลค่าเพ่ิมหรอื ก�ำ ไรส่วนเกนิ ทางเศรษฐกจิ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมาตรการหรอื ข้อกำ�หนด ดงั กล่าวมีความซับซอ้ น คลุมเครือ เลอื กปฏบิ ัติ เป็นความลบั หรอื ไม่โปรง่ ใส ๒) เจา้ หน้าท่ผี ้มู ีอำ�นาจ มีสิทธข์ิ าดในการใชด้ ลุ ยพินิจ ซ่งึ ให้อสิ ระในการเลือกปฏิบัตเิ ป็นอย่างมากวา่ จะเลือกใชอ้ ำ�นาจใด กบั ใครกไ็ ด้ ๓) ไมม่ ีกลไกที่มปี ระสิทธภิ าพหรือองค์กรทม่ี หี นา้ ทคี่ วบคุมดูแลและจดั การตอ่ การกระท�ำ ใดๆ ของ เจ้าหนา้ ท่ที ่มี อี ำ�นาจ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ประเทศท่กี ำ�ลังพัฒนา ทำ�ใหก้ ารทุจริตมีแนวโนม้ ทีจ่ ะเกดิ ขึน้ ได้ อยา่ งมาก โดยไมใ่ ชเ่ พยี งเพราะวา่ ลกั ษณะประชากรนน้ั แตกตา่ งจากภมู ภิ าคอนื่ ทพี่ ฒั นาแลว้ หากแตเ่ ปน็ เพราะกลมุ่ ประเทศทกี่ �ำ ลงั พฒั นานนั้ มปี จั จยั ภายในตา่ ง ๆ ทเ่ี ออื้ หรอื สนบั สนนุ ตอ่ การเกดิ การทจุ รติ อาทิ ๑) แรงขับเคล่ือนท่ีอยากมีรายได้ เป็นจำ�นวนมากอันเป็นผลเนื่องมาจากความจน ค่าแรงในอัตราที่ตํ่า หรอื มีสภาวะความเสี่ยงสูงในดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ ความเจบ็ ปว่ ย อบุ ตั เิ หตุ หรือการวา่ งงาน ๒) มสี ถานการณ์ หรอื โอกาสท่ีอาจก่อให้เกดิ การทุจริตได้เปน็ จำ�นวนมาก และมีกฎระเบียบต่าง ๆ ทอ่ี าจนำ�ไปสกู่ ารทจุ ริต ๓) การออกกฎหมายและกระบวนการยุตธิ รรมทไ่ี มเ่ ขม้ แขง็ ๔) กฎหมายและประมวลจริยธรรมไม่ไดร้ บั หลกั สูตรโค้ชเพอื่ การร้คู ิดตา้ นทุจรติ 45
การพฒั นาใหท้ นั สมยั ๕) ประชากรในประเทศยงั คงจ�ำ เปน็ ตอ้ งพงึ่ พาทรพั ยากรธรรมชาตอิ ยเู่ ปน็ จ�ำ นวนมาก ๖) ความไมม่ เี สถียรภาพทางการเมอื ง และเจตจำ�นงทางการเมอื งทีไ่ มเ่ ขม้ แข็ง ปัจจยั ตา่ ง ๆ ดังกล่าว จะ น�ำ ไปสกู่ ารทจุ รติ ไมว่ ่าจะเปน็ ทจุ ริตระดบั บนหรือระดบั ล่างกต็ าม ซง่ึ ผลทต่ี ามมาอย่างเหน็ ไดช้ ัดเจน มีดว้ ยกนั หลายประการ เชน่ การทจุ รติ ทำ�ให้ภาพลักษณ์ของประเทศดา้ นความโปร่งใสนน้ั เลวร้ายลง การลงทุนในประเทศโดยเฉพาะอย่างย่ิงจากนักลงทุนต่างชาติลดน้อยลง ส่งผลกระทบทำ�ให้การเติบโต ทางเศรษฐกิจลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน หรือการทุจริตทำ�ให้เกิดช่องว่างของความไม่เท่าเทียมท่ีกว้างข้ึน ของประชากรในประเทศหรอื อกี นยั หนงึ่ คอื ระดบั ความจนนนั้ เพมิ่ สงู ขน้ึ ในขณะทกี่ ลมุ่ คนรวยกระจกุ ตวั อย่เู พยี งกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มเดยี ว นอกจากน้ี การทุจรติ ยังท�ำ ใหก้ ารสร้างและปรบั ปรุงสาธารณูปโภคตา่ งๆ ของประเทศน้นั ลดลงท้ังในด้านปริมาณและคุณภาพ รวมท้ังยังอาจน�ำ พาประเทศไปสวู่ กิ ฤติทางการเงิน ท่รี า้ ยแรงไดอ้ ีกด้วย การเปลีย่ นแปลงวธิ คี ดิ (Paradigm Shift) จึงเป็นเรอื่ งส�ำ คัญอย่างมาก ตอ่ การดำ�เนินงาน ดา้ นการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ตามค�ำ ปราศรยั ของประธานทไ่ี ดก้ ลา่ วตอ่ ทป่ี ระชมุ องคก์ ารสหประชาชาติ ณ นครนวิ ยอร์ก สหรฐั อเมรกิ า เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๕๘ วา่ “การทจุ รติ เปน็ หน่ึงในความท้าทายทมี่ คี วาม สำ�คญั มากในศตวรรษที่ ๒๑ ผูน้ �ำ โลกควรจะเพ่ิมความพยายามขนึ้ เปน็ สองเทา่ ท่จี ะสร้างเคร่ืองมือท่ี มีความเข้มแข็งเพื่อร้ือระบบการทุจริตที่ซ่อนอยู่ออกให้หมดและนำ�ทรัพย์สินกลับคืนให้กับประเทศ ตน้ ทางทถี่ ูกขโมยไป…” ทงั้ นีไ้ มเ่ พียงแตผ่ ู้นำ�โลกเท่านัน้ ทต่ี ้องจรงิ จงั มากขน้ึ กบั การต่อต้านการทุจริต เราทกุ คนในฐานะประชากรโลกกม็ คี วามจ�ำ เปน็ ทจ่ี ะต้องเอาจรงิ เอาจงั กบั การต่อตา้ นการทุจรติ เช่นเดยี วกัน โดยทว่ั ไปอาจมองวา่ เป็นเร่ืองไกลตัว แต่แทท้ ่จี ริงแลว้ การทุจรติ นนั้ เปน็ เร่อื งใกลต้ วั ทกุ คน ในสังคมมาก การเปล่ียนแปลงระบบวิธีการคิดเป็นเรื่องสำ�คัญ หรือความสามารถในการการแยกแยะ ระหว่างประโยชน์ส่วนตนออกจากประโยชน์ส่วนรวม เป็นสิ่งจำ�เป็นท่ีจะต้องเกิดข้ึนกับทุกคนในสังคม ต้องมีความตระหนักได้ว่าการกระทำ�ใดเป็นการล่วงล้ําสาธารณประโยชน์ การกระทำ�ใดเป็นการกระทำ� ที่อาจเกิดการทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ต้องคำ�นึงถึงประโยชน์ของ ประเทศชาติเป็นอันดับแรกก่อนท่ีจะค�ำ นงึ ถงึ ผลประโยชนส์ ว่ นตนหรอื พวกพอ้ ง การทจุ รติ ในสงั คมไทยระหวา่ งชว่ งกวา่ ทศวรรษทผี่ า่ นมาสง่ ผลเสยี ตอ่ ประเทศอยา่ งมหาศาล และเปน็ อปุ สรรคส�ำ คญั ตอ่ การพฒั นาประเทศในทกุ มติ ิ รปู แบบการทจุ รติ จากเดมิ ทเี่ ปน็ การทจุ รติ ทางตรง ไมซ่ บั ซอ้ น อาทิ การรบั สนิ บน การจดั ซอ้ื จดั จา้ ง ในปจั จบุ นั ไดป้ รบั เปลยี่ นเปน็ การทจุ รติ ทซ่ี บั ซอ้ นมากขน้ึ ตวั อยา่ งเช่น การทจุ รติ โดยการท�ำ ลายระบบการตรวจสอบการใชอ้ �ำ นาจรัฐ การกระทำ�ที่เปน็ การขัดกนั แห่งผลประโยชน์หรอื ผลประโยชน์ทับซอ้ น และการทุจริตเชงิ นโยบาย ประเทศไทยมคี วามพยายามแกไ้ ขปญั หาการทจุ รติ โดยหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ไดร้ ว่ มกนั สรา้ ง เครื่องมือกลไก และกำ�หนดเป้าหมายสำ�หรับการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เริ่มตัง้ แต่ชว่ งปี พ.ศ. ๒๕๕๑ จนถงึ ปจั จบุ นั การดำ�เนินงานได้สร้างความตืน่ ตัวและเขา้ มามสี ่วนร่วมใน การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ตามบทบาทของแตล่ ะหนว่ ยงาน จงึ มคี วามจ�ำ เปน็ อยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ ง ปรับฐานความคดิ และสรา้ งความตระหนกั รู้ใหท้ กุ ภาคสว่ นของสงั คม สำ�หรับประเทศไทยได้กำ�หนดทิศทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริตซ่ึงมีความ สอดคล้องกบั สถานการณท์ างการเมือง เศรษฐกจิ สังคม วฒั นธรรม และความรุนแรง รวมถึงการสรา้ ง ความตระหนกั ในการประพฤติปฏบิ ตั ติ นดว้ ยความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ ของคนในสงั คม ทง้ั นี้ ส�ำ นกั งาน ป.ป.ช. ในฐานะองคก์ รหลกั ดา้ นการด�ำ เนนิ งานปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ และเปน็ องคก์ รทต่ี อ้ งบรู ณาการ การท�ำ งานด้านการตอ่ ต้านการทจุ รติ เขา้ กับทกุ ภาคส่วน ดงั นนั้ สาระสำ�คญั ท่ีมคี วามเช่อื มโยงกับทศิ ทาง 46 หลกั สตู รโค้ชเพ่ือการรู้คดิ ตา้ นทจุ ริต
การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ มดี ังนี้ ๑. รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ ๒. วาระการปฏริ ปู ท่ี ๑ การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบของสภา ปฏิรปู แห่งชาติ ๓. ยุทธศาสตร์ชาตริ ะยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๗๙) ๔. แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) ๕. โมเดลประเทศไทยสูค่ วามมัน่ คง ม่งั ค่ัง และยั่งยนื (Thailand ๔.๐) ๖. ยุทธศาสตรช์ าติวา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) ๑. รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ กำ�หนดในหมวดท่ี ๔ หนา้ ท่ี ของประชาชนชาวไทยวา่ “...บคุ คลมหี นา้ ท่ี ไมร่ ว่ มมอื หรอื สนบั สนนุ การทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบทกุ รปู แบบ” ถือได้ว่าเป็นคร้ังแรกท่ีรัฐธรรมนูญได้กำ�หนดให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นหน้าที่ของ ประชาชนชาวไทยทุกคน นอกจากน้ี ยังกำ�หนดชัดเจนในหมวดที่ ๕ หน้าที่ของรัฐว่า “รัฐต้องส่งเสริม สนับสนนุ และใหค้ วามรแู้ กป่ ระชาชนถงึ อันตรายทีเ่ กิดจากการทุจรติ และประพฤตมิ ิชอบทงั้ ภาครฐั และ ภาคเอกชน และจดั ใหม้ มี าตรการและกลไกทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพเพอ่ื ปอ้ งกนั และขจดั การทจุ รติ และประพฤติ มิชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมท้ังกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกัน เพ่ือมีส่วนร่วมในการ รณรงคใ์ หค้ วามรู้ ตอ่ ตา้ นการทจุ รติ หรอื ชเี้ บาะแส โดยไดร้ บั ความคมุ้ ครองจากรฐั ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ”ิ ในการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ รฐั ตอ้ งเสรมิ สรา้ งใหป้ ระชาชนไดร้ บั บรกิ ารทสี่ ะดวก มปี ระสทิ ธภิ าพทสี่ �ำ คญั คอื ไมเ่ ลือกปฏิบตั ติ ามหลักการบริหารกิจการบา้ นเมอื งทดี่ ี ซงึ่ การบริหารงานบุคคลของหนว่ ยงานของ รัฐต้องเปน็ ไปตามระบบคณุ ธรรมตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ โดยอยา่ งนอ้ ยต้องมีมาตรการปอ้ งกนั มใิ ห้ผูใ้ ด ใชอ้ �ำ นาจหรอื กระท�ำ การโดยมชิ อบแทรกแซงการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ หรอื กระบวนการแตง่ ตงั้ หรอื การพจิ ารณา ความดคี วามชอบของเจา้ หนา้ ทข่ี องรัฐ และรฐั ตอ้ งจัดใหม้ มี าตรฐานทางจรยิ ธรรม เพอื่ ใหห้ นว่ ยงาน ใช้เป็นหลักในการกำ�หนดประมวลจริยธรรมสำ�หรับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ซึ่งต้องไม่ต่ํากว่ามาตรฐาน ทางจริยธรรมดังกล่าว การท่ีรัฐธรรมนูญได้ให้ความสำ�คัญต่อการบริหารราชการที่มีประสิทธิภาพและ การบริหารบคุ คลทมี่ คี ณุ ธรรมนั้น สืบเนื่องมาจากช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้เกิดปญั หาท่ีเก่ยี วขอ้ งกับ การบรหิ ารบคุ คล มีการโยกยา้ ยแต่งตั้งทไ่ี ม่เปน็ ธรรม บังคบั หรอื ชีน้ �ำ ใหข้ ้าราชการหรอื เจ้าหนา้ ท่ี ของรฐั ปฏบิ ตั งิ านโดยไมย่ ดึ มนั่ ในหลกั ผลประโยชนแ์ หง่ รฐั รวมถงึ การมงุ่ เนน้ การแสวงหาผลประโยชนใ์ ห้ กบั ตนเองรวมถงึ พวกพ้อง รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ จงึ ไดม้ ีความพยายาม ท่ีจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้องการสร้างประสิทธิภาพในระบบการบริหารงานราชการแผ่นดินและ เจ้าหน้าทข่ี องรัฐ ต้องยดึ มน่ั ในหลักธรรมาภบิ าล และมคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรมตามทก่ี �ำ หนดเอาไว้ ๒. วาระการปฏิรูปที่ ๑ การปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ และประพฤติมิชอบของ สภาปฏริ ูปแห่งชาติ สภาปฏริ ปู แห่งชาติในฐานะองคก์ รที่มบี ทบาทและอำ�นาจหน้าทใ่ี นการปฏิรปู กลไก และปฏบิ ตั งิ านดา้ นการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ไดม้ ขี อ้ เสนอเพอื่ ปฏริ ปู ดา้ นการปอ้ งกนั และปราบปราม การทุจริตและประพฤตมิ ชิ อบ เพอ่ื แกไ้ ขปญั หาดงั กล่าวใหเ้ ปน็ ระบบ มีประสทิ ธิภาพ ย่งั ยืน เปน็ รูปธรรม ปฏิบัติได้ สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและบริบทของสังคมไทย โดยเสนอให้มียุทธศาสตร์การแก้ไข ปัญหา ๓ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย (๑) ยุทธศาสตร์การปลูกฝัง “คนไทย ไม่โกง”เพ่ือปฏิรูปคนให้มี จติ ส�ำ นกึ สรา้ งจติ ส�ำ นกึ ทตี่ วั บคุ คลรบั ผดิ ชอบชวั่ ดี อะไรควรท�ำ อะไรไมค่ วรท�ำ มองวา่ การทจุ รติ เปน็ เรอื่ ง น่ารังเกียจเป็นการเอาเปรียบสังคมและสังคมไม่ยอมรับ (๒) ยุทธศาสตร์การป้องกันด้วยการเสริมสร้าง หลักสตู รโค้ชเพอื่ การรคู้ ดิ ต้านทจุ รติ 47
สังคมธรรมาภิบาล เพ่ือเป็นระบบป้องกันการทุจริต เสมือนการสร้างระบบภูมิต้านทานแก่ทุกภาคส่วน ในสงั คม (๓) ยทุ ธศาสตร์การปราบปราม เพ่อื ปฏริ ปู ระบบและกระบวนการจดั การต่อกรณีการทจุ ริต ให้มีประสทิ ธิภาพ ใหส้ ามารถเอาตวั ผู้กระทำ�ความผดิ มาลงโทษได้ ซ่งึ จะทำ�ใหเ้ กดิ ความเกรงกลวั ไมก่ ล้า ทจ่ี ะกระท�ำ การทุจริตขึน้ อกี ในอนาคต ๓. ยทุ ธศาสตรช์ าตริ ะยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๗๙) สภาขบั เคลอ่ื นการปฏริ ปู ประเทศ ไดก้ ำ�หนดให้กฎหมายวา่ ดว้ ยยทุ ธศาสตรช์ าติมผี ลบังคบั ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ หรือภายในรฐั บาลนี้ และ ก�ำ หนดใหห้ นว่ ยงานของรฐั ทกุ หนว่ ยงานน�ำ ยทุ ธศาสตรช์ าติ ยทุ ธศาสตรด์ า้ นตา่ ง ๆ แผนพฒั นาดา้ นตา่ งๆ มาเป็นแผนแม่บทหลักในการกำ�หนดแผนปฏิบัติการและแผนงบประมาณ ยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าวเป็น ยุทธศาสตร์ที่ยึดวัตถุประสงค์หลักแห่งชาติเป็นแม่บทหลัก ทิศทางด้านการป้องกันและปราบปรามการ ทจุ ริต การสร้างความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในการบรหิ ารราชการแผน่ ดิน ของหน่วยงานภาครฐั ทกุ หน่วยงานจะถูกกำ�หนดจากยุทธศาสตร์ชาติฯ สภาขับเคล่อื นการปฏิรูปประเทศ วางกรอบยทุ ธศาสตรช์ าติ ในระยะ ๒๐ ปี โดยมีกรอบวสิ ยั ทัศน์ “ประเทศไทยมีความมน่ั คง มง่ั คั่ง ยง่ั ยืน เป็นประเทศพฒั นาแล้ว ด้วยการพฒั นาตามหลกั ปรชั ญา ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง” คติพจนป์ ระจำ�ชาตวิ า่ “ม่นั คง ม่งั คงั่ ยง่ั ยืน” ประกอบดว้ ย ๖ ยทุ ธศาสตร์ คอื ยุทธศาสตร์ท่ี ๑ ความม่นั คง ยทุ ธศาสตร์ที่ ๒ การสรา้ งความสามารถในการแขง่ ขัน ยุทธศาสตรท์ ่ี ๓ การพฒั นาและเสริมสรา้ งศักยภาพคน ยุทธศาสตรท์ ี่ ๔ การสรา้ งโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกนั ทางสังคม ยุทธศาสตรท์ ี่ ๕ การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวติ ทเี่ ป็นมติ รต่อสงิ่ แวดลอ้ ม และ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การปรบั สมดลุ และพัฒนา การบรหิ ารจดั การภาครัฐ ในยุทธศาสตร์ท่ี ๖ ได้กำ�หนดกรอบแนวทางทสี่ ำ�คัญ ๖ แนวทาง ประกอบดว้ ย (๑) การปรบั ปรุงการบรหิ ารจดั การรายไดแ้ ละรายจา่ ยของภาครฐั (๒) การพฒั นาระบบ การให้บรกิ ารประชาชนของหนว่ ยงานภาครัฐ (๓) การปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐให้มี ขนาดท่เี หมาะสม (๔) การวางระบบบริหารงานราชการแบบบูรณาการ (๕) การพฒั นาระบบบรหิ ารจดั การก�ำ ลงั คนและพฒั นาบคุ ลากรภาครฐั ในการ ปฏิบตั ิราชการ (๖) การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบ (๗) การปรบั ปรงุ แกไ้ ขกฎหมาย ระเบยี บ และขอ้ บงั คบั ใหม้ คี วามชดั เจน ทนั สมยั เปน็ ธรรม และสอดคลอ้ ง กบั ขอ้ บงั คบั สากลหรอื ขอ้ ตกลงระหวา่ งประเทศ ตลอดจนพฒั นาหนว่ ยงาน ภาครัฐและบุคลากรทีม่ ีหน้าทีเ่ สนอความเหน็ ทางกฎหมายใหม้ ศี ักยภาพ ๔. แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี ๑๒ (พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) ก�ำ หนด ในยทุ ธศาสตร์ที่ ๖ การบริหารจัดการภาครฐั การปอ้ งกนั การทุจรติ และประพฤติมิชอบและธรรมาภบิ าล ในสังคมไทย ในยุทธศาสตร์นี้ ได้กำ�หนดกรอบ แนวทางการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและ คอร์รัปชัน มุ่งเน้นการส่งเสริม และพัฒนาปลูกฝังค่านิยม วัฒนธรรม วิธีคิดและกระบวนทัศน์ให้คนมี ความตระหนัก มีความรู้เท่าทันและมีภูมิต้านทาน ต่อโอกาสและการชักจูงให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน และมพี ฤตกิ รรมไมย่ อมรบั การทจุ รติ ประพฤตมิ ชิ อบ รวมทงั้ สนับสนนุ ทกุ ภาคสว่ น ในสังคมได้เข้ามา 48 หลกั สูตรโค้ชเพ่อื การรคู้ ดิ ต้านทุจริต
มสี ว่ นรว่ มในการปอ้ งกนั และปราบรามการทจุ รติ และมงุ่ เนน้ ใหเ้ กดิ การสง่ เสรมิ ธรรมาภบิ าลในภาคเอกชน เพอ่ื เปน็ การตดั วงจรการทจุ รติ ระหวา่ งนกั การเมอื ง ขา้ ราชการ และนกั ธรุ กจิ ออกจากกนั ทงั้ นี้ การบรหิ ารงาน ของสว่ นราชการตอ้ งมคี วามโปรง่ ใสและตรวจสอบได้ ๕. โมเดลประเทศไทยสูค่ วามมนั่ คง ม่ังคั่ง และย่ังยืน (Thailand ๔.๐) เป็นโมเดลที่ น้อมนำ�หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวคิดหลักในการบริหารประเทศ ถอดรหัสออกมา เปน็ ๒ ยุทธศาสตรส์ �ำ คัญ คอื (๑) การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน (Strength from Within) และ (๒) การเชื่อมโยงกบั ประชาคมโลก ในยุทธศาสตร์การสร้างความเขม้ แข็งจากภายใน Thailand ๔.๐ เน้นการปรบั เปล่ยี น ๔ ทศิ ทาง และเนน้ การพฒั นาทสี่ มดลุ ใน ๔ มติ ิ มติ ทิ หี่ ยบิ ยก คอื การยกระดบั ศกั ยภาพและคณุ คา่ ของมนษุ ย์ (Human Wisdom) ดว้ ยการพฒั นาคนไทยใหเ้ ปน็ “มนษุ ยท์ สี่ มบรู ณ”์ ผา่ นการปรบั เปลย่ี นระบบนเิ วศน์ การเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ ปลูกฝังจิตสาธารณะ ยึดประโยชน์ สว่ นรวมเปน็ ทต่ี งั้ มคี วามซอื่ สตั ย์ สจุ รติ มวี นิ ยั มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรม มคี วามรบั ผดิ ชอบ เนน้ การสรา้ งคณุ คา่ รว่ ม และค่านยิ มทด่ี ี คือ สงั คมท่ีมคี วามหวงั (Hope) สังคมท่ีเปีย่ มสขุ (Happiness) และสงั คมที่ มีความสมานฉันท์ (Harmony) ๖. ยทุ ธศาสตรช์ าตวิ า่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) ท่ีกำ�หนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต” (Zero Tolerance & Clean Thailand) กำ�หนดยุทธศาสตร์หลักออกเปน็ ๖ ยทุ ธศาสตร์ ยุทธศาสตร์ทส่ี ำ�คัญ คือ ยทุ ธศาสตร์ ท่ี ๑ สร้างสังคมทีไ่ ม่ทนต่อการทุจรติ เป็นยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการกระบวนการปรบั สภาพทางสงั คมให้ เกดิ ภาวะ “ไมท่ นตอ่ การทจุ รติ ” โดยเรมิ่ ตง้ั แตก่ ระบวนการกลอ่ มเกลาทางสงั คม สรา้ งวฒั นธรรมตอ่ ตา้ น การทจุ รติ ปลูกฝงั ความพอเพยี ง มวี ินยั ซ่อื สัตย์ สุจรติ มีจิตสาธารณะ จติ อาสา และความเสยี สละ เพอ่ื ส่วนรวม ปลูกฝงั ความคดิ แบบดจิ ทิ ลั (Digital Thinking) ให้สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งประโยชน์ สว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวม และประยกุ ต์หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งเปน็ เครอ่ื งมือต้านทุจริต สาระส�ำ คญั ทงั้ ๖ ดา้ นดงั กลา่ วจงึ เปน็ เครอ่ื งมอื ชนี้ �ำ ทศิ ทางการปฏบิ ตั งิ านและการบรู ณาการ ดา้ นตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ของประเทศ โดยมสี �ำ นกั งาน ป.ป.ช. เปน็ องคก์ รหลกั ในการบรู ณาการงานของภาค สว่ นตา่ ง ๆ เข้าดว้ ยกัน และเพอื่ ใหเ้ ปน็ ไปในทศิ ทางเดียวกัน ๒. ทฤษฎี ความหมาย และรปู แบบของการขดั กนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม (Conflict of Interests) ค�ำ วา่ Conflict of Interests มีผูใ้ หค้ ำ�แปลเป็นภาษาไทยไว้หลากหลาย เชน่ “การขัดกัน แห่งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “การขัดกันระหว่างผลประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์ส่วนตน” หรือ “ประโยชน์ทับซ้อน” หรือ “ผลประโยชนท์ ับซอ้ น” หรือ “ผลประโยชน์ขดั กัน” หรอื บางท่านแปลว่า “ผลประโยชน์ขัดแย้ง” หรอื “ความขดั แยง้ ทางผลประโยชน”์ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม หรือที่เรียกว่า Conflict of Interests นั้นก็มีลักษณะทำ�นองเดียวกันกับกฎศีลธรรม ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี หลักคุณธรรม จริยธรรม กลา่ วคอื การกระทำ�ใด ๆ ที่เปน็ การขัดกันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนกับประโยชนส์ ่วนรวม เป็นส่ิงท่ีควรหลีกเล่ียงไม่ควรจะกระทำ� แต่บุคคลแต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละสังคม อาจเห็นว่าเรื่องใด เปน็ การขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมแตกตา่ งกนั ไป หรอื เมอ่ื เหน็ วา่ เปน็ การ หลกั สตู รโคช้ เพ่อื การรคู้ ดิ ตา้ นทุจรติ 49
ขัดกันแล้วยังอาจมีระดับของความหนักเบาแตกต่างกัน อาจเห็นแตกต่างกันว่าเรื่องใดกระทำ�ได้กระทำ� ไมไ่ ดแ้ ตกตา่ งกนั ออกไปอกี และในกรณที ม่ี กี ารฝา่ ฝนื บางเรอื่ งบางคนอาจเหน็ วา่ ไมเ่ ปน็ ไร เปน็ เรอ่ื งเลก็ นอ้ ย หรอื อาจเหน็ เปน็ เรอ่ื งใหญ่ ตอ้ งถกู ประณาม ต�ำ หนิ ตฉิ นิ นนิ ทา วา่ กลา่ ว ฯลฯ แตกตา่ งกนั ตามสภาพของสงั คม โดยพ้ืนฐานแล้ว เร่อื งการขัดกันระหว่างประโยชนส่วนตนและประโยชน์สว่ นรวม เป็นกฎ ศลี ธรรมประเภทหนงึ่ ทบ่ี คุ คลไมพ่ งึ ละเมดิ หรอื ฝา่ ฝนื แตเ่ นอ่ื งจากมกี ารฝา่ ฝนื กนั มากขน้ึ และบคุ คล ผฝู้ า่ ฝนื กไ็ มม่ คี วามเกรงกลวั หรอื ละอายตอ่ การฝา่ ฝนื นน้ั สงั คมกไ็ มล่ งโทษหรอื ลงโทษไมเ่ พยี งพอทจี่ ะมผี ล เปน็ การหา้ มการกระท�ำ ดงั กลา่ ว และในทส่ี ดุ เพอ่ื หยดุ ยงั้ เรอื่ งดงั กลา่ วน้ี จงึ มกี ารตรากฎหมายทเี่ กยี่ วขอ้ ง กบั การขดั กนั แห่งผลประโยชน์มากขึน้ ๆ และเป็นเร่อื งทส่ี ังคมให้ความสนใจมากข้ึนตามล�ำ ดบั คมู่ ือ การปฏบิ ตั สิ �ำ หรบั เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั เพอ่ื มใิ หด้ �ำ เนนิ กจิ การทเ่ี ปน็ การขดั กนั ประโยชนส ว่ นตนและประโยชน์ สว่ นรวม ได้ให้ความหมายไว้ ดังนี้ “ประโยชน์ส่วนตน (Private Interests) คือ การท่ีบคุ คลทว่ั ไปในสถานะเอกชนหรอื เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ในสถานะเอกชนไดท้ �ำ กจิ กรรมหรอื ไดก้ ระท�ำ การตา่ ง ๆ เพอ่ื ประโยชนส์ ว่ นตน ครอบครวั เครอื ญาติ พวกพ้อง หรอื ของกลุ่มในสงั คมทม่ี ีความสมั พันธก์ ันในรูปแบบตา่ ง ๆ เชน่ การประกอบอาชพี การทำ�ธุรกิจ การค้า การลงทุน เพอื่ หาประโยชน์ในทางการเงนิ หรอื ในทางธรุ กจิ เปน็ ตน้ ” “ประโยชน์สว่ นรวมหรือประโยชน์สาธารณะ (Public Interests) คือ การท่บี ุคคลใดๆ ในสถานะทีเ่ ป็นเจา้ หน้าทข่ี องรฐั (ผูด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ทางการเมอื ง ข้าราชการ พนักงานรฐั วสิ าหกิจ หรือ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ในหนว่ ยงานของรฐั ) ไดก้ ระท�ำ การใด ๆ ตามหนา้ ทห่ี รอื ไดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทอ่ี นั เปน็ การด�ำ เนนิ การ ในอีกส่วนหนึ่งที่แยกออกมาจากการดำ�เนนิ การตามหนา้ ที่ในสถานะของเอกชน การกระท�ำ การใดๆ ตามหนา้ ทข่ี องเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั จงึ มวี ตั ถปุ ระสงคห์ รอื มเี ปา้ หมายเพอื่ ประโยชนข์ องสว่ นรวม หรอื การรกั ษาประโยชนส์ ว่ นรวมทเี่ ปน็ ประโยชนข์ องรฐั การท�ำ หนา้ ทข่ี องเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั จงึ มคี วามเกยี่ วเนอื่ ง เชื่อมโยงกับอำ�นาจหน้าที่ตามกฎหมายและจะมีรูปแบบของความสัมพันธ์หรือมีการกระทำ�ในลักษณะ ต่าง ๆ กันทเ่ี หมอื นหรอื คลา้ ยกับการกระทำ�ของบคุ คลในสถานะเอกชน เพยี งแต่การกระทำ�ในสถานะที่ เปน็ เจา้ หนา้ ท่ีของรฐั กับการกระท�ำ ในสถานะเอกชนจะมคี วามแตกต่างกันที่วัตถุประสงค์ เปา้ หมายหรือ ประโยชนส์ ดุ ท้ายทีแ่ ตกต่างกัน” “การขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมหรอื ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น (Conflict of Interests) คอื การท่เี จ้าหน้าท่ขี องรฐั กระทำ�การใดๆ หรอื ด�ำ เนนิ การในกจิ การสาธารณะ ทเี่ ปน็ การด�ำ เนนิ การตามอ�ำ นาจหนา้ ทห่ี รอื ความรบั ผดิ ชอบในกจิ การของรฐั หรอื องคก์ รของรฐั เพอื่ ประโยชนข์ องรฐั หรอื เพ่ือประโยชน์ของส่วนรวม แตเ่ จา้ หน้าทข่ี องรัฐไดม้ ีผลประโยชนส์ ว่ นตนเข้าไป แอบแฝง หรือเปน็ ผู้ทมี่ สี ่วนไดเ้ สียในรูปแบบตา่ ง ๆ หรือน�ำ ประโยชน์ส่วนตนหรอื ความสัมพันธ์สว่ นตน เข้ามามอี ิทธิพลหรอื เก่ียวขอ้ งในการใชอ้ �ำ นาจหนา้ ทหี่ รอื ดุลยพินิจในการพิจารณาตัดสนิ ใจในการ กระทำ�การใด ๆ หรือดำ�เนินการดังกล่าวนั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ในการทางเงินหรือประโยชน์อ่ืนๆ สำ�หรบั ตนเองหรอื บคุ คลใดบุคคลหน่งึ ” ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง “การขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม” “จรยิ ธรรม” และ “การทจุ รติ “จริยธรรม” เป็นกรอบใหญ่ทางสังคมทเ่ี ปน็ พน้ื ฐานของแนวคดิ เกยี่ วกับการขัดกันระหว่าง ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมและการทจุ ริต การกระทำ�ใดทีผ่ ิดต่อกฎหมายว่าดว้ ยการขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวมและการทจุ ริต ยอ่ มเปน็ ความผดิ จริยธรรมดว้ ย 50 หลกั สูตรโค้ชเพอื่ การรคู้ ดิ ต้านทุจรติ
แตต่ รงกนั ขา้ ม การกระท�ำ ใดทฝี่ า่ ฝนื จรยิ ธรรม อาจไมเ่ ปน็ ความผดิ เกย่ี วกบั การขดั กนั ระหวา่ ง ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมและการทจุ รติ เชน่ มพี ฤตกิ รรมสว่ นตวั ไมเ่ หมาะสม มพี ฤตกิ รรม ชู้สาว เปน็ ต้น การทุจริต Corruption ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น Conflict of Interests จริยธรรม Ethics “จริยธรรม” เปน็ หลกั สำ�คัญในการควบคุมพฤติกรรมของเจ้าหนา้ ท่ีของรฐั เปรียบเสมือน โครงสรา้ งพ้นื ฐานท่ีเจา้ หน้าทข่ี องรฐั ตอ้ งยึดถอื ปฏบิ ัติ “การขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม” เปน็ พฤตกิ รรมทอี่ ยรู่ ะหวา่ ง จรยิ ธรรมกบั การทุจรติ ทจี่ ะก่อใหเ้ กดิ ผลประโยชน์ส่วนตนกระทบตอ่ ผลประโยชน์ส่วนรวม ซ่งึ พฤติกรรม บางประเภทมีการบัญญัติเป็นความผิดทางกฎหมายมีบทลงโทษชัดเจน แต่พฤติกรรมบางประเภทยังไม่มี การบัญญตั ิขอ้ หา้ มไว้ในกฎหมาย “การทุจรติ ” เป็นพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดยตรง ถอื เป็นความผิดอยา่ งชดั เจน สังคม ส่วนใหญ่จะมกี ารบัญญตั กิ ฎหมายออกมารองรับ มบี ทลงโทษชดั เจน ถือเป็นความผดิ ขน้ั รุนแรงท่ีสดุ ท่ีเจ้า หนา้ ทีข่ องรัฐตอ้ งไม่ปฏบิ ตั ิ “เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ขาดจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ โดยเข้าไปกระทำ�การใด ๆ ท่ี เปน็ การขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ่วนรวม ถอื วา่ เจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐผ้นู น้ั ขาดความ ชอบธรรมในการปฏิบัติหนา้ ท่ี และจะเปน็ ตน้ เหตขุ องการทจุ ริตตอ่ ไป” หลกั สูตรโค้ชเพื่อการร้คู ดิ ต้านทจุ รติ 51
รปู แบบของการขดั กันระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมมีได้หลายรูปแบบไม่จำ�กัดอยู่ เฉพาะในรปู แบบของตัวเงิน หรือทรัพยส์ นิ เทา่ นน้ั แต่รวมถงึ ผลประโยชนอ์ น่ื ๆ ท่ไี มไ่ ดอ้ ยใู่ นรปู แบบของ ตวั เงินหรอื ทรพั ยส์ ินดว้ ย ทง้ั น้ี John Langford และ Kenneth Kernaghan ได้จ�ำ แนกรปู แบบของการ ขดั กนั ระหว่างประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวม ออกเปน็ ๗ รปู แบบ คอื ๑) การรบั ผลประโยชนต์ า่ งๆ (Accepting benefits) ซง่ึ ผลประโยชนต์ า่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ทรพั ย์สิน ของขวญั การลดราคา การรับความบันเทงิ การรบั บรกิ าร การรับการฝึกอบรม หรือสิง่ อื่นใด ในลกั ษณะเดียวกนั น้ี และผลจากการรบั ผลประโยชน์ต่าง ๆ นน้ั ได้ส่งผลต่อการตัดสนิ ใจของเจ้าหน้าที่ ของรัฐในการด�ำ เนินการตามอำ�นาจหน้าท่ี ๒) การทำ�ธรุ กิจกับตนเอง (Self - dealing) หรือเปน็ คู่สัญญา (Contracts) เปน็ การท่ี เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั โดยเฉพาะผมู้ อี �ำ นาจในการตดั สนิ ใจเขา้ ไปมสี ว่ นไดเ้ สยี ในสญั ญาทท่ี �ำ กบั หนว่ ยงานทตี่ น สงั กดั โดยอาจจะเปน็ เจา้ ของบรษิ ทั ทท่ี �ำ สญั ญาเอง หรอื เปน็ ของเครอื ญาติ สถานการณเ์ ชน่ นเ้ี กดิ บทบาท ทขี่ ัดแย้ง หรือเรียกได้วา่ เป็นทง้ั ผู้ซือ้ และผู้ขายในเวลาเดยี วกนั ๓) การทำ�งานหลังจากออกจากตำ�แหน่งหน้าที่สาธารณะหรือหลังเกษียณ (Post - employment) เปน็ การทีเ่ จา้ หน้าท่ีของรฐั ลาออกจากหนว่ ยงานของรัฐ และไปทำ�งานในบรษิ ทั เอกชน ทด่ี �ำ เนนิ ธุรกิจประเภทเดียวกนั หรอื บริษัทท่มี ีความเกย่ี วขอ้ งกบั หน่วยงานเดมิ โดยใชอ้ ิทธิพลหรอื ความสมั พนั ธจ์ ากทเ่ี คยด�ำ รงต�ำ แหนง่ ในหนว่ ยงานเดมิ นน้ั หาประโยชนจ์ ากหนว่ ยงานใหก้ บั บรษิ ทั และตนเอง ๔) การท�ำ งานพิเศษ (Outside employment or Moonlighting) ในรูปแบบนมี้ ีได้ หลายลกั ษณะ ไมว่ า่ จะเปน็ การทเี่ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ตง้ั บรษิ ทั ด�ำ เนนิ ธรุ กจิ ทเ่ี ปน็ การแขง่ ขนั กบั หนว่ ยงานหรอื องค์การสาธารณะทต่ี นสังกัด หรือการรับจ้างพิเศษเป็นทีป่ รึกษาโครงการ โดยอาศัยต�ำ แหน่งในราชการ สรา้ งความนา่ เชอ่ื ถอื วา่ โครงการของผวู้ า่ จา้ งจะไมม่ ปี ญั หาตดิ ขดั ในการพจิ ารณาจากหนว่ ยงานทที่ ปี่ รกึ ษา สงั กดั อยู่ ๕) การรขู้ อ้ มูลภายใน (Inside information) เปน็ สถานการณ์ทเ่ี จ้าหน้าทีข่ องรัฐ ใชป้ ระโยชนจ์ ากการทตี่ นเองรบั รขู้ อ้ มลู ภายในหนว่ ยงาน และน�ำ ขอ้ มลู นน้ั ไปหาผลประโยชนใ์ หก้ บั ตนเอง หรอื พวกพอ้ ง อาจจะไปหาประโยชน์โดยการขายข้อมลู หรอื เขา้ เอาประโยชน์เสยี เอง ๖) การใชท้ รพั ยส์ นิ ของราชการเพอื่ ประโยชนธ์ รุ กจิ สว่ นตวั (Using your employer’s property for private advantage) เปน็ การทเี่ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั น�ำ เอาทรพั ยส์ นิ ของราชการซง่ึ จะตอ้ ง ใช้เพ่ือประโยชน์ของทางราชการเท่าน้ันไปใช้เพ่ือประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้อง หรือการใช้ให้ผู้ใต้ บังคับบญั ชาไปท�ำ งานสว่ นตวั ๗) การน�ำ โครงการสาธารณะลงในเขตเลอื กตงั้ เพอื่ ประโยชนท์ างการเมอื ง (Pork - bar- reling) เป็นการทีผ่ ้ดู �ำ รงตำ�แหน่งทางการเมอื งหรอื ผู้บริหารระดับสูงอนมุ ตั โิ ครงการไปลงพน้ื ทห่ี รือ บา้ นเกิดของตนเอง หรือการใช้งบประมาณสาธารณะเพอื่ หาเสียง ท้ังน้ี เม่ือพิจารณา “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเก่ียวกับการขัดกันระหว่าง ประโยชนส์ ่วนตนกับประโยชนส์ ่วนรวม พ.ศ. ....” ทำ�ใหม้ ีรูปแบบเพม่ิ เตมิ จาก ทีก่ ล่าวมาแล้วขา้ งตน้ อกี ๒ กรณี คอื ๘) การใช้ตำ�แหน่งหน้าท่ีแสวงหาประโยชน์แก่เครือญาติหรือพวกพ้อง (Nepotism) หรอื อาจจะเรียกว่าระบบอุปถัมภพ์ เิ ศษ เปน็ การทเี่ จา้ หนา้ ทขี่ องรัฐ ใชอ้ ทิ ธพิ ลหรือใช้อำ�นาจหนา้ ทีท่ �ำ ให้ หน่วยงานของตนเขา้ ทำ�สัญญากบั บรษิ ัทของพ่นี ้องของตน 52 หลกั สูตรโค้ชเพอ่ื การรคู้ ิดต้านทุจริต
๙) การใช้อทิ ธิพลเข้าไปมผี ลตอ่ การตัดสนิ ใจของเจา้ หนา้ ท่รี ฐั หรือหน่วยงานของรัฐอ่ืน (Influence) เพอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ กต่ นเองหรอื พวกพอ้ ง โดยเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ใชต้ �ำ แหนง่ หนา้ ทข่ี ม่ ขผู่ ใู้ ต้ บังคับบัญชาให้หยุดท�ำ การตรวจสอบบริษัทของเครือญาตขิ องตน ตัวอย่างการขดั กันระหวา่ งประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวมในรูปแบบต่าง ๆ ๑. การรับผลประโยชนต์ ่าง ๆ ๑.๑ นายสจุ รติ ขา้ ราชการชน้ั ผใู้ หญ่ ไดเ้ ดนิ ทางไปปฏบิ ตั ริ าชการในพนื้ ทจี่ งั หวดั ราชบรุ ี ซึง่ ในวันดังกล่าว นายรวย นายก อบต. แห่งหนง่ึ ได้มอบงาชา้ งจำ�นวนหนงึ่ ค่ใู ห้แก่ นายสุจริต เพือ่ เปน็ ของท่ีระลึก ๑.๒ การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐรับของขวัญจากผู้บริหารของบริษัทเอกชน เพื่อช่วยให้ บรษิ ัทเอกชนรายนัน้ ชนะการประมลู รบั งานโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ ๑.๓ การทบี่ รษิ ทั แหง่ หนงึ่ ใหข้ องขวญั เปน็ ทองค�ำ มลู คา่ มากกวา่ ๑๐ บาท แกเ่ จา้ หนา้ ท่ี ในปีทผ่ี า่ นมา และปนี ี้เจ้าหนา้ ท่เี ร่งรัดคืนภาษใี ห้กบั บริษัทนนั้ เป็นกรณีพิเศษ โดยลดั คิวใหก้ อ่ นบริษัทอน่ื ๆ เพราะคาดวา่ จะได้รบั ของขวัญอกี ๑.๔ การท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเป็นคณะกรรมการของบริษัทเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจ และได้รับความบันเทิงในรปู แบบตา่ ง ๆ จากบรษิ ัทเหลา่ นน้ั ซึง่ มีผลต่อการใหค้ �ำ วินิจฉัยหรอื ขอ้ เสนอ แนะ ที่เป็นธรรมหรอื เป็นไปในลกั ษณะทีเ่ อ้ือประโยชน์ ตอ่ บริษัทผู้ให้น้ัน ๆ ๑.๕ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ไดร้ บั ชดุ ไมก้ อลฟ์ จากผบู้ รหิ ารของบรษิ ทั เอกชน เมอื่ ตอ้ งท�ำ งาน ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั บรษิ ทั เอกชนแหง่ นนั้ กช็ ว่ ยเหลอื ใหบ้ รษิ ทั นน้ั ไดร้ บั สมั ปทาน เนอื่ งจากรสู้ กึ วา่ ควรตอบแทน ทีเ่ คยไดร้ ับของขวัญมา ๒. การทำ�ธุรกจิ กับตนเองหรือเป็นคูส่ ญั ญา ๒.๑ การทเ่ี จา้ หนา้ ทใี่ นกระบวนการจดั ซอ้ื จดั จา้ งท�ำ สญั ญาใหห้ นว่ ยงานตน้ สงั กดั ซือ้ คอมพิวเตอร์สำ�นกั งานจากบริษทั ของครอบครัวตนเอง หรอื บริษัททตี่ นเองมีหุ้นส่วนอยู่ ๒.๒ ผบู้ รหิ ารหนว่ ยงานท�ำ สญั ญาเชา่ รถไปสมั มนาและดงู านกบั บรษิ ทั ซง่ึ เปน็ ของ เจา้ หนา้ ทห่ี รือบรษิ ทั ท่ีผูบ้ ริหารมหี นุ้ สว่ นอยู่ ๒.๓ ผู้บริหารของหน่วยงาน ทำ�สัญญาจ้างบริษัทท่ีภรรยาของตนเองเป็นเจ้าของมา เป็นทีป่ รึกษาของหน่วยงาน ๒.๔ ผบู้ รหิ ารของหนว่ ยงาน ท�ำ สญั ญาใหห้ นว่ ยงานจดั ซอ้ื ทดี่ นิ ของตนเองในการ สร้างสำ�นักงานแหง่ ใหม่ ๒.๕ ภรรยาอดตี นายกรฐั มนตรี ประมลู ซอื้ ทดี่ นิ ยา่ นถนนรชั ดาภเิ ษกใกลก้ บั ศนู ยว์ ฒั นธรรม แห่งประเทศไทย จากกองทุนเพ่ือการฟ้ืนฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการกำ�ดูแลของธนาคาร แห่งประเทศไทย กระทรวงการคลงั โดยอดีตนายกรฐั มนตรี ซ่ึงในขณะน้นั ด�ำ รงต�ำ แหน่งนายกรฐั มนตรี ในฐานะเจา้ พนกั งานมหี นา้ ทดี่ แู ลกจิ การของกองทนุ ฯ ไดล้ งนามยนิ ยอมในฐานะคสู่ มรสใหภ้ รรยาประมลู ซอื้ ทด่ี นิ และท�ำ สญั ญาซอ้ื ขายทดี่ นิ สง่ ผลใหเ้ ปน็ คสู่ ญั ญาหรอื มสี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในสญั ญาซอ้ื ทดี่ นิ โฉนดแปลง ดังกลา่ ว อันเป็นการขดั กนั ระหว่างประโยชน์สว่ นตนกบั ประโยชน์ส่วนรวม เปน็ การฝา่ ฝืนต่อกฎหมาย หลกั สตู รโค้ชเพอื่ การรคู้ ดิ ตา้ นทจุ รติ 53
๓. การทำ�งานหลังจากออกจากตำ�แหน่งหนา้ ทส่ี าธารณะหรือหลงั เกษียณ ๓.๑ อดีตผู้อ�ำ นวยการโรงพยาบาลแห่งหน่ึงเพ่ิงเกษียณอายรุ าชการไปทำ�งาน เปน็ ทป่ี รกึ ษาในบรษิ ทั ผลติ หรอื ขายยา โดยใชอ้ ทิ ธพิ ลจากทเ่ี คยด�ำ รงต�ำ แหนง่ ในโรงพยาบาลดงั กลา่ ว ให้โรงพยาบาลซ้ือยาจากบริษัทท่ีตนเองเป็นที่ปรึกษาอยู่ พฤติการณ์เช่นน้ีมีมูลความผิดท้ังทางวินัยและ ทางอาญาฐานเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำ�ให้ผู้อื่น เชือ่ ว่าตนมตี ำ�แหนง่ หรือหน้าที่ ทั้งท่ีตนมไิ ด้มีต�ำ แหน่งหรือหนา้ ทนี่ ั้น เพ่อื แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ โดยชอบดว้ ยกฎหมายส�ำ หรับตนเองหรือผู้อืน่ ๓.๒ การที่ผู้บริหารหรือเจ้าหน้าท่ีขององค์กรด้านเวชภัณฑ์และสุขภาพออกจาก ราชการไปท�ำ งานในบรษิ ทั ผลติ หรอื ขายยา ๓.๓ การทผี่ บู้ รหิ ารหรอื เจา้ หนา้ ทข่ี องหนว่ ยงานทเ่ี กษยี ณแลว้ ใชอ้ ทิ ธพิ ลทเ่ี คย ด�ำ รงต�ำ แหน่งในหน่วยงานรัฐ รับเป็นทป่ี รกึ ษาให้บริษัทเอกชนท่ตี นเคยติดตอ่ ประสานงาน โดยอา้ งว่า จะได้ติดต่อกับหนว่ ยงานรฐั ได้อยา่ งราบรืน่ ๓.๔ การวา่ จา้ งเจา้ หนา้ ทผ่ี เู้ กษยี ณมาท�ำ งานในต�ำ แหนง่ เดมิ ทห่ี นว่ ยงานเดมิ โดยไมค่ มุ้ คา่ กับภารกิจท่ีได้รับมอบหมาย ๔. การท�ำ งานพิเศษ ๔.๑ เจา้ หน้าทีต่ รวจสอบภาษี ๖ สำ�นักงานสรรพากรจงั หวดั ในสว่ นภมู ิภาค ไดจ้ ดั ตงั้ บริษัทรับจ้างทำ�บัญชีและให้คำ�ปรึกษาเก่ียวกับภาษีและมีผลประโยชน์เก่ียวข้องกับบริษัท โดยรับจ้าง ทำ�บัญชีและยื่นแบบแสดงรายการใหผ้ ู้เสียภาษีในเขตจงั หวดั ทีร่ บั ราชการอยแู่ ละจังหวัดใกลเ้ คยี ง กลบั มี พฤตกิ ารณช์ ่วยเหลือผู้เสยี ภาษใี ห้เสยี ภาษนี ้อยกว่าความเป็นจริง และรบั เงินคา่ ภาษีอากรจากผู้เสียภาษี บางรายแลว้ มไิ ด้นำ�ไปยนื่ แบบแสดงรายการชำ�ระภาษใี ห้ พฤตกิ ารณข์ องเจ้าหนา้ ท่ีดงั กลา่ ว เปน็ การ ไม่ปฏบิ ัติตามขอ้ บงั คบั กรมสรรพากรวา่ ดว้ ยจรรยาขา้ ราชการ กรมสรรพากร พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๙ (๗) (๘) และอาศยั ต�ำ แหนง่ หนา้ ทรี่ าชการของตน หาประโยชนใ์ หแ้ กต่ นเอง เปน็ ความผดิ วนิ ยั อยา่ งไมร่ า้ ยแรงตาม มาตรา ๘๓ (๓) แหง่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ อกี ทง้ั เปน็ การปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี ราชการโดยมชิ อบ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกท่ างราชการโดยรา้ ยแรง และปฏบิ ตั หิ นา้ ทรี่ าชการโดยทจุ รติ และยังกระทำ�การอนั ได้ชื่อว่าเปน็ ผ้ปู ระพฤติช่วั อยา่ งร้ายแรงเปน็ ความผิดวินยั อยา่ งรา้ ยแรง ตามมาตรา ๘๕ (๑) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติระเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๔.๒ นิติกร ฝ่ายกฎหมายและเร่งรดั ภาษอี ากรคา้ ง ส�ำ นกั งานสรรพากรจังหวัด ในสว่ นภมู ภิ าคหารายไดพ้ เิ ศษโดยการเปน็ ตวั แทนขายประกนั ชวี ติ ของบรษิ ทั เอกชน ไดอ้ าศยั โอกาส ทตี่ นปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ เรง่ รดั ภาษอี ากรคา้ งผปู้ ระกอบการรายหนงึ่ หาประโยชนใ์ หแ้ กต่ นเองดว้ ยการขาย ประกนั ชวี ติ ใหแ้ ก่หนุ้ สว่ นผจู้ ดั การของผปู้ ระกอบการดงั กลา่ ว รวมทง้ั พนกั งานของผปู้ ระกอบการนนั้ อกี หลายคน ในขณะทต่ี นก�ำ ลงั ด�ำ เนนิ การเรง่ รดั ภาษอี ากรคา้ ง พฤตกิ ารณข์ องเจา้ หนา้ ทดี่ งั กลา่ วเปน็ การอาศยั ต�ำ แหนง่ หนา้ ทร่ี าชการของตนหาประโยชนใ์ หแ้ กต่ นเอง เปน็ ความผดิ วนิ ยั อยา่ งไมร่ า้ ยแรง ตามมาตรา ๘๓ (๓) ประกอบมาตรา ๘๔ แห่งพระราชบญั ญตั ริ ะเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๔.๓ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอาศัยตำ�แหน่งหน้าท่ีทางราชการรับจ้างเป็นที่ปรึกษา โครงการ เพือ่ ให้บรษิ ัทเอกชนท่วี ่าจ้างนน้ั มีความน่าเชอ่ื ถือมากกวา่ บริษทั คู่แข่ง ๔.๔ การที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐไม่ทำ�งานท่ีได้รับมอบหมายจากหน่วยงานอย่างเต็มที่ แต่เอาเวลาไปรบั งานพิเศษอนื่ ๆ ทอ่ี ยู่นอกเหนืออ�ำ นาจหนา้ ท่ีที่ได้รบั มอบหมายจากหนว่ ยงาน 54 หลกั สูตรโคช้ เพ่อื การรคู้ ดิ ตา้ นทจุ รติ
๔.๕ การท่ีผู้ตรวจสอบบัญชีภาครัฐรับงานพิเศษเป็นท่ีปรึกษา หรือเป็นผู้ทำ�บัญชีให้ กบั บริษทั ท่ตี ้องถกู ตรวจสอบ ๕. การรู้ขอ้ มูลภายใน ๕.๑ นายชา่ ง ๕ แผนกชมุ สายโทรศพั ทเ์ คลอื่ นท่ี องคก์ ารโทรศพั ทแ์ หง่ ประเทศไทย ได้น�ำ ข้อมลู เลขหมายโทรศพั ทเ์ คล่ือนที่ระบบ ๔๗๐ MHZ และระบบปลดล็อคไปขายให้แกผ่ อู้ น่ื จำ�นวน ๔๐ หมายเลข เพอื่ น�ำ ไปปรบั จนู เขา้ กบั โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทที่ น่ี �ำ ไปใชร้ บั จา้ งใหบ้ รกิ ารโทรศพั ทแ์ กบ่ คุ คลทว่ั ไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. มมี ติชมี้ ูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๗ และ มาตรา ๑๖๔ และมีความผิดวินัยตามข้อบังคับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ. ๒๕๓๖ ขอ้ ๔๔ และ ๔๖ ๕.๒ การทเ่ี จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ทราบขอ้ มลู โครงการตดั ถนนเขา้ หมบู่ า้ น จงึ บอกใหญ้ าติ พี่นอ้ งไปซ้อื ทดี่ ินบรเิ วณโครงการดงั กล่าว เพอื่ ขายให้กับราชการในราคาท่ีสูงขึน้ ๕.๓ การที่เจ้าหน้าท่ีหน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงข่ายโทรคมนาคมทราบมาตรฐาน (Spec) วัสดุอปุ กรณ์ทจ่ี ะใชใ้ นการวางโครงข่ายโทรคมนาคม แล้วแจ้งขอ้ มูลใหก้ ับบริษทั เอกชนทีต่ นร้จู กั เพ่ือให้ได้เปรียบในการประมลู ๕.๔ เจ้าหน้าที่พัสดุของหน่วยงานเปิดเผยหรือขายข้อมูลที่สำ�คัญของฝ่ายท่ีมายื่น ประมลู ไวก้ อ่ นหนา้ ใหแ้ กผ่ ปู้ ระมลู รายอน่ื ทใ่ี หผ้ ลประโยชน์ ท�ำ ใหฝ้ า่ ยทมี่ ายน่ื ประมลู ไวก้ อ่ นหนา้ เสยี เปรยี บ ๖. การใช้ทรพั ยส์ นิ ของราชการเพอื่ ประโยชน์ส่วนตน ๖.๑ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ ใช้อำ�นาจหน้าท่ีโดยทุจริต ด้วยการส่ังให้เจ้าหน้าท่ี น�ำ เกา้ อพ้ี รอ้ มผา้ ปลอกคมุ เกา้ อี้ เครอื่ งถา่ ยวดิ โี อ เครอ่ื งเลน่ วดิ โี อ กลอ้ งถา่ ยรปู และผา้ เตน็ ท์ น�ำ ไปใชใ้ นงาน มงคลสมรสของบตุ รสาว รวมทงั้ รถยนต์ รถตสู้ ว่ นกลาง เพอื่ ใชร้ บั สง่ เจา้ หนา้ ทเ่ี ขา้ รว่ มพธิ ี และขนยา้ ยอปุ กรณ์ ท้ังที่บ้านพักและ งานฉลองมงคลสมรสที่โรงแรม ซงึ่ ล้วนเป็นทรัพยส์ ินของทางราชการ การกระท�ำ ของจ�ำ เลยนบั เปน็ การใชอ้ �ำ นาจโดยทจุ รติ เพอ่ื ประโยชนส์ ว่ นตนอนั เปน็ การเสยี หายแกร่ ฐั คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ช้ีมูลความผิดวินัยและอาญา ต่อมาเรื่องเข้าสู่กระบวนการในช้ันศาล ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐาน โจทก์แล้วเห็นว่าการกระทำ�ของจำ�เลย เป็นการทุจริตต่อตำ�แหน่งหน้าที่ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ ซื้อทำ�จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำ�นาจในตำ�แหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐและเป็น เจา้ พนกั งานปฏบิ ตั หิ นา้ ทโี่ ดยมชิ อบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑และ๑๕๗จงึ พพิ ากษาใหจ้ �ำ คกุ ๕ ปีและปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท คำ�ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษ ให้กึ่งหนง่ึ คงจ�ำ คกุ จ�ำ เลยไว้ ๒ ปี ๖ เดอื นและปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท ๖.๒ การทเี่ จา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ผมู้ หี นา้ ทข่ี บั รถยนตข์ องสว่ นราชการ น�ำ นา้ํ มนั ในรถยนต์ ไปขาย และน�ำ เงินมาไวใ้ ชจ้ ่ายส่วนตัว ทำ�ให้ส่วนราชการต้องเสียงบประมาณ เพอ่ื ซ้อื นํา้ มันรถมากกว่า ทคี่ วรจะเปน็ พฤตกิ รรมดงั กลา่ วถอื เปน็ การทจุ รติ เปน็ การเบยี ดบงั ผลประโยชนข์ องสว่ นรวมเพอื่ ประโยชน์ ของตนเอง และมคี วามผดิ ฐานลกั ทรัพยต์ ามประมวลกฎหมายอาญา ๖.๓ การทเี่ จา้ หนา้ ทร่ี ฐั ผมู้ อี �ำ นาจอนมุ ตั ใิ หใ้ ชร้ ถราชการหรอื การเบกิ จา่ ย คา่ นา้ํ มนั เชอื้ เพลงิ น�ำ รถยนตข์ องสว่ นราชการไปใช้ในกจิ ธรุ ะสว่ นตวั ๖.๔ การทเี่ จา้ หนา้ ทร่ี ฐั น�ำ วสั ดคุ รภุ ณั ฑข์ องหนว่ ยงานมาใชท้ บ่ี า้ น หรอื ใชโ้ ทรศพั ทข์ อง หน่วยงานติดต่อธุระสว่ นตน หรอื น�ำ รถสว่ นตนมาลา้ งท่หี นว่ ยงาน หลักสูตรโคช้ เพ่ือการรูค้ ดิ ต้านทจุ ริต 55
๗. การนำ�โครงการสาธารณะลงในเขตเลือกตง้ั เพอ่ื ประโยชนใ์ นทางการเมือง ๗.๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำ�บลแห่งหนึ่งร่วมกับพวก แก้ไขเปล่ียนแปลงราย ละเอียดโครงการปรับปรุงและซอ่ มแซมถนนคนเดินใหม่ ในตำ�บลทีต่ นมฐี านเสียงโดยไม่ผา่ นความเห็นชอบ จากสภาฯ และตรวจรบั งานท้งั ท่ไี ม่ถกู ต้องตามแบบรูปรายการทีก่ �ำ หนด รวมทง้ั เมอ่ื ด�ำ เนินการแล้วเสร็จ ได้ติดป้ายช่ือของตนและพวก การกระทำ�ดังกล่าวมีมูลเป็นการกระทำ�การฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย หรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำ�นาจหน้าท่ี มีมูล ความผิดท้งั ทางวินัยอยา่ งร้ายแรงและทางอาญา คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้มีอำ�นาจแต่งตง้ั ถอดถอน และสำ�นกั งานคณะกรรมการการเลือกตัง้ ทราบ ๗.๒ การทน่ี ักการเมอื งในจงั หวดั ขอเพ่ิมงบประมาณเพือ่ นำ�โครงการตัดถนน สร้างสะพานลงในจังหวัด โดยใช้ช่อื หรอื นามสกุลของตนเองเป็นช่ือสะพาน ๗.๓ การท่รี ัฐมนตรีอนุมัตโิ ครงการไปลงในพ้นื ทีห่ รือบา้ นเกดิ ของตนเอง ๘. การใช้ตำ�แหนง่ หน้าทีแ่ สวงหาประโยชนแ์ กเ่ ครอื ญาติ พนกั งานสอบสวนละเวน้ ไมน่ �ำ บนั ทกึ การจบั กมุ ทเ่ี จา้ หนา้ ทตี่ �ำ รวจชดุ จบั กมุ ท�ำ ขนึ้ ในวนั เกดิ เหตุ รวมเขา้ ส�ำ นวน แตก่ ลบั เปลยี่ นบันทึกและแก้ไขข้อหาในบันทึกการจบั กมุ เพ่ือช่วยเหลอื ผู้ตอ้ งหาซึง่ เป็น ญาตขิ องตนใหร้ ับโทษนอ้ ยลง คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแลว้ มมี ลู ความผิดทางอาญาและทางวนิ ยั อยา่ งร้ายแรง ๙. การใชอ้ ิทธิพลเขา้ ไปมีผลตอ่ การตดั สินใจของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั หรือหนว่ ยงานของรฐั อืน่ ๙.๑ เจา้ หน้าที่ของรฐั ใชต้ ำ�แหน่งหนา้ ทีใ่ นฐานะผู้บริหาร เขา้ แทรกแซงการปฏิบัติงาน ของเจา้ หนา้ ท่ี ให้ปฏิบตั หิ น้าท่โี ดยมิชอบดว้ ยระเบียบ และกฎหมายหรือฝา่ ฝนื จริยธรรม ๙.๒ นายเอ เปน็ หวั หนา้ สว่ นราชการแหง่ หนงึ่ ในจงั หวดั รจู้ กั สนทิ สนมกบั นายบี หวั หนา้ สว่ นราชการอกี แห่งหนึ่งในจงั หวัดเดียวกัน นายเอ จงึ ใชค้ วามสมั พนั ธส์ ว่ นตัวฝากลกู ชาย คอื นายซี เข้า รบั ราชการภายใตส้ งั กัดของนายบี ๑๐. การขดั กันแหง่ ผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ประโยชน์ส่วนรวมประเภทอนื่ ๆ ๑๐.๑ การเดินทางไปราชการต่างจังหวัดโดยไม่คำ�นึงถึงจำ�นวนคน จำ�นวนงาน และ จำ�นวนวนั อย่างเหมาะสม อาทิ เดินทางไปราชการจ�ำ นวน ๑๐ วัน แต่ใช้เวลาในการทำ�งานจรงิ เพียง ๖ วนั โดยอกี ๔ วนั เปน็ การเดินทางท่องเท่ยี วในสถานท่ีต่างๆ ๑๐.๒ เจา้ หนา้ ท่ีผ้ปู ฏิบัตไิ ม่ใช้เวลาในราชการปฏบิ ัติงานอยา่ งเตม็ ท่ี เนือ่ งจากตอ้ งการ ปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ เพราะสามารถเบิกเงินงบประมาณค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลา ราชการได้ ๑๐.๓ เจ้าหน้าท่ีของรัฐลงเวลาปฏิบตั งิ านนอกเวลาราชการ โดยมไิ ดอ้ ยปู่ ฏิบตั งิ าน ในช่วงเวลานั้นอยา่ งแทจ้ ริง แตก่ ลับใชเ้ วลาดังกล่าวปฏิบตั กิ ิจธุระส่วนตวั ๓. กฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับการขดั กันระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๒๖ นอกจากเจา้ พนักงานของรัฐทีร่ ัฐธรรมนญู กําหนดไวเ้ ป็นการเฉพาะแลว้ หา้ ม มิใหก้ รรมการ ผดู้ ํารงตําแหน่งในองค์กรอสิ ระ และเจ้าพนักงานของรฐั ทคี่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกาศ กําหนด ดําเนนิ กิจการดงั ตอ่ ไปน้ี 56 หลักสตู รโคช้ เพอ่ื การรู้คดิ ตา้ นทจุ ริต
(๑) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทํากับหน่วยงานของรัฐท่ีเจ้าพนักงานของรัฐ ผู้น้ันปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะท่ีเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ซ่ึงมีอํานาจไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการกํากับ ดแู ล ควบคุม ตรวจสอบหรอื ดําเนินคดี (๒) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทท่ีเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของ รฐั ทเ่ี จา้ พนกั งานของรฐั ผนู้ นั้ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทใี่ นฐานะทเ่ี ปน็ เจา้ พนกั งานของรฐั ซงึ่ มอี ํานาจไมว่ า่ โดยตรงหรอื โดยออ้ มในการกํากับ ดูแล ควบคมุ ตรวจสอบหรือดําเนนิ คดี เว้นแตจ่ ะเปน็ ผ้ถู ือหุน้ ในบรษิ ทั จํากัดหรอื บรษิ ัทมหาชนจํากัดไม่เกนิ จํานวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด (๓) รบั สมั ปทานหรอื คงถอื ไวซ้ งึ่ สมั ปทานจากรฐั หนว่ ยราชการ หนว่ ยงานของรฐั รฐั วสิ าหกจิ หรอื ราชการสว่ นท้องถนิ่ หรือเข้าเปน็ คสู่ ญั ญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรฐั รฐั วิสาหกิจ หรอื ราชการส่วนท้องถิ่น อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานของรัฐซ่ึง มอี ํานาจ ไมว่ ่าโดยตรงหรอื โดยออ้ มในการกํากับ ดูแล ควบคมุ ตรวจสอบหรือดําเนนิ คดี เวน้ แตจ่ ะเปน็ ผูถ้ อื หนุ้ ในบรษิ ัทจํากดั หรอื บริษทั มหาชนจํากัดไม่เกินจํานวนทคี่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด (๔) เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ทีป่ รึกษา ตวั แทน พนกั งานหรอื ลกู จ้างใน ธรุ กจิ ของเอกชนซงึ่ อยูภ่ ายใตก้ ารกํากบั ดูแล ควบคมุ หรอื ตรวจสอบของหนว่ ยงานของรัฐทีเ่ จ้าพนกั งาน ของรฐั ผนู้ นั้ สงั กดั อยหู่ รอื ปฏบิ ตั หิ นา้ ทใ่ี นฐานะเปน็ เจา้ พนกั งานของรฐั ซง่ึ โดยสภาพของผลประโยชนข์ อง ธรุ กจิ ของเอกชนนน้ั อาจขดั หรอื แยง้ ตอ่ ประโยชนส์ ว่ นรวมหรอื ประโยชนท์ างราชการหรอื กระทบตอ่ ความมอี สิ ระในการปฏิบัติหนา้ ทีข่ องเจา้ พนกั งานของรฐั ผูน้ น้ั ให้นําความในวรรคหนึ่ง มาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าพนักงานของรัฐตามวรรคหนึ่งด้วย โดยใหถ้ อื วา่ การดําเนนิ กจิ การของคสู่ มรสเปน็ การดําเนนิ กจิ การของเจา้ พนกั งานของรฐั เวน้ แตเ่ ปน็ กรณี ทค่ี ูส่ มรสนน้ั ดําเนนิ การอยกู่ ่อนทเี่ จ้าพนกั งานของรฐั จะเขา้ ดํารงตําแหน่ง คู่สมรสตามวรรคสองให้หมายความรวมถึงผู้ซ่ึงอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียน สมรสด้วย ทัง้ นี้ ตามหลกั เกณฑท์ ี่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด เจา้ พนกั งานของรฐั ทมี่ ีลักษณะตาม (๒) หรอื (๓) ตอ้ งดําเนินการไม่ให้มีลกั ษณะดังกลา่ ว ภายในสามสบิ วันนบั แตว่ ันทเี่ ขา้ ดํารงตําแหน่ง มาตรา ๑๒๗ ห้ามมใิ ห้กรรมการ ผ้ดู ํารงตําแหนง่ ในองค์กรอิสระ ผู้ดํารงตําแหนง่ ระดับสูง และผู้ดํารงตําแหนง่ ทางการเมืองทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด ดําเนินการใดตามมาตรา ๑๒๖ (๔) ภายในสองปีนับแต่วนั ทพ่ี ้นจากตําแหนง่ มาตรา ๑๒๘ ห้ามมใิ หเ้ จ้าพนักงานของรัฐผใู้ ดรับทรพั ย์สนิ หรือประโยชนอ์ ืน่ ใดอันอาจคํา นวณ เปน็ เงนิ ไดจ้ ากผใู้ ด นอกเหนอื จากทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ นั ควรไดต้ ามกฎหมาย กฎ หรอื ขอ้ บงั คบั ทอ่ี อกโดยอาศยั อํานาจตามบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมาย เวน้ แตก่ ารรบั ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ นื่ ใด โดยธรรมจรรยาตามหลกั เกณฑแ์ ละจํานวนทคี่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุพการี ผู้สืบ สันดาน หรือญาตทิ ่ใี หต้ ามประเพณี หรอื ตามธรรมจรรยาตามฐานานรุ ปู บทบญั ญตั ิในวรรคหนง่ึ ใหใ้ ชบ้ ังคับกับการรบั ทรพั ย์สนิ หรือประโยชน์อน่ื ใดของผ้ซู งึ่ พน้ จาก การเปน็ เจา้ พนกั งานของรฐั มาแล้วยงั ไม่ถงึ สองปีด้วยโดยอนุโลม มาตรา ๑๒๙ การกระทําอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติในหมวดน้ีให้ถือว่าเป็นการกระทํา ความผดิ ต่อตําแหน่งหน้าท่ีราชการหรอื ความผดิ ต่อตําแหนง่ หนา้ ทีใ่ นการยุตธิ รรม หลกั สูตรโค้ชเพือ่ การร้คู ิดตา้ นทุจริต 57
ประกาศคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ เร่อื ง หลกั เกณฑก์ ารรบั ทรพั ย์สนิ หรือประโยชน์อนื่ ใดโดยธรรมจรรยาของเจา้ หน้าท่ขี องรฐั พ.ศ. ๒๕๔๓ อาศัยอ�ำ นาจตามความในมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วย การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ จงึ ก�ำ หนดหลกั เกณฑแ์ ละจ�ำ นวนทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ นื่ ใดทเี่ จา้ หนา้ ทขี่ องรฐั จะรบั จากบคุ คลไดโ้ ดย ธรรมจรรยาไว้ ดงั น้ี ขอ้ ๓ ในประกาศน้ี “การรบั ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ นื่ ใดโดยธรรมจรรยา” หมายความวา่ การรบั ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชน์อ่ืนใดจากญาติหรือจากบุคคลท่ีให้กันในโอกาสต่างๆ โดยปกติตามขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือวัฒนธรรม หรอื ให้กันตามมารยาทที่ปฏบิ ัตกิ ันในสงั คม “ญาต”ิ หมายความวา่ ผู้บุพการี ผสู้ ืบสันดาน พน่ี อ้ งรว่ มบิดามารดาหรือ รว่ มบดิ าหรือมารดา เดยี วกนั ลงุ ป้า น้า อา คสู่ มรส ผ้บู พุ การีหรือผสู้ ืบสันดานของคูส่ มรส บตุ รบุญธรรมหรอื ผ้รู ับบุตรบุญธรรม “ประโยชนอ์ นื่ ใด” หมายความวา่ สง่ิ ทมี่ ูลค่า ได้แก่ การลดราคา การรบั ความบนั เทิง การรบั บรกิ าร การรบั การฝกึ อบรม หรอื ส่งิ อ่นื ใดในลักษณะเดียวกัน ข้อ ๔ หา้ มมิใหเ้ จ้าหนา้ ทีข่ องรัฐผใู้ ด รบั ทรัพยส์ ินหรือประโยชน์อ่ืนใด จากบคุ คลนอกเหนือ จากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับ ที่ออกโดยอาศัยอำ�นาจตาม บทบัญญตั ิแห่งกฎหมาย เวน้ แตก่ ารรบั ทรัพยส์ ินหรือประโยชน์อนื่ ใดโดยธรรมจรรยาตามท่ีกำ�หนดไว้ใน ประกาศนี้ ขอ้ ๕ เจา้ หน้าทขี่ องรัฐจะรับทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชนอ์ น่ื ใดโดยธรรมจรรยาได้ ดงั ต่อไปนี้ (๑) รับทรัพย์สนิ หรอื ประโยชนอ์ ่ืนใดจากญาตซิ ง่ึ ใหโ้ ดยเสนห่ าตามจำ�นวนท่เี หมาะสม ตามฐานานรุ ูป (๒) รบั ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ นื่ ใดจากบคุ คลอน่ื ซง่ึ มใิ ชญ่ าตมิ รี าคาหรอื มลู คา่ ในการ รับจากแตล่ ะบุคคล แต่ละโอกาสไมเ่ กนิ สามพันบาท (๓) รับทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ น่ื ใดทกี่ ารใหน้ ้ันเปน็ การให้ในลักษณะใหก้ บั บุคคลท่ัวไป ข้อ ๖ การรับทรัพย์สินหรือประโยชนอ์ น่ื ใดจากต่างประเทศ ซง่ึ ผ้ใู ห้มไิ ดร้ ะบุให้เป็นของ ส่วนตัวหรอื มีราคาหรือมูลค่าเกินกวา่ สามพนั บาท ไมว่ ่าจะระบุเปน็ ของส่วนตัวหรือไม่ แตม่ ีเหตผุ ล ความจ�ำ เปน็ ท่ีจะตอ้ งรบั ไวเ้ พ่อื รักษาไมตรี มติ รภาพ หรอื ความสัมพนั ธ์อันดีระหว่างบุคคล ใหเ้ จ้าหนา้ ที่ ของรัฐผู้นั้นรายงานรายละเอียดข้อเท็จจริงเก่ียวกับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ดังกล่าวให้ผู้บังคับ บัญชาทราบโดยเร็ว หากผู้บังคับบัญชาเห็นว่าไม่มีเหตุท่ีจะอนุญาตให้เจ้าหน้าท่ีผู้นั้นยึดถือทรัพย์สิน หรือประโยชนด์ ังกลา่ วนนั้ ไวเ้ ปน็ ประโยชนส์ ว่ นตน ใหเ้ จ้าหนา้ ที่ของรฐั ผู้น้นั สง่ มอบทรพั ย์สินให้ หนว่ ยงานของรฐั ที่เจ้าหนา้ ทีข่ องรฐั ผู้นั้นสังกดั ทนั ที ข้อ ๗ การรบั ทรพั ยส์ ินหรอื ประโยชน์อน่ื ใดทไี่ ม่เป็นไปตามหลกั เกณฑ์ หรอื มีราคาหรอื มมี ลู คา่ มากกวา่ ทก่ี �ำ หนดไวใ้ นขอ้ ๕ ซงึ่ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ไดร้ บั มาแลว้ โดยมคี วามจ�ำ เปน็ อยา่ งยงิ่ ทตี่ อ้ งรบั ไว้ เพอ่ื รกั ษาไมตรี มติ รภาพ หรอื ความสมั พนั ธอ์ นั ดรี ะหวา่ งบคุ คล เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ผนู้ น้ั ตอ้ งแจง้ รายละเอยี ด ข้อเท็จจรงิ เกย่ี วกบั การรับทรัพยส์ นิ หรือประโยชน์นน้ั ตอ่ ผ้บู งั คับบญั ชา ซงึ่ เปน็ หวั หนา้ สว่ นราชการ ผ้บู รหิ ารสงู สดุ ของรฐั วสิ าหกิจ หรือผบู้ ริหารสูงสุดของหน่วยงาน สถาบัน หรือองค์กรทเ่ี จ้าหนา้ ที่ของรัฐ ผู้นั้นสังกัด โดยทันทีท่ีสามารถกระทำ�ได้ เพื่อให้วินิจฉัยว่ามีเหตุผลความจำ�เป็น ความเหมาะสม และ สมควรท่ีจะใหเ้ จ้าหนา้ ทีข่ องรฐั ผู้นัน้ รับทรพั ย์สนิ หรือประโยชน์นนั้ ไว้เป็นสทิ ธขิ องตนหรอื ไม่ 58 หลักสตู รโคช้ เพ่อื การรคู้ ิดต้านทุจรติ
ในกรณที ผี่ บู้ งั คบั บญั ชาหรอื ผบู้ รหิ ารสงู สดุ ของรฐั วสิ าหกจิ หนว่ ยงานหรอื สถาบนั หรอื องคก์ ร ทเี่ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ผนู้ น้ั สงั กดั มคี �ำ สงั่ วา่ ไมส่ มควรรบั ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนด์ งั กลา่ ว กใ็ หค้ นื ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนน์ น้ั แกผ่ ใู้ หโ้ ดยทนั ที ในกรณที ไี่ มส่ ามารถคนื ใหไ้ ด้ ใหเ้ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ผนู้ น้ั สง่ มอบทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนด์ งั กล่าวใหเ้ ปน็ สิทธขิ องหน่วยงานท่ีเจา้ หนา้ ทีข่ องรฐั ผู้นัน้ สังกดั โดยเร็ว เม่ือได้ดำ�เนินการตามความในวรรคสองแล้ว ให้ถือว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น ไม่เคยได้รับ ทรัพยส์ นิ หรือประโยชนด์ ังกลา่ วเลย ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ได้รับทรัพย์สินไว้ตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ดำ�รงตำ�แหน่งผู้บังคับ บัญชา ซ่ึงเป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า หรือเป็นกรรมการหรือผู้บริหารสูงสุด ของรฐั วสิ าหกจิ หรอื เปน็ กรรมการหรอื ผบู้ รหิ ารสงู สดุ ของหนว่ ยงานของรฐั ใหแ้ จง้ รายละเอยี ดขอ้ เทจ็ จรงิ เกย่ี วกบั การรับทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชน์น้นั ตอ่ ผมู้ ีอำ�นาจแต่งตั้งถอดถอน ส่วนผู้ท่ดี ำ�รงตำ�แหน่งประธาน กรรมการและกรรมการในองคก์ รอสิ ระตามรฐั ธรรมนญู หรอื ผดู้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ทไี่ มม่ ผี บู้ งั คบั บญั ชาทมี่ อี �ำ นาจ ถอดถอนให้แจง้ ตอ่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทงั้ นี้ เพอ่ื ด�ำ เนนิ การตามความในวรรคหนงึ่ และวรรคสอง ในกรณที เ่ี จา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ผไู้ ดร้ บั ทรพั ยส์ นิ ตามวรรคหนงึ่ เปน็ ผดู้ �ำ รงต�ำ แหนง่ สมาชกิ สภา ผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวฒุ ิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น ใหแ้ จง้ รายละเอยี ดข้อเท็จจรงิ เก่ียวกับการ รบั ทรัพยส์ ินหรอื ประโยชน์เท่านั้นต่อประธาน สภาผแู้ ทนราษฎร ประธานวฒุ สิ ภา หรือประธานสภา ท้องถิน่ ทเี่ จ้าหน้าทข่ี องรัฐผู้น้ัน เปน็ สมาชิก แล้วแตก่ รณี เพอ่ื ด�ำ เนนิ การตามวรรคหนึง่ และวรรคสอง ข้อ ๘ หลักเกณฑ์การรับทรพั ย์สินหรอื ประโยชน์อนื่ ใดของเจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐ ตามประกาศ ฉบับนีใ้ ห้ใชบ้ ังคับแกผ่ ้ซู ่ึงพน้ จากการเป็นเจ้าหน้าท่ขี องรฐั มาแลว้ ไม่ถงึ สองปีด้วย ระเบยี บส�ำ นกั นายกรัฐมนตรวี ่าดว้ ยการให้หรอื รบั ของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรฐั พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยทผ่ี า่ นมาคณะรฐั มนตรไี ดเ้ คยมมี ตคิ ณะรฐั มนตรเี กยี่ วกบั แนวทางปฏบิ ตั ใิ นการใหข้ องขวญั และรบั ของขวญั ของเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ไวห้ ลายครงั้ เพอื่ เปน็ การเสรมิ สรา้ งคา่ นยิ มใหเ้ กดิ การประหยดั มใิ ห้ มกี ารเบียดเบียนข้าราชการโดยไม่จ�ำ เป็นและสร้างทศั นคตทิ ่ีไม่ถกู ต้อง เนื่องจากมกี ารแข่งขันกันใหข้ อง ขวัญในราคาแพง ท้ังยังเป็นช่องทางให้เกิดการประพฤติมิชอบอื่น ๆ ในวงราชการอีกด้วย และในการ ก�ำ หนดจรรยาบรรณของเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ประเภทตา่ ง ๆ กม็ กี ารก�ำ หนดในเรอ่ื งท�ำ นองเดยี วกนั ประกอบ กับคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติไดป้ ระกาศกำ�หนดหลกั เกณฑ์และจำ�นวนที่ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั จะรบั ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ น่ื ใดโดยธรรมจรรยาได้ ฉะนน้ั จงึ สมควรรวบรวมมาตรการ เหลา่ นนั้ และก�ำ หนดเปน็ หลกั เกณฑก์ ารปฏบิ ตั ขิ องเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ในการใหข้ องขวญั และรบั ของขวญั ไว้ เปน็ การถาวรมมี าตรฐานอยา่ งเดยี วกนั และมีความชัดเจนเพ่อื เสรมิ มาตรการของคณะกรรมการปอ้ งกัน และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาตใิ หเ้ ปน็ ผลอยา่ งจรงิ จงั ทงั้ นี้ เฉพาะในสว่ นทคี่ ณะกรรมการปอ้ งกนั และ ปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาตไิ มไ่ ด้ก�ำ หนดไว้ อาศยั อ�ำ นาจตามความในมาตรา ๑๑ (๘) แหง่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรฐั มนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จงึ วางระเบยี บไว้ดงั ต่อไปน้ี ขอ้ ๓ ในระเบยี บน้ี “ของขวัญ” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อ่ืนใดที่ให้แก่กัน เพ่ืออัธยาศัย ไมตรี และใหห้ มายความรวมถึงเงนิ ทรพั ยส์ นิ หรือประโยชน์อน่ื ใดทีใ่ หเ้ ป็นรางวลั ให้โดยเสนห่ าหรือเพอ่ื การสงเคราะห์ หรอื ใหเ้ ปน็ สนิ นำ้�ใจ การใหส้ ทิ ธิพเิ ศษซ่งึ มิใชเ่ ป็นสิทธทิ ่ีจัดไว้สำ�หรบั บุคคลทั่วไปในการไดร้ บั การลดราคาทรัพยส์ ินหรือการให้สิทธิพเิ ศษในการได้รบั บริการหรอื ความบันเทงิ ตลอดจนการออกค่าใช้ จา่ ยในการเดนิ ทางหรอื ทอ่ งเทย่ี ว คา่ ทพ่ี กั คา่ อาหาร หรอื สง่ิ อน่ื ใดในลกั ษณะเดยี วกนั และไมว่ า่ จะใหเ้ ปน็ บตั ร ตัว๋ หรือหลกั ฐานอ่นื ใด การช�ำ ระเงินให้ลว่ งหนา้ หรือการคนื เงินใหใ้ นภายหลงั หลักสูตรโคช้ เพ่ือการรู้คิดต้านทจุ ริต 59
“ปกตปิ ระเพณนี ยิ ม” หมายความวา่ เทศกาลหรอื วนั ส�ำ คญั ซง่ึ อาจมกี ารใหข้ องขวญั กนั และ ใหห้ มายความรวมถงึ โอกาสในการแสดงความยนิ ดี การแสดงความขอบคณุ การต้อนรับ การแสดง ความเสียใจ หรือการให้ความช่วยเหลอื ตามมารยาทที่ถือปฏบิ ตั กิ นั ในสังคมด้วย “ผู้บงั คบั บญั ชา” ใหห้ มายความรวมถงึ ผซู้ งึ่ ปฏบิ ตั หิ น้าท่ีหัวหนา้ หน่วยงาน ทแี่ บง่ เปน็ การ ภายในของหนว่ ยงานของรฐั และผซู้ งึ่ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ ในระดบั ทสี่ งู กวา่ และไดร้ บั มอบหมายใหม้ อี �ำ นาจบงั คบั บญั ชาหรือก�ำ กับดแู ลดว้ ย “บคุ คลในครอบครวั ” หมายความว่า คู่สมรส บตุ ร บดิ า มารดา พนี่ ้องรว่ มบดิ ามารดาหรือ ร่วมบดิ าหรอื มารดาเดียวกัน ข้อ ๔ ระเบียบนไี้ มใ่ ช้บังคับกับกรณีการรบั ทรัพยส์ ินหรือประโยชน์อ่นื ใดของเจา้ หน้าท่ี ของรัฐซึ่งอยภู่ ายใต้บงั คับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต ขอ้ ๕ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั จะใหข้ องขวญั แกผ่ บู้ งั คบั บญั ชาหรอื บคุ คลในครอบครวั ของผบู้ งั คบั บญั ชา นอกเหนอื จากกรณีปกติประเพณนี ยิ มทมี่ ีการให้ของขวญั แก่กนั มิได้ การให้ของขวญั ตามปกติประเพณีนยิ มตามวรรคหน่งึ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั จะให้ของขวญั ที่มีราคาหรือมูลค่าเกินจำ�นวนท่ีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำ�หนดไว้ ส�ำ หรบั การรบั ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ น่ื ใด โดยธรรมจรรยาของเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ตามกฎหมายประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ มิได้ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั จะท�ำ การเรยี่ ไรเงนิ หรอื ทรพั ยส์ นิ อนื่ ใดหรอื ใชเ้ งนิ สวสั ดกิ ารใด ๆ เพอื่ มอบให้ หรือจัดหาของขวญั ให้ผูบ้ ังคับบัญชาหรือบุคคลในครอบครวั ของผบู้ งั คบั บญั ชาไมว่ ่ากรณใี ด ๆ มไิ ด้ ข้อ ๖ ผู้บังคับบัญชาจะยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลในครอบครัวของตนรับของขวัญ จากเจ้าหนา้ ที่ของรฐั ซง่ึ เป็นผอู้ ย่ใู นบงั คบั บญั ชามิได้ เว้นแต่เป็นการรบั ของขวญั ตามข้อ ๕ ขอ้ ๗ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั จะยนิ ยอมหรอื รเู้ หน็ เปน็ ใจใหบ้ คุ คลในครอบครวั ของตนรบั ของขวญั จากผู้ท่เี ก่ียวขอ้ งในการปฏบิ ตั หิ น้าท่ีของเจ้าหน้าทข่ี องรฐั มิได้ ถา้ มิใชเ่ ป็นการรบั ของขวัญตามกรณี ทีก่ ำ�หนดไว้ใน ข้อ ๘ ผู้ท่ีเก่ียวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าท่ีของรัฐตามวรรคหน่ึง ได้แก่ ผู้มาติดต่องาน หรอื ผซู้ งึ่ ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการปฏบิ ัติงานของเจ้าหนา้ ท่ขี องรัฐ ในลักษณะดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ผซู้ ึง่ มีค�ำ ขอให้หนว่ ยงานของรัฐดำ�เนนิ การอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใด เชน่ การขอใบรบั รอง การขอให้ออกคำ�ส่งั ทางปกครอง หรือการรอ้ งเรยี น เปน็ ตน้ (๒) ผซู้ งึ่ ประกอบธรุ กจิ หรอื มสี ว่ นไดเ้ สยี ในธรุ กจิ ทท่ี �ำ กบั หนว่ ยงานของรฐั เชน่ การจดั ซอื้ จดั จา้ ง หรือการไดร้ บั สมั ปทาน เป็นต้น (๓) ผู้ซึ่งกำ�ลังดำ�เนินกิจกรรมใด ๆ ที่มีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ควบคุมหรือกำ�กับดูแล เชน่ การประกอบกิจการโรงงาน หรือธุรกจิ หลักทรพั ย์ เป็นตน้ (๔) ผซู้ ง่ึ อาจไดร้ บั ประโยชนห์ รอื ผลกระทบจากการปฏบิ ตั หิ นา้ ทห่ี รอื ละเวน้ การปฏบิ ตั ิ หนา้ ทข่ี องเจ้าหนา้ ท่ีของรฐั ขอ้ ๘ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั จะยนิ ยอมหรอื รเู้ หน็ เปน็ ใจใหบ้ คุ คลในครอบครวั ของตนรบั ของขวญั จากผู้ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เฉพาะกรณี การรับของขวัญท่ีให้ตามปกติ ประเพณีนิยม และของขวัญนั้นมีราคาหรือมูลค่าไม่เกินจำ�นวนท่ีคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติกำ�หนดไว้สำ�หรับการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าท่ี ของรฐั ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต 60 หลกั สตู รโค้ชเพื่อการรคู้ ิดต้านทจุ รติ
ข้อ ๙ ในกรณีที่บุคคลในครอบครัวของเจ้าหน้าท่ีของรัฐรับของขวัญแล้วเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทราบในภายหลงั วา่ เปน็ การรบั ของขวญั โดยฝา่ ฝนื ระเบยี บน้ี ใหเ้ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ปฏบิ ตั ติ ามหลกั เกณฑ์ ท่ีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำ�หนดไว้สำ�หรับการรับทรัพย์สิน หรือ ประโยชนอ์ น่ื ใดโดยธรรมจรรยาของเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ทม่ี รี าคาหรอื มลู คา่ เกนิ กวา่ ทกี่ �ำ หนดไว้ ตามกฎหมาย ประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต ขอ้ ๑๐ ในกรณที ีเ่ จา้ หนา้ ทีข่ องรฐั ผใู้ ดจงใจปฏบิ ตั ิเกยี่ วกบั การใหข้ องขวัญหรอื รับของขวญั โดยฝา่ ฝืนระเบยี บนี้ ใหด้ ำ�เนนิ การดงั ต่อไปน้ี (๑) ในกรณที เ่ี จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั เปน็ ขา้ ราชการการเมอื ง ใหถ้ อื วา่ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ผนู้ นั้ ประพฤติ ปฏบิ ตั ไิ มเ่ ปน็ ไปตามคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม และใหด้ �ำ เนนิ การตามระเบยี บทนี่ ายกรฐั มนตรกี �ำ หนดโดย ความเหน็ ชอบของคณะรัฐมนตรีวา่ ดว้ ยมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมของขา้ ราชการการเมอื ง (๒) ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นข้าราชการประเภทอื่นนอกจาก (๑) หรือพนักงาน ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ หรอื พนกั งานของรฐั วสิ าหกจิ ใหถ้ อื วา่ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ผนู้ น้ั เปน็ ผกู้ ระท�ำ ความผดิ ทางวนิ ัย และให้ผู้บังคับบญั ชามหี น้าท่ีด�ำ เนนิ การใหม้ ีการลงโทษทางวนิ ัยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นน้ั ข้อ ๑๑ ให้สำ�นักงานปลัดสำ�นักนายกรัฐมนตรีมีหน้าท่ีสอดส่อง และให้คำ�แนะนำ�ในการ ปฏิบัติตามระเบียบน้ีแก่หน่วยงานของรัฐ ในกรณีที่มีผู้ร้องเรียนต่อสำ�นักงานปลัดสำ�นักนายรัฐมนตรีว่า เจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้ใดปฏิบัติในการให้ของขวัญหรือรับของขวัญฝ่าฝืนระเบียบน้ี ให้สำ�นักงานปลัดสำ�นัก นายกรฐั มนตรแี จ้งไปยังผ้บู ังคับบญั ชาของเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐผู้น้นั เพอ่ื ดำ�เนนิ การตามระเบยี บนี้ ขอ้ ๑๒ เพ่อื ประโยชน์ในการเสรมิ สรา้ งใหเ้ กดิ ทศั นคติในการประหยัดแก่ประชาชนทวั่ ไป ในการแสดงความยนิ ดี การแสดงความปรารถนาดี การแสดงการตอ้ นรบั หรอื การแสดงความเสยี ใจ ในโอกาสตา่ ง ๆ ตามปกตปิ ระเพณนี ยิ ม ใหเ้ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั พยายามใชว้ ธิ กี ารแสดงออกโดยใชบ้ ตั รอวยพร การลงนามในสมดุ อวยพร หรือใชบ้ ัตรแสดงความเสียใจ แทนการให้ของขวญั ให้ผ้บู งั คับบัญชามีหน้าท่เี สรมิ สรา้ งค่านิยมการแสดงความยินดี การแสดงความปรารถนาดี การแสดง การตอ้ นรับ หรือการแสดงความเสียใจ ดว้ ยการปฏบิ ัติตนเป็นแบบอย่าง แนะนำ�หรอื ก�ำ หนด มาตรการจูงใจที่จะพฒั นาทัศนคติ จติ ส�ำ นึกและพฤติกรรมของผอู้ ยใู่ นบงั คบั บัญชาใหเ้ ปน็ ไปในแนวทาง ประหยดั ระเบยี บส�ำ นักนายกรฐั มนตรวี ่าด้วยการเร่ียไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๔ ในระเบียบนี้ “การเร่ียไร” หมายความว่า การเก็บเงินหรือทรัพย์สิน โดยขอร้องให้ช่วยออกเงินหรือ ทรพั ย์สินตามใจสมัคร และให้หมายความรวมถงึ การซ้ือขาย แลกเปลี่ยน ชดใชห้ รือบรกิ ารซงึ่ มกี ารแสดง โดยตรงหรอื โดยปรยิ ายวา่ มใิ ชเ่ ปน็ การซอ้ื ขาย แลกเปลยี่ น ชดใชห้ รอื บรกิ ารธรรมดา แตเ่ พอื่ รวบรวมเงนิ หรอื ทรัพย์สนิ ท่ีได้มาทงั้ หมด หรอื บางสว่ นไปใชใ้ นกิจการอย่างใดอยา่ งหนง่ึ น้ันด้วย “เขา้ ไปมสี ว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั การเรยี่ ไร” หมายความวา่ เขา้ ไปชว่ ยเหลอื โดยมสี ว่ นรว่ มในการจดั ใหม้ ี การเรี่ยไรในฐานะเปน็ ผู้รว่ มจดั ใหม้ ีการเรี่ยไร หรือเป็นประธานกรรมการ อนกุ รรมการ คณะท�ำ งาน ท่ปี รกึ ษา หรอื ในฐานะอื่นใดในการเร่ยี ไรน้นั ขอ้ ๖ หน่วยงานของรัฐจะจัดใหม้ ีการเร่ียไรหรือเขา้ ไปมีสว่ นเก่ียวขอ้ งกับการเรยี่ ไรมไิ ด้ เวน้ แตเ่ ปน็ การเรยี่ ไร ตามขอ้ ๑๙ หรอื ไดร้ บั อนมุ ตั จิ ากคณะกรรมการควบคมุ การเรยี่ ไรของหนว่ ยงานของ รฐั (กคร.) หรือ กคร. จังหวัด แลว้ แต่กรณี ทงั้ นี้ ตามหลักเกณฑ์ท่กี ำ�หนดไวใ้ นระเบียบน้ี หลักสูตรโค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทจุ ริต 61
หนว่ ยงานของรฐั ซ่ึงจะต้องไดร้ บั อนญุ าตในการเรี่ยไรตามกฎหมายว่าดว้ ย การควบคมุ การ เรยี่ ไร นอกจากจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายวา่ ดว้ ยการควบคมุ การเรย่ี ไรแลว้ จะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามหลกั เกณฑ์ ท่ีกำ�หนดไว้ในระเบียบน้ีด้วย ในกรณีนี้ กคร. อาจกำ�หนดแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานรัฐดังกล่าวให้ สอดคลอ้ งกบั กฎหมายว่าดว้ ยการควบคุมการเร่ียไรก็ได้ ขอ้ ๘ ใหม้ คี ณะกรรมการควบคมุ การเร่ยี ไรของหนว่ ยงานของรฐั เรียกโดยย่อวา่ “กคร.” ประกอบดว้ ย รองนายกรฐั มนตรีทนี่ ายกรฐั มนตรมี อบหมาย เป็นประธานกรรมการ ผ้แู ทนส�ำ นกั นายก รัฐมนตรี ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผแู้ ทนกระทรวงการคลัง ผแู้ ทนกระทรวงมหาดไทย ผแู้ ทนกระทรวง ศึกษาธิการ ผูแ้ ทนกระทรวงสาธารณสขุ ผแู้ ทนสำ�นกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา ผูแ้ ทนสำ�นักงานคณะ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้แทนสำ�นักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ทรง คณุ วฒุ ซิ ง่ึ นายกรฐั มนตรแี ตง่ ตง้ั อกี ไมเ่ กนิ สค่ี นเปน็ กรรมการ และผแู้ ทนส�ำ นกั งานปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี เป็นกรรมการและเลขานกุ าร กคร. จะแต่งตงั้ ข้าราชการในสำ�นกั งานปลดั ส�ำ นกั นายกรัฐมนตรีจำ�นวนไมเ่ กินสองคนเป็น ผู้ช่วยเลขานุการกไ็ ด้ ขอ้ ๑๘ การเรยี่ ไรหรอื เขา้ ไปมสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั การเรย่ี ไรท่ี กคร. หรอื กคร. จงั หวดั แลว้ แตก่ รณี จะพิจารณาอนมุ ัติให้ตามข้อ ๖ ได้นน้ั จะตอ้ งมีลกั ษณะและวตั ถปุ ระสงค์อย่างหนึ่งอยา่ งใด ดังต่อไปน้ี (๑) เป็นการเรีย่ ไรทีห่ น่วยงานของรัฐเป็นผูด้ �ำ เนนิ การเพอ่ื ประโยชน์แก่หนว่ ยงานของรฐั น้นั เอง (๒) เปน็ การเรย่ี ไรทห่ี นว่ ยงานของรฐั เปน็ ผดู้ �ำ เนนิ การเพอ่ื ประโยชนแ์ กก่ ารปอ้ งกนั หรอื พัฒนาประเทศ (๓) เปน็ การเรี่ยไรท่หี นว่ ยงานของรัฐเป็นผู้ดำ�เนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ (๔) เปน็ กรณที ห่ี นว่ ยงานของรฐั เขา้ ไปมสี ว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั การเรยี่ ไรของบคุ คลหรอื นติ บิ คุ คล ท่ีไดร้ ับอนุญาตจากคณะกรรมการควบคมุ การเรี่ยไรตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการควบคมุ การเรย่ี ไรแลว้ ขอ้ ๑๙ การเรี่ยไรหรอื เขา้ ไปมสี ่วนเก่ยี วข้องกบั การเรย่ี ไรดังตอ่ ไปน้ี ใหไ้ ดร้ ับยกเวน้ ไม่ต้อง ขออนุมัตจิ าก กคร. หรือ กคร. จังหวัด แลว้ แต่กรณี (๑) เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และมมี ตคิ ณะรฐั มนตรใี ห้เร่ยี ไรได้ (๒) เปน็ การเรีย่ ไรท่รี ัฐบาลหรือหนว่ ยงานของรัฐจ�ำ เปน็ ต้องด�ำ เนนิ การ เพือ่ ชว่ ยเหลอื ผเู้ สียหายหรอื บรรเทาความเสยี หายท่เี กดิ จากสาธารณภัยหรือเหตกุ ารณใ์ ดท่ีสำ�คญั (๓) เปน็ การเร่ยี ไรเพ่ือรว่ มกันท�ำ บญุ เน่ืองในโอกาสการทอดผ้าพระกฐนิ พระราชทาน (๔) เปน็ การเร่ยี ไรตามข้อ ๑๘ (๑) หรอื (๓) เพ่อื ให้ได้เงินหรือทรัพย์สินไม่เกนิ จ�ำ นวน เงินหรอื มูลคา่ ตามที่ กคร. ก�ำ หนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (๕) เป็นการเขา้ ไปมีส่วนเก่ยี วข้องกับการเรย่ี ไรตามข้อ ๑๘ (๔) ซึ่ง กคร. ได้ประกาศใน ราชกิจจานเุ บกษายกเวน้ ให้หน่วยงานของรฐั ด�ำ เนินการไดโ้ ดยไม่ตอ้ งขออนมุ ัติ (๖) เป็นการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐอ่ืนท่ีได้รับอนุมัติหรือได้รับยกเว้นใน การขออนุมตั ิ ตามระเบียบนี้แลว้ ข้อ ๒๐ ในกรณีทห่ี น่วยงานของรัฐได้รับอนมุ ัติหรือได้รบั ยกเวน้ ตามข้อ ๑๙ ให้จัดใหม้ กี าร เรีย่ ไรหรือเขา้ ไปมสี ว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั การเร่ยี ไร ใหห้ น่วยงานของรัฐด�ำ เนนิ การดังตอ่ ไปน้ี (๑) ให้กระท�ำ การเรี่ยไรเปน็ การทวั่ ไป โดยประกาศหรือเผยแพรต่ อ่ สาธารณชน (๒) ก�ำ หนดสถานทีห่ รือวิธีการท่ีจะรับเงนิ หรอื ทรัพยส์ นิ จากการเรีย่ ไร (๓) ออกใบเสรจ็ หรอื หลกั ฐานการรบั เงนิ หรอื ทรพั ยส์ นิ ใหแ้ กผ่ บู้ รจิ าคทกุ ครงั้ เวน้ แตโ่ ดย ลกั ษณะแหง่ การเรยี่ ไรไมส่ ามารถออกใบเสรจ็ หรอื หลกั ฐานดงั กลา่ วได้ กใ็ หจ้ ดั ท�ำ เปน็ บญั ชกี ารรบั เงนิ หรอื ทรัพย์สินน้ันไว้เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ 62 หลกั สูตรโค้ชเพ่อื การร้คู ิดตา้ นทุจรติ
(๔) จัดทำ�บัญชีการรับจ่ายหรือทรัพย์สินที่ได้จากการเรี่ยไรตามระบบบัญชีของทาง ราชการภายในเกา้ สิบวนั นับแตว่ นั ที่สน้ิ สดุ การเรยี่ ไร หรือทุกสามเดือน ในกรณที เ่ี ปน็ การเร่ียไรทก่ี ระท�ำ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งและปดิ ประกาศเปดิ เผย ณ ทที่ �ำ การของหนว่ ยงานของรฐั ทไี่ ดท้ �ำ การเรย่ี ไรไมน่ อ้ ยกวา่ สามสบิ วนั เพือ่ ให้บุคคลทั่วไปไดท้ ราบและจดั ใหม้ เี อกสารเกยี่ วกับการดำ�เนินการเรีย่ ไรดังกล่าวไว้ ณ สถานท่ี ส�ำ หรบั ประชาชนสามารถใชใ้ นการค้นหาและศึกษาข้อมูลข่าวสารของราชการดว้ ย (๕) รายงานการเงินของการเรี่ยไรพร้อมท้ังส่งบัญชีตาม (๔) ให้สำ�นักงานการตรวจ เงนิ แผ่นดินภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีได้จัดทำ�บัญชีตาม (๔) แล้วเสร็จ หรือในกรณีที่เป็นการเร่ียไรท่ีได้ กระท�ำ อย่างต่อเนอ่ื ง ให้รายงานการเงินพรอ้ มทง้ั สง่ บัญชดี งั กล่าวทกุ สามเดือน ขอ้ ๒๑ ในการเรย่ี ไรหรอื เขา้ ไปมสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั การเรย่ี ไร หา้ มมใิ หห้ นว่ ยงานของรฐั ด�ำ เนนิ การดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) กำ�หนดประโยชน์ท่ีผู้บริจาคหรือบุคคลอ่ืนจะได้รับซึ่งมิใช่ประโยชน์ที่หน่วยงาน ของรฐั ไดป้ ระกาศไว้ (๒) ก�ำ หนดใหผ้ บู้ รจิ าคตอ้ งบรจิ าคเงนิ หรอื ทรพั ยส์ นิ เปน็ จ�ำ นวนหรอื มลู คา่ ทแี่ นน่ อน เวน้ แต่ โดยสภาพ มคี วามจ�ำ เปน็ ตอ้ งก�ำ หนดเปน็ จ�ำ นวนเงนิ ทแี่ นน่ อน เชน่ การจ�ำ หนา่ ยบตั รเขา้ ชมการแสดง หรอื บัตรเข้าร่วมการแข่งขัน เป็นต้น (๓) กระท�ำ การใด ๆ ทเ่ี ปน็ การบงั คบั ใหบ้ คุ คลใดท�ำ การเรยี่ ไรหรอื บรจิ าค หรอื กระท�ำ การในลักษณะท่ีทำ�ให้บุคคลน้ันต้องตกอยู่ในภาวะจำ�ยอมไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเล่ียงที่จะไม่ช่วย ท�ำ การเร่ยี ไรหรือบรจิ าคไมว่ ่าโดยทางตรงหรือทางออ้ ม (๔) ให้เจ้าหนา้ ทีข่ องรฐั ออกท�ำ การเรย่ี ไร หรอื ใช้ สง่ั ขอร้อง หรอื บงั คบั ใหผ้ ใู้ ตบ้ ังคับ บัญชาหรือบุคคลอ่ืนออกท�ำ การเรี่ยไร ขอ้ ๒๒ เจา้ หนา้ ทีข่ องรฐั ท่เี ข้าไปมีสว่ นเกีย่ วขอ้ งกับการเรี่ยไรของบุคคลหรือนติ ิบคุ คลท่ไี ด้ รบั อนญุ าตจากคณะกรรมการควบคมุ การเรย่ี ไรตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการควบคมุ การเรย่ี ไรซงึ่ มใิ ชห่ นว่ ยงาน ของรฐั จะต้องไมก่ ระทำ�การดงั ต่อไปนี้ (๑) ใช้หรือแสดงตำ�แหน่งหน้าที่ให้ปรากฏในการดำ�เนินการเรี่ยไรไม่ว่าจะเป็นการ โฆษณาด้วยส่ิงพมิ พต์ ามกฎหมายวา่ ดว้ ยการพิมพ์หรอื สือ่ อยา่ งอ่นื หรอื ดว้ ยวิธกี ารอนื่ ใด (๒) ใช้ สัง่ ขอร้อง หรอื บงั คับใหผ้ ู้ใต้บังคับบญั ชา หรอื บุคคลใดช่วยท�ำ การเร่ยี ไรให้ หรือกระทำ�ในลักษณะที่ทำ�ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือบุคคลอื่นนั้นต้องตกอยู่ในภาวะจำ�ยอมไม่สามารถ ปฏเิ สธหรอื หลีกเลย่ี งท่จี ะไมช่ ่วยท�ำ การเรีย่ ไรใหไ้ ด้ ไมว่ า่ โดยทางตรงหรือทางออ้ ม ๔. วิธคี ดิ แบบฐาน ๑๐ (Analog thinking) / ฐาน ๒ (Digital thinking) แนวทางการแกป้ ญั หาการทจุ รติ อยา่ งยงั่ ยนื ตอ้ งเรมิ่ ตน้ แกไ้ ขทตี่ วั บคุ คล โดยการปรบั เปลย่ี น ระบบการคิดของคนในสงั คมแยกแยะใหไ้ ดว้ ่า… “เรอื่ งใดเปน็ ประโยชน์ส่วนตน...เรื่องใดเป็นประโยชนส์ ่วนรวม” ตอ้ งแยกออกจากกนั ใหไ้ ดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด ไมน่ �ำ มาปะปนกนั ไมเ่ อาประโยชนส์ ว่ นรวมมาเปน็ ประโยชนส์ ว่ นตน ไมเ่ อาผลประโยชนส์ ว่ นรวมมาทดแทนบญุ คณุ สว่ นตน ไมเ่ หน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นตนและ พวกพ้องเหนือกว่าประโยชน์ส่วนรวม กรณีเกิดผลประโยชน์ขัดกันต้องยึดประโยชน์ส่วนรวมเหนือกว่า ประโยชนส์ ่วนตน หลักสตู รโค้ชเพื่อการร้คู ดิ ตา้ นทุจริต 63
โดยเฉพาะอย่างย่ิงในกลมุ่ “เจ้าหน้าท่ขี องรฐั ” ซึ่งมอี ำ�นาจหนา้ ท่ที ่ีจะต้องกระท�ำ การหรือ ใช้ดลุ ยพินจิ ในการตดั สินใจท่ีเกย่ี วข้องกับผลประโยชนข์ องส่วนรวม หากปลอ่ ยใหม้ ีผลประโยชน์สว่ นตน หรอื ความสมั พนั ธส์ ว่ นตนเขา้ มามสี ว่ นในการตดั สนิ ใจแลว้ ยอ่ มตอ้ งเกดิ การขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตน และประโยชนส์ ว่ นรวมหรอื ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น (Conflict of Interests) ขนึ้ แนน่ อน และความเสยี หาย กจ็ ะตกอยูก่ บั ประชาชนและประเทศชาตนิ ่นั เอง ระบบคิดที่จะกล่าวต่อไปน้ี… เป็นการนำ�มาประยุกต์ใช้และเปรียบเทียบ เพ่ือให้เจ้าหน้าท่ี ของรัฐนำ�ไปเป็น “หลักคิด” ในการปฏิบัติงานให้สามารถแยกประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ได้อย่างเดด็ ขาด คือ “ระบบคิด ฐานสบิ (Analog)” กับ “ระบบคดิ ฐานสอง (Digital)” ทกา�ำ รไมแกจ้ทึงจุใชริต้ระบบเลขฐานสิบ (Analog) และระบบเลขฐานสอง (Digital) มาใช้แยกแยะ เรามาท�ำ ความเข้าใจในระบบ… ฐานสบิ (Analog), ฐานสอง (Digital) กนั เถอะ 64 หลักสูตรโค้ชเพอื่ การรคู้ ดิ ตา้ นทจุ รติ
ระบบเลข “ฐานสิบ” (decimal number system) หมายถงึ ระบบเลขที่มีตัวเลข ๑๐ ตัว คอื ๐ , ๑ , ๒ , ๓ , ๔ , ๕ , ๖ , ๗ , ๘ , ๙ เป็นระบบคดิ เลขท่ีเราใช้ในชีวิต ประจำ�วันกนั มาตงั้ แต่จำ�ความกันได้ ไมว่ า่ จะเปน็ การใช้บอกปรมิ าณหรือบอกขนาด ช่วยให้เกิดความเขา้ ใจทต่ี รงกัน ในการสือ่ ความหมาย สอดคลอ้ งกบั ระบบ “Analog” ทใี่ ชค้ า่ ตอ่ เนอ่ื งหรือ สญั ญาณซงึ่ เปน็ คา่ ตอ่ เนอื่ ง หรอื แทนความหมายของขอ้ มลู โดยการใชฟ้ งั ชนั่ ท่ีตอ่ เนือ่ ง (Continuous) ระบบเลข “ฐานสอง” (binary number system) หมายถึง ระบบเลขที่มสี ัญลกั ษณเ์ พยี งสองตัว คือ ๐ (ศนู ย์) กับ ๑ (หนง่ึ ) สอดคลอ้ ง กับการท�ำ งานระบบ Digital ทม่ี ลี ักษณะการท�ำ งานภายในเพยี ง ๒ จังหวะ คือ ๐ กับ ๑ หรอื ON กบั OFF (Discrete) ตัดเดด็ ขาด จากทกี่ ลา่ วมา... เมอื่ น�ำ ระบบเลข “ฐานสบิ Analog” และ ระบบเลข “ฐานสอง Digital” มาปรับใชเ้ ปน็ แนวคิด คือ ระบบคดิ “ฐานสบิ Analog” และ ระบบคดิ “ฐานสอง Digital” จะเห็นไดว้ ่า... ระบบคิด “ฐานสิบ Analog” เป็นระบบการคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่มีตัวเลขหลายตัว และ อาจหมายถงึ โอกาสทจี่ ะเลอื กไดห้ ลายทาง เกดิ ความคดิ ทห่ี ลากหลาย ซบั ซอ้ น หากน�ำ มาเปรยี บเทยี บกบั การปฏบิ ตั งิ านของเจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐ จะท�ำ ใหเ้ จ้าหน้าท่ขี องรัฐตอ้ งคดิ เยอะ ตอ้ งใช้ดลุ ยพินจิ เยอะ อาจจะ น�ำ ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมมาปะปนกนั ได้ แยกประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม ออกจากกนั ไมไ่ ด้ ระบบคิด “ฐานสอง Digital” เป็นระบบการคิดวิเคราะหข์ อ้ มูลท่สี ามารถเลือกไดเ้ พยี ง ๒ ทางเท่าน้นั คือ ๐ (ศนู ย์) กับ ๑ (หน่งึ ) และอาจหมายถึงโอกาสทจ่ี ะเลือกได้เพยี ง ๒ ทาง เชน่ ใช่ กบั ไมใ่ ช,่ เทจ็ กบั จริง, ทำ�ได้ กับ ทำ�ไม่ได้, ประโยชน์สว่ นตน กบั ประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น จงึ เหมาะกบั การ นำ�มาเปรียบเทียบกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่ต้องสามารถแยกเรื่องตำ�แหน่งหน้าท่ีกับเรื่อง ส่วนตัวออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด และไม่กระทำ�การท่ีเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชนส์ ่วนรวม หลกั สูตรโค้ชเพอ่ื การร้คู ิดต้านทจุ ริต 65
ระบบคิด “ฐานสิบ Analog” Vs ระบบคดิ “ฐานสอง Digital” “การปฏบิ ตั งิ านแบบใชร้ ะบบคดิ ฐานสบิ (Analog)” คอื การทเ่ี จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั มรี ะบบการคดิ ทยี่ งั แยกเรอ่ื งต�ำ แหนง่ หนา้ ทก่ี บั เรอื่ งสว่ นตนออกจากกนั ไมไ่ ด้ น�ำ ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม มาปะปนกนั ไปหมด แยกแยะไม่ออกวา่ สิ่งไหนคือประโยชนส์ ว่ นตน ส่ิงไหนคือประโยชนส์ ่วนรวม นำ�บุคลากรหรือทรัพย์สินของราชการมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน เบียดบังราชการ เห็นแก่ประโยชน์ ส่วนตน เครอื ญาติ หรอื พวกพอ้ ง เหนือกวา่ ประโยชน์ของสว่ นรวมหรือของหน่วยงาน จะคอยแสวงหา ประโยชนจ์ ากต�ำ แหนง่ หนา้ ทร่ี าชการ กรณเี กดิ การขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม จะยดึ ประโยชนส์ ่วนตนเป็นหลกั “การปฏิบัติงานแบบใชร้ ะบบคดิ ฐานสอง (Digital)” คือ การท่เี จ้าหนา้ ท่ีของรัฐมีระบบ การคิดทีส่ ามารถแยกเร่ืองต�ำ แหนง่ หนา้ ท่ีกับเร่อื งสว่ นตนออกจากกัน แยกออกอยา่ งชัดเจนว่าสิ่งไหนถูก สง่ิ ไหนผดิ สง่ิ ไหนท�ำ ไดส้ งิ่ ไหนท�ำ ไมไ่ ด้ สง่ิ ไหนคอื ประโยชนส์ ว่ นตนสง่ิ ไหนคอื ประโยชนส์ ว่ นรวม ไมน่ �ำ มา ปะปนกนั ไมน่ �ำ บคุ ลากรหรอื ทรพั ยส์ นิ ของราชการมาใชเ้ พอ่ื ประโยชนส์ ว่ นตน ไมเ่ บยี ดบงั ราชการ เหน็ แก่ ประโยชนส์ ว่ นรวมหรอื ของหนว่ ยงานเหนอื กวา่ ประโยชนข์ องสว่ นตน เครอื ญาติ และพวกพอ้ ง ไมแ่ สวงหา ประโยชน์จากต�ำ แหนง่ หนา้ ทรี่ าชการ ไมร่ บั ทรัพย์สินหรือประโยชนอ์ น่ื ใดจากการปฏบิ ตั ิหน้าท่ี กรณีเกดิ การขดั กันระหว่างประโยชน์สว่ นตนและประโยชนส์ ่วนรวม ก็จะยึดประโยชนส์ ่วนรวมเป็นหลัก ๕. บทบาทของรัฐ / เจา้ หนา้ ที่ของรฐั (มาตรฐานทางจริยธรรมของเจา้ หน้าทข่ี องรฐั ) หลกั คดิ การแยกประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมอยา่ งเดด็ ขาด ดงั กลา่ วน้ี สอดคลอ้ ง กบั แนวปฏบิ ตั ขิ องเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ตามประมวลจรยิ ธรรมขา้ ราชการพลเรอื น ขอ้ ๕ ทกี่ �ำ หนดใหเ้ จา้ หนา้ ท่ี ของรฐั ต้องแยกเรอ่ื งส่วนตวั ออกจากต�ำ แหน่งหนา้ ที่ และยดึ ถอื ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ เหนอื กวา่ ประโยชน์สว่ นตน โดยอย่างนอ้ ยตอ้ งวางตน ดงั น้ี (๑) ไมน่ �ำ ความสมั พนั ธส์ ว่ นตวั ทต่ี นมตี อ่ บคุ คลอน่ื ไมว่ า่ จะเปน็ ญาตพิ นี่ อ้ ง พรรคพวก เพอ่ื นฝงู หรอื ผมู้ บี ญุ คณุ สว่ นตวั มาประกอบการใชด้ ลุ พนิ จิ ใหเ้ ปน็ คณุ หรอื เปน็ โทษแกบ่ คุ คลนนั้ หรอื ปฏบิ ตั ิ ต่อบุคคลน้ันตา่ งจากบุคคลอนื่ เพราะชอบหรือชัง (๒) ไมใ่ ชเ้ วลาราชการ เงนิ ทรัพย์สนิ บุคลากร บรกิ าร หรือสิ่งอ�ำ นวยความสะดวก ของทางราชการไปเพ่อื ประโยชน์ส่วนตัวของตนเองหรือผอู้ ื่น เวน้ แตไ่ ด้รับอนญุ าตโดยชอบดว้ ยกฎหมาย (๓) ไม่กระท�ำ การใด หรอื ด�ำ รงตำ�แหนง่ หรือปฏบิ ตั ิการใดในฐานะส่วนตัว ซ่งึ กอ่ ให้ เกดิ ความเคลอื บแคลงหรือสงสยั วา่ จะขัดกับประโยชนส์ ว่ นรวมท่ีอยใู่ นความรบั ผดิ ชอบของหน้าท่ี ในกรณมี คี วามเคลอื บแคลงหรอื สงสยั ใหข้ า้ ราชการผนู้ น้ั ยตุ กิ ารกระท�ำ ดงั กลา่ วไวก้ อ่ นแลว้ แจง้ ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชา หวั หนา้ ส่วนราชการ และคณะกรรมการจริยธรรมพิจารณา เมอ่ื คณะกรรมการจรยิ ธรรมวินิจฉยั เปน็ ประการใดแล้วจงึ ปฏบิ ัตติ ามน้ัน 66 หลักสูตรโคช้ เพื่อการรูค้ ดิ ตา้ นทจุ รติ
(๔) ในการปฏิบัติหน้าท่ีที่รับผิดชอบในหน่วยงานโดยตรงหรือหน้าท่ีอื่นในราชการ รฐั วสิ าหกจิ องคก์ ารมหาชน หรอื หนว่ ยงานของรฐั ขา้ ราชการตอ้ งยดึ ถอื ประโยชนข์ องทางราชการเปน็ หลกั ในกรณีที่มีความขัดแย้งระหว่างประโยชน์ของทางราชการหรือประโยชน์ส่วนรวม กับประโยชน์ส่วนตน หรอื ส่วนกลมุ่ อันจ�ำ เปน็ ต้องวนิ ิจฉัยหรือช้ขี าด ต้องยดึ ประโยชนข์ องทางราชการและประโยชนส์ ว่ นรวม เป็นส�ำ คญั นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าท่ีของรัฐในระดับสากล ซ่ึงองค์กรใน ระดบั สากลตา่ งกใ็ หค้ วามส�ำ คญั ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากจรรยาบรรณสากลส�ำ หรบั เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ตามประกาศ ขององคก์ ารสหประชาชาติ และอนสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ (United Nations Convention Against Corruption - UNCAC) ค.ศ. ๒๐๐๓ ท่กี �ำ หนดให้การแยกเร่ืองสว่ นตวั ออกจาก ต�ำ แหนง่ หนา้ ทเ่ี ปน็ มาตรฐานความประพฤตสิ �ำ หรบั เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ในการปฏบิ ตั งิ านของรฐั แตล่ ะรฐั และ ระหวา่ งรฐั จรรยาบรรณระหวา่ งประเทศส�ำ หรับเจา้ หน้าทีข่ องรัฐ จรรยาบรรณระหว่างประเทศสำ�หรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ระบุในภาคผนวกของมติ สหประชาชาติ ครั้งที่ ๕๑/๕๙ เมื่อวนั ที่ ๑๒ ธันวาคม ๑๙๙๖ (พ.ศ. ๒๕๓๙) - ผลประโยชนข์ ดั กัน และการขาดคุณสมบัติ (๑) เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ไมพ่ งึ ใชอ้ �ำ นาจในต�ำ แหนง่ หนา้ ทข่ี องตนในการแสวงหา ผลประโยชนส์ ่วนตนหรอื ผลประโยชนท์ างการเงนิ อันไมส่ มควรสำ�หรบั ตนหรอื สมาชกิ ในครอบครวั ไมพ่ งึ ประกอบธรุ กรรมเขา้ รบั ต�ำ แหนง่ หรอื หนา้ ทหี่ รอื มผี ลประโยชนท์ างการเงนิ การคา้ หรอื ผลประโยชน์ อนื่ ใดในท�ำ นองเดยี วกนั ซง่ึ ขดั กบั ต�ำ แหนง่ บทบาทหนา้ ที่ หรอื การปฏบิ ตั ใิ นต�ำ แหนง่ หรอื บทบาทหนา้ ทนี่ นั้ (๒) เจ้าหน้าท่ีของรัฐ ตามขอบเขตที่กำ�หนดโดยตำ�แหน่งหน้าท่ีของตนภายใต้ กฎหมายหรือนโยบายในการบริหาร พึงแจ้งเก่ียวกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ การค้า และการเงิน หรือ กจิ การอนั ท�ำ เพอื่ ผลตอบแทนทางการเงนิ ซง่ึ อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ผลประโยชนข์ ดั กนั ไดใ้ นสถานการณท์ ม่ี โี อกาส จะเกดิ หรอื ทดี่ เู หมอื นวา่ ไดเ้ กดิ กรณผี ลประโยชนข์ ดั กนั ขนึ้ ระหวา่ งหนา้ ทแ่ี ละผลประโยชนส์ ว่ นตนของ เจา้ หน้าทีข่ องรฐั ผูใ้ ด เจ้าหน้าทีข่ องรฐั ผูน้ ัน้ พึงปฏบิ ัติตามมาตรการทีก่ �ำ หนดไวเ้ พ่อื ลดหรือขจัด ซึง่ ผลประโยชนข์ ดั กันนั้น (๓) เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ไมพ่ งึ ใชเ้ งนิ ทรพั ยส์ นิ บรกิ าร หรอื ขอ้ มลู ซงึ่ ไดม้ าจากการปฏบิ ตั งิ าน หรอื เปน็ ผลมาจากการปฏบิ ตั งิ าน เพอ่ื กจิ การอนื่ ใดโดยไมเ่ กยี่ วขอ้ งกบั งานในต�ำ แหนง่ หนา้ ทโี่ ดยไมส่ มควร อย่างเด็ดขาด (๔) เจ้าหน้าที่ของรัฐ พงึ ปฏบิ ตั ิมาตรการซง่ึ ก�ำ หนดโดยกฎหมายหรือนโยบาย ในการบริหาร เพ่ือมิให้ผลประโยชน์จากตำ�แหน่งหน้าท่ีเดิมของตนโดยไม่สมควรเม่ือพ้นจากตำ�แหน่ง หน้าท่ีไปแลว้ - การรบั ของขวัญหรอื ของก�ำ นลั (๕) เจ้าหน้าท่ขี องรัฐไมพ่ ึงเรยี กรอ้ ง หรอื รับของขวญั หรือของกำ�นลั อน่ื ไมว่ ่าทางตรง หรอื ทางอ้อม ซ่งึ อาจมีอทิ ธพิ ลต่อการปฏบิ ัตงิ านตามบทบาท การดำ�เนนิ งานตามหน้าที่หรือการวินิจฉยั ของตน หลกั สตู รโค้ชเพอ่ื การรคู้ ิดต้านทุจริต 67
๖. กรณตี วั อยา่ งระบบคิดเพอื่ แยกแยะระหวา่ งประโยชน์สว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวม ตัวอย่างระบบคดิ ฐานสิบ & ระบบคดิ ฐานสอง สงั คมโลกสมัยกอ่ น : ยคุ Analog สงั คมโลกสมยั ใหม่ : ยคุ Digital ยอมรับกับคำ�พดู ที่วา่ “ทจุ ริตบา้ งไม่เป็นไร ถ้าเราได้ประโยชน์” ไม่สามารถแยกประโยชนส์ ่วนตน ไม่ยอมรับกับคำ�พดู ทว่ี า่ ออกจากประโยชนส์ ่วนรวมได้ “ทุจรติ บา้ งไม่เปน็ ไร ถ้าเราไดป้ ระโยชน”์ ประโยชนท์ บั ซ้อน/สนิ บน/ทจุ ริต แยกประโยชนส์ ว่ นตน คอร์รปั ชนั ออกจากประโยชน์สว่ นรวม ระบบอุปถมั ภ์ เหน็ ประโยชนส์ าธารณะ น�ำ ความสมั พนั ธ์ส่วนตัวมาใชอ้ ย่างไมถ่ กู ตอ้ ง มากอ่ นประโยชนส์ ่วนตน ตวั อย่างระบบคดิ ฐานสบิ & ระบบคดิ ฐานสอง 68 หลักสตู รโค้ชเพ่อื การรูค้ ดิ ตา้ นทจุ ริต
คิดฐานสอง คิดฐานสบิ คดิ ฐานสอง คิดฐานสิบ คดิ ฐานสอง คิดฐานสิบ คดิ ฐานสอง คดิ ฐานสิบ หลกั สูตรโคช้ เพือ่ การรู้คดิ ต้านทุจริต 69
คดิ แบบไหน ? ...ไมท่ ุจริต คิดได้ - คดิ กอ่ นทำ� (ก่อนกระทำ�การทุจรติ ) - คิดถงึ ผลเสียผลกระทบตอ่ ประเทศชาติ (ความเสียหายที่ คิดดี เกิดข้ึนกบั ประเทศในทกุ ๆ ดา้ น) คิดเปน็ - คิดถงึ ผู้ได้รับบทลงโทษจากการทจุ รติ (เอามาเปน็ บทเรียน) - คดิ ถึงผลเสยี ผลกระทบท่จี ะเกิดข้ึนกบั ตนเอง (จะตอ้ งอยกู่ บั ความเสี่ยงท่ีจะถูกร้องเรียน ถกู ลงโทษไล่ออกและตดิ คุก) - คิดถงึ คนรอบข้าง (เส่อื มเสียตอ่ ครอบครัวและวงศต์ ระกูล) - คิดอยา่ งมีสตสิ ัมปชญั ญะ - คดิ แบบพอเพยี ง ไมเ่ บยี ดเบยี นตนเอง ไมเ่ บยี ดเบยี นผอู้ น่ื และ ไมเ่ บยี ดเบียนประเทศชาติ - คดิ อย่างรบั ผิดชอบตามบทบาทหน้าท่ี กฎระเบยี บ - คดิ ตามคุณธรรม วา่ “ท�ำ ดีไดด้ ี ท�ำ ชว่ั ไดช้ ัว่ ” - คิดแยกเรอ่ื งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม ออกจากกันอย่างชดั เจน - คิดแยกเรอ่ื งต�ำ แหน่งหน้าท่ี กับ เรอื่ งส่วนตัวออกจากกัน - คดิ ทจ่ี ะไมน่ �ำ ประโยชนส์ ว่ นตนกบั ประโยชนส์ ว่ นรวมมาปะปนกนั มาก้าวกา่ ยกนั - คิดท่ีจะไม่เอาประโยชนส์ ว่ นรวมมาเปน็ ประโยชนส์ ว่ นตน - คดิ ที่จะไม่เอาผลประโยชน์สว่ นรวมมาตอบแทนบุญคุณ ส่วนตน - คิดเห็นแก่ประโยชน์สว่ นรวมมากกวา่ ประโยชนส์ ว่ นตน เครือญาติ และพวกพ้อง - คดิ ฐานสองและทง้ิ ฐานสบิ 70 หลกั สูตรโคช้ เพ่อื การรคู้ ดิ ตา้ นทจุ ริต
บรรณานุกรม ก�ำ ชยั จงจักรพนั ธ์. (ม.ป.ป.). การขัดกันแหง่ ผลประโยชนแ์ ละมาตรา ๑๐๐ พ.ร.บ. ป.ป.ช. นนทบรุ :ี ส�ำ นักงานคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ. ม.ป.ท.: ม.ป.พ. พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๖๑. (ม.ป.ป.). ม.ป.ท.: ม.ป.พ. ยทุ ธศาสตร์ชาติว่าดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ . สืบค้นเมือ่ ๑๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๐, จาก https://www.nacc.go.th/ more_news.php?cid=36 สทุ ธินนั ท์ สาริมาน. (๒๕๕๒). การกำ�หนดตำ�แหนง่ เจ้าหน้าท่ขี องรัฐท่ีตอ้ งห้ามดำ�เนินกจิ การอัน เป็นการขดั กันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนบุคคลและประโยชน์สว่ นรวม ตามบทบญั ญัตมิ าตรา ๑๐๐ พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบณั ฑิต, ภาควิชานิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ). สุวรรณา ตลุ ยวศนิ พงศ์ และคณะ. (๒๕๔๖). รายงานผลการวิจยั เร่อื งความขัดแย้งระหว่างผล ประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม. กรุงเทพฯ: ส�ำ นกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรือน. ส�ำ นกั งานคณะกรรมการข้าราชการพลเรอื น. (๒๕๕๘). คมู่ อื แนวทางการสร้างมาตรฐานความโปรง่ ใส ของส่วนราชการ. กรุงเทพฯ: ส�ำ นกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรือน. ส�ำ นกั งานปลดั กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม. (ม.ป.ป.) คมู่ อื การปอ้ งกนั ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นักงานปลดั กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม. ส�ำ นกั งานปลดั กระทรวงพาณชิ ย.์ (๒๕๕๙). คมู่ อื การปอ้ งกนั ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั งาน ปลัดกระทรวงพาณชิ ย.์ ส�ำ นกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสุข. (๒๕๕๙).ค่มู ือการปอ้ งกันผลประโยชนท์ ับซอ้ น. กรุงเทพฯ: ส�ำ นกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. ส�ำ นกั งานปลดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตร.ี (๒๕๖๐). คมู่ อื ปอ้ งกนั ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น. กรงุ เทพฯ: ศนู ยป์ ฏบิ ตั กิ าร ตอ่ ต้านการทุจรติ (ศปท.). หนงั สือชดุ ความรู้การเฝา้ ระวังการทจุ รติ ของหน่วยงานภาครฐั ชุดท่ี ๓. (ม.ป.ป). ม.ป.ท.: ม.ป.พ. หลกั สูตรโค้ชเพอื่ การรคู้ ิดตา้ นทุจริต 71
สว่ นที่ ๒ เวลา ๓ ชั่วโมง เรอื่ ง การเรยี นรดู้ ้านการป้องกันการทจุ รติ หลกั สตู รโคช้ เพอ่ื การรู้คดิ ตา้ นทุจริต วชิ าที่ ๒.๒ เร่อื ง ความอายและความไมท่ นต่อการทจุ ริต เรือ่ ง : ความอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต สาระส�ำ คัญ วชิ านีเ้ ป็นการเรียนร้เู ก่ียวกบั แนวคดิ เก่ียวกับความอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต ความ เปน็ พลเมอื งทไ่ี มท่ นตอ่ การทจุ รติ การแสดงออกถงึ การไมท่ นตอ่ การทจุ รติ กรณศี กึ ษาปรากฏการณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ ในประเทศและต่างประเทศ ท่ีสะท้อนถึงความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ น�ำ ไปถา่ ยทอดไดอ้ ย่างถูกต้องและนำ�ไปปรบั ใช้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั ผเู้ ข้ารบั การฝกึ อบรม วตั ถุประสงค์ ๑. เพอ่ื เสรมิ สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจ การน�ำ ไปใช้ การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และการประเมนิ เกี่ยวกับความไมท่ นและความอายต่อการทจุ รติ ๒. เพอื่ สามารถถา่ ยทอดองคค์ วามรอู้ ยา่ งถกู ตอ้ งในเรอื่ งความอายและความไมท่ นตอ่ การ ทจุ ริตให้ผเู้ รียนน�ำ ไปปรบั ใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั ผ้เู ข้ารบั การฝึกอบรม ขอบเขตเน้ือหา ๑. การทุจรติ - ความหมาย/รปู แบบการทจุ ริต - สาเหตุการเกดิ การทจุ ริต - สถานการณก์ ารทุจริตในประเทศไทย - ผลกระทบจากการทุจริตต่อการพฒั นาประเทศ - ทิศทางการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ - กรณีตวั อย่างผลทเี่ กดิ จากการทุจริต ๒. ความอายต่อการทุจริต - ความเปน็ พลเมือง - แนวคดิ เก่ียวกับความอายตอ่ การทุจริต 72 หลักสตู รโค้ชเพ่ือการรคู้ ดิ ตา้ นทจุ ริต
๓. ความไมท่ นต่อการทจุ รติ - แนวคิดเกีย่ วกับความไมท่ นตอ่ การทุจริต ๔. ตวั อยา่ งความอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ การแสดงออกถงึ การไมท่ นตอ่ การทจุ รติ ๕. ลงโทษทางสงั คม ๖. ชอ่ งทางและวธิ ีการร้องเรยี นการทจุ ริต ๗. มาตรการค้มุ ครองช่วยเหลือพยานและการกนั บุคคลไว้เปน็ พยานโดยไม่ด�ำ เนนิ คดี - มาตรการคมุ้ ครองชว่ ยเหลือพยาน - การกนั บคุ คลไว้เป็นพยานโดยไม่ด�ำ เนนิ คดี - กฎ ก.พ. ว่าดว้ ยหลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารการใหบ้ ำ�เหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษ และการให้ความคุ้มครองพยาน พ.ศ. ๒๕๕๓ วิธีการฝกึ อบรม การบรรยาย การคิดวเิ คราะหก์ รณีศึกษา การท�ำ กิจกรรมกลุม่ การอภิปรายกลมุ่ ส่ือการเรยี นรู้ PowerPoint วดิ ีโอ หรือส่ืออ่ืน ๆ ท่เี หมาะสม การวดั และประเมนิ ผล การทดสอบเนือ้ หา (๒๐ คะแนน) หลกั สตู รโค้ชเพื่อการรูค้ ดิ ตา้ นทุจรติ 73
สว่ นท่ี ๒ เรอื่ ง การเรยี นรดู้ า้ นการปอ้ งกนั การทจุ ริต เนอ้ื หาโดยสังเขป วิชาที่ ๒.๒ เร่อื ง ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ เวลา ๓ ชัว่ โมง รายละเอยี ดเนื้อหา ๑. การทจุ ริต ปัญหาการทุจริต เป็นปัญหาที่ส�ำ คญั ทั้งของประเทศไทยและประเทศอ่นื ๆ ท่ัวโลก ปญั หา การทจุ รติ จะท�ำ ใหเ้ กดิ ความเสอ่ื มในดา้ นตา่ ง ๆ เกดิ ขน้ึ ทงั้ สงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง และนบั วนั ปญั หาดงั กลา่ ว กจ็ ะรนุ แรงมากขนึ้ และมรี ปู แบบการทจุ รติ ทซี่ บั ซอ้ น ยากแกก่ ารตรวจสอบมากขนึ้ จากเดมิ ทก่ี ระท�ำ เพยี ง สองฝ่าย ปจั จุบันการทจุ ริตจะกระท�ำ กนั หลายฝา่ ย ท้ังผดู้ �ำ รงต�ำ แหน่งทางการเมอื ง เจ้าหน้าทขี่ องรฐั และ เอกชน โดยประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ ๆ คือ ผู้ให้ผลประโยชนก์ ับผรู้ ับผลประโยชน์ ซึ่งทงั้ สองฝา่ ยนจ้ี ะมี ผลประโยชนร์ ว่ มกัน ตราบใดทีผ่ ลประโยชนส์ มเหตุสมผลต่อกัน ก็จะน�ำ ไปส่ปู ญั หาการทจุ รติ ได้ บางครงั้ ผทู้ ร่ี ับผลประโยชน์กเ็ ป็นผใู้ หป้ ระโยชนไ์ ด้เช่นกนั โดยผรู้ ับผลประโยชนแ์ ละผใู้ หผ้ ลประโยชน์ คือ ผรู้ ับผลประโยชน์ จะเป็นเจา้ หนา้ ทีข่ องรฐั ซงึ่ มีอำ�นาจหนา้ ทใี่ นการกระท�ำ การดำ�เนนิ การ ตา่ ง ๆ และรบั ประโยชนจ์ ะเปน็ ไปในรปู แบบต่าง ๆ เช่น การจัดซ้อื จดั จ้าง การเรยี กรบั ประโยชนโ์ ดยตรง การก�ำ หนดระเบียบหรอื คุณสมบตั ิท่เี ออื้ ต่อตนเองและพวกพอ้ ง ผูใ้ ห้ผลประโยชน์ เชน่ ภาคเอกชน โดยการเสนอผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เงนิ สทิ ธพิ เิ ศษอื่น ๆ เพ่อื จูงใจให้นกั การเมือง เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั กระทำ�การหรือไม่กระท�ำ การอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ในตำ�แหนง่ หน้าท่ี ซึง่ การกระทำ�ดงั กลา่ วเป็นการกระท�ำ ทฝ่ี า่ ฝนื ตอ่ ระเบยี บหรือผิดกฎหมาย เป็นต้น ๑.๑ ทจุ ริต คืออะไร ค�ำ วา่ ทจุ รติ มกี ารใหค้ วามหมายไดม้ ากมายหลากหลาย ขน้ึ อยกู่ บั วา่ จะมกี ารใหค้ วามหมาย ดงั กลา่ วไวว้ า่ อยา่ งไร โดยทคี่ �ำ วา่ ทจุ รติ นนั้ จะมกี ารใหค้ วามหมายโดยหนว่ ยงานของรฐั หรอื การใหค้ วามหมาย โดยกฎหมายซงึ่ ไมว่ า่ จะเปน็ การใหค้ วามหมายจากแหลง่ ใด เนอื้ หาส�ำ คญั ของค�ำ วา่ ทจุ รติ กย็ งั คงมคี วามหมาย ทสี่ อดคลอ้ งกนั อยู่ นน่ั คอื การทจุ รติ เปน็ สงิ่ ทไ่ี มด่ ี มกี ารแสวงหาหรอื เอาผลประโยชนข์ องสว่ นรวม มาเปน็ ของสว่ นตวั ทงั้ ๆ ทตี่ นเองไมไ่ ดม้ สี ทิ ธใิ นสง่ิ ๆ นนั้ การยดึ ถอื เอามาดงั กลา่ วจงึ ถอื เปน็ สงิ่ ทผี่ ดิ ทงั้ ในแงข่ องกฎหมายและศลี ธรรม ในแงข่ องกฎหมายนัน้ ประเทศไทยได้มีการก�ำ หนดถึงความหมายของการทุจรติ ไวห้ ลกั ๆ ในกฎหมาย ๒ ฉบบั คอื ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๑) “โดยทจุ รติ ” หมายถึง “เพ่ือแสวงหาประโยชน์ท่มี ิ ควรไดโ้ ดยชอบด้วยกฎหมายสำ�หรับตนเองหรือผู้อื่น” พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา ๔ ค�ำ วา่ “ทจุ รติ ตอ่ หนา้ ท”ี่ หมายถงึ “ปฏบิ ตั หิ รอื ละเวน้ การปฏบิ ตั อิ ยา่ งใดในต�ำ แหนง่ หรือหน้าที่หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ ที่อาจทำ�ให้ผู้อื่นเช่ือว่ามีตำ�แหน่ง หรอื หน้าทท่ี ง้ั ทตี่ นมิไดม้ ีต�ำ แหนง่ หรอื หนา้ ที่นน้ั หรอื ใช้อำ�นาจในตำ�แหน่งหรอื หน้าที่ ท้ังนี้ เพอ่ื แสวงหา ประโยชนท์ ม่ี ิควรได้โดยชอบส�ำ หรับตนเองหรอื ผอู้ ื่น” 74 หลกั สูตรโคช้ เพอื่ การรู้คดิ ต้านทุจรติ
นอกจากนี้ คำ�ว่าทุจริต ยังได้มีการบัญญัติให้ความหมายเอาไว้ในพจนานุกรมฉบับ ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยระบไุ ว้ว่าทจุ รติ หมายถงึ “ความประพฤติช่วั คดโกง ฉ้อโกง” ในค�ำ ภาษาองั กฤษ ค�ำ วา่ ทจุ รติ จะตรงกบั ค�ำ วา่ Corruption (คอรร์ ปั ชนั ) โดยในประเทศไทย มกั มกี ารกลา่ วถึงค�ำ ว่าคอรร์ ปั ชนั มากกวา่ การใช้คำ�วา่ ทจุ รติ โดยการทุจริตนส้ี ามารถใช้ได้กบั ทุกทีไ่ ม่วา่ จะเป็นหน่วยงานราชการ หน่วยงานของเอกชน หากเกิดกรณีการยึดเอา ถือเอาซ่ึงประโยชน์ส่วนตน มากกวา่ สว่ นรว่ ม ไมค่ �ำ นงึ ถงึ วา่ สงิ่ ๆ นนั้ เปน็ ของตนเอง หรอื เปน็ สทิ ธทิ ตี่ นเองควรจะไดม้ าหรอื ไมแ่ ลว้ นนั้ ก็จะเรยี กได้ว่าเปน็ การทจุ รติ เชน่ การทจุ รติ ในการเบกิ จา่ ยเงิน ไม่ว่าจะเกดิ ขึ้นในหน่วยงานของรฐั หรอื ของเอกชน การกระทำ�เช่นนี้กถ็ อื เป็นการทจุ ริต อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากคอร์รัปชันมิได้เกิดเฉพาะในวงราชการเท่านั้น ดังน้ัน ในอีกมุมหน่ึง คอรร์ ปั ชนั จงึ ตอ้ งหมายรวมถงึ การแสวงหาผลประโยชนข์ องภาคธรุ กจิ เอกชน ในรปู ของการใหส้ นิ บนหรอื ส่ิงตอบแทนแก่นักการเมืองหรือข้าราชการเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่ตนเองอยากได้ในรูปแบบของการ ประมลู การสัมปทานเปน็ ตน้ รปู แบบเหล่านจี้ ะสามารถสร้างกำ�ไรให้แก่ภาคเอกชนเป็นจ�ำ นวนมาก หาก ภาคเอกชนสามารถเข้ามาด�ำ เนนิ งานได้ รวมถงึ การทเ่ี จ้าหนา้ ทข่ี องรัฐมคี วามตอ้ งการทรพั ย์สนิ ประโยชน์อื่น นอกเหนอื จากสง่ิ ทไี่ ดร้ บั ตามปกติ เมอื่ เหตผุ ลของทง้ั สองฝา่ ยสามารถบรรจบหากนั ได้ การทจุ รติ กเ็ กดิ ขน้ึ ได้ จากนิยามของการทุจริตคอร์รัปชันไม่เพียงแต่จะกินความถึงการทุจริตคอร์รัปชันในระบบ ราชการเทา่ นน้ั แตย่ งั ครอบคลมุ ไปถงึ เรอื่ งกจิ กรรมทางการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คมในภาคเอกชนอกี ดว้ ย ซงึ่ อาจกล่าวไดว้ า่ การทุจริตคอรร์ ัปชนั คอื การทจุ รติ และ การประพฤตมิ ชิ อบของขา้ ราชการ ดังนัน้ การทจุ รติ คือ การคดโกง ไม่ซือ่ สัตยส์ ุจรติ การกระท�ำ ท่ีผิดกฎหมาย เพอ่ื ให้เกดิ ความได้ เปรียบในการแข่งขัน การใช้อำ�นาจหน้าที่ในทางท่ีผิดเพ่ือแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับส่ิงตอบแทน การให้ หรอื การรับสินบน การก�ำ หนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่ตนหรอื พวกพ้องรวมถงึ การทุจรติ เชิงนโยบาย ๑.๒ รปู แบบการทจุ ริต รปู แบบการทุจริตทเ่ี กิดขน้ึ สามารถแบง่ ได้ ๓ ลกั ษณะ คือ แบ่งตามผู้ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง แบ่งตามกระบวนการทใี่ ช้ และแบ่งตามลักษณะรูปธรรม ดงั นค้ี ือ ๑) แบ่งตามผู้ท่ีเก่ียวข้อง เปน็ รูปแบบการทจุ รติ ในเร่ืองของอำ�นาจและความสมั พันธ์ แบบอุปถมั ภร์ ะหวา่ งผ้ทู ีใ่ ห้การอปุ ถมั ภ์ (ผู้ใหก้ ารช่วยเหลือ) กับผู้ถกู อปุ ถัมภ์ (ผู้ท่ไี ดร้ บั การชว่ ยเหลอื ) โดยในกระบวนการการทจุ รติ จะมี ๒ ประเภทคือ (๑) การทจุ รติ โดยขา้ ราชการ หมายถงึ การกระท�ำ ทมี่ กี ารใชห้ นว่ ยงานราชการ เพอ่ื มงุ่ แสวงหาผลประโยชนจ์ ากการปฏบิ ตั งิ านของหนว่ ยงานนนั้ ๆ มากกวา่ ประโยชนส์ ว่ นรวมของสงั คม หรือประเทศ โดยลักษณะของการทจุ รติ โดยข้าราชการสามารถแบ่งออกเปน็ ๒ ประเภทย่อย ดังนี้ ก) การคอรร์ ปั ชนั ตามนา้ํ (corruption without theft) จะปรากฏขน้ึ เมอ่ื เจา้ หนา้ ท่ีของรัฐตอ้ งการสินบนโดยใหม้ ีการจา่ ยตามชอ่ งทางปกติของทางราชการ แต่ใหเ้ พิ่มสนิ บน รวมเข้าไวก้ บั การจ่ายคา่ บรกิ ารของหน่วยงานนนั้ ๆ โดยทเ่ี งนิ ค่าบริการปกตทิ ี่หนว่ ยงานนัน้ จะตอ้ งได้รบั ก็ยังคงไดร้ ับตอ่ ไป เช่น การจา่ ยเงินพเิ ศษใหแ้ ก่เจา้ หนา้ ทใ่ี นการออกเอกสารตา่ ง ๆ นอกเหนือจาก ค่าธรรมเนยี มปกติที่ตอ้ งจ่ายอยู่แลว้ เป็นตน้ ข) การคอรร์ ปั ชนั ทวนนาํ้ (corruption with theft) เปน็ การคอรร์ ปั ชนั ในลกั ษณะ ทเี่ จา้ หนา้ ทข่ี องรัฐจะเรียกร้องเงนิ จากผู้ขอรับบรกิ ารโดยตรง โดยทีห่ น่วยงานนนั้ ไม่ได้มีการเรยี กเกบ็ เงนิ คา่ บริการแต่อยา่ งใด เช่น ในการออกเอกสารของหนว่ ยงานราชการไม่ได้มีการก�ำ หนดให้ตอ้ งเสยี คา่ ใช้จ่าย ในการด�ำ เนินการ แตก่ รณีนมี้ กี ารเรยี กเกบ็ คา่ ใชจ้ า่ ยจากผูท้ ่ีมาใช้บริการของหนว่ ยงานของรฐั หลกั สูตรโค้ชเพอ่ื การรู้คิดต้านทจุ รติ 75
(๒) การทจุ รติ โดยนกั การเมอื ง (political corruption) เปน็ การใชห้ นว่ ยงานของ ทางราชการโดยบรรดานกั การเมอื งเพอื่ มงุ่ แสวงหาผลประโยชนใ์ นทางการเงนิ มากกวา่ ประโยชนส์ ว่ นรวม ของสงั คมหรอื ประเทศเชน่ เดยี วกนั โดยรปู แบบหรอื วธิ กี ารทวั่ ไปจะมลี กั ษณะเชน่ เดยี วกบั การทจุ รติ โดยขา้ ราชการ แตจ่ ะเปน็ ในระดบั ทสี่ งู กวา่ เชน่ การทจุ รติ ในการประมลู โครงการกอ่ สรา้ งขนาดใหญ่ และ มกี ารเรยี กรับ หรือยอมจะรับทรัพยส์ ินหรือประโยชนต์ า่ ง ๆ จากภาคเอกชน เปน็ ตน้ ๒) แบง่ ตามกระบวนการทใี่ ช้ มี ๒ ประเภท คือ (๑) เกดิ จากการใชอ้ ำ�นาจในการก�ำ หนด กฎ กตกิ าพืน้ ฐาน เชน่ การออกกฎหมาย และกฎระเบียบต่าง ๆ เพ่ืออ�ำ นวยประโยชน์ต่อกลุ่มธรุ กจิ ของตน หรอื พวกพอ้ ง และ (๒) เกดิ จากการใชอ้ �ำ นาจหนา้ ทเ่ี พอ่ื แสวงหาผลประโยชนจ์ ากกฎ และระเบยี บทด่ี �ำ รงอยู่ ซงึ่ มกั เกดิ จากความไมช่ ดั เจนของกฎและระเบยี บเหลา่ นนั้ ทท่ี �ำ ใหเ้ จา้ หนา้ ทสี่ ามารถใชค้ วามคดิ เหน็ ของตนได้ และการใช้ ความคดิ เห็นนั้นอาจไม่ถูกต้องหากมีการใชไ้ ปในทางทีผ่ ดิ หรอื ไม่ยุติธรรมได้ ๓) แบง่ ตามลักษณะรปู ธรรม มที ัง้ หมด ๔ รปู แบบคอื (๑) คอรร์ ัปชันจากการจัดซอ้ื จัดหา (Procurement Corruption) เช่น การจดั ซอ้ื สง่ิ ของในหนว่ ยงาน โดยมกี ารคดิ ราคาเพ่มิ หรือลดคุณสมบตั ิแตก่ �ำ หนดราคาซอ้ื ไวเ้ ทา่ เดิม (๒) คอรร์ ปั ชนั จากการใหส้ มั ปทานและสทิ ธพิ เิ ศษ (Concessionaire Corruption) เช่น การให้เอกชนรายใดรายหนึ่งเขา้ มามีสิทธใิ นการจดั ทำ�สัมปทานเปน็ กรณพี เิ ศษตา่ งกับเอกชนรายอืน่ (๓) คอรร์ ปั ชนั จากการขายสาธารณสมบตั ิ (Privatization Corruption) เชน่ การขายกจิ การของรฐั วสิ าหกจิ หรอื การยกเอาทดี่ นิ ทรพั ยส์ นิ ไปเปน็ สทิ ธกิ ารครอบครองของตา่ งชาติ เปน็ ตน้ (๔) คอรร์ ัปชนั จากการก�ำ กับดูแล (Regulatory Corruption) เช่น การก�ำ กับ ดแู ลในหน่วยงานแลว้ ท�ำ การทุจริตตา่ ง เป็นต้น นักวชิ าการท่ีได้ศึกษาเก่ยี วกบั ปัญหาการทุจรติ ไดม้ กี ารก�ำ หนดหรอื แบ่งประเภทของ การทจุ รติ เปน็ รปู แบบตา่ ง ๆ ไว้ เช่น การวิจัยของรองศาสตราจารย์ ดร.นวลน้อย ตรรี ตั น์ และคณะ ไดแ้ บ่งการทจุ รติ คอร์รปั ชันออกเป็น ๓ รูปแบบ ไดแ้ ก่ ๑) การใชอ้ ำ�นาจในการอนญุ าตใหล้ ะเวน้ จาก การปฏิบัตติ ามกฎระเบียบของรฐั เพือ่ ลดต้นทุนการทำ�ธุรกจิ ๒) การใช้อำ�นาจในการจดั สรรผลประโยชน์ ในรูปของสง่ิ ของ และบริการ หรอื สิทธใิ หแ้ ก่เอกชน และ ๓) การใชอ้ ำ�นาจในการสรา้ งอุปสรรคในการ ใหบ้ รกิ ารแกภ่ าคประชาชนและภาคธรุ กจิ เนอ่ื งจากเงนิ เดอื นและผลตอบแทนในระบบราชการต�ำ่ เกนิ ไป จนขาดแรงจงู ใจในการทำ�งาน นอกจากน้ี จากผลการสอบสวนและศึกษาเรื่องการทุจริต ของคณะกรรมการวิสามัญ พจิ ารณาสอบสวนและศึกษาเร่อื งเก่ียวกับการทุจริตของวุฒสิ ภา (วชิ า มหาคุณ) มกี ารแบง่ รูปแบบ การทุจรติ คอรร์ ัปชันออกเป็น ๕ ประเภท ได้แก่ ๑) การทจุ ริตเชงิ นโยบาย เปน็ รปู แบบใหมข่ องการทจุ รติ ทแี่ ยบยล โดยอาศยั รปู แบบของกฎหมายหรอื มตขิ องคณะ รัฐมนตรี หรอื มตขิ องคณะกรรมการเปน็ เครอ่ื งมอื ในการแสวงหาผลประโยชน์ ทำ�ใหป้ ระชาชนส่วนใหญ่ เขา้ ใจผดิ วา่ เป็นการกระทำ�ท่ถี กู ต้องชอบธรรม ๒) การทุจริตตอ่ ต�ำ แหนง่ หนา้ ที่ราชการ เปน็ การใชอ้ ำ�นาจและหนา้ ทใี่ นความรับผดิ ชอบของตนในฐานะเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั เออ้ื ประโยชนใ์ หแ้ กต่ นเองหรอื บคุ คลใดบคุ คลหนงึ่ หรอื กลมุ่ ใดกลมุ่ หนง่ึ ปจั จบุ นั มกั เกดิ จากความรว่ มมอื กนั ระหวา่ งนักการเมอื ง พ่อค้าและขา้ ราชการประจ�ำ 76 หลักสูตรโค้ชเพื่อการรคู้ ดิ ตา้ นทจุ รติ
๓) การทุจริตในการจัดซอื้ จัดจ้าง การทจุ รติ ประเภทนจี้ ะพบไดท้ ง้ั รปู แบบของการสมยอมราคา ตงั้ แตข่ นั้ ตอนการออกแบบ กำ�หนดรายละเอยี ดหรือสเป็กงาน ก�ำ หนดเง่ือนไข คำ�นวณราคากลาง ออกประกาศประกวดราคา การขายแบบ การรับและเปดิ ซอง การประกาศผล การอนุมตั ิ การท�ำ สญั ญาทกุ ขั้นตอนของกระบวน การจัดซือ้ จัดจ้างล้วนมชี อ่ งโหวใ่ ห้มีการทุจรติ กนั ไดอ้ ย่างง่าย ๆ นอกจากน้ี ยงั มกี ารทุจริตที่มาเหนอื เมฆ คอื การอาศยั ความเปน็ หนว่ ยงานราชการดว้ ยกนั จึงได้รับการยกเว้นและการไมถ่ กู เพง่ เล็ง แตค่ วามจริง ผลประโยชนจ์ ากการรบั งานและเงนิ ทไ่ี ดจ้ ากการรบั งานไมไ่ ดน้ �ำ สง่ กระทรวงการคลงั แตเ่ ปน็ ผลประโยชน์ ของกลมุ่ บคุ คล ซ่งึ ไม่แตกต่างอะไรกับการจ้างบริษทั เอกชน ๔) การทุจรติ ในการใหส้ มั ปทาน เปน็ การแสวงหาหรอื เออื้ ประโยชนโ์ ดยมชิ อบจากโครงการหรอื กจิ การของรฐั ซงึ่ รฐั ได้อนุญาตหรือมอบให้เอกชนดำ�เนินการแทนให้ลักษณะสัมปทานผูกขาดในกิจการใดกิจการหน่ึง เช่น การท�ำ สญั ญาสมั ปทานโรงงานสรุ า การทำ�สัญญาสัมปทานโทรคมนาคม เป็นตน้ ๕) การทุจริตโดยการทำ�ลายระบบตรวจสอบการใช้อ�ำ นาจรัฐ เปน็ การพยายามด�ำ เนนิ การใหไ้ ดบ้ คุ คลซงึ่ มสี ายสมั พนั ธก์ บั ผดู้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ทางการเมอื ง ในอนั ทจี่ ะเขา้ ไปด�ำ รงต�ำ แหนง่ ในองคก์ รอสิ ระตามรฐั ธรรมนญู ซงึ่ มอี �ำ นาจหนา้ ทใ่ี นการตรวจสอบ การใชอ้ �ำ นาจรฐั เชน่ คณะกรรมการการเลอื กตงั้ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ เปน็ ตน้ ท�ำ ใหอ้ งคก์ รเหลา่ นม้ี คี วามออ่ นแอ ไมส่ ามารถตรวจสอบการใหอ้ �ำ นาจรฐั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ๑.๓ สาเหตทุ ท่ี ำ�ใหเ้ กิดการทุจรติ จากการศกึ ษาวจิ ยั โครงการประเมนิ สถานการณด์ า้ นการทจุ รติ ในประเทศไทยของ รศ. ดร. เสาวนยี ์ ไทยรงุ่ โรจน์ ไดร้ ะบุ เงื่อนไข/สาเหตุทีท่ �ำ ใหเ้ กิดการทจุ ริตคอร์รปั ชนั่ อาจมาจากสาเหตุ ภายในหรอื สาเหตภุ ายนอก ดงั นี้ (๑) ปจั จยั สว่ นบคุ คล ไดแ้ ก่ พฤตกิ รรมสว่ นตวั ของขา้ ราชการบางคนทเี่ ปน็ คนโลภมาก เหน็ แก่ไดไ้ ม่รจู้ กั พอ ความเคยชนิ ของขา้ ราชการท่คี ุ้นเคยกบั การท่จี ะได้ “คา่ นํา้ ร้อนนาํ้ ชา” หรอื “เงนิ ใตโ้ ตะ๊ ” จากผ้มู าตดิ ต่อราชการ ขาดจิตส�ำ นึกเพื่อสว่ นรวม (๒) ปัจจัยภายนอก ประกอบด้วย ๑) ดา้ นเศรษฐกจิ ไดแ้ ก่ รายไดข้ องขา้ ราชการนอ้ ยหรอื ต�ำ่ มากไมไ่ ดส้ ดั สว่ นกบั คา่ ครองชพี ทีส่ งู ขน้ึ การเติบโตของระบบทุนนิยมที่เน้นการบริโภค สรา้ ง นิสยั การอยากได้ อยากมี เมือ่ รายไดไ้ มเ่ พียงพอกต็ อ้ งหาทางใช้อำ�นาจ ไปทุจริต ๒) ด้านสังคม ไดแ้ ก่ ค่านิยมของสงั คมท่ยี กย่องคนมีเงิน คนรา่ํ รวย และ ไม่สนใจวา่ เงินนนั้ ไดม้ าอยา่ งไร เกดิ ลทั ธเิ อาอยา่ ง อยากไดส้ ิง่ ทคี่ นรวยมี เม่อื เงินเดือนของตนไม่เพยี งพอ กห็ าโดยวิธีมิชอบ ๓) ด้านวัฒนธรรม ไดแ้ ก่ การนยิ มจ่ายเงนิ ของนกั ธรุ กิจใหก้ บั ข้าราชการ ท่ีต้องการความสะดวกรวดเร็ว หรอื การบริการที่ดีกว่าดว้ ยการลดต้นทุน ทจี่ ะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามระเบียบ ๔) ดา้ นการเมอื ง ไดแ้ ก่ การทจุ รติ ของขา้ ราชการแยกไมอ่ อกจากนกั การเมอื ง การร่วมมือของคนสองกลุ่มนี้เกิดข้ึนได้ในประเด็นการใช้จ่ายเงินการหา รายไดแ้ ละการตดั สนิ พิจารณาโครงการของรฐั หลกั สูตรโคช้ เพอ่ื การรคู้ ดิ ตา้ นทจุ ริต 77
๕) ดา้ นระบบราชการ ได้แก่ - ความบกพรอ่ งในการบริหารงานเปิดโอกาสให้เกิดการทุจรติ - การใช้ดลุ พนิ จิ มากและการผกู ขาดอำ�นาจจะทำ�ใหอ้ ตั ราการทุจริตใน หนว่ ยงานสงู - การท่ีขน้ั ตอนของระเบยี บราชการมีมากเกนิ ไป ทำ�ให้ผทู้ ่ีไปตดิ ตอ่ ต้อง เสียเวลามาก จงึ เกดิ การสมยอมกนั ระหว่างผ้ใู ห้กบั ผรู้ ับ - การตกอยใู่ ตภ้ าวะแวดลอ้ มและอทิ ธพิ ลของผทู้ จุ รติ มที างเปน็ ไปไดท้ ผี่ นู้ นั้ จะท�ำ การทุจริตด้วย - การรวมอ�ำ นาจ ระบบราชการมลี กั ษณะทร่ี วมศนู ย์ ท�ำ ใหไ้ มม่ รี ะบบตรวจสอบ ท่ีเป็นจรงิ และมปี ระสิทธภิ าพ - ตำ�แหน่งหน้าที่ในลักษณะอำ�นวยต่อการกระทำ�ผิด เช่น อำ�นาจในการ อนุญาต การอนมุ ตั ิจดั ซอ้ื จัดจา้ ง ผู้ประกอบการเอกชนมักจะยอมเสียเงนิ ตดิ สนิ บนเจา้ หนา้ ท่ีเพอื่ ให้เกดิ ความสะดวกและรวดเรว็ - การท่ีข้าราชการผู้ใหญ่ทุจริตให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วไม่ถูกลงโทษ ขา้ ราชการชน้ั ผนู้ อ้ ยจงึ เลยี นแบบกลายเปน็ ความเคยชนิ และมองไมเ่ หน็ วา่ การกระท�ำ เหลา่ นนั้ จะเปน็ การคอรร์ ปั ชนั่ หรอื มคี วามสบั สนระหวา่ ง สินน้าํ ใจกับคอร์รปั ช่ันแยกออกจากกนั ๖) กฎหมายและระเบยี บ ไดแ้ ก่ - กฎหมายหลายฉบับทใ่ี ช้อยยู่ งั มี “ช่องโหว”่ ทท่ี ำ�ให้เกิดการทจุ รติ ท่ีด�ำ รง อยู่ได้ - การทุจริตไม่ได้เป็นอาชญากรรมให้คู่กรณีท้ังสองฝ่าย หาพยานหลักฐาน ไดย้ าก ยงิ่ กวา่ นน้ั คกู่ รณที ง้ั สองฝา่ ยมกั ไมค่ อ่ ยมฝี า่ ยใดยอมเปดิ เผยออกมา และถา้ หากมฝี า่ ยใดตอ้ งการทจี่ ะเปดิ เผยความจรงิ ในเรอื่ งน้ี กฎหมาย หมน่ิ ประมาทกย็ บั ยงั้ เอาไว้ อกี ทง้ั กฎหมายของทกุ ประเทศเอาผดิ กบั บคุ คล ผใู้ หส้ นิ บนเทา่ ๆ กบั ผรู้ บั สนิ บน จงึ ไมค่ อ่ ยมผี ใู้ หส้ นิ บนรายใดกลา้ ด�ำ เนนิ คดี กับผรู้ บั สนิ บน - ราษฎรที่รู้เห็นการทุจริตก็เป็นโจทก์ฟ้องร้องมิได้เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหาย ยง่ิ กวา่ นัน้ กระบวนการพจิ ารณาพิพากษายงั ยุ่งยากซับซ้อนจนกลายเป็น ผลดแี ก่ผทู้ ุจริต - ขั้นตอนทางกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติยุ่งยาก ซับซ้อน มีข้ันตอนมาก ท�ำ ใหเ้ กิดชอ่ งทางใหข้ า้ ราชการหาประโยชนไ์ ด ้ ๗) การตรวจสอบ ได้แก่ - ภาคประชาชนขาดความเขม้ แขง็ ท�ำ ใหก้ ระบวนการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ จาก ฝ่ายประชาชนไมเ่ ข้มแข็งเท่าทีค่ วร - การขาดการควบคุมตรวจสอบ ของหน่วยงานท่ีมีหน้าท่ีตรวจสอบหรือ ก�ำ กบั ดแู ลอย่างจรงิ จัง 78 หลักสตู รโค้ชเพ่ือการร้คู ิดตา้ นทุจรติ
๘) สาเหตอุ ่นื ๆ - อิทธิพลของภรรยาหรือผู้หญิง เน่ืองจากเป็นผู้ใกล้ชิดสามีอันเป็นตัวการ สำ�คัญที่สนับสนุนและส่งเสริมให้สามีของตนทำ�การทุจริตเพื่อความเป็น อยขู่ องครอบครวั - การพนนั ท�ำ ใหข้ า้ ราชการท่เี สยี พนนั มแี นวโน้มจะทุจรติ มากขึน้ ๑.๔ ระดับการทุจริตในประเทศไทย ๑) การทุจริตระดับชาติ เป็นรูปแบบการทุจริตของนักการเมืองท่ีใช้อำ�นาจในการบริหาร ราชการ รวมถึงอำ�นาจนิติบัญญัติ เป็นเคร่ืองมือในการออกกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย การออกนโยบาย ตา่ งๆ โดยการอาศยั ชอ่ งวา่ งทางกฎหมาย ๒) การทจุ รติ ในระดบั ทอ้ งถน่ิ การบรหิ ารราชการในรปู แบบทอ้ งถนิ่ เปน็ การกระจายอ�ำ นาจ เพอื่ ให้บริการต่าง ๆ ของรฐั สามารถตอบสนองตอ่ ความต้องการของประชาชนได้มากขน้ึ แต่การดำ�เนิน การในรปู แบบของทอ้ งถน่ิ กก็ อ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาการทจุ รติ เปน็ จ�ำ นวนมาก ผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ จะเปน็ นกั การเมอื ง ทอี่ ยู่ในทอ้ งถ่ินนนั้ หรอื นักธุรกิจท่ีปรับบทบาทตนเองมาเป็นนกั การเมือง และเมือ่ เปน็ นกั การเมอื ง เป็นผู้บรหิ ารท้องถิ่นแลว้ ก็เปน็ โอกาสในการแสวงหาผลประโยชนส์ ำ�หรบั ตนเองและพวกพอ้ งได้ ระดบั การทจุ รติ ในประเทศไทยทแ่ี บง่ ออกเปน็ ระดบั ชาตแิ ละระดบั ทอ้ งถน่ิ สว่ นใหญม่ กั จะ มรี ปู แบบการทจุ รติ ทคี่ ลา้ ยกนั เชน่ การจดั ซอ้ื จดั จา้ ง การประมลู การซอื้ ขายต�ำ แหนง่ โดยเฉพาะในระดบั ทอ้ งถน่ิ ทม่ี ขี า่ วจ�ำ นวนมากเกยี่ วกบั ผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ เรยี กรบั ผลประโยชนใ์ นการปรบั เปลย่ี นต�ำ แหนง่ หรอื เลอ่ื นต�ำ แหนง่ เปน็ ตน้ โดยการทจุ รติ ทเี่ กดิ ขนึ้ อาจจะไมใ่ ชก่ ารทจุ รติ ทเี่ ปน็ ตวั เงนิ ใหเ้ หน็ ไดช้ ดั เจนเทา่ ใด แตจ่ ะแฝงตวั อยใู่ นรปู แบบตา่ ง ๆ หากไมพ่ จิ ารณาใหด้ แี ลว้ อาจมองไดว้ า่ การกระท�ำ ดงั กลา่ วไมใ่ ชก่ ารทจุ รติ แต่แท้จริงแล้วการกระทำ�น้ันเป็นการทุจริตอย่างหน่ึง และร้ายแรงมากพอท่ีจะส่งผลกระทบ และก่อให้ เกิดความเสยี หายต่อสังคม ประเทศชาติไดเ้ ชน่ กนั ตวั อยา่ งเช่น การประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงานซงึ่ ผบู้ งั คบั บญั ชาใหค้ ะแนนประเมนิ พเิ ศษแกล่ กู นอ้ งทตี่ นเองชอบ ท�ำ ใหไ้ ดร้ บั เงนิ เดอื นในอตั ราทส่ี งู กวา่ ความ เปน็ จรงิ ทบี่ คุ คลนนั้ ควรจะไดร้ บั เปน็ ตน้ การกระท�ำ ดงั กลา่ วถอื เปน็ ความผดิ ทางวนิ ยั ซงึ่ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั จะมีบทบญั ญัตเิ กี่ยวกบั ประมวลจรยิ ธรรมข้าราชการพลเรอื นให้ยดึ ถือปฏบิ ตั อิ ยู่แล้ว ๑.๕ สถานการณ์การทจุ ริตของประเทศไทย การทจุ รติ ทเี่ กดิ ขน้ึ ยอ่ มสง่ ผลตอ่ ภาพลกั ษณข์ องประเทศ หากประเทศใดมกี ารทจุ รติ นอ้ ยจะสง่ ผล ให้ประเทศน้ันมคี วามเป็นอยทู่ ี่ดี นกั ลงทุนมคี วามตอ้ งการทจี่ ะมาลงทนุ ในประเทศ ซง่ึ หมายถึงเศรษฐกจิ ของประเทศจะสามารถพฒั นาไปไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง แตห่ ากมกี ารทจุ รติ เปน็ จ�ำ นวนมากนกั ธรุ กจิ ยอ่ มไมก่ ลา้ ทจี่ ะลงทุนในประเทศน้ัน ๆ เนอื่ งจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการท�ำ ธุรกิจทีม่ ากกว่าปกติ แตห่ ากสามารถดำ�เนิน ธุรกิจดังกล่าวได้ ผลท่ีเกิดขึ้นย่อมตกแก่ผู้บริโภคที่จะต้องซื้อสินค้าและบริการท่ีมีราคาสูง หรืออีกกรณีหน่ึง คือ การใชส้ นิ คา้ และบรกิ ารทไ่ี ม่มคี ุณภาพ ดงั นั้น จึงไดม้ กี ารวัดและจดั อนั ดบั ประเทศตา่ ง ๆ เพ่อื บ่งบอก ถึงสถานการณก์ ารทจุ ริต ซง่ึ การทุจริตที่ผ่านมานอกจากจะพบเหน็ ข่าวการทจุ ริตดว้ ยตนเอง และผ่านสอ่ื ตา่ งๆ แล้ว ยังมีตวั ช้วี ดั ทส่ี ำ�คญั อกี ตวั หนงึ่ ทไ่ี ด้รับการยอมรบั คือ ตัวชว้ี ัดขององค์กร เพ่ือความโปรง่ ใสนานาชาติ (Transparency International : TI) ไดจ้ ดั อันดับดชั นีการรบั รู้การทจุ รติ ประจ�ำ ปี ๒๕๖๐ พบวา่ ประเทศไทยได้ ๓๗ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน อยอู่ ันดบั ที่ ๙๖ จากการ จดั อันดับท้ังหมด ๑๘๐ ประเทศทั่วโลก หากเทียบกบั ปี ๒๕๕๙ ประเทศไทยได้คะแนน ๓๕ คะแนน อยูล่ �ำ ดบั ที่ ๑๐๑ เท่ากับว่าประเทศไทย มคี ะแนนความโปร่งใสดขี ้ึน แตย่ งั แสดงใหเ้ ห็นวา่ ประเทศไทยยงั มีการทุจรติ คอร์รปั ชันอยูใ่ นระดับสูงซงึ่ สมควรไดร้ บั การแกไ้ ขอย่างเรง่ ดว่ น โดยคะแนนของประเทศไทยมีดงั ตารางนี้ หลกั สตู รโค้ชเพอ่ื การร้คู ิดตา้ นทจุ ริต 79
ตารางที่ ๑ แสดงคา่ คะแนนดัชนีการรับร้กู ารทจุ รติ ของประเทศไทย ระหวา่ งปี ๒๕๔๗ – ๒๕๖๐ ปี พ.ศ. คะแนน อนั ดบั จ�ำ นวนประเทศ ๒๕๔๗ ๓.๖๐ (คะแนนเตม็ ๑๐) ๖๔ ๑๔๖ ๒๕๔๘ ๓.๘๐ (คะแนนเต็ม ๑๐) ๕๙ ๑๕๙ ๒๕๔๙ ๓.๖๐ (คะแนนเตม็ ๑๐) ๖๓ ๑๖๓ ๒๕๕๐ ๓.๓๐ (คะแนนเต็ม ๑๐) ๘๔ ๑๗๙ ๒๕๕๑ ๓.๕๐ (คะแนนเต็ม ๑๐) ๘๐ ๑๘๐ ๒๕๕๒ ๓.๔๐ (คะแนนเตม็ ๑๐) ๘๔ ๑๘๐ ๒๕๕๓ ๓.๕๐ (คะแนนเตม็ ๑๐) ๗๘ ๑๗๘ ๒๕๕๔ ๓.๔๐ (คะแนนเตม็ ๑๐) ๘๐ ๑๘๓ ๒๕๕๕ ๓๗ (คะแนนเตม็ ๑๐๐) ๘๘ ๑๗๖ ๒๕๕๖ ๓๕ (คะแนนเต็ม ๑๐๐) ๑๐๒ ๑๗๗ ๒๕๕๗ ๓๘ (คะแนนเตม็ ๑๐๐) ๘๕ ๑๗๕ ๒๕๕๘ ๓๘ (คะแนนเต็ม ๑๐๐) ๗๖ ๑๖๘ ๒๕๕๙ ๓๕ (คะแนนเตม็ ๑๐๐) ๑๐๑ ๑๗๖ ๒๕๖๐ ๓๗ (คะแนนเต็ม ๑๐๐) ๙๖ ๑๘๐ และเมอื่ จดั อนั ดบั ประเทศในกลมุ่ อาเซยี น จำ�นวน ๑๐ ประเทศ เพื่อเปรยี บเทียบดชั นีรับรู้ การทจุ รติ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ประเทศสงิ คโปรย์ งั คงอนั ดบั หนงึ่ ในกลมุ่ อาเซยี นเชน่ เดยี วกบั ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามตารางดา้ นล่างนี้ 80 หลกั สูตรโค้ชเพอ่ื การรคู้ ิดต้านทุจริต
ตารางที่ ๒ แสดงค่าคะแนนดชั นีการรับรู้การทจุ รติ ประจำ�ปี ๒๕๕๘ - ๒๕๖๐ ในภูมภิ าคอาเซยี น ลำ�ในดับอาปเรซะยี เนทศ ประเทศ คะแนนปี ๒๕๖๐ คะแนนปี ๒๕๕๙ คะแนนปี ๒๕๕๘ ๑ สงิ คโปร์ ๘๔ ๘๔ ๘๕ ๒ บรูไน ๖๒ ๕๘ - ๓ มาเลเซยี ๔๗ ๔๙ ๕๐ ๔ อนิ โดนเี ซีย ๓๗ ๓๗ ๓๖ ๕ ไทย ๓๗ ๓๕ ๓๘ ๖ เวยี ดนาม ๓๕ ๓๓ ๓๑ ๗ ฟลิ ปิ ปินส์ ๓๔ ๓๕ ๓๕ ๘ พม่า ๓๐ ๒๘ ๒๒ ๙ ลาว ๒๙ ๓๐ ๒๖ ๑๐ กัมพูชา ๒๑ ๒๑ ๒๑ ในการประเมนิ ดัชนีการรับรู้การทุจรติ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จะถกู ประเมินจากแหล่งขอ้ มูล ๙ แหลง่ ครอบคลมุ ดา้ นต่าง ๆ ทง้ั ด้านเศรษฐกิจ การเมอื ง การจัดการของรฐั บาล ความสามารถ ในการแขง่ ขนั ระดบั ประเทศ ความคิดเห็นเกย่ี วกบั การรบั รู้การทุจรติ ประสทิ ธิภาพของภาครฐั และ ภาคเอกชนในการดำ�เนนิ งานและการวัดดา้ นความเปน็ ประชาธปิ ไตยของประเทศ โดยวัดจาก ความคิดเหน็ ของประชาชนวา่ ประเทศนน้ั มีความเป็นประชาธิปไตยมากน้อยแคไ่ หน เชน่ การมสี ว่ นรว่ ม ความเปน็ เอกฉนั ท์ การเลอื กตงั้ ความเทา่ เทยี ม ความเปน็ เสรี โดยทง้ั หมดนจี้ ะใชร้ ปู แบบของการสอบถาม จากนักลงทนุ ชาวตา่ งชาติทเี่ ขา้ มาทำ�ธรุ กิจในประเทศ ๑.๖ ผลกระทบจากการทจุ ริตตอ่ การพัฒนาประเทศ การทจุ รติ มผี ลกระทบตอ่ การพฒั นาประเทศในทกุ ๆดา้ นเปน็ พน้ื ฐานทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ ของคนในชาติ จากการเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศ ประชาชนได้รับบริการ สาธารณะหรือสิ่งอำ�นวยความสะดวกไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น เงินภาษีของประชาชนตกไปอยู่ใน กระเป๋าของผู้ทุจริต และผลกระทบอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากน้ีแล้ว หากพิจารณาในแง่การลงทุนจาก ตา่ งประเทศเพื่อประกอบกิจการต่างๆ ภายในประเทศ พบวา่ นักลงทนุ ตา่ งประเทศจะมองวา่ การทจุ รติ ถือว่าเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง ซ่ึงนักลงทุนจากต่างประเทศจะใช้ประกอบการพิจารณาการลงทุนประกอบกับ ปัจจัยด้านอื่น ๆ ทั้งน้ี หากต้นทุนที่ต้องเสียจากการทุจริตมีต้นทุนท่ีสูง นักลงทุนจากต่างประเทศอาจ พิจารณาตัดสินใจการลงทุนไปยังประเทศอ่ืน ส่งผลให้การจ้างงาน การสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนลดลง เม่ือประชาชนมีรายได้ลดลงก็จะส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีอากรซึ่งเป็นรายได้ของรัฐลดลง จึงส่งผลต่อ การจดั สรรงบประมาณและการพฒั นาประเทศ หลักสูตรโคช้ เพ่ือการรู้คดิ ตา้ นทุจริต 81
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้สำ�รวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทยจากกลุ่มตัวอย่าง ๒,๔๐๐ ตัวอย่าง จากประชาชนท่ัวไป ผู้ประกอบการภาคเอกชน และข้าราชการ/ภาครัฐ เม่ือเดือน มิถุนายน ๒๕๕๙ พบว่า หากเปรียบเทียบความรุนแรงของปัญหาการทจุ ริตในปัจจุบันกบั ปีท่ผี า่ นมา พบว่า ผู้ที่ตอบวา่ รุนแรงเพ่ิมข้ึนมี ๓๘% รนุ แรงเทา่ เดมิ ๓๐% ส่วนสาเหตกุ ารทุจรติ อันดบั หนึ่ง คอื กฎหมาย เปดิ โอกาสใหเ้ จา้ หนา้ ทใี่ ชด้ ลุ พนิ จิ ทเ่ี ออื้ ตอ่ การทจุ รติ อนั ดบั สอง ความไมเ่ ขม้ งวดของการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย อนั ดบั สาม กระบวนการทางการเมอื งขาดความโปรง่ ใส ตรวจสอบไดย้ าก สว่ นรปู แบบการทจุ รติ ทเี่ กดิ ขนึ้ บอ่ ยทส่ี ุด อนั ดับหนงึ่ คือ การใหส้ ินบน ของก�ำ นัล หรือรางวลั อนั ดบั สอง การใช้ช่องโหวท่ างกฎหมาย เพือ่ แสวงหาประโยชน์สว่ นตัว อนั ดบั สาม การใช้ต�ำ แหนง่ ทางการเมืองเพื่อเออื้ ประโยชนแ์ กพ่ รรคพวก ส�ำ หรบั ความเสียหายจากการทจุ ริต โดยการประเมนิ จากงบประมาณรายจา่ ยปี ๒๕๕๙ ที่ ๒.๗๒ ล้านล้านบาท ว่าแมจ้ ะมกี ารจ่ายเงนิ ใต้โต๊ะ แตอ่ ัตราการจ่ายอยู่ทเ่ี ฉลีย่ ๑-๑๕% โดยหากจา่ ยท่ี ๕% ความเสียหายจะอยทู่ ่ี ๕๙,๖๑๐ ลา้ นบาท หรอื ๒.๑๙% ของงบประมาณ และมีผลทำ�ใหอ้ ตั ราการ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ลดลง ๐.๔๒% แตห่ ากจา่ ยท่ี ๑๕% คิดเปน็ ความเสียหาย ๑๗๘,๘๓๐ ล้านบาท หรอื ๖.๕๗% ของเงินงบประมาณ และมผี ลทำ�ให้เศรษฐกิจลดลง ๑.๒๗% โดยการลดการเรยี กเงินสนิ บนลง ทุก ๆ ๑% จะทำ�ให้มลู คา่ ความเสยี หายจากการทุจริตลดลง ๑๐,๐๐๐ ลา้ นบาท ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทยมีหน่วยงานหลักท่ีดำ�เนินการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ คอื ส�ำ นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ (สำ�นักงาน ป.ป.ช.) นอกจากนี้ยงั มีหน่วยงานอืน่ ท่มี ภี ารกิจในลักษณะเดียวกันหรือใกลเ้ คยี งกับส�ำ นักงาน ป.ป.ช. เชน่ ส�ำ นักงานการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ สำ�นกั งานผู้ตรวจการแผน่ ดิน สำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมือในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตอีกหลายหน่วยงาน และสำ�หรับหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบันประเทศไทยได้มี การประกาศใชย้ ุทธศาสตร์ชาตวิ า่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต ระยะท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) เพือ่ เป็นมาตรการ แนวทางการดำ�เนนิ งานทง้ั ของภาครัฐและภาคเอกชน ๑.๗ ทิศทางการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต ประเทศไทยได้มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการทุจริตมาอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัย ความรว่ มมอื ทง้ั หนว่ ยงานของรฐั หนว่ ยงานของเอกชน และภาคประชาชนในการรว่ มมอื ปอ้ งกนั และปราบ ปรามการทุจรติ รวมถึงไดม้ กี ารออกกฎหมายลงโทษผู้ทก่ี ระทำ�ความผิด มกี ารจดั ตั้งศาลอาญาคดที จุ ริต และประพฤติมชิ อบเพื่อทำ�หนา้ ทใี่ นการด�ำ เนนิ คดีกับบุคคลทีท่ ำ�การทจุ ริต นอกจากนี้ยังได้มีการกำ�หนด ยุทธศาสตรช์ าตวิ า่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต ซงึ่ ฉบบั ปจั จบุ นั เป็นฉบับท่ี ๓ มีกำ�หนดใช้ ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔ โดยมีวิสัยทัศนว์ า่ “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทงั้ ชาตติ ้านทจุ ริต (Zero Tolerance & Clean Thailand) และมพี นั ธกจิ คอื สรา้ งวฒั นธรรมตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ยกระดบั ธรรมาภบิ าล ในการบรหิ ารจดั การทกุ ภาคสว่ นแบบบรู ณาการ และปฏริ ปู กระบวนการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ท้งั ระบบใหม้ ีมาตรฐานสากล โดยมีรายละเอียด ดังน้ี ยทุ ธศาสตร์ชาตวิ ่าดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ยทุ ธศาสตรช์ าตฯิ ระยะท่ี ๓ ประกอบดว้ ยยทุ ธศาสตร์ จ�ำ นวน ๖ ยทุ ธศาสตร์ เปน็ การด�ำ เนนิ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งระบบ ต้ังแต่การป้องกันการทุจริตโดยใช้ประบวนการปลูกฝัง คณุ ธรรมจรยิ ธรรม ผา่ นกจิ กรรมและการเรยี นการสอน รวมถงึ การปอ้ งกนั การทจุ รติ เชงิ ระบบ นอกจากน้ี รวมไปถงึ การด�ำ เนนิ การในสว่ นการตรวจสอบทรพั ยส์ นิ ทเ่ี ปน็ การตรวจสอบบญั ชแี สดงรายการทรพั ยส์ นิ 82 หลกั สตู รโค้ชเพ่อื การรูค้ ดิ ตา้ นทุจรติ
และหนี้สินของเจ้าหน้าท่ีของรัฐว่าจะมีแนวทางในการดำ�เนินงานอย่างไร และด้านการปราบปรามการ ทุจรติ เพือ่ ให้การด�ำ เนินการดา้ นปราบปรามการทจุ รติ มปี ระสทิ ธิภาพมากข้ึน ทงั้ น้ี เพื่อเปน็ การยกระดบั คา่ CPI ใหไ้ ดค้ ะแนน ๕๐ คะแนน ตามท่ตี ้ังเป้าหมายไว้ โดยมรี ายละเอียดแตล่ ะยุทธศาสตร์ ดงั นี้ ยุทธศาสตร์ท่ี ๑ : สรา้ งสังคมท่ีไมท่ นต่อการทจุ รติ มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการปรบั ฐานความคดิ ทกุ ชว่ งวยั ใหม้ คี า่ นยิ มรว่ มตา้ นทจุ รติ มจี ติ ส�ำ นกึ สาธารณะ และสามารถแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม และสร้าง กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ อย่างเปน็ ระบบ รวมถงึ การ บูรณาการและเสรมิ พลังการมีสว่ นร่วมของทุกภาคส่วนในการผลกั ดันให้เกิดสงั คมทไ่ี มท่ นตอ่ การทุจริต ยุทธศาสตร์ที่ ๒ : ยกระดับเจตจ�ำ นงทางการเมืองในการตอ่ ตา้ นการทุจริต มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้เจตจำ�นงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตของประชาชนได้ รับการปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และเพ่ือรักษาเจตจำ�นงทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาการ ทุจริตให้เป็นสว่ นหน่งึ ของนโยบายรัฐบาลในแต่ละชว่ ง ยุทธศาสตร์ท่ี ๓ : สกดั กน้ั การทจุ ริตเชิงนโยบาย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กระบวนการนโยบายเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล สามารถ กระจายผลประโยชนส์ ู่ประชาชนอยา่ งเปน็ ธรรม และไม่มลี ักษณะของการขดั กนั แห่งผลประโยชน์ และ เพือ่ แกไ้ ขปญั หาการทจุ รติ เชงิ นโยบายทกุ ระดบั ยุทธศาสตรท์ ี่ ๔ : พัฒนาระบบปอ้ งกนั การทจุ ริตเชงิ รุก มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ พฒั นากลไกการปอ้ งกนั การทจุ รติ ใหเ้ ทา่ ทนั ตอ่ สถานการณก์ ารทจุ รติ พฒั นากระบวนการทำ�งานดา้ นการป้องกนั การทุจรติ ให้สามารถปอ้ งกันการทจุ ริตให้มปี ระสิทธภิ าพ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในการบูรณาการการทำ�งานระหว่างองค์กรที่เก่ียวข้องกับการป้องกันการทุจริต และเปน็ การปอ้ งกันไมใ่ หม้ กี ารทุจรติ เกิดขนึ้ ในอนาคต ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๕ : ปฏิรปู กลไกและกระบวนการปราบปรามการทจุ ริต มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ปรบั ปรงุ และพฒั นากลไกและกระบวนการปราบปรามการทจุ รติ ใหม้ ี ความรวดเรว็ มปี ระสทิ ธภิ าพ และเทา่ ทนั ตอ่ พลวตั ของการทจุ รติ การตรากฎหมายและปรบั ปรงุ กฎหมาย ให้กระบวนการปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพ บูรณาการกระบวนการปราบปรามการทุจริตของ หน่วยงานที่เก่ียวข้องทั้งระบบ และเพื่อให้ผู้กระทำ�ความผิดถูกดำ�เนินคดีและลงโทษอย่างเป็นรูปธรรม และเทา่ ทนั ต่อสถานการณ์ ยุทธศาสตรท์ ่ี ๖ : ยกระดับคะแนนดชั นกี ารรบั รู้การทุจรติ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยให้มีระดับ รอ้ ยละ ๕๐ ข้นึ ไปเปน็ เปา้ หมายท่ตี อ้ งการยกระดบั คะแนนให้มคี ่าสงู ข้ึน หากไดร้ บั คะแนนมากจะหมายถงึ การท่ีประเทศนั้นมีการทุจริตน้อย ดังน้ัน ยทุ ธศาสตร์ท่ี ๖ น้ี จงึ ถือเปน็ เป้าหมายสำ�คญั ในการท่ีจะตอ้ งม่งุ ม่นั ในการด�ำ เนินการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต ๑.๘ กรณีตัวอย่างผลที่เกิดจากการทจุ รติ คดที ุจรติ จดั ซ้ือรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร แต่เดิมภารกิจด้านการดับเพลิงเป็นภารกิจของตำ�รวจดับเพลิง มีฐานะเป็นกองบังคับการ ต�ำ รวจดบั เพลงิ ปฏบิ ตั งิ านทางดา้ นปอ้ งกนั ระงบั อคั คภี ยั และบรรเทาสาธารณภยั จนกระทงั่ ไดม้ แี นวคดิ ที่ จะปรบั ปรงุ โครงสรา้ งของส�ำ นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาติ ซง่ึ เปน็ หนว่ ยงานตน้ สงั กดั ของ กองบงั คบั การต�ำ รวจดบั เพลงิ หลักสูตรโค้ชเพ่อื การรคู้ ิดตา้ นทุจรติ 83
ใหม้ ขี นาดเลก็ ลง โดยมแี นวคดิ ทจี่ ะโอนภารกจิ ทไ่ี มใ่ ชห่ นา้ ทข่ี องต�ำ รวจโดยตรงใหไ้ ปอยใู่ นความรบั ผดิ ชอบ ของหน่วยงานที่มีหน้าท่ีรับผิดชอบโดยตรง งานด้านดับเพลิงและกู้ภัย ถือเป็นภารกิจหน่ึงที่มิใช่หน้าที่ โดยตรงของส�ำ นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาติ จงึ เหน็ ควรทจ่ี ะโอนภารกจิ ดงั กลา่ วใหก้ รงุ เทพมหานครรบั ไปด�ำ เนนิ การ โดยเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ คณะรฐั มนตรไี ดม้ มี ตใิ หส้ �ำ นกั งานต�ำ รวจแหง่ ชาตถิ า่ ยโอนภารกจิ ปอ้ งกนั และระงบั อคั คภี ยั ให้กรุงเทพมหานคร มีสถานะเปน็ สำ�นกั ชือ่ ว่า ส�ำ นักป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั คดที จุ ริต จัดซอ้ื รถและเรอื ดับเพลิงของกรงุ เทพมหานคร มผี เู้ กย่ี วขอ้ งทงั้ เจ้าหน้าทีข่ องรัฐและเอกชน โดยเอกชน ท่ีเขา้ มาท�ำ ธุรกิจการขายรถและเรือดบั เพลิง คือ บรษิ ัท ส. โดยเม่อื เดอื นตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๖ บริษทั สไตเออรเ์ ดมเลอร์พุคสเปเชียลฟาห์รซอยก์ จ�ำ กดั ถูกบรษิ ัท General Dynamics Worldwide Holdings, Inc. ของสหรฐั อเมรกิ าซอ้ื กจิ การทัง้ หมด แต่ยงั คงเปน็ บริษทั ถกู ตอ้ งตามกฎหมาย ของประเทศออสเตรยี บริษทั สไตเออร์เดมเลอรพ์ คุ สเปเชียลฟาห์รซอยก์ จ�ำ กัด วา่ จา้ งบริษทั Somati Vehicle N.V. ของประเทศเบลเยยี่ มเปน็ ผรู้ บั จา้ งจดั หา ผลติ และประกอบรถดบั เพลงิ และอปุ กรณ์ บรรเทาสาธารณภยั (ยกเวน้ เรือดบั เพลงิ ) ใหก้ ับกรุงเทพมหานครโดยไดร้ บั คา่ จ้างผลิตราว ๒๘ ลา้ นยโู ร หรือราว ๑,๔๐๐ ล้านบาท บรษิ ทั สไตเออรฯ์ จงึ ไมใ่ ชผ่ ูผ้ ลติ และประกอบสินค้าเพ่อื เสนอขายโดยตรง แต่เปน็ เพยี งนายหนา้ และบริหารจัดการในการจดั หาสนิ ค้าใหก้ บั กรงุ เทพมหานครเทา่ นนั้ ในชว่ งเดือนมิถนุ ายน ๒๕๔๖ เอกอัครราชทตู ออสเตรียประจำ�ประเทศไทยไดม้ ีหนงั สอื ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอโครงการขายรถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ของ บริษัท สไตเออร์เดมเลอร์พุคสเปเชียลฟาหร์ ซอยก์ จ�ำ กดั โดยเปน็ ข้อเสนอให้ด�ำ เนินการในลกั ษณะ รฐั ตอ่ รัฐ และบริษัท สไตเออร์ฯ ไดเ้ ชญิ นาย ป. รฐั มนตรชี ่วยวา่ การกระทรวงมหาดไทยดูงานโรงงานผลิต ของบริษทั MAN ซึง่ ผลิตตัวรถดบั เพลิงให้ บรษิ ทั สไตเออรฯ์ ท่ปี ระเทศออสเตรียและเบลเยยี่ ม และ นาย ส. ผวู้ ่าราชการกรงุ เทพมหานคร ได้อนุมตั ิโครงการจัดซ้อื ครุภณั ฑ์เพอ่ื ใชใ้ นกิจการดับเพลิง ตามที่ พล.ต.ต. อ. ผอู้ �ำ นวยการส�ำ นกั ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั กรงุ เทพมหานครเสนอ ไดแ้ ก่ รถดบั เพลงิ ชนดิ ตา่ งๆ และรถบรรทกุ นา้ํ รวม ๓๑๕ คนั และเรอื ดบั เพลงิ ๓๐ ล�ำ ตลอดจนอปุ กรณส์ าธารณภยั อนื่ ๆ ซ่งึ ตรงกนั กบั รายการในใบเสนอราคาของบริษทั สไตเออรฯ์ ผา่ นเอกอัครราชทตู ออสเตรยี จากน้ัน คณะรัฐมนตรีมีมติอนมุ ตั ิในหลักการโดยมกี ารจดั ทำ� A.O.U. (Agreement of Understanding) และขอ้ ตกลงซ้ือขาย (Purchase/Sale Agreement) โดยทูตพาณิชยแ์ ห่งสาธารณรัฐออสเตรียย่นื รา่ ง A.O.U. ใหแ้ ก่ พล.ต.ต. อ. ซงึ่ น�ำ เสนอตอ่ นาย ส. โดยตรงโดยไมผ่ า่ นปลดั กรงุ เทพมหานคร นาย ส. ลงนามรบั ทราบ บนั ทึกและเสนอต่อนาย ภ. รฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหลังจากทีไ่ ดม้ ีการลงนามรว่ มกนั คุณหญิง ณ. ปลัดกรุงเทพมหานคร ได้ส่งร่างข้อตกลงซื้อขายยานพาหนะและอุปกรณ์ดับเพลิงระหว่าง กรุงเทพมหานครกับ บริษัท สไตเออร์ฯ ให้สำ�นักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาตามข้อบัญญัติ กรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๘ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ด�ำ เนนิ การก่อหนี้ผูกพนั ขา้ มปงี บประมาณโครงการจดั ซอื้ รถและเรอื ดบั เพลิงในวงเงนิ ๖,๖๘๗,๔๘๙,๐๐๐ บาท และอนมุ ตั วิ งเงนิ เพ่ิมเตมิ เพ่ือเปน็ คา่ ธรรมเนียมในการเปดิ Letter of Credit (L/C) อกี จ�ำ นวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท หรอื ตามจ�ำ นวนทจ่ี า่ ยจรงิ รวมทง้ั ใหก้ ระทรวงพาณชิ ยเ์ รง่ รดั ด�ำ เนนิ การเกย่ี วกบั การค้าต่างตอบแทนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๗ โดยให้เน้นไก่ต้มสุกเป็นสินค้าท่ีจะ ด�ำ เนินการเป็นลำ�ดบั แรก ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้มีการเปล่ียนแปลงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นนาย อ. และ ก่อนมอบหมายงานในหน้าท่ีให้กับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ นาย ส. ซ่ึงเป็นผู้ว่าราชการ 84 หลักสตู รโคช้ เพ่อื การร้คู ิดตา้ นทุจรติ
กรงุ เทพมหานครคนเดมิ ไดม้ หี นงั สอื ถงึ ผจู้ ดั การธนาคารกรงุ ไทย ขอเปดิ L/C วงเงนิ ๑๓๓,๗๔๙,๗๘๐ ยโู ร ใหก้ บั บรษิ ัท สไตเออร์ฯ โดยกรุงเทพมหานครช�ำ ระค่าธรรมเนียม เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ มอบอ�ำ นาจให้พล.ต.ต. อ. ผ้อู �ำ นวยการสำ�นกั ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยกรงุ เทพมหานคร เป็นผู้ด�ำ เนนิ การและลงนาม ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ด�ำ เนินการไตส่ วนการด�ำ เนนิ การดงั กลา่ วของ กรงุ เทพมหานคร และยืน่ ฟ้องตอ่ ศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผดู้ �ำ รงตำ�แหนง่ ทางการเมอื ง จากการ กระทำ�ดังกล่าวท่ีเกดิ ข้นึ กอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบทเี่ สียหายและรุนแรง โดยราคาของรถและเรอื ดับเพลงิ ที่กรุงเทพมหานครซือ้ มาน้นั มีราคาทสี่ ูงมาก ส่งผลใหร้ ัฐสญู เสียงบประมาณไปอยา่ งน่าเสียดาย ซึ่งความ เสียหายท่ีเกดิ ขึ้นมีดงั นี้ ตารางท่ี ๓ เปรียบเทียบราคาจากการจัดซอ้ื ของกรมปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั เมือ่ พ.ศ. ๒๕๔๗ กบั กรุงเทพมหานคร รถดับเพลิง ๔x๔ + สูบนำ้�แบกหาม รายละเอยี ด ความแตกตา่ ง โครงประธานรถเครอื่ งยนตย์ ห่ี อ้ มติ ซบู ชิ ิ ๒,๕๐๐ ซซี ี ๔x๔ กรงุ เทพมหานครซ้อื แพงกว่า คันละ ประกอบโดย บริษทั กาญจนาอิควปิ เม้นท์ จ�ำ กดั ๒,๑๕๔,๐๕๐ บาท รวม ๗๒ คนั เปน็ เงนิ แพงกว่า เครื่องดับเพลงิ ชนิดหาบหามจากญปี่ ุ่น ๑๕๔,๘๗๕,๖๐๐ บาท รถดับเพลิง + บนั ได ๑๓ เมตร รายละเอยี ด ความแตกต่าง โครงประธานรถผลิตภณั ฑฟ์ นิ แลนด ์ กรงุ เทพมหานครซอื้ แพงกวา่ คนั ละ ๑๗,๑๔๓,๒๐๐ บาท ซ้ือจาก บริษัท เชส เอ็นเตอร์ไพรส์ (สยาม) จำ�กัด รวม ๙ คนั เป็นเงินแพงกว่า ๑๕๔,๘๗๕,๖๐๐ บาท มาตรฐานใกล้เคียงกันเครื่องสบู น�ำ้ สมรรถนะสูงกว่า รถดับเพลิง ๒,๐๐๐ ลิตร รายละเอยี ด ความแตกต่าง ซื้อจาก บริษทั ตรเี พชรอซี ูซุเซลส์ จ�ำ กัด กรงุ เทพมหานครซอ้ื แพงกวา่ คนั ละ ๑๕,๔๕๕,๓๗๐ บาท รวม ๑๔๔ คนั เปน็ เงนิ แพงกวา่ ๒,๒๒๕,๕๗๓,๒๘๐ บาท รถถังน�ำ้ ๒๐,๐๐๐ ลิตร รายละเอยี ด ความแตกต่าง ขนาด ๑๐,๐๐๐ ลิตร ซ้อื จาก กรงุ เทพมหานครซื้อแพงกว่า คนั ละ บรษิ ทั มติ ซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จ�ำ กัด ๑๕,๑๘๙,๑๐๐ บาท รวม ๗๒ คนั เป็นเงนิ แพงกวา่ ๑,๐๙๓,๖๑๕,๒๐๐ บาท รถไฟฟา้ สอ่ งสวา่ ง ๓๐ KVA รายละเอียด ความแตกตา่ ง ซื้อจาก บรษิ ทั มิตซูบชิ ิ มอเตอรส์ (ประเทศไทย) จ�ำ กดั กรุงเทพมหานครซ้ือแพงกวา่ คันละ ๕๖,๕๗๗,๒๕๐ บาท รวม ๗ คัน เป็นเงิน แพงกว่า ๓๙๖,๐๔๐,๗๕๐ บาท หลักสตู รโค้ชเพือ่ การรคู้ ิดต้านทุจรติ 85
ตารางท่ี ๔ เปรียบเทียบขอ้ มลู และราคาเรือดับเพลิง ข้อมลู เรือดบั เพลิง บริษัท สไตเออร์เดมเลอร์พุคสเปเชียลฟาหร์ ซอยก์ จ�ำ กัด บรษิ ทั สไตเออร์เดมเลอรพ์ คุ สเปเชยี ลฟาห์รซอยก์ จ�ำ กัด ซื้อเรือดับเพลิงจาก บริษัท ซีทโบ๊ต จำ�กัด ผลิตและ ขายให้ กรงุ เทพมหานคร ราคาล�ำ ละ ประกอบทเ่ี มืองพทั ยา ราคาล�ำ ละ ๑๔,๓๐๐,๐๐๐ บาท ๒๕,๔๖๒,๑๐๐ บาท จากตารางขา้ งตน้ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเสยี หายทเี่ กดิ ขนึ้ จากการทจุ รติ ความเสยี หายทเี่ กดิ ขน้ึ นอกจากจะสามารถแสดงเปน็ ตวั เลขใหไ้ ดเ้ หน็ วา่ สญู เสยี งบประมาณจ�ำ นวนเทา่ ไร แตก่ ารสญู เสยี ดงั กลา่ ว แทนทร่ี ฐั และประชาชนจะไดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ากรถและเรอื ดบั เพลงิ ซง่ึ ถอื เปน็ สงิ่ จ�ำ เปน็ ทชี่ ว่ ยในการปอ้ งกนั และบรรณเทาสาธารณภยั โดยเฉพาะอคั คภี ยั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี แตเ่ มอ่ื มกี ารทจุ รติ แลว้ ยงั สง่ ผลใหไ้ มส่ ามารถ น�ำ รถและเรอื ดบั เพลิงมาใชง้ านได้ เทา่ กับว่าสญู เสยี งบประมาณแล้วยงั ไมส่ ามารถนำ�สิ่งเหลา่ น้ี มาใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ีก ๒. ความอายตอ่ การทุจรติ แนวคดิ เกีย่ วกบั ความอายต่อการทุจรติ พจนานกุ รมราชบณั ฑิตยสถาน ใหค้ วามหมายของค�ำ วา่ ละอาย หมายถึง การรู้สึกอายทจี่ ะ ท�ำ ในส่งิ ทไ่ี มถ่ ูก ไมค่ วร เช่น ละอายท่ีจะท�ำ ผดิ ละอายใจ ความละอาย เปน็ ความละอายและความเกรงกลวั ตอ่ สงิ่ ทไี่ มด่ ี ไมถ่ กู ตอ้ ง ไมเ่ หมาะสม เพราะ เหน็ ถงึ โทษหรอื ผลกระทบทจี่ ะไดร้ บั จากการกระท�ำ นนั้ จงึ ไมก่ ลา้ ทจ่ี ะกระท�ำ ท�ำ ใหต้ นเองไมห่ ลงท�ำ ในสงิ่ ทผ่ี ดิ น่นั คอื มคี วามละอายใจ ละอายตอ่ การทำ�ผดิ ลักษณะของความละอายต่อการทุจริต ลกั ษณะของความละอายสามารถแบง่ ได้ ๒ ระดบั คอื ความละอายระดบั ตน้ หมายถงึ ความละอาย ไม่กล้าที่จะทำ�ในสิ่งท่ีผิด เน่ืองจากกลัวว่าเมื่อตนเองได้ทำ�ลงไปแล้วจะมีคนรับรู้ หากถูกจับได้จะได้รับ การลงโทษ หรอื ไดร้ ับความเดือดรอ้ นจากสิ่งที่ตนเองได้ท�ำ ลงไป จงึ ไม่กล้าทจี่ ะกระทำ�ผดิ และในระดับที่สอง เปน็ ระดับท่ีสงู คอื แม้ว่าจะไมม่ ีใครรับร้หู รือเหน็ ในสิง่ ที่ตนเองไดท้ ำ�ลงไป ก็ไม่กลา้ ท่จี ะท�ำ ผิด เพราะนอกจาก ตนเองจะได้รับผลกระทบแล้ว ครอบครัว สังคมก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ท้ังช่ือเสียงของตนเองและ ครอบครวั กจ็ ะเสอ่ื มเสยี บางครัง้ การทจุ ริตบางเรื่องเปน็ ส่ิงเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ เช่น การลอกขอ้ สอบ อาจจะไมม่ ใี คร ใสใ่ จหรอื สงั เกตเหน็ แตห่ ากเปน็ ความละอายขนั้ สูงแลว้ บุคคลนน้ั กจ็ ะไม่กล้าทำ� ๓. ความไมท่ นต่อการทจุ ริต ๓.๑ ความเปน็ พลเมือง ค�ำ ว่า “พลเมือง” มนี ักวิชาการใหค้ วามหมาย สรปุ ได้พอสังเขป พจนานุกรมนกั เรยี นฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน ใหค้ วามหมาย “พลเมอื ง” หมายถึง ชาวเมอื ง ชาวประเทศประชาชน “วถิ ”ี หมายถงึ สาย แนว ทาง ถนน และ “ประชาธปิ ไตย” หมายถงึ แบบการปกครอง ทีถ่ ือมตปิ วงชนเปน็ ใหญ่ ดงั นนั้ ค�ำ วา่ “พลเมอื งดใี นวิถปี ระชาธิปไตย” จึงหมายถงึ พลเมืองทีม่ ีคณุ ลกั ษณะ ทส่ี �ำ คญั คอื เปน็ ผทู้ ย่ี ดึ มนั่ ในหลกั ศลี ธรรมและคณุ ธรรมของศาสนา มหี ลกั การทางประชาธปิ ไตยในการด�ำ รงชวี ติ ปฏบิ ตั ติ นตามกฎหมายดำ�รงตนเป็นประโยชน์ตอ่ สงั คม โดยมกี ารช่วยเหลอื เกอ้ื กลู กันอนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาสงั คมและประเทศชาติ ให้เปน็ สังคมและประเทศประชาธิปไตยอย่างแทจ้ ริง 86 หลกั สตู รโค้ชเพ่อื การรู้คิดต้านทุจรติ
วราภรณ์ สามโกเศศ อธบิ ายวา่ ความเปน็ พลเมอื ง หมายถงึ การเปน็ คนทร่ี บั ผดิ ชอบไดด้ ว้ ย ตนเองมคี วามสำ�นึกในสันตวิ ธิ ี มกี ารยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ปรญิ ญา เทวานฤมติ รกุล กล่าวว่า ความเป็นพลเมืองของระบอบประชาธปิ ไตย หมายถึง การท่สี มาชิกมีอสิ รภาพ ควบค่กู บั ความรบั ผิดชอบ และมีอิสรเสรภี าพควบคกู่ ับ “หนา้ ที่ ” จากความหมายของนกั วิชาตา่ ง ๆ พอสรุปไดว้ า่ “พลเมอื ง” หมายถึง ประชาชนที่นอกจาก เสยี ภาษีและปฏิบัตติ ามกฎหมายบา้ นเมอื งแลว้ ยงั ตอ้ งมีบทบาทในทางการเมอื ง คอื อยา่ งน้อยมีสทิ ธไิ ป เลอื กต้งั แต่ย่ิงไปกวา่ น้นั คือ มสี ิทธิในการแสดงความคิดเห็นตา่ ง ๆ ตอ่ ทางการหรือรัฐได้ ทง้ั ยังมสี ทิ ธเิ ขา้ ร่วม ในกิจกรรมตา่ งๆ กับรัฐและอาจเป็นฝา่ ยรกุ เพอื่ เรียกร้องกฎหมาย นโยบายและกิจกรรมของรัฐตามที่เหน็ พ้อง พลเมืองนั้นจะเป็นคนที่รู้สึกเป็นเจ้าของในสิ่งสาธารณะ มีความกระตือรือร้นอยากมีส่วนร่วม เอาใจใส่ การท�ำ งานของรฐั และเป็นประชาชนทีส่ ามารถแก้ไขปัญหาสว่ นรวมได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่ตอ้ งรอใหร้ ัฐ มาแก้ไขใหเ้ ทา่ นั้น ๓.๒ แนวคิดเกี่ยวกับความไมท่ นต่อการทุจรติ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำ�ว่า “ทน” หมายถึง การอดกลั้นได้ ทานอยไู่ ด้ เชน่ ทนด่า ทนทกุ ข์ ทนหนาว ไมแ่ ตกหกั หรอื บบุ สลายงา่ ย ความอดทน คือ การรจู้ กั รอคอยและคาดหวงั เปน็ การแสดงใหเ้ ห็นถึงความมั่นคง แนว่ แน่ ต่อสง่ิ ทร่ี อคอย หรอื สงิ่ ทจี่ งู ใจให้กระท�ำ ในส่ิงที่ไมด่ ีไม่ทน หมายถึง ไม่อดกลัน้ ไม่อดทน ไมย่ อม ดังนัน้ ความไมท่ น หมายถงึ การแสดงออกต่อการกระทำ�ทีเ่ กดิ ขน้ึ กับตนเอง บคุ คลทเี่ กีย่ วข้องหรอื สงั คม ในลกั ษณะทไ่ี มย่ นิ ยอม ไมย่ อมรบั ในสง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ความไมท่ นสามารถแสดงออกไดห้ ลายลกั ษณะ ทงั้ ในรปู แบบ ของกริยาทา่ ทางหรือค�ำ พูด ความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ หรอื การกระท�ำ ทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง ตอ้ งมกี ารแสดงออกอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เกดิ ขน้ึ เชน่ การแซงควิ เพ่อื ซอื้ ของ การแซงคิวเป็นการกระทำ�ทไ่ี มถ่ ูกต้อง ผูถ้ กู แซงคิวจงึ ตอ้ งแสดงออก ให้ผ้ทู แ่ี ซงควิ รบั รู้วา่ ตนเองไมพ่ อใจ โดยแสดงกิริยาหรอื บอกกลา่ วใหท้ ราบ เพื่อใหผ้ ูท้ ี่แซงควิ ยอมที่จะตอ่ ทา้ ยแถว กรณนี แี้ สดงใหเ้ หน็ วา่ ผทู้ ถี่ กู แซงควิ ไมท่ นตอ่ การกระท�ำ ทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง และหากผทู้ แ่ี ซงควิ ไปตอ่ แถว กจ็ ะแสดงให้เหน็ ว่าบุคคลนนั้ มีความละอายตอ่ การกระทำ�ท่ไี ม่ถูกตอ้ ง เปน็ ตน้ ความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ บคุ คลจะมคี วามไมท่ นตอ่ การทจุ รติ มาก – นอ้ ย เพยี งใด ขนึ้ อยกู่ บั จติ ส�ำ นกึ ของแตล่ ะบคุ คลและผลกระทบทเี่ กดิ ขน้ึ จากการกระท�ำ นน้ั ๆ แลว้ มพี ฤตกิ รรมทแี่ สดงออกมา ซง่ึ การแสดงกรยิ าหรอื การกระท�ำ จะมหี ลายระดบั เชน่ การวา่ กลา่ วตกั เตอื น การประกาศใหส้ าธารณชนรบั รู้ การแจง้ เบาะแส การรอ้ งทกุ ขก์ ลา่ วโทษ การชมุ นมุ ประทว้ งซงึ่ เปน็ ขน้ั ตอนสดุ ทา้ ยทรี่ นุ แรงทสี่ ดุ เนอ่ื งจาก มกี ารรวมตวั ของคนจ�ำ นวนมาก และสรา้ งความเสยี หายอยา่ งมากเชน่ กนั ความไม่ทนของบุคคลต่อส่ิงต่าง ๆ รอบตัวที่ส่งผลในทางไม่ดีต่อตนเองโดยตรง สามารถ พบเหน็ ไดง้ า่ ย ซงึ่ ปกตแิ ลว้ ทกุ คนมกั จะไมท่ นตอ่ สภาวะ สภาพแวดลอ้ มทไี่ มด่ แี ละสง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองแลว้ มักจะแสดงปฏกิ ริ ยิ าออกมา แต่การทบี่ ุคคลจะไม่ทนต่อการทจุ รติ และแสดงปฏิกริ ยิ าออกมานน้ั อาจเป็น เรอ่ื งยาก เนอ่ื งจากปจั จบุ นั สงั คมไทยมแี นวโนม้ ยอมรบั การทจุ รติ เพอื่ ใหต้ นเองไดร้ บั ประโยชนห์ รอื ใหง้ าน สามารถด�ำ เนนิ ตอ่ ไปสคู่ วามส�ำ เรจ็ ซงึ่ การยอมรบั การทจุ รติ ในสงั คมไมเ่ วน้ แมแ้ ตเ่ ดก็ และเยาวชน มองวา่ การทุจรติ เป็นเรื่องไกลตวั และไมม่ ีผลกระทบกับตนเองโดยตรง ๓.๓ ลกั ษณะของความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต ความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ จากความหมายทไี่ ดก้ ลา่ วมาแลว้ คอื เปน็ การแสดงออกอยา่ งใด หลกั สตู รโคช้ เพอ่ื การร้คู ิดตา้ นทจุ รติ 87
อยา่ งหนึ่งเกดิ ขึ้น เพอ่ื ให้รับรูว้ ่าจะไม่ทนต่อบุคคลหรอื การกระท�ำ ใด ๆ ที่ท�ำ ใหเ้ กดิ การทจุ ริต ความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ สามารถแบง่ ระดบั ตา่ ง ๆ ไดม้ ากกวา่ ความละอาย ใชเ้ กณฑค์ วามรนุ แรงในการแบง่ แยก เชน่ หากเพอื่ น ลอกขอ้ สอบเรา และเราเหน็ ซง่ึ เราจะไมย่ นิ ยอมใหเ้ พอ่ื นทจุ รติ ในการลอกขอ้ สอบ เรากใ็ ชม้ อื หรอื กระดาษมาบงั สว่ นทเ่ี ปน็ ค�ำ ตอบไว้ เชน่ นกี้ เ็ ปน็ การแสดงออกถงึ การไมท่ นตอ่ การทจุ รติ นอกจากการแสดงออกดว้ ยวธิ ดี งั กลา่ ว ทีถ่ อื เป็นการแสดงออกทางกายแล้ว การว่ากลา่ วตักเตอื นตอ่ บุคคลท่ีทุจริต การประณาม การประจาน การชุมนุมประท้วง ถือว่าเป็นการแสดงออกซ่ึงการไม่ทนต่อการทุจริตทั้งส้ิน แต่จะแตกต่างกันไปตามระดับ ของการทจุ รติ ความตน่ื ตวั ของประชาชน และผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการทจุ รติ โดยทา้ ยบทนไ้ี ดย้ กตวั อยา่ ง กรณีศึกษาทีม่ สี าเหตมุ าจากการทจุ รติ ทำ�ใหป้ ระชาชนไมพ่ อใจและรวมตวั ตอ่ ต้าน ความจำ�เป็นของการที่ไม่ทนตอ่ การทจุ รติ ถอื เป็นสง่ิ ส�ำ คัญ เพราะการทุจรติ ไมว่ ่าระดบั เลก็ หรือใหญ่ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติ ดังเช่นตัวอย่างคดีรถและเรือดับเพลิงของ กรงุ เทพมหานคร ผลของการทจุ รติ สรา้ งความเสยี หายไวอ้ ยา่ งมาก รถและเรอื ดบั เพลงิ กไ็ มส่ ามารถน�ำ มา ใชไ้ ด้ รัฐตอ้ งสูญเสยี งบประมาณไปโดยเปลา่ ประโยชน์ และประชาชนเองก็ไมไ่ ดใ้ ชป้ ระโยชน์ดว้ ยเช่นกัน หากเกดิ เพลงิ ไหม้พรอ้ มกันหลายแห่ง รถ เรือและอุปกรณ์ดับเพลิงจะไมม่ ไี ม่เพยี งพอทีจ่ ะดบั ไฟได้ทนั เวลา เพยี งแคค่ ดิ จากมลู คา่ ความเสยี หายทร่ี ฐั สญู เสยี งบประมาณไปยงั ไมไ่ ดค้ ดิ ถงึ ความเสยี หายทเ่ี กดิ จาก ความเดอื ดรอ้ นหากเกิดเพลงไหม้แลว้ ถือเป็นความเสียหายท่ีสงู มาก ดังน้นั หากยงั มีการปลอ่ ยใหม้ ี การทจุ รติ ยนิ ยอมใหม้ กี ารทจุ รติ โดยเหน็ วา่ เปน็ เรอ่ื งของคนอน่ื เปน็ เรอ่ื งของเจา้ หนา้ ทรี่ ฐั ไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ตนเองแลว้ สดุ ทา้ ยความสญู เสยี ทจี่ ะไดร้ บั ตนเองกย็ งั คงทจี่ ะไดร้ บั ผลนน้ั อยแู่ มไ้ มใ่ ชท่ างตรงกเ็ ปน็ ทางออ้ ม ๔. ตัวอย่างความอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ การทจุ รติ มผี ลกระทบตอ่ การพฒั นาประเทศ ท�ำ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายอยา่ งมากในดา้ นตา่ งๆ หากน�ำ เอาเงนิ ทที่ จุ รติ มาพฒั นาในสว่ นอน่ื ความเจรญิ หรอื การไดร้ บั โอกาสของผทู้ ด่ี อ้ ยโอกาสกจ็ ะมมี ากขน้ึ ความเหลอ่ื มล้�ำ ทางด้านโอกาส ทางดา้ นสงั คม ทางด้านการศึกษา ฯลฯ ของประชาชนในประเทศก็จะ ลดน้อยลง ดังทเ่ี หน็ ในปจั จบุ นั ว่าความเจรญิ ตา่ ง ๆ มักอยู่กับคนในเมืองมากกวา่ ชนบท ท้งั ๆ ที่คนชนบท กค็ อื ประชาชนสว่ นหนงึ่ ของประเทศ แตเ่ พราะอะไรท�ำ ไมประชาชนเหลา่ นน้ั ถงึ ไมไ่ ดร้ บั โอกาสใหท้ ดั เทยี ม หรอื ใกลเ้ คยี งกับคนในเมือง ปจั จัยหนง่ึ คอื การทจุ รติ สาเหตุการเกิดทจุ ริตมหี ลายประการตามท่กี ลา่ วมา แลว้ ขา้ งต้น แตท่ ำ�อย่างไรถึงท�ำ ใหม้ ีการทุจริตไดม้ าก อย่างหนึง่ คอื การลงทนุ เมอื่ มกี ารลงทนุ กย็ อ่ มมี งบประมาณ เม่ือมีงบประมาณก็เป็นสาเหตุใหบ้ คุ คลท่ีคดิ จะทุจรติ สามารถหาช่องทางดังกลา่ วในทางทจุ ริตได้ แมว้ า่ ประเทศไทยจะมีกฎหมายหลายฉบับเพ่ือป้องกันการทจุ รติ ปราบปรามการทุจริต แตน่ ั่นกค็ อื ตวั หนงั สอื ท่ีไดเ้ ขียนเอาไว้ แตก่ ารบังคบั ใชย้ ังไม่จริงจังเทา่ ทีค่ วร และยงิ่ ไปกวา่ น้ัน หากประชาชนเหน็ วา่ เร่อื งดงั กลา่ วไม่เก่ยี วข้องกับตนเองก็มักจะไม่อยากเข้าไปเกีย่ วข้อง เนื่องจากตนเองกไ็ มไ่ ดร้ ับผลกระทบ ทเี่ กดิ ขน้ึ แตก่ ารคดิ ดงั กล่าวเปน็ สิ่งท่ีผิด เน่ืองจากว่าตนเองอาจจะไม่ไดร้ บั ผลกระทบโดยตรงตอ่ การท่มี ี คนทุจริต แต่โดยอ้อมแลว้ ถอื วา่ ใช่ เช่น เมอ่ื มกี ารทจุ ริตมาก งบประมาณของประเทศท่จี ะใช้พฒั นาหรือ ลงทนุ ก็นอ้ ย อาจส่งผลใหป้ ระเทศไมส่ ามารถจ้างแรงงานหรอื ลงทนุ ได้ ความเสยี หายท่เี กดิ จากการทจุ รติ หากเปน็ การทุจรติ ในโครงการใหญ่ ๆ แล้ว ปรมิ าณเงิน ท่ที ุจริตยอ่ มมมี าก ความเสยี หายก็ย่อมมีมากตามไปด้วย โดยในบทนไ้ี ดย้ กกรณีตัวอย่างทีเ่ กดิ ขน้ึ จาก การทจุ รติ ไวใ้ นทา้ ยบท ซง่ึ จะเหน็ ไดว้ า่ ความเสยี หายทเ่ี กดิ ขนึ้ นน้ั มมี ลู คา่ มากมาย และนเ้ี ปน็ เพยี งโครงการ เดยี วเทา่ นน้ั หากรวมเอาการทจุ รติ หลาย ๆ โครงการ หลาย ๆ กรณีเขา้ ด้วยกัน จะพบว่าความเสียหายท่ี เกดิ ขน้ึ มานนั้ มากมายมหาศาล ดงั นนั้ เมอื่ เปน็ เชน่ นแ้ี ลว้ ประชาชนจะตอ้ งมคี วามตนื่ ตวั ในการทจ่ี ะรว่ มมอื 88 หลักสตู รโค้ชเพ่ือการรคู้ ดิ ตา้ นทุจริต
ในการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ การรว่ มมอื กันในการเฝา้ ระวงั เหตุการณ์ สถานการณท์ อ่ี าจเกิด การทจุ รติ ได้ เมือ่ ประชาชนรวมถงึ ภาคเอกชน ภาคธรุ กิจมีความตน่ื ตวั ทีจ่ ะรว่ มมือกนั ในการแก้ไขปญั หา ดงั กลา่ ว ปัญหาการทจุ รติ จะถอื เป็นปญั หาเพียงเล็กน้อยของประเทศไทย เพราะไมว่ ่าจะท�ำ อย่างไรกจ็ ะ มีการสอดสอ่ ง ตดิ ตาม เฝ้าระวังเรอื่ งการทุจริตอย่างต่อเนื่อง ดังนนั้ แล้วส่ิงส�ำ คัญสิ่งแรกทจี่ ะตอ้ งสรา้ งให้ เกดิ ขึ้น คอื ความตระหนกั รู้ถึงผลเสียท่เี กดิ ขึน้ จากการทุจรติ สร้างให้เกิดความต่นื ตัวตอ่ การปราบปราม การทุจรติ การไม่ทนต่อการทุจรติ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ในสงั คมไทย เมอื่ ประชาชนในประเทศมคี วามตนื่ ตวั ทว่ี า่ “ไมท่ นตอ่ การทจุ รติ ” แลว้ จะท�ำ ใหเ้ กดิ กระแส การต่อตา้ นต่อการกระทำ�ทจุ ริต และคนท่ีทำ�ทจุ ริตก็จะเกดิ ความละอายไม่กล้าทจ่ี ะทำ�ทจุ รติ ต่อไป เชน่ หากพบเหน็ วา่ มกี ารทจุ รติ เกดิ ขน้ึ อาจมกี ารบนั ทกึ เหตกุ ารณห์ รอื ลกั ษณะการกระท�ำ แลว้ แจง้ ขอ้ มลู เหลา่ นนั้ ไปยงั หนว่ ยงานหรอื สอ่ื มวลชนเพอ่ื รว่ มกนั ตรวจสอบการกระท�ำ ทเ่ี กดิ ขน้ึ และยงิ่ ในปจั จบุ นั เปน็ สงั คมสมยั ใหม่ และก�ำ ลงั เดนิ หนา้ ประเทศไทยก้าวสู่ยคุ ไทยแลนด์ ๔.๐ แต่การจะเป็น ๔.๐ ให้สมบูรณแ์ บบไดน้ ั้น ปญั หา การทจุ รติ จะตอ้ งลดนอ้ ยลงไปดว้ ย เมอ่ื ประชาชนมคี วามตน่ื ตวั ตอ่ การทไ่ี มท่ นตอ่ การทจุ รติ แลว้ ผลท่ี เกดิ ขน้ึ จะเปน็ อยา่ งไร ตวั อยา่ งทจ่ี ะน�ำ มากลา่ วถงึ ตอ่ ไปนเ้ี ปน็ กรณที เี่ กดิ ขน้ึ ในตา่ งประเทศ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ ทป่ี ระชาชนไดล้ กุ ขนึ้ มาตอ่ สู้ ตอ่ ตา้ นตอ่ นกั การเมอื งทท่ี �ำ ทจุ รติ จนในทส่ี ดุ นกั การเมอื ง เหล่านนั้ หมดอำ�นาจทางการเมอื งและไดร้ บั บทลงโทษทั้งทางสงั คมและทางกฎหมาย ดังน้ี ๑. ประเทศเกาหลใี ต้ เกาหลใี ต้ถือเปน็ ประเทศหนึ่งทีป่ ระสบความส�ำ เร็จในดา้ นของ การปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แต่กย็ ังคงมีปญั หาการทจุ ริตเกิดขึ้นอย่บู า้ ง เช่น เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ มขี ่าวกรณขี องประธานาธิบดถี ูกปลดออกจากต�ำ แหน่งเพราะเขา้ ไปมี ส่วนเกี่ยวข้องในการเอ้ือประโยชน์ให้พวกพ้อง โดยการถูกกล่าวหาว่าให้เพ่ือนสนิทของครอบครัวเข้ามา แทรกแซงการบริหารประเทศ รวมถึงใช้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีแสวงหาประโยชน์ส่วน ตวั ผลทเ่ี กดิ ขนึ้ คอื ถกู ด�ำ เนนิ คดแี ละตง้ั ขอ้ หาวา่ พวั พนั การทจุ รติ และใชอ้ �ำ นาจหนา้ ทใ่ี นทางมชิ อบเพอ่ื เออ้ื ผลประโยชนใ์ หแ้ กพ่ วกพอ้ ง กรณที เ่ี กดิ ขนึ้ นป้ี ระชาชนเกาหลใี ตไ้ ดม้ กี ารรวมตวั กนั ประทว้ งกวา่ พนั คนเรยี กรอ้ ง ใหป้ ระธานาธิบดีคนดังกล่าวลาออกจากตำ�แหนง่ หลงั มเี หตอุ ื้อฉาวทางการเมือง หลกั สตู รโคช้ เพ่ือการรคู้ ิดต้านทจุ รติ 89
อกี กรณที จี่ ะกลา่ วถงึ เพอื่ เปน็ ตวั อยา่ งการตอ่ ตา้ นการกระท�ำ ทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง คอื การทน่ี กั ศกึ ษา คนหนงึ่ ไดเ้ ขา้ เรยี นในมหาวทิ ยาลยั ทง้ั ทผี่ ลคะแนนทเ่ี รยี นมานนั้ ไมไ่ ดส้ งู และการทคี่ ณุ สมบตั ขิ องนกั ศกึ ษา ดงั กลา่ วมคี ณุ สมบตั ไิ มต่ รงกบั การคดั เลอื กโควตานกั กฬี าทก่ี �ำ หนดไวว้ า่ จะตอ้ งผา่ นการแขง่ ขนั ประเภทเดย่ี ว แต่นักศึกษาคนดังกล่าวผ่านการแข่งขันประเภททีม เท่ากับว่าคุณสมบัติไม่ถูกต้องแต่ได้รับเข้าเรียน ในมหาวิทยาลัยดังกล่าว การกระทำ�เช่นนี้จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของการนำ�ไปสู่การประท้วง ต่อต้านจาก นักศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัยดังกล่าว ซึ่งทางมหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถให้คำ�ตอบท่ีชัดเจนแก่ กลุ่มผปู้ ระท้วงได้ จนในทสี่ ุด ประธานของมหาวทิ ยาลยั ดงั กลา่ วจงึ ลาออกจากต�ำ แหนง่ ๒. ประเทศบราซิล ปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ประชาชนในประเทศบราซิลได้มีการชุมนุม ประทว้ งการทุจรติ ที่เกิดข้นึ เป็นการแสดงออกถึงความไมพ่ อใจต่อวัฒนธรรม การโกงของระบบราชการ ของประเทศ โดยมีประชาชนจำ�นวนหลายหมื่นคนเข้าร่วมการชุมนุมในครั้งน้ี และมีการแสดงภาพหนู เพื่อเป็นสญั ลกั ษณ์ในการประณามตอ่ นกั การเมอื งท่ีทุจรติ การประทว้ งดงั กลา่ วยงั ถือว่ามขี นาดเลก็ กวา่ ครงั้ กอ่ น เพราะทผ่ี า่ นมาไดม้ กี ารทจุ รติ เกดิ ขนึ้ และมกี ารประทว้ ง จนในทสี่ ดุ ประธานาธบิ ดไี ดถ้ กู ปลดจาก ต�ำ แหน่ง เน่ืองจากการกระท�ำ ที่ละเมดิ ต่อกฎระเบยี บเร่ืองงบประมาณ จากตวั อยา่ งขา้ งตน้ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความตนื่ ตวั ของประชาชนทอ่ี อกมาตอ่ ตา้ นตอ่ การทจุ รติ ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตในระดับหน่วยเล็ก ๆ หรือระดับประเทศ เป็นการแสดงออกซึ่งการไม่ทนต่อการ 90 หลักสูตรโค้ชเพื่อการรูค้ ิดต้านทุจริต
ทจุ รติ การไมท่ นตอ่ การทจุ รติ สามารถแสดงออกมาไดห้ ลายระดบั ตงั้ แตก่ ารเหน็ คนทที่ �ำ ทจุ รติ แลว้ ตนเอง รสู้ ึกไม่พอใจ มีการส่งเรอ่ื งตรวจสอบ ร้องเรยี น และในท่ีสดุ คอื การชมุ นมุ ประท้วง ตามตวั อยา่ งท่ีได้น�ำ มา แสดงใหเ้ ห็นข้างต้น ตราบใดท่ีสามารถสร้างให้สงั คมไมท่ นตอ่ การทจุ ริตได้ เมือ่ นัน้ ปญั หาการทุจริตกจ็ ะ ลดนอ้ ยลง แตห่ ากจะใหเ้ กดิ ผลดยี งิ่ ขนึ้ จะตอ้ งสรา้ งใหเ้ กดิ ความละอายตอ่ การทจุ รติ ไมก่ ลา้ ทจี่ ะท�ำ ทจุ รติ โดยนำ�เอาหลักธรรมทางศาสนามาเป็นเครื่องมือในการสั่งสอน อบรม ในขณะเดียวกันหากมีการทุจริต เกดิ ขน้ึ กระบวนการในการแสดงออกตอ่ การไมท่ นตอ่ การทจุ รติ จะตอ้ งเกดิ ขนึ้ และมกี ารเปดิ เผยชอื่ บคุ คล ทท่ี จุ รติ ใหก้ บั สาธารณะชนไดร้ บั ทราบอยา่ งทวั่ ถงึ เมอ่ื สงั คมมที งั้ กระบวนการในการปอ้ งกนั การทจุ รติ การปราบปรามการทจุ รติ ทด่ี ี รวมถึงการสรา้ งใหส้ ังคมเปน็ สงั คมทไ่ี มท่ นต่อการทุจริต มีความละอาย ตอ่ การท�ำ ทุจริตแล้ว ปัญหาการทุจรติ จะลดน้อยลง ประเทศชาตจิ ะสามารถพฒั นาไดม้ ากข้นึ ส�ำ หรบั ระดบั การทจุ รติ ที่เกดิ ขึน้ ไม่ว่าจะเป็นในระดับใดล้วนแลว้ แตส่ ่งผลกระทบต่อสังคม และประเทศชาติทั้งสิ้น บางครั้งการทุจริตเพียงนิดเดียวอาจนำ�ไปสู่การทุจริตอย่างอื่นท่ีมากกว่าเดิมได้ การมีวัฒนธรรม คา่ นยิ ม หรือความเชือ่ ท่ไี มถ่ ูกต้องกส็ ่งผลใหเ้ กิดการทจุ ริตได้เชน่ กัน เช่น การมอบเงิน อุดหนุนแก่สถานศึกษาเพื่อให้บุตรของตนได้เข้าศึกษาในสถานท่ีแห่งนั้น หากพิจารณาแล้วอาจพบว่า เปน็ การชว่ ยเหลอื สถานศกึ ษาเพอื่ ทส่ี ถานศกึ ษาแหง่ นน้ั จะไดน้ �ำ เงนิ ทไ่ี ดไ้ ปพฒั นาสภาพแวดลอ้ ม การเรยี น การสอนของทางสถานศกึ ษาต่อไป แต่การกระทำ�ดงั กลา่ วน้ีไมถ่ ูกต้อง เป็นการปลูกฝังสิง่ ท่ไี ม่ดี ใหเ้ กดิ ขนึ้ ในสงั คม และตอ่ ไปหากกระท�ำ เชน่ นเี้ รอ่ื ย ๆ จะมองวา่ เปน็ เรอ่ื งปกตทิ ที่ กุ คนท�ำ กนั ไมม่ คี วามผดิ แต่อย่างใด จนทำ�ให้แบบแผนหรือพฤติกรรมทางสังคมที่ดีถูกกลืนหายไปกับการกระทำ�ที่ไม่เหมาะสม เหลา่ นี้ ตวั อยา่ งการมอบเงนิ อดุ หนนุ แกส่ ถานศกึ ษายงั คงเกดิ ขนึ้ ในประเทศไทยอยา่ งตอ่ เนอื่ ง โดยเฉพาะ ในสถานศึกษาทมี่ ีชอ่ื เสียงซง่ึ หลายคนอยากใหบ้ ุตรของตนเข้าศึกษาในสถานที่แห่งนัน้ แตด่ ว้ ยขอ้ จำ�กดั ทไ่ี ม่สามารถรับนกั เรยี น นกั ศกึ ษาได้ทั้งหมด จงึ ท�ำ ให้ผปู้ กครองบางคนต้องให้เงินกับสถานศึกษา เพ่ือให้ บตุ รของตนเองได้เข้าเรียน ๕. การลงโทษทางสังคม (Social Sanction) ค�ำ วา่ “การลงโทษโดยสงั คม” หรอื เรยี กวา่ “การลงโทษทางสงั คม” ซงึ่ ตรงกบั ภาษาองั กฤษ คำ�ว่า “Social Sanction” พจนานกุ รมศพั ทส์ งั คมวทิ ยาฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน (๒๕๓๒ : ๓๖๑ - ๓๖๒) ไดใ้ หค้ วามหมาย ของ คำ�วา่ “Social Sanction” เป็นภาษาไทยวา่ สทิ ธานุมตั ิทางสังคม หมายถึง การขวู่ า่ จะลงโทษหรือ การสญั ญาวา่ จะใหร้ างวลั ตามทกี่ ลมุ่ ก�ำ หนดไวส้ �ำ หรบั การประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องสมาชกิ เพอื่ ชกั น�ำ ใหส้ มาชกิ กระท�ำ ตามข้อบงั คบั และกฎเกณฑ์ Radcliffe-Brown (๑๙๕๒ : ๒๐๕) อธบิ ายการลงโทษโดยสงั คมว่าเป็นปฏกิ ริ ยิ าตอบสนอง ทางสงั คมอยา่ งหนง่ึ และเปน็ การแสดงออกถงึ พฤตกิ รรมทเี่ ปน็ ดา้ นตรงกนั ขา้ มระหวา่ งการเหน็ ชอบ กบั การไม่เห็นชอบ พูดอกี อย่างหนง่ึ ก็คือ การลงโทษโดยสังคมน้นั มีคณุ ลักษณะวภิ าษ (Dialectic) คอื มที งั้ ดา้ นบวกและดา้ นลบอยภู่ ายในความหมายของตวั เองส�ำ หรบั การลงโทษโดยสงั คมเชงิ บวก (Positive Social Sanction) จะอยใู่ นรปู ของการใหก้ ารสนบั สนุนหรอื การสรา้ งแรงจูงใจ ฯลฯ ให้แกป่ ัจเจกบุคคล และสงั คมใหป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หส้ อดคลอ้ งกบั ปทสั ถานของชมุ ชนหรอื ของสงั คม จากการศกึ ษายงั พบดว้ ย วา่ การลงโทษโดยสงั คมเชงิ บวกนนั้ อาจเปน็ การสรา้ งแรงจงู ใจใหแ้ กส่ งั คม เพอ่ื ยกระดบั ปทสั ถานของสงั คม ในระดบั ทอ้ งถน่ิ ใหไ้ ปสอดคลอ้ งกับปทัสถานใหมใ่ นระดบั ระหวา่ งประเทศ หลักสตู รโค้ชเพอื่ การร้คู ดิ ตา้ นทุจริต 91
Whitmeyer (๒๐๐๒ : ๖๓๐-๖๓๒) กลา่ วว่า การลงโทษโดยสังคม มีท้งั เชงิ บวกและเชิงลบ เป็นการท�ำ งานตามกลไกของสังคม การลงโทษโดยสังคมเป็นมาตรการควบคมุ ทางสงั คมทต่ี ้องการ ใหส้ มาชกิ ในสงั คมประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานหรอื กฎเกณฑท์ สี่ งั คมยอมรบั รว่ มกนั เมอื่ สมาชกิ ปฏบิ ตั ติ าม กจ็ ะมกี ารใหร้ างวลั เปน็ แรงจงู ใจ และลงโทษเมอื่ สมาชกิ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑข์ องสงั คมและจะแสดงการ ไมย่ อมรบั สมาชิกคนหนึ่งหรอื กลมุ่ คนกลุม่ หน่งึ โดยสรุปแลว้ การลงโทษโดยสังคม (Social Sanction) หมายถงึ ปฏิกริ ิยาปฏิบตั ิทางสังคม เปน็ มาตรการควบคมุ ทางสงั คมทต่ี อ้ งการใหส้ มาชกิ ในสงั คมประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานหรอื กฎเกณฑ์ ทสี่ งั คมก�ำ หนด โดยมที ง้ั ดา้ นลบและดา้ นบวก การลงโทษโดยสงั คมเชงิ ลบ (Negative Social Sanction) เปน็ การลงโทษโดยการกดดนั และแสดงปฏกิ ริ ยิ าตอ่ ตา้ นพฤตกิ รรมของบคุ คลทไี่ มป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑ์ ของสงั คม ท�ำ ใหบ้ ุคคลนน้ั เกดิ ความอับอายขายหน้า ส�ำ หรบั การลงโทษโดยสังคมเชงิ บวกหรอื การกระตนุ้ สงั คมเชงิ บวก (Positive Social Sanction) เปน็ การแสดงออกในเชงิ สนบั สนนุ หรอื ใหร้ างวลั เปน็ แรงจงู ใจ เพอ่ื ใหบ้ ุคคลในสงั คมประพฤติปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑข์ องสงั คม การลงโทษทางสงั คม เปน็ การลงโทษกบั บคุ คลทป่ี ฏบิ ตั ติ นฝา่ ฝนื กบั ธรรมเนยี ม ประเพณี หรอื แบบแผนท่ปี ฏบิ ัตติ อ่ ๆ กนั มาในชมุ ชน มกั ใชใ้ นลักษณะการลงโทษทางสังคมเชิงลบมากกวา่ เชิงบวก การฝา่ ฝนื ดังกล่าวอาจจะไมผ่ ิดกฎหมาย แต่ดว้ ยธรรมเนียมทป่ี ฏบิ ตั ิสบื ตอ่ กันมานัน้ ถกู ละเมดิ ถูกฝ่าฝนื หรือถูกดูหมิ่นเก่ียวกับความเช่ือของชุมชน ก็จะนำ�ไปสู่การต่อต้านจากคนในชุมชน แม้ว่าการฝ่าฝืนดัง กลา่ วจะไมผ่ ิดกฎหมายกต็ าม และท่ีส�ำ คัญไปกวา่ น้ัน หากการกระท�ำ ดงั กล่าวผดิ กฎหมายด้วยแลว้ อาจสรา้ งใหเ้ กดิ ความไมพ่ อใจขน้ึ ได้ ไมเ่ พยี งแตใ่ นชมุ ชนนนั้ แตอ่ าจเกยี่ วเนอื่ งไปกบั ชมุ ชนอนื่ รอบขา้ ง หรอื เปน็ ชมุ ชนทใี่ หญท่ สี่ ดุ นนั่ คอื ประชาชนทง้ั ประเทศซงึ่ การลงโทษทางสงั คมมที ง้ั ดา้ นบวกและดา้ นลบ ดงั นี้ การลงโทษโดยสงั คมเชิงบวก (Positive Social Sanction) จะอยใู่ นรปู ของการให้ การสนบั สนนุ หรอื การสรา้ งแรงจงู ใจ หรอื การใหร้ างวลั ฯลฯ แกบ่ คุ คลและสงั คม เพอ่ื ใหป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั สิ อดคลอ้ ง กบั ปทัสถาน (Norm) ของสังคมในระดับชมุ ชนหรือในระดบั สงั คม การลงโทษโดยสงั คมเชงิ ลบ (Negative Social Sanctions) จะอยใู่ นรปู แบบของการ ใชม้ าตรการตา่ ง ๆ ในการจดั ระเบียบสังคม เช่น การวา่ กลา่ วตกั เตือน ซึ่งเปน็ มาตรการขน้ั ตํา่ สดุ เร่ือยไป จนถงึ การกดดันและบบี ค้นั ทางจติ ใจ (Moral Coercion) การตอ่ ต้าน (Resistance) และการประทว้ ง (Protest) ในรปู แบบต่าง ๆ ไมว่ า่ จะโดยปัจเจกบคุ คลหรือการชมุ นมุ ของมวลชน การลงโทษทางสังคมทางลบ จะสร้างให้เกิดการลงโทษต่อบุคคลท่ีถูกกระทำ� การลงโทษ ประเภทนี้เป็นลงโทษเพื่อให้หยุดกระทำ�ในส่ิงท่ีไม่ถูกต้อง และบุคคลท่ีถูกลงโทษจะเกิดการเข็ดหลาบ ไม่กล้าที่จะทำ�ในสิ่งนั้นอีก การลงโทษประเภทนี้มีความรุนแรงแตกต่างกัน ตั้งแต่ การว่ากล่าวตักเตือน การนินทา การประจาน การชมุ นุมขบั ไล่ ซึ่งเปน็ การแสดงออกถงึ การไม่ทน ไม่ยอมรบั ตอ่ สิ่งทบี่ คุ คลอ่ืน ได้กระทำ�ไป ดังนั้น เมอ่ื มใี ครท่ีทำ�พฤติกรรม เหล่านน้ั ขึน้ จึงเปน็ การสรา้ งให้เกิดความไม่พอใจแก่บุคคล รอบข้าง หรือสังคม จนน�ำ ไปสู่การตอ่ ตา้ นดังกล่าว การลงโทษทางสังคมจะมีความรุนแรงมากหรือน้อย ก็ข้ึนอยู่กับการกระทำ�ของบุคคลนั้น ว่าร้ายแรงขนาดไหน หากเป็นเรอื่ งเล็กน้อยจะถูกต่อตา้ นน้อย แตห่ ากเรอ่ื งนน้ั เป็นเรือ่ งร้ายแรงท่ีเกดิ ขึ้น ประจ�ำ หรอื มผี ลกระทบตอ่ สงั คม การลงโทษกจ็ ะมคี วามรนุ แรงมากขน้ึ ดว้ ย เชน่ หากมกี ารทจุ รติ เกดิ ขน้ึ ก็ อาจน�ำ ไปเปน็ ประเดน็ ทางสงั คมจนน�ำ ไปสกู่ ารตอ่ ตา้ นจากสงั คมได้ เพราะการทจุ รติ ถอื วา่ เปน็ สง่ิ ทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง ผดิ กฎหมาย และผิดตอ่ ศีลธรรม บ่อยครง้ั ทม่ี กี ารทุจรติ เกิดขน้ึ จนเปน็ สาเหตุของการชุมนุมประทว้ ง 92 หลักสตู รโคช้ เพอ่ื การรูค้ ิดตา้ นทุจริต
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140