2. การรักษาดุลยภาพของเกลือแร่ การขบั ถ่ายของเหลวออกจากร่างกายทางปัสสาวะนอกจากน้าแลว้ ยงั มีเกลือแร่ผา่ นออกไปดว้ ย ในสตั วน์ ้าบางชนิด เช่น ปลานา้ จืด ซ่ึงอาศยั อยใู่ นนา้ ที่มคี วามเข้มข้นต่ากวา่ ความเขม้ ขน้ ของเลือดปลา ดงั น้นั น้าจากภายนอกจึงเขา้ สู่ตวั ปลาไดต้ ลอดเวลาโดยกระบวนการ “ออสโมซิส (Osmosis)”
ในปลากระดูกอ่อนท่ีอยใู่ นทะเล เช่น ปลาฉลาม จะสะสมเกลือแร่ที่เป็นยเู รียไวใ้ นเลือดจนทาใหเ้ ลือดและของเหลวในร่างกายมีความเขม้ ขน้ กวา่ น้าทะเล ดงั น้นั น้าภายนอกจึงออสโมซิสเขา้ สู่ร่างกายและขบั น้าปัสสาวะท่ีเจือจางกวา่ ออกจากตวั ส่วนเกลือแร่ท่ีมีมากเกินพอจะถูกขบั ออกทางหลอดไต นา้ เข้าโดยการออสโมซิส ต่อมขบั เกลือดื่มนา้ ทะเลเหงือกสะสมยูเรีย ปัสสาวะเจือจาง
ปลาบางพวกที่มีการปรับตวั และมีววิ ฒั นาการเกี่ยวกบั ต่อมเกลือดี (Salt Gland) จึงสามารถอยไู่ ดท้ ้งั น้าจืด น้ากร่อย และน้าทะเล หรือในสตั วท์ ่ีหากินกบั ทะเลแต่ไดอ้ ยใู่ นทะล จะมีต่อมขจดัเกลือ (Rectal Gland) ออกจากร่างกาย เช่น นกทะเลต่าง ๆ เป็นตน้
3. การรักษาดุลยภาพของกรด-เบส โดยเฉพาะการยอ่ ยอาหาร ภายในปากจะตอ้ งอยใู่ นสภาวะที่เป็นเบสจึงจะทาการยอ่ ยได้ ส่วนการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารจะอยใู่ นสภาวะที่เป็นกรด หากสภาพของกรดเปล่ียนไป การยอ่ ยโปรตีนในกระเพาะอาหารกจ็ ะไม่เกิดข้ึน นอกจากน้ียงั มีการหายใจอีกดว้ ย ร่างกายจะตอ้ งมีการควบคุมปริมาณของแก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ใหเ้ หมาะสมกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร (เป็ นกรด)ลาไส้ เลก็ รอยพบั (เบส)
4. การรักษาดุลยภาพของระบบนิเวศ การอยรู่ อดของสิ่งมีชีวติ ข้ึนอยกู่ บั ระดบั สมดุลของการหมุนเวยี นระหวา่ งพลงั งานและสสารต่าง ๆ ในธรรมชาติ ซ่ึงมีอิทธิพลต่ออตั ราการอยรู่ อดและจานวนชนิดของประชากรในธรรมชาติ จากการศึกษาการถ่ายเทพลงั งานในรูปของห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหาร จะเห็นวา่ สิ่งเหล่าน้ีทาใหร้ ะบบนิเวศอยใู่ นภาวะสมดุลได้
ระบบนิเวศ (Ecosystem) หมายถึง ระบบความสมั พนั ธ์ของสิ่งมีชีวติ ในแหล่งที่อยใู่ ดแหล่งหน่ึง มีท้งั ความสมั พนั ธข์ องส่ิงมีชีวติ กบั ส่ิงมีชีวติ และความสมั พนั ธข์ องส่ิงมีชีวติ และสิ่งไม่มีชีวติ กลุ่มสิ่งมชี ีวติ (Community) หมายถึง บรรดาส่ิงมีชีวติ หลาย ๆ ชนิดที่มากกวา่ 1 ชนิดข้ึนไปอาศยั อยรู่ วมกนั สมาชิกแต่ละหน่วยมีความสมั พนั ธก์ นั โดยตรงหรือโดยออ้ ม และต่างกม็ ีความสาคญั ต่อกลุ่มส่ิงมีชีวติ ตามบทบาทและหนา้ ที่ของตวั เอง แหล่งทอ่ี ยู่อาศัย (Habitat) หมายถึง บริเวณหรือสถานที่ท่ีกลุ่มสิ่งมีชีวติ อาศยั อยู่ ซ่ึงจะมีสภาพแวดลอ้ มของแหล่งท่ีอยแู่ ตกต่างกนั ไป
ประเภทของระบบนิเวศ จาแนกออกเป็น 2 ระบบใหญ่ ๆ ดงั น้ี .... 1. ระบบนิเวศตามธรรมชาติ มีดงั น้ี ...... 1.1 ระบบนิเวศบนบก (Terrestrial Ecosystem) เป็นระบบนิเวศท่ีมีการ เปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอ้ มคอ่ นขา้ งมาก ทาใหส้ ิ่งมีชีวติ ตอ้ งมีการปรับตวั อยา่ งมาก สภาพแวดลอ้ มท่ีเปล่ียนแปลงมาก ไดแ้ ก่ ความช้ืน อุณหภูมิ อากาศในดิน และแร่ธาตุ ในดิน 1.2 ระบบนิเวศนา้ จืด (Freshwaterl Ecosystem) เป็นแหล่งทรัพยากรที่หาไดง้ ่ายและสะดวกต่อมนุษยท์ ่ีจะนามาใชใ้ นชีวิตประจาวนั 1.3 ระบบนิเวศนา้ เคม็ (Marine Ecosystem) เป็นระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่ มี ลกั ษณะเฉพาะตวั ท่ีแตกต่างจากระบบนิเวศอ่ืน ๆ คือมีอาณาเขตกวา้ งใหญ่ไพศาล เช่ือมต่อกนั ตลอด มีความเคม็ มีน้าข้ึนน้าลง มีคลื่น มีความลึก และมีกระแสน้า
สังคมของสิ่งมชี ีวติ ในทะเล แบ่งออกเป็น 4 บริเวณใหญ่ ๆ ดงั น้ี ..... 1. บริเวณชายหาด (Sandy Beach) เป็นบริเวณที่มีการ เปลี่ยนแปลงสภาพทางกายภาพท่ีรุนแรงมาก บางบริเวณจะมี ท่ีหลบภยั นอ้ ยมาก ส่ิงมีชีวติ บริเวณน้ีจึงตอ้ มีการปรับตวั เพือ่ ความอยรู่ อด 2. บริเวณโขดหิน (Rock Shore) เป็นบริเวณท่ีพ้นื ผวิ ส่วน ใหญ่เป็นหินแขง็ และสูง ๆ ต่า ๆ สิ่งมีชีวติ ท่ีอาศยั อยบู่ ริเวณน้ี จะทนความแหง้ แลง้ ไดด้ ี
3. บริเวณแนวปะการัง (Coral Reef) เป็นบริเวณที่พบทว่ั ไปตามชายฝั่งทะเลเขตร้อนและอบอุ่น แนวหินปะการังเป็นบริเวณท่ีเหมาะสมต่อการหาอาหาร การหลบซ่อนตวั การผสมพนั ธุ์ และการเล้ียวตวั อ่อนของสตั วท์ ะเลหลาย ๆ ชนิดอีกดว้ ย 4. บริเวณป่ าชานเลน (Mangrove Forest) เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ท่ีจะเป็นท่ีอาศยั ของตวั อ่อนของสตั วน์ ้า จึงเป็นแหล่งอนุบาลตวั อ่อนของสตั วน์ ้าท่ีสาคญั ท่ีสุดแห่งหน่ึง และมีคุณค่าทางทรัพยากรสตั วน์ ้าและพนั ธุ์ไม้
2. ระบบนิเวศทม่ี นุษย์สร้างขนึ้ เช่น ชุมชนเมือง หมู่บา้ น นิคมอุตสาหกรรม แหล่งเกษตรกรรม สวน ไร่นา ฯลฯ หรือระบบนิเวศจาลอง เช่น ตูป้ ลา อ่างเล้ียงปลา สวนหยอ่ ม ฯลฯ
ความสัมพนั ธ์ของส่ิงมชี ีวติ ในระบบนิเวศ มี 2 ลกั ษณะดงั น้ี ....1. ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมชี ีวติ กบั สภาพแวดล้อมทางกายภาพ 1.1 แสงสว่าง พืชเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวติ ท่ีรับพลงั งาน แสงอาทิตยส์ าหรับสงั เคราะห์แสง สตั วห์ ลาย ๆ ชนิดกม็ ี ความตอ้ งการแสงที่แตกต่างกนั ออกไป เช่น ตวั อ่อนของ ดว้ งที่มกั จะอาศยั อยใู่ นที่ที่มีแสงนอ้ ย หรือเราสามารถพบ ส่ิงมีชีวติ บางชนิดบริเวณผวิ น้าไดม้ ากกวา่ บริเวณน้าลึกที่ แสงส่องลงไปไม่ถึง เป็นตน้ 1.2 อุณหภูมิ บริเวณท่ีมีอุณหภูมิต่ามากหรือสูงมาก เกินไปจะมีส่ิงมีชีวติ อยนู่ อ้ ยหรืออาจไม่มีเลย เช่น แถบข้วั โลก อุณหภูมิบนภาคพ้นื ดินจะมีความแปรปรวนกวา่ อุณหภูมิในแหล่งน้า จึงมีผลทาใหส้ ิ่งมีชีวติ อาศยั อยบู่ น ภาคพ้นื ดินมีวธิ ีการปรับตวั ที่หลากหลาย
1.3 แร่ธาตุและแก๊ส ปริมาณแร่ธาตุในบริเวณต่าง ๆ ของ โลกจะแตกต่างกนั ไป เช่น ในอากาศจะมีธาตุต่าง ๆ ใน สภาพท่ีเป็นแก๊ส ไดแ้ ก่ ออกซิเจน ซ่ึงจาเป็นในการหายใจ ของสิ่งมีชีวติ ส่วนใหญ่ คาร์บอนในรูปแก๊ส คาร์บอนไดออกไซดท์ ี่พชื นาไปสงั เคราะห์แสง 1.4 ความเป็ นกรด-เบสของดนิ และนา้ แร่ธาตุที่ละลายปะปนอยใู่ นดินและแหล่งน้าธรรมชาติจะมีผลต่อความเป็นกรด-เบส สิ่งมีชีวติ แต่ละชนิดจาเป็นตอ้ งอาศยั อยใู่ นแหล่ที่มีสภาพความเป็นกรด-เบสที่เหมาะสม จึงจะสามารถเติบโตและดารงชีวติ อยไู่ ด้
1.5 ความชื้น ความช้ืนในบรรยากาศจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลและมีผลโดยตรงต่อสมดุลของน้าในร่างกายของส่ิงมีชีวติ 1.6 ความเคม็ ความเคม็ ของดินและน้าเป็นปัจจยั ทางกายภาพท่ีมีผลต่อชนิด จานวน การกระจาย และการดารงชีวติ ปัจจุบนั หลายพ้นื ที่มีปัญหาเรื่องความเคม็ ของดินและน้าเน่ืองจากการทานากงุ้ นาเกลือ ฯลฯ ทาใหพ้ ้นื ท่ีบางบริเวณเปล่ียนสภาพเป็นดินเคม็ มีผลทาใหพ้ ืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้
1.7 กระแสลม มีความสาคญั โดยเฉพาะกบั พืช เพราะจะช่วยในการถ่ายละอองเรณูเพื่อผสมพนั ธุ์ ส่วนในสตั วก์ จ็ ะมีผลต่อการกระจาพนั ธุ์เช่นกนั 1.8 กระแสนา้ มีผลต่อการแพร่กระจายของสิ่งมีชวี ติ มี ผลต่อความเขม้ ขน้ ของแก๊สและอาหารท่ีละลายหรือลอยปน อยใู่ นน้า
2. ความสัมพนั ธ์ระหว่างส่ิงมชี ีวติ กบั ส่ิงมชี ีวติ แบ่งออกเป็นหลายลกั ษณะ ดงั น้ี 2.1 การล่าเหยื่อ (Predation) เป็นความสมั พนั ธ์ที่ ประกอบดว้ ยฝ่ายหน่ึงเป็นผลู้ ่า (Predator, +) และอีกฝ่ ายเป็น เหยอื่ (Prey, -) เช่น กวางกบั เสือ ฯลฯ 2.2 การได้ประโยชน์ร่วมกนั (Protocooperation) เป็น ความสมั พนั ธ์ที่ส่ิงมีชีวติ อยรู่ ่วมกนั แลว้ ไดป้ ระโยชนท์ ้งั คู่ (+/+) และแยกกนั ได้ เช่น แมลงกบั ดอกไม้ ฯลฯ
2.3 ภาวะต้องพง่ึ พา (Mutualism) เป็นความสมั พนั ธ์ท่ีสิ่งมีชีวติ ท้งั สองชนิดอยรู่ ่วมกนั แลว้ ไดป้ ระโยชน์ท้งั คู่ (+/+)แต่แยกกนั ไม่ได้ ไม่เช่นน้นั จะตาย เช่น ไลเคนกบั สาหร่ายฯลฯ2.4 ภาวะมกี ารเกื้อกูล (Commensalism) เป็นความสมั พนั ธ์ของส่ิงมีชีวติ ที่ฝ่ายหน่ึงไดป้ ระโยชนแ์ ละอีกฝ่ ายไม่ไดแ้ ละไม่เสียประโยชน์ (+/0) เช่น กลว้ ยไมท้ ี่อาศยั อยบู่ นตน้ ไมใ้ หญ่ฯลฯ
2.5 ภาวะปรสิต (Parasitism) เป็นความสมั พนั ธ์ที่ส่ิงมีชีวติ ที่อีกฝ่ายไดป้ ระโยชนแ์ ละอีกฝ่ายหน่ึงเสียประโยชน์ (+/-) เช่นหนอนกดั กินใบไม้ ฯลฯ2.6 ภาวะมกี ารย่อยสลาย (Saprophytism) เป็นการดารงชีวติระหวา่ งผยู้ อ่ ยอินทรียสารกบั ซากสิ่งมีชีวติ (+/0) เช่น เห็ดที่อาศยั ซากสิ่งมีชีวติ โดยการหลง่ั เอนไซมอ์ อกมายอ่ ยซากเหล่าน้นั ฯลฯ
2.7 ภาวะมกี ารหลง่ั สารยบั ย้งั การเจริญ (Antibiosis) เป็นความสมั พนั ธท์ ่ีสิ่งมีชีวติ ท่ีฝ่ายหน่ึงหลง่ั สารออกมา แลว้ ไปมีผลต่อการเจริญเติบโตของส่ิงมีชีวติ อีกชนิดหน่ึง (0/-) เช่น ราเพนิซิลเลียมฯลฯ2.8 ภาวะมกี ารกดี กนั (Amensalism) เป็นความสมั พนั ธท์ ่ีสิ่งมีชีวติ ฝ่ ายหน่ึงไปมีผลทาใหส้ ิ่งมีชีวติ อีกชนิดหน่ึงไม่เจริญ(-/0) แต่ไม่มีการหลง่ั สารออกมายบั ย้งั เช่น ตน้ ไมใ้ หญบ่ งั แสงตน้ ไมเ้ ลก็ ทาใหต้ น้ ไมเ้ ลก็ ไม่เจริญเติบโต ฯลฯ
2.9 ภาวะมกี ารแข่งขนั (Compettition) เป็นความสมั พนั ธ์ท่ีสิ่งมีชีวติ ต่างชนิดหรือชนิดเดียวกนั มีความตอ้ งการปัจจยั อยา่ งหน่ึงร่วมกนั และปัจจยั น้นั จากดั หรือต่างแข่งขนั เพ่ือแสวงหาส่ิงแวดลอ้ มท่ีตอ้ งการ ต่างฝ่ายต่างเสียประโยชน์ (-/-) เช่น การแยง่ ชิงท่ีอยอู่ าศยั ของสตั ว์ ฯลฯ2.10 ภาวะเป็ นกลาง (Neutralism) เป็นการดารงชีวติ ที่สิ่งมีชีวติ ท้งั 2 ฝ่ ายต่างไม่มีผลอะไรต่อกนั ต่างคนต่างอยโู่ ดยไม่ไดเ้ สียประโยชนร์ ะหวา่ งอยรู่ ่วมกนั (0/0) เช่น การอยู่ร่วมกนั ในทุ่งหญา้ ของสตั ว์ ฯลฯ
การปรับตวั ของสิ่งมชี ีวติ อาจแบ่งได้ 3 ลกั ษณะ ดงั น้ี ...... 1. การปรับตวั ทางรูปร่างลกั ษณะ เป็นการปรับโครงสร้างของร่างกายใหเ้ หมาะสมกบัแหล่งท่ีอยเู่ พ่อื พรางตวั ใหร้ อดพน้ จากการถูกล่า เพ่ือการดารงชีพ หรือเพอ่ื ใหเ้ หมาะกบั ชนิดของอาหาร เช่น การปรับตวั ของตกั๊ แตนใบไม้ ฯลฯ 2. การปรับตวั ทางสรีระ เป็นการปรับหนา้ ท่ีในการทางานหรือปรับกลไกการทางานของอวยั วะภายในใหเ้ หมาะสม เช่น การขบั เหง่ือเพ่อื ระบายความร้อน ฯลฯ 3. การปรับตัวทางพฤตกิ รรม เป็นการปรับอุปนิสยั หรือกิจกรรมในการดารงชีวติ ให้เหมาะสม เช่น การจาศีลของกบในฤดูหนาว ฯลฯ
บทบาทและหน้าทขี่ องส่ิงมชี ีวติ ในระบบนิเวศ สิ่งมีชีวติ ต่าง ๆ ในระบบนิเวศมีบทบาทและความสมั พนั ธท์ ี่แตกต่างกนั ดงั น้ี...... 1. ผู้ผลติ (Producer) คือ ส่ิงมีชีวติ ท่ีสามารถสร้างอาหารไดเ้ อง อาจโดยวกี ารสังเคราะห์แสง ไดแ้ ก่ พืช สาหร่าย และแบคทีเรียทุกชนิด 2. ผู้บริโภค (Consumer) คือ ส่ิงมีชีวติ ท่ีไม่สามารถสงั เคราะห์แสงไดเ้ อง ตอ้ งกินส่ิงมีชีวติอื่นเป็นอาหาร ซ่ึงจาแนกออกไดเ้ ป็น ....... 2.1 พวกที่กินพชื เป็นอาหาร 2.2 พวกที่กินสตั วเ์ ป็นอาหาร 2.3 พวกที่กินท้งั พืชและสตั วเ์ ป็นอาหาร 2.4 พวกท่ีกินซากสตั วเ์ ป็นอาหาร 3. ผู้ย่อยอนิ ทรียสาร (Decomposer) คือส่ิงมีชีวติ ที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ แต่จะได้อาหารจากการหลงั่ เอนไซมอ์ อกมานอกตวั เพือ่ ยอ่ ยสลายอินทรียสารที่มีโมเลกลุ ใหญ่ใหม้ ีโมเลกลุ ที่เลก็ ลง ผยู้ อ่ ยอินทรียสารถือวา่ เป็นตวั กลางเชื่อมโยงการหมุนเวยี นของสารใหเ้ ป็นวฏั จกั รและเป็นผรู้ ับพลงั งานลาดบั สุดทา้ ยเสมอ เช่น ราแลละแบคทีเรีย เป็นตน้
ห่วงโซ่อาหาร (Food Chain) เป็นความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่ิงมีชีวติ ชนิดต่าง ๆ ในลกั ษณะการกินกนั เป็นทอด ๆ โดยเร่ิมจากผผู้ ลิตไปยงั ผบู้ ริโภค และจากผบู้ ริโภคไปยงั ผบู้ ริโภคลาดบัต่อไป การถ่ายทอดพลงั งานในรูปขอห่วงโซ่อาหารนิยมเขียนลูกศรแทนการกิน โดยหวั ลูกศรจะมีทิศทางช้ีไปยงั สิ่งมีชีวติ ท่ีเป็นผบู้ ริโภค และหวั ลูกศรตอ้ งช้ีไปทางเดียวกนั ซ่ึงจะเริ่มตน้ ห่วงโซ่อาหารจากผผู้ ลิต
ห่วงโซ่อาหาร โดยทวั่ ไปแลว้ แบ่งไดเ้ ป็น 4 แบบ ดงั น้ี ...... 1. ห่วงโซ่อาหารแบบผู้ล่า (Predator Chain) คือ ห่วงโซ่ที่กินกนั เป็นลาดบั ข้นั เป็นการถ่ายทอดพลงั งานที่ประกอบดว้ ยผลู้ ่าและเหยอื่ 2. ห่วงโซ่อาหารแบบปรสิต (Parasitic Chain) คือ ห่วงโซ่อาหารที่เร่ิมจากผถู้ ูกศยั จะถ่ายทอดพลงั งานไปสู่ปรสิต และจากปรสิตไปสู่ที่สูงกวา่ 3. ห่วงโซ่อาหารแบบเศษอนิ ทรีย์ (Detritus Chain) คือ ห่วงโซ่อาหารที่เร่ิมจากซากพืชซากสตั ว์ ซ่ึงจะถูกกินโดยผบู้ ริโภคซากพืช ซากสตั ว์ และผบู้ ริโภคซากพืช ซากสตั วจ์ ะถูกกินโดยผบู้ ริโภคเน้ือสตั ว์ 4. ห่วงโซ่อาหารแบบผสม (Mixed Chain) คือ ห่วงโซ่อาหารท่ีมีการถ่ายทอดพลงั งานระหวา่ งส่ิงมีชีวติ หลาย ๆ ประเภท ซ่ึงในแต่ละห่วงโซ่อาหารจะมีท้งั แบบผลู้ ่าและแบบปรสิต
สายใยอาหาร (Food web) เป็นความสมั พนั ธ์ของห่วงโซ่อาหารหลาย ๆ ห่วงโซ่ในระบบนิเวศทีมีความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งซบั ซอ้ น โดยความสมั พนั ธ์เชิงอาหารระหวา่ งส่ิงมีชีวติ ในลกั ษณะสายใยอาหารจะเกิดในธรรมชาติจริง ๆ มากกวา่ ในลกั ษณะห่วงโซ่อาหาร เพราะวา่ ส่ิงมีชีวติ แต่ละชนิดกินอาหารไดห้ ลายชนิดและส่ิงมีชีวติ บางชนิดเป็นอาหารของสตั วไ์ ดห้ ลายชนิด จึงเกิดห่วงโซ่อาหารเชื่อมโยงกนั หลายใยแมงมุม
2. พรี ะมดิ แสดงนา้ หนัก (Pyramid of Biomass) เป็นพีระมิดท่ีแสดงถึงปริมาณของส่ิงมีชีวติ ในแต่ละลาดบั ข้นั ของห่วงโซ่อาหาร ซ่ึงอาจบอกเป็นปริมาณน้าหนกั แหง้ (Dry Weight)หรือน้าหนกั สด (Wet Weigth) ของสิ่งมีชีวติ กไ็ ด้ ใชห้ น่วยเป็นกรัมหรือกิโลกรัมต่อหน่วยพ้นื ท่ีหรือหน่วยปริมาตร นกกระจอก 30 kg ผู้บริโภคลาดบั ท่ี 2 หนอน 700 kg ผ้บู ริโภคลาดบั ที่ 1 4,000 kgผกั คะน้า ผ้ผู ลติ
3. พรี ะมดิ แสดงพลงั งาน (Pyramid of Energy) เป็นพรี ะมิดที่แสดงถึงปริมาณอตั ราการถ่ายทอดพลงั งานของสิ่งมีชีวติ ในห่วงโซ่อาหาร ใชห้ น่วยเป็นพลงั งานต่อหน่วยพ้นื ที่หรือปริมาตรต่อหน่วยเวลา เช่น กิโลแคลอรีต่อตารางเมตรต่อปี เป็นตน้30 ผ้บู ริโภคลาดบั ที่ 3500 ผู้บริโภคลาดบั ที่ 25,000 ผ้บู ริโภคลาดบั ที่ 1 45,000 ผู้ผลติหน่วยกโิ ลแคลอรีต่อตารางเมตร
การหมุนเวยี นของสารในระบบนิเวศ 1. การหมุนเวยี นของนา้ ในระบบนิเวศ มีรูปแบบการหมุนเวยี น 2 รูปแบบ ดงั น้ี .... 1.1 การหมุนเวยี นของนา้ ระยะส้ัน เป็นการหมุนเวยี นของน้าโดยไม่ผา่ นส่ิงมีชีวติ จะเริ่มจากน้าตามแหล่งธรรมชาติทว่ั ไป 1.2 การหมุนเวยี นของนา้ ระยะยาว เป็นการหมุนเวยี นของน้าโดยผา่ นส่ิงมีชีวติ จะเร่ิมจากน้าท่ีสิ่งมีชีวติ ขบั ออกจากร่างกายในรูปของไอน้า 2. การหมุนเวยี นของไนโตรเจนในระบบนิเวศ มกั เร่ิมท่ีพชื โดยพืชจะดูดไนโตรเจนจากดินแลว้ นาไปสร้างสารประกอบอื่น ๆ ในเซลล์ เมื่อสตั วก์ ินพืชเขา้ ไปกจ็ ะไดร้ ับสารประกอบน้ีเพ่ือไปสร้างเน้ือเยอ่ ของร่างกาย และบางส่วนนาไปสลายเพื่อใหพ้ ลงั งาน 3. การหมุนเวยี นของคาร์บอนในระบบนิเวศ จะตอ้ งผา่ นสิ่งมีชีวติ เสมอ แต่คาร์บอนในธรรมชาติเกิดจากการสะสมของตะกอนซากพืชซากสตั วใ์ ตผ้ วิ โลกเป็นเวลานาน จนมีการแปรสภาพเป็นถ่านหินและปิ โตรเลียม ดงั น้นั เม่ือมีการนามาใชเ้ ป็นเช้ือเพลิง กจ็ ะการคืนคาร์บอนกลบั สู่บรรยากาศในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์ แลละหมุนเวยี นกลบั มาใชป้ ระโยชน์ต่อไป
4. การหมุนเวยี นของฟอสฟอรัสในระบบนิเวศ จะไม่มีการหมุนเวยี นของสารประกอบฟอสฟอรัสในบรรยากาศ แต่จะมีการหมุนเวยี นในดินและน้าเท่าน้นั โดยสารประกอบของฟอสฟอรัสจะจะรวมอยกู่ บั ซากของหินปะการัง เปลือกหอย และโครงกระดูกต่าง ๆ เม่ือผา่ นการสึกกร่อน และแพลงกต์ อนพืชและพืชในทะเลจะนาเอาสารประกอบของฟอสฟอรัสไปใชแ้ ละส่งต่อเขา้ ห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหารในทะเลและมหาสมุทร ทาใหเ้ กิดการหมุนเวยี นของฟอสฟอรัสในส่ิงมีชีวติ ไดอ้ ีก และเม่ือสิ่งมีชีวติ เหล่าน้ีตายลง ฟอสฟอรัสกจ็ ะถูกหมุนเวยี นสู่ธรรมชาติต่อไป 5. การหมุนเวยี นของกามะถนั ในระบบนิเวศ โดยปกติพชื และสตั วไ์ ม่สามารถนากามะถนัไปใชไ้ ดโ้ ดยตรง ตอ้ งมีแบคทีเรียบางพวกเปล่ียนกามะถนั ใหเ้ ป็นสารประกอบซลั เฟตเสียก่อนเพอ่ื ใหพ้ ชื สามารถดูดเอาไปสร้างโปรตีนได้ แลว้ เมื่อสตั วก์ ินพืชเขา้ ไป สตั วก์ จ็ ะนาไปสร้างโปรตีนได้
6. การหมุนเวยี นของสารในระบบนิเวศป่ าไม้ ระบบนิเวศป่ าไมเ้ ป็นระบบเปิ ด มีการเคลื่อนตวั ของแร่ธาตุท้งั เขา้ และออกอยา่ งกวา้ งขวาง ตน้ ไม่ทุกตน้ จะเป็นผเู้ ริ่มรับแร่ธาตุต่าง ๆ แลว้ลาเลียงไปใชป้ ระโยชนใ์ นการสงั เคราะห์สาร แร่ธาตุต่าง ๆ จะถูกเปล่ียนเป็นอินทรียสารสะสมในส่วนต่าง ๆ เมื่อกิ่งและใบแก่หมดอายุ กจ็ ะร่วงสู่พ้นื ดินและทบั ถมกนั จนยอ่ ยสลาย ทาใหแ้ ร่ธาตุที่สะสมอยกู่ ลบั คืนสู่ดินในปริมาณท่ีสูง จากน้นั พืชกจ็ ะดูดกลบั ข้ึนไปใชห้ มุนเวยี นในระบบของส่ิงมีชีวติ ใหม่เร่ือย ๆ ไป
วทิ ยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทกั ษะชีวิต (Science for Life Skill)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180