2. เซลล์สุริยะ ประกอบดว้ ยแผน่ สารก่ึงตวั นา คือช้นั บนเป็นสารซิลิกอนเจือดว้ ยฟอสฟอรัส (ข้วั ลบ) ส่วนช้นั ล่างเป็นสารซิลิกอนเจือดว้ ยโบรอน (ข้วั บวก) โดยช้นั บนจะบางกวา่ ช้นั ล่างเพ่อื ใหแ้ สงสามารถส่องทะลุไปถึงช้นั ล่างได้ เม่ือแสงอาทิตยต์ กกระทบกบั แผน่ บน จะเกิดความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้าระหวา่ งแผน่ สารก่ึงตวั นาท้งั สอง ดงั น้นั ถา้ ต่อสายไฟระหวา่ งแผน่ สารท้งั สอง กจ็ ะมีกระแสไฟฟ้าไหลจากช้นั ล่างไปตามสายไฟไปยงัแผน่ สารช้นั บน
3. เครื่องกาเนิดไฟฟ้า พลงั งานไฟฟ้าที่ใชต้ ามบา้ นเรือนส่วนใหญ่มาจากเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าในโรงงานไฟฟ้า ซ่ึงผลิตกระแสไฟฟ้าโดยอาศยั หลกั การเหนี่ยวนาแม่เหลก็ ไฟฟ้า การท่ีจะไดเ้ ป็นกระแสไฟฟ้าสลบั หรือกระแสตรงน้นั กข็ ้ึนอยกู่ บั วธิ ีการต่อสายไฟเขา้ กบั ปลายของขดลวดเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า โครงเสน้ แรงแม่เหลก็ ข้วั แม่เหลก็ โครงสร้างเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า
พลงั งานไฟฟ้าท่ีใชก้ นั ตามชุมชนต่าง ๆ ทุกวนั น้ีมาจากเครื่องกาเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ท่ีติดต้งั อยภู่ ายในโรงงานไฟฟ้าทุกแห่งในประเทศไทย การสร้างโรงไฟฟ้านอกจากจะคานึงถึงงบประมาณท่ีจะลงทุนซ่ึงเป็นเงินมหาศาลแลว้ สภาพแวดลอ้ มของสถานที่ต้งัโรงไฟฟ้า ซ่ึงไดแ้ ก่ ลกั ษณะภูมิประเทศและทรัพยากร มีส่วนสาคญั ในการกาหนดสาหรับโรงไฟฟ้าในประเทศไทยที่ใชผ้ ลิตพลงั งานไฟฟ้าสาหรับชุมชน มีดงั น้ี ......
การผลติ พลงั งานไฟฟ้าระบบพลงั นา้ จาเป็ นต้องสร้างอ่างนา้ กกั เกบ็ นา้ ขนาดใหญ่ไว้ บริเวณเหนือเขื่อน นา้ จากอ่างเกบ็ นา้ จะส่งผ่านท่อ ส่งนา้ ไปยงั กงั หันซึ่งตดิ กบั เพลาหรือแกนหมุนของ เครื่องกาเนิดไฟฟ้าทางาน สาหรับข้นั ตอนการ เปลย่ี นแปลงพลงั งานในการผลติ พลงั งานไฟฟ้าของ โรงงานพลงั นา้ แสดงได้ดงั นี้ ......พลงั งานศักย์ พลงั งานจลน์ พลงั งานกล พลงั งานไฟฟ้า(ระดบั ของนา้ ) (การไหลของนา้ ) (การหมุนของกงั หนั ) (กระแสไฟฟ้า)
ในการผลติ พลงั งานน้ัน ในขณะทนี่ า้เดือดจะมไี อนา้ เกดิ ขนึ้ ไอนา้ นีจ้ ะมีแรงดนั ซึ่งมากพอทจี่ ะสามารถทาให้กงหันของเครื่องกาเนิดไฟฟ้าทางานและผลติ กระแสไฟฟ้าออกมาได้เน่ืองจากการผลติ พลงั งานไฟฟ้าวธิ ีนีต้ ้องใช้เชื้อเพลงิ ทใ่ี ห้พลงั งานความร้อนเป็ นปัจจัยสาคญัเช่น ถ่านหิน นา้ มนั เตา เป็ นต้น ดงั น้ัน สถานที่ก่อสร้างนอกจากจะต้องต้ังอยู่ใกล้แหล่งนา้ แล้วยงั จะต้องอยู่ในทซี่ ่ึงจัดหาเชื้อเพลงิ ได้สะดวกอกีด้วย สาหรับข้นั ตอนการเปลยี่ นแปลงพลังงานในการผลติ พลงั งานไฟฟ้าของโรงงานพลงั ความร้อน แสดงได้ดงั นี้ ......พลงั งานความร้อน พลงั งานกล พลงั งานไฟฟ้า (กระแสไฟฟ้า)(นา้ เดือด) (การหมุนของกงั หนั )
การผลติ พลงั งานจะใช้แรงดนั จาก แก๊สทรี่ ้อนจัดและมคี วามดนั สูง ไปทาให้แกน ของเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าหมุน การทแี่ ก๊สมคี วาม ร้อนและความดนั สูง เพราะการอดั อากาศให้มี ปริมาตรเลก็ เลก็ ลงอย่างรวดเร็ว ทาให้อุณหภูมิ ของอากาศภายในสูงขนึ้ เม่ือฉีดเชื้อเพลงิ สาหรับ ข้นั ตอนการเปลย่ี นแปลงพลงั งานในการผลติ พลงั งานไฟฟ้าของโรงไฟฟ้ากงั หันแก๊ส แสดงได้ ดงั นี้ ......พลงั งานความร้อน พลงั งานกล พลงั งานไฟฟ้า
เป็ นโรงไฟฟ้าทส่ี ร้างขนึ้ จากการนาหลกั การผลติ ไฟฟ้าของโรงไฟฟ้ากงั หันแก๊สและโรงไฟฟ้าพลงั ไอนา้ มาใช้ร่วมกนั โดยการนาแก๊สเสียจากโรงไฟฟ้ากงั หันแก๊สซึ่งมคี วามร้อนสูงไปถ่ายเทความร้อนให้กบั นา้ ทาให้เดือดกลายเป็ นไอ ให้ไปขบักงั หันทต่ี ่ออยู่กบั แกนของเครื่องกาเนิดไฟฟ้าให้หมุนเพื่อผลติ กระแสไฟฟ้าออกมา โดยทวั่ ไปโรงไฟฟ้าประเภทนีจ้ ะประกอบด้วยเคร่ืองกงั หันแก๊ส 1-4เครื่อง ร่วมกบั เคร่ืองกงั หันไอนา้ อกี 1 เคร่ือง
เป็ นโรงงานไฟฟ้าทใี่ ช้พลงั งานจากการ เผาไหม้ของอากาศและนา้ มนั ในกระบอกสูบของ เคร่ืองยนต์ดเี ซล ทาให้เกดิ แรงดนั ต่อลูกสูบ สามารถทาให้ลูกสูบเคล่ือนทแ่ี ละนาพลงั งานนีไ้ ป หมุนแกนของเครื่องกาเนิดไฟฟ้าเพื่อผลติ กระแสไฟฟ้าออกมา สาหรับข้นั ตอนการ เปลย่ี นแปลงพลงั งานในการผลติ พลงั งานไฟฟ้า ของโรงไฟฟ้าดเี ซล แสดงได้ดงั นี้ ......พลงั งานเคมี พลงั งานจลน์ พลงั งานกล พลงั งานไฟฟ้า
เป็ นโรงงานพลงั ความร้อนชนิดหนึ่งท่ีผลติความร้อนด้วยปฏกิ ริ ิยาการแตกตวั ของธาตุยูเรเนยี มการแตกตัวของนิวเคลยี สทาให้เกดิ พลงั งานความร้อนทาให้นา้ เดือดจนกลายเป็ นไอ แล้วไปหมุนกงั หันไอนา้เพ่ือหมุนเครื่องกาเนิดไฟฟ้าให้ผลติ กระแสไฟฟ้าออกมา โดยจะเป็ นการหมุนเวยี นทาเช่นนีไ้ ปเร่ือย ๆสาหรับข้นั ตอนการเปลยี่ นแปลงพลงั งานในการผลติพลงั งานไฟฟ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลยี ร์ แสดงได้ดงั นี้......พลงั งานความ พลงั งานจลน์ พลงั งานกล พลงั งานไฟฟ้า ร้อน
การส่งพลงั งานไฟฟ้าออกจากโรงไฟฟ้าก่อนที่จะส่งไปตามสายไฟฟ้าแรงสูง จะถูกแปลงใหม้ ีความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้าสูงข้ึน เพือ่ ใหส้ ามารถส่งกระแสไฟฟ้าไฟไดไ้ กล ๆโดยไม่ตอ้ งใชส้ ายไฟฟ้าขนาดใหญ่มากนกั แลว้ จึงค่อยลดความต่างศกั ยใ์ นแต่ละสถานียอ่ ย ซ่ึงในการส่งพลงั งานไฟฟ้าน้นั จะตอ้ งผา่ น ........
การส่งพลงั งานไฟฟ้าท่ีมีความต่างศกั ยส์ ูงเป็นระยะทางไกลมากข้ึน ควรใชส้ ายส่งไฟฟ้าที่ทาดว้ ยโลหะตวั นา ไม่มีฉนวนหุม้ ซ่ึงเรียกวา่ “สายเปลือย” เพ่ือใหม้ ีน้าหนกั เบาและระบายความร้อนไดด้ ี สายส่งไฟฟ้าแรงสูงข้ึนน้ีจะมีขนาดต่าง ๆ กนั ตามความต่างศกั ยข์ องกระแสไฟฟ้าท่ีไหลผา่ น
การส่งพลงั งานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตมายงั ผใู้ ช้ โดยใชร้ ะบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงน้นั มีการเปล่ียนแลงความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้าเป็นระยะ ๆ ต้งั แต่แหล่งผลิตจนถึงผใู้ ช้ ซ่ึงอุปกรณ์ท่ีทาหนา้ ที่เปลี่ยนแปลงความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้าน้นั กค็ ือ “หมอ้ แปลงไฟฟ้า” (Transformer)
พลงั งานไฟฟ้า คือ พลงั งานท่ีเกิดจากเครื่องกาเนิดไฟฟ้าแลว้ นามาใชป้ ระโยชนโ์ ดยการเปลี่ยนรูปพลงั งานใหเ้ ป็นพลงั งานรูปอ่ืน เช่น พลงั งานแสงสวา่ ง พลงั งานความร้อน พลงั งานกลฯลฯ เราสามารถนาพลงั งานไฟฟ้าไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งหลายหลาย ดงั น้ี....... 1. วงจรไฟฟ้าในบ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นการต่อแบบขนาน ทาใหว้ งจรที่ทาใหเ้ ครื่องใช้แต่ละชนิดอยคู่ นละวงจรกนั ซ่ึงถา้ เครื่องใชไ้ ฟฟ้าเครื่องใดเกิดขดั ขอ้ ง เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าชนิดอ่ืนกจ็ ะยงั คงใชไ้ ดต้ ามปกติ
2. อุปกรณ์ในวงจรไฟฟ้า ต้องได้มาตรฐาน มีขนาดท่ีพอเหมาะกบั กระแสและความต่างศกั ยข์ องไฟฟ้า เพราะถา้ สายเลก็ ไปอาจะทาใหเ้ กดการลุกไหมไ้ ด้ หรือถา้ สายใหญไ่ ปกจ็ ะทาใหส้ ิ้นเปลืองโดยไม่จาเป็น อุปกรณ์ในวงจรไฟฟ้าท่ีสาคญั ๆ มีดงั น้ี ..... 2.1. สะพานไฟ หรือทว่ั ๆ ไปเรียกวา่ “คตั เอาท”์ เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใชส้ าหรับตดั วงจรไฟฟ้าท้งั หมด ภายในบา้ นหรือวงจรยอ่ ย ๆ ที่สาคญั 2.2 ฟิ วส์ เป็นส่วนประกอบที่สาคญั ของสะพานไฟ มี หลายขนาดและหลายรูปแบบ ท้งั น้ีเพอ่ื ใหเ้ หมาะสมกบั การ นาไปใชต้ ามบา้ นเรือน โดยทว่ั ไปมกั จะใชฟ้ ิ วส์กระเบ้ือง หรือฟิ วส์เส้นต่อที่สะพานไฟเป็นฟิ วส์รวม แต่ตามอาคาร ใหญ่ ๆ หรือวทิ ยุ โทรทศั น์ และเคร่ืองเสียง จะใชฟ้ ิ วส์หลอด
2.3 สวติ ช์ คืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใชใ้ นการเปิ ดปิ ด วงจรไฟฟ้า ซ่ึงทาหนา้ ที่คลา้ ยสะพานไฟ การท่ีหลอดไฟ สวา่ งเพราะเราเปิ ดสวติ ชท์ าใหว้ งจรไฟฟ้าปิ ด กระแสไฟฟ้าจึงสามารถไหลผา่ นไสห้ ลอดไฟฟ้าไปได้ จนครบวงจร 2.4 เต้าเสียบและเต้ารับ เป็นจุดเช่ือมต่อของวงจรไฟฟ้าอยา่ งหน่ึงท่ีใชก้ นั ทวั่ ไปตามบา้ นเรือนเป็นชนิดเตา้ เสียบ 2ขา ลา้ เตา้ รับ 2 ตา เตา้ เสียบท่ีดีควรทาดว้ ยโลหะที่ไม่เป็นสนิมง่าย มีพ้ืนท่ีสมั ผสั มากทาใหน้ าไฟฟ้าไดด้ ี ฉนวนท่ีหุม้ท้งั เตา้ รับและเตา้ เสียบตอ้ งไม่กรอบหรือแตกหกั ง่าย ควรเลือกใชช้ นิดที่ไดม้ าตรฐานและเหมาะสมกบั ขนาดของกระแสไฟฟ้า
3. เคร่ืองใช้ไฟฟ้า ทางานโดยการเปล่ียนแปลงพลงั งานไฟฟ้าใหเ้ ป็นพลงั งานรูปแบบต่าง ๆ ดงั น้ี ...... 3.1. เครื่องใช้ไฟฟ้าทใ่ี ห้พลงั งานแสงสว่าง ที่รู้จกั กนั ดีคือหลอดไฟฟ้า ซ่ึงหลอด ไฟฟ้าท่ีนิยมใชต้ ามบา้ นเรือนทวั่ ไปมี 2 ชนิด ไดแ้ ก่ ...... 1) หลอดไฟฟ้าธรรมดา มีไส้หลอดท่ีทาดว้ ยลวดโลหะท่ีมี จุดหลอมเหลวสูง และเพอื่ ป้องกนั ไม่ใหไ้ ส้ขาดง่าย ภาย หลอดแกว้ จะบรรจุแก๊สเฉ่ือย เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผา่ น ไส้หลอดจะร้อนมากจนเปล่งแสงสวา่ งออกมา 2) หลอดวาวแสง ภายในหลอดจะบรรจุ ไอปรอทไว้ และท่ีผวิ ดา้ นในของหลอดแกว้ จะฉาบ ดว้ ยสารเคมีบางชนิดท่ีเปล่งแสงไดเ้ มื่อไดร้ ับรังสี อลั ตราไวโอเลต เรียกสารเคมีน้นั วา่ “สารวาวแสง”
3. เครื่องใช้ไฟฟ้าทใ่ี ห้พลงั งานกล เป็นเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าที่เปลี่ยนพลงั งานไฟฟ้าใหเ้ ป็นพลงั งานกลเครื่องใชไ้ ฟฟ้าประเภทน้ีมีส่วนประกอบสาคญั คือ ... - มอเตอร์ เปล่ียนพลงั งานไฟฟ้าใหเ้ ป็นพลงั งานกล - เคร่ืองควบคุมความเร็ว ควบคุมไดโ้ ดยการเปล่ียนแปลงความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้า
1. โทรศัพท์ (Telephone) เป็นเคร่ืองมือสื่อสาร สามารถส่งขอ้ มูลไดส้ ะดวกรวดเร็ว และไดผ้ ลที่แน่นอน 2. คอมพวิ เตอร์ (Computer) เป็นอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการจดั พิมพแ์ ละเกบ็ ขอ้ มูลต่าง ๆ นอกจากน้นั ยงัสามารถนาคอมพวิ เตอร์มาใชใ้ นการวเิ คราะห์และประมวลผลขอ้ มูลไดถ้ ูกตอ้ งและแม่นยาอีกดว้ ย
3. เคร่ืองพมิ พ์ (Printer) เป็นอุปกรณ์ท่ีใชต้ ่อพว่ งกบั คอมพวิ เตอร์เพอื่ แสดงผลของขอ้ มูลที่ไดบ้ นั ทึกไวใ้ น เครื่องคอมพวิ เตอร์ออกมา เครื่องพิมพจ์ ะใชพ้ ลงั งานมาก หรือนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั ชนิดและความเร็วในการพมิ พ์ 4. เคร่ืองถ่ายเอกสาร (Copying Machine)เป็นเครื่องใชไ้ ฟฟ้าในสานกั งานที่ใชพ้ ลงั งานสูงท่ีสุด การใชพ้ ลงั งานข้ึนอยกู่ บั ความเร็วของเคร่ือง ปริมาณงาน และจานวนเอกสารต่องาน
5. เคร่ืองโทรสาร (Facsimile Machine) sหรือท่ีเรียน กนั วา่ “แฟกซ์ (FAX)” เป็นอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการรับส่ง ขอ้ มูลที่มีลกั ษณะเหมือนการถ่ายเอกสารจากท่ีหน่ึงไปยงั อีกที่หน่ึงเหมือนตน้ ฉบบั จริงทุกประการ ส่งโดยการ เปลี่ยนสญั ญาณไฟฟ้าเพือ่ ส่งไปตามช่องทางคมนาคม ต่าง ๆ 6. เคร่ืองบันทกึ และถอดข้อความ (Dictator)เป็นอุปกรณ์ท่ีนามาใชส้ งั่ งานของผบู้ ริหาร หรือเพ่อื บนั ทึกเร่ือราวต่าง ๆ ไวเ้ ป็นคาพดู แลว้ นามาถอดเป็นขอ้ ความภายหลงั
นอกจากการใชอ้ ุปกรณ์และเครื่องมือไฟฟ้าท่ีไดม้ าตรฐานท่ีจะทาให้ปลอดภยัต่อการใชง้ านแลว้ อีกส่วนหน่ึงน้นั กข็ ้ึนอยกู่ บั การระมดั ระวงั ในการใชใ้ นการใชแ้ ละการบารุงรักษาอุปกรณ์และเครื่องใชไ้ ฟฟ้าของผใู้ ชเ้ องดว้ ย เครื่องใชไ้ ฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้แลว้ ควรปิ ดสวิตชแ์ ละถอดเตา้ เสียบออกทุกคร้ัง โดยเฉพาะเครื่องใชไ้ ฟฟ้าท่ีมีมอเตอร์
กระแสไฟฟ้า (มลิ ลแิ อมแปร์) ปฏกิ ริ ิยาของร่างกาย ตา่ กว่า 0.7 ไม่มผี ลต่อร่างกาย 0.7-2 2-8 รู้สึกจักจี้ 8-20 มผี ลกระทบกระเทือนต่อระบบประสาท เกดิ ความเจบ็ ปวดอย่าง รุนแรง 20-50 มผี ลกระทบกระเทือนต่อระบบประสาท แบมือไม่ได้ อาจเกดิ 50-100 อนั ตรายจากการเกดิ กล้ามเนื้อฉีก มากกว่า 100 มผี ลกระทบกระเทือนต่อระบบประสาท ปล่อยมือไมได้ กล้ามเนื้อ หน้าอดหดตัว ปอดทางานไม่เตม็ ที่ เกดิ ของเสียในเลือด เกดิ ความ ผดิ ปกติในเซลล์สมอง ถงึ แก่ชีวติ ใน 2-3 นาที มผี ลกระทบกระเทือนต่อระบบประสาท หวั ใจเต้นผดิ ปกติ กล้ามเนื้อกระตุก ถ้าไหลผ่านนานกว่า 1 วนิ าที หัวใจจะสูบฉีดโลหติ ไม่ได้ เนื้อเยื่อ ไหม้ กล้ามเนื้อไม่ทางาน
1. หากพบผถู้ ูกกระแสไฟฟ้าดูดใหต้ ดั การจ่ายไฟ2. ใชไ้ มแ้ หง้ หรือฉนวนไฟฟ้าเขี่ยอุปกรณ์ไฟฟ้าใหพ้ น้ จากผทู้ ่ีถูกกระแสไฟฟ้าดูด หรือใชผ้ า้ แหง้ หรือเชือก ดึงผปู้ ่ วยออกจากจุดที่เกิดเหตุโดยเร็วเพื่อปฐมพยาบาล
3. ช่วยปฐมพยาบาล โดยการวางผปู้ ่ วยใหน้ อนหงายแลว้ ชอ้ นคอผปู้ ่ วยใหแ้ หงนข้ึน 4. สงั เกตในช่องปากวา่ มีส่ิงอุดตนั หรือไม่ หากพบ ใหน้ าออกและช่วยเป่ าปากโดยใชน้ ิ้วงา้ งปาก และ บีบจมูกของผปู้ ่ วย
5. ประกบปากของผปู้ ่ วยใหส้ นิท เป่ าลมเขา้ แรง ๆโดยเป่ าปากประมาณ 12 – 15 คร้ังต่อนาที สงั เกตการขยายของหนา้ อก หากเป่ าปากไม่ไดใ้ หเ้ ป่ าจมูกแทน 6. หากหวั ใจหยดุ เตน้ ตอ้ งนวดหวั ใจโดยวาง ผปู้ ่ วยนอนราบ แลว้ เอามือกดเหนือลิ้นปี่ใหถ้ ูก ตาแหน่ง กดลงไปเป็นจงั หวะเทา่ กบั การเตน้ ของ หวั ใจ (ผใู้ หญน่ าทีละ 60 คร้ัง เดก็ 80 คร้ัง)
7. ฟังการเตน้ ของหวั ใจสลบั กบั การกดทุก ๆ 10-15 คร้ัง8. ถา้ หยดุ หายใจและหวั ใจหยดุ เตน้ ใหเ้ ป่ าปาก 2 คร้ัง
9. นวดหวั ใจ 15 คร้ัง สลบั กนั การปฐมพยาบาลตอ้ งทาทนั ทีท่ีช่วยเหลือผปู้ ่ วยออกมา และควรนาส่งโรงพยาบาล ขณะนาส่งโรงพยาบาลจะตอ้ งทาการปฐมพยาบาลตามข้นั ตอนดงั กล่าวตลอดเวลา
นาโนเทคโนโลยี
นาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) หมายถึง เทคโนโลยีที่เก่ียวกบั กระบวนการสร้างและผลิตส่ิงต่าง ๆ ข้ึนมาจากการจัดเรียงอะตอมหรือโมเลกุลเข้าด้วยกันในระดับนาโนเมตร โดยมีการผสมผสานของวทิ ยาศาสตร์หลายแขนง นาโนศาสตร์ (Nanoscience) หมายถึง วิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาเกย่ี วกบั วสั ดุท่มี ีโครงสร้างในระดบั นาโนเมตร ซ่ึงเป็นโครงสร้างท่ีมีคุณสมบตั ิเฉพาะตวั โดยคุณสมบตั ิเหล่าน้ันจะถูกอธิบายด้วยทฤษฎที าง “ควอนตนั (Quantum Theory)”
เมื่อ 3,500 ล้านปี ท่ีแลว้ ส่ิงมชี ีวติ เซลล์แรกไดถ้ ือกาเนิดข้ึน เซลลด์ งั กล่าวถือได้วา่ เป็นจกั รกลชีวภาพ (Biomachines) ที่มีขนาดอยใู่ นช่วงของนาโน โดยสามารถเพ่ิมจานวนตนเองและหาแหล่งพลงั งานเพ่ือใชใ้ นการดารงชีวติ ได้ คาวา่ “Nano” มีรากศพั ทม์ าจากภาษากรีกวา่ “Nanos” ที่แปลว่า “แคระ”และมกั เรียกในชื่อหน่ึงวา่ “ตวั แคระ” ดงั น้นั Nano จงึ เป็ นสิ่งของที่เลก็ มาก เมื่อนาคาว่า “นาโน” ไปใช้ในหน่วยใดกต็ าม จะหมายถงึ พนั ล้านส่วนของหน่วยน้ัน������ ∗ นาโนเมตร = ������ เมตร ������, ������������������, ������������������, ������������������หรือ = ������������−������ เมตร
1. วสั ดนุ าโน (Nano Material) เป็นวสั ดุท่ีมี โครงสร้างของอะตอมที่รวมตวั กนั แลว้ มีขนาดเลก็ กว่า 100 นาโนเมตร ซ่ึงมีขนาดเลก็ กวา่ ของอนุภาคทวั่ ไป 10,000 เท่านาโนวสั ดุก่อสร้าง 2. นาโนวศิ วกรรม (Nano Engineering) เป็นการ ดดั แปลงวสั ดุให้มขี นาดเลก็ เพอื่ นามาใชป้ ระโยชน์อยา่ งมี ประสิทธิภาพGreen nano-engineering
3. นาโนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (Nano Electronics)เป็นการวจิ ยั และพฒั นานาโนอิเลก็ ทรอนิกส์ท่ีหลาหลาย 4. นาโนเคมี (Nano Chemistry) เป็นการ คอมพวิ เตอร์นาโนวจิ ยั และพฒั นาเคมชี นิดต่าง ๆ ส่งผลใหเ้ กิดการพฒั นา อเิ ลก็ ทรอนิกส์ในดา้ นต่าง ๆ มากมาย เคมนี าโน เทคนิครักษามะเร็งด้วย การให้ ยาผ่านเส้ นเลือดฝอย
5. นาโนเทคโนโลยชี ีวภาพ (Nano Biotechnology) ส่วนประเทศไทยจะเนน้ การ เสริมสร้างสุขภาพอนามยั เป็นหลกั โดยนาพืช พนั ธุต์ ่าง ๆ ที่อุดมสมบูรณ์มาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ ประกอบกบั มีนกั วทิ ยาศาสตร์ไทยท่ีมี ความสามารถในการเพาะเล้ียงอาหารโปรตีนที่มี คุณค่าระดบั โมเลกลุการเพาะเลยี้ งเนื้อเย่ือพืช
1. ทาใหพ้ บแนวทางที่จะใชพ้ ลงั งานราคาถูก สะอาด และเป็นมิตรกบัส่ิงแวดลอ้ ม 2. ทาใหม้ ีน้าที่สะอาดเพยี งพอสาหรับทุกคนไวใ้ ชใ้ นการบริโภคและอุปโภค 3. ทาใหม้ นุษยม์ ีสุขภาพแขง็ แรงและมีอายทุ ่ียนื ยาวกวา่ เดิม (อาจมีอายเุ ฉล่ียถึง200 ปี ) 4. ช่วยเพม่ิ ผลผลิตทางการเกษตรใหเ้ พยี งพอต่อความตอ้ งการของประชากรโลก 5. ช่วยเพิม่ ศกั ยภาพในการติดต่อสื่อสารของคนท้งั โลกอยา่ งทว่ั ถึง 6. ช่วยเพ่มิ ศกั ยภาพในการสารวจอวกาศ
1. นา้ กลงิ้ บนใบบัว พ้ืนผวิ ของใบบวั มีลกั ษณะคลา้ ยหนามขนาดเลก็จานวนมากเรียงตวั กระจายอยา่ งเป็นระเบียบ โดยหนามเหล่าน้ีมีขนาดนาโนเมตรที่มีคุณสมบตั ิคลา้ ยข้ีผ้งึ เคลือบอยู่ภายนอก ทาใหน้ ้าท่ีตกลงมาสมั ผสั ใบบวั มีพ้ืนท่ีสมั ผสั นอ้ ยมาก ไม่สามารถซึมผา่ นหรือกระจายตวั ในแนวกวา้ งได้ น้าจึงมว้ นตวั เป็นหยดน้าขนาดเลก็ กลิ้งไปรวมกนั อยทู่ ่ีบริเวณต่าสุดบนใบบวั
2. ปี กผเี สื้อ ผเี ส้ือเป็นแมลงท่ีสามารถดึงดูดเพศตรงขา้ มหรือหลบหนีศตั รูได้โดยการเปลี่ยนสีปี ก ซ่ึงการเปล่ียนแปลงสีปี กน้ีไม่ไดอ้ าศยั สารมีสีชนิดต่าง ๆ ท่ีอยใู่ นปี กผเี ส้ือแตเ่ ป็นการอาศยั หลกั การหกั เหและการสะทอ้ นแสงอาทิตยท์ ี่มาตกกระทบลงบนปี กผเี ส้ือ โดยที่มุมตกกระทบของแสงจะมีค่าแตกต่างกนั เพยี งเลก็ นอ้ ย กจ็ ะทาใหส้ ิ่งที่ปรากฏบนปี กผเี ส้ือมีความแตกต่างกนั ดว้ ย
3. ตนี ตุ๊กแก สาเหตุที่ตุก๊ แกสามารถเกาะติดผนงั ไดอ้ ยา่ งมน่ั คง เพราะบริเวณใตอ้ ุง้ ตีนตุก๊ แกจะมีขนขนาดเล็กที่เรียกวา่ “ซีเต้ (Setae)” จานวนนบั ลา้ นเส้นเรียงตวั อดั แน่นอยู่ โดยท่ีส่วนปลายของขนแต่ละเส้นยงั มีเส้นขนขนาดเลก็ กวา่ ประกอบอยอู่ ีกหลายร้อยเส้น ซ่ึงมีขนาดเลก็ ประมาณ 200 นาโนเมตร ขนเลก็ ๆ เหล่าน้ีสามารถสร้างแรงดึงดูดทางไฟฟ้า เพื่อใหเ้ กิดการยดึ ติดกบัโมเลกลุ ของสสารท่ีเป็นส่วนประกอบของผนงัหรือเพดานไดอ้ ยา่ งเหนียวแน่น
4. ใยแมงมุม สามารถหยดุ แมลงท่ีบินมาดว้ ยความเร็วสูงไดโ้ ดยที่ใยแมงมุมไม่ขาด แมงมุมมีต่อมพิเศษที่สามารถหลงั่ โปรตีนท่ีละลายในน้าไดเ้ รียกวา่ “ไฟโบรอิน(Fibroin)” เม่ือแมงมุมหลง่ั โปรตีนน้ีออกมาโปรตีนจะเปลี่ยนสถานะจากของเหลวไปเป็ นของแขง็ จากน้นั แมงมุมกจ็ ะใชข้ าในการถกั ทอโปรตีนเหล่าน้ีเป็นเสน้ ใยท่ีมีขนาดใหญ่ข้ึนท่ีเรียกวา่ ใยแมงมุมนนั่ เอง
5. เปลือกหอยเป๋ าฮื้อ สารเคมีท่ีเป็นองคป์ ระกอบหลกั ของเปลือกหอยเป๋ าฮ้ือคือ “แคลเซียมคาร์บอเนต (������������������������3)” ซ่ึงเป็นสารชนิดเดียวกบั ชอลก์ เขียนกระดาน โดยการจดั เรียงตวั ของโมเลกลุ ของแคลเซียมคาร์บอเนตมีลกั ษณะคลา้ ยกาแพงอิฐขนาดนาโนท่ีเรียงตวั กนั อยา่ งเป็นระเบียบและเช่ือมติดกนั ดว้ ยกาวที่เป็นโปรตีนและพอลิแซ็ก -คาไรด์ จึงทาใหเ้ ปลือกหอยเป๋ าฮ้ือทนทานต่อแรงกระแทกไดด้ ี
แผ่นรองในรองเท้า ทน่ี อนซักได้ ผ้าปิ ดแผลนาโนซิลเวอร์นา้ ยาเคลือบกระจกรถยนต์ ผ้าอจั ฉริยะ ครีมทากนั แดด
เครื่องฟอกอากาศ สีอะครีลกิ ถุงเท้านาโน
1. นาโนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ โดยท่ีชิ้นส่วนอิเลก็ ทรอนิกส์ในอนาคตจะมีขนาดเลก็ ลงเรื่อย ๆ ซ่ึงจะทาใหก้ ารผลิตคอมพิวเตอร์มีขนาดเลก็ ลงไปอีก เช่นการผลิต “ชิพความจา(Ship Memory)” ที่ใชโ้ มเลกลุ ของสสารเป็นทรานซิสเตอร์แทนที่จะเป็นซิลิกอนทรานซิสเตอร์ดงั ที่ใชก้ นั อยใู่ นปัจจุบนั
2. นาโนเทคโนโลยที างการแพทย์ เป็นศาสตร์เก่ียวกบั การแพทยห์ รือตวั ยา หรือการบาบดั รักษาท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ระบบขนาดนาโน การศึกษาวจิ ยั เร่ืองน้ี ถือเป็นเทคโนโลยีทางการแพทยท์ ี่ใหม่มาก ส่วนมากอยใู่ นข้นั การทดลอง และยงั ไม่มีการนามาใชก้ นั อยา่ งเป็นระบบในปัจจุบนั เช่น การสร้างหุ่นยนตข์ นาด 500-3,000 นาโนเมตร หรือขนาดเท่าเมด็ เลือดแดง ซ่ึงสามารถเขา้ ไปรักษาโรค ซ่อมแซมผนงั เซลล์ ทาลายไขมนั ที่อดุ ตนั ในเสน้ เลือด หรือมะเร็งเน้ือร้ายในส่วนที่ตอ้ งการได้ โยไม่ตอ้ งผา่ ตดั เป็นตน้
3. นาโนวสั ดศุ าสตร์ เป็นศาสตร์ท่ีศึกษาคุณสมบตั ิต่าง ๆ ของวสั ดุและกระบวนการท่ีเกี่ยวขอ้ ง ซ่ึงอาศยั ความรู้จากหลายสาขาวชิ า เช่น ฟิ สิกส์ เคมี ชีววทิ ยาและธรณีวทิ ยา โดยมุ่งความสนใจไปที่คุณสมบตั ิต่าง ๆ ของวสั ดุในสภาวะที่เป็นของแขง็เช่น วสั ดุฉลาดต่าง ๆ ซ่ึงความหมายในแง่นาโนศาสตร์ หมายถึงการสร้างวสั ดุในระดบันาโนใหส้ ามารถทาหนา้ ที่เฉพาะเจาะจงไดต้ ามเป้าหมาย เป็นตน้
“สมาคมนาโนเทคโนโลยแี ห่งประเทศไทย” หรือ “สนทท.” (Nanotechnology Association of Thailand : NAT)
วตั ถุประสงค์ของสมาคมนาโนเทคโนโลยแี ห่งประเทศไทย 1. เป็นสมาคมทางวชิ าการ ไม่เก่ียวขอ้ งกบั การคา้ และการเมือง 2. พฒั นาการศึกษาทางนาโนเทคโนโลยที ุกสาขา รวมท้งั ส่งเสริมการสร้างเจตคติท่ีดีต่อการศึกษาวิชาน้ี 3. สนบั สนุนส่งเสริมการวิจยั ทางนาโนเทคโนโลยที ุกสาขา 4. ส่งเสริมใหบ้ ริการและเผยแพร่ความรู้ทางนาโนเทคโนโลยแี ก่ประชาชนเพ่อืยกระดบั คุณภาพของชีวิต 5. เพือ่ เป็นศูนยป์ ระสานงาน เผยแพร่ และแลกเปลี่ยนความรู้ในทางนาโนเทคโนโลยรี ะหวา่ งสมาชิกและผทู้ ่ีสนใจทางนาโนเทคโนโลยที ้งั ภายในและภายนอกประเทศ
1. ศูนย์นาโนเทคโนโลยี ภาควชิ าฟิ สิกส์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล ทาการวจิ ยั เก่ียวกบั ประดิษฐกรรมและวศิ วกรรมนาโนเทคโนโลยี 2. คณะวศิ วกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ทาการวจิ ยั และพฒั นาเกี่ยวกบั สารก่ึงตวั นา 3. ภาควชิ าฟิ สิกส์ คณะวทิ ยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวยิ าลยั ไดจ้ ดั ต้งั หอ้ งปฏิบตั ิการวจิ ยัฟิ สิกส์สารก่ึงตวั นาและทาการศึกษาสารประกอบก่ึงตวั นา 4. ภาควชิ าฟิ สิกส์คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ทาการวจิ ยั เก่ียวกบั ทางดา้ นสารก่ึงตวั นาท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั นาโนเทคโนโลยี 5. ห้องปฏบิ ตั กิ ารวจิ ยั ไมโครอเิ ลก็ ทรอนิกส์ สถาบนั พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบงัทาการวจิ ยั เก่ียวกบั ส่ิงประดิษฐจ์ ากโครงสร้างของสารก่ึงตวั นาจากออกไซดข์ องโลหะ และพฒั นาแผน่ ฟิ ลมท์ ่ีทาดว้ ยเพชร
6. มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ทาการวจิ ยั ดา้ นการใชเ้ ทคนิค CVD มาผลิตฟิ ลมท์ ี่ทาดว้ ยเพชร 7. ศูนย์ปฏิบตั ิการวจิ ยั เครื่องกาเนิดแสงซินโครตรอนแห่งชาติ ทาการศึกษาความเป็นไปไดใ้ นการสร้างเคร่ืองกาเนิดแสงซินโครตรอนข้ึนในประเทศไทย 8. สถาบนั วจิ ยั โลหะและวสั ดุ ประสบความสาเร็จในการผลิต “เส้ือนาโนเทคโนโลย”ี โดยพฒั นาเทคนิคจาก “อนุภาคเงิน” แทรกลงใยผา้ ไดท้ ุกชนิด ช่วยยบั ย้งั แบคทีเรียและรอยดา พร้อมขจดักล่ินอนั ไม่พงึ ประสงคท์ ี่เกิดจากเช้ือรา พร้อมส่งต่อเทคโนโลยใี หภ้ าคอุตสาหกรรมพฒั นาใชเ้ ชิงพาณิชยต์ ามโครงการ “แปลงเทคโนโลยเี ป็นทุน” 9. ศูนย์นาโนเทคโนโลยแี ห่งชาติ (นาโนเทค) ทาการวจิ ยั เรื่อง “การผลิตเสน้ ใยนาโนในพอลิเมอร์เพื่อการพฒั นาระบบนาส่งยาปฏิชีวนะ”
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180