Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Homo Deus A Brief History of Tomorrow (2016)

Homo Deus A Brief History of Tomorrow (2016)

Published by tanapong.srikaew, 2019-02-04 18:14:01

Description: Homo Deus A Brief History of Tomorrow (2016)

Search

Read the Text Version

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog Homo Deus : A Brief History of Tomorrow (2016) by Yuval Noah Harari “This is the best reason to learn history: not in order to predict the future, but to free yourself of the past and imagine alternative destinies. Of course this is not total freedom – we cannot avoid being shaped by the past. But some freedom is better than none.” เมื อเราเข ้าใจ “เรื องราวที แท ้จริง” ของมนุษย์ เมื อนั นเราก็จะเข ้าใจ “เป้าหมาย” ของการเดินทางของ มนุษยชาติ https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 2/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog Homo Deus คือ หนังสือภาคต่อจาก Sapiens ของ Yuval Noah Harari ศาสตราจารย์ทางประวติ ศาสตร์ผู้นําเสนอเรื องราวของ “อนาคต” ของมนุษยชาติผ่านการศึกษาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของ เผ่าพันธุ์ Homo Sapiens ที พัฒนาตนเองขึ นจากการเป็น “สัตว์” อันไร ้ซึ งความสําคัญใดๆมาเป็น “เทพเจ ้า” ผู้กําหนดชะตาชีวิตของทุกสรรพสิ ง แต่เมื อสิ งที ถูกมนุษย์สร ้างขึ นอย่าง algorithm เริ มมีสติ ปัญญาที ชาญฉลาดกว่ามันสมองของมนุษย์ โลกของเราทุกคนจะเปลี ยนแปลงไปอย่างไร ผู้เขียน Yuval Noah Harari (ขอบคุณภาพจาก Ted.com) Chapter 1: The New Human Agenda โศกนาฏกรรม 3 อันดับสําคัญที มนุษยชาติต ้องพบเจอตลอดระยะเวลาหลายพันปีที ผ่านมานั นประกอบไป ด ้วย “ความอดอยาก” “โรคระบาด” และ “สงคราม” Famine: ในยุคเกษตรกรรม หากภัยธรรมชาติส่งผลกระทบต่อผลิตผลทางการเกษตรของหมู่บ ้านแห่ง หนึ ง ความทุกข์ทรมานจากความอดอยากนั นเป็นสิ งที แทบจะหลีกเลี ยงไม่ได ้เลย แต่ทุกวันนี ผลิตภาพ ทางการเกษตรและความเป็นอยู่ที ดีขึ นของมนุษย์ได ้ทําให ้ภาวะอดอยากหายสาบสูญไปจากโลกจนเกือบ จะหมดสิ นและมนุษย์กลับมีโอกาสเสียชีวิตจากภาวะการรับประทานอาหารที “มากเกินไป” แทน https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 3/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog Plague: เริ มต ้นในช่วงทศวรรษที 1330 ภัยร ้ายนามว่า the Black Death ได ้คร่าชีวิตมนุษย์กว่า 1 ใน 4 ของประชากรทั งหมดในแถบทวีปยุโรปและเอเชีย ในยุคเริ มต ้นของการล่าอาณานิคมของชาวสเปนใน แถบทวีปอเมริกาได ้นําพาเชื อโรคที ชาวท ้องถิ นไม่เคยได ้สัมผัสข ้ามทวีปมาแพร่ระบาดไปทั วอาณาจักร Aztec และ Maya อย่างรวดเร็วจนทําให ้กว่า 90% ของประชากรท ้องถิ นต ้องจบชีวิตลงภายในระยะเวลา อันสั น แต่ในปัจจุบัน ภาวะโรคระบาดนั นสร ้างความเสียหายในอัตราที น้อยลงเป็นอย่างมากทั งๆที สภาวะ การอาศัยอยู่รวมกันในเมืองที แออัดและระบบการคมนาคมอันรวดเร็วนั นถือเป็นแหล่งแพร่กระจายโรค ระบาดได ้เป็นอย่างดี ทั งนี ก็เพราะว่าวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่ได ้รับการพัฒนาจนสามารถตรวจจับ สาเหตุและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดต่อได ้อย่างรวดเร็ว (Ebola ที เกิดขึ นในปี 2014 คร่า ประชากรไปเพียงแค่หลักหมื นคนเท่านั น) ความเสี ยงของโรคระบาดร ้ายแรงในอนาคตน่าจะเกิดขึ นจากฝีมื ของมนุษย์มากกว่าจากธรรมชาติ War: ปัจจุบันสงครามและการก่ออาชญากรรมนั นเป็นเพียงแค่ 1% ของสาเหตุการตายของมนุษย์ (ซึ ง น้อยกว่าการฆ่าตัวตายและโรคเบาหวาน) ทั งนี ก็เพราะว่าสงครามในยุคปัจจุบันนั นแทบจะ “ไม่มีประโยชน์” ในความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจอีกต่อไป การเกิดขึ นของอาวุธ “นิวเคลียร์” ส่งผลให ้การสู ้ รบกันระหว่างชาติ มหาอํานาจเป็นเหมือนการ “ฆ่าตัวตายหมู่” ที ไร ้เหตุผลสิ นดี ชัยชนะจากสงครามนั นก็แทบจะไม่มีมูลค่าอีก ต่อไปเพราะทรัพย์สมบัติที มีค่าที สุดของมนุษย์ในยุคนี อยู่ใน “คอมพิวเตอร์” และ “มันสมอง” ของมนุษย์ (สงครามที เกิดขึ นในช่วงที ผ่านมานั นมักเกิดขึ นกับประเทศที มีทรัพยากรมหาศาล อาทิ บ่อนํ ามันหรือ เหมืองแร่) ในทางกลับกัน “ความสงบสุขอันยั งยืน” ก็ได ้เกิดขึ นมาแทนที “ความสงบสุบชั วคราว” ผ่านการ ทําการค ้าและการลงทุนระหว่างประเทศที ทําให ้ความคิดถึงการทําสงครามระหว่างกันนั น “เป็นไปไม่ได ้” อีกต่อไป และนี คือสาเหตที ประเทศจีนเลือกทําสัญญาทางธุรกิจกับ Apple และ Microsoft แทนการยก ทัพมายึด Silicon Valley เมื อ “ความท ้าทาย” ในอดีตได ้รับการแก ้ไขจนเกือบสมบูรณ์แล ้ว มนุษย์ผู้มีความทะเยอทะยานสูงก็ได ้เริ ม ออกตามหา “ความท ้าทาย” ครั งใหม่อันประกอบไปด ้วย ความเป็นอมตะ ความสุขและการก ้าวข ้ามขีด จํากัดของมนุษย์ธรรมดาไปเป็น “พระเจ ้า” Immortality: “ความตาย” ถือเป็นส่วนสําคัญอย่างมากของ “ศาสนา” ที คอยพรํ าสอนให ้มนุษย์ทําความดี เพื อสร ้าง “ชีวิตหลังความตาย” ที ยอดเยี ยม (ถ ้าไม่มีความตาย แนวคิดของสวรรค์และนรกคงไม่เคยเกิด ขึ น) แต่ปัจจุบัน “ความตาย” ที เกิดขึ นกับมนุษย์ผ่าน “โรคร ้าย” ต่างๆนั นถูกตีความใหม่ให ้กลายมาเป็น เพียงแค่ “ปัญหาทางเทคนิค” ของร่างกายมนุษย์ที รอให ้เทคโนโลยีทางการแพทย์แก ้ไขปัญหาให ้ หายขาด ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์และบริษัทเทคโนโลยีชั นนําเริ มให ้ความสําคัญกับ Life Science หรือ ศาสตร์แห่งชีวิตที ศึกษาเรื องการรักษาความผิดปกติของร่างกายและการยืดอายุไขของเซลส์และอวัยวะ ต่างๆของมนุษย์ ในเร็วๆนี เราอาจจะเริ มเห็นมนุษย์ที มีอายุไขเพิ มขึ นจากเดิม (ซึ งนั นก็ทําให ้โครงสร ้าง ทางสังคมเปลี ยนแปลงไปจากปัจจุบันโดยสิ นเชิง ลองคิดดูว่ามนุษย์อาจจะเกษียณในอายุ 120 ปี ปูติ นอาจจะเป็นนายกของรัสเซียต่อไปอีก 60 ปีก็ได ้) ส่วนในระยะยาว มนุษย์อาจเริ มกลายเป็น “a-mortal” หรือ ผู้ที มีร่างกายเป็นอมตะ (ยกเว ้น ได ้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจนเสียชีวิต ซึ งก็อาจจะทําให ้บุคคล อมตะเหล่านี เกรงกลัวต่อกิจกรรมที มีความเสี ยงอย่างสุดโต่ง) ซึ งแน่นอนว่า “มนุษย์” ทุกคนจะต ้อง พยายามทุกวิถีทางให ้ตัวเองกลายเป็นมีชีวิตอยู่ชั วนิรันดร์และเงินทุนมหาศาลจะเป็นตัวกระตุ้นให ้การตาม ล่าความเป็นอมตะดําเนินต่อไปจนสัมฤทธิ ผล Happiness: ตั งแต่การเริ มต ้นของการสร ้างอาณาจักรและประเทศชาติ การพัฒนาโครงสร ้างพื นฐาน การ ศึกษา สุขอนามัยและการยกระดับความเป็นอยู่อาศัยของประชาชนนั นมีวัตถุประสงค์หลักคือการสร ้าง https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 4/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog “ความแข็งแกร่ง” ให ้กับประเทศชาติโดยปราศจากการคํานึงถึง “ความสุข” ที แท ้จริงของประชาชน (ประเทศพัฒนาแล ้วมากมายมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงขึ นตามการเพิ มขึ นของ GDP per capita) การสร ้าง ความสุขที แท ้จริงของมนุษย์นั นต ้องเริ มต ้นจากการแก ้ไข “อุปสรรค” สําคัญ 2 ข ้อ ได ้แก่ 1. อุปสรรคทาง “จิตวิทยา” ที ว่าด ้วยความสุขของมนุษย์นั นเกิดขึ นจากการที ความจริงที พวกเขาต ้องเผชิญนั นตรงกับความ คาดหวังของพวกเขามากน้อยแค่ไหน (ซึ งปัจจุบัน ความก ้าวหน้าทางเทคโนโลยีได ้นําพาให ้ความคาด หวังของมนุษย์สูงขึ นๆไปเรื อยๆ) 2. อุปสรรคทาง “ชีววิทยา” ที พิสูจน์ไว ้แล ้วว่าความสุขของมนุษย์ขึ นอยู่ กับ “ฮอร์โมน” ภายในร่างกายเท่านั น อันเป็นไปตามการวิวัฒนาการของธรรมชาติที สร ้างให ้มนุษย์มีความ รู้สึกดีหลังจากได ้กระทําสิ งที เป็นประโยชน์ต่อการดํารงชีวิตได ้สําเร็จก่อนที ความรู้สึกนั นจะจางหายไปใน เวลาต่อมา เทคโนโลยีในอนาคตที จะเข ้ามาเติมเต็มช่องว่างก ้อนใหญ่ของมนุษย์ก็คือการสร ้าง “ความสุข ชั วนิรันดร์” ผ่านการ “จัดระเบียบ” ระบบการทํางานของสารเคมีในร่างกายมนุษย์ให ้สามารถหลั งฮอร์โมน ให ้มนุษย์มีความสุขในเชิงบวกได ้ตลอดเวลา (ปัจจุบันมีมนุษย์หลายล ้านคนกินยาระงับประสาท ยาแก ้โรค ซึมเศร ้าและยาเสพย์ติด ที ล ้วนมีผลต่อการปรับเปลี ยนสารเคมีที มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ทั ง นั น) Divinity: หลังจากที มนุษย์สามารถออกแบบร่างกายและจิตใจของตัวเองได ้แล ้ว เป้าหมายที เหลือของ พวกเขาก็คงเป็นการอัพเกรด “พลัง” ให ้กับตัวเองให ้เทียบชั นกับ “เทพเจ ้า” ตั งแต่ การเสริมสร ้างความ สามารถของร่างกายผ่านการปรับเปลี ยนพันธุกรรม การผสมผสานหุ่นยนต์เข ้ากับร่างกายและสมองของ มนุษย์ ไปจนถึงการอัพโหลดจิตใจของมนุษย์เข ้าไปยังเครื องจักรที ไม่มีวันตาย ทั งหมดนี อาจจะดูเพ ้อฝัน แต่สิ งหนึ งที สามารถมั นใจได ้เลยก็คือ มนุษย์ในปัจจุบันคงไม่สามารถจินตนาการถึง “มนุษย์อนาคต” ที ก ้าว ผ่านจากสายพันธุ์ Homo Sapiens (มนุษย์ฉลาด) มาเป็น Homo Deus (มนุษย์เทพเจ ้า) ได ้อย่างแน่นอน ประวัติศาสตร์เป็นข ้อพิสูจน์ชั นดีว่าการ “อัพเกรดมนุษย์” นั นเป็นสิ งที ไม่อาจหลีกเลี ยงได ้ในอนาคต เทคโนโลยีในช่วงเริ มต ้นนั นอาจเกิดขึ นในรูปแบบของกระบวนการแก ้ไขความผิดปกติต่างๆของมนุษย์ (อาทิ การเลือกเอ็มบรีโอของเด็กทารกที มีสุขภาพสมบูรณ์ หรือ การแก ้ไขดีเอ็นเอที มีปัญหาของเอ็มบรี โอ) แต่หากกระบวนการเหล่านั นสามารถทําให ้มนุษย์ปกติมีคุณสมบัติที เพิ มขึ น สุดท ้ายโลกจะไม่อาจ ควบคุมการแพร่กระจายของเทคโนโลยีนี ได ้ (หากอเมริกาสั งแบนการตัดต่อพันธุกรรม แต่เกาหลีเหนือ สนับสนุนโครงการนี เต็มที เพื อสร ้างมนุษย์อัจฉริยะ อเมริกาคงไม่มีทางยอมปล่อยโอกาสนี ไปแน่ๆ) แต่ก็อย่าลืมเด็ดขาดว่า “อนาคต” ที พวกเราพอจะมองเห็นอยู่ลิบๆนั นเกิดขึ นจากการร ้อยเรียงเรื องราวและ ความเชื อของมนุษย์ที ถูกสร ้างขึ นโดยมนุษย์ตั งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน นั นหมายความว่าโลกและ มนุษยชาติอาจจะไม่ใช่สิ งที พวกเราจินตนาการถึงได ้เลยเมื อ “อนาคต” ที แท ้จริงเดินทางมาถึง Part I – Homo Sapiens Conquers the World Chapter 2: The Anthropocene การพยากรณ์ความสัมพันธุ์ระหว่าง Homo Sapiens ยุคปัจจุบันกับ Homo Deus ในยุคอนาคตนั นคงเป็น สิ งที ไม่ง่ายนัก แต่เราก็อาจพอจะใช ้ ประวัติศาสตร์ของความสัมพันธุ์ระหว่าง “มนุษย์” กับ “สัตว์” ชนิดอื น มาใช ้ เป็นกรอบความคิดคร่าวๆได ้ https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 5/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog Antropocene คือ “ยุคแห่งมนุษย์” ที เริ มต ้นขึ นเมื อ 70,000 ปีก่อนหลังจากการปฏิวัติทางความตระหนักรู้ ของมนุษย์สายพันธุ์ Homo Sapiens ที ทําให ้ “มนุษย์” กลายเป็นสิ งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวในโลกที กุมชะตา กรรมของสิ งมีชีวิตทั งหมด (ปัจจุบัน สัดส่วนนํ าหนักรวมของสิ งมีชีวิตเกิน 90% ตกเป็นของมนุษย์ สัตว์ เลี ยงและสัตว์อุตสาหกรรม) ความสัมพันธุ์ของ Homo Sapiens และสิ งมีชีวิตชนิดอื นๆในยุคของนักล่าสัตว์และนักหาของป่ านั นอยู่ใน รูปของความเชื อที ว่าสิ งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทั งหมดล ้วนมีจิตวิญญาณ (Animism) ที มนุษย์จะต ้องทําความ เคารพและเกื อกูลระหว่างกัน (การล่าสัตว์ในยุคโบราณนั นต ้องประกอบด ้วยพิธีขอขมาสัตว์ที ถูกล่านั นๆ) ก่อนที การปฏิวัติทางเกษตรกรรมจะเปลี ยนพฤติกรรมและความเชื อของมนุษย์ให ้กลายเป็นการเคารพต่อ “เทพเจ ้า” ผู้มีพลังอํานาจมหาศาลที มาพร ้อมกับการเปลี ยนความคิดของการนับถือสัตว์กลายเป็นการมอง ว่าสิ งมีชีวิตชนิดอื นๆนั นมีศักดิ ที ต ้อยตํ ากว่ามนุษย์อันเป็นเหตุให ้ปศุสัตว์ผู้ถูกเลือกอย่าง หมู วัว ไก่และแกะ ต ้องกลายมาเป็นสัตว์ที ต ้องทนทุกข์ทรมานมากที สุดในโลก (พร ้อมกับการแพร่กระจายจํานวนอย่าง รวดเร็ว) ซึ งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ก็ยิ งเข ้ามาซํ าเติมความโหดร ้ายของมนุษย์ที มีต่อสัตว์เหล่านั น เข ้าไปอีก (ยกเว ้นในช่วงไม่กี ทศวรรษที ผ่านมาที มนุษย์เริ มหวนกลับมาให ้ความสําคัญกับสิ งมีชีวิตชนิด อื น) ในอนาคตนั น เราไม่อาจรับรู้ได ้เลยว่า “มนุษย์เวอร์ชั นอัพเกรด” หรือ A.I. ผู้มีสติปัญญาที หลักแหลมกว่า Homo Sapiens ในปัจจุบันมากจะจัดการกับพวกเราเหมือนในอดีตที ผ่านมาหรือไม่ Antropocene หรือ “ยุคแห่งมนุษย์” (ขอบคุณภาพจาก Motherboard – Vice) https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 6/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog Chapter 3: The Human Spark “อะไร” คือสิ งที ทําให ้มนุษย์มีความพิเศษมากกว่าสิ งมีชีวิตชนิดอื น หากคําถามนี ถูกถามในยุคที วิทยาศาสตร์ยังไม่ได ้รรับการยอมรับอย่างกว ้างขวาง คําตอบคงเป็น “วิญญาณ” ที มีเพียงมนุษย์เท่านั นที ได ้ครอบครอง อันเป็นเหตุให ้มนุษย์มองเห็นสิ งมีชีวิตอื นๆเป็นเพียงร่าง ที ไร ้วิญญาณและสามารถยํ ายีได ้ตามชอบ (ปัจจุบันชาวอเมริกันเพียงแค่ 15% เท่านั นที เชื อว่ามนุษย์เกิด ขึ นจากการวิวัฒนาการตามธรรมชาติเท่านั นโดยไม่ต ้องพึ งพระเจ ้า) ส่วนคําตอบที น่าจะได ้รับการยอมรับในยุคปัจจุบันมากกว่าก็คือ “จิตใจ” (mind) และ “การตระหนักรู้” (consciousness) ซึ งปัจจุบัน เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์สามารถตรวจจับกระบวนการทํางานของระบบ ประสาทภายในสมองของสิ งมีชีวิตได ้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับหนึ งแต่ก็ยังไม่สามารถตรวจจับ กระบวนการทํางานของ “จิตใจ” ที ทําให ้มนุษย์รู้สึกรัก โลภ โกรธหรือกลัวได ้เลย (มีเพียงตัวของเราเอง เท่านั นที เชื อมั นในการมีอยู่ของจิตใจและความรู้สึกของเรา ไม่แน่เราอาจจะเป็นเพียงผู้เล่นในโลกจําลอง ของสิ งมีชีวิตชั นสูงหรือมนุษย์ในอนาคตอยู่ก็เป็นได ้) นักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามจับเอาคอนเส็ปต์ของระบบคอมพิวเตอร์อย่าง algorithm ที เป็นเหมือน ชุดคําสั งขนาดใหญ่มาใช ้ อธิบายถึงพฤติกรรมของสิ งมีชีวิตต่างๆแทนการใช ้ จิตใจ อาทิ เมื อ ลิงเห็นเสือ ประสาทตาของลิงก็จะทําการส่งกระแสไฟฟ้าเข ้าไปยังสมองเพื อประมวลผลผ่าน algorithm ของลิงตัวนั น และส่งผลลัพธ์ออกมาในรูปของกระแสประสาทเพื อให ้ลิงวิ งหนีเสือ โดยที ลิงไม่ได ้มีความรู้สึกกลัวหรือ ตกใจแต่อย่างใดเลย แต่เอาจริงๆแล ้ว การทดลองหลายครั งในอดีตก็ได ้พิสูจน์ว่าสิ งมีชีวิตชนิดอื นๆก็มีความตระหนักรู้ได ้ไม่แพ ้ มนุษย์ อาทิ Clever Hans ม ้าผู้แสนฉลาดแห่งเยอรมนีในยุคปี 1900s ที มีความสามารถในการตอบปัญหา บวกลบคูณหารเลขผ่านการเคาะเท ้าเป็นจํานวนครั งตามคําตอบที ถูกต ้องได ้อย่างแม่นยํา ซึ งนักจิตวิทยา ได ้ค ้นพบว่า Clever Hans ไม่ได ้มีความสามารถในการคิดเลขเหมือนกับมนุษย์ แต่เจ ้าม ้าตัวนี ใช ้ วิธีการ เคาะเท ้าพร ้อมๆกับการสังเกตสีหน้าของมนุษย์ผู้เป็นคนถามคําถามที มักจะแสดงอาการอย่างชัดเจนเมื อ Clever Hans กระแทกเท ้าจนใกล ้ถึงคําตอบที ถูกต ้องและมันก็จะหยุดกระแทกเท ้าไปในที สุด แต่จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ “ปัจจัย” ที น่าจะส่งผลให ้ Homo Sapiens กลายมาเป็นสิ ง มีชีวิตที ยิ งใหญ่ที สุดในโลกได ้ภายในเวลาเพียงแค่เสี ยวหนึ งของอายุของดาวดวงนี ไม่ใช่ “วิญญาณ” หรือ “จิตใจอันสูงส่ง” แต่กลับกลายเป็น “ความสามารถในการทํางานร่วมกันอย่างซับซ ้ อนและมีประสิทธิภาพ” อย่างที สิ งมีชีวิตชนิดอื นสามารถทําได ้ ซึ งสาเหตุที มนุษย์สามารถทํางานร่วมกันเป็นกลุ่มขนาดหลักพัน หลักล ้านคนได ้นั นเกิดจากการที มนุษย์สามารถคิดค ้น “ความเชื อที ถูกสร ้างขึ นโดยฝีมือมนุษย์” (imagined order) อาทิ ศาสนา พระเจ ้า หลักมนุษยธรรม ประชาธิปไตยและระบบเงิน มนุษย์คือสิ งมีชีวิตเดียวในโลกที สามารถจินตนาการ “ความหมาย” ของการมีชีวิตอยู่และการทํางานร่วมกัน ระหว่างมนุษย์ด ้วยกันแองได ้โดยไม่จําเป็นต ้องพึ ง “ความจริง” ที เกิดขึ นตามหลักการทางวิทยาศาสตร์และ ธรรมชาติ อาทิ นักรบชาวคริสเตียนเชื อมั นว่าตัวเองจะได ้ขึ นสวรรค์หากเข ้าร่วมสงครามครูเสดเพื อคร่าชีวิต นักรบชาวอิสลามที มีความเชื อคล ้ายๆกัน https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 7/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog และเมื อการเวลาเปลี ยนไป ความเชื อและความหมายของชีวิตก็เปลี ยนแปลงไป ปัจจุบันความเชื อเกี ยวกับ เทพเจ ้าและศาสนากําลังเสื อมความนิยม ขณะที ความเชื อเรื องประชาธิปไตย ความเท่าเทียมกันและสิทธิ มนุษยชนกําลังได ้ความนิยมที เพิ มขึ นเรื อยๆ ส่วนในอนาคต ความเชื อรูปแบบใหม่ที มนุษย์ในยุคปัจจุบัน อาจจะยังคาดไม่ถึงก็อาจจะเกิดขึ นได ้ในไม่ช ้ า ม ้าแสนรู้ Clever Hans ที ไม่ได ้ฉลาดเหมือนที มนุษย์คิด (ขอบคุณภาพจาก Wikipedia) Part II – Homo Sapiens Gives Meaning to the World Chapter 4: The Storytellers มนุษย์คือสิ งมีชีวิตชนิดเดียวที อาศัยอยู่ในโลกที มีความจริงซ ้ อนกันอยู่ 3 ชั น (three-layered reality) อัน ประกอบไปด ้วย ความจริงเชิงวัตถุ (objective reality) อาทิ อากาศและสิ งแวดล ้อม ความจริงเชิง ปัจเจกบุคคล (subjective reality) อันได ้แก่ อารมณ์และความรู้สึกภายใน และความจริงที ถูกสร ้างขึ นโดย มนุษย์ด ้วยกันเอง (imagined reality) ประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั นถูกสร ้างขึ นจากการร ้อยเรียงกันของเรื องเล่าและความเชื อของมนุษย์ ตั งแต่ 70,000 ปีก่อนที มนุษย์เริ มสามารถจินตนาการถึง “สิ งที ไม่มีอยู่จริง” อันเป็นจุดเริ มต ้นของการสร ้าง “ความ https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 8/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog จริง” โดยฝีมือของจินตนาการของมนุษย์เพื อสร ้างความสามารถในการทํางานร่วมกันของมนุษย์หมู่มากได ้ สําเร็จ โดยจุดเปลี ยนครั งสําคัญของมนุษยชาติ คือ การปฏิวัติทางเกษตรกรรมเมื อ 12,000 ปีก่อนที ทําให ้มนุษย์ เริ มเปลี ยนพฤติกรรมจากการออกล่าสัตว์และหาของป่ าไปเป็นการอยู่รวมกันเป็นหลักแหล่งเป็นหมู่บ ้าน ขนาดย่อม ก่อนที “อาณาจักร” ขนาดใหญ่จะเริ มกําเนิดขึ นหลังจากที ชาวสุเมเรียนได ้คิดค ้น “ภาษาเขียน” อันเป็นพื นฐานของระบบบัญชีและการปกครองของมวลมนุษย์ขนาดใหญ่ได ้สําเร็จในช่วง 5,000 ปีก่อน และภาษาเขียนนี เองที เป็นตัวจุดประกายให ้เกิดการสร ้าง “เรื องแต่ง” ให ้กลายมาเป็น “เรื องจริง” ที ทําให ้ ประชาชนในแต่ละอาณาจักรเชื อมั นได ้อย่างสนิทใจได ้ ซึ งในช่วงแรกเริ มของอาณาจักรนั น เรื องจริงที ถูก สร ้างขึ นโดยฝีมือมนุษย์นั นมีลักษณะคล ้ายๆกันก็คือ การนําเอา “เทพเจ ้า” หรือ “พระเจ ้า” มาเป็น จุดศูนย์กลางของความเชื อและกฎระเบียบการปกครองของอาณาจักรโดยแต่ละอาณาจักรจะมีผู้นําที เปรียบเสมือน “ตัวแทนของเทพเจ ้า” หรือไม่ก็เป็น “เทพเจ ้า” ซะเองเลยอย่างฟาโรห์ของอาณาจักรอียิปต์ ถึงแม ้ในยุคปัจจุบัน ความเชื อเรื องเทพเจ ้าและภูติผีปีศาจจะได ้เสื อมถอยลงไป แต่โลกของเรากลับเต็มไป ด ้วย “เรื องแต่ง” โดยฝีมือมนุษย์ในยุคใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ประเทศชาติ หลักการปกครอง เงินและ บริษัท ที ล ้วนแล ้วแต่จะมีอิทธิพลต่อมนุษย์มากขึ นเรื อยๆ ซึ งเอาจริงๆ เรื องแต่งเหล่านี ล ้วนมีความสําคัญ อย่างมากในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน แต่พวกเราก็ไม่ควรลืมว่าอะไรคือเรื องแต่งและอะไรคือ “เรื องจริง” The Creation of Adam (ขอบคุณภาพจาก Wikipedia) Chapter 5: The Odd Couple https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 9/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog สองหลักการที ขัดแย ้งกันมาตลอดในยุคสมัยใหม่ก็คือ “ศาสนา” กับ “วิทยาศาสตร์” ที ต่างก็พยายาม อธิบายถึง “ความจริง” หนึ งเดียวของโลกมนุษย์ ศาสนาต่างๆ (รวมถึงลัทธิคอมมิวนิสต์ ทุนนิยมและความเชื อเรื องความเท่าเทียมกันของมนุษย์) นั นล ้วนมี พื นฐานมาจาก “กฎเกณฑ์” ที มนุษย์สร ้างขึ นโดยอาศัยการเรื องเล่าที ว่าอันแท ้จริงแล ้วกฎเกณฑ์เหล่านี ถูก กําหนดโดยเทพเจ ้าหรือเกิดขึ นตามกฏของธรรมชาติซึ งมนุษย์นั นไม่มีความสามารถที จะเปลี ยนแปลง ระเบียบเหล่านี ได ้ (ฮิตเลอร์คิดว่าตัวเองต ้องจําใจเป็นผู้สังหารชาวยิวให ้พ ้นโลกจากความเชื อที ว่าชาวยิว เป็นกลุ่มมนุษย์ที มียีนส์ชั นตํ าและจําเป็นต ้องถูกกําจัดเพื อรักษามนุษยชาติตามกฎแห่งธรรมชาติที ชาวนา ซีเชื อถือในช่วงเวลานั น) โดยเป้าหมายสูงสุดของศาสนานั นคือการสร ้าง “ระเบียบ” ให ้กับสังคมมนุษย์ ซึ ง ผู้ที นับถือศาสนาหรือเชื อมั นในระบบกฎเกณฑ์นั นจะมีความเชื อว่าหลักการที พวกเขาเชื อมั นนั นคือ “สิ ง เดียวที ถูกต ้อง” อันหมายความว่าความเชื อของผู้ที นับถือศาสนาอื นนั นเป็นเพียงเรื องเพ ้อฝันที ไร ้เหตุผล สิ นดี ปัญหาของความขัดแย ้งระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์นั นจึงเกิดขึ นจาก “ความขัดแย ้งกันของความจริง” ซึ งวิทยาศาสตร์กําลังมีบทบาทในการปฏิเสธความจริงของศาสนาและความเชื อต่างๆด ้วยหลักฐานที ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม สังคมมนุษย์นั นไม่สามารถพึงพาแต่หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการปกครอง มนุษย์จํานวนมหาศาลให ้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได ้ สังคมยังต ้องการ “หลักการทางจริยธรรม” จากศาสนา ที คอยกําหนดว่าอะไรคือสิ งที ถูกต ้องและอะไรคือสิ งที ผิด (ซึ งแน่นอนว่าปัญหาที ตามมาก็คือความขัดแย ้ง ทางความเชื อระหว่างศาสนาที ไม่ตรงกัน อาทิ ความเชื อเรื องการทําแท ้งที ศาสนาคริสต์มองว่าเป็นเรื องที ผิดแต่ชาวเสรีนิยมกลับมองว่าเป็นสิ งที มนุษย์สามารถกระทําได ้ ทั งนี หลักการทางวิทยาศาสตร์นั นสามารถ ตอบได ้เพียงว่าทารกเริ มได ้รับความรู้สึกเจ็บปวดเมื ออายุเท่าไหร่ แต่ไม่สามารถบอกได ้ว่าการคร่าชีวิต ทารกในครรภ์นั นคือสิ งที ถูกต ้องหรือไม่) ศาสนาและวิทยาศาสตร์ในอดีตจึงมีความสัมพันธุ์ที ต ้องพึ งพาอาศัยกันมาโดยตลอด Chapter 6: The Modern Covenant “ความทันสมัย (modernist)” นั นเกิดขึ นจากการที มนุษย์ยอมละทิ ง “ความหมายของชีวิต” จากความเชื อ ทางศาสนาที คอยสร ้างกรอบให ้มนุษย์ทําตามคําสั งของพระเจ ้าหรือกฎของธรรมชาติไปเป็นการออกตาม หา “พลังอํานาจ” อันไร ้ซึ งขอบเขตซึ งได ้รับการสนับสนุนโดยความก ้าวหน้าทาง “วิทยาศาสตร์” และอัตรา การ “เติบโต” ของระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่อย่างก ้าวกระโดด การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์นั นมีจุดกําเนิดจากการเปลี ยนแปลงความคิดของมนุษย์ที แต่เดิมเชื อมั นว่าตัว เองค ้นพบทรัพยากรทั งหมดของโลกแล ้วซึ งหมายความว่าการที มนุษย์จะมีฐานะที ดีขึ นได ้นั นจะต ้องแลก เปลี ยนด ้วยการถดถอยลงของมนุษย์อีกคน (zero-sum game) กลายมาเป็นความเชื อที ว่ามนุษย์สามารถ สร ้างอัตราการเติบโตของทรัพยากรและพลังงานที มีอยู่อย่างจํากัดบนโลกได ้ด ้วยการใช ้ “ความรู้” ในการ พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที สามารถเพิ มประสิทธิภาพของมนุษยชาติได ้อย่างที ไม่เคยเกิดขึ นมา ก่อน https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 10/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog มนุษย์ในปัจจุบันจึงกลายเป็นสิ งมีชีวิตที เสพติด “อัตราการเติบโต” ของเศรษฐกิจที คอยช่วยให ้ความเป็น อยู่ของพวกเราดีขึ นไปเรื อยๆ ซึ งแน่นอนว่าปัญหาที ตามมาอย่าง “มลพิษ” และ “ภาวะโลกร ้อน” นั นก็จะส่ง ผลที รุนแรงมากขึ นเรื อยๆ (หลักฐานที แสดงให ้เห็นว่ามนุษย์สนใจการเติบโตมากกว่าสิ งแวดล ้อมที ชัดเจน ที สุดคืออัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที มีแต่จะเพิ มขึ นเรื อยๆถึงแม ้ว่าจะมีการทําสัญญาระหว่าง ประเทศกันหลายรอบแล ้วก็ตาม) Chapter 7: The Humanist Revolution เหตุใดสังคมของมนุษย์สมัยใหม่ในยุคที ปราศจากความเชื อทางศาสนาถึงยังคงอยู่ร่วมกันได ้อย่างสงบสุข คําตอบก็คือ มนุษย์ได ้คิดค ้นศาสนาชนิดใหม่ที มีชื อว่า “มนุษยนิยม (humanism)” ขึ นมาในช่วงไม่กี ทศวรรษที ผ่านมา มนุษยนิยมเชื อมั นในพลังของ “มนุษย์” และยอมรับให ้มนุษย์ทําหน้าที แทนพระเจ ้าหรือกฏแห่งธรรมชาติ ในการสร ้าง “ความหมาย” ให ้กับโลกและจักรวาล อันเป็นเหตุให ้การตัดสินใจทั งหมดของมนุษย์นั นเกิดขึ น จากการถาม “ความรู้สึก” ของตัวเองว่าสิ งนั นเป็นสิ งที ควรกระทําหรือไม่โดยไม่ต ้องยึดถือคัมภีร์ไบเบิ ลหรือ กฎข ้อบังคับของศาสนาอื นๆอีกต่อไป (มนุษย์เพียงแค่ถามตัวเองลึกๆว่าการกระทํานั นทําให ้เราและผู้อื น รู้สึกดีหรือไม่ ธุรกิจก็แค่สร ้างสินค ้าหรือบริการที เป็นที ต ้องการของลูกค ้าเท่านั นเพราะหลักการทาง เศรษฐกิจของมนุษยนิยมก็คือ “ลูกค ้าหรือมนุษย์นั นถูกต ้องเสมอ” อันเป็นเหตุให ้ธุรกิจสีเทาหรือธุรกิจที ส่ง ผลกระทบต่อสิ งแวดล ้อมยังคงดําเนินกิจการได ้ในปัจจุบันเพราะมนุษย์ผู้เป็นลูกค ้าไม่ได ้มองว่าธุรกิจเหล่า นั นเป็นสิ งที ผิด !!) สมการที อธิบายกลไกของมนุษยนิยมนั นได ้แก่ Knowledge = Experience x Sensitivity ซึ งมีความ หมายว่า “กระบวนการทางความคิด” ของมนุษย์นั นได ้รับอิทธิพลจากการทํางานร่วมกันของ “ประสบการณ์” ที ประกอบไปด ้วย สัมผัส อารมณ์และความคิดที ถูกสั งสมมาในมนุษย์แต่ละคนและ “ความ สามารถในการประมวลผล” ของประสบการณ์เหล่านั น ซึ งหมายความว่ามนุษย์มีการ “พัฒนาการทางความ คิด” อยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น ผู้เชี ยวชาญการดื มชาที ผ่านประสบการณ์การชิมชามาแล ้วทั วโลกจะมี ความสามารถในการรับรู้คุณค่าของชาชั นดีได ้มากกว่าผู้ที ไร ้ประสบการณ์ (สมการการสร ้างความรู้ตาม หลักการทางวิทยาศาสตร์ Knowledge = Empirical Data x Mathematics นั นไม่สามารถตอบปัญหา ทางจริยธรรมได ้ ส่วนสมการของศาสนา Knowledge = Scriptures x Logic ก็ถูกจํากัดด ้วยหลักคําสอน ของศาสนา) มนุษยนิยมนั นแบ่งออกได ้เป็น 3 สายหลักๆ ได ้แก่ 1. เสรีนิยม (Liberalism) ผู้เชื อมั นในความสามารถของมนุษย์ “แต่ละคน” ในการดําเนินชีวิตของตัวเอง ดังนั น เสรีภาพในการตัดสินใจของมนุษย์จึงเป็นสิ งสําคัญ (ข ้อเสียของระบบเสรีนิยมนั นก็คือ “ความไร ้ ประสิทธิภาพ” ที เกิดขึ นจากการใช ้ เสียงส่วนใหญ่ตามระบอบประชาธิปไตยเป็นตัวตัดสินใจแทน สมาชิกของสังคมซึ งบางส่วนอาจไม่พอใจกับการตัดสินใจนั นๆ) 2. สังคมนิยม (Socialism) ผู้เชื อมั นในความสามารถของ “สังคมมนุษย์” ในภาพรวมโดยมีกลุ่มแกนนํา เป็นผู้ดูแลการตัดสินใจแทนสมาชิกทุกคน โดยอ ้างถึงความชอบธรรมในการแก ้ปัญหาความไม่เท่า https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 11/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog เทียมกันของระบบเสรีนิยม (ซึ งต่อมาประเทศเสรีนิยมก็ได ้นําเอาหลักการบางส่วนของสังคมนิยมมา ปรับใช ้ อาทิ การสนับสนุนทางการศึกษาและสาธารณสุขของประชาชน) 3. มนุษยนิยมเชิงวิวัฒนาการ (Evolutionary humanism) ผู้เชื อมั นในความสามารถของชาติพันธุ์ของตัว เองว่ามีคุณสมบัติที สูงส่งกว่าชาติพันธุ์อื นๆ อันเป็นเหตุให ้เกิดการ “กําจัด” มนุษย์สายพันธุ์ที ด ้อยกว่า อาทิ Nazism ที เชื อมั นในความสามารถของชาติพันธ์ุอารยันที สูงส่งกว่าชาวยิว หลังจากการสิ นสุดลงของสงครามเย็น มนุษยนิยมสายเสรีนิยมคือ “ศาสนา” ที ประสบความสําเร็จสูงสุดใน สังคมของมนุษย์ในปัจจุบัน อันเป็นผลมาจากความสามารถในการปรับตัวของหลักการให ้เข ้ากับการ เปลี ยนแปลงทางเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน (กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงกําลังจะไม่มีจุดยืนในเร็วๆนี เนื องจากการ ไม่ยอมปรับตัวเข ้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่) ซึ งหมายความว่าเมื อเทคโนโลยีของมนุษย์มีการพัฒนาการไป เรื อยๆ ศาสนาแห่งใหม่ที สามารถตอบสนองความคิดและอารมณ์ของมนุษย์ในยุคแห่งอนาคตก็อาจจะเข ้า มาแทนที มนุษยนิยมก็เป็นได ้ Part III – Homo Sapiens Loses Control “Organisms are algorithms and life is data processing” Chapter 8: The Time Bomb in the Laboratory ในยุคปัจจุบันที วิทยาศาสตร์เข ้ามามีบทบาทในสังคมมากขึ นเรื อยๆ “ข ้อเท็จจริง” ตามหลักการของ เสรีนิยมกําลังที ว่าด ้วยการให ้ความสําคัญของ “อิสรภาพทางความคิดของมนุษย์” กําลังได ้รับการทดสอบ ครั งใหญ่ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ให ้เห็นแล ้วว่ากระบวนการตัดสินใจของมนุษย์นั นเกิดขึ นจาก “ปฏิกิริยาเคมี” ภายใน ร่างกาย ซึ งถึงแม ้ว่ามนุษย์จะอ ้างว่าพวกเรามีอิสรภาพในการตัดสินใจด ้วยตัวเอง แต่พวกเราก็ได ้ถูก กระบวนการทางเคมีตั ง “กรอบ” ให ้กับคําถามและความคิดของพวกเราไม่ต่างกับกระรอกที สามารถตัดสิน ใจด ้วยตัวเองได ้ว่ามันจะเลือกกินวอลนัทที หล่นอยู่ใต ้ต ้นไม ้หรือไม่โดยไม่เคยต ้องถามตัวเองเลยว่าทําไม ต ้องคิดถึง “วอลนัท” (มนุษย์สามารถตัดสินใจคําตอบของคําถามในหัวของตัวเองได ้ แต่อะไรหละคือตัว กําหนดให ้พวกเรา “ถาม” คําถามเหล่านั น) เราไม่ได ้เลือกความต ้องการของตัวเอง สิ งที เกิดขึ นจริงใน ระบบประสาทก็คือ เรา “รับรู้” ถึงความต ้องการเหล่านั นที ไหลผ่านมาในสมองเรา ณ จังหวะเวลานั นพอดี ต่างหาก (เราสามารถทดสอบทฤษฎีนี ง่ายๆด ้วยการตั งคําถามตัวเองหลังจากที “ความคิด” บางอย่างผุด ขึ นมาในใจว่าความคิดเหล่านั นมันเกิดขึ นมาได ้ยังไงและเราสามารถสั งสมองให ้ “หยุดคิด” ได ้หรือไม่) สิ งที ตามมาก็คือ กระบวนการ “ปรับแต่งความรู้สึก” ของมนุษย์ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที ปัจจุบันนัก วิทยาศาสตร์สามารถสั งการ “หนูทดลอง” ให ้ปฏิบัติภารกิจตามคําสั งผ่านการฝังเครื องมือที คอยกระตุ้น สมองส่วนที สร ้างความสุขให ้กับหนูควบคู่กับการฝึกระยะสั นโดยหนูทดลองที ร่วมโครงการนั นจะมีความ รู้สึกดีทุกครั งหลังจากได ้กระทําสิ งที พวกมันถูกสั งให ้ทําผ่านการกระตุ้นสมอง ซึ งเทคโนโลยีสําหรับมนุษย์ ก็เริ มได ้รับการพัฒนาให ้มีประสิทธิภาพมากขึ นแล ้ว อาทิ ไมโครชิปส์สําหรับแก ้โรคซึมเศร ้าและหมวก สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าสําหรับกระตุ้นสมองของทหารสหรัฐเพื อเพิ มสมรรถภาพในสนามรบ https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 12/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog หลักการของเสรีนิยมที พูดถึง “ตัวตน” ที มีเพียงหนึ งเดียวของมนุษย์แต่ละคน (individual) นั นก็ได ้รับการ โต ้แย ้งอย่างรุนแรงจากทฤษฎีของศาสตร์เศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม (behavioral economics) ที พิสูจน์ ว่ามนุษย์หนึ งคนนั นมีระบบการตัดสินใจอยู่ 2 ระบบ อันได ้แก่ ตัวตนเชิงประสบการณ์ (experience self) ผู้รับรู้ถึงสิ งที มนุษย์ได ้ประสบพบเจอและตัวตนเชิงบอกเล่า (narrative self) ผู้ทําหน้าที บอกเล่าเรื องราว เหล่านั น โดยการทดลองได ้ค ้นพบว่าตัวตนเชิงบอกเล่านั นมักสร ้างเรื องราวที ไม่ได ้สอดรับกับตัวตนเชิง ประสบการณ์และตัวตนเชิงบอกเล่านี เองคือตัวตนหลักที ทําหน้าที ชี นําการตัดสินใจของมนุษย์ (ตัวอย่าง การทดลอง: การทดลองจุ่มมือในนํ าเย็นจัดที ผู้ทดลองจะต ้องทําการจุ่มมือใน 2 รูปแบบ รูปแบบแรกผู้ ทดลองจะต ้องจุ่มมือในนํ าเย็นจัดเป็นระยะเวลาหนึ ง รูปแบบที สองนั นเหมือนกับรูปแบบแรกแต่ผู้ทดลองจะ ต ้องจุ่มมือนานขึ นอีกในขณะที นํ าจะอุ่นขึ นเล็กน้อย ผลของการทดลองพบว่าผู้ทดลองที ได ้รับอิทธิพลจาก ตัวตนเชิงบอกเล่าชอบการจุ่มมือรูปแบบที สองมากกว่าทั งๆที ตัวตนเชิงประสบการณ์ของพวกเขาต ้องทน ทุกข์เป็นระยะเวลานานกว่า ผลลัพธ์ของการทดลองนี นําไปสู่กฎ peak-end rule ที กล่าวว่ามนุษย์มักจะ ทําการเฉลี ยความทรมานหรือความสุขของประสบการณ์ที พวกเขาพบเจอมากกว่าการรวมผลลัพธ์จาก เหตุการณ์เหล่านั น) Chapter 9: The Great Decoupling ในศตวรรษที 21 มนุษยชาติกําลังจะต ้องประสบกับการคุกคามของ “เทคโนโลยี” ที กําลังจะทําให ้มนุษย์ จํานวนมากต ้องสูญเสีย “คุณค่า” ทางเศรษฐกิจและการทหารไปอย่างหมดสิ นอันเป็นเสมือน “ชนวน ระเบิด” ที พร ้อมจะทําลายความเชื อของหลักการทางเสรีนิยมที ให ้คุณค่าแก่มนุษย์ทุกๆคนอย่างเท่าเทียม กัน ตัวอย่างเช่น IBM’s Watson ในอนาคตที สามารถทําหน้าที แทนคุณหมอทั วโลกในการวินิจฉัยโรคร ้าย ของผู้ป่ วยพร ้อมๆกันทั งโลกได ้อย่างแม่นยําตลอด 24 ชั วโมง การจู่โจมทางโลกไซเบอร์โดยกลุ่ม แฮกเกอร์เพียงหยิบมือสามารถส่งผลร ้ายแรงต่อเป้าหมายได ้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าการใช ้ ทหารนับล ้านนายในการสู ้ รบ ในอดีตมนุษย์มีความเชื อว่าสิ งมีชีวิตที มีความสามารถในการตระหนักรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง เท่านั นที จะสามารถสร ้างภูมิปัญญาที สูงส่งได ้ แต่แล ้ว เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์ในปัจจุบัน นั นได ้แสดงให ้เห็นถึง “การแยกออกจากกัน” ของ “ปัญญา (Intelligence)” และ “การตระหนักรู้ (consciousness)” ที ในอนาคต algorithm ที มีระดับสติปัญญาขั นสูงจะเข ้ามาทําหน้าที แทนมนุษย์ผู้มี ความตระหนักรู้แต่มีระบบประมวลผลที ด ้อยประสิทธิภาพกว่าโดยที algorithm เหล่านั นไม่จําเป็นต ้องมี ความรู้สึกนึกคิดแต่อย่างใด ไม่แตกต่างจากเหตุการณ์ในอดีตที “ม ้า” ซึ งมีความรู้สึกและความผูกพันธุ์กับ เจ ้าของถูกแทนที ด ้วย “รถยนต์” อันไร ้ความรู้สึกที มีประสิทธิภาพในการพามนุษย์เดินทางจากจุดหนึ งไป ยังอีกจุดหนึ งที ดีกว่าได ้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว คําถามสําคัญที ตามมาก็คือ “แล ้วที ยืนของมนุษย์นั นอยู่ตรงไหน” คําตอบของนักวิชาการส่วนใหญ่ในยุค ปัจจุบันก็คือ งานที ต ้องใช ้ ความสามารถในการตระหนักรู้ถึงอารมณ์และความคิดสร ้างสรรค์ของมนุษย์ แต่ เอาเข ้าจริงๆแล ้ว สิ งมีชีวิตทุกชนิดรวมถึงมนุษย์นั นล ้วนมี algorithm สําหรับการตัดสินใจทั งนั น งานที ต ้อง ใช ้ ความคิดสร ้างสรรค์อย่างการแต่งเพลงนั นตามหลักการของ Life science นั นถือเป็นกระบวนการในการ ประมวลผลรูปแบบของเสียงตามหลักการทางคณิตศาสตร์ของมนุษย์เท่านั น ซึ งนักประดิษฐ์คนหนึ ง สามารถพัฒนา A.I. นามว่า EMI ที สามารถประมวลผลเพลงของศิลปินชื อดังอย่าง Bach มาใช ้ ในการแต่ง เพลงใหม่ของตัวเองกว่า 5,000 เพลงภายใน 1 วันโดยที ผู้ฟังนั นเชื อว่าเพลงเหล่านี ถูกแต่งขึ นมาโดย https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 13/14

10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Homo Deus : A Brief History of Tomorrow – Panasm's Blog ศิลปินเอกได ้อย่างสนิทใจ โลกในอนาคตกําลังจะสร ้างประชากรกลุ่มใหม่ที ไร ้ซึ งคุณค่าใดๆต่อสังคม (useless class) ส่วนกลุ่มงานที อาจได ้รับผลกระทบน้อยที สุดนั นคือกลุ่มงานที ต ้องใช ้ ความสามารถ เฉพาะตัวขั นสูงแต่มีผลตอบแทนที ตํ าจนไม่มีใครอยากลงทุนพัฒนาโปรแกรมมาทําหน้าที ทดแทน อาทิ นักโบราณคดี แนวโน้มถัดมาของศตวรรษที 21 ก็คือ การเกิดขึ นของระบบการตัดสินใจที หลอมรวมมนุษย์เข ้าด ้วยกัน เป็นกลุ่ม ศาสตร์ Life science ได ้พิสูจน์ว่าทุกกระบวนการตัดสินใจของมนุษย์นั นเกิดขึ นจาก algorithm ภายในของมนุษย์แต่ละคนที เต็มไปด ้วยข ้อบกพร่องนานับประการ และเมื อถึงจุดหนึ งที เทคโนโลยี สามารถทําความเข ้าใจหลักการของ algorithm เหล่านั นมากพอที จะสร ้าง external algorithm ที มี ประสิทธิภาพมากกว่าได ้สําเร็จ ความสําคัญของปัจเจกบุคคลก็จะสูญสลายไป มนุษย์จะถูกหลอมรวม เป็นกลุ่มก ้อนและถูกถ่ายเทพลังอํานาจไปยัง algorithm ที สามารถตัดสินใจสิ งต่างๆได ้ดีกว่า ตัวอย่างที เห็นชัดๆในปัจจุบันก็คือ เทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง wearable sensor ที สามารถตรวจจับ กระบวนการทํางานของร่างกายและให ้คําแนะนําแก่ผู้ใช ้ งานอยู่ตลอดเวลา หรือ เหตุการณ์ที Angelina Jolie ตัดสินใจผ่าตัดเต ้านมหลังรับทราบข ้อมูลทางสถิติจากการตรวจสอบทางพันธุกรรมว่าตัวของเธอมี โอกาส 87% ที จะเป็นมะเร็งเต ้านม ในอนาคต “มนุษย์” อาจจะต ้องพึ งพิง “โปรแกรม” อย่างแยกจากกันไม่ได ้ตลอด 24 ชั วโมง ลอง จินตนาการโลกในอนาคตที มนุษย์ทุกคนยอมให ้ข ้อมูลทั งหมดแก่ Google ไม่ว่าจะเป็นข ้อมูลทาง ชีววิทยา (อาทิ ข ้อมูลการทํางานของร่างกายแบบ real time ผ่านการฝังไมโครเซนเซอร์ DNA และ ประวัติทางพันธุกรรม) ข ้อมูลการใช ้ จ่าย อีเมล์และอีกมากมาย เมื อข ้อมูลมีมากพอถึงจุดหนึ ง Google จะ กลายมาเป็น algorithm ที รู้จักมนุษย์มากกว่าตัวของพวกเขาเองและสามารถให ้คําแนะนําในการตัดสินใจ ได ้ดีกว่ามนุษย์ที เต็มไปด ้วยความลําเอียง (bias) และความไร ้ประสิทธิภาพในการประมวลผลข ้อมูลของ ตัวเอง และเมื อมนุษย์สามารถอัพเกรดร่างกายและสติปัญญาของตัวเองได ้สําเร็จ โลกก็จะเริ มเข ้าสู่ยุคที ความไม่ เท่าเทียมกันระหว่างชนชั นสูงกับชนชั นล่างนั นรุนแรงอย่างที ไม่เคยเกิดขึ นมาก่อน ความแตกต่างนั นไม่ได ้ เกิดขึ นเฉพาะฐานะทางเศรษฐกิจเท่านั น แต่กลุ่มชนชั นสูงนั นจะกลายมาเป็นสิ งมีชีวิตที มีสมรรถภาพทาง ชีววิทยาที เหนือกว่าและเมื อเทคโนโลยีได ้ทําให ้ “ประโยชน์” ของกลุ่มชนชั นล่างหมดไป ประชากรเกือบ ทั งหมดของโลกมนุษย์อาจจะกลายมาเป็นเพียงขยะทางชีววิทยาที ไร ้คุณค่าใดๆในสายตาของกลุ่มมนุษย์ ที สามารถแปลงกายเป็นเทพเจ ้าได ้สําเร็จ https://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-homo-deus/ 14/14


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook