Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการบรรยายการเมืองการปกครองไทย

เอกสารประกอบการบรรยายการเมืองการปกครองไทย

Published by Raweewan07sena, 2020-04-28 00:42:28

Description: เอกสารประกอบการบรรยายการเมืองการปกครองไทย

Search

Read the Text Version

- 151 - ง) บัญญัติให้ท้องถิ่นมีองค์กรปกครองท้องถ่ินขนาดใหญ่ท้ังหวัดได้ (ในอนาคตจะมีการ เลือกตัง้ ผู้บริหารจังหวัดโดยตรง) จ) ให้สิทธิถอดถอน ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นแก่ประชาชนผู้ท่ีมีสิทธิ เลือกตงั้ ในกรณีทีป่ ระพฤติมิชอบต่อตาแหน่งหน้าท่ี ฉ) ให้สิทธปิ ระชาชนท่ีมสี ิทธิเ์ ลือกตง้ั ในการริเร่ิมทาข้อบัญญัติท้องถ่ินท่ีเป็นประโยชน์ต่อ ท้องถิน่ ช) กาหนดให้มีกฎหมายกระจายอานาจสู่ท้องถิ่น ทาให้เกิดกฎหมายการกาหนดแผน และข้ันตอนการกระจายอานาจ ซ) ให้องคก์ รปกครองท้องถิน่ มหี น้าทีบ่ ารุงรกั ษาศลิ ปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถ่ิน วัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงาม การจัดการ บารุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดล้อมในเขตพ้นื ท่ี 1.1 องค์กรบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เดิมมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้า ได้แก้ไขให้มี การเลือกตั้งนายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัด โดยให้สภาองค์กรบริหารส่วนจังหวัดเลือกต้ังกันเอง โดยเลือก สมาชิกองค์กรบริหารส่วนจังหวัด (สจ.)หนึ่งคนเป็นนายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัด ซ่ึงการแก้ไขได้ดาเนินการ ก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ได้มีความสอดคล้องกับหลักการให้มีการเลือกตั้ง ผบู้ รหิ ารท้องถน่ิ ทบ่ี ัญญตั ไิ ว้ในรฐั ธรรมนญู ซ่ึงเรอ่ื งท่ี อบจ.จาเปน็ ตอ้ งปรับเปลยี่ นตามรฐั ธรรมนูญ ได้แก่ 1.1.1 อานาจลดลงจากเดมิ เหลือเพียงดแู ลประสานงาน เงินก็จะได้รบั นอ้ ยลง 1.1.2 ราชการส่วนกลางและสว่ นภูมภิ าคในการกากบั ดแู ล อบจ.ไดน้ อ้ ยลง 1.2 เทศบาล มีการแก้ไขกฎหมายให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกต้ังมากขึ้น โดย กาหนดให้มีการทาประชามติในแต่ละเทศบาลเม่ือประชาชน 3 ใน 4 เข้าช่ือร้องขอต่อคณะกรรมการการ เลอื กต้งั (กกต.)เพ่ือเลือกทีจ่ ะมีผู้บรหิ ารเทศบาลในรปู แบบคณะเทศมนตรี หรอื นายกเทศมนตรี 1.3 สุขาภิบาล เดิมราชการส่วนท้องถิ่นไทยมีการบริหารท้องถ่ินรูปแบบสุขาภิบาล โดยมี คณะผู้บริหารมาจากตาแหน่งๆ ในราชการส่วนภูมิภาค เช่น นายอาเภอ เป็นต้น และในปี 2542 ได้มีการตรา กฎหมายยกเลิกสุขาภิบาลทงั้ ประเทศ แล้วใหย้ กฐานะเป็นเทศบาลตาบล 1.4 องค์กรบริหารส่วนตาบล (อบต.) เดิมกาหนดให้กานันและผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิก อบต. ไดม้ กี ารแก้ไข พ.ร.บ.สภาตาบลและ อบต. พ.ศ.2537 ใหส้ มาชกิ อบต.มาจากการเลือกต้งั 1.5 กรุงเทพมหานคร ได้มีการแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบราชการกรุงเทพมหานครให้มีความ ทันสมยั 1.6 เมอื งพทั ยา ไดม้ ีการยกเลิกผู้บริหารแบบเดิมท่ีไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และได้มกี ารเปลี่ยนโครงสร้างรูปแบบใหม่ ดงั น้ี 1.6.1 สภาเมอื งพัทยาให้มสี มาชิก 24 คน มาจากการเลือกตงั้ โดยตรงจากประชาชน 1.6.2 นายกเมอื งพัทยามาจากการเลอื กต้ังโดยตรงจากประชาชน 2. รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ.2550 ได้ให้ความสาคญั กับการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้กาหนดหลักการสาคัญดงั นี้ 2.1 หลักการการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถ่ิน ซึ่งรัฐจะต้องให้ ความเป็นอิสระแก่ท้องถนิ่ ตามหลกั การแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถ่นิ 2.2 การกากับดูแลการปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องทาเท่าที่จาเป็นและมีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงอ่ื นไขทชี่ ัดเจน สอดคล้องและเหมาะสมกบั รปู แบบขององค์กรปกครองท้องถน่ิ 2.3 ความเป็นอิสระของท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินย่อมมีอานาจหน้าท่ีโดยท่ัวไป ในการดแู ลและจดั ทาการบริหารสาธารณะเพอ่ื ประโยชน์ของประชาชน ย่อมมอี ิสระในการกาหนดนโยบาย การ

- 152 - บริหารการจัดบริการสาธารณะ การบริหารงานบุคคล การเงินและการคลัง และมีอานาจหน้าท่ีของตนเอง โดยเฉพาะ โดยคานงึ ถงึ ความสอดคล้องกับการพัฒนาของจังหวัดและประเทศเปน็ สว่ นรวมดว้ ย 2.4 การจัดองค์กรในการปกครองสว่ นท้องถิน่ ในคณะผู้บริหารท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถิ่น ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน หรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น ตอ้ งมาจากการเลอื กต้ังโดยตรงจากประชาชน 2.5 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถ่ิน มีสิทธิเข้าช่ือถอดถอน ผู้บริหารท้องถ่ินพ้นจากตาแหน่งจานวนผู้มีสิทธ์ิเข้าชื่อตามหลักเกณฑ์และวิธีการเข้าช่ือ ซ่ึงผู้บริหารท้องถิ่นมี สิทธิมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการขององค์ปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยต้องจัดให้มีวิธีที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ดังกล่าวด้วย นอกจากน้ัน อปท.ต้องรายงานการดาเนินงานต่อประชาชนในเรื่องการจัดทางบประมาณ การใช้ จา่ ย และผลการดาเนินงานในรอบปี เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและกากับการบริหารจัดการ ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น 2.6 การควบคุมพนกั งานประจาส่วนท้องถิ่น การแต่งตั้งและการให้ราชการและลูกจ้างของ องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นพ้นจากตาแหน่ง ต้องเป็นไปตามความเหมาะสมและความจาเป็นของแต่ละท้องถิ่น โดยการบริหารงานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องมีมาตรฐานสอดคล้องกัน ต้องมีองค์กรพิทักษ์ คุณธรรมของขา้ ราชการสว่ นทอ้ งถ่นิ เพื่อสรา้ งระบบคุ้มครอง คุณธรรมและจรยิ ธรรมในการบริหารงานบุคคล ราชการสว่ นทอ้ งถนิ่ ตาม พ.ร.บ.ระเบยี บบริหารราชการ พ.ศ.2534 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 4 ได้วางระเบียบบริหาร ราชการแผ่นดินไว้ 3 ระดับ ได้แก่ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถ่ิน และใน มาตรา 69 บัญญัติว่า “ท้องถิ่นใดที่เห็นสมควรให้ราษฎรมีส่วนในการปกครองท้องถ่ินให้จัดระเบียบการ ปกครองเป็นราชการส่วนท้องถ่นิ ” มาตรา 70 บญั ญตั ิวา่ “ใหจ้ ดั ระเบียบบริหารราชการทอ้ งถ่ินดงั นี้ (1) องค์กรบริหารส่วนจังหวัด (2) เทศบาล (3) สขุ าภิบาล (3) ราชการส่วนท้องถิ่นอ่ืนตามท่ีมีกฎหมายกาหนด และมาตรา 71 บัญญัติว่า “การจัดระเบียบการปกครององค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล และ ราชการส่วนท้องถิ่นอ่ืนตามท่ีกฎหมายกาหนดให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการน้ัน ในปัจจุบันได้มีกฎหมาย เฉพาะขององค์การปกครองส่วนท้องถิน่ ซึ่งแบง่ ประเภทได้ 2 ประเภท คอื 1. ประเภททั่วไป ไดแ้ ก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล 2. ประเภทพิเศษ ได้แก่ กรเุ ทพมหานคร และเมอื งพัทยา จากสาเหตขุ องการเปลีย่ นแปลงรปู แบบขององค์กรปกครองท้องถ่ินใหม้ ีความสอดคลอ้ งกบั สภาพ ของสังคมทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปอยา่ งรวดเรว็ ได้มกี ารยกฐานะสขุ าภบิ าลขึน้ เปน็ เทศบาลทงั้ หมดในปี พ.ศ.2542 ซึง่ แม้ว่าในปจั จบุ นั จะไมม่ ีการจัดตงั้ ขึ้นมาอกี กต็ าม แต่เนื่องจากเปน็ ท่ีปฐมบทของการบรหิ ารทอ้ งถ่นิ ครงั้ แรกของ ประเทศไทย จงึ ได้นาเร่ืองของสขุ าภิบาลมาบรรจุไว้ในบทน้ีเพื่อประโยชนข์ องนักศึกษาท่ีศกึ ษาวชิ าการปกครอง ท้องถิน่ ไทยได้ทราบประวตั คิ วามเปน็ มาในอดตี องคก์ รบริหารสว่ นจังหวดั (อบจ.) วิวฒั นาการขององคก์ รบรหิ ารสว่ นจังหวัด แบง่ ได้ 2 ระยะ คือ 1. ระยะที่ 1 (พ.ศ.2476-2499) อบจ.เกดิ ขึ้นครัง้ แรกตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2476 โดยให้มี สภาจังหวดั เริ่มแรกมบี ทบาท คอื (1) เป็นองคก์ รท่ปี รึกษาใหแ้ ก่การบรหิ ารของรฐั บาล (2) การแบง่ สรรเงินอดุ หนนุ ใหแ้ กเ่ ทศบาลในจังหวดั (3) ตรวจสอบการปฏบิ ตั งิ านของหนว่ ยราชการท้องถน่ิ ในเขตจงั หวดั

- 153 - (4) ระยะแรกไม่ได้เป็น อปท. และไมเ่ ป็นนติ บิ ุคคล 2. ระยะที่ 2 พ.ศ.2491 มี พ.ร.บ.สภาจังหวัด มาจากการเลือกต้ังจากราษฎรในเขตจังหวัด มี หนา้ ทีเ่ ปน็ ที่ปรึกษาของกรมการจงั หวัด ซ่งึ เปน็ ราชการส่วนภมู ภิ าค หรือตามท่รี ัฐบาลรอ้ งขอ 2.1 พ.ศ.2495 พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน กาหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้า ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบการบริหารราชการในจังหวัดของ กระทรวง ทบวง กรม ทาให้ อานาจกรมการจังหวัดเปน็ ของผวู้ า่ ฯ ทาใหส้ ภาจงั หวดั มฐี านะเปน็ เพียงสภาทีป่ รกึ ษาของผวู้ า่ ราชการจังหวัด 2.2 ในปี พ.ศ.2499 ได้มีความพยายามในการจัดการปกครองท้องถ่ิน โดยมี แนวความคิดทีจ่ ะปรับปรงุ บทบาทของสภาจงั หวัดให้มีประสทิ ธิภาพและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง ตนเองมายิ่งขึน้ ทาให้เกดิ “องคก์ รบริหารส่วนจังหวัด” (อบจ.) ขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ ส่วนจงั หวดั พ.ศ.2499 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบลู สงคราม กาหนดให้ อบจ. ใช้มาจนถึง พ.ศ.2540 สาหรับ หน้าท่ีของ อบจ. ในตอนนั้น กาหนดให้มีอานาจหน้าที่ดาเนินกิจการส่วนจังหวัดภายในเขตจังหวัดซ่ึงอยู่นอก เขตเทศบาล สุขาภบิ าล และหนว่ ยการปกครองท้องถิ่นรูปแบบอนื่ โครงสรา้ ง อบจ. ตาม พ.ร.บ.องคก์ รบริหารสว่ นจังหวดั พ.ศ.2499 โครงสร้าง อบจ. ตาม พ.ร.บ.องค์กรบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2499 ได้ใช้มานานกว่า 40 ปี (พ.ศ. 2499- 2540) มโี ครงสร้างและองคป์ ระกอบอานาจหนา้ ท่ี ดงั ต่อไปน้ี 1. โครงสร้างและองค์ประกอบขององค์กรบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตาม พ.ร.บ.องค์กรบริหาร สว่ นจงั หวดั พ.ศ.2499 ซึ่งถือว่าเป็นการปกครองส่วนท้องถ่ิน ประกอบด้วย สภาจังหวัด ทาหน้าที่เป็นฝ่ายนิติ บัญญตั ิ และฝา่ ยผู้บริหาร ซงึ่ มี ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ทาหน้าที่เป็นหวั หน้า อบจ. 1.1 ฝ่ายบริหาร ประกอบด้วยข้าราชการที่มาจากราชการสว่ นภมู ิภาค ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ทาหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารขององค์กรบริหารส่วนจังหวัด โดยมีปลัดจังหวัดเป็นปลัดองค์กรบริหารส่วน จงั หวดั เปน็ ผูบ้ ังคับบัญชารองจากผู้วา่ ราชาการจังหวัด และมีนายอาเภอหรือปลัดอาเภอผู้เป็นหัวหน้าประจาก่ิง อาเภอเป็นผู้บังคับบญั ชาขา้ ราชการส่วนจงั หวัด และบรหิ ารกิจการส่วนจงั หวัดในเขตอาเภอหรือก่ิงอาเภอน้ัน 1.2 สภาจงั หวดั ประกอบด้วย สมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) ซ่ึงได้รับการเลือกต้ังโดยตรงมาจากประชาชนทา หน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติของ อบจ. เช่น พิจารณาร่างข้อบัญญัติจังหวัด ประกอบด้วยสมาชิกสภาจังหวัดที่มา จากการเลอื กตั้งของประชาชนในแตล่ ะอาเภอ ปัจจุบนั มสี มาชกิ สภาจังหวัดท่ัวประเทศ จานวน 2,149 คน โดย อยใู่ นวาระคราวละ 5 ปี สาหรบั จานวนสมาชิกสภาจังหวัดของแต่ละจังหวัดและแต่ละอาเภอจะไม่เท่ากัน ทั้งน้ี ถอื เกณฑจ์ านวนประชากรในเขตพ้ืนทีน่ ้นั ๆ เปน็ หลัก โดยในระดบั จงั หวัดถอื เกณฑ์ ดังน้ี (1) จานวนประชากรไม่เกนิ 200,000 คน มสี มาชกิ สภาจงั หวดั ได้ 19 คน (2) จานวนประชากร 200,000 - 500,000 คน มีสมาชกิ สภาจังหวดั ได้ 24 คน (3) จานวนประชากร 500,000 - 1,000,000 คน มสี มาชกิ สภาจงั หวัดได้ 30 คน (4) จานวนประชากรเกิน 1,000,000 คน มีสมาชิกสภาจังหวดั ได้ 36 คน การจัดโครงสร้างของสภาจังหวัด สมาชิกสภาจังหวัดจะเลือกประธานสภาจังหวัดและรอง ประธานจังหวัด ตาแหน่งละ 1 คน โดยมีผู้ตรวจการส่วนท้องถิ่นของท้องถิ่นของจังหวัดเป็นเลขานุการสภา จังหวัด นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการสภาจังหวัดปฏิบัติงานตามที่สภาจังหวัดมอบหมาย เช่น คณะกรรมการ การคลงั คณะกรรมการการตรวจสอบรายงานการประชมุ คณะกรรมการการศึกษา เปน็ ตน้ 2. อานาจหนา้ ทีข่ ององคก์ รบริหารสว่ นจงั หวัด ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2499 มาตรา 31 ได้กาหนดให้ องค์กรบริหารส่วนจังหวัดมีอานาจหน้าท่ีดาเนินกิจการส่วนจังหวัดภายในเขตจังหวัดซึ่งอยู่นอกเขตเทศบาล สุขาภิบาล และหน่วยการปกครองท้องถ่ินรูปอื่น เช่น การศึกษา การทานุบารุงศาสนาและการส่งเสริม

- 154 - วัฒนธรรม การป้องกันโรค การบาบัดโรค และการจัดตั้งและบารุงสถานพยาบาล การรักษาความสะอาดของ ถนน ทางเดนิ และท่ีสาธารณะ การจัดให้มีน้าสะอาดหรือการประชา การจัดให้มีตลาด ท่าเทียบเรือ และ ทา่ ขา้ ม การพาณิชย์ เปน็ ตน้ ซงึ่ กฎหมายบัญญัตใิ ห้เปดิ กิจการส่วนจงั หวดั นอกจากอานาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว องค์กรบริหารส่วนจังหวัดยังมีอานาจ หน้าที่ตามกฎหมายอ่ืนได้กาหนดและมอบให้ เช่น พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 พระราชบัญญัติ สง่ เสริมและรักษาคุณภาพส่งิ แวดลอ้ ม พ.ศ.2535 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ซึ่งกาหนดอานาจ หนา้ ที่ขององค์กรบริหารส่วนจงั หวัดไดด้ ว้ ย นอกจากน้ี ผ้วู า่ ราชการจงั หวัดในฐานะฝา่ ยบริหารของ อบจ. ถือเป็นตัวแทนของ อบจ. และถือว่า เป็นผบู้ รหิ ารกิจการสว่ นจงั หวดั ของ อบจ. ควบคู่ไปกบั สภาจงั หวดั และบทบาทหน้าทข่ี องผ้วู า่ ราชการจังหวัดใน การบริหารองค์กรบรหิ ารส่วนจังหวดั มดี งั ต่อไปน้ี (1) มีหน้าที่นามติของสภาจงั หวัดไปปฏบิ ตั ิและดูแลดาเนนิ การ (2) ปกครองบงั คับบญั ชาขา้ ราชการส่วนจังหวดั (3) เสนอรา่ งขอ้ บัญญัติจังหวัดและในกรณีฉุกเฉินไม่อาจเรียกประชุมสภาจังหวัดได้ทันท่วงที ผู้ว่าราชการจังหวัดอาจออกข้อบัญญัติชั่วคราวได้ โดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการสามัญประจาสภา จงั หวดั (4) หน้าทใี่ นการตอบกระทู้ถามหรอื ข้อสอบถามของสมาชิกสภาจงั หวัด 3. อานาจหน้าท่ขี องสภาจงั หวัด (1) อานาจหน้าท่ใี นทางนิติบญั ญตั ิ (2) อานาจหน้าที่ในการควบคมุ ฝ่ายบรหิ าร องคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั 2540 ในปี พ.ศ.2540 ไดม้ ีการตรา พ.ร.บ.องค์กรบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 มาใช้บังคับแทน พ.ร.บ. องค์กรบริหารส่วนจังหวดั พ.ศ.2499 การมี พ.ร.บ.องคก์ รบรหิ ารสว่ นจงั หวัด พ.ศ.2540 เกิดจากแรงกดดันจาก การรวมตัวของสหพันธ์ อบจ.ท่ัวประเทศ และผลกระทบจาก พ.ร.บ.สภาตาบล และองค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ.2537 ท่ีมีการประกาศยกฐานะสภาตาบลเป็นองค์กรบริหารส่วนตาบล (อบต.) ซ่ึงทาให้มีปัญหาพ้ืนท่ี ดาเนินงานของ อบจ. ซ้อนทับกับ อบต. รวมท้ังการจัดเก็บภาษีอากร ค่าธรรมเนียม และรายได้ของ อบจ.เป็น ต้น นอกจากนั้น พ.ร.บ.องค์กรบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 ได้แยกข้าราชการส่วนภูมิภาคออกจากฝ่ายการ บริหารของ อบจ. (ซ่ึงเดิมผู้ว่าราชการเคยดารงตาแหน่งนายก อบจ.) มาใช้สภาจังหวัดเป็นผู้เลือกนายก อบจ. ขน้ึ ทาหน้าท่ีเป็นฝา่ ยบรหิ าร โครงสรา้ ง อบจ. ตาม พ.ร.บ.องคก์ รบรหิ ารสว่ นจังหวดั พ.ศ.2540 1. โครงสร้างและองค์ประกอบของ อบจ. ประกอบด้วย สภาองค์กรบริหารส่วนจงหวัด (ฝ่ายนิติ บัญญตั ิ) และนายกองคก์ รบริหารส่วนจงั หวัด (ฝา่ ยบรหิ าร) 1.1 สภาองคก์ รบรหิ ารสว่ นจังหวัด ในจังหวัดหน่ึงให้มีสภาจังหวัดอันประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งขึ้นตามกฎหมายว่า ด้วยการเลอื กตงั้ สมาชิกสภาจังหวัด สาหรับจานวนสมาชิกสภาจังหวัดให้ถือเกณฑ์ตามจานวนราษฎรแต่ละจังหวัดตามหลักฐาน ทะเบยี นราษฎรทีป่ ระกาศในปสี ุดท้ายกอ่ นปีที่มีการเลือกตง้ั ดังน้ี (ก) จังหวดั ใดมีราษฎรไมเ่ กิน 500,000 คน มสี มาชกิ สภาจังหวัดได้ 24 คน

- 155 - (ข) จังหวัดใดมีราษฎรเกินกว่า 500,000 คน แต่ไม่เกิน 1,000,000 คน มี สจ.ได้ 30 คน (ค) จงั หวัดใดมรี าษฎรเกินกว่า 1,000,000 คน แตไ่ ม่เกนิ 1,500,000 คน มี สจ. ได้ 36 คน (ง) จงั หวดั ใดมีราษฎรเกนิ กว่า 1,500,000 คน แต่ไมเ่ กิน 2,000,000 คน มี สจ.ได้ 49 คน (จ) จังหวัดใดมรี าษฎรเกินกวา่ 2,000,000 คนขึ้นไป มี สจ.ได้ 49 คน ให้สภาจังหวัดเลือกต้ังสมาชิกสภาเป็นประธานสภา 1 คน และเป็นรองประธานสภา 2 คน 1.2 นายกองค์กรบริหารสว่ นจงั หวัด สภาองค์กรบริหารส่วนจังหวัดเลือกสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนจังหวัดเป็น นายกองค์กร บริหารสว่ นจงั หวัด และ นายก อบจ. มีอานาจแตง่ ตั้งรองนายก อบจ. ตามกฎหมายกาหนด รองนายกองคก์ รบรหิ ารส่วนจังหวัด ใหม้ าจากสมาชิกองคก์ รบรหิ ารส่วนจงั หวดั ดงั นี้ (ก) ในกรณมี สี มาชิก 49 คน ใหม้ รี องนายกองค์กรบรหิ ารส่วนจังหวดั ได้ 4 คน (ข) ในกรณมี ีสมาชกิ 36 - 42 คน ให้มรี องนายกองค์กรบริหารส่วนจงั หวดั ได้ 3 คน (ค) ในกรณีมีสมาชกิ 24 - 30 คน ใหม้ รี องนายกองค์กรบรหิ ารสว่ นจังหวดั ได้ 2 คน 1.3 ขา้ ราชการสว่ นจังหวัด สาหรับเจ้าหน้าที่ท่ีอ่ืนขององค์กรบริหารส่วนจังหวัดนั้นได้แก่ ข้าราชการส่วนจังหวัด ซ่ึงรับ เงินเดือนจากงบประมาณขององค์กรบริหารส่วนจังหวัด ข้าราชการส่วนจังหวัดมีนายกองค์กรบริหารส่วน จังหวดั เปน็ ผูป้ กครองบังคับบัญชา และมีรองนายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดกับปลัดองค์กรบริหารส่วนจังหวัด เป็นผูป้ กครองบงั คบั บัญชารองจากนายกองค์กรบริหารสว่ นจังหวัด โครงสรา้ ง อบจ. ตาม พ.ร.บ.อบจ. (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ.2546 การแกไ้ ขปรบั ปรุง พ.ร.บ.องคก์ รบรหิ ารสว่ นจงั หวัด (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ.2546 และได้ผ่านความเห็นชอบ ของรัฐสภา มกี ารประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 120 ตอนที่ 109 ก ลงวันท่ี 4 พฤศจิกายน 2546 มีผลบงั คับใชต้ ง้ั แตว่ ันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2546 ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงโครงสร้าง และดุลอานาจ ใหม่ใน อบจ. โดยเฉพาะการเลือกตั้ง นายก อบจ. โดยตรง ซ่ึงมีผลทาให้นายก อบจ. มีความเข้มแข็งในการ บริหาร อบจ.มากย่ิงขึ้น ส่วนสมาชิกสภา อบจ. จะต้องกลับมาทาหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และดาเนินงานในด้าน กจิ กรรมสภา อบจ.มากขน้ึ โครงสร้างในปจั จบุ นั ขององคก์ รบริหารส่วนจังหวัด องค์กรบริหารส่วนจังหวัด ประกอบด้วย สภาองค์กรบริหารส่วนจังหวัด ทาหน้าที่ฝ่ายนิติ บัญญัติกับ นายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัด ทาหน้าท่ีหัวหน้าฝ่ายบริหาร ทั้งสองฝ่ายต่างมากจากการเลือกต้ัง โดยตรงจากประชาชนแยกจากกนั นายกองค์การบริหารสว่ นจังหวดั (อบจ.) นายก อบจ. มอี านาจในการแตง่ ต้ังทีมบรหิ ารเพอ่ื เปน็ ผู้ชว่ ยดาเนินงาน ซ่งึ ประกอบด้วย รองนายก อบจ. เลขานุการนายก อบจ. และท่ปี รกึ ษานายก อบจ. โดย 1. รองนายก อบจ. 1.1 อบจ.ทม่ี ีสมาชิกสภา อบจ. 49 คน ใหน้ ายก อบจ. แต่งตัง้ รองนายกไดไ้ ม่เกนิ 4 คน 1.2 อบจ.ทีม่ ีสมาชิกสภา อบจ. 36 คน ใหน้ ายก อบจ. แต่งตั้งรองนายกได้ไมเ่ กนิ 3 คน 1.3 อบจ.ท่มี สี มาชิกสภา อบจ. 24 คน ใหน้ ายก อบจ. แตง่ ตงั้ รองนายกไดไ้ มเ่ กิน 2 คน คุณสมบัติของรองนายก อบจ. กฎหมายกาหนดให้ผู้ท่ีจะเป็นรองนายก อบจ. ต้องไม่เป็น สมาชิกสภา อบจ. และมีคณุ สมบัตแิ ละไม่มลี ักษณะต้องห้ามเหมือนกับผทู้ ่ีจะสมคั รนายก

- 156 - 2. เลขานกุ ารนายก อบจ. และทป่ี รกึ ษานายก อบจ. กฎหมายกาหนดให้นายก อบจ. สามารถแต่งต้ังบุคคลซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกสภา อบจ. ให้เป็น เลขานุการ อบจ. และท่ีปรึกษานายก อบจ. รวมกันได้ไม่เกิน 5 คน ส่วนคุณสมบัติอื่น ๆ ไม่ได้กาหนดไว้ของ เพียงไมไ่ ด้เปน็ สมาชกิ สภา อบจ. 3. อานาจหน้าทน่ี ายก อบจ. 3.1 ก่อนเข้ารับหน้าท่ีนายก อบจ. ต้องแถลงนโยบายต่อสภา อบจ. โดยไม่มีการลงมติ หากไม่สามารถดาเนินการได้ให้ทาเป็นหนังสือแจ้งต่อสมาชิดสภา อบจ. ทุกคน และจัดทารายงานผลการ ปฏบิ ตั งิ านตามนโยบายที่ได้แถลงไวต้ ่อสภา อบจ.เป็นประจาปที กุ ปี 3.2 มอี านาจหนา้ ที่ ตามมาตรา 35/5 ดังนี้ (1) กาหนดนโยบายโดยไม่ขัดต่อกฎหมายและรับผิดชอบในการบริหารราชการของ อบจ.ใหเ้ ป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบงั คับ ข้อบญั ญัติ และนโยบาย (2) ส่งั อนุญาต และอนมุ ัติเกยี่ วกบั ราชการของ อบจ. (3) แตง่ ตั้งและถอดถอนรองนายก อบจ. เลขานกุ ารนายกฯและที่ปรึกษานายก อบจ. (4) วางระเบียบเพ่ือให้งานของ อบจ.เปน็ ไปด้วยความเรยี บรอ้ ย (5) รักษาการให้เป็นไปตามขอ้ บญั ญัติ อบจ. (6) ปฏิบัติหนา้ ท่ีอ่นื ตามทบ่ี ญั ญตั ิไวใ้ นพระราชบัญญตั ินี้ และกฎหมายอ่ืน 3.3 ควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารราชการของ อบจ. ตามกฎหมายและเป็น ผบู้ งั คับบญั ชาขา้ ราชการและลกู จ้าง อบจ. 3.4 มีสิทธิเข้าประชุมสภา และมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ งานในหนา้ ท่ีของตนต่อทป่ี ระชุม แตไ่ มม่ สี ิทธอิ อกเสยี งลงคะแนน 3.5 ในกรณีฉุกเฉินซ่ึงจะเรียกประชุมสภา อบจ. ให้ทันท่วงทีมิได้ นายก อบจ. อาจออก ข้อบัญญตั ชิ ั่วคราวท่ีมิใช่ข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปี หรือข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมได้ เม่ือไดร้ ับความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการสามัญประจาสภา อบจ. 3.6 กรณีท่ีไม่มีผู้ดารงตาแหน่งประธานและรองประธานสภา อบจ. หรือ สภา อบจ. ถูกยุบ หากมีกรณีที่สาคัญและจาเป็นเร่งด่วนซ่ึงปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สาคัญของราชการหรือ ราษฎร นายก อบจ. จะดาเนนิ การไปพลางกอ่ นเท่าท่จี าเป็นได้ 3.7 หากละเลยไม่ปฏิบัติการตามอานาจหน้าท่ี หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอานาจ หรือ ประพฤตติ นฝ่าฝนื ตอ่ ความสงบเรียบรอ้ ยของประชาชน อาจถูกรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงมหาดไทยสั่งให้พ้นจาก ตาแหนง่ ได้ โดยการเสนอของผวู้ า่ ราชการจังหวัด สภาองคก์ รบรหิ ารสว่ นจังหวดั สภา อบจ.ประกอบด้วยสมาชิกสภา อบจ. ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาน ตามกฎหมายว่าด้วย การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาท้องถิ่นหรอื ผ้บู รหิ ารท้องถิ่น 1. จานวนสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนจังหวัด จานวนสมาชิกสภา อบจ. ขึ้นอยู่กับจานวน ประชาชนในแตล่ ะจงั หวดั โดย (1) มีประชาชนไม่เกนิ 5 แสนคน มสี มาชิกสภา อบจ.ได้ 24 คน (2) มปี ระชานเกนิ 5 แสนคน แต่ไมเ่ กิน 1 ล้านคน มีสมาชิกสภา อบจ.ได้ 30 คน (3) มีประชานเกิน 1 ลา้ นคน แตไ่ มเ่ กนิ 1.5 ลา้ นคน มสี มาชิกสภา อบจ.ได้ 36 คน (4) มีประชานเกิน 1.5 ลา้ นคน แตไ่ ม่เกิน 2 ลา้ นคน มีสมาชิกสภา อบจ.ได้ 42 คน (5) มปี ระชานเกิน 2 ล้านคน มสี มาชิกสภา อบจ.ได้ 49 คน 2. เขตเลือกตงั้ สมาชิกสภา อบจ.

- 157 - ให้ถือเขตอาเภอเป็นเขตเลือกต้ัง แต่กรณีท่ีอาเภอใดมีสภา อบจ.ได้มากกวา 1 คน ให้แบ่งเขต อาเภอใหม้ ีเขตเลือกต้ังเท่ากับจานวนสมาชิกท่ีจะพึงมีในอาเภอนั้น สรุปคือ การเลือกตั้งสมาชิก อบจ.เป็นแบบ เขตละคน เขตเดวี เบอรเ์ ดยี ว (มาตรา 13 กฎหมายว่าด้วยการเลือกต้งั สภาทอ้ งถน่ิ หรือผบู้ ริหารทอ้ งถ่นิ ) 3. อานาจหน้าท่ีของสภา อบจ. 3.1 เลือกประธานสภา อบจ. และรองประธานสภา อบจ. หรือมีมติให้ประธานสภา อบจ.หรือ รองประธานสภา อบจ. พน้ จากตาแหนง่ 3.2 เลือกกรรมการสามัญและกรรมการวิสามัญของสภา อบจ. และตั้งคณะกรรมการสามัญ ประจา สภา อบจ. 3.3 รับทราบนโยบายของนายก อบจ. ก่อนนายก อบจ.เข้ารับหน้าท่ีและรับทราบรายงาน แสดงผลการปฏบิ ัตงิ านตามนโยบายท่ีนายก อบจ. ไดแ้ ถลงไวต้ อ่ สภา อบจ.เป็นประจาทกุ ปี 3.4 อนุมัตริ า่ งแผนยุทธศาสตรก์ ารพฒั นาและแผนพัฒนา 3 ปี ของ อบจ. 3.5 ใหค้ วามเห็นชอบร่างข้อบัญญัติ อบจ. ร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปีและร่าง ข้อบญั ญัตงิ บประมาณรายจ่ายเพมิ่ เติมของ อบจ. 3.6 ในที่ประชุมสภา อบจ.สมาชิก อบจ.มีสทิ ธิตั้งกระทูถ้ ามนายก อบจ.หรอื รองนายกอบจ. 3.7 เสนอข้อบญั ญัตขิ อเปดิ อภิปรายท่วั ไป เพอ่ื ให้นายก อบจ. แถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความ คดิ เห็นในการบรหิ ารราชการ อบจ.โดยไมม่ ีการลงมติ 3.9 เสนอข้อสอบถามตอ่ ประธานสภา อบจ. ให้ผูว้ า่ ราชการจงั หวดั ชแ้ี จงข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับ อานาจหน้าทร่ี าชการส่วนภูมิภาค และใหห้ วั หน้าหนว่ ยราชการซ่งึ มาปฏบิ ัติหนา้ ท่ีในเขตจงั หวดั ชแ้ี จงขอ้ เท็จจริง อันเกยี่ วกับงานในหน้าที่ 3.9 การปรึกษาหารือในสภา อบจ. ต้องเป็นกิจการเกี่ยวกับอานาจหน้าที่ของ อบจ.น้ัน โดยเฉพาะ ห้ามปรึกษาหารอื ในเร่อื งนอกเหนอื อานาจหนา้ ท่ี 4. สมยั ประชุมของสภา อบจ. ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องกาหนดให้สมาชิก อบจ. มาประชุมสภา อบจ. คร้ังแรกภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันประกาศผลการเลือกต้ังสมาชิกสภา อบจ. และให้ที่ประชุมมีการเลือกตั้งประธานสภา 1 คน และ รองประธานสภา 2 คน ซ่งึ ประธานและรองประธานสภานีจ้ ะดารงตาแหนง่ จนครบอายขุ องสภา อบจ. ในกรณีที่สภา อบจ.ไม่อาจจัดให้มีการประชุมในคร้ังแรกได้ภายใน 15 วัน ดังกล่าว หรือมีการ ประชุมแต่ไม่อาจเลือกประธานสภาได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีคาส่ังยุบ สภา อบจ. ในปหี นงึ่ ใหส้ ภา อบจ.มสี มยั ประชุม 2 สมัย สมัยละ 45 วัน แต่ถา้ มกี รณีจาเปน็ ให้ประธานสภาส่ัง ขยายสมัยประชมุ สามญั ออกไปอกี แต่ไมเ่ กิน 15 วนั นอกจากสมัยประชุมสามัญแล้ว เม่ือมีความจาเป็นเพื่อประโยชน์แห่ง อบจ. ประธานสภา อบจ. เรียกประชุมสมัยวิสามัญได้ หรือนายก อบจ.หรือสมาชิก อบจ.จานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจานวนสมาชิก สภาท่ีมีอยู่ อาจทาคาร้องย่ืนต่อประธานสภา ขอเปิดการประชุมสมัยวิสามัญได้ โดยประธานสภาต้องเรียก ประชมุ สมยั วิสามัญภายใน 15 วัน นบั แต่ไดร้ ับคาร้อง การประชมุ สมยั วสิ ามญั ให้มีกาหนด 7 วัน แต่ถ้าจะขยาย ออกไปอกี ตอ้ งไดร้ ับความเหน็ ชอบจากสมาชิกสภา อบจ. ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกสภา ทีม่ อี ยู่ และสามารถขยายออกไปได้อกี ไม่เกนิ 7 วัน อานาจหนา้ ทีข่ ององค์กรบริหารสว่ นจงั หวดั 1.อานาจหน้าที่ขององค์กรบริหารส่วนจังหวัด ตาม พ.ร.บ.องค์กรบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 และท่ีแกไ้ ขเพ่ิมเติมถงึ ฉบับท่ี 3 พ.ศ.2546

- 158 - (1) ตราข้อบญั ญัติโดยไม่ขดั หรอื แยง้ ตอ่ กฎหมาย (2) จัดทาแผนพัฒนาองค์กรบริหารส่วนจังหวัด และเป็นประธานการจัดทาแผนพัฒนาจังหวัด ตามระเบยี บทค่ี ณะรัฐมนตรกี าหนด (3) สนับสนนุ สภาตาบลและราชการสว่ นท้องถน่ิ อื่นในการพฒั นาท้องถ่นิ 2. อานาจหน้าที่ของจังหวัดตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2499 เฉพาะภายในเขตสภาตาบล อานาจหน้าท่ีขององค์กรบริหารส่วนจังหวัด ตาม พ.ร.บ.กาหนดแผนละข้ันตอนการกระจาย อานาจให้แก่องค์กรปกครองท้องถ่ิน พ.ศ.2542 และประกาศคณะกรรมการการกระจายอานาจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนทอ้ งถิ่น เรอื่ ง กาหนดอานาจและหน้าท่ีในการจัดระเบียบบริการสาธารณะขององค์กรบริหารส่วน จังหวัด กาหนดให้ อบจ. มีอานาจและหน้าท่ีในการจัดระบบบริการสาธารณะเพ่ือประโยชน์ของประชาชนใน ทอ้ งถ่นิ ของตนเอง รวม 29 ข้อ อานาจหน้าที่ของ อบจ.ดังกล่าวเป็นการดาเนินการตามแผนปฏิบัติการกาหนดขั้นตอนการ กระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ซ่ึงมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันท่ี 14 มีนาคม พ.ศ.2545 โดย ลักษณะของการดาเนนิ งานขององค์กรบริการส่วนจงั หวัดในการให้บรกิ ารสาธารณะในเขตจงั หวัด มีดงั นี้ (1) ดาเนนิ งานในโครงการทมี่ ขี นาดใหญ่ทเ่ี กนิ ศกั ยภาพขององค์กรปกครองท้องถนิ่ ในเขตจงั หวัด (2) เป็นการดาเนินงานที่ปรากฏถึงกิจกรรมที่เป็นภาพรวมขององค์กรปกครองท้องถิ่นในเขต จังหวัด ที่มงุ่ ตอ่ ประโยชน์ของทอ้ งถ่นิ หรอื ประชาชนเป็นสว่ นรวม และไมเ่ ข้าไปดาเนนิ งานที่องค์กรปกครองส่วน ทอ้ งถิ่นอน่ื ในจงั หวัดสามารถดาเนนิ การได้เอง (3) เข้าไปดาเนินงานตามแผนงานหรือโครงการในลักษณะท่ีมีความคาบเก่ียวต่อเนื่องหรือมีผู้ที่ ไดร้ บั ประโยชนใ์ นองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่นมากกวา่ 1 แหง่ ข้นึ ไป ก) ตาม พ.ร.บ.อบจ.2540 โดยเกิดผลกระทบของการจัดต้ัง อบต.เป็นจานวนมากส่งผลให้ พื้นที่ของ อบจ.ลดน้อยลงไป ประกอบกับการปรับปรุงให้ อบจ.มีการปกครองตนเอง โดยลดบทบาทของ ข้าราชการส่วนภูมภิ าคลงดว้ ย ข) อานาจหน้าท่ีของ อบจ.บางส่วนเหมือนกับ อปท.อ่ืน แต่ส่วนใหญ่เป็นการอุดช่องว่าง อานาจหน้าท่ีระหว่างท้องถ่ินซ่ึงไม่มีใครทาและกิจกรรมที่ต้องใช้งบประมาณจานวนมาก ๆ รวมท้ังกิจกรรมที่ คาบเกี่ยวระหว่าง อปท. ค) สตง.มีหน้าทตี่ รวจสอบทางการเงนิ การคลังของ อบจ. ง) ประชาชนตรวจสอบบญั ชที รัพย์สินของนายก อบจ.,รอง และสมาชิก จ) อบจ. กรณีหน่วยทต่ี รวจสอบพบความผดิ ใหร้ ายงานผู้ว่าเพื่อดาเนินการตามขั้นตอน ถ้า เป็นขา้ ราชการกถ็ ูกลงโทษทางงวินัย หรือสวบสวนผบู้ รหิ ารตามท่ี กม.กาหนด ฉ) กรมส่งเสริมการปกครอง เช่น ระเบียบว่าด้วยการวางแผนพัฒนาองค์กร ระเบียบการ งบประมาณ การเบิกจา่ ยเงนิ ระเบยี บว่าดว้ ยการพัสดุ ฯลฯ ช) การกาหนดแผนการกระจายอานาจ การกาหนดสัดส่วนภาษีและรายได้ การโอน บุคลากรจากส่วนกลางไป อบจ.ตามภารกจิ ท่ีได้รบั การถ่ายโอนและ งบประมาณ ซ) การพิจารณาร่างข้อบัญญัติท่ัวไปกับข้อบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจาปี หรือ งบประมาณรายจ่ายเพิ่ม เมื่อสภามีมติเห็นชอบประธานสภาจะส่งเรื่องให้นายกเพ่ือลงนามส่งไปให้ผู้ว่าฯ พิจารณาภายใน 7 วัน นบั แต่ทีส่ ภาเหน็ ชอบ ฌ) สภาไม่เห็นชอบ ให้ประธานสภา ฯ ส่งร่างข้อบัญญัติ งป.หรือร่างข้อบัญญัติ งป. รายจ่ายเพ่ิมเติมไปยังผู้ว่าภายใน 7 วัน นับท่ีสภามีมติ ถ้าผู้ว่าเห็นชอบตามมติสภาให้ร่างน้ันตกไป นายกต้อง พ้นจากตาแหนง่ นบั แต่วนั ทผ่ี วู้ า่ มหี นงั สอื แจ้งใหป้ ระธานสภา

- 159 - ญ) กรณีผู้ว่าไม่เห็นชอบ ให้ร่างคืนสภา อบจ.ให้สภาพิจารณาใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่ วนั ทรี่ ่างส่งถึง สมาชิกยนื ยนั 2 ใน 3 ให้ประกาศใช้ตอ่ ไป ฎ) กรณีร่างท่ัวไป เมอ่ื สภาลงมติใหเ้ สนอนายก ฯ ภายใน 7 วัน เพ่ือให้ผู้ว่าอนุมัติร่าง หาก นายกไมเ่ ห็นชอบให้เสนอผวู้ า่ ชี้ขาด แผนภาพโครงสร้างองค์การบริหารสว่ นจงั หวัด ทีม่ า : เอกวทิ ย์ มณีธร.อ้างแลว้ .หนา้ 176 เทศบาล เทศบาลถือว่าเป็นหน่วยการปกครองท้องถ่ิน ที่จัดต้ังข้ึนในเขตชุมชนที่มีความเจริญและใช้ในการ บริหารเมืองเป็นหลัก ซ่ึงหลายประเทศประสบความสาเร็จในการใช้ “เทศบาล” เป็นเคร่ืองมือที่สาคัญในการ ปกครองประเทศโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วท้ังหลาย การปกครองท้องถ่ินรูปแบบเทศบาลอาจกล่าวได้ว่า เปน็ การจัดองค์ปกครองทอ้ งถิ่นต่อหลกั การมากที่สุด79 กล่าวคือ 1. มีองค์กรมีฐานเป็นนิติบุคคล แยกจากส่วนราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มี งบประมาณ มีทรัพย์สิน มีเจ้าหน้าท่ี และมีอานาจของตนเองในการปฏิบัติภารกิจ อันเป็นหน้าที่ท่ีได้รับ มอบหมายจากรัฐบาลโดยความเป็นอสิ ระ 2. มีอานาจในการปฏิบัติหน้าท่ีอย่างอิสระเป็นหลักการสาคัญในการปกครองท้อถ่ิน เพราะองค์การในท้องถ่ินไม่มีอานาจอิสระในการปฏิบัติภารกิจต้องรอคาส่ั งจากรัฐบาลกลางอยู่เสมอซ่ึงมีฐานะ เป็นตัวแทนของรัฐบาลกลาง หรือเปรยี บเสมอื นราชการสว่ นภูมภิ าค 3. ประชาชนในท้องถิน่ มีสว่ นรว่ มในการปกครองตนเองของทอ้ งถิน่ ในหลายรปู แบบ สาหรับสังคมไทยเทศบาลเป็นรูปแบบการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในเขตชุมชนเมืองท่ีใช้มา ต้ังแต่ พ.ศ.2476 จนถึงปัจจุบัน แนวความคิดในการตั้งเทศบาลได้มีการริเร่ิมมาก่อนการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สามารถพิจารณาเป็นเป็น 2 ระยะ คือ 1. กอ่ นการเปลย่ี นแปลงการปกครอง 24 มิถนุ ายน 2475 2. หลังการเปล่ยี นแปลงการปกครอง 24 มถิ นุ ายน 2475 แนวคิดตั้งเทศบาลก่อนการเปล่ียนแปลงการปกครอง 2475 สรุปสาระได้ 2 ชว่ ง คือ 79 ประหยดั หงษท์ องคา.การเมอื งและการปกครอง : การปกครองทอ้ งถิน่ ไทย : ศกึ ษาเฉพาะรูปแบบเทศบาล.2513.หน้า 136.

- 160 - 1. ชว่ งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (2453-2469) ปี พ.ศ.2461 คือ การตั้งเมืองจาลองดุสิตธานี เป็นการทดลองการบริหารงานท้องถ่ินแก่เสนาบดีและข้าราชการต่าง ๆ นับเป็น จุดเร่ิมต้นหน่ึงท่ีสาคัญในการปกครองท้องถ่ิน แต่หยุดชะงักเม่ือส้ินรัชสมัยมีความเป็นมาการปกครองท้องถิ่น ไทย \"เทศบาล\" เทศบาลตาบล เทศบาลเมือง เทศบาลนคร พระราชดาริ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 6 เรื่องการจัดตั้ง เทศบาล ปรากฏชัดเจนในธรรมนูญลักษณะปกครอง นคราภิบาล พ.ศ. 2461 โดยกาหนดให้จัดรูปแบบการปกครองท้องถ่ิน \"เทศบาล\" ในเมืองจาลอง \"ดุสิตธานี\" บริเวณพระท่ีน่ัง อัมพรสถาน ทัง้ นเี้ พ่อื ใช้เป็นเมืองทดลองการปกครองตนเองในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยธรรมนูญ ลักษณะการปกครองนคราภิบาล พ.ศ. 2461 (ประกาศใช้ วันท่ี 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 ) ให้สิทธิ เสรีภาพ แก่ราษฎรเมอื งดสุ ติ ธานี (เรียกว่าทวยนาคร) ในการบรหิ ารดาเนนิ งานทอ้ งถน่ิ เช่น 1.1 การเลอื กตัง้ สมาชกิ สภาดสุ ิตธานี ซ่ึงเรยี กว่า เชษฐบุรษุ 1.2 ในปี พ.ศ. 2465 ประกาศใช้ \"กฎธานิโยปการ\" เป็นบทบัญญัติเก่ียวกับการเก็บ ภาษอี ากร ไดแ้ กภ่ าษีท่ดี นิ คา่ ไฟฟา้ ค่านา้ ประปาฯลฯ เพอ่ื นาไปบารุงนคร 1.3 คณะผบู้ ริหารดุสิตธานี เรียกว่า คณะนคราภิบาล ซึ่งได้รับการเลือกตั้งมาจากราษฎร ในนครน้ี ทานองเดยี วกบั ระบอบเทศบาลทีใ่ ชใ้ นสมัยหลังๆ 2. ช่วงพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชประสงค์ให้ราษฎรใน ท้องถ่ิน ปกครองตนเอง เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ได้เรียนรู้และทดลอง การปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย (Democracy) พระองค์ทรงเห็นว่า \"มันเป็นการดีแก่ประชาชนอย่างแท้จริงที่เขาจะเร่ิมต้น ด้วยการควบคุมกิจการท้องถิ่น ก่อนท่ีพวกเขาพยายามท่ีจะควบคุมกิจการของรัฐโดยผ่านทางรัฐสภา\" มี เหตุการณส์ าคญั ดงั นี้ 2.1 ปี 2469 ตรา พ.ร.บ.การจัดบารุงสถานท่ีชายทศิ ตะวนั ตก ชายแถบทะเลต้ังแต่ชะอาถึง หัวหนิ สภาจดั การมฐี านะเปน็ นติ บิ ุคคล แตก่ ารดาเนนิ การไมป่ ระสบความสาเรจ็ 2.2 วันท่ี 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงจัดต้งั คณะกรรมการเรยี กวา่ \"คณะกรรมการจัดกาประชาภบิ าล\" ประกอบดว้ ย 2.3นายอาร์ ดี เครก (R.D Craig) ตาแหน่งท่ีปรึกษากระทรวงเกษตราธกิ าร เป็นประธาน 2.4 อามาตยเ์ อกพระกฤษณาบรพนั ธ์ ผู้เช่ยี วชาญกระทรวงพระคลงั มหาสมบตั เิ ปน็ กรรมการ 2.5พระยาจนิ ดารักษ์ ผู้วา่ ราชการจงั หวดั นครปฐม เปน็ กรรมการ 2.6นายเชย ปิตรชาติ เป็นเลขานกุ าร คณะกรรมการจัดการประชาภิบาล มีหน้าท่ีศึกษาดูงาน สุขาภิบาลในหัวเมืองต่างๆทั่ว ราชอาณาจักรไทย และในประเทศสิงค์โปร์ ชวา (อินโดนีเซีย) ฮ่องกง และฟิลิปปินส์ และใด้จัดทารายงาน ประกอบการพจิ ารณาจัดตั้ง \"ประชาภิบาลหรือเทศบาล\" ขึ้นกราบบงั คมทูล โดยมสี าระเกีย่ วกบั ก) แนวทางในการจดั ตัง้ การปกครองท้องถน่ิ รูปแบบ \"เทศบาล\" ข) ประสิทธภิ าพในการจดั ทาบรหิ ารสาธารณ ค) เป็นสถาบันสอนการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย 2.7 ปี 2473 แต่งตั้งคณะกรรมการยกร่างกฎหมายเทศบาล พ.ศ.2473 ประกอบด้วย มหาอามาตรย์ตรี ม.จ.สกลวรรณากร วรวรรณ เป็น ปธ. และกรรมการอีก 4 คน มี มหาอามาตย์โท พระยารา ชนกูล, มหาอามาตย์ตรีพระยาจ่าแสนบดี มหาอามาตย์ตรีพระยามานนวราชเสวี และ พล.ต.ท.พระยาอธิกร ประกาศ รวม 5 คน 2.8 วันที่ 19 ม.ค.2473 ท่ีประชุมเสนาบดี (ครม.) ได้ประชุมพิจารณาและให้ความ เหน็ ชอบเสนอร่างกอ่ นทจ่ี ะสง่ ให้กรมร่างกฎหมายพิจารณา (กฤษฎกี า)

- 161 - 2.9 วันท่ี 2 ก.พ.2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 7 มีพระบรม วินิจฉัยให้ส่งร่างให้กรมร่างกฎหมายพิจารณา จนกระท่ังมีการปฏิวัติ 24 มิ.ย.2475 ข้ึน ร่างดังกล่าวจึงไม่ได้ ประกาศใช้ 2.10 วนั ท่ี 22 มีนาคม 2474 มหาเสวกเอกท่านเจ้าพระยามหิธร ราชเลขาธิการในรัชกาล ท่ี 7 ไดม้ หี นังสอื ไปยังกระทรวงยตุ ธิ รรมโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวให้สอบถามความคืบหน้าร่าง พระราชบญั ญตั ิได้ดาเนินไปเพยี งใด80 2.11 วันท่ี 15 สิงหาคม 2474 กระทรวงยุติธรรม มีหนังสือรายงานความคืบหน้าการ พจิ ารณารา่ งกฎหมายเทศบาล มีสาระสาคัญกล่าวคือได้มีการพิจารณาไปแล้วเมื่อวันท่ี 21 เมษายน 2474 และ ได้นาเสนอกรรมการร่างกฎหมายเมื่อวันท่ี 24 เมษายน 2474 และประการสาคัญคือได้ทรงพระกรุณาโปรด เกล้า ฯ ให้กรมร่างกฎหมายพิจารณาเทียบเคียงหลักการเรื่องน้ีกับกฎหมายต่างประเทศที่เป็นอิสระ เช่น ฝร่ังเศสและญปี่ ุ่นด้วย จะต้องใชเ้ วลาในการแปลถงึ 4 เดอื น81 2.12 นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส (หลวงประดิษฐ์มนูญธรรม) ได้กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.เทศบาลก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ในหนังสือแนวคิดประชาธิปไตยของปรีดี พนม ยงค์ ตอนหน่งึ ว่า “...กอ่ น 24 มถิ ุนายน ปรดี ี ฯ มีตา่ แหนง่ เพยี งเป็น “ผู้ช่วยเลขานุการ” อยู่ใต้บังคับบัญชาของ “เลขานุการ” ฯ กระทรวงมหาดไทยเป็นฝา่ ยทีส่ ง่ ร่าง พ.ร.บ.เทศบาลมายังกระทรวงยุติธรรม ฯลฯ แต่กฎหมาย ท่ีค่ังค้างอยู่ท่ีกรมร่างกฎหมายมีมากมายหลายฉบับ เสนาบดีจึงเป็นผู้ก่าหนดให้น่าฉบับใดพิจารณาก่อนและ หลัง โดยเฉพาะ พ.ร.บ.เทศบาลนั้นเกิดปญั หาเนือ่ งจากกรมหมื่นเทววงศ์วโรทัยได้ทรงมีความเห็นคัดค้านไว้ตาม หนังสือ ก.456/18,921 ถึงราชเลขาธิการขอให้น่าความกราบบังคมทูลมีความตอนหน่ึงว่า “ความเห็นของ กระทรวงต่างประเทศท่ีจะคัดค้านหลักการบางแห่งในร่างพระราชบัญญัติมีดังน้ี คือ เทศบาลท่ีจัดตั้งข้ึนโดย อาศัยพระราชบัญญัตินั้นมีสภามนตรีซึ่งบุคคลพ่านักอยู่ในเขตนั้นเลือกตั้งขึ้นเป็นผู้ควบคุม และไม่มีบทบังคับ จ่ากัดสิทธิในการเลือกหรือเป็นเทศมนตรีให้แก่คนพ้ืนท่ีเมือง ไม่ว่าบุคคลใดสักแต่ว่าได้ตั้งภูมิล่าเนาอยู่ในกรุง สยามไม่น้อยกว่า 15 ปี และมีทรัพย์อันมีค่าที่จะเก็บจังกอบของเทศบาลได้ ฯลฯ ตามความในมาตรา 19 และ 20 แลว้ เปน็ ผเู้ ลอื กและเป็นเทศมนตรีได้ทั้งนั้น หลักการนี้ประเทศท่ีเป็นเอกราชย่อมไม่ใช้กันเลย ทั้งเป็นภัยแก่ กรุงสยามโดยเฉพาะ ด้วยสิทธิทางการเมืองน้ันรัฐบาลย่อไม่ให้แก่ใครนอกจากคนพ้ืนเมือง ในกรุงสยามตาม จงั หวดั และเมืองมีบุคคลท่ีเป็นจีนอยู่เป็นจ่านวนมาก และในจ่านวนนั้นคงจะมีจีนหลายคนท่ีจะเป็นผู้เลือกและ เปน็ เทศมนตรีไดต้ ามเกณฑ์ท่มี ีทรัพย์...”82 การจดั ตั้งเทศบาลหลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 หลังจากการยึดอานาจเปล่ียนแปลงการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอยภู่ ายใต้รัฐธรรมนญู มเี หตกุ ารณส์ าคญั สรปุ ได้ดงั นี้ 1. วนั ท่ี 29 มถิ นุ ายน 2475 หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ 4 วัน จึงได้มีการจัดตั้ง คณะรัฐบาลโดยข้ึนบริหารประเทศโดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธานา (ก้อน หุตะสิงห์) เป็นประธานกรรมการ ราษฎร (ต่อมาเรียกวา่ นายกรัฐมนตรี) มีกรรมการราษฎร (รัฐมนตรี) 14 คน ถือว่าเปน็ รฐั บาล ชุดที่ 1 ในวนั เดียวกันน้ี สภาผูแ้ ทนราษฎรได้ตัง้ คณะกรรมการรา่ งรัฐธรรมนูญ 80 หนังสอื กระทรวงยตุ ธิ รรม ที่ 164/491 ลงวันท่ี 25 มนี าคม 2474. 81 หนงั สือกระทรวงการคลัง ท่ี 60/1329 ลงวนั ท่ี 15 สิงหาคม 2474. 82 ปรดี ี พนมยงค.์ แนวคดิ ประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค.์ สานกั พิมพส์ ขุ ภาพใจ บริษทั ตาถตา พับลิคเคชนั่ จากดั ,กรุงเทพ ฯ: (พมิ พ์ครัง้ ท่ี 2),2552,หน้า 104-105.

- 162 - 2. วันที่ 10 ธันวาคม 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 7 ได้ทรงลงพระ ปรมาภิไธย ซง่ึ ถือว่าเป็น “วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ” สาระสาคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้มีสภานิติบัญญัติ สภาเดียว คอื สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชกิ 2 ประเภท ได้แก่ 2.1 ประเภทท่ี 1 คอื ผ้ทู ี่ไดร้ บั เลือกตงั้ จากราษฎร 2.2 ประเภทท่ี 2 คือ ผทู้ พี่ ระกษตั รยิ แ์ ต่งตั้ง ในวันเดียวกันได้มกี ารจดั ต้งั รฐั บาลขึ้นใหมเ่ ปน็ ชุดท่ี 2 เพื่อให้มีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ โดยมพี ระยามโนปกรณน์ ิตธิ าดาเป็นนายกรฐั มนตรี (คาว่านายกรัฐมนตรไี ด้ถกู นยิ ามข้นึ ในรฐั บาลชุดที่ 2) 3. วันที่ 20 ธันวาคม 2475 รัฐบาลชุดที่ 2 ได้แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร มีหลัก 6 ประการ มีความตอนหนึ่งท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเทศบาล ว่า “..2 ) เทศบาล รัฐบาลนี้เห็นว่าวิธีการปกครอง โดยรวมอ่านาจและหน้าท่ีการปกครองท่ัวประเทศ ให้มาอยู่ในจุดศูนย์กลางจุดเดียวอย่างเช่นเด๋ียวนี้ไม่ได้ผลดี เท่ากับที่จะแบ่งอ่านาจและหน้าที่ ให้ไปอยู่เฉพาะท้องท่ีเสียบ้าง เพ่ือว่าการปกครองในเฉพาะท้องที่หนึ่งๆ จะ ไดม้ ่งุ อยู่ในผลประโยชน์ของทอ้ งทีน่ ั้นๆ จดั การกันเอง วิธกี ารเชน่ นเี้ ขาท่ากนั อยู่ แล้วในนานาประเทศ เมอ่ื ครง้ั รฐั บาลเก่าความคิดเช่นน้ีก็มีอยู่ จนถึงได้ร่างพระราชบัญญัติเทศบาลขึ้นฉบับหนึ่ง แต่ว่าด้วยเหตุใดเหตุหน่ึงการมิได้ลุล่วงไป รัฐบาลนี้เห็นเป็นการส่าคัญจะได้เตรียมจัดให้มีเทศบาลหรือการ ปกครองท้องถิน่ ขน้ึ ในคราวเดยี วกันในราวตน้ ปีหนา้ ...”83 4. ปี พ.ศ. 2476 มีการจัดตั้งเทศบาลขึ้นใน โดยมีการตราพระราชบัญญัติ จัดระเบียบ เทศบาล พ.ศ. 2476 มีการยกฐานะสุขาภิบาลข้ึนเป็นเทศบาลหลายแห่ง เทศบาลตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบ เทศบาล พ.ศ.2476 กาหนดให้เทศบาลแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ เทศบาลนคร เทศบาลเมือง และ เทศบาลตาบล เทศบาลทั้ง 3 ลักษณะน้ี มีโครงสร้างคล้ายโครงสร้างของรัฐบาล คือ มีฝ่ายนิติบัญญัติ เรียกว่า สภา และฝ่ายบริหาร เรียกว่า คณะมนตรี มีจานวน 3-5 คน ประกอบด้วย นายกมนตรี และมนตรี ซ่ึง ข้าหลวงแต่งต้ัง โดยความเห็นชอบของสภา ท้ังน้ีสามารถแต่งตั้งผู้ที่มิใช่สมาชิกสภาเป็นคณะมนตรีได้ สมาชิก สภาคิดตามเกณฑ์ของจานวนราษฎร ทาให้ขนาดของแตล่ ะสภาแตกต่างกัน 5. พ.ศ.2479 แก้ไข พ.ร.บ.การจัดเทศบาล พ.ศ.2476 กาหนดให้แต่ละสภามีสมาชิกอย่าง นอ้ ย 9 คน 19 คน และ 36 คน ตามลาดบั 6. เทศบาลตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2491 กาหนดสมาชิกไว้ตายตัว สภาตาบลมี 9 คน เมืองมี 19 คน และ นครมี 36 คน เปล่ียนชื่อจากคณะมนตรี เป็นคณะเทศมนตรี ประธานสภาและ นายกเทศมนตรีเป็นคนเดยี วกนั (แบบฝร่ังเศส) 7. เทศบาลตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 กาหนดให้เพิ่มสมาชิก เป็น 12 คน,24 คน และ 49 คน ในสภาตาบล เมอื ง และนครตามลาดับ 8. เทศบาลตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 กาหนดสมาชิกใหม่ โดยลดสมาชิกสภาเมืองลง เหลอื 19 คน นอกน้ันคงเดิม นายกและเทศมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภา วาระแรกมีสมาชิก 2 ประเภท คือ จาก การเลือกต้ังคร่ึงหน่ึง และแต่งต้ังโดย รมว.มท. ปี 2499 แก้ไขเหลือสมาชิกเลือกตั้งอย่างเดียว และได้มีการ แก้ไขเปลี่ยนแปลงยกเลิก กฎหมายเกี่ยวกับเทศบาลหลายครั้ง จนในท่ีสุดได้มีการตราพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ยกเลิกพระราชบัญญัตเิ ดิมท้ังหมด 9. พระราชบญั ญัตเิ ทศบาล พ.ศ.2496 ได้กาหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาจัดต้ังท้องถ่ินใด ขึ้นเปน็ เทศบาลไว้ 3 ประการ ได้แก่ 9.1 จานวนและความหนาแน่นของประชากรในทอ้ งถ่นิ น้นั 9.2 ความเจริญทางเศรษฐกิจของท้องถ่ิน โดยพิจารณาจากการจัดเก็บรายได้ตามที่ กฎหมายกาหนดและงบประมาณรายจา่ ยในการดาเนนิ กจิ การของท้องถ่ิน 83 นเรศ นโปกรณ์.100 ปี พระยาพหลฯ.กรงุ เทพ ฯ: สานักพมิ พโ์ อเดียนสโตร์.2531.หนา้ 197.

- 163 - 9.3 ความสาคัญทางการเมืองของท้องถิ่น โดยพิจารณาถึงศักยภาพของท้องถ่ินน้ันว่า จะสามารถพฒั นาความเจริญไดร้ วดเรว็ มากนอ้ ยเพียงใด จากหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น กฎหมายไดก้ าหนดให้จัดต้ังเทศบาลข้นึ ได้ 3 ประเภท ดังน้ี 1. เทศบาลตาบล กระทรวงมหาดไทยได้กาหนดหลักเกณฑ์การจัดตั้งเทศบาลตาบลไว้ อย่างกวา้ ง ๆ ดังน้ี 1.1 มีรายได้จริงโดยไม่รวมเงินอุดหนุนในปีงบประมาณท่ผี า่ นมาต้ังแต่ 12,000,000บาทขึน้ ไป 1.2 มปี ระชากรตง้ั แต่ 7,000 คน ข้ึนไป 1.3 ความหนาแน่นของประชากรตัง้ 1,500 คน ตอ่ 1 ตร./กม.ขึ้นไป 1.4 ได้รับความเหน็ ชอบจากราษฎรในท้องถนิ่ น้นั สาหรับในกรณีที่มีความจาเป็น เช่น การควบคุมการก่อสร้างอาคาร การแก้ปัญหาชุมชนแออัด การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การพัฒนาท้องถิ่นหรือการส่งเสริมการปกครองท้องถ่ินในรูปเทศบาล กระทรวงมหาดไทยจะสั่งให้ดาเนินการยกฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาลตาบลเฉพาะแห่งได้ หรือกรณีที่จังหวัด เห็นว่าสุขาภิบาลใดทีความเหมาะสม สมควรยกฐานะเป็นเทศบาลตาบลได้ ก็ให้จังหวัดรายงานไปให้ กระทรวงมหาดไทยพิจารณาส่ังให้ดาเนินการยกฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาลตาบลได้ โดยให้จังหวัดชี้แจง เหตุผลและความจาเป็น พรอ้ มท้ังส่งขอ้ มลู ความเหมาะสมไปใหก้ ระทรวงมหาดไทยพิจารณาด้วย 2. เทศบาลเมือง มีหลักเกณฑก์ ารจัดต้ัง ดงั น้ี 2.1 ทอ้ งท่ีทเี่ ป็นที่ต้ังศาลากลางจังหวัดทุกแห่ง ให้ยกฐานะเป็นเทศบาลเมืองได้โดยไม่ ต้องพิจารณาถึงหลกั เกณฑอ์ ืน่ ๆ ประกอบ 2.2 ส่วนทอ้ งท่ที ี่มิใชเ่ ปน็ ที่ตงั้ ศาลาจังหวัดยะยกฐานะเป็นเทศบาลเมือง ต้องประกอบด้วย หลกั เกณฑ์ดังน้ี (1) เปน็ ท้องทีท่ ่มี พี ลเมอื ง ตั้งแต่ 10,000 คนขน้ึ ไป (2) ราษฎรอยูก่ ันหนาแนน่ ไมต่ า่ กว่า 3,000 คนต่อตารางกโิ ลเมตร (3) มีรายได้พอแก่การปฏิบตั ิหน้าท่อี นั ต้องทาตามที่กฎหมายกาหนดไว้ (4) มพี ระราชกฤษฎีกายกฐานะเป็นเทศบาลเมือง 3. เทศบาลนคร 3.1 เปน็ ทอ้ งทีท่ ่มี ีพลเมือง ตั้งแต่ 50,000 คนขึน้ ไป 3.2 ราษฎรอย่กู นั หนาแนน่ ไมต่ ่ากว่า 3,000 คนตอ่ ตารางกโิ ลเมตร 3.3 มีรายได้พอแกก่ ารปฏิบตั ิหนา้ ท่ีอนั ต้องทาตามทกี่ ฎหมายกาหนดไว้ 3.4 มพี ระราชกฤษฎกี ายกฐานะเปน็ เทศบาลเมอื ง โครงสร้างเทศบาล (กอ่ นการแกไ้ ขปรบั ปรงุ ) พระราชบญั ญตั เิ ทศบาล พ.ศ.2496 ได้แบ่งโครงสร้างของเทศบาลออกเป็น 2 ส่วน คือ สภาเทศบาล และคณะเทศมนตรี 1. สภาเทศบาล ทาหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งคอยควบคุมและตรวจสอบฝ่ายบริหารอันเป็น วิถีทางแห่งการถ่วงดุลอานาจ กาหนดให้สภาเทศบาลประกอบด้วยสมาชิกท่ีได้รับการเลือกต้ังโดยตรงจาก ประชาชน และมีสมาชิกเทศบาลน้ีอยู่ในตาแหน่งได้คราวละ 5 ปี (ปัจจุบันมีการแก้ไขให้อยู่ในวาระคราวละ 4 ปี) ทงั้ นีจ้ านวนสมาชิกสภาเทศบาล จะมากหรอื น้อยขน้ึ อยกู่ ับประเภทของเทศบาล ดงั น้ี 1.1 สภาเทศบาลตาบล มีสมาชิกทงั้ หมด 12 คน 1.2 สภาเทศบาลเมอื ง มสี มาชกิ ทั้งหมด 19 คน 1.3 สภาเทศบาลนคร มสี มาชกิ ทัง้ หมด 24 คน

- 164 - สภาเทศบาลนั้นมีประธานสภาคนหนึ่ง และรองประธานสภาคนหน่ึงโดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แต่งต้ังมาจากสมาชิกสภาเทศบาลตามมตขิ องสภาเทศบาล 2. คณะเทศมนตรี ฝา่ ยบริหารกจิ การของเทศบาล ได้แก่ คณะเทศมนตรี ซ่ึงอานาจในการบริหารงานอยู่ท่ีคณะ เทศมนตรี โดยคณะเทศมนตรีเลือกมาจากสมาชิกสภาเทศบาลท่ีสมาชิกสภาเทศบาลมีมติเห็นชอบซึ่ง ประกอบด้วยนายกเทศมนตรี และเทศมนตรี อกี 2 - 4 คน ตามฐานะเทศบาล กลา่ วคอื ก. กรณีที่เป็นเทศบาลเมืองและเทศบาลตาบล ให้มีเทศมนตรีได้ 2 คน ซึ่งเม่ือรวม นายกเทศมนตรเี ป็นคณะเทศมนตรีแล้ว มจี านวน 3 คน ข. กรณีท่ีเป็นเทศบาลนคร ให้มีเทศมนตรีได้ 4 คน ซึ่งเม่ือรวมนายกเทศมนตรีเป็นคณะ เทศมนตรีแล้ว มีจานวน 5 คน สาหรับเทศบาลเมืองที่มีรายได้จากการจัดเก็บปีละ 20 ล้านบาทขึ้นไปให้มี เทศมนตรีเพิ่มขน้ึ อกี หน่งึ คน อานาจหนา้ ท่ขี อบเทศบาล 1. อานาจในการตราเทศบัญญตั ิ เทศบัญญัติ คือ กฎขอ้ บงั คบั ของทอ้ งถิ่น ซงึ่ มผี ลบังคับใช้ไดเ้ ฉพาะในเขตเทศบาลน้ัน ๆ เท่าน้ัน โดยสภาเทศบาลเปน็ ผู้มีอานาจหน้าทใี่ นการตราเทศบญั ญัติโดยไมข่ ดั หรือแย้งต่อตัวบทกฎหมายในกรณีต่อไปน้ี ก. เพือ่ ปฏิบตั กิ ารให้เป็นไปตามหนา้ ที่ของเทศบาลทก่ี าหนดไวใ้ นกฎหมายว่าด้วยเทศบาล ข. เมื่อกฎหมายบัญญัติให้เทศบาลตราเทศบัญญัติ หรือให้อานาจตราเทศบัญญัติเพ่ือ ปฏิบตั ิการให้เป็นไปตามกฎหมายฉบับนนั้ ๆ สาหรับการพิจารณาตราเทศบัญญัติงบประมาณประจาปี ถือว่าเป็นการใช้อานาจสูงสุดในการ ควบคุมถ้าหาก ร่างดังกล่าวไม่ได้รับการเห็นชอบจากสภาเทศบาลแล้ว นั่นหมายถึงว่าคณะเทศมนตรีส้ินสุดใน หน้าที่ (เพราะการไม่เห็นด้วยของเทศบาลมีความหมายถึงการไม่ยอมรับของประชาชนในท้องถิ่นด้วย) โดยมี เงื่อนไขที่น่าสังเกตว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องเห็นชอบด้วย และในกรณีท่ีผู้ว่าราชการจังหวัดไม่เห็นด้วยนั้น การตดั สนิ ใจในข้ันสุดทา้ ยจะขึ้นอยู่กับรฐั มนตรีว่าการะทรวงมหาดไทยว่าจะดาเนนิ การอย่างไร ส่วนในการตราข้อบัญญัติท่ัวไปจะมีหลักการคล้ายกัน แต่ต่างกันตรงท่ีว่าร่างดังกล่าวจะได้รับการ วนิ ิจฉยั ขัน้ สุดทา้ ยจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถ้าผู้วา่ ราชการจงั หวัดไม่เหน็ ดว้ ย 2. อานาจในการควบคุมฝ่ายบริหาร สภาเทศบาลมีอานาจในการควบคุมคณะเทศมนตรีซ่ึงเป็นฝ่ายบริหารให้ปฏิบัติหน้าท่ีให้เป็นไป ตามระเบียบแบบแผนและนโยบายที่กาหนดไว้ โดยมมี าตรการควบคุมท่ีสาคัญอย่างน้อย 3 ประการ 2.1 การต้ังกระท้ถู าม สมาชิกสภาเทศบาลมีสทิ ธทิ จ่ี ะตัง้ กระทู้ถามคณะเทศมนตรีหรอื เทศมนตรีในข้อความใด ๆ ที่ เก่ียวกับงานในหน้าท่ีได้ ถ้าหากสมาชิกสภาเกิดสงสัยหรือมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าท่ีของคณะ เทศมนตรีหรอื เทศมนตรี 2.2 การเปิดอภิปราย กฎหมายว่าด้วยเทศบาลได้ให้สิทธิแก่สมาชิกเทศบาล ขอเปิดอภิปรายต่อคณะเทศมนตรี หรือเทศมนตรีคนใดคนหนึ่งได้ ซึ่งต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการดาเนินการที่กาหนดไว้ เช่น มีข้อ กล่าวหาคณะเทศมนตรีวา่ ปฏบิ ัตงิ านไมช่ อบด้วยอานาจหน้าที่ ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่และมีความประพฤติเส่ือม เสียแก่ศกั ดต์ิ าแหน่งฯลฯ 2.3 การอนมุ ัติงบประมาณรายจ่ายประจาปี

- 165 - ก่อนที่จะมีการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในรอบปีต่อไป คณะเทศมนตรีจะต้องเสนอ งบประมาณประจาปีเพอื่ ขออนุมตั ิตอ่ สภาเทศบาลเสยี ก่อน และเมอ่ื สภาได้อนุมัติแล้ว จึงจะดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ การที่กาหนดให้ต้องเสนอขออนุมัติงบประมาณเสียก่อนนั้น เพื่อที่สภาเทศบาลซ่ึงถือว่าเป็นตัวแทนของ ประชาชนในท้องถ่ินน้ัน สามารถควบคุมการจัดหารายได้และการใช้จ่ายเงินของฝ่ายบริหารให้เป็นไปอย่าง ถกู ตอ้ ง และตรงกบั ความต้องการของทอ้ งถนิ่ และในกรณที ีส่ ภาเทศบาลพิจารณาแล้ว ลงมติไม่รับหลักการแห่ง ร่างเทศบัญญัติงบประมาณประจาปีที่คณะเทศมนตรีเสนอแล้ว ไม่ว่าจะต้องเหตุผลใดก็ตามจะมีผลทาให้คณะ เทศมนตรีชดุ นั้นต้องพ้นจากตาแหนง่ ไป 3. อานาจในการให้ความเห็นชอบการแต่งตัง้ คณะเทศมนตรี บทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยเทศบาล ได้กาหนดเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะเทศมนตรีไว้ว่า “ให้ ผู้วา่ ราชการจังหวัดแต่งตงั้ สมาชกิ สภาเทศบาลเป็นนายกเทศมนตรี และเทศมนตรี ด้วยความเห็นชอบของสภา เทศบาล” กล่าวโดยสรุป คือ อานาจในการเห็นชอบแต่งต้ังคณะเทศมนตรี โดยสภาเทศบาลจะเสนอการ เห็นสมควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง มีข้อสังเกตว่าในปัจจุบันมีการจัดกลุ่มในลักษณะพรรคการเมืองขึ้น ดังนั้นกลุ่มที่ได้รับเลือกต้ังเป็นฝ่ายเสียงข้างมากจะมีโอกาสสูงท่ีจะได้รับเลือกต้ังเป็นฝ่ายบริหาร (คณะ เทศมนตรี) 4. อานาจในการแต่งตง้ั คณะกรรมการสภาเทศบาล สภาเทศบาลมีอานาจที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการเพ่ือให้ปฏิบัติภารกิจท่ีมอบหมายให้ทา ซ่ึง คณะกรรมการท่สี ภาเทศบาลแตง่ ต้งั นจ้ี ะสามารถจาแนกออกได้เปน็ 2 ประเภท คอื 4.1 คณะกรรมการสามัญ คือ คณะกรรมการที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาเทศบาลซึ่งได้รับเลือก จากสภาเทศบาล และกระทรวงมหาดไทยได้ออกระเบียบให้มีคณะกรรมการสามัญประจาสภาเทศบาลได้ไม่ เกิน 2 คณะ โดยเทศบาลนครให้มีคณะกรรมการในคณะหน่ึง ๆ ไม่เกิน 5 นาย ส่วนเทศบาลเมืองและเทศบาล ตาบลใหม้ กี รรมการในคณะหนึง่ ๆ ไดไ้ ม่เกิน 3 นาย 4.2 คณะกรรมการวิสามัญ คือ คณะกรรมการท่ีประกอบด้วยสมาชิกสภาเทศบาล หรือ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกท่ีมิได้เป็นสมาชิกซึ่งได้รับเลือกจากสภาเทศบาล โดยอาจมีจานวนและองค์ประกอบ ของคณะกรรมการไดเ้ ชน่ เดยี วกับคณะกรรมการสามัญดงั ที่กล่าวมาแลว้ ขา้ งต้น พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 กาหนดให้เทศบาลมีอานาจหน้าท่ีที่จะต้องปฏิบัติหรือหน้าที่ บังคับให้ปฏิบัติ และอานาจหน้าที่ท่ีจะเลือกปฏิบัติ นอกจากน้ันยังมีอานาจตามกฎหมายเฉพาะอื่นๆ กาหนด ทง้ั ยังไดก้ าหนดอานาจหน้าท่ีของเทศบาลในฐานะระดับต่างๆ ไว้ คอื 1. หน้าทีบ่ ังคบั หรือหน้าทีท่ ่จี ะต้องปฏิบัติ 2. หนา้ ทีท่ ี่จะเลอื กปฏิบัติ 3. หน้าท่ตี ามท่ีกฎหมายเฉพาะอนื่ ๆ กาหนด ต่อมามีการเคล่ือนไหวการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย (พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496) เพ่ือให้สอดคล้อง กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ซ่ึงได้ผลบังคับใช้มาต้ังแต่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2540 และมี ประเด็นท่ีกฎหมายเทศบาล (พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496) ไปขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญสาหรับประเด็นท่ีมีการ ปรบั ปรงุ แก้ไข ไดม้ ีการออกเป็น พ.ร.บ.เทศบาล (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2542 มีผลบังคับใช้เมื่อ 11 มีนาคม 2542 มี สาระสาคญั ดังนี้ 1. แก้ไขวาระการดารงตาแหน่งสมาชกิ สภาเทศบาลจาก 5 ปี เปน็ 4 ปี 2. เพ่ิมอานาจหน้าที่ของเทศบาลในด้านบารุงรักษาศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ภูมิปัญญา ท้องถิ่น การศกึ ษา และทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม สาหรับเทศบาลนคร ได้เพ่ิมอานาจในด้านผังเมือง การควบคมุ การก่อสรา้ ง การสาธารณสขุ การท่องเท่ยี ว

- 166 - 3. เพมิ่ อานาจราษฎรในการถอดถอนกรรมการบริหารหรอื สมาชิกสภา และให้ราษฎรมีสิทธิร้องขอ ต่อประธานสภาใหพ้ ิจารณาออกข้อบงั คับ 4. เพิ่มเติมกรณีเทศมนตรีทั้งคณะออกจากตาแหน่ง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งสมาชิกสภา เทศบาลด้วยความเหน็ ชอบของสภาเปน็ คณะเทศมนตรชี ว่ั คราว 5. เพิ่มเติมคณะเทศมนตรีหรือเทศมนตรีถูกสั่งพักระหว่างถูกสอบสวน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แตง่ ตง้ั สมาชิกสภาเทศบาลด้วยความเห็นชอบของสภาเปน็ คณะเทศมนตรีหรือเทศมนตรีชว่ั คราว 6. เพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาเทศบาล จะต้องไม่มีส่วนได้ส่วนเสียท้ังทางตรง/ ทางออ้ ม ในสญั ญาหรอื กิจการที่เก่ียวข้องกบั เทศบาล 7. แก้ไขการพ้นจากสมาชิกภาพสมาชิกสภาเทศบาล โดยสภาเทศบาลมีมติ 3 ใน 4 ให้ออกจาก ตาแหน่งได้ หากเห็นว่าประพฤติเสื่อมเสีย ก่อความไม่สงบเรียบร้อยแก่เทศบาล หรือกระทาการเส่ือมเสีย ประโยชนส์ ภาเทศบาล 8. เพม่ิ เติมสิทธิราษฎรผมู้ ีสิทธิเลอื กตัง้ ออกเสียงคะแนนและผบู้ ริหารทอ้ งถ่ินพ้นจากตาแหนง่ ได้ 9. เพ่ิมเติมกรณีเทศมนตรีท้ังคณะพ้นจากตาแหน่ง แล้วไม่อาจต้ังคณะเทศมนตรีได้ โดยมีสาเหตุ จากสภาเทศบาล จนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งยุบสภาเทศบาล ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง ข้าราชการ หรือพนกั งานท้องถน่ิ ในจงั หวัดนน้ั เปน็ คณะเทศมนตรชี ัว่ คราว 10. กรณีไม่มีคณะเทศมนตรี ให้ปลัดเทศบาลปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีเปน็ การชัว่ คราวเทา่ ทจี่ าเป็นได้ 11. แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ในกรณีเพือ่ คมุ้ ครองประโยชน์ในเขตเทศบาลหรือของประเทศโดยส่วนรวม ผู้ว่า ราชการจงั หวดั สามารถเสนอรฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งยบุ สภาเทศบาลได้ จากน้ันได้มีการแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างของเทศบาล โดยพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับท่ี 11) พ.ศ.2543 ได้กาหนดโครงสร้างเทศบาลใหม้ อี งคป์ ระกอบ ดงั นี้ 1. โครงสร้างให้เลือกตั้งนายกเทศมนตรีโดยตรงจากประชาชนในเขตเทศบาล และเทศบาลเมือง ภายหลังที่สมาชิกสภาเทศบาลหรอื เทศบาลเมอื งครบวาระ หรือเหตุต้องยบุ สภาไป 2. เทศบาลตาบล ให้มีทางเลือกว่า เทศบาลแห่งใดจะมีการบริหารในรูปแบบคณะเทศมนตรี หรือ นายกเทศมนตรี ใหเ้ ปน็ ไปตามเจตนารมณข์ องประชาชนในเขตเทศบาลแตล่ ะแหง่ จึงกล่าวได้ว่า เทศบาลใดจะใช้โครงสร้างแบบคณะเทศมนตรี โดยให้สมาชิกสภาเทศบาลเป็นผู้ เลอื กคณะเทศมนตรที ่ปี ระกอบด้วยนายกเทศมนตรี และเทศมนตรี ดงั น้ี เทศบาลตาบล ให้มเี ทศมนตรไี ม่เกิน 2 คน เทศบาลเมอื ง ใหม้ เี ทศมนตรไี ม่เกิน 3 คน เทศบาลนคร ใหม้ ีเทศมนตรไี มเ่ กนิ 4 คน อยา่ งไรก็ตาม พ.ร.บ.เทศบาล (ฉบบั ท่ี 11) พ.ศ.2543 ระบุว่า วนั ที่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไป ก็ จะจัดให้มีการเลือกต้ังนายกเทศมนตรี โดยตรงทุกแห่งหรือจะใช้โครงสร้างแบบให้สมาชิกสภาเทศบาลเป็นผู้ เลือกคณะเทศมนตรี ใหเ้ ป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนโดยการลงประชามติ การแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.เทศบาล (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2546 ซ่ึงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับ กฤษฎกี า เลม่ 120 ตอนท่ี 124 ก วันท่ี 22 ธันวาคม พ.ศ.2546 มีผลบังคับใช้ต้ังแต่วันท่ี 23 ธันวาคม 2546 มี ผลทาใหเ้ ทศบาลตาบล มีการเลอื กตั้งนายกเทศมนตรโี ดยตรง เชน่ เดียวกับเทศบาลเมืองและเทศบาลนคร ท่ีจัด ให้มีการเลอื กต้งั นายกเทศมนตรี โดยตรงต้งั แต่ พ.ศ.2543 ตาม พ.ร.บ.เทศบาล (ฉบบั ท่ี 11) พ.ศ.2543 แลว้ โครงสร้างในปัจจุบันของเทศบาล 1. นายกเทศมนตรี นายกเทศมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังในเขต เทศบาล มีวาระ 4 ปี และจะดารงตาแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ (แม้ดารงตาแหน่งไม่ครบ

- 167 - 4 ปี ก็นับเป็น 1 วาระ) (ในระยะ 4 ปีแรก หลังประกาศใช้กฎหมายเทศบาล พ.ศ.2546 คุณสมบัติข้อน้ียังไม่มี ผลบงั คบั ใช)้ โดยนายกเทศมนตรมี ีอานาจแตง่ ตัง้ ทมี บริหารประกอบดว้ ย 1.1 รองนายกเทศมนตรี (1) นายกเทศมนตรีมีอานาจแต่งต้ังรองนายกเทศมนตรีที่ไม่ใช่สมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) เปน็ ผูช้ ว่ ยในการบรหิ ารราชการของเทศบาล โดย - เทศบาลตาบล นายกเทศมนตรแี ต่งตัง้ รองนายกฯ ได้ไมเ่ กิน 2 คน - เทศบาลเมอื ง นายกเทศมนตรีแต่งตง้ั รองนายกฯ ไดไ้ ม่เกิน 3 คน - เทศบาลนคร นายกเทศมนตรีแตง่ ต้ังรองนายกฯ ได้ไมเ่ กนิ 4 คน (2) คุณสมบัติของรองนายกเทศมนตรี กฎหมายกาหนดให้ผู้ที่ดารงตาแหน่งรอง นายกเทศมนตรจี ะตอ้ งไม่เป็นสมาชิกเทศบาล และต้องมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเหมือนกับผู้ท่ีจะสมัคร นายกเทศมนตรี 1.2 ท่ปี รึกษานายกเทศมนตรีและเลขานกุ ารนายกเทศมนตรี กฎหมายกาหนดให้นายกเทศมนตรีอาจแต่งตั้งท่ีปรึกษานายกเทศมนตรีและเลขานุการ นายกเทศมนตรไี ด้ โดย (1) เทศบาลตาบล ให้แตง่ ตั้งรวมกนั ไดไ้ ม่เกิน 2 คน (2) เทศบาลเมือง ใหแ้ ต่งต้งั รวมกันได้ไม่เกนิ 3 คน (3) เทศบาลนคร ให้แตง่ ตั้งรวมกนั ได้ไม่เกิน 5 คน สภาเทศบาล สภาเทศบาลประกอบด้วย สมาชิกสภาเทศบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนตาม กฎหมายว่าด้วยการเลอื กตั้งสมาชิกสภาทอ้ งถ่ิน หรอื ผ้บู ริหารท้องถิน่ โดยจานวนของสมาชิกสภาเทศบาลข้ึนอยู่ กบั ประเภทของสภาเทศบาล คอื (1) เทศบาลตาบล มีสมาชิกได้ 12 คน (2) เทศบาลเมือง มสี มาชกิ ได้ 19 คน (3) เทศบาลนคร มสี มาชกิ ได้ 24 คน การแบง่ เขตเลอื กตัง้ ของสมาชิกสภาเทศบาล 1. เทศบาลตาบล ให้แบ่งเขตเทศบาลออกเป็นเขตเลือกตั้ง 2 เขต และมีจานวนสมาชิกสภา เทศบาลได้ 2. หนา้ ท่อี ืน่ ๆ ตามทกี่ ฎหมายกาหนดไว้ เช่น พ.ร.บ.สาธารณสุข เปน็ ต้น สาหรบั อาจหน้าทีข่ องสภาเทศบาล มีดังนี้ 1. เลือกประธานสภาเทศบาล และรองประธานสภาเทศบาล เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งต้ัง หรอื มมี ติใหป้ ระธานสภาเทศบาล หรือรองประธานสภาเทศบาล พน้ จากตาแหน่ง 2. เลือกสมาชิกสภาเทศบาลตั้งเป็นคณะกรรมการสามญั ของสภาเทศบาล และเลือกต้ังบุคคลผู้ เป็นหรอื มไิ ดเ้ ปน็ สมาชกิ ตง้ั เปน็ คณะกรรมการวิสามญั ของสภาเทศบาล 3. รับทราบนโยบายของนายกเทศมนตรี ก่อนนายกเทศมนตรีเข้ารับหน้าท่ีและรับทราบ รายงานแสดงผลการปฏิบัตงิ านตามนโยบายทน่ี ายกเทศมนตรไี ด้แถลงไว้ต่อสภาเทศบาลเป็นประจาทุกปี 4. อนุมัตริ า่ งแผนยทุ ธศาสตร์การพัฒนาและแผนพฒั นา 3 ปี ของเทศบาล 5. ให้ความเห็นชอบร่างข้อบัญญัติเทศบาล ร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปี และ ร่างข้อบัญญตั ิงบประมาณรายจ่ายเพ่ิมเตมิ ของเทศบาล

- 168 - 6. ในที่ประชุมสภาเทศบาล สมาชิกสภาเทศบาลมีสิทธิต้ังกระทู้ถามนายกเทศมนตรีหรือรอง นายกเทศมนตรี เสนอญัตตขิ ออภิปรายท่วั ไป โดยไมม่ กี ารลงมติ 7. ในกรณีกิจการอ่ืนใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของเทศบาลหรือประชาชนในท้องถ่ิน สมาชิกสภาเทศจานวนไม่น้อยกว่าก่ึงหน่ึงของจานวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ หรือนายกเทศมนตรีสามารถเสนอต่อ ประธานสภาเทศบาลเพ่ือให้มีการออกเสียงประชามติได้ และประกาศให้ประชาชนทราบ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาเทศบาลยอ่ มมสี ทิ ธิออกเสียงประชามติ การออกเสยี งประชามติน้ีให้มีผลเป็นเพียงการให้คาปรึกษา แก่สภาเทศบาลหรือนายกเทศมนตรใี นเรื่องนั้น ในปหี น่ึงใหส้ ภาเทศบาลมสี มัยประชุมสามัญ 4 สมัย สมัยหน่ึง ๆ ไม่เกิน 30 วัน แต่อาจขยาย เวลาออกได้โดยต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด วันเริ่มประชุมสมัยสามัญประจาปีให้สภาเทศบาล กาหนด นอกจากสมัยประชุมสามัญ เม่ือเห็นว่ามีความจาเป็นเพ่ือประโยชน์ของเทศบาล ประธานสภา หรือนายกเทศมนตรี หรือสมาชกิ สภาจานวนไม่นอ้ ยกว่าครงึ่ หนึ่งของจานวนสมาชิกทมี่ ีอยู่ อาจทาคาร้องอ่ืนต่อ ผู้ว่าราชการจงั หวดั ขอให้เปิดประชุมวสิ ามญั ถ้าผู้วา่ ราชการจังหวดั เห็นสมควรก็ใหเ้ รยี กประชุมวสิ ามัญได้ สมัยประชุมวิสามัญมีกาหนดไม่เกิน 15 วัน แต่จะขยายออกไปอีกต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่า ราชการจังหวดั อานาจหน้าที่ของเทศบาล 1) หนา้ ทต่ี ามพระราชบญั ญตั เิ ทศบาล พ.ศ.2496 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 12 พ.ศ.2546 โดยแบง่ เป็น (1) หนา้ ที่ท่ตี อ้ งทาในเขตเทศบาล (2) หน้าที่อาจจดั ทากิจการใด ๆ ในเขตเทศบาล 2) หนา้ ที่ตามพระราชบญั ญตั กิ าหนดแผนและข้ันตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถิน่ พ.ศ.2542 3) หนา้ ท่ีอน่ื ๆ ตามที่กฎหมายกาหนดไว้ เชน่ พ.ร.บ.สาธารณสขุ เป็นตน้ แผนภาพโครงสรา้ งองค์การของเทศบาล ท่ีมา : เอกวิทย์ มณธี ร.อ้างแลว้ .หน้า 177. สขุ าภบิ าล สุขาภบิ าล เปน็ รูปแบบการปกครองท้องถิ่นที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไทย โดยในปี พ.ศ.2440 มีการ ตรากฎหมายเรยี กว่า “ พระราชกาหนดสขุ าภิบาลกรงุ เทพ ฯ ร.ศ.116” โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้กรุงเทพ

- 169 - ฯ มีการปกครองตนเอง ตอ่ มาในปี พ.ศ.2449 ก็ได้มีการจัดต้ังสุขาภิบาลท่าฉลอม จ.สมุทรสาคร ข้ึน ซ่ึงถือได้ ว่าเป็นสุขาภิบาลแห่งแรกในเขตต่างจังหวัด ซ่ึงในสมัยรัชกาลที่ 5 มีสุขาภิบาลท้ังหมด 35 แห่ง หน้าที่สาคัญ ของสุขาภิบาลในขณะนั้นก็คือ การบูรณะ หรือการสร้างถนน การรักษาความสะอาด การดูแลด้านสุขอนามัย ของประชาชน ตลอดจนการจดั การศกึ ษาเบอื้ งตน้ ต่อมาในปี พ.ศ.2495 รัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ตราพระราชบัญญัตสิ ุขาภบิ าล พ.ศ.2495 เพอ่ื จะใชส้ ุขาภิบาลเป็นรากฐานในการพฒั นาไปเป็นเทศบาลตอ่ ไป 100 ปีต่อมา จนถึงปี พ.ศ.2541 รัฐบาลมีนโยบายที่จะยกฐานะสุขาภิบาลบางแห่ง ขณะน้ีมี จานวนทัง้ สนิ้ 991 แห่ง ข้นึ ไปเทศบาลท้งั หมดและจะไมม่ กี ารตง้ั เพ่ิม เพราะการปกครองท้องถ่ินรูปแบบ อบต. สามารถพฒั นาไปเป็นเทศบาลได้เอง ก่อน 25 พฤษภาคม 2542 มีสุขาภิบาลท้ังสิ้น 991 แห่ง เป็นสุขาภิบาล ทมี่ รี ายไดไ้ ม่เกินห้าลา้ นบาท (นายอาเภอ หรือปลัดอาเภอผู้เป็นหัวหน้าประจากิ่งอาเภอเป็นประธาน) จานวน 660 แหง่ เปน็ สขุ าภิบาลทีม่ ีรายไดต้ ง้ั แต่ห้าล้านบาทขน้ึ ไป (ประธานมาจากการเลือกตัง้ ) จานวน 321 แหง่ การจัดตงั้ สุขาภบิ าล ตาม พ.ร.บ.สขุ าภิบาล พ.ศ.2495 มาตรา 4 และ 5 ได้กาหนดไว้ว่า 1. เม่ือท้องถ่ินใดมีสภาพอันสมควรแก่การยกฐานะเป็นสุขาภิบาลก็ให้จัดต้ังท้องถิ่นนั้น ๆ เป็น สขุ าภิบาล 2. การจัดตั้งสุขาภิบาลจะกระทาโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะต้องประกาศในราช กจิ จานุเบกษาด้วย อน่ึง ในหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท.0413/ว 179 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2529 ได้ กาหนดหลักเกณฑ์ในการจดั ต้ังและขยายสขุ าภบิ าลไวด้ งั นี้ 1. ถ้าท้องถ่ินใดเป็นท่ีตั้งท่ีว่าการอาเภอหรือกิ่งอาเภอต้องมีรายได้จริงในปีงบประมาณที่ผ่านมา (ไมร่ วมเงนิ อดุ หนุน) ไม่ต่ากว่า 300,000 บาท 2. ถ้ามิได้อยู่ในที่ต้ังดังข้อแรก ก็จะต้องมีรายได้จริงในปีงบประมาณท่ีผ่านมา (ไม่รวมเงิน อุดหนุน) ไม่ต่ากวา่ 400,000 บาท 3. มพี ื้นทไี่ มเ่ กนิ 13 ตร.กม. 4. มปี ระชากรไม่ต่ากวา่ 1,500 คน 5. ต้องได้รบั ความเห็นชอบจากราษฎรในทอ้ งถน่ิ ในเรื่องนี้มีข้อสังเกตว่า ใน พ.ร.บ.สุขาภิบาล พ.ศ.2495 มิได้มีการระบุถึงการได้รับความเห็นชอบ จากราษฎร ซึง่ แตกต่างจากหลักเกณฑใ์ นหนงั สือกระทรวงมหาดไทยขา้ งตน้ ประเภทสุขาภบิ าล ตามพระราชบญั ญัตสิ ุขาภิบาล พ.ศ.2495 แกไ้ ขเพ่มิ เติม โดย พ.ร.บ.สุขาภิบาล พ.ศ.2529 นน้ั มาตรา 9 ทวิ มใี จความโดยสรุปได้กาหนดลกั ษณะโครงสรา้ งของสุขาภิบาล แบ่งเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. สุขาภิบาลท่ีมีนายอาเภอหรือปลัดอาเภอผู้เป็นหัวหน้าประจาก่ิงอาเภอร่วมอยู่ใน คณะกรรมการสขุ าภบิ าล และมีตาแหนง่ เป็นประธานกรรมการสขุ าภิบาล 2. สขุ าภบิ าลทมี่ ีฐานะการคลงั เพยี งพอท่จี ะบริหารงานประจาของสุขาภิบาลได้ ซ่ึงจะมีประธาน กรรมการสุขาภิบาลมาจากกรรมการท่ีราษฎรเลือกตั้ง และนายอาเภอหรือปลัดอาเภอผู้เป็นหัวหน้าประจากิ่ง อาเภอพน้ จากการเป็นกรรมการสุขาภิบาลและประธานกรรมการสขุ าภบิ าล โดยดารงตาแหนง่ ทป่ี รกึ ษาแทน ท้ังนี้ หลักเกณฑ์การพิจารณาฐานะการคลังของสุขาภิบาล ให้เป็นไปตามระเบียบที่ กระทรวงมหาดไทยกาหนด โครงสรา้ งสุขาภิบาล สุขาภิบาลเป็นการจัดองค์กรในลักษณะ “คณะกรรมการสุขาภิบาล” ซ่ึงจะทาหน้าท่ีทั้งในฝ่าย นติ บิ ญั ญัติ และฝ่ายบรหิ ารควบค่กู นั ไป กล่าวคอื ในองคก์ รบรหิ ารงานสุขาภิบาลนั้น จะมีแต่คณะผู้บริหารอย่าง

- 170 - เดียว ไมม่ ีสภาสขุ าภิบาล ดังเช่นสภาเทศบาลในเทศบาล คณะกรรมการสุขาภิบาลก็จะทาหน้าที่เหมือนสภา สุขาภบิ าลไปในตวั เช่น มอี านาจตราขอ้ บงั คบั สขุ าภิบาล มีข้อบังคับการประชุม เป็นต้น จุดเด่นประการหน่ึงที่สาคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแบบสุขาภิบาล คือ การทางานใน ระบบคณะกรรมการสุขาภบิ าล จะทาใหท้ างานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ไม่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิติ บัญญตั กิ บั ฝา่ ยบรหิ ารเหมอื นรูปแบบอ่ืน ๆ 1. โครงสร้างคณะกรรมการสุขาภิบาล : กรณีที่มีฐานะทางการคลังไมเ่ พยี งพอ 1.1 นายอาเภอหรือปลัดอาเภอผู้เป็นหัวหน้าประจาก่ิงอาเภอที่สุขาภิบาลนั้นต้ังอยู่แล้วแต่ กรณี 1.2 ปลัดอาเภอหรือก่ิงอาเภอท่ีสุขาภิบาลตั้งอยู่แล้วแต่กรณี ซ่ึงผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งต้ัง จานวนหนึ่งคน 1.3 กานนั แห่งตาบลซึง่ มพี ้ืนที่สว่ นหนึ่งสว่ นใดหรือท้ังหมดของตาบลนั้นอยู่ในเขตสุขาภบิ าล 1.4 ผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามสาหรับผู้สมัครรับเลือกต้ังสมาชิกสภาเทศบาล ซึ่ง ราษฎรในเขตสขุ าภิบาลน้ันเลอื กต้ังขึ้นเก้าคน อยใู่ นวาระ 4 ปี ในกรณีท่ีเป็นสุขาภิบาลท่ีมีฐานะการคลังเพียงพอที่จะบริหารงานประจา นายอาเภอหรือ ปลัดอาเภอผู้เป็นหัวหน้าประจากิ่งอาเภอจะพ้นจากการเป็นกรรมการสุขาภิบาลและดารงตาแหน่งที่ปรึกษา คณะกรรมการสขุ าภบิ าลแทน (มาตรา 9 ทวิ) สุขาภิบาลประเภทน้ี ยังจากัดบทบาทของประชาชนและเสริมสร้างอานาจแก่ราชการมาก เพราะแม้ว่าอัตราส่วนของกรรมการจากการเลือกต้ังของราษฎรต่อเจ้าหน้าท่ีรัฐ เท่ากับ 9 ต่อ 3 แต่อาเภอมี อานาจในการดแู ลกากบั ในฐานะประธานกรรมการโดยตาแหน่ง 2. โครงสร้างคณะกรรมการสขุ าภบิ าล : กรณีทสี่ ขุ าภบิ าลนั้นมีฐานะการคลงั เพยี งพอ 2.1 การบริหารงานประจา จะมีกรรมการสุขาภิบาล ซ่ึงราษฎรในเขตสุขาภิบาลนั้นเลือกตั้ง และคณะกรรมการสขุ าภิบาล เปน็ ผูเ้ ลอื กผูท้ ่ดี ารงตาแหนง่ ประธานกรรมการสุขาภบิ าล 2.2 รองประธานกรรมการสุขาภิบาลหน่ึงคน ซ่ึงคณะกรรมการสุขาภิบาลเลือกจากกรรมการ ซึง่ ราษฎรในเขตสขุ าภบิ าลนนั้ เลือกตงั้ จะดารงตาแหน่งคราวละ 1 ปี นบั แตว่ นั ที่ได้รบั เลอื กต้งั 2.3 ที่ปรึกษาคณะกรรมการสุขาภิบาล จะมีนายอาเภอหรือปลัดอาเภอผู้เป็นหัวหน้าประจาก่ิง อาเภอแล้วแต่กรณี เป็นท่ีปรกึ ษาคณะกรรมการสขุ าภิบาล 2.4 เลขานุการคณะกรรมการสุขาภิบาล ตาแหน่งเลขานุการคณะกรรมการสุขาภิบาลไม่ได้ กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติสุขาภิบาล แต่ในข้อบังคับการประชุมคณะกรรมการสุขาภิบาล พ.ศ.2499 ข้อ 7 กาหนดให้ปลดั สุขาภบิ าลเป็นเลขานุการคณะกรรมการสขุ าภบิ าล เวน้ แตก่ รณีที่ไม่มีปลัดสุขาภิบาลหรือมีแต่ไม่ อาจปฏบิ ัติหนา้ ที่ได้ ให้ประธานกรรมการสุขาภิบาลแต่งตั้งข้าราชการหรือพนักงานสุขาภิบาลที่เห็นสมควรทา หน้าที่เลขานกุ ารคณะกรรมการสขุ าภิบาล สุขาภิบาลประเภทน้ี ภายหลังได้รับประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว นายอาเภอจะพ้นจาก ตาแหน่งประธานกรรมการ และดารงตาแหน่งท่ีปรึกษาแทน และโดยอัตราส่วนระหว่างกรรมการจากการ เลือกตั้งต่อเจ้าหน้าทีเ่ ป็น 9 ต่อ 2 น้ี ทาให้ราษฎรมบี ทบาทมากขนึ้ การเปลยี่ นแปลงฐานะสขุ าภิบาลเป็นเทศบาล นับต้ังแต่มีมีการจัดให้มีการปกครองท้องถ่ินในรูปของสุขาภิบาล พ.ศ. 2440 มาจนถึงปี พ.ศ. 2541 นับเป็นเวลากว่า 100 ปี สุขาภิบาลที่มีอยู่ทั่วประเทศจานวน 991 แห่ง ซึ่งในจานวนนี้ต้องทาการ ยกเลิกไป 1 สุขาภิบาล ได้แก่ สุขาภิบาลชัยบาดาล จ.ลพบุรี เพราะพ้ืนท่ีถูกน้าท่วม ทาเหลือจานวน สขุ าภิบาลจรงิ เพยี ง 990 แหง่ สาหรับเหตุผลและสาเหตุหลายประการที่มีความจาเป็นต้องยกฐานะสุขาภิบาล เปน็ เทศบาลตาบล

- 171 - ประการแรก เพ่ือให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ท่ีบัญญัติไว้ใน หมวดการปกครองท้องถ่ิน มาตรา 295 กาหนดให้องค์กรปกครองท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถ่ินและคณะผู้บริหาร ท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถ่ิน และให้สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง คณะผู้บริหารท้องถ่ินหรือ ผู้บริหารท้องถ่นิ ให้มาจากการเลอื กต้งั โดยตรงของประชาชน หรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถ่ิน นอกจากน้ีแล้ว เราจะเห็นว่าผู้ที่เป็นสมาชิกสภาท้องถ่ิน และคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหาร ท้องถิ่นจะเป็นข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ในเวลาเดียวกันไม่ได้ หรือการห้ามสวมหมวก 2 ใบ ประการท่ีสอง เป็นนโยบายของรัฐบาลท่ีประสงค์จะยกฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาลตาบลท้ังหมด เพ่อื แกไ้ ขกฎหมายสขุ าภิบาลให้สอดคลอ้ งกบั รฐั ธรรมนญู เพอ่ื ให้เป็นไปตามกระแสเรยี กร้องของประชาชนดว้ ย ประการที่สาม การเสนอ พ.ร.บ.เปล่ยี นแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ.2542 มีผลทา ใหข้ ณะนส้ี ขุ าภบิ าลทวั่ ประเทศ 990 แห่ง ไดร้ บั การยกฐานะเป็นเทศบาลตาบลหมดแล้ว องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล ตาบล เป็นหน่วยการปกครองระดับพ้ืนฐาน ตั้งรัชสมัย ร.5 มีพันหรือกานันเป็นผู้ปกครอง ต่อมา ได้มวี วิ ฒั นาการจัดตั้งเปน็ องค์กรบรหิ ารสว่ นตาบลขึ้น ตามลาดับเหตกุ ารณ์ ดังน้ี 1. ปี 2476 รัฐบาลต้องการจัดตั้งเป็นเทศบาลท้ังหมด ขณะน้ันมีตาบลอยู่ประมาณ 4,800 ตาบล แต่ไมป่ ระสบความสาเรจ็ 2. ปี 2498 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ไปดูงานในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทา ใหเ้ กิดแนวคิดในการนาเอารปู แบของต่างประเทศมาใช้ในประเทศไทย เพราะให้อานาจทอ้ งถนิ่ ปกครองตนเอง 3. ปี 2499 กระทรวงมหาดไทย มีคาส่ัง ท่ี 222/2499 เร่ือง ระเบียบบริหารราชการส่วน ตาบลและหม่บู า้ น ลงวนั ท่ี 8 มนี าคม 2499 สาระสาคญั ของคาสง่ั ฉบบั น้ี คือ (1) ขยายโครงสร้างของคณะกรรมการตาบล ตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2357 (แก้ไขเพม่ิ เติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2486) คอื (2) กานันทอ้ งที่ (3) แพทย์ประจาตาบล (4) ครูประชาบาล 1 คน (5) ราษฎรผู้ทรงคุณวุฒิในตาบลไม่น้อยกว่า 2 คน (คัดเลือกโดยนายอาเภอ ครูใหญ่ทุก โรงเรียน หน.ส่วนราชการทตี่ ้งั ในตาบล และผูใ้ หญ่บ้านทกุ คน) (6) จัดตง้ั สภาตาบล ในทุกตาบลนอกเขตเทศบาลและสขุ าภิบาล (7) สมาชกิ หมบู่ ้านละ 2 คน (อาจเลอื กต้งั กันเองของราษฎร) (8) นายอาเภอคดั เลอื ก (โดยปรึกษากบั คณะกรรมการหมบู่ า้ นหรอื ตาบลก็ได้) (9) สมาชิกเลือกกันเอง และให้สมาชิกเลือกครูประชาบาล หรือราษฎรท่ีมีคุณสมบัติ 1 คน ทาหนา้ ทเ่ี ลขา 4. ต่อมาไดม้ กี ารตรา พ.ร.บ.บริหารราชการตาบล พ.ศ.2499 ซง่ึ มีโครงสร้างดังนี้ ก) จัดต้งั “องคก์ รบริหารส่วนตาบล” มีฐานะเปน็ นติ บิ ุคคล ข) ตาบลทีม่ คี วามเจรญิ แต่ไมถ่ งึ ระดับสขุ าภิบาลหรือเทศบาล ค) มรี ายได้และรายจา่ ยของตนเอง ง) ดาเนนิ กจิ การส่วนตาบลได้ (มอี สิ ระกวา่ คาสัง่ มท.222/2499) จ) มอี านาจในการออกข้อบัญญตั ิตาบลกาหนดโทษอาญาและปรบั ผูล้ ะเมิดข้อบญั ญตั ิได้ ฉ) นายอาเภอควบคุม กากับดแู ล

- 172 - 5. มท. มคี าส่งั ที่ 257/2509 กาหนดใหจ้ ัดรูปแบบการบรหิ ารองค์กรใหม่ รวมคณะกรรมการ ตาบลกบั สภาตาบลเปน็ องคก์ รเดียวกัน “เรยี กวา่ คณะกรรมการสภาตาบล” ประกอบด้วย (1) คณะกรรมการโดยตาแหนง่ ไดแ้ ก่ กานนั แพทยป์ ระจาตาบล ผู้ใหญ่บา้ นทุกหมู่บา้ น (2) กรรมการจากการนายอาเภอแตง่ ตัง้ จากครปู ระชาบาล 1 คน (3) กรรมการโดยการจดั เลอื กจากราษฎรผทู้ รงคณุ วุฒหิ ม่บู า้ นละ 1 คน มวี าระ 5 ปี 6. ปี 2515 รัฐบาลภายใต้บริหารของคณะปฏิวัติซ่ึงมีจอมพลถนอม กิตติจร เป็น นายกรัฐมนตรี ได้ออกคาสั่งคณะปฏิวัติ ท่ี 326/2515 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.องค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ.2499 และพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2511 ขณะนั้นมี อบต.จานวน 42 แห่ง ต้องถูกยุบเลิก เหลือ แต่การ บริหารส่วนตาบลตามคาส่ังกระทรวงมหาดไทย ทั้ง 2 รูป แต่ให้จัดรูปแบบใหม่ภายใน 3 ปี รูปแบบการจัด องค์กรของสภาตาบลได้เป็นรูปแบบท่ีเหมือนกันท่ัวประเทศ ในเวลาต่อมา (นอกเขตพ้ืนท่ีเทศบาลและ สุขาภิบาล) 7. ปี 2535 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ประกาศนโยบายการกระจายอานาจการบริหารสู่ ทอ้ งถ่นิ ยกระดบั สภาตาบลใหเ้ ป็นนติ บิ คุ คล 8. พ.ย. 2536 รัฐบาลและ ส.ส.จากหลายพรรคการเมืองได้เสนอร่าง พ.ร.บ.การวางรูปแบบ การบริหารตาบลแบบใหม่เข้าสภา 8 ฉบับ โดยมีโครงสร้างแตกต่างกัน ซ่ึงมีเป้าหมายเดียวกัน เพ่ือให้ ประชาชนมีส่วนรว่ มในการปกครองตนเอง ให้ท้องถ่ินในระดับตาบลมีอานาจ มีบทบาท และความคล่องตัว ซ่ึง เป็นองคก์ รทใี่ กลช้ ิด ประชาชนมากท่สี ุด และเป็นการฝึกให้ ประชาชนเรยี นรู้ในการปกครองตนเองเป็นรากฐาน สาคัญของการบริหารในระดบั ชาตติ ่อไป 9. ปี 2537 รา่ ง พ.ร.บ.สภาตาบลและองค์กรบรหิ ารสว่ นตาบล พ.ศ....ได้ผ่านความเห็นชอบ ของรฐั สภา ประกาศใช้เป็นกฎหมายจัดตั้งข้ึนตามพระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2537 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันท่ี 2 มีนาคม 2539 องค์กรบริหารส่วนตาบล ( อบต.) คือ หน่วยการบริหาร ราชการส่วนท้องถิ่น มฐี านะเป็นนติ ิบุคคลและราชการส่วนท้องถิ่น การจัดต้งั องค์การบรหิ ารสว่ นตาบล (อบต.) พระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ.2537 กาหนดให้สภาตาบลท่ีมีรายได้ โดยไม่รวมเงินอุดหนุนในปีงบประมาณท่ีล่วงมาติดต่อกันสามปีเฉล่ียไม่ต่ากว่าปีละหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท อาจ จดั ต้งั เป็นองค์กรบรหิ ารสว่ นตาบลได้ โดยทาเป็นประกาศของกระทรวงมหาดไทย และให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษา ซ่ึงได้มีการประกาศจัดตั้งในครั้งแรก ปี พ.ศ.2539 จานวน 617 แห่ง มีผลบังคับตั้งแต่ 3 มีนาคม 2539 ซ่งึ จากขอ้ มูลในปี 2552 มี อบต. จานวนทง้ั สนิ้ 5,770 แห่ง โครงสรา้ งองคก์ ารบริหารส่วนตาบล (อบต.) องคก์ รบริหารส่วนตาบล มโี ครงสรา้ งคลา้ ยกบั เทศบาล ที่มีทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหารองค์กร บรหิ ารส่วนตาบล ประกอบด้วย 1. สภาองค์กรบริหารสว่ นตาบล 2. คณะกรรมการบริหารองคก์ รบรหิ ารส่วนตาบล ก) สภาองคก์ ารบริหารส่วนตาบล (โครงสรา้ งเดิมและถกู แก้ไขใหย้ กเลกิ ไปแล้ว) ตาม พ.ร.บ.สภาตาบลและองค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ.2537 กาหนดให้สภาองค์กรบริหาร ส่วนตาบล ประกอบด้วย 1) สมาชิกโดยตาแหนง่ ไดแ้ ก่ (1) กานัน (2) ผูใ้ หญบ่ า้ นทกุ หมูบ่ า้ น

- 173 - (3) แพทย์ประจาตาบล 2) สมาชกิ โดยการเลือกตั้ง ได้แก่ สมาชกิ ทีไ่ ดร้ บั เลือกจากราษฎร หมู่บา้ นละ 2 คน โดยอย่ใู นตาแหน่งคราวละ 4 ปี สภาองคก์ รบริหารส่วนตาบล จัดใหม้ ีประธานสภาและรองประธานสภาคนหน่ึงเลือกจากสมาชิก สภาองค์กรบริหารส่วนตาบลโดยนายอาเภอเป็นผู้แต่งต้ังตามมติของสภาองค์กรบริหารส่วนตาบลอยู่ใน ตาแหนง่ คราวละ 2 ปี นอกจากนั้นให้สภาองค์กรบริหารส่วนตาบล เลือกสมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนตาบล คนหน่ึงเป็นเลขานุการสภาองค์กรบริหารส่วนตาบล ตาม พ.ร.บ.สภาตาบลและองค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2537 กาหนดให้สภาองคก์ รบรหิ ารส่วนตาบล ประกอบด้วย ข) คณะกรรมการบรหิ ารองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล (โครงสรา้ งเดิมถูกยกเลกิ ไปแล้ว) คณะกรรมการบริหารองคก์ รบรหิ ารสว่ นตาบล ประกอบด้วย กานันผูใ้ หญบ่ ้านไม่เกิน 2 คน และ สมาชกิ ทีไ่ ด้รับเลอื กตัง้ ไมเ่ กิน 4 คน ซง่ึ นายอาเภอเป็นผู้แต่งต้ังตามมติของสภาองค์กรบริหารส่วนตาบล อยู่ใน คราวละ 4 ปี ใหค้ ณะกรรมการบริหารเลือกกรรมการบริหารคนหนึ่ง เป็นประธานกรรมการบริหาร และเลือก กรรมการบริหารอีกคนหน่ึงเป็นเลขานกุ ารคณะกรรมการบรหิ าร บทเฉพาะกาล ได้กาหนดให้ใน 4 ปีแรก นับตั้งแต่วันท่ีพระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์กร บริหารส่วนตาบลใชบ้ งั คับ ให้กานันเป็นประธานกรรมการบรหิ ารโดยตาแหนง่ โครงสร้าง อบต.ที่แก้ไขเพ่ิมเติม พ.ร.บ.สภาตาบลและองค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ.2537 (แก้ไขเพ่ิมเติม ฉบับที่ 3 พ.ศ.2542) เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวดว่า ด้วยการปกครองท้องถิ่น ทาให้โครงสร้างของสภา อบต. และคณะกรรมการบริหาร อบต. เปลย่ี นแปลงไปดังน้ี 1. โครงสร้างสภา อบต. ประกอบด้วย สมาชิกหมู่บ้านละ 2 คน อบต. ใดมี 1 หมู่บ้านให้มี สมาชิก 6 คน อบต. ใดมี 2 หมู่บ้าน ให้มีสมาชิกได้หมู่บ้านละ 3 คน (เดิมสภา อบต. ประกอบด้วย กานัน ผูใ้ หญ่บา้ น และสมาชกิ ซ่งึ มาจากการเลอื กต้งั หมบู่ า้ นละ 2 คน) 2. โครงสร้างฝ่ายบริหาร ประกอบด้วย ประธานกรรมการบริหาร 1 คน และ กรรมการบริหาร 2 คน โดยสภา อบต. เป็นผู้เลือกแล้วเสนอให้นายอาเภอแต่งตั้งและให้ปลัด อบต. เป็น เลขานุการคณะกรรมการบริหาร (เดิมประกอบด้วย กานัน ผู้ใหญ่บ้านไม่เกิน 2 คน และสมาชิกท่ีมาจากการ เลอื กตงั้ ไม่เกนิ 4 คน) โครงสรา้ ง อบต. แก้ไขเพ่ิมเติม พ.ร.บ. สภาตาบลและองค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ.2537 แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ (ฉบบั ท่ี 4) พ.ศ.2546 ประกอบด้วย 1) สภา อบต. ประกอบด้วย สมาชิกหมู่บ้านละ 2 คน เหมือนโครงสร้าง อบต. แก้ไข เพมิ่ เตมิ ฉบับที่ 3 พ.ศ.2542 2) คณะผู้บริหาร อบต. ประกอบด้วย นายก อบต. 1 คน และรองนายก อบต. 2 คน 3) ควบคุมการปฏิบัติงานของคณะผู้บริหาร อบต. ให้เป็นไปตามนโยบายและ แผนพัฒนาตาบลตาม 1 และกฎหมาย ระเบยี บ และข้อบงั คบั ของทางราชการ อานาจหน้าท่ีของคณะกรรมการบริหาร อบต. คณะกรรมการบริหารมอี านาจหนา้ ทีด่ งั ตอ่ ไปน้ี 1. บรหิ ารกจิ การขององคก์ รบริหารสว่ นตาบลใหเ้ ป็นไปตามมติข้อบัญญัติและแผนพัฒนาตาบลและ รับผดิ ชอบการบริหารกจิ การขององคก์ รบริหารสว่ นตาบลตอ่ สภาองค์กรบรหิ ารสว่ นตาบล 2. จัดทาแผนพัฒนาตาบลและงบประมาณรายจ่ายประจาปี เพ่ือเสนอให้องค์กรบริหารส่วนตาบล พิจารณาให้ความเห็นชอบ

- 174 - 3. รายงานผลการปฏบิ ัติงานและการใช้จา่ ยเงินใหส้ ภาองค์กรบริหารสว่ นตาบลทราบอย่างน้อยปีละ สองครัง้ 4. ปฏบิ ัตหิ น้าท่ีอ่ืน ๆ ตามท่ที างราชการมอบหมาย การกากบั ดูแล อบต. กฎหมายกาหนดใหน้ ายอาเภอ และผวู้ ่าราชการจงั หวัด กากับดแู ล อบต. ดังนี้ 1. นายอาเภอ 1) ใหค้ วามเห็นชอบรา่ งข้อบญั ญตั ติ าบล 2) เปน็ ผู้อนมุ ัตขิ ้อบญั ญตั ิงบประมาณรายจา่ ยของ อบต. 3) สง่ั ให้สมาชกิ สภา อบต. ซง่ึ ไดร้ ับเลอื กตง้ั พน้ จากตาแหนง่ 4) มีอานาจเรียกสมาชิกสภา อบต. ผู้บริหาร อบต. พนักงานส่วนตาบล และลูกจ้างของ อบต. แจง้ หรอื สอบสวน ตลอดจนเรยี กรายงานและเอกสารใด ๆ จาก อบต.มาตรวจสอบ 5) เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดยบุ สภา อบต.ได้ 6) เสนอผวู้ า่ ราชการจงั หวดั สั่งให้ผู้บริหาร อบต. ท้งั คณะหรอื บางคนออกจากตาแหนง่ ได้ 2. ผู้ว่าราชการจังหวดั 1) เปน็ ผู้อนุญาตให้ข้าราชการในสังกัดไปปฏิบัติงานใน อบต. เป็นการช่ัวคราว (ตามคาขอของ อบต.) 2) เป็นผู้วินิจฉัยกรณีเกิดความขัดแย้งในเร่ืองข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายระหว่างนายอาเภอกับ อบต. 3) ส่ังใหส้ มาชกิ สภา อบต. ซง่ึ ไดร้ ับการเลือกต้ังพ้นจากตาแหนง่ 4) ส่ังให้กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นกรรมการบริหาร อบต. ออกจากตาแหน่ง กานัน ผู้ใหญ่บ้าน เม่อื สภา อบต. มมี ติให้บคุ คลน้ันพน้ จากตาแหน่งผบู้ ริหาร อบต. ต่อมามีการประกาศใช้ พ.ร.บ.สภาตาบลและองค์กรบริหารส่วนตาบล (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2546 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 120 ตอนที่ 124 ก วันท่ี 22 ธันวาคม พ.ศ. 2546 มีผล บังคับใช้ต้ังแต่วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2546 มีผลทาให้ อบต. ทุกแห่งมีการเลือกต้ัง นายก อบต. โดยตรงจาก ประชาชน โครงสร้างในปัจจุบนั ขององค์กรบริหารสว่ นตาบล องค์กรบริหารส่วนตาบล ประกอบด้วย สภาองค์กรบริหารส่วนตาบล (สภา อบต.) และนายก องคก์ รบริหารสว่ นตาบล (นายก อบต.) นายกองค์การบริหารสว่ นตาบล มาจากการเลือกต้ังโดยตรงของประชาชนผู้มีสิทธ์ิเลือกตั้งในเขต อบต. มีวาระการดารง ตาแหน่ง 4 ปี และดารงตาแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ (แม้ดารงตาแหน่งไม่ครบ 4 ปีก็นับเป็น 1 วาระ) และจะดารงตาแหน่งไดอ้ ีกครั้งหนงึ่ เม่ือพน้ ระยะเวลา 4 ปี ไปแลว้ นบั แต่พน้ จากตาแหนง่ นายกองค์กรบรหิ ารส่วนตาบลมอี านาจแตง่ ตั้งทมี งานบรหิ าร ดงั น้ี 1. รองนายก อบต. ให้อานาจนายก อบต. ในการแต่งต้ังบุคคลซึ่งไม่ใช่สมาชิกสภา อบต. เป็นรอง นายก อบต.เพื่อเป็นผู้ช่วยเหลือในการบริหารงานได้ไม่เกิน 2 คน คุณสมบัติของรองนายก อบต. กฎหมาย กาหนดใหม้ ีคณุ สมบตั เิ หมือนกบั นายก อบต. 2. เลขานุการนายก อบต. ให้อานาจนายก อบต. แต่งต้ังบุคคลซ่ึงไม่ได้เป็นสมาชิกสภา อบต. หรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นเลขานุการนายก อบต. ได้หนึ่งคน เป็นผู้ช่วยเหลือในการบริหารราชการ กฎหมายไม่ได้ ระบุไวว้ ่าเลขานกุ าร อบต. ต้องมีคุณสมบตั เิ ช่นใด

- 175 - สภาองค์การบริหารส่วนตาบล สภา อบต. ประกอบด้วย สมาชิกสภา อบต. ซ่ึงมาจากการเลือกตั้งหมู่บ้านละ 2 คน ในกรณีท่ีเขต อบต. ใดมีเพยี งหมูบ่ ้านเดยี ว ให้สภา อบต. น้ันมีสมาชิกได้ 6 คน และในกรณีท่ีเขต อบต. ใดมี 2 หมู่บ้านให้แต่ ละหมบู่ า้ นเลอื กตงั้ สมาชิกสภาหม่บู ้านละ 3 คน รวมเป็น 6 คน สมัยประชมุ ของสภา อบต. นายอาเภอตอ้ งกาหนดให้สมาชิกสภา อบต. ดาเนินการประชุมสภา อบต. คร้ังแรกภายใน 15 วัน นับแต่วันประกาศผลเลือกตั้ง และให้ที่ประชุมเลือกประธานสภา 1 คน และรองประธานสภา 1 คน ซ่ึง ประธานสภาและรองประธานสภานจ้ี ะดารงตาแหน่งจนครบวาระ ในกรณีที่สภา อบต. ไม่สามารถจัดให้มีการประชุมคร้ังแรกได้ภายใน 15 วัน ดังกล่าว หรือมีการ ประชุมแต่ไม่อาจเลือกประธานสภาได้ นายอาเภออาจเสนอผ้วู ่าราชการจังหวัดให้มคี าส่ังยบุ สภา อบต. ในปีหนึ่งให้สภา อบต. มีสมัยประชุมสามัญ 2 สมัย หรือมากกว่า 2 สมัย แต่ไม่เกิน 4 สมัย สมัยหน่งึ ๆ ไม่เกิน 15 วัน แต่อาจขยายได้อีกโดยขออนุญาตนายอาเภอ วันเร่ิมสมัยประชุมสามัญประจาปีให้สภา อบต. เป็นผู้กาหนด นอกจากสมัยประชุมสามัญแล้ว เมื่อเห็นว่ามีความจาเป็น ประธานสภา นายก อบต. หรือสมาชิก สภา อบต. จานวนไม่น้อยกว่าครึ่งหน่ึงของจานวนสมาชิกสภาท่ีมีอยู่ อาจนาคาร้องยื่นต่อนายอาเภอขอเปิด ประชุมวิสามญั ได้ อานาจหนา้ ท่ีขององค์การบรหิ ารสว่ นตาบล 1. อานาจหน้าท่ีตามพระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ.2537 และท่ี แก้ไขเพมิ่ เติมถงึ ฉบับท่ี 5 พ.ศ.2546 2. อานาจหนา้ ทตี่ าม พ.ร.บ.กาหนดแผนและขน้ั ตอนการกระจายอานาจฯ พ.ศ.2542 3. อานาจหน้าทีอ่ ่ืน ๆ ตามทีก่ ฎหมายบัญญัตไิ ว้ องคก์ ารบริหารสว่ นตาบลมหี น้าทต่ี อ้ งทาในเขตองคก์ รบรหิ ารส่วนตาบลดังต่อไปนี้ 3.1 จดั ให้มกี ารบารงุ ทางนา้ และทางบก 3.2 รักษาความสะอาดของถนน ทางน้า ทางเดิน และท่ีสาธารณะ รวมทั้งกาจัดมูลฝอยและ สง่ิ ปฏกิ ลู 3.3 ป้องกันโรคและระงับโรคติดตอ่ 3.4 ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย 3.5 ส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนาธรรม 3.6 สง่ เสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สงู อายุ และผู้พกิ าร 3.7 คมุ้ ครอง ดแู ล และบารงุ รกั ษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3.9 บารุงรักษาศลิ ปะ จารีตประเพณี ภมู ิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมอนั ดขี องทอ้ งถ่นิ 3.9 ปฏบิ ตั ิหน้าท่ีอื่นตามทางราชการมอบหมาย โดยจัดสรรงบประมาณหรือบุคลากรให้ตาม ความจาเปน็ 4. องค์การบริหารสว่ นตาบลอาจมรี ายได้ ดงั ตอ่ ไปนี้ 4.1 รายไดจ้ ากทรพั ยส์ นิ ขององคก์ รบรหิ ารส่วนตาบล 4.2 รายได้จากสาธารณปู โภคขององคก์ รบริหารส่วนตาบล 4.3 รายได้จากกิจการเกีย่ วกับการพานิชยข์ ององค์กรบริหารสว่ นตาบล

- 176 - 4.4 คา่ ธรรมเนียม คา่ ใบอนญุ าต และค่าปรับ ตามท่ีจะมกี ฎหมายกาหนดไว้ 4.5 เงนิ และทรัพย์สนิ อน่ื ท่มี ผี ู้อทุ ิศให้ 4.6 รายไดอ้ ่นื ตามทร่ี ัฐบาลหรอื หนว่ ยงานของรัฐจัดสรรให้ 4.7 เงินอุดหนนุ จากรัฐบาล 4.9 รายได้อื่นตามท่ีกฎหมายกาหนดให้เปน็ ขององค์กรบริหารส่วนตาบล 5. องคก์ รบริหารสว่ นตาบลอาจมีรายจ่าย ดังตอ่ ไปนี้ 51 เงินเดือน 5.2. ค่าจ้าง 5.3 เงินคา่ ตอบแทน 5.4 ค่าใชส้ อย 5.5 คา่ วัสดุ 5.6 คา่ ครภุ ณั ฑ์ 5.7 ค่าทดี่ ิน สง่ิ ก่อสร้าง และทรัพย์สินอื่นๆ 5.9 คา่ สาธารณปู โภค 5.9 เงนิ อุดหนนุ หนว่ ยงานอ่ืน 5.10 รายไดอ้ นื่ ใดตามขอ้ ผูกพันตามท่ีมีกฎหมาย หรอื ระเบยี บของกระทรวงมหาดไทยกาหนด นายก อบต. ตาม พ.ร.บ. สภาตาบลและองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2546 1. มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถ่ินหรือผู้บริหาร ท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มีวาระอยู่ในตาแหน่งคราวละ 4 ปี แต่จะดารงตาแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ จะ ดารงตาแหน่งได้อกี เมือ่ พ้น 4 ปี นับแตว่ นั พ้นจากตาแหนง่ 2. ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปน้ีด้วย 2.1 มอี ายไุ มต่ า่ กวา่ 30 ปี บริบรู ณ์ในวนั เลอื กตง้ั 2.2 สาเร็จการศึกษาไม่ต่ากว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภา ตาบล สมาชิกสภาท้องถิน่ ผูบ้ ริหารท้องถนิ่ หรือสมาชกิ รัฐสภา 2.3 ไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริตหรือพ้นจากตาแหน่งสมาชิกสภาตาบล สมาชิกสภา ท้องถ่ิน คณะผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น หรือเลขานุการ หรือที่ปรึกษาของ ผู้บริหารท้องถ่ิน เพราะเหตุมีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในสัญญาหรือกิจการที่กระทากับองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่ถึง 5 ปี นบั ถึงวนั สมคั รรบั เลือกตงั้ 2.4 รองนายก อบต. นายก อบต. สามารถแต่งตั้งรองนายก อบต. จากผู้ท่ีมิได้เป็นสมาชิกสภา อบต. ได้ไม่เกิน 2 คน สามารถแต่งต้ังผู้ท่ีมิได้เป็นสมาชิกสภา อบต.หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ เป็นเลขานุการนายก อบต. ได้ 1 คน 3. อานาจหนา้ ท่นี ายก อบต. (1) กอ่ นเข้ารับหน้าท่ี นายก อบต. ต้องแถลงนโยบายต่อสภา อบต. โดยไม่มีการลงมติ หาก ไม่สามารถดาเนินการไดใ้ ห้ทาเปน็ หนังสอื แจง้ ต่อสมาชกิ สภา อบต. ทุกคน (2) ทาคาร้องยื่นต่อนายอาเภอ ขอให้เปิดประชุมสภา อบต. วิสามัญได้ เมื่อเห็นว่ามีความ จาเป็นเพือ่ ประโยชนข์ อง อบต. (3) สภา อบต. ไมส่ ามารถลงมติให้นายก อบต. พน้ จากตาแหนง่ ได้

- 177 - (4) ในท่ีประชุมสภา อบต. สมาชิกสภา อบต. มีสิทธิต้ังกระทู้ถามนายก อบต. และมีสิทธิ เสนอญัตติขอเปดิ อภิปรายท่ัวไป เพ่อื ใหน้ ายก อบต. แถลงขอ้ เท็จจรงิ หรือแสดงความคดิ เห็นในปัญหาเก่ียวกับ การบรหิ าร อบต. โดยไม่ลงมตโิ ดยการขอเปิดอภปิ รายทัว่ ไปจะทาไดค้ รั้งเดียวในสมยั ประชุมสามัญสมยั หนึ่ง (5) นายก อบต. รองนายก อบต. หรือผู้ซึ่งนายก อบต.มอบหมาย มีสิทธิเข้าประชุมสภา อบต. และมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริงตลอดจนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับงานในหน้าท่ีแต่ไม่มีสิทธิออกเสียง ลงคะแนน กรณีทไ่ี ม่มปี ระธานสภาและรองประธานสภา อบต. หรอื สภา อบต.ถูกยบุ ตามมาตรา 22 วรรคหก 1. กรณีที่สาคัญและจาเป็นเร่งด่วนนายก อบต. จะดาเนินการก่อนเท่าท่ีจาเป็นก็ได้ และเม่ือได้มี การ เลอื กประธานสภา อบต.แล้ว ให้นายก อบต. แถลงนโยบายตอ่ สภา อบต. โดยไม่มกี ารลงมติ 2. สภา อบต. เป็นฝ่ายพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างข้อบัญญัติ อบต. ร่างข้อบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจาปี และอื่น ๆ ซ่ึงนายก อบต. เป็นผู้เสนอ และควบคุมการปฏิบัติงานของนายก อบต. ให้เห็นไป ตามกฎหมาย นโยบายแผนพัฒนา อบต. ข้อบญั ญัติ 3. การพิจารณาร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปี หรือร่างข้อบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายเพ่ิมเติม สภา อบต. ต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่าง เมื่อพ้นกาหนดให้ถือว่า สภาให้ความเหน็ ชอบทีน่ ายก อบต. เสนอ กรณีสภา อบต. ไม่รับหลักการร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปีหรือร่างข้อบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายเพม่ิ เตมิ 1. ให้นายอาเภอตั้งคณะกรรมการ 7 คน เพื่อหาข้อยุติภายใน 15 วัน นับแต่วันท่ีได้แต่งตั้ง ประธานกรรมการ แล้วรายงานต่อนายอาเภอ หากไม่เสร็จให้ประธานกรรมการผลการพิจารณาแล้ววินิจฉัยชี้ ขาดโดยเร็ว รายงานต่อนายอาเภอ 2. ให้นายอาเภอสง่ ร่างข้อบัญญัติใหน้ ายก อบต. โดยเร็ว แล้วให้เสนอร่างต่อสภา อบต. ภายใน 7 วัน นับแต่ วันที่ได้รับร่าง หากนายก อบต. ไม่ดาเนินการ นายอาเภอจะรายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัด เพ่ือสั่ง ให้นายก อบต. พ้นจากตาแหน่ง ส่วนสภา อบต.ต้องพิจารณาร่างให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันท่ีได้รับร่าง จากนายก อบต. หากไม่เสร็จหรือมีมติไม่เห็นชอบ ให้ตกไป และให้ใช้ข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายใน ปีงบประมาณปที ่ีแล้วไปกอ่ น และให้นายอาเภอเสนอผูว้ า่ ราชการจังหวดั ใหม้ ีคาสั่งยุบสภา อบต. แผนภาพโครงสร้างองค์การบริหารส่วนตาบล

- 178 - การศึกษาเปรียบเทยี บการปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ ของ อบต. 3.1 การปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ อบต. ในปี พ.ศ.2457-2515 อภชิ ยั พันธเสน (2539 : 30) ได้วเิ คราะห์รปู แบบการปกครองส่วนท้องถิน่ ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2440 เป็นต้นมา จนถึงปี พ.ศ.2515 ที่มีรูปแบบการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นทาให้เกิดความซ้าซ้อนกัน ในการจัดการปกครองอยู่ 4 รปู แบบ คอื (1) การจดั การปกครองตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 (2) การจัดการปกครองตาบลตามคาส่งั กระทรวงมหาดไทย ท่ี 222/2499 (3) การจัดการปกครองตาบลตามพระราชบัญญัติขององค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ.2499 (4) การจัดการปกครองตาบลตามคาสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 275/2509 จะเห็นได้ว่า การปกครองส่วนท้องถ่ินในรูปแบบของสภาตาบลและองค์กรบริหาร ส่วนตาบลท่ี ผ่านมานั้น รูปแบบที่ 1 – 2 และ 4 อยู่ภายใต้การครอบงาของอานาจรัฐในการบริหารและการพัฒนา มีเพียง รปู แบบท่ี 3 เทา่ นั้น ท่ีมีความเปน็ อิสระมากทสี่ ดุ มคี วามเป็นประชาธปิ ไตยมากท่ีสดุ ในสมัยน้นั นพดล เมืองสอง (2541 : 32) และชูชัย ศุภวงศ์ (2542 : 21) ได้สรุปผลข้อดีและข้อด้อยของ การปกครองส่วนท้องถิ่นไทยในอดตี ไว้ ดังนี้ 3.1.1 ข้อดีของการปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ ในอดตี ไดแ้ ก่ 1) เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตยในท้องถิ่น ทาให้ประชาชนมี ความเขา้ ใจการปกครองรปู แบบประชาธปิ ไตยดยี งิ่ ขนึ้ 2) ทาให้ประชาชนเกิดการเรียนรู้รูปแบบการปกครองตนเองในท้องถิ่นทาให้เกิด ความรักชุมชนและท้องถน่ิ ตลอดทง้ั การรักษาทรพั ยากรธรรมชาตใิ นท้องถ่ินของตนเอง 3) ก่อให้เกิดรูปแบบปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยคนของส่วนท้องถ่ินเอง จึงทาให้ส่งผล ตอ่ การพฒั นาระบอบประชาธปิ ไตยระดับประเทศชาติได้ 3.1.2 ข้อดอ้ ยของการปกครองส่วนท้องถนิ่ ในอดีต ได้แก่ 1) ในสมยั อดีตการปกครองส่วนทอ้ งถิ่นของ อบต. คณะกรรมการบริหารไม่ได้มาจาก การเลือกต้ังคือ คณะกรรมการส่วนหนึ่งมาจากการแต่งต้ัง และคณะกรรมการอีกส่วนหนึ่งเป็นโดยตาแหน่ง เชน่ ผวู้ า่ ราชการจงั หวัด กานัน ผู้ใหญบ่ ้าน แพทยป์ ระจาตาบล เป็นตน้ 2) การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดขึ้นโดยชนชั้นนาในสังคม ไม่ได้เกิดจาก ความต้องการของประชาชนเอง จึงทาใหก้ ารปกครองส่วนท้องถิน่ ไม่พฒั นา 3) การจัดรปู แบบการปกครองและพัฒนาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในแต่ ละยุคเปน็ ไปตามความต้องการของชนชน้ั นา ไมใ่ ช่เกดิ จากความตอ้ งการของประชาชนเอง 4) การปกครองส่วนท้องถ่ินมีฐานะอ่อนแอ ขาดความเป็นอิสระ มีบทบาทและ อานาจในการบรหิ ารท่ีจากดั และถกู อานาจรัฐครอบงา 5) หน่วยปกครองส่วนท้องถ่ินมีงบประมาณและทรัพยากรธรรมชาติ ท่ีมีอยู่อย่าง จากดั จะต้องพึง่ เงินอดุ หนุนจากรฐั บาลกลางจึงทาให้ถูกครอบงาในการพฒั นา 6) ตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน มีการปรับปรุงและ เป ลี่ ย น แป ล ง น้ อย ม า ก ไ ม่ว่ า ใ น ด้า น โ ค ร ง ส ร้ า ง ห รื อ บ ท บา ท ใ น ก าร บ ริ ห าร ง า น จึ ง ท า ใ ห้ กา ร ป ก คร อ ง ส่ ว น ทอ้ งถิ่นขององค์กรบรหิ ารส่วนตาบลไม่เกิดการพฒั นา 7) การปกครองส่วนท้องถิ่นในอดตี มีรูปแบบการปกครองท่ไี มห่ ลากหลาย 8) การปกครองส่วนท้องถิ่นยังอยู่ภายใต้การควบคุมของข้าราชการประจา จึงทาให้ ถกู ครอบงาในด้านต่างๆ ได้งา่ ยยงิ่ ขึ้น

- 179 - 9) การปกครองส่วนท้องถิ่นในอดีตประชาชนยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าท่ีควร ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการกับประชาชนเหมือนกับเจ้าขุนมูลนาย ทาให้ประชาชนเกิดความเกรงกลัว ขา้ ราชการ ประชาชนไม่กลา้ แสดงออกในการปกครองสว่ นท้องถ่นิ ตนเอง 3.2 การปกครองสว่ นท้องถิน่ อบต. ตั้งแตป่ ี พ.ศ.2537 - 2542 ความแตกต่างของ พ.ร.บ.การปกครองส่วนท้องถิ่นของ อบต. ปี พ.ศ.2537 คือ มีความคล้ายคลึง กับ พ.ร.บ.องค์กรบริหารส่วนตาบล พ.ศ.2499 แต่มีเกณฑ์กาหนดรายได้ที่แตกต่างกัน จึงทาให้สภาตาบล สามารถยกฐานะเป็นองค์กรบริหารส่วนตาบลได้ พ.ร.บ. ปี พ.ศ.2537 เกณฑ์กาหนด รายได้ เฉลี่ย 3 ปี ไม่ ร่วมเงินอุดหนุนตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป (ชูชัย ศุภวงศ์ 2541 : 1) และ คณะกรรมการสภาองค์กร บริหารส่วนตาบลมี 2 ประเภท คือ ประเภทท่ีหนึ่งเป็นคณะกรรมการโดยตาแหน่ง ได้แก่ กานัน ผู้ใหญ่บ้าน และแพทย์ประจาตาบล ประเภทที่สองคณะกรรมการที่มาจากการเลือกต้ังของประชาชนหมู่บ้านละ 2 คน มี วาระการดารงตาแหน่งท่ีแน่นอน แต่ลักษณะบทบาทและอานาจหน้าท่ีไม่แน่นอน ทาให้เกิดปัญหาต่อการ พฒั นาและการปกครองส่วนท้องถนิ่ พ.ร.บ. การปกครองส่วนท้องถิ่นของ อบต. ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2542 มีความแตกต่าง คือ สมาชิก ของ อบต. จะต้องมาจากการเลือกต้งั ของประชาชนท้งั หมด มีวาระการดารงตาแหนง่ 4 ปี ผลของรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2540 มาตรา 79 รัฐจะต้องกระจายอานาจให้สว่ นท้องถ่ินปกครองตนเองไดแ้ ละสามารถพ่ึงตนเองได้ จึงทา ให้สภาตาบลสามารถยกฐานะเปน็ องค์กรบริหารส่วนตาบลได้ทั่วประเทศ และมีการจัดแบ่งองค์กรบริหารส่วน ตาบลออกเป็น 5 ช้ัน สภาตาบลใดไม่สามารถยกฐานะเป็น อบต. ตามเกณฑ์ท่ีกาหนดได้ให้ยกไปรวมกับสภา ตาบลอ่นื มกี ารจัดแบง่ หนา้ ทก่ี นั อย่างชัดเจนระหว่าง คณะกรรมการสภาองค์กรบริหารส่วนตาบลกับคณะกรร การบริหารส่วนตาบล คณะกรรมการสภา องค์กรบริหารส่วนตาบลทาหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ตรวจสอบการ ทางานของฝ่ายบริหาร ส่วนคณะกรรมการบริหารองค์กรบริหารส่วนตาบล ทาหน้าที่บริหารจัดทาแผนพัฒนา และงบประมาณรายจา่ ยต่างๆ ทมี่ กี ฎหมายรองรับ และมวี าระการดารงตาแหน่งที่แน่นอน มีบทบาทและอานาจ หนา้ ทีช่ ัดเจน ตารางท่ี 1 แสดงชน้ั อบต. เกณฑก์ าหนดรายได้ และจานวนพนักงาน อบต. ชน้ั อบต. เกณฑ์รายได้ จานวนพนกั งานส่วนตาบล 1 20 ลา้ นบาท ขน้ึ ไป 21 2 12 – 20 ลา้ นบาท 12 3 6 – 12 ลา้ นบาท 6 4 3 – 6 ล้านบาท 4 5 ไมเ่ กนิ 3 ล้านบาท 3 4. การจัดทาแผนพฒั นาสว่ นทอ้ งถิน่ อบต. การจัดทาแผนพัฒนานั้น จะมีความแตกต่างกันออกไปตามสภาพทางกายภาพของปัญหาหรือ จะต้องทาไปตามประเภทของแผนพัฒนาแต่ระดับการปกครองท่ีมีความแตกต่างกันไป เริ่มจัดทาต้ังแต่ แผนพัฒนาระดับชาติถึงแผนพัฒนาระดับส่วนท้องถ่ิน (กรมการปกครอง 2545:9) เพื่อให้เกิดความสะดวกใน การพฒั นาของแตล่ ะพน้ื ทท่ี ีม่ ีสภาพของปญั หาแตกตา่ งกันออกไป ได้แก่ ก) แผนระดับชาติ (National Plan) เป็นแผนพัฒนาระดับประเทศท่ีรัฐบาลจัดร่างขึ้นตาม นโยบายของรฐั และตามแผนพฒั นาเศรษฐกจิ ฯ เพือ่ ใช้ในการพัฒนาประเทศแบบภาพรวมทั้งหมด

- 180 - ข) แผนระดับภาค (Regional Plan) เป็นแผนพัฒนาท่ีจัดทาข้ึนเพื่อใช้พัฒนาตามสภาพปัญหา ของภูมิภาคต่างๆ ที่มีสภาพปัญหาท่ีแตกต่างกัน ถ้าใช้แผนพัฒนาของรัฐบาลกลางย่อมจะไม่ทาให้ประสบ ผลสาเร็จตามวตั ถปุ ระสงค์ได้ ค) แผนระดับจังหวัด (Provincial Plan) เป็นแผนที่จัดทาข้ึนเล็กกว่าส่วนภูมิภาค เพื่อใช้ แก้ปญั หาเฉพาะจงั หวดั เพราะแตจ่ งั หวดั มีพน้ื ทปี่ ญั หาที่แตกต่างกันออกไป ง) แผนระดบั อาเภอ (District Plan) เปน็ แผนที่จดั ทาขน้ึ เฉพาะอาเภอทม่ี ีปัญหา ต่างกันไปจาก พ้นื ทอ่ี าเภออน่ื ๆ ไม่สามารถนาแผนของจงั หวดั และรฐั บาลกลางมาทาการพฒั นาได้ จ) แผนระดับตาบล (Sup-District Plan) เป็นแผนท่ีร่างข้ึนมาใช้เฉพาะในตาบล ปัจจุบันเป็น หน่วยงานปกครองสว่ นท้องถิน่ ท่ีเกิดขึ้นใหม่ มีการร่างแผนพัฒนาตามความต้องการของส่วนท้องถ่ิน โดยคนใน ส่วนท้องถิน่ เอง เพ่อื สนองความตอ้ งการของสว่ นทอ้ งถ่นิ 4.1 แผนพฒั นาระดบั ตาบล ตั้งแต่พระราชบญั ญัตสิ ภาตาบลและองคก์ รบริหารสว่ นตาบลมผี ลบังคับใช้ในปี พ.ศ.2539 การวาง แผนพัฒนาตาบลระยะ 5 ปี และแผนพัฒนาตาบลประจาปี (กรมการปกครอง 2544 : 27) มีความสาคัญอย่าง ย่ิงทจี่ ะตอ้ งพึง่ เงินอุดหนนุ จากรัฐบาลกลาง เพราะการจัดเก็บภาษีอากรในส่วนท้องถ่ินไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย เป็นหน้าท่ีของคณะกรรมการบริหารของ อบต. จะต้องช่วยกันจัดทาแผนพัฒนาส่วนท้องถิ่นของ อบต. เพื่อใช้ ในการของบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลในการนามาพัฒนาพ้ืนที่ให้มีความเจริญย่ิงข้ึน ลักษณะของ แผนพัฒนาตาบล ดงั น้ี 4.2 แผนพัฒนาขององคก์ รบริหารสว่ นตาบลระยะ 5 ปี แผนพัฒนาขององค์กรบริหารส่วนตาบลระยะ 5 ปี เป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของส่วน ท้องถิ่น เป็นแผนระยะกลางที่ทางคณะกรรมการส่วนท้องถิ่นของ อบต. จัดร่างขึ้นมาเพ่ือใช้ในการพัฒนาส่วน ท้องถ่นิ เอง (อภิชยั พันธเสน 2539 : 267-269) และองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นจะต้องให้ความสาคัญในการ จัดทาแผนพัฒนาอยู่ 2 ประการ คือ 1. ในการจัดทาแผนพัฒนาจะต้องทาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของ องค์กรบริหารส่วนตาบล จะต้องระบุถึงกิจกรรม/โครงการดาเนินงานภายในระยะ 5 ปี ภายใต้ กรอบ ยุทธศาสตรข์ องการพัฒนาขององค์กรบรหิ ารสว่ นตาบล เพื่อความเปน็ เอกภาพในการบริหารงาน 2. ในการจดั ทาแผนพัฒนาจะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมเสมอ เพื่อทราบถึงปัญหาและ ความต้องการอย่างแท้จริงของประชาชนท่ีถูกเสนอผ่านให้องค์กรบริหารส่วนตาบลได้รับทราบ เพ่ือจะนามา กาหนดแนวทางแก้ไขปัญหาตามข้อเท็จจริงท่ีเกิดข้ึน ปัจจุบันการกาหนดแนวทางพัฒนาโดยการใช้เวที ประชาคมของส่วนท้องถ่ินตาบลหรือหมู่บ้านมีความจาเป็นท่ีจะต้องทามาก เพ่ือที่จะนามาใช้ในการแก้ปัญหา และกาหนดแนวทางในการพัฒนา 4.3 วัตถปุ ระสงค์ของการจดั ทาแผนพฒั นา 5 ปี คือ 1. เพื่อแปลงแนวทางของแผนพัฒนาองค์กรบริหารส่วนตาบล ให้เป็นรูปธรรม ยิ่งข้ึน ในลักษณะแผนงาน โครงการ และกจิ กรรมในการพฒั นา 2. เพอ่ื ใช้เปน็ กรอบในการจัดทาแผนพฒั นาประจาปี 3. เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการประสานงานการพัฒนากับหน่วยงานอ่ืน โดยวิธีการขอ งบประมาณสนับสนุนในการพฒั นาได้ทันท่ี 4.4 ข้ันตอนและวธิ ีการจัดทาแผนพฒั นาระยะ 5 ปี ของ อบต. 1. การค้นหาปัญหาและความต้องการของตาบล โดยการรวบรวมข้อมูลจาก คณะกรรมการระดับหมู่บ้าน รวบรวมสภาพปัญหาแต่ละหมู่บ้าน และข้อมูลความจาเป็นพ้ืนฐานเป็นตัวชี้วัด

- 181 - ปัญหา โดยความช่วยเหลือจากคณะทางานสนับสนุนระดับตาบล ได้แก่ คณะกรรมประจาตาบลเสนอให้ คณะกรรมการสภาตาบล 2. จัดกลุ่มและจัดลาดับความสาคัญของปัญหาและความต้องการ เพ่ือให้มองเห็น ภาพรวมปญั หาของตาบล คอื กลุ่มปัญหาเศรษฐกิจ กลมุ่ ปญั หาสังคม กลุ่มปัญหาโครงสร้างพ้ืนฐาน กลุ่มปัญหา แหล่งน้า กลุ่มปัญหาสาธารณสุข กลุ่มปัญหาการเมืองและการบริการ กลุ่มปัญหา การศึกษา ศาสนาและ วัฒนาธรรม และกลมุ่ ปัญหาทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม ปัจจุบันส่วนท้องถิ่นมีขีดความสามารถในการแก้ปัญหา ของตนเองมากขนึ้ 3. กาหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการ โดยวิเคราะห์สาเหตุ ของปัญหาแต่ละปัญหาตามสภาพความเป็นจริงของแต่ละหมู่บ้าน ตรวจสอบข้อมูลท่ีมีอยู่ เพ่ือนาสาเหตุนั้นมา กาหนดแนวทางแกไ้ ขปญั หา 4. กาหนดแผนงานและโครงการ ท่ีจะดาเนินการตามแนวทางแก้ไขปัญหาและสนอง ความตอ้ งการในชว่ งระยะ 5 ปี โดยดาเนินการ ดังต่อไปนี้ 4.1 แผนงาน ให้กาหนดเป็น 9 แผนงาน คือ แผนงานเศรษฐกิจ แผนงานสังคม แผนงานโครงสร้างพื้นฐาน แผนงานพัฒนาแหล่งน้า แผนงานสาธารณสุข แผนงานการเมืองและการบริการ แผนงานการศกึ ษา ศาสนาและวัฒนาธรรม และแผนงานทรพั ยากรและสิง่ แวดลอ้ ม 4.2 โครงการ ให้กาหนดช่ือโครงการในแต่ละแผนงาน เพ่ือแก้ปัญหาในแต่ละกลุ่ม ปัญหา กาหนดเป้าหมายท่ีคาดว่าจะดาเนินการในระยะเวลา 5 ปี และระบุแหล่งงบประมาณจากรัฐหรือ งบประมาณจากประชาชน จะเห็นได้ว่า การจัดทาแผนพัฒนาส่วนท้องถ่ินระยะ 5 ปี ขององค์กรบริหารส่วนตาบล เป็นการ จัดทาแผนพัฒนาส่วนท้องถิ่นจากเบื้องล่าง เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลจากส่วนกลางหรือ เบื้องบน ถ้าการวางแผนพัฒนาส่วนท้องถิ่นของ อบต. กาหนดกรอบการพัฒนาไม่มีความสอดคล้องกับ สว่ นกลางจะทาให้การพฒั นาส่วนทอ้ งถ่ินของ อบต. ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ หลักเหตุผลสาคัญของการใช้ แผนพฒั นาสว่ นทอ้ งถิน่ ของ อบต. เปน็ การพฒั นาจาก สว่ นล่างข้นึ สูเ่ บ้อื งบน คือ 1) การจัดทาแผนพัฒนาส่วนท้องถ่ินของ อบต. น้ัน รัฐเป็นเพียงผู้สนับสนุน งบประมาณ บุคลากรและอุปกรณ์ การพัฒนาของ อบต. จะต้องให้ความสาคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ มนุษยค์ วบคู่กับทรพั ยากรและส่ิงแวดลอ้ ม 2) การจัดทาแผนพัฒนาส่วนทอ้ งถิ่นของ อบต. จะช่วยลดภาระของรฐั ในดา้ นต่างๆ ลงได้ คือ เป็นการจดั ทาแผนพฒั นาของส่วนทอ้ งถน่ิ เอง รฐั เพยี งแต่เป็นผู้สนับสนุนและประสานกับองคก์ รต่างๆ 3) การจัดทาแผนพัฒนาส่วนท้องถิ่นของ อบต. ทาให้ประชาชนในท้องถ่ินมีส่วนร่วมและ ตัดสินใจ และดาเนินการด้วยตนเอง เกิดการรวมกลุ่มและประสานงาน มีความรับผิดชอบร่วมกันในการจัดทา แผนพัฒนาส่วนท้องถิ่นตนเอง ทาให้มีความรู้สึกเป็นเจ้าของท้องถิ่นร่วมกัน (Sense of belonging) เกิดข้ึนใน สว่ นทอ้ งถิน่ (การบรหิ ารโครงการพัฒนาทอ้ งถนิ่ และชนบท 2543 : 94-96) 4.5 แผนพัฒนาตาบลประจาปี แผนพฒั นาประจาปี คือ การวางแผนจากเบื้องล่าง สารวจปัญหาและความจาเป็นขั้นพื้นฐานของ ประชาชนในพ้นื ท่ีระดับตาบล หมู่บ้าน โดยนาแผนพัฒนาระยะ 5 ปี มาปฏิบัติตามความจาเป็นขั้นพื้นฐานของ ปัญหาในส่วนท้องถ่ิน เพื่อของบประมาณสนับสนุนจากส่วนกลาง การจัดทาแผนพัฒนาประจาปีจะต้องนา แผนพัฒนาระยะ 5 ปี มาพิจารณาให้ สอดคล้องกับระบบพัฒนาชนบทของรัฐบาล ระบบข้อมูลท่ีจะต้อง นามาใช้ คือ 1. ผลประเมินระดบั การพฒั นาหมู่บ้านเปน็ รายหมบู่ า้ นและสว่ นรวมตาบล 2. ตัวดัชนีจาแนกสาเหตุของปัญหา 5 ตัวช้ีวดั หลัก

- 182 - 3. ขอ้ มลู ความจาเป็นพน้ื ฐาน (จปฐ.) หมบู่ า้ น/ตาบล 4. แนวทางการพฒั นาชนบทประจาปีระดบั อาเภอ 5. บัญชแี สดงสภาพปญั หาและเปา้ หมายการยกระดบั การพัฒนาหมบู่ า้ นระดับตาบล 6. บัญชีสภาพปญั หาและโครงการทแี่ กไ้ ขปัญหาในหมบู่ า้ น 7. แผนพฒั นาตาบล 5 ปี เมื่อ อบต. ได้ดาเนินการจัดทาแผนพัฒนาระยะ 5 ปี และผ่านการอนุมัติจากนายอาเภอมาแล้ว จะต้องนาแผนพัฒนา 5ปี มาพิจารณาจัดทาแผนพัฒนาประจาปีอีกครั้งหน่ึง ตามระเบียบของ กระทรวงมหาดไทยว่าด้วย การวางแผนพัฒนาขององค์กรบริหารส่วนท้องถ่ิน พ.ศ.2541 กาหนดให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทาแผนพัฒนาแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนของทุกปี ลักษณะแนวทางจัดทา แผนพฒั นา ดงั น้ี 1. ลักษณะของแผนพัฒนาประจาปีของ อบต. จะต้องให้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ ข้อบังคับงบประมาณรายจ่ายประจาปี ตามลาดับความสาคัญของปัญหา เพื่อสะดวกในการขอ งบประมาณสนบั สนุนจากหน่วยงานอ่ืนได้ทนั ท่วงที 2. วัตถปุ ระสงคข์ องการจัดทาแผนพัฒนาประจาปี 2.1 เพื่อแปลงแผนพัฒนา 5 ปี นาไปปฏิบัติได้ในแต่ละปี โดยการดาเนินงานตาม เป้าหมายลกั ษณะกจิ การ งบประมาณ 2.2 เพ่ือใช้เป็นแนวทางของการจัดทาแผนพัฒนา ตามข้อบังคับงบประมาณรายจ่าย ประจาปเี พิ่มเติมอย่างมีประสทิ ธภิ าพ 3. ข้ันตอนและวิธกี ารจัดทาแผนพฒั นาประจาปี 3.1 ข้ันเตรียมการ จะต้องแต่งต้ังคณะกรรมการจัดทาแผนพัฒนาเชิญคณะกรรมการ ประชมุ เพอื่ กาหนดแนวทางจดั ทาแผน 3.2 ขั้นการวิเคราะห์ปัญหาและทบทวนการดาเนินงาน โดยการวิเคราะห์ปัญหาใด เปน็ เรื่องเร่งด่วนควรทาก่อน ทบทวนงานทีด่ าเนินการไปแลว้ ประสบผลสาเร็จหรอื ไม่ 3.3 ข้ันการกาหนดนโยบายว่า ควรจะให้ความสาคัญปัญหาด้านใดมากท่ีสุดในการ จัดทาแผนพฒั นา 3.4 ขั้นกาหนดโครงการ คัดเลือกแผนพัฒนาระยะ 5 ปี และพิจารณาโครงการใหม่ อันเปน็ ปัญหาเร่งด่วนให้สอดคลอ้ งกบั นโยบายรัฐ และหน่วยงานตา่ งๆ 3.5 ข้ันตอนการกาหนดรายละเอียดโครงการ/กิจกรรม ลักษณะขนาดของกิจกรรม ได้แก่ ก่อสร้างถนน (คสล.) ขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 1,000 เมตร หนาเฉล่ีย 0.15 เมตร เป็นต้น พื้นที่ ดาเนินการที่ใด งบประมาณท่ใี ช้เปน็ เงินเท่าใด จานวนเป้าหมายในการดาเนินการ 3.6 ข้ันประกาศร่างแผนพัฒนาประจาปี ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ (1) ข้อมูล พื้นฐานสภาพท่ัวไปของ อบต. (2) สภาพปัญหาของ อบต. ท้ัง 9 ด้าน (3) นโยบายประจาปี และ (4) บัญชี แผนงาน/โครงการ 3.7 ขั้นจัดทาประชาพิจารณ์ร่างแผนพัฒนาประจาปี โดยการมีส่วนร่วมของ ประชาชนเสนอข้อคดิ เห็น คณะกรรมการชแ้ี จง นาไปส่กู ารปรับปรงุ แผนพัฒนาประจาปี 3.9 ข้นั นาร่างแผนพฒั นาประจาปี เสนอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการสภาองค์กร บริหารส่วนตาบลเพื่อพิจารณาความเห็นชอบ ประธานกรรมการบริหารอนุมัตคิ วามเห็นชอบ 3.9 ข้ันประกาศใช้แผนพัฒนาประจาปี โดยประธานกรรมการบริหารจัดทาประกาศ ของ อบต. สง่ รายงานแผนพฒั นาประจาปีใหน้ ายอาเภอทราบ และปดิ ประกาศใหป้ ระชาชนได้ทราบโดยท่วั

- 183 - 3.10 ข้ันนาแผนพัฒนาประจาปีไปสู่การปฏิบัติ เช่น จัดทาข้อบังคับงบประมาณ รายจ่ายประจาปี และเสนอของบสนับสนุนจากหน่วยงานอ่ืนที่เก่ียวข้อง เช่น อบจ. กรมโยธาธิการ รพช. เป็น ต้น (กรมการปกครอง 2544 : 61-69) การจัดทาแผนพัฒนาประจาปีน้ัน จะต้องนาแผนพัฒนาระยะ 5 ปี มาพิจารณาก่อน และจะต้องดู โครงการพัฒนาใหม่หรือนโยบายของรัฐบาลกลางมาพิจารณาด้วย เพ่ือให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาระดับชาติ เพราะการพัฒนาส่วนท้องถ่ินของ อบต. กับการพัฒนา ระดับชาติจะต้องไปในทิศทางเดียวกันจึงจะทาให้การ พัฒนาประสบผลสาเร็จ ในอดีตการจัดทาแผนพัฒนาส่วนท้องถ่ินระดับตาบล เป็นหน้าที่กรมการพัฒนาชุมชน คอยเป็นพ่ี เลี้ยงให้กับสภาตาบลหรือ อบต. กรมการปกครองดูแลระดับอาเภอ และกระทรวงมหาดไทยดูแลระดับจังหวัด แตป่ จั จุบนั อยูท่ ่ีกรมสง่ เสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ดูแลการ จัดทาแผนส่วนท้องถิ่น คอยเป็นพ่ีเลี้ยงจัด เจ้าหน้าที่ช่วยอบรมให้กับ อบต. ในการจัดทาแผนพัฒนาส่วนท้องถ่ินให้กับองค์กรบริหารส่วนตาบลและส่วน ทอ้ งถ่ินอ่นื ๆ 4.6 ประโยชน์ของการจดั ทาแผนพฒั นาของ อบต. กรมการปกครอง ได้กล่าวถงึ ประโยชนข์ องการจัดทาแผนพัฒนาของ อบต. ไว้ดังน้ี 1. ทาให้ อบต. มีทศิ ทางในการพัฒนาส่วนทอ้ งถิน่ ทช่ี ดั เจน 2. ทาให้ อบต. มแี ผนงาน โครงการพฒั นาตามความตอ้ งการของประชาชน 3. ทาให้ อบต. สามารถใช้แผนพัฒนาเป็นแนวทางในการจัดทาแผนพัฒนา ตาม ขอ้ บงั คับ และงบประมาณรายจา่ ย ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ 4. ทาใหก้ ารพฒั นาในพืน้ ทีข่ อง อบต. ไมซ่ ้าซอ้ นกับหนว่ ยงานอนื่ 5. ทาให้ประชาชนได้ทราบล่วงหน้าว่า อบต. จะดาเนินงานอะไร เพ่ือใช้เป็นข้อมูลใน การติดตามตรวจสอบการดาเนนิ งานของ อบต. มีความถูกตอ้ งและโปรง่ ใส จะเห็นได้ว่าถ้า อบต. ใดจัดทาแผนพัฒนาไว้ไม่ได้มาตรฐาน การพัฒนาส่วนท้องถิ่นนั้นก็จะไม่ บรรจุเป้าหมายได้” การมองบทบาทของ อบต. จากนักวิชาการ ต่อไปน้ีเป็นบทความของนักวิชาการมหาวิทยาลัยขอนแก่นในลงบทความในหนังสือพิมพ์ มตชิ นรายวัน, วันท่ี 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ซงึ่ ผ้เู รยี บเรียงเหน็ วา่ มีประโยชน์ จึงนาเสนอมีรายละเอียดดังน้ี “ในการปกครองท้องถิ่นนับว่า อบต.เป็นหน่วยงานหรืองค์กรท่ีใกล้ชิดประชาชนเป็นองค์กรปกครองท้องถ่ิน (อปท.) ทม่ี มี ากทสี่ ดุ ในเน้ือหาของบทสรปุ นี้ จะเน้นไปเรอื่ งของ อบต.เปน็ หลกั ผลข้างเคียงของยาท่ีชื่อ \"กระจายอานาจสู่ท้องถิ่น\" ปัจจุบัน หมู่บ้านหรือชุมชนอีสาน84 มีการ ปรับตัวไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุ ตลอดจนระบบสาธารณูปโภค ที่เรานิยม เรียกกันวา่ \"โครงสร้างพน้ื ฐาน\"องค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ หรือ อปท. ท่ไี ด้รับงบประมาณพัฒนาท้องถ่ินเข้ามา โดยตรง อนั ส่งผลใหห้ น่วยราชการทรี่ บั ผิดชอบด้านการพัฒนาชนบท ที่เคยทรงอานาจในการจัดสรรงบฯพัฒนา ด้านการก่อสร้างต่างๆ แก่ชุมชนต้องยุติบทบาท หรือปรับตัวให้เป็นหน่วยสนับสนุน แทนเป็น \"หัวหมู่ทะลวง ฟัน\" ท่ีมักฟัน (เปอร์เซ็นต์) การก่อสร้างกันเป็นล่าเป็นสัน การโอนอานาจการตัดสินใจและงบประมาณการ พัฒนามาให้ท้องถ่ิน แม้จะเป็นการ \"กระจายอานาจแก่ชุมชนท้องถิ่น\" อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นการให้ ท้องถนิ่ มโี อกาสพัฒนาภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนมากกว่าการสั่งการจากส่วนกลางอาจกล่าว ได้ว่าคุณูปการของรูปแบบการปกครองแบบ Bottom up ที่เราเรียกร้องกันมาโดยตลอด ทาให้อานาจการ 84 ธนะจกั ร เยน็ บารงุ สถาบนั วิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น,มตชิ นรายวนั , วันที่ 16 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2550, ปีที่ 30 ฉบับท่ี 10942,หนา้ 6.

- 184 - ตัดสินใจการพัฒนาได้กลับมาอยู่ที่ประชาชน และมี อปท.หลายแห่งท่ีพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการจน สามารถสร้างความเจรญิ กา้ วหน้าและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนท้องถิ่นให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อีก ด้านหนึ่ง ในช่วงเกือบทศวรรษของการกระจายอานาจสู่ท้องถ่ินท่ีผ่านมา มีปรากฏการณ์หลายอย่างที่แสดงให้ เห็นถึง \"ข้อบกพร่องและความไม่พร้อมของท้องถิ่น\" ในการรองรับภารกิจที่หลากหลายดังกล่าว ช่วงรอยต่อ ระหว่างการปรับตัวและการพัฒนาศักยภาพผู้นาในการบริหารจัดการของท้องถ่ิน รวมท้ังการสร้างระบบ ตรวจสอบของภาคประชาชนต่อ \"ตัวแทนท้องถ่ิน\" นั้น กลับมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ (Side Effect) ที่ เกิดข้ึนจากการกระจายอานาจท้องถ่ินให้เราเห็นเป็นระยะๆ อย่างต่อเน่ือง คงไม่ต้องทบทวนถึงเหตุการณ์การ ทะเลาะเบาะแว้ง ชกต่อยกันในที่ประชุมสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินทุกระดับ ต้ังแต่เทศบาล อบจ. อบต. บางองค์กรดุถึงขนาดลากปืนเข้าไปจ่อหัวยิงกันสมองกระจายกลางท่ีประชุม ยังกะหนังไทยสมัยก่อน! สาเหตุส่วนใหญ่ไม่มาจากการหักหน้า แย่งอานาจ ก็มักจะมาจาก \"การจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัว\" และ แน่นอน ผลประโยชนท์ ่ีว่าก็มักจะไม่ใชผ่ ลประโยชน์สว่ นตัวเสียด้วย ส่วนจะเป็นผลประโยชน์ส่วนไหน? นั้น...ไม่ ตอ้ งบอกคงพอเดาได้กินอยู่... ปัญหาทเ่ี กิดขึ้นดังกล่าว ทุกฝ่ายมักพุ่งเป้าไปที่ \"ผู้นาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน\" ที่ส่วนหน่ึงกลายมาเป็นคนผูกขาดอานาจต่อจากข้าราชการหรือหน่วยงานภาครัฐ แทนท่ีจะเป็นตัวแทนของ ชุมชนท้องถิ่น หรือชาวบ้านอย่างแท้จริง เหมือนที่เจตนารมณ์ของกระบวนการกระจายอานาจมุ่งมาตร ปรารถนา จึงพบว่า อบต. (บางแห่ง...ฟังอีกคร้ัง...บางแห่ง!) ที่ควรจะเป็นองค์กรของชุมชนท้องถิ่น เพื่อคนใน ทอ้ งถนิ่ กลายเป็นหน่วยงานท่ีตั้งตนเป็นตัวแทนอานาจรัฐ สร้างกฎระเบียบ และ \"ความขลัง\" จนชาวบ้านเกรง ขามไปทั่ว กลายเป็น \"เจ้านายคนใหม่\" ท่ีเข้ามาสวมหัวโขนแทนเจ้านายจากส่วนกลางท่ีเพิ่งถอนร่นเข้าไปตั้ง หลักกนั อยแู่ ถวท่วี า่ การอาเภอต่อสงั คมภายนอก...ขณะทีผ่ ู้นาดังกล่าว (บางคน) ได้ดารงสถานภาพ \"ท่านนายก\" ทีส่ ว่ นราชการ หรือ \"คนนอก\" เกรงใจมากขึน้ ไปไหนมาไหนมแี ต่ \"ท่านนายก\" กันท้ังเมืองระยะหลังผู้เขียนออก จะเกร็งมากๆ เมื่อไปร่วม หรือต้องจัดประชุมที่ต้องเรียนเชิญผู้นาองค์กรปกครองท้องถ่ินจานวนมากๆ มาร่วม เวทีบรรยากาศที่มีการทักทาย ยกมือไหว้เสียงเรียก \"ท่านนายกไปไหน?\" \"ท่านนายกสบายดีหรือเปล่า?\" \"ท่าน นายกแผนพัฒนาปีหน้าเสร็จหรือยัง?\" และท่านนายกๆๆๆๆๆ ทาเอาผู้เขียนที่ไม่ได้เป็นนายก (และคงไม่ สามารถเป็นนายกที่ไหนได้ในชาตินี้) รู้สึกตัวลีบตัวเล็กลงถนัดใจ...และต้องพลอยเปลี่ยนคานาหน้าเรียก พ่อ ใหญ่ดา พ่อชาลี พ่อประสาน แม่มาลี พี่บุญนา (นามสมมุติ) เป็น ท่านนายกดา ท่านนายกชาลี ท่านนายกบุญ นา ฯลฯ ตามคนอื่นเขาและถ้าตาไม่ฝาดหรือรู้สึกไปเอง ---พ่อ แม่ พี่ เหล่านั้นดูเหมือนจะพึงพอใจคาเรียก สถานภาพใหม่ไม่นอ้ ย แตส่ าหรับผูเ้ ขียนกลบั รสู้ กึ สะทอ้ นใจวา่ ความสนิทสนมนับถือกันแบบญาติผู้ใหญ่กับผู้นา เหล่านั้น ท่ีมีความผูกพันและรู้จักกันมานับสิบปี กาลังถูก \"คานาหน้านามช่ือ\" แบบท่ีว่าแบ่งแยกขีดข้ันไปเสีย แล้วนับประสาอะไรกับชาวบ้านด้วยกัน....น่ีคืออีกตัวอย่างของผลข้างเคียงท่ีไม่พึงประสงค์ของการกระจาย อานาจ ห รื อ เ ป็ น ค ว า ม รู้ สึ ก แ ป ล ก แ ย ก ข อ ง ปั จ เ จ ก ช น ค น เ ดี ย ว ก็ พิ จ า ร ณ า เ อ า แ ล้ ว กั น . . . . ตัวอย่างสุดท้าย...เป็นเรื่องจริงท่ีฟังมาจากการพูดคุยกับนายก อบต.ท่านหน่ึงที่ต่อต้านการใช้งบประมาณ ท้องถ่ินในการพัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา งบประมาณส่วนใหญ่ของ อบต.ที่ท่านดูแลอยู่จึง มุ่งเน้นไปท่ีแผนงานพัฒนาอาชีพและส่ิงแวดล้อมชุมชน ท่ีเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่ในตาบล ขณะที่ ทา่ นนายกเทศบาลตาบลทม่ี อี าณาเขตติดต่อกับ อบต.แห่งนี้ ไม่ได้เห็นเช่นนั้นท่านอนุมัติใช้งบฯก่อสร้างถนนใน เขตชุมชนของทา่ นอย่างเมามัน...ทุกชุมชน ทุกแยก และเกือบทุกบ้าน ท่านจะตัดถนนเข้าถึงหมด เขตของท่าน จึงเป็นเขตที่ \"ไฟสว่าง น้าไหล ไฟดี ถนนมีทุกหย่อมหญ้า\"แต่ว่ากันว่า คนในชุมชนท่านไม่ค่อยได้ใช้ส่ิงอานวย ความสะดวกที่ท่านบรรจงสร้างสรรค์สักเท่าไหร่...เพราะส่วนใหญ่ต่างอพยพไปหางานทานอกชุมชนหมด! วันดี คืนร้าย ท่านนายก อบต. กับ ท่านนายกเทศบาลตาบล ที่มีอาณาเขตติดกันโคจรมานั่งรถคันเดียวกัน เพ่ือ ตระเวนดูผลงานพัฒนาในพ้ืนที่...เม่ือถึงทางแยกแห่งหน่ึง นายก อบต.พูดขึ้นด้วยความแปลกใจว่า ถนนเส้นนี้ (ซ่งึ อยใู่ นเขต อบต.) เม่ือเดือนที่แล้วยังเป็นถนนลูกรังอยู่ วันน้ีไหงกลายเป็นถนนลาดยางใหม่เอ่ียมไปได้ ท้ังท่ีก็ จาได้ว่า งบฯ อบต.ปีน้ี ไม่ได้อนุมัติเร่ืองก่อสร้างหรือปรับปรุงพื้นถนนเลยสักโครงการ... ท่านนายกเทศบาล

- 185 - ตาบลทาท่านึกได้ แล้วหันมาสะกิดนายก อบต.เบาๆ พูดไปย้ิมไปอย่างขวยเขินว่า \"ขอโทษทีท่านนายก (อบต.) ถนนเส้นนค้ี งเกดิ จากความผดิ พลาดของลกู น้องผมเอง...มันคงนึกว่าถนนเส้นน้ีอยู่ในเขตเทศบาล เลยสร้างถนน ลา้ เขตเขา้ มา...เพราะเขตเทศบาลของผมมนั ไมม่ ีถนนใหส้ รา้ งแล้ว...ขอโทษนะครับ...\" ปญั หาและอปุ สรรคในการบรหิ ารงานของ อบต. ผู้เขียนบทความนี้ได้อ้างถึง ชูชัย ศุภวงศ์ (2542 : 19-20) ได้ศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคในการ บรหิ ารงานของ อบต. พบปญั หาการดาเนินงานของ อบต. ดงั นี้ 1. ปัญหาเกิดจากเง่ือนไขในการจัดต้ัง อบต. โดยอาศัยเงื่อนไขรายได้เพียงอย่างเดียว ก่อให้เกิดปัญหาคือ พื้นที่ อบต. ส่วนมีสภาพเป็นป่ามากกว่าชุมชน จานวนหมู่บ้านมากเกินไปหรือน้อยเกินไป จงึ ทาให้เกิดปัญหาโครงสร้างการทางานของ อบต. ส่งผลต่อรายจ่ายและรายได้ที่กฎหมายกาหนดไว้เฉลี่ย 3 ปี ไม่น้อยกว่า 150,000 บาท (ไม่รวมเงินอุดหนุน) ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายประจาปี ถ้ามีเพียง 5 หมู่บ้าน รายจ่าย ประมาณ 500,000 บาทต่อปี ก็ไม่เพยี งพอต่อคา่ ใชจ้ ่ายทเี่ ป็นเงนิ เดือนค่าจ้างพนักงาน ลูกจ้าง และค่าตอบแทน สมาชกิ อบต. 2. ปัญหาอานาจหน้าที่ของ อบต. ตามกฎหมายกาหนดสภาตาบลและองค์กรบริหารส่วน ตาบล กาหนดอานาจหน้าท่ีไว้ไม่ชัดเจน ปัญหาจากการดาเนินงานกิจการของ อบต. มุ่งจัดสรร งบประมาณ ไปทางด้านสาธารณะทางกายภาพและโครงสร้างพื้นฐาน อบต. ไม่ให้ความสาคัญด้านคุณภาพชีวิตของ ประชาชน หรือส่ิงแวดล้อม สาธารณสุข และการศึกษา อบต. ไม่สามารถดาเนินกิจการบางเรื่องได้เพราะ กฎหมายยงั ไมไ่ ดป้ รบั ปรุง และไมค่ อ่ ยสนใจการประสานงานการดาเนนิ กิจการกับ หน่วยงานอื่นๆ ตามอานาจ หนา้ ทีข่ องตนเอง มกั จะผลักดนั ภาระใหห้ น่วยงานภาครฐั เพราะ อบต. ไมเ่ ข้าใจบทบาท อานาจหนา้ ที่ตนเอง 3. ปัญหาการคลัง รายได้ของ อบต. ส่วนใหญ่ทั่วประเทศยังไม่เพียงพอต่อการหาเงินเล้ียง ตนเอง อบต. มีขีดความสามารถในการจัดเก็บรายได้ต่า การจัดเก็บรายได้ยังต้องพ่ึงส่วนราชการอื่นๆ และยัง ตอ้ งพึง่ เงินอดุ หนนุ จากรฐั เปน็ หลกั 4. ปญั หาอานาจและอิทธิพล ซึ่งระบบบริหารราชการตั้งแต่สมัยเป็นสภาตาบลของหน่วยงาน ราชการครอบงาการดาเนินงานด้านการคลังของ อบต. คณะกรรมการและสมาชิกบางคนมีอานาจและอิทธิพล อยเู่ หนอื การใช้ดุลยพินิจของสภา อบต. จงึ ทาให้เกิดปญั หาขัดแย้งกันข้นึ 5. ปญั หาการขาดทักษะการบริหาร สมาชกิ และประธานสภา อบต. ยังไม่เข้าใจบทบาทหน้าท่ี ตนเองในเร่ือง กฎระเบียบข้อบังคับการประชุมสภา อบต. การควบคุมการประชุม การบันทึกรายการประชุม บางแห่งมีการแกไ้ ขบันทึกการประชุมอย่างไม่ถูกต้อง มีการแบ่งแยกบทบาทของสภา อบต. และคณะกรรมการ บริหาร อบต. ออกจากกัน คณะกรรมการบริหารดาเนินกิจการแบบใช้อานาจนิยมเห็นแก่พวกพ้อง ไม่ยึด กฎระเบียบข้อบังคับในการบริหารงานในเรื่อง การเงิน การคลัง การบัญชี การจัดซื้อ-จัดจ้าง ตลอดทั้ง กฎระเบียบปฏบิ ัตทิ ่มี ีมากและซบั ซ้อน ทาให้สมาชิกและคณะกรรมการบริหาร อบต. หรือพนักงาน-ปลัด อบต. ไมส่ ามารถเข้าใจกฎระเบยี บต่างๆ ไดท้ าใหก้ ารปฏิบัติงานเกิดความผิดพลาด และเป็นเหตใุ หท้ าผิดกฎหมายด้วย 6. ปัญหาการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยทั่วไปประชาชนยังไม่เข้าใจโครงสร้าง อานาจ หน้าที่ของ อบต. ในฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และยังขาดการมีส่วนร่วมในการควบคุมการทางาน ตรวจสอบ ติดตามการทางานของ อบต. จึงทาให้ อบต. ท่ีเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินใหม่ มีอานาจและ อิทธิพลเหนือวิถีชีวิตของประชาชน และประชาชนมีความคาดหวังกับ อบต. สูงเกินไป พยายามเรียกร้องให้ อบต. ดาเนินกิจการด้านต่างๆ เช่นเดียวกับหน่วยงาน ราชการอ่ืนๆ โดยไม่คานึงรายได้ของ อบต. ที่มีอยู่ อย่างจากดั เมืองพทั ยา เมอื งพัทยา เป็นการปกครองท้องถิ่นของไทยรูปแบบหน่ึง ที่ได้เคยทดลองใช้การจัดการปกครอง แบบผู้จัดการเมือง (City Manager) เพียงแห่งเดียวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 จนถึงปัจจุบัน (2542) เหมือนกับ

- 186 - เมืองในหลายเมืองของสหรัฐอเมริกา โดยจัดให้ผู้บริหารมาจากการว่าจ้าง ซ่ึงผู้บริหารต้องเป็นนักบริหารมือ อาชพี ปลอดจากความเป็นนกั การเมือง เมืองพัทยาในปัจจุบันตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริการราชการเมืองพัทยา พ.ศ.2552 โครงสร้างเมือง พัทยาคลา้ ยรปู แบบเทศบาล โดยใหม้ กี ารเลอื กต้ังนายกเมืองพทั ยาโดยตรง การบริหารเมืองพทั ยาในอดตี (2521 - 2542) ตามโครงสรา้ ง พ.ร.บ.ระเบยี บบริหารราชการเมอื งพัทยา พ.ศ.2521 โครงสร้างการบรหิ ารเมืองพทั ยาตาม พ.ร.บ.ระเบยี บบรหิ ารราชการเมอื งพทั ยา ประกอบดว้ ย 1. สภาเมืองพทั ยา 2. ปลดั เมอื งพัทยา สภาเมอื งพัทยา เปน็ ฝา่ ยนิติบัญญัติ ประกอบด้วยสมาชกิ 2 ประเภท สมาชกิ ประเภททห่ี น่ึง เป็นสมาชิกท่ีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากราษฎร จานวน 9 คน ซึ่งจะ อยใู่ นวาระคราว 4 ปี สมาชกิ ประเภททีส่ อง เป็นสมาชิกท่ีมาจากการแต่งต้ัง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มี จานวน 9 คน และเป็นการแต่งต้ังจากบุคคลสาขาอาชีพต่าง ๆ จานวน 4 คน และแต่งต้ังจากผู้แทนส่วน ราชการ หรือรัฐวิสาหกิจทเี่ ก่ียวขอ้ งกับเมืองพทั ยา จานวน 4 คน สมาชิกสภาเมืองประเภทที่สองนี้ก็จะอยู่ใน วาระคราวละ 4 ปเี ชน่ กัน สมาชิกสภาเมืองพทั ยา ซง่ึ เปน็ ฝา่ ยนิตบิ ญั ญตั ิของเมอื งพทั ยา กฎหมายกาหนดให้มีอานาจหน้าที่ ความรับผดิ ชอบดงั น้ีคือ 1. วางนโยบายและอนมุ ตั ิแผนเพือ่ เป็นแนวทางในการบรหิ ารกจิ การเมืองพัทยา 2. พิจารณาและอนมุ ตั ริ ่างขอ้ บัญญตั เิ มืองพัทยา 3. แต่งต้ังสมาชิกสภาเป็นกรรมการสามัญและแต่งตั้งบุคคลซึ่งเป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาเมือง พัทยาเป็นคณะกรรมการวิสามัญ เพื่อทากิจการหรือเพ่ือการพิจารณาสอบสวน หรือศึกษาเร่ืองๆ อันอยู่ใน อานาจและหนา้ ทข่ี องสภาเมืองพัทยา หรือปลดั เมอื งพทั ยาแลว้ กรณี 4. ควบคุมการปฏิบัติราชการของปลัดเมืองพัทยาให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบัญญัติ ข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนนโยบายของทางราชการ สภาเมืองพัทยาจะมีการเลือกตั้งประธานสภาข้ึน 1 คน ในบรรดาสมาชิกสภาเมืองพัทยาเพื่อทา หน้าที่เป็นประธานของท่ีประชุม หากแต่กฎหมายได้กาหนดเรียกช่ือตาแหน่งเป็นนายกเมืองพัทยา วาระการ ดารงตาแหน่งของนายกเมืองพัทยานี้อยู่ในตาแหน่งคราวละ 2 ปี แต่อาจได้รับการเลือกตั้งใหม่ในคราวต่อไปได้ ซ่ึงตาม พ.ร.บ.ระเบียบบรหิ ารราชการเมอื งพัทยา พ.ศ.2521 ได้กาหนดให้นายกเมอื งพทั ยา มหี นา้ ที่ดงั นี้ 1. เป็นประธานสภาเมืองพทั ยา 2. เป็นผู้แทนและผูน้ าของเมอื งพัทยาในพธิ ีการตา่ ง ๆ 3. เป็นผูเ้ สนอรายชือ่ ผ้สู มควรเป็นปลดั เมอื งพัทยาใหส้ ภาเมืองพัทยาพิจารณา จากอานาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเช่นน้ี จึงเห็นได้ว่า นายกเมืองพัทยาจึงมิใช่ผู้มีหน้าที่ใน การบรหิ าร หากแตเ่ ป็นประธานสภาหรอื เปน็ ประธานในพธิ ตี า่ ง ๆ ของเมอื งพัทยาเท่านัน้ สาหรับผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารงานของเมืองพัทยา ซ่ึงเมืองพัทยานี้จะตรงกับรูปแบบ การปกครองเทศบาลของสหรัฐอเมริกาท่ีเรียกว่า ผู้จัดการ ปลัดเมืองพัทยาไม่ใช่ข้าราชการประจา แต่เข้ามา ดารงตาแหน่งด้วยการวา่ จา้ งของสภาเมืองพทั ยา กล่าวคือเป็นฝ่ายบริหาร โดยมี นายกเมืองพัทยา เป็นผู้เสนอ ช่ือแต่งต้ัง ส่วนรองปลัดเมอื งพทั ยากฎหมายกาหนดให้ไดไ้ มเ่ กิน 2 คน และอยู่ในอานาจดุลยพินิจของปลัดเมือง พัทยา เป็นผู้พิจารณาการดารงตาแหนง่

- 187 - ในการบริหารราชการเมืองพัทยา ปลัดเมืองพัทยามีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้าง เมืองพัทยา ทั้งน้ีปลัดเมอื งพทั ยามภี าระหน้าทีร่ ับผดิ ชอบทสี่ าคัญ คอื 1. ร่างแผนในการปฏบิ ัตงิ านเพือ่ เสนอตอ่ สภาเมืองพัทยา 2. บรหิ ารกิจการตามนโยบายและแผนของสภาเมืองพัทยา 3. ร่างขอ้ บัญญตั งิ บประมาณและข้อบัญญตั ิอน่ื ๆ เพือ่ เสนอตอ่ สภาเมอื งพทั ยา 4. ปฏิบตั ิตามกฎหมาย กฎ ระเบยี บ และขอ้ บงั คบั ของกระทรวงมหาดไทยและข้อบัญญัติ 5. รวบรวมปัญหาในการบริหารราชการเมืองพัทยา พร้อมด้วยข้อเสนอแนะเพื่อเสนอสภาเมือง พทั ยา 6. รายงานผลการปฏบิ ัตงิ านประจาปีของเมอื งพทั ยาต่อสภาเมืองพทั ยา 7. ปฏิบตั ิงานอนื่ เพือ่ ใหเ้ ป็นไปตามวตั ถุประสงค์ ตามหน้าที่ที่กาหนดไว้น้ี จะเห็นได้ว่าเจตนารมณ์ของกฎหมาย ประสงค์ที่จะให้ปลัดเมืองพัทยามี อสิ ระและมคี วามรับผดิ ชอบ มีความอิสระ ปลอดจากเมือง ไดค้ นดีมีความรเู้ ข้ามาทางานเพ่ือเป็นหลักประกันให้ เมอื งพทั ยาบรหิ ารไดด้ ว้ ยดีมีประสิทธิภาพ การบรหิ ารเมอื งพัทยาในปัจจบุ นั (พ.ศ.2543 จนถงึ ปัจจบุ ัน) เมืองพทั ยา ตาม พ.ร.บ.ระเบยี บบริหารราชการเมอื งพัทยา ปี 2542 ได้กาหนดรูปแบบแตกต่าง ไปจากเดิม ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ.2521 มาเป็นการให้มีการเลือกตั้งนายกเมือง พทั ยาโดยตรงจากประชาชน โครงสร้างการบริหารเมืองพัทยา จงึ ประกอบดว้ ย 1. สภาเมอื งพทั ยา 2. นายกเมอื งพัทยา 2.1. สภาเมืองพัทยา ประกอบด้วยสมาชิก จานวน 24 คน อยู่ในวาระคราวละ 4 ปี ซึ่ง เลือกตั้งโดยราษฎรผู้มีสิทธิเลือกต้ังในเมืองพัทยา และสภาเมืองพัทยา ให้มีประธานสภาเมืองพัทยา 1 คน รอง ประธานสภาเมืองพัทยา 2 คน แล้วเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง และให้มีหน้าท่ีดาเนินการประชุมและ ดาเนินการกิจการอน่ื ๆ ใหเ้ ป็นไปตามขอ้ บงั คบั เมอื งพัทยา 2.2 นายกเมืองพัทยา ให้มาจากการเลือกต้ังโดยตรงจากประชาชนในเมืองพัทยา ดารง ตาแหนง่ คราวละ 4 ปี และนายกเมอื งพัทยาสามารถแตง่ ต้งั รองนายกเมอื งพัทยา จานวนไม่เกนิ 4 คน นายกเมอื งพัทยา มอี านาจหนา้ ที่ ดังน้ี 1) กาหนดนโยบายและรับผิดชอบในการบริหารราชการของเมืองพัทยาให้เป็นไปตาม กฎหมาย ข้อบญั ญตั ิ และนโยบาย 2) ส่ัง อนุญาต และอนุมตั ิเกี่ยวกับราชการเมืองพัทยา 3) แต่งต้ังและถอดถอนรองนายกเมืองพัทยา เลขานุการเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการเมือง พทั ยา ประธานทป่ี รกึ ษา ท่ีปรึกษาหรือคณะที่ปรึกษา 4) วางระเบยี บเพ่ือให้งานของเมอื งพัทยาเปน็ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย 5) ปฏิบัติหน้าที่อ่ืนตามท่ีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือผู้ว่าราชการจังหวัด มอบหมาย หรือตามที่กฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าท่ีของนายกเมืองพัทยา หรือนายกเทศมนตรี หรือ คณะเทศมนตรี สาหรบั ปลัดเมืองพทั ยา เป็นข้าราชการประจา (พนักงานเมืองพัทยา) ให้ทาหน้าที่เป็นหัวหน้า สานกั ปลดั เมืองพัทยาและลกู จา้ งเมอื งพัทยา รองจากนายกเมืองพัทยา และทาหน้าท่เี ป็นเลขานกุ ารสภา อานาจหนา้ ที่ของเมืองพัทยา 1. อานาจหน้าท่ีตาม พ.ร.บ.ระเบียบริหารราชการเมอื งพัทยา ปี 2542

- 188 - 2. อานาจหน้าท่ตี าม พ.ร.บ.กาหนดแผนและขน้ั ตอนการกระจายอานาจฯ พ.ศ.2542 3. อานาจหนา้ ทอี่ น่ื ๆ ตามท่ีมกี ฎหมายบญั ญัตไิ ว้ แผนภาพโครงสร้างเมืองพทั ยา ท่ีมา : เอกวทิ ย์ มณีธร.อา้ งแลว้ .หน้า 179 กรุงเทพมหานคร โครงสร้างกรุงเทพมหานครปัจจุบันเป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2529 ซึ่งประกอบดว้ ย 1. สภากรงุ เทพมหานคร 2. ผู้วา่ ราชการกรงุ เทพมหานคร 3. เขตและสภาเขต 1. สภากรุงเทพมหานคร กรุงเทมหานค มีสภากรุงเทพมหานครท่ีมีสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) มาจากการ เลือกตัง้ จากประชาชนโดยตรง และสภากรุงเทพมหานคร จะมีประธานสภา กทม. 1 คน รองประธานสภา กทม. อีกไม่เกนิ 2 คน ซึง่ สภา กทม.เลือกจากสมาชกิ สภา โดยใหด้ ารงตาแหนง่ วาระละ 2 ปี อานาจหนา้ ทขี่ องสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) มีดงั นี้ สภากรงุ เทพมหานครเปน็ องคก์ รทปี่ ระชมุ ของกรุงเทพมหานครเก่ียวกับกิจการในอานาจหน้าท่ี ของกรงุ เทพมหานคร ซ่ึงกฎหมายกาหนดใหไ้ ด้รบั ความเหน็ ชอบจากกรงุ เทพมหานคร ซง่ึ ไดแ้ ก่ (1) การตราขอ้ บัญญัติกรุงเทพมหานคร (2) ควบคุมการบริหารงานของกรงุ เทพมหานคร โดย 2.1) การตง้ั กระทู้ถามผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวกับงานในหน้าท่ี ของกรุงเทพมหานคร 2.2) สมาชิกกรุงเทพมหานคร จานวนไม่น้อยกว่า 2 ใน 5 ของจานวนสมาชิกทั้งหมด สามารถเข้าช่ือกันเพื่อเสนอญัตติขออภิปรายทั่วไป เพื่อให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแถลงข้อเท็จจริง หรือ แสดงความเห็นในปัญหาอนั เกยี่ วกับการบรหิ ารราชการของกรุงเทพมหานคร (3) ตราขอ้ บงั คับเกีย่ วกับจรรยาบรรณของสมาชกิ สภากรงุ เทพมหานคร

- 189 - (4) ตราข้อบังคับการประชุมเกี่ยวกับการเลือกต้ังและการปฏิบัติหน้าท่ีของประธานสภา กรุงเทพมหานคร การต้ังคณะกรรมการสามัญและกรรมการวิสามัญของสภากรุงเทพมหานคร วิธีการประชุม การเสนอและการพจิ ารณาขอ้ ญตั ติ ฯลฯ และกิจการอืน่ อันเปน็ อานาจหนา้ ทีข่ องกรงุ เทพมหานคร 2. ผู้ว่าราชการกรงุ เทพมหานคร มาจากการเลอื กตงั้ โดยตรง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีอานาจหน้าท่ีทั่วไปตามพระราชบัญญัติไว้ในมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.ระเบยี บบริหารราชการกรงุ เทพมหานคร พ.ศ.2529 ดังนี้ 2.1 เรง่ กาหนดนโยบาย และบรหิ ารราชการเขตกรงุ เทพมหานครให้เป็นไปตามกฎหมาย 2.2 สง่ั อนุญาต อนุมตั ิเก่ยี วกับราชการของกรุงเทพมหานคร 2.3 แตง่ ต้ังและถอดถอนรองผู้วา่ ราชการกรงุ เทพมหานคร ซึ่งตามมาตรา 55 ได้กาหนดให้มี รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่เกิน 4 คน นอกจากรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแล้ว ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานครยังมีอานาจแตง่ ตงั้ และถอดถอนเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่า ราชการกรงุ เทพมหานคร และแต่งต้งั ถอดถอนผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษา หรือคณะท่ีปรึกษา ของผูว้ า่ ราชการกรงุ เทพมหานคร หรอื เป็นคณะกรรมการเพอื่ ปฏิบตั ริ าชการใด ๆ ไดอ้ ีกดว้ ย 2.4 บริหารราชการตามท่ีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยมอบหมาย 2.5 วางระเบียบเพ่อื ปรบั ปรงุ งานของกรุงเทพมหานคร ใหเ้ ปน็ ไปด้วยความเรยี บรอ้ ย 2.6 รักษาการให้เปน็ ไปตามข้อบญั ญตั ิของกรุงเทพมหานคร 2.7 อานาจหน้าที่อ่ืนตามท่ีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ กรงุ เทพมหานคร พ.ศ.2529 และกฎหมายอ่ืน ๆ 2.8 เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้างกรุงเทพมหานคร และรับผิดชอบในการปฏิบัติ ราชการของกรงุ เทพมหานคร และมอี านาจหน้าทีต่ ามทก่ี ฎหมายอนื่ ได้กาหนดใหเ้ ปน็ อานาจ ส่วนเจ้าหน้าท่ีฝ่ายประจาของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ปลัดกรุงเทพมหานคร รองปลัด กรุงเทพมหานคร และขา้ ราชกรรสามัญ รวมท้ังลกู จา้ งกรงุ เทพมหานคร 3. เขตและสภาเขต กรุงเทพมหานครแบ่งการปกครองออกเป็นเขต ซึ่งในปัจจุบันมี 50 เขต มีฐานะคล้ายกับการ ปกครองระดับอาเภอ ซ่งึ แตล่ ะเขตจะจดั องคก์ รใน 2 ส่วน ประกอบด้วย สานกั งานเขต และสภาเขต 3.1 สานกั งานเขต สานักงานเขตเป็นองค์กรบริหารของเขตมีผู้อานวยการเขตเป็นผู้บังคับบัญชาราชการและ ลูกจ้างกรุงเทพมหานคร รับผิดชอบการปฏิบัติราชการภายในเขต และจะให้มีผู้ช่วยผู้อานวยการเขตคนหน่ึง หรอื หลายคน สาหรับช่วยส่งั หรือปฏิบัติราชการแทนผู้อานวยการเขตก็ได้ ผอู้ านวยการเขตมีอานาจหน้าที่ ดังนี้ (1) อานาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นอานาจหน้าท่ีของนายอาเภอในแต่ละ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2529 จะบญั ญัติไว้เปน็ อย่างอืน่ (2) อานาจหน้าท่ตี ามท่กี ฎหมายกาหนดให้เป็นหน้าทข่ี องผู้อานวยการเขต (3) อานาจหนา้ ทซ่ี งึ่ ผวู้ า่ ราชการกรงุ เทพมหานคร หรอื ปลดั กรงุ เทพมหานครมอบหมาย 3.2 สภาเขต ในเขตหน่ึง ๆ มีสภาเขตเป็นองค์กรที่ปรึกษาของเขต ประกอบด้วยสมาชิกสภาเขตซ่ึงมา จากการเลือกตั้งมีจานวนอย่างน้อยเขตละ 7 คน อายุสภาเขตมีกาหนดคราวละ 4 ปี เร่ิมตั้งแต่วันเลือกต้ังสภา เขตหน่ึง ๆ มีประธานสภาเขตคนหนึ่ง และรองประธานสภาเขตคนหน่ึง ซึ่งสภาเขตเป็นผู้เลือกจากสมาชิกสภา เขต ดารงตาแหนง่ คราวละ 4 ปี

- 190 - อานาจหน้าทข่ี องกรุงเทพมหานคร 1. อานาจหนา้ ทต่ี าม พ.ร.บ.ระเบียบบรหิ ารราชการกรุงเทพามหานคร พ.ศ.2529 2. อานาจหนา้ ทต่ี าม พ.ร.บ.กาหนดแผนและข้ันตอนการกระจายอานาจฯ พ.ศ.2542 3. อานาจหนา้ ท่ีอน่ื ๆ ตามท่กี ฎหมายบญั ญัตไิ ว้ 4. สหการ กิจการใดท่ีอยู่ในอานาจหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานครอาจดาเนินการ นัน้ ร่วมกบั ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวสิ าหกิจ หรือราชการบริหารส่วนท้องถิ่นอ่ืนได้ โดยต้ังเป็นองค์กร เรียกวา่ “สหการ” มีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีคณะกรรมการบริหารประกอบด้วยผู้แทนของกรุงเทพมหานคร ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และราชการบริหารส่วนท้องถิ่นท่ีเกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี การจัดต้ัง สหการจะกระทาได้โดยพระราชกฤษฎกี า ซึง่ ตอ้ งกาหนดชอื่ อานาจหน้าท่ี และวิธีการดาเนินกิจการของสหการ ไว้ เม่อื จะยุบเลกิ สหการก็ตอ้ งตราเปน็ พระราชกฤษฎีกา และต้องระถงึ วิธีการจัดการทรพั ย์สนิ ไว้ดว้ ย ตามกฎหมายจัดตง้ั กาหนดใหเ้ ปน็ อานาจของรฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รายชือ่ ผู้วา่ ราชการกรงุ เทพมหานคร 1.นายชานาญ ยุวบรู ณ์ (1 มกราคม 2516- 22 ตลุ าคม 2516) -แต่งตงั้ 2.นายอรรถ วิสตู รโยธาภบิ าล (1 พฤศจกิ ายน 2516-4 มิถุนายน 2517)- แต่งตั้ง 3.นายศิริ สันตะบตุ ร (5 มถิ ุนายน 2517 - 13 มนี าคม 2519) – แตง่ ตัง้ 4.นายสาย หตุ ะเจรญิ (29 พฤษภาคม 2519-9 สิงหาคม 2519) – แตง่ ตั้ง 5.นายธรรมนูญ เทยี นเงนิ (10 สงิ หาคม 2519-29 เมษายน 2520) – เลอื กต้งั ** 6.นายชลอ ธรรมศิริ (29 เมษายน 2520-14 พฤษภาคม 2522) – แต่งต้ัง 7.นายเชาวน์วัศ สุดลาภา (24 กรกฎาคม 2522-16 เมษายน 2524) – แต่งตงั้ 9.พลเรอื เอกเทยี ม มกรานนท์ (29 เมษายน 2524-1 พฤศจกิ ายน 2527) – แตง่ ต้งั 9.นายอาษา เมฆสวรรค์ (6 พฤศจิกายน 2527-13 พฤศจกิ ายน 2529) – แต่งตัง้ 10.พลตรีจาลอง ศรเี มือง (14 พฤศจกิ ายน 2529-14 พฤศจกิ ายน2532) – เลอื กต้งั 11.พลตรจี าลอง ศรเี มอื ง (7 มกราคม 2533 - 22 มกราคม 2535) – เลอื กตง้ั 12.ร.อ.กฤษฎา อรณุ วงศ์ ณ อยธุ ยา (19 เมษายน 2535 - 19 เมษายน 2539) – เลือกตั้ง 13.นายพิจิตต รตั ตกลุ (3 มถิ ุนายน 2539 - 22 กรกฎาคม 2543) เลอื กตง้ั 14.นายสมคั ร สนุ ทรเวช (23 กรกฎาคม 2543 -22 ก.ค. 2547) – เลือกตัง้ 15.นายอภริ กั ษ์ โกษะโยธิน (23 กรกฎาคม 2547- 29 สิงหาคม 2551) (สมัยที่ 2 ลาออก) 16. ม.ร.ว.สขุ ุมพนั ธ์ บริพตั ร ปจั จุบัน (สมยั ที่ 2) การคลงั ของ อปท. (เวน้ กทม.) 1. รายไดจ้ ากภาษีอาการ ได้แก่ ก) ภาษที ี่ อปท.จัดเกบ็ เอง ได้แก่ ภาษีโรงเรอื น ภาษีบารงุ ท้องท่ี ภาษปี า้ ย อาการฆา่ สตั ว์ ข) ภาษีเสริม คอื รายได้ที่ อปท.ไดร้ ับจากรฐั บาลจดั เก็บภาษเี พม่ิ ขน้ึ สาหรบั ภาษบี างประเภท นอกเหนือจากการจดั เกบ็ ภาษีเขา้ เปน็ รายไดแ้ ผ่นดนิ อยแู่ ล้ว ภาษีเสรมิ ประกอบดว้ ย 1) ภาษมี ูลค่าเพิ่ม และภาษธี รุ กจิ เฉพาะ (ภาษธี รุ กิจเฉพาะ ได้แก่ การขยายท่ีดินอสังหาริมทรัพย์ ทเ่ี ป็นการคา้ กาไร) กาหนดใหเ้ สยี ภาษรี อ้ ยละ 3 และรฐั บาลเก็บเพิ่มบนฐานภาษอี ีกร้อยละ10 2) ภาษีสรรพสามติ ตอ้ งเสยี ให้ อทป.รอ้ ยละ 10 ของภาษสี รรพสามิต ได้ นา้ มนั และผลิตภัณฑ์ นา้ มนั เครื่องดมื่ เคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ เคร่ืองแกว้ รถยนต์ เรือ เครอื่ งสาอาง และสถานบริการ โดยรัฐบาลจะหกั คา่ ใชจ้ ่ายในการจดั เกบ็ ร้อยละ 3 กอ่ นนาส่งเปน็ รายไดใ้ ห้ทอ้ งถนิ่

- 191 - 3) ภาษีสรุ ายาสบู กรมสรรพสามิตจะจดั เก็บภาษีขนึ้ อีกร้อยละ 10 ของฐานภาษีสรุ าเดมิ เมื่อหกั คา่ ใช้จา่ ยในการจดั เกบ็ จะนาสง่ ให้ อปท.เปน็ รายได้ 4) ภาษีการพนนั สานักงานตารวจแหง่ ชาติ จัดเก็บเพิ่มขน้ึ อีก 2.5 จากคา่ ใบอนุญาตจากปกติ ภาษีแบ่ง ได้แก่ ภาษคี า่ ธรรมเนยี มรถยนต,์ ล้อเลือ่ น ซ่ึงกรมขนส่งทางบกจดั เกบ็ ในจงั หวดั ใดใหเ้ ป็น รายได้รายของ อปท.ในจังหวดั นนั้ 2. รายไดอ้ ่ืน 2.1 รายไดจ้ ากทรัพย์สินของทอ้ งถิ่น เช่น ค่าเชา่ ทดี่ ิน ห้องแถว และตลาด ดอกเบ้ียพนั ธบัตรและ เงนิ ฝาก 2.2 รายได้จากสาธารณปู โภคและเทศพาณชิ ย์ เช่น ประปา โรงรับจานา เป็นตน้ 2.3 รายไดเ้ บด็ เตลด็ จากคา่ ธรรมเนียม ค่าปรับ และใบอนญุ าตต่าง ๆ 3. เงนิ อุดหนนุ มี 2 ลกั ษณะ คือ 3.1 เงนิ อดุ หนุนทัว่ ไป อปท.สามารถใชจ้ า่ ยได้ตามความจาเปน็ ตามความต้องการ 3.2 เงนิ อุดหนนุ เฉพาะกิจ อปท.ใชจ้ า่ ยไดต้ ามรายการที่ได้รบั ความเหน็ ชอบจากสว่ นกลางก่อน การคลงั ของ กทม. ฐานะการคลงั ของ กทม. รายไดป้ ระจา กทม. จัดเก็บเอง จากภาษีอากร คา่ ธรรมเนียม และเงินรายได้ เชน่ ภาษโี รงเรือน ภาษบี ารุงท้องที่ ภาษีป้าย หน่วยงานอ่ืนจดั เก็บให้ เชน่ ภาษีมลู คา่ เพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีคา่ ธรรมเนียมรถยนต์ ภาษีนา้ มนั เก็บจากการค้าปลีกท่ีขายใน กทม.,ภาษยี าสบู ,คา่ ธรรมเนียมจากเก็บจากผเู้ ข้าพักในโรงแรม,ค่าธรรมเนียม สนามบิน ฯลฯ รายได้พิเศษ 1. เงินกจู้ ากกระทรวง ทบวง กรม หรอื นติ บิ ุคคลตา่ ง ๆ และเงินกจู้ ากต่างประเทศ องคก์ ร ตา่ งประเทศ องคก์ รระหว่างประเทศ 2. เงินสะสมจา่ ยขาด คอื เงนิ สะสมทไ่ี ดร้ บั อนมุ ัตจิ ากผวู้ า่ ราชการ กทม.ใหจ้ ่ายขาดได้ โดย ไดร้ บั ความเห็นชอบจากสภา กทม. 3. รายไดพ้ เิ ศษของการพาณิชยข์ อง กทม. เงินและทรัพย์สินช่วยราชการ หมายถึง เงินหรือทรัพย์ท่ีบุคคล บริษัท ห้างร้าน สถาบันได้บริจาค ช่วยเหลือแกส่ ว่ นราชการตามวตั ถปุ ระสงคต์ า่ ง ๆ ซ่ึงเปน็ การแบ่งเบาภาระของ กทม. เงนิ ชว่ ยเหลือจากตา่ งประเทศ ทีใ่ ห้ กทม.แบ่งได้ 7 ลักษณะ ไดแ้ ก่ แบบใหเ้ ปลา่ ในรูปของ ทนุ การศึกษา ฝึกอบรม และดูงาม แบบให้เปลา่ ในรปู ของผเู้ ชี่ยวชาญและอาสาสมัคร แบบใหเ้ ปล่าในรูปของ โครงการตามแผนพฒั นา กทม. แบบให้เปล่าในรปู ของโครงการใหม่ซึ่งสอดคลอ้ งกับแผนพฒั นา กทม. ความ ชว่ ยเหลือโดย กทม.ตอ้ งออกเงนิ สมทบบางสว่ น ความในรปู ของเงนิ กดู้ อกเบ้ียต่าและคืนต้นระยะยาว ความ ชว่ ยเหลือในดา้ นการแลกเปลย่ี นเทคนิควชิ าการและข้อมลู ระหว่างกนั แผนภาพโครงสรา้ งกรุงเทพมหานคร

- 192 - ที่มา : เอกวิทย์ มณีธร.อา้ งแลว้ : 178 ------------------------- เอกสารอ้างอิง กระมล ทองธรรมชาต.ิ ,ศ.ดร.การปกครองและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ไทย วัฒนาพานชิ .2521. กอบเก้ือ สุวรรณทตั -เพยี ร.บนั ทกึ การสมั มนาจอมพล ป.พิบลู สงครามกับการเมืองใหม.่ กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.(พิมพ์ครัง้ ท่ี 2).2544 โกวิทย์ พวงงาม,ผศ.ดร.มิติใหม่การปกครองท้องถ่ิน: วิสัยทัศน์กระจายอานาจและการบริหาร ท้องถน่ิ .กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์เสมาธรรมาตรา 2549. รศ.ดร.การปกครองทอ้ งถิ่นไทย: หลักการและมตใิ หมใ่ นอนาคต.กรุงเทพฯ: บริษัท สานกั พิมพ์วิญญูชนจากัด.(พมิ พ์ครง้ั ท่ี 6),2550. โกวิทย์ วงศส์ รุ วฒั น์. รฐั ศาสตร์และการเมอื ง . กรุงเทพฯ : สานกั พิมพต์ ะเกียง.2534 พน้ื ฐานรฐั ศาสตร์กบั การเมอื งในศตวรรษท่ี 21 . นครปฐม : ศนู ยส์ ่งเสรมิ และ ฝกึ อบรมการเกษตรแห่งชาต.ิ 2543. จิรโชค (บรรพต)วีระสัย,รศ.ดร. และคณะ.รัฐศาสตร์ท่ัวไป.กรงุ เทพฯ: รามคาแหง.2540. ชยั อนนั ต์ สมุทวนชิ ..การเมอื ง . กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พบ์ รรณกิจ.2520. . ความคดิ ทางการเมืองและสงั คมไทย กรงุ เทพฯ :สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.2523. .ข้อมลู พ้ืนฐานก่งี ศตวรรษแหง่ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง. กรงุ เทพฯ :. สมาคมสังคมศาสตรแ์ ห่งประเทศไทย.2523. ชัยอนนั ต์ สมุทรวณิช และ ขันติยา กรรณสูตร.เอกสารการเมืองการปกครองไทย พ.ศ.2417 -2477. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .2518. เชาวนว์ ัศน์ เสนพงศ.์ การเมอื งส่วนท้องถน่ิ ในประเทศไทย.กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์รามคาแหง.2546. ชุมพล เลิศรฐั การ, บรรณาธิการ . รวมวิชาการรัฐศาสตร์ 2544 – 2545 . กรงุ เทพฯ : สมาคม รฐั ศาสตร์แหง่ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ในพระบรมราชินปู ถัมภ์.2544.

- 193 - เตช บุนนาค,การปกครองระบบเทศาภิบาลของประเทศสยาม พ.ศ.2435-2458.กรุงเทพฯ : โรงพมิ พม์ หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.(พิมพค์ รง้ั ที่ 2),2548. ธเนศวร์ เจริญเมือง.การปกครองท้องถิ่นกับการบริหารท้องถ่ิน: อีกมิติหน่ึงของอารยธรรมโลก. กรุงเทพฯ: โครงการจดั พิมพ์คบไฟ.2550. 100 ปี การปกครองท้องถ่ินไทย พ.ศ.2440-2540.กรงุ เทพฯ: โครงการจดั พมิ พค์ บไฟ (พมิ พ์ ครัง้ ท่ี 6),2550. ทฤษฎแี ละแนวคิด: การปกครองท้องถน่ิ กับการบรหิ ารท้องถ่ิน.กรุงเทพฯ : โครงการ สานกั พมิ พค์ บไฟ.2551. นเรศ นโรปกรณ.์ 100 ปี พระยาพหลฯ.กรุงเทพฯ : สานักพมิ พโ์ อเดียน.2531. ไพบลู ย์ ชา่ งเรียน,ดร.การปครองมหานคร.กรุงเทพ ฯ : สานกั พิมพไ์ ทยวฒั นาพานชิ .2516. ปธาน สวุ รรณมงคล,ดร.การเมอื งทอ้ งถนิ่ : การเมืองของใคร โดยใคร เพอ่ื ใคร.กรุงเทพฯ : หจก. พมิ พ์อักษร.2552. ปรีดี พนมยงค.์ แนวความคดิ ประชาธปิ ไตยของปรีดพี นมยงค์.สานักพิมพ์สุขภาพใจ บรษิ ัท ตถาตา พับลเิ คช่นั จากดั .(พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2),2552. ประหยดั หงสท์ องคา.การเมืองและการปกครอง : การปกครองท้องถิ่นของไทย : ศกึ ษาเฉพาะรปู เทศบาล.พระนคร: โรงพิมพ์ของสมาคมสังคมศาสตรแ์ ห่งประเทศไทย.2513. ทกั ษ์ เฉลิมเตยี รณ. การเมอื งระบบพ่อขนุ อุปถัมภ์แบบเผด็จการ. พมิ พ์ครง้ั ที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2548 ดนัย ไชยโยธา.การเมืองการปกครองของไทย.กรงุ เทพฯ.โอเด่ียนสโตร์.2548.หนา้ 19. นรนิติ เศรษฐบตุ ร.”การเมอื งการปกครองไทย พ.ศ.2490-2500.เอกสารการสอนประวัติศาสตร์ สังคมและการเมืองไทย.นนทบรุ ี.สโุ ขทยั ธรรมาธิราช.2547. รฐั ธรรมนญู กับการเมืองไทย.กรุงเทพฯ:สานักพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.2553. .คาบรรยายเรือ่ ง “รฐั ธรรมนูญกบั การเมอื ง”.หลักสตู ร ปรด.สาขาวชิ าการเมือง รนุ่ ที่ 5 มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.2555.(อดั สาเนา) รุ่งพงษ์ ชยั นาม.การเมืองการปกครองไทยภายใตร้ ะบอบพ่ออุปถมั ภ์แบบเผดจ็ การ.เอกสารการสอน ประวตั ิศาสตรส์ ังคมและการเมืองไทย.สาขาวชิ ารัฐศาสตร์.นนทบรุ ี:สุโขทัยธรรมาธริ าช. ปรบั ปรุงคร้ังท่ี 1.2552 รุง่ โรจน์ วรรณศูทร.สฤษด์ิกับมาตรา 17: เป้าหมายคอื ปราบปรามประชาชน http://arinwan.info/index.php?topic=1725.0;wap2 ลิขิต ธรี ะเวคิน.วิวัฒนาการการเมอื งการปกครอง.(พมิ พ์คร้งั ที่ 5).กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ 2540 . การเมอื งการปกครองของไทย.กรงุ เพทฯ:มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์ (พมิ พค์ รัง้ ที่ 7).2549. สมบรู ณ์ วรพงษ.์ ยดึ รฐั บาล.พิมพค์ รง้ั ที่ 2.กรุงเทพฯ: สายธาร.2549 สฤษดิ์ ธนะรัชต์.ประมวลสนุ ทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.ศ.2502–2504.คากลา่ ว เปดิ การประชุมในการอบรมกานนั 4 จงั หวดั ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ 7 สิงหาคม 2504,” สานกั นายกรัฐมนตร.ี หนงั สือประวตั ิและผลงานของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต.์ คณะรฐั มนตรีพิมพ์ใน งานพระราชทานเพลิงศพจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชน.์ ณ เมรหุ น้าพลับพลาอสิ รยิ าภรณ์วัดเทพศริ นิ - ทราวาส.17 มีนาคม พ.ศ.2507 สุดาศิริ วศวงศ์. การทางานของคนต่างด้าว. พิมพ์คร้ังที่ 3.กรุงเทพมหานคร : นิติธรรม. 2539. สุพจน์ ดา่ นตระกูล.ขอ้ เท็จจรงิ เก่ยี วกับกรณีสวรรคต.(พิมพ์ครั้งที่ 2).กรงุ เทพฯ:สุขภาพใจ.2544.

- 194 - สภุ าพ สารพี ิมพ,์ .กฎหมายเกี่ยวกับบรหิ ารราชการแผ่นดนิ .กรุงเทพฯ:มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.2547. สรุ พล สยุ ะพรหม.การเมืองกบั การปกครองของไทย.กรุงทพฯ:มหาจุฬาบรรณาคาร.(พิมพ์ครง้ั ท่ี 2).2552. สุธาชัย ยม้ิ ประเสริฐ.สายธารประวตั ศิ าสตรป์ ระชาธิปไตย.กรงุ เทพฯ:พ.ี เพรส.2551. สวุ ฒั น์ วรดลิ ก.คาบอกเลา่ ของทองใบ ทองเปาด์.จดหมายจากลาดยาว ( กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์ ประกาย, 2521), สุมาลี พนั ธุ์ยุรา.ปฎวิ ตั ิ.สถาบนั พระปกเกล้า.http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/. หยดุ แสงอุทัย.“อานาจและความรบั ผดิ ชอบในระบอบประชาธิปไตย” สืบคน้ จาก http://th.wikipedia.org/wiki อรนิ (นามปากกา)หนังสือพิมพ์โลกวนั น้ีฉบบั วนั ที่ 24 - 30 ตุลาคม 2552 คอลมั น์ :พายเรือในอ่าง อษั ฎางค์ ปณิกบุตร.” ระบบการเลอื กต้งั ”มติชนวนั จนั ทร์ ที่ 7 ตลุ าคม 2539 อุษา ใบหยก,รศ.ดร.การปกครองส่วนภูมิภาค.กรงุ เทพฯ:มหาวิทยาลยั รามคาแหง.2549. เอกวิทย์ มณีธร,ผศ.ว่าท่รี อ้ ยตรี.ระบบราชการ รัฐวสิ าหกิจ และองค์การมหาชนของไทย. กรุงเทพฯ : หจก.เอ็มาตราท.ี เพรส.2551. หมายเหตุ เอกสารประกอบการบรรยายเพ่ือใช้ประกอบการเรียนการสอนของนักศึกษาหลักสูตรรัฐศาสตร บัณฑิต ฯ โครงการความร่วมมือ ฯ วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา มี วัตถปุ ระสงค์เพอ่ื ใช้เปน็ แนวทางในการสบื ค้นข้อมลู ของนักศึกษาและให้สอดคล้องกับคาอธิบายรายวิชา จะทา ให้นักศกึ ษามแี หลง่ ข้อมูลทก่ี วา้ งขวางมากข้นึ ยงั มิอาจถอื ว่าเปน็ ตาราหลกั ของหลกั สตู ร เนื้อหาสาระสาคัญของเอกสารส่วนหน่ึงเป็นของผู้ทรงคุณวุฒิได้เรียบเรียงไว้อย่างเป็นระบบแล้ว ผู้เรียบเรียงได้นามาเป็นส่วนหน่ึงของเอกสาร จึงขอขอบพระคุณไว้ในท่ีน้ีด้วย ส่วนท่ีนอกเหนือจากนั้นเป็น ความคิดเห็นของผู้บรรยาย ซึ่งในเอกสารนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่บางประการ ผู้เรียบเรียงจะได้แก้ไขปรับปรุงให้ สมบรู ณ์มากยงิ่ ข้ึน ---------------------


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook