ประเภทของคาํ ประพนั ธ์ไทย
โคลง 4 สุภาพ • โคลงส่ีสภุ าพ เปน คําประพันธป ระเภท รอ ยกลอง ชนดิ หนง่ึ ซง่ึ มปี รากฏ ใน วรรณคดไี ทย มานานแลว วรรณคดไี ทยฉบบั ทเี่ กา และมี ชือ่ เสยี งมาก ฉบับ หนึ่งคอื “ลิลิตพระลอ\" มีโคลงส่ีสภุ าพ บทหน่งึ ถกู ยกมาเปนบทตนแบบท่ีแตง ไดถ กู ตองตาม ลกั ษณะบังคับของโคลงส่ี สุภาพ คอื นอกจากจะมบี งั คบั สัมผสั ตามทต่ี าง ๆ แลว ยงั บงั คบั ใหม วี รรณยุกตคาํ เอกคาํ โทในบางตําแหนงการประพันธโคลงสี่ สภุ าพ • ลกั ษณะโคลงสสี่ ุภาพ คณะของโคลงส่สี ุภาพ คือ บทหน่ึง มี 4 บาท (เขยี น เปน 4 บรรทดั ) 1 บาทแบง ออกเปน 2 วรรค โดยวรรคแรก กาํ หนดจาํ นวนคาํ ไว 5 คํา สว น วรรคหลงั ในบาทที่ 1,2 และ 3 จะมี 2 คํา (ในบาทที่ 1 และ 3 อาจเพิ่ม สรอยได อีกแหงละ 2 คาํ ) สว นบาทท่ี 4 วรรคที่ 2 จะมี 4 คํา รวมทัง้ บท มี 30 คํา และเมื่อรวมสรอยทงั้ หมด อาจเพมิ่ เปน 34 คํา
• สว นทบี่ งั คับ เอก โท (เอก 7 โท 4) ดงั น้ี• บาทที่ 1 (บาทเอก) วรรคแรก คําท่ี 4 เอก และคาํ ที่ 5 โท• บาทที่ 2 (บาทโท) วรรคแรก คาํ ท่ี 2 เอก วรรคหลัง คาํ แรก เอก คําที่ 2 โท• บาทที่ 3 (บาทตรี) วรรคแรก คําที่ 3 เอก วรรคหลงั คาํ ที่ 2 เอก• บาทที่ 4 (บาทจตั วา) วรรคแรก คําที่ 2 เอก คําที่ 5 โท วรรคหลงั คํา แรก เอก คาํ ที่ 2 โท เสียงลือเสยี งเลาอา ง อนั ใด พี่เอยเสยี งยอมยอยศใคร ทว่ั หลาสองเขือพี่หลับใหล ลมื ตน่ื ฤๅพี่สองพ่คี ิดเองอา อยา ไดถ ามเผอื
ฉันท• ฉันท คอื ลักษณะถอ ยคาํ ท่กี วีไดรอยกรองข้ึน เพื่อใหเ กิดความไพเราะ โดยกําหนดครุ ลหุและสัมผสั เปนมาตรฐาน ฉันทเปน คาํ ประพันธท ่ไี ด แบบอยา งมาจากอนิ เดีย เดมิ แตง เปน ภาษาบาลี และสนั สกฤตไทยนํา เปล่ียนแปลงลักษณะบางอยา งเพ่ือใหสอดคลองกับความนิยมในคาํ ประพันธไ ทย โขดเขินศริ ขรเขา ณ ลําเนาพนาลยัสงู ลวิ่ ละลานนั- ยนพนประมาณหมายยอดมวั สลัวเมฆ รจุ ิเรขเรียงรายเลอื่ มเลือ่ มศลิ าลาย กส็ ลับระยบั สี
คาํ ประพันธประเภท \"กาพย\" กาพย เปน คาํ ประพันธช นดิ หน่ึงทบี่ งั คบั จาํ นวนคาํ และสมั ผัสจัดวรรคตางจากกลอนและไมบงั คบั เสียงวรรณยุกตทา ยวรรค ไมมีบังคบัเอก-โท เหมอื น โคลง และไมม บี ังคับ ครแุ ละลหุเหมอื นฉนั ทกาพยเปนคําประพนั ธทปี่ รากฏมาตัง้ แตในสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา มีทัง้ ทีแ่ ตงเปนหนงั สอื อานเลน แตง เปน หนงั สอื สวด หรอื เปนนทิ าน กระท่ังเปนตาํ ราสอนก็มี กาพยมีดว ยกันหลายชนดิ แตละชนิดมีลักษณะเฉพาะแตกตา งกนั ในทน่ี ข้ี ออธิบายรปู แบบ ฉันทลกั ษณใ นการแตงคําประพนั ธป ระเภทกาพย ๓ ชนิดดวยกนั ดังน้ี
กาพยย านี ๑๑ สิบเอ็ดบอกความนัย หนึง่ บาทไซรของพยางควรรคหนาอยาเลอื นราง จํานวนหาพาจดจําหกพยางคใ นวรรคหลัง ตามแบบตัง้ เจา ลองทําสมั ผัสตามชี้นาํ โยงเสน หมายใหเ จา ดูสดุ ทายของวรรคหน่งึ สัมผสั ตรึงสามนะหนูหกหา โยงเปน คู เรงเรียนรสู รา งผลงาน
กาพยฉบัง ๑๖ ฉบังสิบหกความหมาย หน่ึงบทเรียงรายนับไดส ิบหกพยางค เพื่อเปน แนวทาง สัมผัสรัดตรึง สมั ผสั ชัดเจนขออา ง รอ ยรัดจดั ทาํใหห นไู ดค ดิ คาํ นงึ จงจํานําไป พยางคสุดทา ยวรรคหนงึ่สดุ ทา ยวรรคสองตองจํา สดุ ทายวรรคสามงามขําสัมผสั รดั บทตอ ไป บทหนึง่ กับสองวอ งไวเรยี งถอ ยรอยกาพยฉบงั
กาพยสุรางคนางค ๒๘สรุ างคนางค เจ็ดวรรคจดั วาง วรรคหน่ึงส่คี าํสัมผสั ชัดเจน เปน บทลํานาํ กําหนดจดจาํ รูร่าํ รเู รียน รูทกุ ขร ยู าก รคู ิดรูอา น รปู ระสบการณ รงู านอานเขียน รพู ากรเู พยี ร ประดจุ ดวงเทยี น ประดบั ปญ ญาฯ
คาํ ประพันธป ระเภท \"กลอน\" กลอน คือ ลกั ษณะคําประพันธช นิดหนึ่งท่มี ีลักษณะบังคบั คณะและสมั ผสั แตไ มบงั คับ เอกโท และ ครุ-ลหุ กลอนสองวรรคเทากับหนง่ึบาท กลอนสบี่ าทเทา กบั หน่งึ บท วรรคทง้ั สี่ของกลอนยังมชี ือ่ เรยี กตา ง ๆกันอกี คือ ๑. วรรคแรก หรือ วรรคสดับ คําสุดทา ยของวรรคนยิ มใชเสยี งเตน (คอื นอกจากเสียงสามัญ) จะทําใหเ กดิ ความไพเราะ แตถ า จะใชเ สียงสามัญกไ็ มหาม ๒. วรรคสอง หรอื วรรครับ คาํ สุดทายของวรรคนิยมเสยี งจัตวา จะใชเ สยี งเอก เสียงโทบางกไ็ ด แตไมค วรใชเ สยี งสามญั หรือเสียงตรี ถา จะใชเ สยี งเอก คาํ สุดทายของวรรครองควรเปน เสยี งตรี ๓. วรรคสาม หรอื วรรครอง คาํ สดุ ทา ยของวรรคนยิ มใชเสียงสามัญ ไมควรใช คาํ ตายและคาํ ที่มรี ปู วรรณยกุ ต ๔. วรรคส่ี หรอื วรรคสง คาํ สุดทายของวรรคนยิ มใชเสียงสามัญ หา มใชคําตายและคําทีม่ รี ปู วรรณยุกต จะใชค ําตายเสยี งตรบี างก็ได ในที่นี้เราจะมาเรียนรรู ปู แบบฉนั ทลกั ษณในการแตง คําประพันธประเภทกลอน ๓ ประเภท ดว ยกัน คอื
กลอนสภุ าพ กลอนสุภาพพึงจาํ มกี าํ หนด กลอนหน่งึ บทสวี่ รรคกรองอักษรวรรคละแปดพยางคนบั ศัพทสุนทร อาจย่งิ หยอนเจด็ หรือเกา เขา หลกั การหา แหง คาํ คลองจองตองสมั ผสั สลบั จดั รับรองสงประสงคสมานเสียงสูงตํ่าตอ งเรียงเยยี่ งโบราณ เปน กลอนกานทครบครันฉนั ทน เ้ี อย
กลอนสกั วา สักวาหวานอนื่ มหี ม่ืนแสน ไมเ หมอื นแมนพจมานทห่ี วานหอม อาจจะนอมจติ โนม ดงั ดดู ดมื่ บอระเพด็ กลิ่นประเทียบเปรยี บดวงพวงพยอม ใครฟง ลมเมินหนาดว ยโลมลม แมนลอ ลามหยามหยาบไมป ลาบปลมื้ตองเข็ดขม ผูด ไี พรไมป ระกอบชอบอารมณระอาเอ
กลอนดอกสรอ ย เด็กเอยเด็กนอ ย ความรูเ จา ยังดอ ยเรงศึกษาเม่อื เติบใหญเจา จะไดม วี ชิ า เปนเครื่องหาเล้ียงชีพสําหรบั ตนไดประโยชนห ลายสถานเพราะการเรียน จงพากเพยี รไปเถดิ จะเกดิ ผลถงึ ลําบากตรากตรําก็จําทน เกดิ เปน คนควรหมั่นขยนั เอย
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: