แนวปฏบิ ัติที่ดี จากการแลกเปลย่ี นความรู้ในสานักวชิ าวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ ประจาปี พ.ศ. 2559 จดั ทำโดย คณะกรรมกำรพฒั นำสำนกั วชิ ำสอู่ งค์กรแหง่ กำรเรียนรู้ และธรรมำภบิ ำล สำนกั วชิ ำวทิ ยำศำสตร์สขุ ภำพ
คานา สำนกั วชิ ำวทิ ยำศำสตร์สุขภำพ เป็นหน่วยงำนดำ้ นวชิ ำกำรในสังกดั ของมหำวทิ ยำลยั แมฟ่ ้ ำหลวง ท่ีมีหน้ำที่ในกำรผลิตบณั ฑิตและจดั กำรด้ำนกำรเรียนกำรสอนท้งั ในระดบั ปริญญำตรีและปริญญำโท และยกระดบั คุณภำพทำงด้ำนงำนวิจยั ของคณำจำรย์ ดงั น้นั ในกำรผลิตบณั ฑิตและจดั กำรเรียนกำรสอนให้มีคุณภำพและมีควำมทันสมัยต่อสภำพกำรณ์ในปัจจุบัน กำรพัฒนำกระบวนกำรเรียนกำรสอนและกระบวนกำรวิจัยน้ันถือว่ำเป็ นภำรกิจหน่ึงของอำจำรย์ซ่ึงกำหนดโดยมหำวิทยำลัย ท้ังน้ีสำนักวิชำวทิ ยำศำสตร์สุขภำพไดด้ ำเนินตำมนโยบำยของมหำวิทยำลยั และตระหนกั ถึงควำมสำคญั ของกำรพฒั นำกำรเรียนกำรสอนและงำนวจิ ยั ของอำจำรยใ์ นสำนกั วชิ ำ คณะกรรมกำรพฒั นำสำนกั วชิ ำสู่องคก์ รแห่งกำรเรียนรู้และธรรมำภิบำล สำนักวิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพ จึงเป็ นผูข้ บั เคล่ือนจดั กิจกรรมแลกเปลี่ยนควำมรู้เพื่อรวบรวมองคค์ วำมรู้คณำจำรยใ์ นสำนกั และองคค์ วำมรู้จำกบุคลำกรผเู้ ช่ียวชำญ และนำมำสร้ำงแนวปฏิบตั ิท่ีดีเพ่ือใหค้ ณำจำรยไ์ ดน้ ำไปใชป้ รับในกระบวนกำรสอนและกำรทำวจิ ยั สำนกั วิชำวทิ ยำศำสตร์สุขภำพ เห็นเป็ นอยำ่ งยิง่ วำ่ แนวปฏิบตั ิท้งั 4 ฉบบั ประกอบดว้ ย เทคนิคกำรสร้ำงนวตั กรรมในช้ันเรียน เทคนิคกำรเตรียมควำมพร้อมให้อำจำรยร์ ับมือเด็ก Generation Z เทคนิคกำรสอนแบบ Project Based Learning และเทคนิคกำรสอนแบบ Research Based และแนวปฏิบตั ิการวิจัยในช้ันเรียนจะสำมำรถนำไปใชใ้ นกำรพฒั นำกำรเรียนกำรสอนและกำรทำวจิ ยั ใหม้ ีคุณภำพตอ่ ไป
แนวปฏิบตั ิทีด่ ี เรอื่ งเทคนคิ การเตรยี มความพรอ้ มใหอ้ าจารยร์ บั มอื เด็ก Generation Z
แนวปฏิบตั ิทีด่ ีเกยี่ วกบั เทคนคิ การเตรียมความพรอ้ มใหอ้ าจารยร์ บั มือเด็ก Generation Zประเดน็ ความรู้ :จกาการกวิจจิกัยรรในมกชา้ันรเแรลียกนเปลยี่ นเรียนรูเ้ ทคนคิ การเตรียมความพรอ้ มใหอ้ าจารยร์ บั มือคเวดา็กมสGาeคnัญeration Z คณะกรรมกำรพฒั นำสำนักวิชำสู่องค์กรแห่งกำรเรียนรู้ และธรรมำภิบำล สำนกั วิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพ มหำวิทยำลยั แม่ฟ้ ำหลวง ไดจ้ ดั กิจกรรมแลกเปลี่ยนควำมรู้ ในเร่ืองเทคนิคกำรเตรียมควำมพร้อมให้อำจำรยร์ ับมือเด็ก Generation Z โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือใหค้ ณำจำรยไ์ ดม้ ีกำรเพิ่มพนู ควำมรู้เก่ียวกบั ลกั ษณะของเด็กในยุค Generation Z รูปแบบกำรสอนที่หลำกหลำย เตรียมพร้อมสำหรับกำรจดั กำรเรียนกำรสอนให้กบั เด็กยุคใหม่ โดยมีจำนวนคณำจำรยป์ ระจำสำนกั วชิ ำวทิ ยำศำสตร์สุขภำพ เขำ้ ร่วมกิจกรรมแลกเปล่ียนควำมรู้ จำนวน 30 คน โดยได้เชิญอำจำรย์ ดร.จตุพงศ์ สิงหรำไชย รองคณบดีสำนักวิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพและทีมกำรเรียนกำรสอนของสำนกั วชิ ำฯ ซ่ึงเป็ นทีมวิทยำกรท่ีผำ่ นกำรอบรม และมีควำมรู้ในดำ้ นเทคนิคกำรสอนต่ำงๆ รวมถึงเป็ นทีมขบั เคล่ือนกำรจดั กำรกำรเรียนกำรสอนของสำนกั วิชำ มำแลกเปลี่ยนให้กบั คณำจำรย์ ซ่ึงหลงั จำกกำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ คณะกรรมกำรฯและคณำจำรยผ์ เู้ ขำ้ ร่วมอบรมไดร้ ่วมกนัสรุปประเด็นเพ่ือจดั ทำแนวปฏิบตั ิท่ีดีสำหรับกำรทดลองนำไปปฏิบตั ิในกำรจดั กำรเรียนกำรสอน หลงั จำกสรุปประเด็น คณะกรรมกำรฯจึงไดป้ ระกำศแนวปฏิบตั ิในเร่ืองเทคนิคกำรเตรียมควำมพร้อมให้อำจำรย์รับมือเดก็ Generation Z ในวนั ที่ 10 ตุลำคม พ.ศ. 2559 เมื่อไดน้ ำไปทดลองให้คณำจำรยใ์ ชพ้ บวำ่ ขอ้ มลู ยงั คงขำดหำยไปในประเด็นของเทคนิคกำรสอนแบบ Game based learning และกำรจดั กำรในห้องเรียนเมื่อเจอเด็กในพฤติกรรมต่ำงๆ ทำงคณะกรรมกำรฯดำเนินกำรสำรวจปัญหำที่พบเจอในช้นั เรียนจำกคณำจำรยใ์ นสำนักวิชำฯเพื่อรวบรวมปัญหำท่ีพบในกำรสอนเด็ก GEN Z หลงั จำกน้ันจึงได้จดั กำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพิ่มเติมในประเด็นเทคนิค Game Based Learning และกำรเตรียมรับมือเด็ก GEN Z ในทุกรูปแบบ ในวนั ที่ 1มีนำคม 2560 โดยมีอำจำรย์ ดร. พรรณนิภำ ดอกไมง้ ำม อำจำรยฤ์ ทธิชยั พิมปำ อำจำรยพ์ ลอยไพลิน นำมกรอำจำรยว์ ิวฒั น์ แก้วดวงเล็ก ซ่ึงเป็ นคณำจำรยท์ ี่เคยผ่ำนกำรอบรมในหัวขอ้ ดงั กล่ำว และเป็ นผูน้ ำเทคนิคGame Based Learning ไปใชใ้ นหอ้ งเรียน อีกท้งั เรียนเชิญคณำจำรยผ์ มู้ ีประสบกำรณ์กำรสอนและกำรทำงำนมำร่วมกันแลกเปลี่ยนควำมคิดและอภิปรำยวิธีกำรท่ีใช้ในกำรแก้ปัญหำของนักศึกษำในรูปแบบต่ำงๆ)หลงั จำกน้ันคณำจำรย์สำนักวิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพได้ร่วมกนั แลกเปล่ียนควำมรู้ ในกำรประชุมคร้ังที่5/2559 คณะกรรมกำรฯไดจ้ ดั ทำสรุปเพ่ิมเติมแนวปฏิบตั ิที่ดีเทคนิคกำรเตรียมควำมพร้อมให้อำจำรยร์ ับมือเด็ก Generation Z และให้คณำจำรย์นำไปใช้อีกคร้ัง และเก็บผลกำรประเมินกำรใช้แนวปฏิบัติ นำมำปรับปรุงจนไดเ้ ป็นแนวปฏิบตั ิท่ีดี
แนวปฏิบตั ิที่ดเี ทคนคิ การเตรียมความพรอ้ มใหอ้ าจารยร์ บั มือเดก็ Generation Z1. เรียนรูแ้ ละเขา้ ใจนกั ศึกษายคุ ใหม่ อาจารย์ผู้สอนจะต้องทาความเข้าใจและเรียนรู้ลักษณะของนักศึกษายุค Generation Z“รู้เขารู้เรา รบร้อยคร้ัง ชนะร้อยคร้ัง” เป็ นประโยคทองของซุนวู หากเราจะนาหลักการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้กับการจัดการเรียนรู้เพ่ือศิษย์และคงจะเป็นอะไรท่นี ่าสนใจมากข้ึนหากเราได้ร่วมเรียนรู้ไปกับพวกเขา ประเดน็ คือเม่ือศิษย์ของเราเป็นคน Generation Z (Gen Z, เกิดในช่วง 1996-2009) การรู้จักเข้าใจพวกเขาในมิตติ ่างๆย่อมเป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้เพ่ือให้เกดิ ผลสมั ฤทธ์ิสูงสดุ Generation Z (Gen Z) หรือท่บี างคนรู้จักกนั ว่า “digital integrators”, “Digitalnatives” หรือ “Facebook Generation” ซ่ึง จะมีลักษณะเฉพาะท่ีค่อนข้างต่างจาก Gen ก่อนหน้าน้ี อาจพบจากข้อสังเกตดังน้ี Gen Z หรือ “เทคข้ันเทพ” หรือ “tech-savvy” กลุ่มไวไฟไฮเทค หรือจะเรียกส้ันๆ ว่า \"กลุ่มไวเทค\" คน Gen น้ีสามารถใช้เทคโนโลยีท่เี ป็ น “mobile” “multifunction” หรือ “smart” ในการท่ีจะเช่ือมต่อตนเองกับโลกออนไลน์ (online) หรือ ไซเบอร์ (cyber) โดยเฉพาะผ่านทาง FacebookTweeter หรือ Youtube ได้เป็ นอย่างดี และมีความสามารถในการเรียนรู้ features ต่างๆท่ีมากับอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างว่องไวโดยไม่ต้องพ่ึงคู่มือใช้ หากพิจารณาดูแล้ว น่ันคือเวลาท่ีเด็ก Gen Z มีท้ังหมดนอกเหนือจากเวลานอนและเวลาท่อี ยู่ในโรงเรียน ด้วยเวลาท่เี ดก็ ใช้ ประกอบกบั ความรู้ซ่ึงมีอยู่มากมายในโลกออนไลน์หากมองในมุมบวกกอ็ าจคิดได้ว่า Gen Z อาจเป็น Gen ท่ีมี ทักษะในการค้นหาคาตอบของปัญหาได้ดีกว่า Gen ท่ผี ่านมา แต่คาถามท่ยี ังคงเป็นเคร่ืองหมายคาถามท่ใี หญ่ คือ ความสามารถในการกลนั่ กรองขอ้ มูลหรือ การคิดเชิงวิจารณญาณ (critical thinking) ท่ีพึงมีสาาหรับ Gen Z น่ันเป็ นส่ิงท่ีเราควรปลูกฝัง เดก็ รุ่นน้ีเป็นตัวของตวั เองมากข้นึ ก้าวร้าวกว่าเดก็ ในสมัยกอ่ น กล้าพูดกล้าขอเพราะครอบครัวสมัยใหม่สว่ นใหญ่มีลูกเพียงหน่ึงคน หรือสองคน (เฉล่ีย 1.5 คนต่อครอบครัวในปัจจุบัน) เขาจึงอยู่ในสังคมครอบครัวท่มี คี นน้อยไม่เหมือนเดก็ ในรุ่นก่อนๆ (ประมาณ 5 คนต่อครัวเรือน) การไม่มีน้องหรือพ่ี จึงไม่ต้องเรียนรู้ถงึ การต้องเสยี สละ รู้แต่ว่าพ่อแม่ต้องให้แน่นอนอยากได้อะไรกไ็ ด้เลย ไม่ต้องคอยให้พ่ีได้กอ่ นไม่ต้องใช้เส้อื ผ้าหรือของตกรุ่นต่อจากพ่ี ๆ เหมอื นสมัยกอ่ น ความเป็นตนเองจึงถูกสะสมมาต้ังแต่เดก็Older than their years: หรือท่เี รียกว่าปรากฏการณ์ KGOY (Kids Getting Older Younger) ซ่ึงหมายถึงการท่เี ดก็ ๆ มีการเติบโตทางความคิดเหมอื นเดก็ วัยรุ่น (Teenagers) ซ่ึงเหน็ ได้ว่าเดก็ ฉลาดมากข้ึนกว่าท่ีเคยเป็นมาในอดตี ในขณะท่วี ัยรุ่นเองกม็ รี ะดับไอควิ สูงข้ึนเม่อื เปรียบเทยี บกบั คนในรุ่นกอ่ นหน้า
ความตอ้ งการของเด็ก Gen Z1. ข้อมูล – ยุคน้ีเป็นโลกแห่งเทคโนโลยี ข้อมูลหาได้ไม่ยาก และเดก็ จะเคยชินกับการหาคาตอบของทุกอย่างได้ พ่อแม่กค็ วรใฝ่ หาความรู้เพ่ือตามให้ทนั ลูก ๆ ด้วย2. Feedback – เดก็ โตมาพร้อมกับการอ่านคอมเม้นทม์ ากมายในเฟสบุ๊ค เขาจะยอมรับได้กับความเหน็จากคนอ่นื และกต็ ้องการให้คนอ่นื เข้ามาสนใจและให้ความเหน็ เก่ยี วกบั เขาด้วย3. ความเข้าใจเทคโนโลยี – พ่อแม่ควรตามลูกให้ทนั เร่ืองเทคโนโลยี จะได้คุยกบั ลูกรู้เร่ือง4. ความเท่าเทียมกัน – น่ีคือส่ิงท่ีลูก ๆ ได้รับการสอนมาจากท้ังในโรงเรียนและส่ิงแวดล้อมต่าง ๆเพราะฉะน้ัน เม่อื ไหร่เขาเหน็ ว่าคุณให้คนอ่นื มากหรือน้อยกว่าเขา เดก็ จะรู้สกึ ไม่ค่อยพอใจ5. ความยุติธรรมและมีเหตุผล – คุณจะส่งั ลูกให้ทาอะไรโดยไม่มีเหตุผลเหมือนท่แี ม่คุณทาสมัยก่อนไม่ได้หรอก คาว่า “แม่บอกกท็ าส”ิ จะใช้ไม่ค่อยได้ผลกบั เดก็ ยุคน้ีแล้ว6. การรับฟัง – เหมอื นกับท่ลี ูกพร้อมจะฟังคอมเม้นทค์ นอ่นื เขากอ็ ยากให้คนอ่นื มารับฟังเขาด้วย อย่างท่ีบอกไปเดก็ มกั คิดว่าเขาคอื คนพิเศษเสมอ7. คาแนะนา – เม่อื ลูกไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ส่งิ ท่เี ราต้องทาคอื เป็นพ่อแม่ท่รี อบรู้และให้คาแนะนา เม่ือเดก็ มีความคิดสงสยั เขาจะไม่เกบ็ ไว้คนเดียว2. ประเมิน Learning style รูปแบบการเรียนรู้ของมนุษย์แบ่งตามลักษณะการรับข้อมูล พบว่ามนุษย์สามารถรับข้อมูลโดยผ่านเส้นทางการรับรู้ 3 ทางใหญ่ๆ คือ การรับรู้ทางสายตาโดยการมองเห็น (Visual percepters)การรับรู้ทางโสตประสาทโดยการได้ยิน (Auditory percepters) และ การรับรู้ทางร่างกายโดยการเคล่ือนไหวและการรู้สึก (Kinesthetic percepters) ซ่ึงสามารถนามาจัดเป็นประเภทของการเรียนรู้ได้ 3ประเภทใหญ่ ๆ ผู้เรียนรู้แต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกนั คือ 2.1 ผู้ท่เี รียนรู้ทางสายตา (Visual learner) เป็นพวกท่เี รียนรู้ได้ดีถ้าเรียนจากรูปภาพแผนภูมิ แผนผังหรือจากเน้ือหาท่ีเขียนเป็ นเร่ืองราว เวลาจะนึกถึงเหตุการณ์ใด ก็จะนึกถึงภาพเหมอื นกับเวลาท่ดี ูภาพยนตร์คือมองเหน็ เป็นภาพท่สี ามารถเคล่ือนไหวบนจอฉายหนังได้ เน่ืองจากระบบเกบ็ ความจาได้จัดเกบ็ ส่ิงท่ีเรียนรู้ไว้เป็ นภาพ ลักษณะของคาพูดท่ีคนกลุ่มน้ีชอบใช้ เช่น “ฉันเห็น”หรือ “ฉันเหน็ เป็นภาพ…..” พวก Visuallearner จะเรียนได้ดีถ้าครูบรรยายเป็นเร่ืองราว และทาข้อสอบได้ดีถ้าครูออกข้อสอบในลักษณะท่ผี ูกเป็นเร่ืองราว นักเรียนคนใดท่เี ป็นนักอ่าน เวลาอ่านเน้ือหาในตาราเรียนท่ผี ู้เขียนบรรยายในลักษณะของความรู้ กจ็ ะนาเร่ืองท่อี ่านมาผูกโยงเป็นเร่ืองราวเพ่ือทาให้ตนสามารถจดจาเน้ือหาได้ง่ายข้ึน เดก็ ๆ ท่ีเป็ น Visual learner ถ้าได้เรียนเน้ือหาท่ีครูนามาเล่าเป็นเร่ือง ๆ จะน่ังเงียบ สนใจเรียน และสามารถเขียนผูกโยงเป็ นเร่ืองราวได้ดี ผู้ท่ีเรียนได้ดีทางสายตาควรเลือกเรียนทางด้าน
สถาปัตยกรรม หรือด้านการออกแบบ และควรประกอบอาชีพมัณฑนากร วิศวกร หรือหมอผ่าตัดพวก Visual learner จะพบประมาณ 60-65 % ของประชากรท้งั หมด 2.2 ผู้ท่เี รียนรู้ทางโสตประสาท (Auditory Learner) เป็นพวกท่เี รียนรู้ได้ดีท่สี ดุ ถ้าได้ฟังหรือได้พูด จะไม่สนใจรูปภาพ ไม่สร้างภาพ และไม่ผูกเร่ืองราวในสมองเป็นภาพเหมือนพวกท่เี รียนรู้ทางสายตาแต่ชอบฟังเร่ืองราวซา้ ๆ และชอบเล่าเร่ืองให้คนอ่ืนฟัง คุณลักษณะพิเศษของคนกลุ่มน้ี ได้แก่ การมีทกั ษะในการได้ยิน/ได้ฟังท่เี หนือกว่าคนอ่ืน ดังน้ันจึงสามารถเล่าเร่ืองต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดลออ และรู้จักเลือกใช้คาพูด ผู้เรียนท่ีเป็ น Auditory learner จะจดจาความรู้ได้ดีถ้าครูพูดให้ฟัง หากครูถามให้ตอบ กจ็ ะสามารถตอบได้ทนั ที แต่ถ้าครูมอบหมายให้ไปอ่านตาราล่วงหน้าจะจาไม่ได้จนกว่าจะได้ยินครูอธบิ ายให้ฟัง เวลาท่องหนังสอื กต็ ้องอ่านออกเสียงดังๆ ครูสามารถช่วยเหลือผู้เรียนกลุ่มน้ีได้โดยใช้วิธีสอนแบบอภิปราย แต่ผู้ท่ีเรียนทางโสตประสาทกอ็ าจถูกรบกวนจากเสียงอ่ืน ๆ จนทาให้เกิดความวอกแวก เสียสมาธิในการฟังได้ง่ายเช่นกัน ในด้านการคิด มักจะคิดเป็นคาพูด และชอบพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่า……../ฉันได้ฟังมาเหมือนกบั ว่า……” พวก Auditory learner จะพบประมาณ 30-35 % ของประชากรท้ังหมด และมักพบในกลุ่มท่ีเรียนด้านดนตรี กฎหมายหรือการเมือง ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเป็นนักดนตรี พิธีกรทางวิทยุและโทรทศั น์ นักจัดรายการเพลง (disc jockey) นักจิตวิทยา นักการเมือง เป็นต้น 2.3 ผู้ท่ีเรียนรู้ทางร่างกายและความรู้สึก (Kinesthetic learner) เป็ นพวกท่ีเรียนโดยผ่านการรับรู้ทางความรู้สึก การเคล่ือนไหว และร่างกาย จึงสามารถจดจาส่ิงท่เี รียนรู้ได้ดีหากได้มีการสัมผัสและเกิดความรู้สึกท่ีดีต่อส่ิงท่ีเรียน เวลาน่ังในห้องเรียนจะน่ังแบบอยู่ไม่สุข น่ังไม่ติดท่ี ไม่สนใจบทเรียนและไม่สามารถทาใจให้จดจ่ออยู่กับบทเรียนเป็ นเวลานาน ๆ ได้ คือให้น่ังเพ่งมองกระดานตลอดเวลาแบบพวก Visual learner ไม่ได้ ครูสามารถสังเกตบุคลิกภาพของเดก็ ท่ีเป็น Kinesthetic learner ได้จากคาพูดท่วี ่า “ฉันรู้สกึ ว่า……” พวกท่เี ป็น Kinesthetic learner จะไม่ค่อยมโี อกาสเป็นพวก Visual learner จึงเป็นกลุ่มท่มี ีปัญหามากหากครูผู้สอนให้ออกไปยืนเล่าเร่ืองต่าง ๆ หน้าช้ันเรียน หรือให้รายงานความรู้ท่ตี ้องนามาจัดเรียบเรียงใหม่อย่างเป็นระบบระเบียบ เพราะไม่สามารถจะทาได้ ครูท่ียังนิยมใช้วิธีสอนแบบเก่า ๆ อย่างเช่นใช้วิธีบรรยายตลอดช่ัวโมง จะย่ิงทาให้ เดก็ เหล่าน้ีมีปัญหามากข้ึน ซ่ึงอาจเป็ นเพราะว่าความรู้สกึ ของเดก็ เหล่าน้ีได้ถูกนาไปผูกโยงกบั เหตุการณ์ท่เี กดิ ข้ึนเฉพาะส่ิงท่เี ป็นปัจจุบันเทา่ น้ัน ไม่ได้ผูกโยงกบั อดีตหรือเหตกุ ารณ์ท่ยี งั มาไม่ถึงในอนาคต ครูจึงควรช่วยเหลือพวก Kinesthetic learner ให้เรียนรู้ได้มากข้ึน โดยการให้แสดงออกหรือให้ปฏบิ ัติจริง เช่น ให้เล่นละคร แสดงบทบาทสมมติ สาธติ ทาการทดลอง หรือให้พูดประกอบการแสดงทา่ ทาง เป็นต้น พวก Kinesthetic learner จะพบในประชากรประมาณ 5-10 % เทา่ น้ัน สาขาวิชาท่ี
เหมาะกับผู้เรียนกลุ่มน้ีได้แก่ วิชาก่อสร้าง วิชาพลศึกษา และควรประกอบอาชีพท่เี ก่ียวกับงานก่อสร้างอาคาร หรืองานด้านกีฬา เช่น เป็นนักกีฬา หรือประเภทท่ตี ้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ งานท่ตี ้องมีการเต้น การรา และการเคล่ือนไหว การแบ่งประเภทการเรียนรู้ออกเป็ น 3 ประเภทดังท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น เป็ นการแบ่งโดยพิจารณาจากช่องทางในการรับรู้ข้อมูล ซ่ึงมีอยู่ 3 ช่องทาง ได้แก่ ทางตา ทางหู และทางร่างกาย แต่หากนาสภาวะของบุคคลในขณะท่ีรับรู้ข้อมูลซ่ึงมีอยู่ 3 สภาวะ มารวมเข้าด้วยกัน จัดตามความหนักเบาจะสามารถแบ่งประเภทการเรียนรู้ออกได้ถึง 6 แบบ คอื 1) ประเภท V-A-K เป็นผู้ท่เี รียนรู้ได้ดที ่สี ดุ หากได้อา่ นและได้เล่าเร่ืองต่าง ๆ ให้ผู้อ่นืฟัง เป็นเดก็ ดีท่ขี ยันเรียนหนังสอื แต่ไม่ชอบเล่นกฬี า 2) ประเภท V-K-A เป็นผู้ท่เี รียนรู้ได้ดีท่สี ดุ หากได้ลงมอื ปฏบิ ัติตามแบบอย่างท่ีปรากฏอยู่ตรงหน้า และได้ต้งั คาถามถามไปเร่ือย ๆ โดยปกตจิ ะชอบทางานเป็นกลุ่ม 3) ประเภท A-K-V เป็นผู้ท่เี รียนรู้ได้ดที ่สี ดุ หากได้สอนคนอ่นื ชอบขยายความเวลาเล่าเร่ือง แต่มักจะมีปัญหาเก่ยี วกบั การอ่านและการเขยี น 4) ประเภท A-V-K เป็นผู้ท่มี คี วามสามารถในการเจรจาตดิ ต่อส่อื สารกบั คนอ่นื พูดได้ชัดถ้อยชัดคา พูดจามีเหตุมีผล รักความจริง ชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ และวิชาท่ีต้องใช้ความคิดทุกประเภท เวลาเรียนจะพยายามพูดเพ่ือให้ตนเองเกดิ ความเข้าใจ ไม่ชอบเรียนกฬี า 5) ประเภท K-V-A เป็นผู้ท่เี รียนได้ดีท่สี ดุ หากได้ทางานท่ใี ช้ความคิดในสถานท่เี งียบสงบสามารถทางานท่ตี ้องใช้กาลังกายได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องให้ครูคอยบอก หากฟังครูพูดมาก ๆ อาจเกดิ ความสบั สนได้ 6) ประเภท K-A-V เป็นผู้ท่เี รียนได้ดีหากได้เคล่ือนไหวร่างกายไปด้วย เป็นพวกท่ีไม่ชอบอยู่น่ิง จึงถูกให้ฉายาว่าเป็นเดก็ อยู่ไม่สขุ มักมีปัญหาเก่ยี วกบั การอ่านและการเขียน ตวั อย่างเช่น เดก็ท่เี ป็น Auditory learner จะมปี ัญหาคือพูดมากท่สี ดุ และมปี ัญหาเก่ยี วกบั การเขียนมากท่สี ดุ3.รูปแบบการเรียนรูต้ ามลกั ษณะทางบุคลกิ ภาพ การค้ นหารูปแบบการเรียนร้ ูโดยใช้ แบบ สารวจท่ีนักจิตวิทยาสร้ างข้ ึนในการให้ ผู้เรียนสารวจตนเอง โดย แนวทางของ Anthony Grasha กับ Sheryl Riechmann คือ สังเกตจาก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกบั ครูผู้สอนและสงั เกตจากปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างนักเรียนกบั เพ่ือนร่วมห้อง Grasha กับ Riechmann ได้แบ่งรูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียนในช้ันเรียนตามลักษณะบุคลิกภาพของผู้เรียนออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ แบบแข่งขัน แบบร่วมมือ แบบหลบหนี แบบมีส่วนร่วม แบบพ่ึงผู้อ่นื แบบพ่ึงตนเอง รายละเอยี ดปรากฏในตารางน้ี
บุคลิกภาพ รูปแบบการเรียนรู้ กิจกรรมในช้นั เรียนทีช่ อบของผเู้ รียน1. แบบแข่งขนั 1) เรียนเน้ือหาเพ่ือสอบให้ได้ 1) ชอบเป็นผู้นากลุ่มในการอภปิ ราย(Competitive) คะแนน หรือเป็ นผู้นาโครงการ สงู กว่าคนอ่นื 2) ชอบถามในช้ันเรียน 2) แข่งขันกบั ผู้อ่นื เพ่ือหวัง 3) หวังรางวัลหรือคาชมเชยคนเดียว รางวัล ในการทากจิ กรรมกลุ่ม เช่น คะแนน ความรักจากครู 4) ชอบห้องเรียนท่มี ีลักษณะเป็น ฯลฯ teacher-centered 3) สถานการณใ์ นช้ันเรียนมี ลักษณะ ชนะหรือแพ้ และ “ฉันต้องชนะ”2. แบบร่วมมือ1) เรียนได้ดีท่สี ดุ และได้เน้ือหา 1) ชอบการบรรยายในลักษณะท่ี(Collaborative) มาก ผู้เรียนมีสว่ นอภปิ รายในกลุ่มย่อยด้วย ท่สี ดุ ถ้าได้แบ่งปันความรู้กบั เพ่ือน2) ชอบให้ผู้เรียนเป็นผู้กาหนดเน้ือหา 2) ให้ความร่วมมอื กบั ครูและ ส่วนครูเป็นผู้ทาหน้าท่ใี ห้ความรู้ เพ่ือน 3) ชอบให้เพ่ือนเป็นผู้กาหนดเกรด และชอบการร่วมมอื 4) ชอบคุยเร่ืองราวในช้ันเรียนกบั 3) ห้องเรียนเป็นแหล่ง เพ่ือน ๆ เวลาอยู่นอกห้องเรียน ปฏสิ ัมพันธ์ ทางสงั คมและการเรียนรู้เน้ือหา3. แบบหลบหน1ี ) ผู้เรียนไม่สนใจรายวิชาท่คี รูยัง 1) ชอบหลีกเล่ียงการทากจิ กรรมในช้ัน(Avoidant) ใช้การสอนแบบด้งั เดมิ เรียน 2) ไม่ให้ความร่วมมือกับครูและ2) ไม่ชอบการสอบ ชอบให้ประเมิน เพ่ือนในช้ันเรียน ตนเองหรือใช้ระบบให้ทุกคนผ่านหมด 3) ไม่สนใจเรียนหรือบางคร้ังก็ 3) ไม่ต้องการให้ครูมอบหมายงานให้ ให้ อา่ นหรือค้นคว้า ความสนใจจนเกนิ ขอบเขต 4) ไม่ชอบครูท่ตี ้ังใจหรือสนใจสอน 5) ไม่ชอบให้ครูกบั ผู้เรียนปฏสิ มั พันธ์ กนั เป็นรายบุคคล 6) ไม่ชอบครูท่เี ตรียมการบรรยายมา เป็ นอย่างดี4. แบบมสี ่วน 1) ต้องการเน้ือหาความรู้จากคร1ู ) ชอบการบรรยายแบบอภิปรายร่วม และ 2) ผู้เรียนต้องมีโอกาสอภิปรายด้วย(Participant) ชอบเรียนหนังสอื 3) ชอบการสอบท่มี ีข้อสอบท้งั แบบ
บุคลกิ ภาพ รูปแบบการเรียนรู้ กิจกรรมในช้นั เรียนทีช่ อบของผเู้ รียน 2) รับผดิ ชอบในการค้นคว้า ปรนัยและอตั นัย ความรู้ 4) ชอบให้ครูมอบหมายงานให้อ่าน นอกช้ันเรียนเพ่ือให้ได้งานท่ดี ี 5) ชอบครูท่มี คี วามสามารถในการ ท่สี ดุ วิเคราะห์และสังเคราะห์เน้ือหาได้เป็นอย่าง 3) ให้ความร่วมมอื กบั กลุ่มเม่อื ดี ได้รับ มอบหมายงาน5. แบบพงึ่ ผอู้ ืน่ 1) ไม่ค่อยกระตือรือร้นในการ 1) ชอบให้ครูเขียนโครงร่างหรือจด(Dependent) เรียน โน้ตย่อให้บนกระดานดา และจะเรียนเฉพาะท่คี รูสอน 2) ชอบให้ครูกาหนดเส้นตายในการสง่ งาน เทา่ น้ัน 3) ชอบห้องเรียนท่มี ีลักษณะเป็น 2) มองว่าครูกบั เพ่ือนเป็นแหล่ง teacher-centered ของ ความร้ ูและเป็ นผู้ให้ การช่วยเหลือ 3) มองหาคนท่มี ีอานาจส่งั การ เพ่ือ ให้คาแนะนาและแนะแนวการ เรียน6. พงึ่ ตนเอง 1) ชอบคิดเอง 1) ชอบศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง(Independent) 2) ชอบทางานคนเดียวมากกว่า และชอบสอนตนเอง แต่ 2) ชอบเรียนเน้ือหาท่มี ีลักษณะเป็น กย็ อมรับฟังความคิดเหน็ ของคน ปัญหาซ่ึงผู้เรียนมโี อกาสคิดหาคาตอบ อ่นื ได้ด้วยตนเอง ด้วย 3) ชอบโครงการท่ผี ู้เรียนเป็นคนคิด 3) จะเรียนเฉพาะเน้ือหาท่ตี นคิด ออกแบบเอง ว่า 4) ชอบห้องเรียนท่มี ีลักษณะเป็น สาคญั เทา่ น้ัน student-centered 4) เช่ือม่นั ความสามารถในการ เรียนรู้ ของตนเอง
3. เทคนคิ การสอนแบบ Active learning Active Learning1เป็ นการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ ทักษะและเช่ือมโยงองค์ความร้ ูนาไปปฏิบัติเพ่ื อแก้ ไขปั ญหาหรื อประกอบอาชีพในอนาคตหลักการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นการนาเอาวิธีการสอน เทคนิคการสอนท่ีหลากหลายมาใช้ออกแบบแผนการสอนและกิจกรรมกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในช้ันเรียน ส่งเสริมปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนและผู้เรียนกับผู้สอน Active Learning จึงถือเป็นการจัดการเรียนการสอนประเภทหน่ึงท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะสอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงในยุคปัจจุบัน อีกท้ังยังช่วยสง่ เสริม studentengagement, enhance relevance, and improve motivation ของผู้เรียน หลักสาคัญของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning คือ การส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในช้ันเรียน มีปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างผู้สอนกบั ผู้เรียน ด้วยเทคนิคหรือกิจกรรมต่างๆ ผู้สอนมีบทบาทอานวยความสะดวกและจัดสภาพแวดล้อมท่เี อ้อื ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง จนเกดิ เป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful Learning) จากการจัดกิจกรรมแลกเปล่ียนเรียนรู้ในสานักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ในหัวข้อการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning สามารสรุปประเดน็ วิธกี ารท่ใี ช้ในการจัดการเรียนการสอนได้ดังน้ี 1 การสร้างแรงจูงใจโดยให้นักศึกษาลงมือปฏบิ ัติงานกอ่ น แล้วสอนทฤษฎีเพ่ืออธบิ ายถงึ หลักการ 2 ฝึกให้มกี ารนาเสนอ และการยอมรับแนวคิดจากผู้อ่นื 3 การให้ลงมือปฏบิ ัตงิ านจริง 4 การแบ่งกลุ่มทางาน หรือการทางานเป้ นทมี 5 การสอนโดยเน้นมาตรฐานท่เี ก่ยี วข้องกบั งานในสายอาชีพ 6 การสร้างแรงจูงใจโดยการกาหนดโจทย์ท่นี ่าสนใจ 7 การทางานเป็นทมี 8 การให้นักศึกษาได้ทดลองปฏบิ ัติงานจากระบบจาลองซ่ึงเทยี บเทา่ ระบบจริง 9 การสร้างแรงจูงใจจากตวั อย่างงานท่นี ่าสนใจ 10 การใช้หลักการ PRE-PRO-POST เป็นแนวทาง ในการสอนวิธีการจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning สานักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มีการจัดการเรียนการสอนด้วย Active Learning ในบางหน่วยการเรียนรู้หรือเฉพาะบท และ จัดการเรียนการสอนด้วยActive Learning ท้ังรายวิชา ซ่ึงการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning จะนาเอาวิธีการสอนหลากหลายวิธีมาผสมผสาน โดยอาจารย์ผู้สอนจะวางแผนคัดเลือกเทคนิคการสอนท่ีเหมาะสมกับธรรมชาติรายวิชา วัตถุประสงค์การเรียนรู้ ลักษณะผู้เรียน รวมไปถึงออกแบบสัดส่วนของเทคนิคหลัก
เทคนิครองในการสอนแต่ละคร้ัง ท้งั น้ีได้จัดเป็ นกลุ่มวิธีการสอนท่ใี ช้ ออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ 1. การสอนแบบโครงงาน(Project Based Learning) 2. การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning)3. การสอนท่ีเน้ นทักษะกระบวนการคิด (Thinking Based Learning) 4. Game based learning 5.Research based learning 6. Flipped Learning 1. การสอนแบบโครงงาน(Project Based Learning) โดยการสอนแบบโครงงานสามารถจัดเป็นกิจกรรมกลุ่มหรือกิจกรรมเด่ียวกไ็ ด้ ให้พิจารณาจากความยาก – ง่าย และความเหมาะสมของโจทย์งานและคุณลักษณะท่ีต้องการพัฒนา วางแผนและกาหนดเกณฑ์อย่างกว้างๆ แล้วให้นักศึกษาวางแผนดาเนินการ ศึกษาค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเองโดยผู้สอนมีบทบาทเป็ นผู้ให้คาปรึกษา จากน้ันให้นักศึกษานาเสนอแนวคิด การออกแบบช้ินงาน พร้อมให้เหตุผลประกอบจาการค้นคว้า ให้ผู้สอนพิจารณาร่วมกับการอภิปรายในช้ันเรียน จากน้ันผู้เรียนลงมือปฏิบัติทาช้ืนงาน และส่งความคืบหน้าตามกาหนด การประเมินผลจะประเมินตามสภาพจริง โดยมีเกณฑก์ ารประเมินกาหนดไว้ล่วงหน้าและแจ้งให้ผู้เรียนทราบกอ่ นลงมือทาโครงการและมีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิร่วมประเมินผล 2. การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning) เป็นการสอนท่สี ่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดจากเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนด ด้วยการศึกษาปัญาหาท่ีสมมุติข้ึนจากความจริง แล้วผู้สอนกับผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาเสนอวิธีแก้ปัญหา หลักของการสอนแบบใช้ปัญหาเป็ นฐานคือการเลือกปัญหาท่ีสอดคล้องกับเน้ือหาการสอนและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคาถาม วิเคราะห์ วางแผนกาหนดวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยผู้สอนมีบทบาทให้คาแนะนาแก่ผู้เรียนขณะลงมือแก้ปัญหา สดุ ท้ายเม่ือเสรจ็ ส้ินกระบวนการแก้ปัญหาผู้สอนและผู้เรียนร่วมกนั สรุปผลการแก้ปัญหา และแลกเปล่ียนเรียนรู้ถึงส่งิ ท่ไี ด้จากการลงมือแก้ปัญหา 3. การสอนท่เี น้นทกั ษะกระบวนการคดิ (Thinking Based Learning) เป็นกระบวนการสอนท่ีผู้สอนใช้เทคนิค วิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียน คิดเป็ นลาดับข้ันแล้วขยายความคิดต่อเน่ืองจากความคิดเดิมพิจารณาแยกแยะอย่างรอบด้าน ด้วยให้เหตุผลและเช่ือมโยงกับความรู้เดิมท่ีมี จนสามารถสร้างส่ิงใหม่หรือตัดสินประเมินหาข้อสรุปแล้วนาไปแก้ปัญหาอย่างมีหลักการ โดยการสอนท่เี น้นกระบวนการคิด แบ่งออกเป็นการสอนท่เี น้นทกั ษะกระบวนการคิดคานวนและการสอนท่เี น้นกระบวนการคดิ อย่างมีวิจารณญาณมีข้นั ตอนดงั น้ี 1) การสอนท่เี น้นกระบวนการคิดคานวณ เร่ิมจากผู้สอนทบทวนเน้ือหาเดิม โดยแสดงวิธกี ารคิดคานวณเป็นลาดับข้นั จากน้ันกาหนดโจทย์ให้ผู้เรียนฝึกคิด วิเคราะห์ เป็นลาดับข้นั เน้นการฝึกคานวณซ้ากับโจทย์ใหม่ และสุดท้ายผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปข้ันตอนการคิด การประเมินผลการเรียนรู้ประเมนิ จากข้นั ตอนกระบวนการคิดเป็นลาดบั ข้ันท่นี ักศึกษาแสดงไว้ในการแก้โจทยค์ านวณ 2) การสอนท่เี น้นกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จากอภิปรายและแสดงความคิดเหน็ เป็ นหัวใจสาคัญของการสอนท่ีเน้นกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยเร่ิมจากผู้สอนกระตุ้นผู้เรียนเกิด
คาถามหรือต้ังคาถาม จากน้ันผู้สอนโน้มน้าว สร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนขยายความคิดและเช่ือมโยงองค์ความรู้ จากน้ันเปิ ดโอกาศให้ผู้เรียนร่วมกันแสดงความคิดเหน็ อภิปรายในช้ันเรียน โดยผู้สอนมีบทบาทช่วยช้ีแนะและสรุปความคิดตามหลักการ สุดท้ายให้ ผู้เรียนพัฒนาช้ินงาน หรือทาแบบฝึ กหัด เพ่ือประเมินผลการเรียนรู้ 4. การสอนใช้เทคนิค Game based learning เป็นนวัตกรรมส่อื การเรียนรู้รูปแบบใหม่ท่อี อกแบบและสอดแทรกเน้ือหาบทเรียนลงไปในเกม ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ลงมือเล่นและฝึ กปฏิบัติในการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยในขณะท่ลี งมือเล่นผู้เรียนจะได้รับทกั ษะ และความรู้จากเน้ือหาบทเรียนไปด้วยขณะท่ีเล่น เกมมักมีสถานการณ์จาลองเพ่ือดึงดูดความสนใจของผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนรู้สึกท้าทายและอยากท่จี ะเล่น องคป์ ระกอบของเกม(Game-Based Learning หรือ GBL) การเรียนรู้ผ่านเกม(Game-Based Learning หรือ GBL) การเรียนรู้ผ่านเกม(Game-BasedLearning หรือ GBL) ในต่างประเทศน้ันไม่ใช่เร่ืองใหม่จึงเป็นเร่ืองท่นี ่าสนใจในวงการศึกษาไทยในการท่ีจะนามาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน การเรียนรู้ผ่านเกม (กรมวิชาการ) ได้แสดงบทความเก่ยี วกับส่ือการเรียนรู้ว่า เราสามารถนาทุกส่ิงทุกอย่างรอบตัวผู้เรียนมาใช้เป็ นส่ือการเรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็ นวัสดุอุปกรณ์ วิธีการ ตลอดจน คน สัตว์ ส่ิงของ ธรรมชาติ รวมถึงเหตุการณ์หรือแนวคิดอาจอยู่ในลักษณะท่ีถ่ายทอด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก เพ่ิมพูนทกั ษะและประสบการณ์ หรือเป็นเคร่ืองมือท่ีกระตุ้นให้เกดิ ศักยภาพทางความคดิ ตลอดจนส่งิ ท่กี ระตุ้นให้เป็นผู้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ผ่านเกม (Game-Based Learning หรือ GBL) เป็ นรูปแบบการเรียนรู้ท่ีได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากข้ึนเร่ือยๆในปัจจุบัน เป็ นเพราะการท่ีผู้เรียนเกิดมาในยุคท่ีเคร่ืองมืออิเลก็ ทรอนิกส์ ต่างๆและเคร่ืองมือส่ือสารท่ีพัฒนาอย่างไม่หยุดย้ัง จึงมีผลทาให้ ความชอบ ความถนัดและความสนใจของผู้เรียนต่อรูปแบบการเรียนรู้และการท่ีผู้เรียนได้มีส่วนร่วมและลงมือปฏบิ ัติจะทาให้ผู้เรียนเกิดทกั ษะในการเรียนรู้ จากความนิยมในการเล่นเกมดิจิตัลนานาชนิด ต้ังแต่ เกมบนมือถือ บนเคร่ืองมือสร้างเครือข่ายทางสังคม(Social Networking Tools) เร่ือยไปจนถึง เกมออนไลน์สามมิติ จึงทาให้การเรียนรู้ผ่านเกมดิจิตัลน้ันเป็ นส่ิงท่ีไม่ไกลตัวตัวผู้เรียนอีกต่อไป นอกจากน้ีการเรียนรู้ผ่านเกม(Game-Based Learning หรือ GBL) ยังเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาท่ไี ด้นาเอาความสนุกสนานของเกมได้ และเกมออกแบบให้อยู่ในรูปแบบใหม่ผสมผสานเน้ือหาบทเรียนวิชาต่างๆเข้าด้วยกนั ทาให้ผู้เรียนเกดิความเพลิดเพลินมีความสขุ กบั การเรียนรู้ และได้รับความรู้ไปด้วย โดยเฉพาะเกมท่มี ีสถานการณ์จาลองมีความสนุกสนานเพลิดเพลินและมคี วามท้าทายทาให้การเรียนรู้ไม่น่าเบ่ือ
การใชเ้ กมเพอื่ การเรียนรู”้ มีประโยชนอ์ ย่างไร?องคป์ ระกอบเบ้ อื งตน้ ของการออกแบบเกม Game Design
การเล่นเกมใหส้ นุกและไดเ้ รียนรู้การเตรียมบทบาทของผู้สอน1. กอ่ นการใช้กจิ กรรมเกม 1.1 ผู้สอนเตรียมเอกสารความรู้เก่ยี วกบั เร่ืองท่จี ะสอน 1.2 ผู้สอนศึกษาเก่ยี วกบั วิธกี ารเล่นเกม 1.3 ผู้สอนเตรียมอุปกรณต์ ่าง ๆ เทา่ กบั จานวนนักศึกษา2. ระหว่างการเล่น 2.1 ผู้สอนแจกเอกสารความรู้และเกม 2.2 ผู้สอนอธบิ ายกติกา และวิธเี ล่นแกผ่ ู้เรียน 2.3 ให้กลุ่มผู้เรียนเล่นเกมในเวลาท่กี าหนด3. หลังการใช้กจิ กรรมเกม 3.1 ผู้สอนและนักศึกษาร่วมกนั สรุปเน้ือหาความรู้ท่ไี ด้จากการเล่นเกม 3.2 ผู้สอนประเมนิ ตนเองในการใช้เทคนิคเกมการเตรียมบทบาทของผู้เรียน 1. ผู้สอนแบ่งกลุ่มของผู้เรียนให้สอดคล้องกบั เกม 2. ผู้เรียนศึกษาเอกสารความรู้เก่ยี วกบั เร่ืองท่จี ะเรียน 3. ผู้เรียนศึกษากติกาและวิธกี ารเล่นเกม 4. ผู้เรียนร่วมกนั อภปิ รายและสรุปเน้ือหาความรู้ท่ไี ด้จากการเล่นเกมบรรยากาศการเรียนการสอน 1. สถานท่ที ่ใี ช้เล่นเกม ควรเป็นห้องท่สี ามารถจัดนักศึกษาน่ังเป็นกลุ่มได้ 2. การเรียนเน้นนักศึกษาเป็ นศูนย์กลาง โดยผู้สอนเป็ นเพียงผู้ช้ีแนะ นิสิต นักศึกษาศึกษาเอกสารความรู้และเล่นเกม 3. ในขณะเล่นเกมเพ่ือเป็นการผ่อนคลาย อาจเปิ ดเพลงเบา ๆ ได้
โปรแกรมทีใ่ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอนแบบ GBL1. Tellagami เป็น แอพลิเคช่ันท่ีใช้การ์ตูนเป็นตัวแสดง อาจารย์สามารถอัดเสียงตัวเองในการส่ือสารกับนักศึกษาได้ ใช้ในการทาส่อื การเรียนรู้หรือรูปแบบการส่อื สารท่ดี ูน่ารักและเข้าถึงนักศึกษา อาจารย์สามารดาวน์โหลดได้ท่ี App Store สาหรับอปุ กรณ์ iOS เทา่ น้ัน2. Socative Socrative เป็นแอปพลิเคชนั ท่ีช่วยสร้างแบบทดสอบเพ่ือประเมินผลนกัเรียนแบบออนไลน์สามารถแสดงผลการสอบได้ทนั ทรี องรับท้งัภาษาไทยและภาษาองกั ฤษ สามารถใส่ภาพประกอบคา อธบิ ายต่างๆ เพ่ือใหผู้เรียนพิมพ์คาตอบ จุดเด่นท่สี าคัญคือผู้เรียนสามารถทาข้อสอบผ่านอุปกรณ์หลากหลายแพลตฟอร์ม (Platform) ท่ีเช่ือมต่อระบบอินเตอร์เน็ตได้เช่น มือถือสมาร์ทโฟน แทบ็ เลต็ และเคร่ืองคอมพิวเตอร์3. Plickers Plickers แอปพลิเคชันสาหรับสร้างแบบทดสอบและตรวจคาตอบได้ทันทีโดยใช้สมาร์ตโฟนหรือแทบ็ เลต็ สแกนเพ่ือเกบ็ ผลคาตอบจากแผ่นกระดาษทรงส่ีเหล่ียมท่ีมีภาพรหัสหรือรูปทรงคล้ายQR code เรียกว่า “Plickers” ซ่ึงแต่ละด้านของกระดาษ Plickers มีตวั อกั ษร A, B, C และ D ระบุคาตอบเฉพาะของแต่ละคาถามเพ่ือให้ผู้เรียนใช้ในการตอบคาถาม ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการตอบข้อ A ให้ยกกระดาษ Plickers โดยให้ด้าน A อยู่ด้านบน เป็ นต้น และเกบ็ สรุปผลของคาตอบด้วยการใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตท่ีติดต้ังแอปพลิเคชัน Plickers สแกนคาตอบจากแผ่น Plickers น่ันเอง ข้อดีของPlickers คอื ผู้เรียนไม่จาเป็นต้องเตรียมเคร่ืองมอื หรืออปุ กรณ์ใด ๆ ให้วุ่นวาย แต่มีข้อจากดั ในการรองรับผู้ ใช้ งาน ได้ สู งสุ ด แ ค่ 63 ค น เท่ าน้ั น ส าม าร ถ ดู วิ ธี ก าร ใช้ งาน ได้ ต าม ลิ งค์ ท่ี แ น บ ม าให้ น้ีhttp://ets.kmutt.ac.th/files/PLICKERSMANUALS.pdf4.Quizlet Quizlet เป็ นแอปพลิเคชันท่ีช่วยในการสร้างเคร่ืองมือสาหรับการเรียนรู้ ท่ีเน้นด้าน “คาและความหมาย” เช่นคาในภาษาอังกฤษ หรือคาศัพท์เฉพาะทางต่างๆ สามารถดูวิธีการใช้งานได้ตามลิงค์ท่ีแนบมาให้น้ี http://ets.kmutt.ac.th/files/Manual_Quizlet.pdf5. Google Quiz Google Form เป็น Apps ในกลุ่มของ Google Drive ซ่ึงให้เราสามารถสร้างแบบฟอร์มสาหรับกรอกข้อมูลเช่น แบบประเมิน แบบสอบถาม ใบสมัครงาน ฟอร์มสาหรับการเกบ็ ข้อมูล แบบทดสอบฯลฯ สาหรับการตรวจข้อสอบต้องเพ่ิม Add-on เพ่ือใช้ในการตรวจ ท้งั หมดท่วี ่ามา เราสามารถใช้ GoogleForm ในการสร้างส่วนรับข้อมูลเอาไว้ใช้งานได้เลย นอกจากน้ี Google ยังให้เราใช้งานแบบฟรีๆ อีกด้วยในการนาไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เช่น การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน การสร้างแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน การสร้างแบบสอบถามเพ่ือเกบ็ ข้อมูลต่างๆ เป็นต้นFlubaroo Flubaroo Add-on ซ่ึงเป็น Add-on สาหรับตรวจการบ้านหรือข้อสอบ ซ่ึงเป็น Add-on สาหรับGoogleForms/Sheets โดยสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี จากเมนู Add-on เม่ือติดต้ัง Add-on เรียบร้อยแล้วสามารถเรียกใช้งาน Add on เพ่ือกาหนดค่าคะแนนให้คาถามแต่ละข้อท่ีได้สร้างไว้ด้วย Google Form
เลือกคาตอบท่เี ป็นต้นแบบท่ถี ูกต้อง ท่ีเตรียมไว้แล้วโดยการทาข้อสอบใน Google Form โปรแกรมจะทาการประมวลผล และสรุปการตรวจข้อสอบเป็นตารางข้อมูล โดยแสดงคะแนน ร้อยละ และคะแนนท่ไี ด้รับในการตอบคาถามแต่ละข้อ6. Kahoot เป็ นเคร่ืองมือสร้างเกมส์ตอบคาถามออนไลน์แบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถใช้งานได้ผ่านSmartphone ท่ที ุกคนมีติดตัวอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ต้องใช้ผ่านอินเตอร์เนต็ ด้วยเท่าน้ัน เม่ือเข้าสู่เกมส์ของ Kahoot จะมีการแสดงจานวนผู้เข้าร่วมเล่นเกมส์ ผลการตอบคาถามในการแข่งขัน และลาดับของผู้เข้ารวมแข่งขนั แบบทนั ทที นั ใดหลังการตอบคาถามและเกมสเ์ สรจ็ ส้ิน นอกจากน้ัน ยังมีวิธีการใช้งานท่งี ่ายแ ล ะ ส ะ ด ว ก ส า ม า ร ถ ดู วิ ธี ก า ร ใ ช้ ง า น ไ ด้ ต า ม ลิ ง ค์ ท่ี แ น บ ม า ใ ห้ น้ีhttp://www.siamvip.com/ManageFiles/FileUploads/tamode/imgUploads/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%20Kahoot.pdf 5. การสอนใช้เทคนิค Research based learning การเรียนรู้เป็นการจัดกจิ กรรมหรือประสบการณ์เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมท่ีพ่ึงประสงค์ กระบวนการเรียนรู้ประกอบด้วยการกาหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ การจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์เรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เป็ นเทคนิคท่ีมุ่งให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้และประสบผลสาเรจ็ ในเน้ือหา และผู้รู้สารสนเทศด้วยการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้ วยตนเองอย่างอิสระผู้เรียนเรียนร้ ูโดยอิสระจากการแสวงหาแหล่งเรี ยนร้ ูผู้สอนเป็ นเพียงผู้ส่งเสริมและกระต้นุ เป็นแหล่งสารสนเทศใดๆ ท่มี ีอยู่ท้งั ภายในและภายนอกสถาบัน ผลลัพธข์ องการใช้ RBL ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเน้ือหาท่ีได้จากแหล่งเรียนรู้ท่หี ลากหลาย ผู้เรียนมีทักษะการรู้สารสนเทศ ซ่ึงเป็ นฐาน สาหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิต 6. การสอนห้องเรียนกลับด้าน Flipped Learning คือ วิธกี ารเรียนแนวใหม่ท่ฉี ีกตาราการสอนแบบเดิมๆ Flipped Classroom เป็ นการเรียนแบบ \"กลับหัวกลับหาง\" หรือ \"พลิกกลับ\" โดยเปล่ียนรูปแบบวิธีการสอนจากแบบเดิมท่เี ร่ิมจากครูผู้สอนในห้องเรียน นักเรียนกลับไปทาการบ้านส่งเปล่ียนเป็นนักเรียนเป็ นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ผ่าน \"เทคโนโลยี\" ท่ีครูจัดหาให้ก่อนเข้าช้ันเรียน และมาทากิจกรรม โดยมีครูคอยแนะนาในช้ันเรียนแทน โดยส่ิงท่ีเป็ นหัวใจสาคัญของ Flipped Classroom น้ีกค็ ือการใช้เทคโนโลยี การเรียนการสอนท่ที นั สมยั และการให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ผ่านกจิ กรรม ซ่ึงท้งั สองส่วนน้ีจะกระตุ้นให้เกดิ สภาพแวดล้อมท่เี อ้ือต่อการเรียนรู้อย่างเตม็ ท่ี จุดร่วมของประเภท Flipped ต่างๆเหล่าน้ี คอื การผสมผสานการใช้เทคโนโลยีเพ่ือการเรียนการสอนกบั วิธีท่ที าให้เกดิ กระบวนการเรียนรู้โดยมีนักเรียนเป็ นศูนย์กลาง มีองคป์ ระกอบสาคญั ท่เี กดิ ข้ึน 4 องค์ประกอบท่เี ป็นวัฏจักร (Cycle) หมุนเวียนกนั อย่างเป็นระบบ ซ่ึงองค์ประกอบท้งั 4 ท่เี กดิ ข้นึ ได้แก่ 1. การกาหนดยุทธวิธเี พ่ิมพูนประสบการณ์ ( Experiential Engagement)
2. การสบื ค้นเพ่ือให้เกดิ มโนทศั น์รวบยอด ( Concept Exploration ) 3. การสร้างองคค์ วามรู้อย่างมีความหมาย ( Meaning Making) 4. การสาธติ และประยุกตใ์ ช้ ( Demonstration & Application ) สว่ นประกอบของห้องเรียนกลับด้านห้องเรียนกลับด้านกบั การเรียนแบบรอบรู้การเรียนแบบรอบรู้หรือการเรียนให้รู้จริง ( Mastery Learning )”ซ่ึงเป็นการเรียนท่ชี ่วยเพ่ิมผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของเดก็เพ่ิมความร่วมมือระหว่างนักเรียน เพ่ิมความม่ันใจในตนเองของผู้เรียนและช่วยให้โอกาสแก่นักเรียนได้ปรับปรุงแก้ไขตนเองในการเรียนรู้ให้บรรลุผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ลักษณะสาคัญของการเรียนแบบรู้จริง ( Mastery Learning ) คือ 1.ผู้สอนกาหนดวัตถุประสงค์อย่างละเอยี ดในการเรียนรู้เน้ือหาสาระ มีการจัดกลุ่มวัตถุประสงค์และต้องบ่งบอกส่งิ สาคัญท่ผี ู้เรียนจะต้องกระทาให้ได้เพ่ือแสดงว่าตนได้เกดิ การเรียนรู้จริงในสาระน้ันๆ 2.ผู้สอนมกี ารวางแผนการเรียนรู้สาหรับผู้เรียนแต่ละคนให้สามารถตอบสนองความถนัดท่แี ตกต่างกนั ของผู้เรียน ซ่ึงอาจใช้ส่ือการเรียนรู้ วิธีสอน หรือเวลาท่แี ตกต่างกัน เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงคท์ างการเรียนท่กี าหนด 3. ผู้สอนแจ้งให้ผู้เรียนเข้าใจในจุดมุ่งหมาย วิธกี ารเรียน ระเบียบกตกิ า ข้อตกลงต่างๆในการทางานให้ชัดเจน 4.ผู้เรียนมีการดาเนินการเรียนรู้ตามแผนการเรียนท่ผี ู้สอนจัดให้มีการประเมนิ การเรียนตามวัตถุประสงค์แต่ละข้อ โดยผู้สอนคอยดูแลและให้คาปรึกษาเป็นรายบุคคล 5.หากผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงคห์ น่ึงท่กี าหนดไว้แล้วจึงจะมีการดาเนินการเรียนรู้ตามวัตถุประสงคต์ ่อไป 6.หากผู้เรียนไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงคท์ ่กี าหนดไว้ผู้สอนต้องมีการวินิจฉัยปัญหาและความต้องการของผู้เรียน 7.ผู้เรียนดาเนินการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองตามวัตถุประสงคท์ ่กี าหนดจนบรรจุครบทุกวัตถุประสงค์ 8.ผู้สอนมีการตดิ ตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ตามวัตถุประสงคข์ องผู้เรียนและเกบ็ข้ อมูลการเรียนร้ ูของผู้เรียนเป็ นรายบุคคลและมีการใช้ ข้ อมูลในการวางแผนการเรียนร้ ูให้ แก่ผู้เรียนต่อไป4. การประเมินผเู้ รียน Rubric score Rubrics คือเคร่ืองมือการให้คะแนน Scoring Too ซ่ึงเกิดจากการรวมกันระหว่างเกณฑ์การให้คะแนน Scoring criteria กับมาตราประมาณค่าหรือระดับคะแนน Scoring scale เพ่ือระบุความแตกต่างของผลงานหรือประสิทธิภาพ Proficiency ของงาน สาหรับแนวทางในการท่จี ะนาไปใช้ในการประเมินผล
งานของนักเรียนต่อไป ซ่ึงการประเมินผลของนักเรียนจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือผลงานท่ีได้จากกระบวนการของนักเรียน และกระบวนการท่ีนักเรียนใช้เพ่ือให้ เกิดผลงาน จะประเมินในลักษณะใดข้ึนอยู่กับจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ อาจจะประเมนิ ลักษณะใดลักษณะหน่ึงหรือประเมินท้งั สองลักษณะกไ็ ด้ เพ่ือให้การตัดสินใจสอดคล้องกับผู้เรียนแต่ละคน ผู้ประเมินจะต้องใช้เกณฑ์ในการประเมินคุณภาพช้ินงานของผู้เรียน เกณฑ์อาจจะอยู่เชิงคุณภาพหรือปริมาณ อาจจะมีลักษณะเป็ นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) หรือแบบตรวจสอบ (Checklist โดยปกติจะใช้ Rubric ในการประเมินจะต้องประเมินจุดประสงค์การเรียนรู้เดียว หรือส่วนใดส่วนหน่ึงของงานปฏิบัติ แต่การปฏิบัติงานท่ีซับซ้อน ผู้ประเมินจะต้องประเมินจุดประสงค์การเรียนรู้ท่หี ลากหลายและประเมินหลายๆ ส่วนของ การปฏบิ ัติ การให้คะแนนจะอยู่ในรูปของตวั เลข โดยปกติจะเป็น 0-3 หรือ 1-4 ในแต่ละระดับของคะแนนจะข้ึนอยู่กับระดับของคุณภาพของงาน ดังน้ันตัวเลข 4 อาจจะหมายถึงระดับคุณภาพสูงสุด ตัวเลข 3 เป็ นระดับคุณภาพรองลงมา คุณภาพของงานในแต่ละระดับจะต้องใช้การอธิบาย (Rubric) ดังน้ันในแต่ละระดับคะแนนจะต้องอธบิ ายเป็นภาษาท่แี สดงให้เหน็ ถึงคุณภาพของการปฏบิ ัติงานในแต่ละระดบั น้ันเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (Scoring Rubric) มีความสาคญั อย่างไร การประเมินศักยภาพของผู้เรียนโดยให้ลงมือปฏิบัติน้ัน ไม่มีคาเลยหรือคาตอบถูกท่ีแน่ชัดลงไปเหมือนแบบทดสอบเลือกตอบ การประเมินผลงานแต่ละช้ินของผู้เรียนท่ไี ด้ลงมือปฏบิ ัติจึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องประเมินคุณภาพของงานอย่างเป็นปรนัย ซ่ึงมันเป็นการยากท่จี ะทาได้ และได้คนพบการสร้างเกณฑ์การให้คะแนน Rubric ข้นึ มาซ่ึงมคี วามสาคญั ดงั น้ี 1. เพ่ือกาหนดแนวทางในการตัดสนิ ใจอย่างยุติธรรม และปราศจากความลาเอยี ง Rubric จะต้องมีความชัดเจนในเกณฑก์ ารให้คะแนนอย่างเพียงพอถึงขนาดท่ผี ู้ประเมิน 2 คน สามารถใช้ Rubricเดียวกันประเมินช้ินงานของผู้เรียนช้ินเดียวกันแล้วให้คะแนนได้ตรงกัน ระดับของความสอดคล้องในการให้คะแนนของผู้ประเมิน 2 คน ท่ีประเมินอย่างเป็นอสิ ระจากกันจะเรียกว่า ความเช่ือม่ัน (Reliability) ของการประเมนิ 2. เป็ นเคร่ืองมือท่ีสามารถใช้ท้ังสอนและการประเมิน เราสามารถใช้ Rubric เพ่ือพัฒนาหรือปรับปรุงการพัฒนาของนักเรียนได้ และช่วยให้ครูสามารถต้งั ความคาดหวังหรือการปฏบิ ัติงานของนักเรียนได้อย่างชัดเจน นอกจากน้ียังสามารถให้นักเรียนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทาอย่างไรจึงจะปฏบิ ัติงานได้ตามความคาดหวังท่ไี ด้ต้ังไว้ 3. เป็ นเคร่ืองมือท่ีเป็ นประโยชน์ในการช่วยเหลือนักเรียนให้เป็ นผู้ท่ีสามารถตัดสินคุณภาพช้ินงานอย่างมีเหตุผลท้ังงานของตนเองและผู้อ่ืน นักเรียนจะรู้ข้อผิดพลาดของตนเองและผู้อ่ืน การทาเช่นน้ีบ่อยๆ ช่วยให้นักเรียนเกดิ ความรับผิดชอบในงานของตนเองได้มากย่งิ ข้นึ
4. เป็นเคร่ืองมือท่ชี ่วยลดจานวนเวลาท่คี รูใช้ในการประเมินผลงานของนักเรียนลงได้ เพราะโดยปกติครูจะประเมินผลงานของนักเรียนทลี ะช้ิน แต่ถ้าใช้ Rubric ในการประเมินงานแล้วนักเรียนสามารถประเมินงานของตนเองและเพ่ือนๆได้ นอกจากน้ีบังช่วยให้นักเรียนได้ข้อมูลย้อนกลับเก่ยี วกบั จุดเด่น และส่งิ ท่คี วรปรับปรุงแก้ไขในช้ินงานของตนเองได้ดอี กี ด้วย 5. Rubric มีลักษณะยืดหยุ่นท่สี ามารถทาให้ครูสอนนักเรียนได้อย่างหลากหลายแตกต่างกันไปได้อย่างดี 6 Rubric ใช้ได้ง่ายและอธิบายได้ง่ายเช่นกัน การใช้จะช่วยให้นักเรียนทราบว่านักเรียนได้เรียนรู้อะไร และเม่ือมีการประชุมผู้ปกครอง ครูอาจใช้ Rubric อธบิ ายผู้ปกครองให้เข้าใจง่าย โดยผู้ปกครองจะทราบได้ว่าบุตรหลานของตนจะต้องทาอะไรบ้างจึงจะประสบความสาเรจ็ ในการเรียนจุดประสงคข์ องการสรา้ ง Rubric 1. เพ่ือประเมินกระบวนการ (Process) เช่นประเมินการเรียนรู้เป็นทมี ประเมินการนาเสนอปากเปล่า การอภิปราย การสาธติ 2. เพ่ือประเมินผลผลิต (Product) เช่นประเมินแฟ้ มสะสมผลงาน รายงานการวิจัย นิทรรศการงานศิลปะ เป็นต้นลกั ษณะของ Rubric ทีด่ ี1. มคี วามเก่ยี วข้องกบั จุดมุ่งหมาย หรือเป้ าหมายท่วั ไป (General goals) กล่าวคือเก่ยี วข้องกบั งานท่ที า2. จาแนกการปฏบิ ัติได้อย่างเท่ยี งตรง (Performances Validly)3. ในแต่ละ Rubric จะไม่มกี ารรวมเกณฑก์ ารให้คะแนน4. วิเคราะห์งานได้อย่างละเอยี ด5. ภาษาท่ใี ช้อธบิ ายคุณลักษณะงาน จาแนกคุณภาพของงานได้ถูกต้อง6. สามารถตดั สนิ งานได้ถูกต้อง7. อธบิ ายอย่างชัดเจนในแต่ละระดบั ของคะแนน และมีความเท่ยี งตรงในการให้คะแนนในตวั ของมนั เอง8. ตัดสินให้คะแนนจากผลงานท่ีปฏิบัติ มากกว่ากระบวนการ รูปแบบเน้ือหา หรือความต้ังใจในการทางานการกาหนดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนจะตอ้ งประกอบดว้ ย 3 องคป์ ระกอบคือ1. ประเดน็ ท่ีจะประเมิน (Criteria) คือส่ิงท่ีสะท้อนผลการเรียนรู้หลักๆ หรือมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีเป็ นเป้ าหมายของแต่ละหน่วย / ภาระงาน2. ระดับความสามารถ (Performance Levels ) ส่วนใหญ่จะกาหนดเป็ นเลขค่ีมากกว่าเลขคู่ ท้ังน้ีเพ่ือป้ องกันการให้คะแนนท่ตี กอยู่ตรงกลาง ทาให้จาแนกความสามารถได้ยาก และแต่ละระดับอาจกาหนดเป็นตวั เลขหรือคาแสดงคุณภาพต่างๆ ดมี าก ดี พอใช้ ยงั ต้องปรับปรุง เป็นต้น
3. คาอธบิ ายคุณภาพของแต่ละระดับความสามารถ (Quality Descriptors) ว่าคุณภาพความสามารถแต่ละระดับท่ีคาดหวังน้ันเป็นอย่างไร คาอธิบายเหล่าน้ีจะต้องมีความชัดเจนในการใช้ภาษาท่กี ะทดั รัด เข้าใจง่าย และเหน็ ความแตกต่างระหว่างระดับความชัดเจน5. การทา Reflection การสะท้อนคิดเป็นรูปแบบการคิดท่ชี ่วยให้บุคคลเกดิ การเรียนรู้ ซ่ึงการเรียนรู้ท่เี กดิ ข้ึนจะเกิดจากการรับรู้ ความคาดหวัง ความรู้สึกตนเอง เก่ียวกับประสบการณ์ แล้วมีการวางแผน หาแนวทางแก้ไขในอนาคต โดยผ่านกระบวนการพูดหรือเขียน โดยเฉพาะครูผู้สอนจะต้องเป็นผู้ให้คาแนะนาท่ดี ีแก่ผู้เรียนเพราะการใช้การสะท้อนคิด ไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนากระบวนการคิด แต่ยังช่วยพัฒนาทกั ษะทางปัญญาของผู้เรียนด้วย นอกจากน้ันอาจารย์จะได้ทราบว่าเดก็ ในช้ันเรียนได้เรียนรู้อะไรตลอดคาบเรียนกระบวนการท่อี าจารย์ใช้ในการเรียนการสอนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ได้หรือไม่ ซ่ึงสามารถนาไปปรับปรุงการสอนในคาบต่อๆไปวิธกี ารสะท้อนคดิ : การเรียนการสอนท่จี ะส่งเสริมให้มกี ารสะท้อนคิดสามารถทาได้หลายวิธี เช่น 1.การเขียนบันทกึ (Journal Writing) 2.การสนทนา(Dialogue) 3.การวิเคราะห์อบุ ัติการณ(์ Incident Analysis) etc.ประเภทของการสะท้อนคดิ : กระบวนการสะท้อนคดิ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. การสะท้อนคดิ เกดิ ข้นึ ก่อนการทากจิ กรรมน้ันๆ (reflection before action) 2. การสะท้อนคดิ เกดิ ข้นึ เม่อื กาลังทากจิ กรรมน้ันๆ (reflection in action) 3.เกดิ ข้ึนหลังจากท่นี ักศึกษาทากจิ กรรมน้ันเรียบร้อยแล้วหรือกจิ กรรมน้ันได้ผ่านไปแล้ว(reflection on action)6.แนวทางการแกป้ ัญหาในช้นั เรียน จากการแลกเปล่ียนเรียนรู้ในสานักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพในประเดน็ การพบปัญหาในห้องเรียนของนักศึกษา Gen Z ได้มีคณาจารยม์ าแลกเปล่ียนปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหา ซ่ึงสามารถสรุปได้ดังน้ีลาดบั ปัญหาท่พี บ แนวทางการแก้ไขปัญหา 1. นักศึกษาเล่นมือถือในห้องเรียน ขณะท่ี 1. วางแผนการสอนให้เหมาะสมกบั Life style อาจารยส์ อน ตดิ Social ต้องหยบิ มือถอื ของนักศึกษา ซ่ึงอาจจะใช้การตอบคาถามในมือ ข้นึ มาดูตลอด ถอื หรือการสบื ค้นข้อมูล 2. เพ่ิมช่วง Break ให้มากข้ึนเพ่ือท่นี ักศึกษาจะ ได้มีช่วงใช้ส่อื Social 3. ตกลงข้อปฏบิ ัติในการเรียนแต่ต้นคาบเพ่ือทา
ความเข้าใจกนั 4. หยุดสอนเม่อื นศ.เล่นมอื ถือ2. นักศึกษาในช้ันเรียนใสห่ ูฟังตลอดเวลา ขณะ 1. ทาความเข้าใจนักศึกษาว่าสาเหตทุ ่ใี ส่หูฟังน้ันสอนและขณะทากจิ กรรม เพราะอะไร 2. จัดกจิ กรรม group working ในช้ันเรียน 3. ใช้การเปิ ดเพลงในการทากจิ กรรมในช้ันเรียน3. นักศึกษาไม่เคารพกฎระเบียบ เช่น การแต่ง 1. สอนให้นักศึกษารู้จักกาละเทศะ วางตนให้กายและการเข้าเรียนให้ตรงเวลา นศ.มาเข้า เหมาะสมกบั วิชาชีพเรียนสาย และส่งงานช้า 2.แจ้งกฎระเบียบต้งั แต่คาบแรกและทาข้อตกลง ร่วมกนั เช่น มาสาย 2 คร้ัง ถอื ว่าขาดเรียน 1 คร้ัง ใช้การเตือนเพ่ือให้นักศึกษาสานึกตน 3. ใช้การลอ็ คห้องเม่อื ถึงเวลาเรียน 4. ใช้การ Role model เป็นแบบอย่างท่ดี ใี ห้กบั นักศึกษาเอาเป็นตวั อย่าง4. เดก็ สมาธิส้นั ไม่มีสมาธิในการเรียน จะจด 1.ปรับลดการเรียนการสอนแบบ Lecture ใช้จ่อกบั ส่งิ ท่เี รียนได้ไม่นาน บางคนไปเล่นมือ การเรียนการสอนแบบ Active learning GBLถือ บางคนชอบง่วงนอนในห้องเรียน หรือจัด Quiz ในช้ันเรียนในทนั ที5. นศ. ไม่ชอบการเรียน Active learning ชอบ 1.การท่นี ักศึกษาไม่ชอบน้ันต้องปรับท่ีPassive มากกว่า กระบวนการของอาจารย์ในการใช้ Active learning แก้ท่กี ารส่อื สารของอาจารย์ อาจารย์ ควรช้ีแจงจุดประสงค์ ควรดาเนินบทบาทท่ดี ี 2. เลือกกระบวนการเรียนการสอนท่เี หมาะกบั นักศึกษา6. ในการนาเสนองานเป็นกลุ่ม เดก็ บางคนจะ 1.เปล่ียนรูปแบบการนาเสนอ สร้างสถานการณ์หลุดออกจากวงโคจรระหว่างเพ่ือนกบั ให้นักศึกษาเปรียบเป็นคณะกรรมการ เดนิ ไปอาจารย์ ไม่ฟังเพ่ือนนาเสนอ แต่ละบูทในการฟังเพ่ือนนาเสนอ และให้ บทบาทในการประเมนิ เหมือนคณะกรรมการ จริงๆ 2. เม่อื จบการนาเสนอให้กลุ่มท่นี ่ังฟังต้ังคาถาม เพ่ือน 3. อาจารย์ไปน่ังหลังห้องเพ่ือจะได้มองเดก็ ท้งั ช้ัน
แนวปฏิบตั ิท่ดี ีเทคนิคการเตรียมความพร้อมให้อาจารย์รับมือเดก็ Generation Z เร่ิมต้น เรียนรู้และเข้ำใจนกั ศกึ ษำยคุ ใหม่ Game based learning ประเมิน Learning styleProblem based learning เทคนิคกำรสอนท่ีเร้ำใจผ้เู รียน Project based learning เทคนคิ กำรสอนแบบ Active learningResearch based learning กำรประเมนิ ผ้เู รียน Rubric scoreThinking based learning Flipped Learning กำรทำ Reflection จำกนศ. ปรับรูปแบบกำรเรียนกำรสอน กำรประเมินผลกำรเรียนรู้ของผ้เู รียน Rubric score ประมวลผลวำงแผนกำร สอนในเทอมถดั ไป
แนวปฏิบตั ิทีด่ ีเรือ่ ง เทคนคิ การสอนแบบ Project Based Learning และ Research Based Learning
ความสาคญั ในปัจจุบันกระแสการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ได้รับการตอบรับอย่างมากมาย เน่ืองด้วยเป็นการจัดการเรียนการสอนท่มี ีความทนั สมัย เทา่ ทนั เทคโนโลยี และสามารถเอ้อื อานวยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเรียนรู้ในร้ัวมหาวิทยาลัย ได้ฝึ กทกั ษะและเป็ นการพัฒนาศักยภาพความสามารถในการนาความรู้ท่ไี ด้รับไปใช้ได้จริงในการดารงชีวิตและการประกอบอาชีพ อกี ท้งั ยังเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์และแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้แก่คณาจารย์ให้มีความหลากหลาย และเหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้ของนักศึกษาแต่ละคน การแลกเปล่ียนเรียนรู้เก่ียวกับแนวทางการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นพ้ืนฐาน และใช้งานวิจัยเป็นพ้ืนฐาน จะช่วยให้อาจารย์รับทราบแนวทางและทิศทางของการจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม คณะกรรมการพัฒนาสานักวิชาส่อู งค์กรแห่งการเรียนรู้ และธรรมาภิบาล สานักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้ าหลวง ได้เรียนเชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในสานักวิชาท่ีมีความเช่ียวชาญเป็ นอย่างย่ิงในการจัดการเรียนการสอนแบบการใช้โครงงานเป็นพ้ืนฐาน และใช้งานวิจัยเป็นพ้ืนฐาน คือ รศ.ดร.ปรัชญนันท์ นิลสุขร่วมแลกเปล่ียนการวิจัยในช้ันเรียนกับนักศึกษาและอาจารย์สานักวิชาวิทยาศาสตร์สขุ ภาพ โดยสรุปผลการแลกเปล่ียนได้ดังน้ีแนวปฏิบตั ิการจดั การเรียนรูแ้ บบวิจยั เป็ นฐาน (Research Based Learning) การเรียนรู้แบบวิจัยเป็ นฐาน หมายถึง การจัดการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการวิจัยหรือผลการวิจัยเป็นเคร่ืองมอื ในการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นการจัดการเรียนรู้ท่เี น้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็ นข้ันตอนการสอน ใช้โครงการวิจัยเป็ นเคร่ืองมือการเรียนรู้และใช้งานวิจัยและผลการวิจัยเป็นองคป์ ระกอบในการเรียนการสอน ซ่ึงมหี ลายวิธดี งั น้ี 1. การสอนโดยใช้วิธวี ิจัยเป็นวิธกี ารสอน เร่ิมต้ังแต่กาหนดปัญหาวิจัยไปจนถึงสรุปผลการวิจัยการ ทาให้ผู้เรียนมีวิธกี ารคิดอย่างเป็นระบบ และเป็นข้ันตอน โดยการสอนเป็นไปตามข้นั ตอนการวิจัย ดงั น้ี - ระบุปัญหาการวิจัย - ต้งั สมมติฐาน - รวบรวมข้อมูล - พิสจู น์ ทดสอบสมมตฐิ าน - วิเคราะห์ข้อมูล - สรุปผล 2. การเรียนรู้จากการเป็นผู้ช่วยวิจัย การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทาวิจัย โดยผู้เรียนมีสถานะเป็ นผู้ช่วยวิจัย ได้มีส่วนร่วมต้ังแต่ ปัญหาวิจัย กระบวนการทาวิจัย ข้นั ตอนการวิจัย การสรุปผลการวิจัย
3. การเรียนรู้จากรายงานการวิจัย การให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่ม จากรายงานการวิจัยหรือบทความวิจัย เหมาะสาหรับ ทุกระดบั การศึกษา แต่เป็นภาระหนักของผู้เรียน จึงนิยมทาในระดับบัณฑติ ศึกษา 4. การเรียนรู้จากการวิจัยประกอบการสอน การให้ ผู้เรียนศึกษางานวิจัยในรูปของบทความวิจัยจานวนมาก โดยทางานเป็ นกลุ่ม หรือ รายบุคคล โดยให้นาเสนอและสกดั เป็นบทความวิชาการจากงานวิจัย และอ้างองิ บทความต่างๆ ท่ี ค้นคว้าการเลือกใช้ Research Based Learning ในการเรียนการสอน 1. การสอนในช้ันเรียนปกติ สอนให้รู้วิธวี ิจัย 2. การสอนด้วยวิธกี ารสบื เสาะโดยใช้งานวิจัยเป็นฐาน สอนโดยให้อ่านและวิเคราะห์งานวิจัย 3. การสอนแบบโครงการวิจัยภาคสนาม สอนโดยให้ศึกษาปัญหาและเกบ็ ข้อมูลจริง 4. การสอนแบบโครงการวิจัยภาคเรียนสดุ ท้าย กาหนดเป็นเง่อื นไขกาหนดหลักสตู รข้นั ตอน Research Based Learning ในระดบั บณั ฑิตศึกษา ข้นั ท่ี 1 ผู้เรียนกาหนดปัญหาและประเดน็ ท่ผี ู้เรียนต้องการศึกษา ข้นั ท่ี 2 ผู้เรียนเลือกบทความวิจัยระดับนานาชาตเิ สนอผู้สอน ข้ันท่ี 3 ผู้สอนพิจารณาบทความและเหน็ ชอบให้ผู้เรียนศึกษา ข้นั ท่ี 4 ผู้เรียนวิเคราะห์และสรุปบทความวิจัย ข้ันท่ี 5 ผู้เรียนนาเสนอบทความวิจัยและอภิปรายร่วมกบั ผู้สอน ข้ันท่ี 6 ผู้เรียนเขียนบทความวิชาการจากบทความวิจัยหลกั การพจิ ารณาบทความวิจยั บทความวิจยั ทีน่ ามาใชใ้ นการจัดการเรียนรู้ Research Based Learning 1. ใหม่ ควรเป็นบทความวิจัยท่อี ยู่ในช่วง 5 ปี 2. ใหญ่ ยาก ลึก บทความวิจัย 5-15 หน้า มีตวั แปร วิธกี ารวิจัยและสถิติท่ซี ับซ้อน 3. แหล่งท่มี าวารสารฐานข้อมูลสากล เช่น Science Direct, SCOPUS, ISI, ACM ฯลฯ 4. เก่ยี วข้องโดยตรงกบั วิชาท่เี รียนหรือประยุกตม์ าจากศาสตร์อ่นื ๆ 5. บทความวิจัยอยู่ในระดับ Full paper หรืออย่างน้อย Conceptual, Process, Product, Resultผลการเรียนรูท้ ีเ่ กิดข้ ึนจาก Research Based Learning การเรียนรู้แบบวิจัยเป็ นฐาน เป็ นการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัย โครงการวิจัยหรือผลการวิจัยเป็นเคร่ืองมือในการจัดการเรียนการสอน เป็นส่วนหน่ึงของการจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะ เน้นผู้เรียนเป็ นสาคัญ โดยอาจารย์เป็ นผู้จัดการเรียนรู้ท่ีจะทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการเรียน ศึกษาปัญหา
ต้งั สมมติฐาน หาวิธกี ารได้มาซ่ึงความรู้ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ สรุปผลการเรียนรู้และนาเสนอผล ท้งั หมดใช้วิธีวิทยาการวิจัยในการจัดการเรียนรู้ สอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 อันจะนาไปสู่ยุคดิจิตอลไทยแลนด์และการศึกษาในยุค 4.0 เพ่ือสร้างผู้เรียนให้เป็น Innovative Producing และฐาน เป็นการฝึกผู้พิจารณาบทความวิจัย โดยการอ่านบทความวิจัย แล้วสรุปเพ่ือนาเสนอ เป็ นการพัฒนาผู้เรียนในระดับบัณฑติ ศึกษา เป็นการพัฒนาผู้นาทางวิชาการในระดับสงู ฝึกการอ่านบทความวิจัยระดับโลก ฝึกการเป็นผู้ประเมินบทความ เป็นการเน้นท่กี ารคิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์ การสร้าง การประเมินค่า ซ่ึงเป็นกระบวนการคิดข้นั สงู
แบบจาลองการวิจยั กลุ่มในในช้นั เรียน Heterogeneous Group Explicit Discussion of Assigned: Academics, Positive Group Instructor selects leadership & initiative, Experiences research focus student input Write Research Questions-iterative (RG)Data collection Write Project Proposals- iterative (RG)Oral Group Field Quiz Mid Project Peer & Data Analysis & Abstract Self-Assessment (RG) interpretation (RG) Group Paper Group PresentationFinal Project Peer Assessment
แนวปฏิบตั ิการจัดการเรียนรูแ้ บบโครงงานเป็ นฐาน (Project Based Learning) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning) คือ การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ จุดศูนย์กลางของการจัดการเรียนการสอนไม่ได้อยู่ท่ตี ัวอาจารย์ ไม่เน้นการจดเลคเชอร์หรือ บรรยาย แต่เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยการจัดกิจกรรม เป็นโครงการ หรือ โครงงาน แล้วให้ผู้เรียนลงมือปฏบิ ัติ ผู้เรียนจะเกดิ การเรียนรู้ด้วยตัวเอง แก้ปัญหาเอง กาหนดบทบาทหน้าท่ดี ้วยตัวเอง ซ่ึงจะสอดคล้องกับใน ศตวรรษท่ี 21 คือ creative ความคิดสร้างสรรค์ของตัวผู้เรียน เน้นวิจารณญาณ และการทางานร่วมกับผู้อ่ืน แต่ในขณะท่ีอาจารย์ผู้สอน ไม่ได้ถูกฝึ กมาในลักษณะแบบน้ัน แต่สังคมต้องการบุคคลในลักษณะศตวรรษท่ี 21 แบบน้ี ดังน้ันจึงใช้ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็ นฐาน (ProjectBased Learning) มาเป็นเทคนิควิธกี าร
ความแตกต่างระหว่าง การจดั การเรียนการสอนทวั่ ไป กบั การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงานเป็ นฐาน การจดั การเรียนการสอนทวั่ ไป การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงานเป็ นฐานจดเลคเชอร์ บรรยาย ส่งั งาน หรือให้การบ้าน เน้นผู้เรียนเป็ นสาคัญ ผู้เรียนจัดกิจกรรม จัดทาอาจารย์ผู้สอนเป็ นศูนย์กลาง โครงการ โดยมีอาจารยเ์ ป็น tutor หรือ coaching ผลลพั ธ์ ผลลพั ธ์ผู้เรียนทาตามเง่ือนไขของอาจารย์ผู้สอน ผู้เรียนไม่ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง คิดสร้างสรรค์และเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ได้คิดสร้างสรรค์หรือ แก้ปัญหาด้วยตัวเองเป็ น เกิดความคิดสร้างสรรค์แก้ปัญหาด้วยตวั เอง และการทางานเป็ นทมีภาพรวมการจดั การเรียนการสอนแบบโครงงานเป็ นฐานProject kickoff Learn by doing Showtimeคื อ การเร่ิ ม ต้ น ท า Project Learning by doing เป็นหัวใจ เม่อื ตวั ผู้เรียนจัดทาโครงงานเสรจ็หรือโครงการ โดยอาจารย์ หรืออยู่ในระหว่างการดาเนินงาน สาคัญ ข อ ง Project-Basedผู้สอนให้ ผู้เรี ยนแบ่ งกลุ่มเองแล้ วกาหนดหัวข้อเร่ืองท่ีจะ Learning ผู้เรียนสามารถท่จี ะ ตัวผู้ เรียนต้ องมาน าเสน อให้จัดทาโครงการด้ วยตัวเอง เรียนรู้จากส่งิ ท่ตี วั เอง ได้เรียนรู้ อาจารย์ หรือ เพ่ือนร่วมช้ันเรียน ได้รับฟัง รับชม ของโครงการท่ไี ด้แล้ วนาเสนอหัวข้ อน้ัน ต่ออาจารย์ จากการลงมือปฏบิ ัติ เช่นการผลิต จัดทาข้ึน อาจจะอยู่ในรูปแบบ ช้ินงาน การติดต่อส่ือสารกับบุคคล ของ อ่ืน การคิดสร้ างสรรค์ของช้ินงาน ห รือ การแ ก้ ปั ญ ห าท่ีเกิด ข้ึน กับ การ จัดนิทรรศการ โครงงานท่ตี วั ผู้เรียนได้จัดทาข้นึ
ประเภทของการเรียนการสอนแบบโครงงานเป็ นฐาน แบ่งออกเป็ น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. โครงงานประเภทสารวจ (Survey Research Project) 2. โครงงานประเภททดลอง (Experimental Research Project) 3. โครงงานประเภทส่งิ ประดิษฐ์ (Development Research Project)
4. โครงงานประเภททฤษฎี (Theoretical Research Project)บทบาทครู 8 ประการ 1. ให้นักเรียนเรียนรู้จากการทาโครงงาน (Projects) 2. ให้ นักเรียนได้เรียนตามหัวข้อและเวลาเรียนท่ีประสงค์ด้วยวิธีเรียนท่ีครูคิดว่าเหมาะสม(Ondemand) 3. ให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามวิธที ่เี หมาะสมตรงกบั วิธกี ารเรียนรู้ของตนเอง (Personalized) 4. ให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยวิธกี ารทางานร่วมกนั (Collaboration) 5. นาห้ องเรียนสู่ชุมชนโลกด้ วยการเช่ือมโยงกับห้ องเรียนอ่ืนๆในโลกด้ วย ICT (GlobalCommunication) 6. ให้นักเรียนได้สบื ค้นความรู้จากเวบ็ ไซต์ (Web-based) 7. มุ่งให้นักเรียนนาความรู้ไปสกู่ ารปฏบิ ัตจิ ริงในชีวิตประจาวัน (Learning For Life) 8. มีการวัดและประเมนิ ผลนักเรียนเป็นระยะๆ เพ่ือปรับปรุง (Formative Assessment)
ข้นั ตอนการเรียนรูแ้ บบโครงงานเป็ นฐาน ถา้ จดั โครงงานทง้ั ภาคเรียน ใหเ้ สนอ โครงงานเป็น 3 บทเหมือนวิทยานิพนธ์ ผเู้ รียนหรือผสู้ อน ตอ้ งประชาสมั พนั ธ์ให้อาจารย์ในคณะ หรือมหาวิทยาลยั รบั ชม/ฟัง ผลงาน
บทบาทของผสู้ อนและผเู้ รียนใน Project Based Learningบทบาทของผสู้ อน ข้นั ตอนการจดั การ บทบาทผเู้ รียน เรียนรู้ 1.เสนอแนวคดิ เลือก และกาหนดหัวข้อ โครงงาน แบบโครงการ 2.เสนอแนวทาง ออกแบบการทาโครงงาน1.จัดให้มีการปฐมนิเทศวิธกี ารเรียนรู้ ข้นั นาเสนอ 3.วางแผนร่วมกนั ในการเรียนรู้แบบ โครงงานแบบโครงงาน เพ่ือให้รู้ถงึ หลักการ 4.ศึกษาค้นคว้าเอกสารเพ่ิมเตมิ จากแหล่ง เรียนรู้ต่างๆวัตถุประสงค์ ประโยชน์ ตัวแปร ปัจจัย 5.เสนอเค้าโครงย่อของโครงงานต่อผู้สอน 6.ลงมอื ปฏบิ ัตโิ ครงงานตามข้นั ตอนท่ีสาคัญในการทาโครงการ ปัญหาและ วางแผนไว้ 7.รวบรวมผลการทาโครงงานอปุ สรรคต่างๆ 8.เสนอแนวทางแก้ไขปรับปรุงผลการทา โครงงาน2.ให้คาปรึกษาในการดาเนินงานของ ข้นั วางแผน 9.เขียนรายงานหรือนาเสนอผลงาน โครงงานต่อผู้สอนผู้เรียนทุกข้นั ตอน 10.เผยแพร่ผลงานต่อสาธารณชน 11.ประเมินผลการเรียนรู้แบบ3.ติดตาม สอบถามความก้าวหน้า ข้นั ปฏบิ ัติ โครงงานของตัวเองดูแลการทาโครงงานของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด4.สังเกตและประเมินการทากจิ กรรม ข้นั ประเมินผลของผู้เรียน5.สรุปการทางานและเสนอแนะการทางานของผู้เรียนแต่ละกลุ่มโดยรวม
แนวปฏิบตั ิที่ดีเรือ่ ง กระบวนการสรา้ งนวตั กรรม
ความสาคญั ดว้ ยมำตรฐำนและตวั บ่งช้ีคุณภำพหน่วยงำนดำ้ นกำรวจิ ยั ของภำครัฐ ที่กำหนดโดยสำนกั งำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ (สมศ.) ได้มีกำรกำหนดให้อำจำรยม์ ีกำรตีพิมพผ์ ลงำนวิจยั กำรทำงำนวิจยั จึงเป็ นภำรกิจหลกั อย่ำงหน่ึงของอำจำรยใ์ นสถำบนั อุดมศึกษำ แต่ดว้ ยอำจำรยห์ ลำยๆท่ำนในสำนักวิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพ มหำวิทยำลัยแม่ฟ้ ำหลวง เป็ นอำจำรย์ใหม่ที่เพ่ิงกำลังจบกำรศึกษำประสบกำรณ์ในด้ำนกำรทำงำนวิจยั ของอำจำรยจ์ ึงยงั คงน้อย กำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกบั กระบวนกำรสร้ำงนวตั กรรม (Knowledge Management : KM) จะช่วยให้อำจำรยร์ ับทรำบแนวทำงและทิศทำงของกำรสร้ำงนวตั กรรม คณะกรรมกำรพฒั นำสำนักวิชำสู่องค์กรแห่งกำรเรียนรู้ และธรรมำภิบำล สำนกั วิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพ มหำวทิ ยำลยั แม่ฟ้ ำหลวง ไดเ้ รียนเชิญอำจำรยผ์ ทู้ รงคุณวฒุ ิในสำนกั วชิ ำท่ีมีควำมเชี่ยวชำญเป็ นอยำ่ งยงิ่ ในกำรสร้ำงนวตั กรรม คือ รศ. ดร. จินตนำภรณ์ วฒั นธร ร่วมแลกเปลี่ยนกระบวนกำรสร้ำงนวตั กรรมกบัอำจำรย์สำนักวิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพ ซ่ึงจัดกิจกรรมร่วมกับส่วนส่งเสริมพัฒนำทำงวิชำกำรของมหำวทิ ยำลยั แมฟ่ ้ ำหลวงโดยสรุปผลกำรแลกเปลี่ยนไดด้ งั น้ีนยิ ามและประเภทของนวตั กรรม นวตั กรรม คือ ควำมคิด กำรปฏิบตั ิ หรือส่ิงประดิษฐใ์ หมท่ ่ียงั ไม่เคยมีใชม้ ำก่อน หรือเป็นกำรพฒั นำดดั แปลงมำจำกของเดิมที่มีอยแู่ ลว้ ใหท้ นั สมยั และใชไ้ ดผ้ ลยง่ิ ข้ึน เม่ือนำนวตั กรรมมำใชจ้ ะช่วยใหก้ ำรทำงำนน้นั ไดผ้ ลดีมีประสิทธิภำพ และประสิทธิผลสูงกวำ่ เดิมท้งั ยงั ช่วยประหยดั เวลำและแรงงำน ซ่ึงประเภทของนวตั กรรม ไดแ้ ก่ 1. Product Innovation คือ กำรเปลี่ยนแปลงในผลิตภณั ฑห์ รือบริกำร เช่น โทรศพั ทเ์ คลื่อนท่ีรุ่นใหม่ท่ีพบั เก็บคลำ้ ยกระดำษได้ 2. Process Innovation คือ กำรเปลี่ยนแปลงกระบวนกำรผลิตหรือกระบวนกำรนำนวตั กรรมสู่ตลำดเช่น กำรเปลี่ยนแปลงวิธีกำรผลิตและเคร่ืองมือที่ใช้ในกำรผลิตรถยนต์ กำรมีระบบ Home entertainmentประจำทุกบำ้ น 3. Position Innovation คือ กำรเปล่ียนแปลงรูปแบบของสินคำ้ หรือกำรบริกำร หรือเปล่ียนตำแหน่งนวตั กรรมสินค้ำหรือบริกำรที่เคยออกสู่ตลำดมำแล้วให้รับรู้ใหม่ เช่น Lucozade ท่ีแต่เดิมเป็ นเครื่องด่ืมสำหรับเด็กช่วยให้ฟ้ื นไขเ้ ร็ว แต่ต่อมำผูผ้ ลิตได้นำเสนอรูปแบบกำรใช้ Lucozade ใหม่โดยนำเสนอในรูปแบบเคร่ืองดื่มบำรุงร่ำงกำย สำหรับนกั กีฬำ
4. Paradigm Innovation คือ กำรมุ่งให้เกิดนวตั กรรมท่ีเปลี่ยนแปลงกรอบควำมคิด (Change inMental Model) เปล่ียนแปลงกระบวนทศั น์นวตั กรรมองคก์ รใหม้ ีกำรเปล่ียนแปลงควำมคิดใหม่ เช่น เดิมเชื่อวำ่ กำรผลิตรถยนตด์ ว้ ยมือจะมีควำมประณีต ท้งั ยงั มีรำคำแพง สำหรับผมู้ ีฐำนะร่ำรวยเท่ำน้นั แต่ต่อมำเชื่อวำ่กำรผลิตจำนวนมำกแบบ mass production ที่มีรำคำเหมำะสม สำมำรถควบคุมคุณภำพรถยนต์ให้มีสมรรถนะคงท่ีไดด้ ีกวำ่ตวั ชี้วดั นวตั กรรม 1. เกิดจำกสภำพปัญหำหรือขอ้ จำกดั หรือควำมตอ้ งกำรพฒั นำต่อยอด 2. ใชท้ รัพยำกรทอ้ งถิ่น หรือชุมชน 3. ถ่ำยทอดได้ 4. มีผไู้ ดร้ ับประโยชนจ์ ำนวนมำก 5. ต่อยอดและพฒั นำได้ 6. มีคุณค่ำทำงสังคมความคิดริเร่ิมในการสร้างนวตั กรรม เริ่มจำกกำรสร้ำงแรงบนั ดำลใจ โดยแรงบนั ดำลใจท่ีก่อนให้เกิดกำรผลกั ดนั ในกำรสร้ำงนวตั กรรมแบ่งออกเป็น 3 แบบไดแ้ ก่ 1. แรงบนั ดาลใจจากเป้ าหมาย เช่น เป้ ำหมำยและควำมทำ้ ทำยขององคก์ ร 2. แรงบันดาลใจจากต้นแบบ เช่น มีบุคคลำกรผูท้ ่ีโดดเด่นในกำรผลิตนวตั กรรม ก่อให้เกิดควำมศรัทธำใหบ้ ุคคลำกรอ่ืนรู้สึกอยำกยดึ เป็นแบบอยำ่ ง 3. แรงบันดาลใจจากการกระตุ้น เป็ นกำรใชเ้ หตุกำรณ์ เงื่อนไข สถำนกำรณ์บำงอยำ่ งกระตุน้เช่น พนกั งำนทุกคนที่ผลิตนวตั กรรม จะไดร้ ับโบนสั พิเศษ เม่ือมีแรงบนั ดำลใจท่ีจะริเริ่มในกำรสร้ำงนวตั กรรมแลว้ สิ่งที่ควรมีเพิ่มเติมอีกสำหรับผสู้ ร้ำงนวตั กรรมคือ กำรเชื่อมนั่ ในตนเอง ควำมมุง่ มน่ั ลงมือทำ และศรัทธำในผลสำเร็จ สรุปลำดบั ไดด้ งั ผงักระบวนกำรน้ี
สร้างแรงบนั ดาลใจเพอื่ ต่อยอดงานวจิ ัยใช้จริง ความเชื่อมั่นตนเองและศรัทธาในผลสาเร็จ มีความเชื่อม่นั ตนเอง และศรัทธาใน มุ่งมน่ั ผลงลมสือาเทรา็จทนั ที มีความเชื่อมนั่ ตนเอง และศรัทธาใน ดาเนินการผสลรส้าางเนร็จวตั กรรมอุปสรรคในการสร้างนวตั กรรม และข้อเสนอแนะในการแก้ไข 1. การปรับวิธีคิด โดยตอ้ งเริ่มจำกบุคลำกรในองค์กรทุกคนมีควำมเห็นพอ้ งตอ้ งกนั ในกำรเปลี่ยนแปลงองคก์ ร และมีควำมเช่ือมนั่ ร่วมกนั วำ่ จะสำมำรถสร้ำงนวตั กรรมได้ 2. การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในการทางาน โดยมีควำมสัมพันธ์กับยุคหรื อช่วงวัย(Generation) ของบุคลำกรในองคก์ ร ในบำงคร้ังนวตั กรรมองคก์ รเปล่ียนไปเองตำมกระแสของคนกลุ่มใหญ่แต่ในบำงคร้ังตอ้ งอำศยั แรงขบั เคล่ือนให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงและสร้ำงกำรยอมรับแก่คนอีกกลุ่มไดด้ ว้ ยท้งั น้ีในแต่ละองคก์ รจะมีควำมยำกง่ำยในกำรแกป้ ัญหำน้ีแตกต่ำงกนั โดยข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั ต่อไปน้ี - กำรถูกครอบงำ หรือจำกดั ควำมคิด - กำรถูกปิ ดก้นั ต่อกำรแสดงออก หรือแสดงควำมเห็น - ควำมสัมพนั ธ์ในทำงลบของบุคลำกรในองคก์ ร - ระบบชนช้นั ในองคก์ ร - โครงกำรในองคก์ รท่ีมีควำมซบั ซอ้ นและหลำยช้นั 3. การเปลย่ี นเป้ าหมาย นวตั กรรมไมใ่ ช่เป้ ำหมำย แต่เป็นเครื่องมือในกำรทำงำนที่ใหบ้ รรลุเป้ ำหมำย ซ่ึงองคก์ รควรมีกำหนดเป้ ำหมำยใหมอ่ ยเู่ สมอ เพือ่ ใหเ้ กิดแรงจูงใจในกำรทำงำนและสร้ำงใหเ้ กิดเป้ ำท่ีพงึ ประสงค์
ข้นั ตอนการสรา้ งนวตั กรรมโดยสรุป จดั วเิ คราะห์นวตั กรรม คดิ สร้างสรรค์นวตั กรรม กาหนดแนวทางแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เลอื กศึกษาปัญหาใดอย่างละเอยี ดกาหนดปัญหา อำจใชค้ ำถำม SCAMPER ช่วยS: Substitute (การทดแทน) ลองคิดดูวำ่ บำงส่วนของผลิตภณั ฑ์ หรือกระบวนกำร เรำสำมำรถหC: Combine (การผสมหรือผนวกรวม) เป็ นกำรนำส่ิงสองส่ิงหรือมำกกวำ่ มำรวมกนั เพ่ือใหเ้ กิดA: Adapt (การปรับเปลย่ี นให้ก้าวหน้าหรือดขี นึ้ ) เชน่ ปรับเปลี่ยนโรงพยำบำลท่ีอึมครึม น่ำกลวัM: Modify (การดดั แปลงแก้ไขหรือเปลยี่ นแปลงรูปแบบคุณสมบัตใิ ห้ดขี ึน้ ) เช่น คิดคน้ โทรศพั ทP: Put to other purposes/uses (นาไปใช้เพอ่ื ประโยชน์หรือวตั ถุประสงค์อน่ื ) เช่น นำผลิตภณั ฑE: Eliminate (การตดั ทงิ้ หรือขจดั ออก) เช่น ตดั บำงของผลิตภณั ฑห์ รือกระบวนกำรออก จะมีวR: Rearrange/Reverse (จดั ระบบใหม่หรือเปลยี่ นทศิ ทางใหม่) ถำ้ เปลี่ยนกระบวนกำรหรือทำง
ถ่ายทอดและพฒั นานวตั กรรม ทดลองใช้นวตั กรรม หาจดุ ทเี่ หมาะสมในการใช้นวตั กรรม ประเมนิ ความเป็ นไปได้ในการสร้างนวตั กรรมดการทรัพยากรและสารวจนวตั กรรมหำส่งอ่ืนมำทดแทนไดห้ รือไม่ดส่ิงใหม่ แตกตำ่ งไปจำกเดิมว ใหส้ วยงำมเหมือนโรงแรม ทม์ ือถือท่ีเบำ และบำงกวำ่ เดิมฑไ์ ปขำยในตลำดอ่นืวธิ ีอ่ืนท่ีทำใหไ้ ดผ้ ลสมั ฤทธ์ิโดยไมใ่ ชว้ ธิ ีกำรเดิมหรือไม?่งำนกลบั ทำงที่แตกต่ำงจำกระบบเดิมจะเกิดผลเปลี่ยนแปลงอยำ่ งไร?
สรุปข้อเสนอแนะจากวทิ ยากร ในการริเร ดาเนินการหาวสั ดุ เครือ่ งมอื อุปกรณท์ ี่เหลือใช้ หรือไมม่ ี ใครตอ้ งการ เริม่ กระบวนการ เริม่ จากไสรา้ งและออกแบบ นอกจากแรงบนั ด นวตั กรรม ได้ ขอท เริ่มกระบวนการ สรา้ งและออกแบบ นวตั กรรม
ริ่มสร้างนวัตกรรมจากทไี่ ม่มตี ้นทุนใดๆ เริ่มกระบวนการ สรา้ งและออกแบบ เขา้ ร่วมกลมุ่ กบั ผู้ มคี วามสามารถ นวตั กรรมไม่มีอะไรดาลใจ และศรทั ธาทุนวิจยั ไม่ได้ หาทุนสนบั สนุน เริ่มกระบวนการ จากการรบั จา้ งทา สรา้ งและออกแบบ วิจยั หรือใชท้ ุน นวตั กรรม ส่วนตวั
แนวปฏิบตั ิทีด่ ีเรือ่ ง การวิจยั ในช้นั เรียน
ความสาคญั ดว้ ยมำตรฐำนและตวั บ่งช้ีคุณภำพหน่วยงำนดำ้ นกำรวจิ ยั ของภำครัฐ ที่กำหนดโดยสำนกั งำนรับรองมำตรฐำนและประเมินคุณภำพกำรศึกษำ (สมศ.) ได้มีกำรกำหนดให้อำจำรยม์ ีกำรตีพิมพ์ผลงำนวิจยั กำรทำงำนวิจยั จึงเป็ นภำรกิจหลกั อย่ำงหน่ึงของอำจำรยใ์ นสถำบนั อุดมศึกษำ แต่ดว้ ยอำจำรยห์ ลำยๆท่ำนในสำนักวิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพ มหำวิทยำลัยแม่ฟ้ ำหลวง เป็ นอำจำรย์ใหม่ท่ีเพิ่งกำลังจบกำรศึกษำประสบกำรณ์ในดำ้ นกำรทำงำนวิจยั ของอำจำรยจ์ ึงยงั คงนอ้ ย กำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้เก่ียวกบั แนวทำงกำรวจิ ยัในช้นั เรียน (Knowledge Management : KM) จะช่วยใหอ้ ำจำรยร์ ับทรำบแนวทำงและทิศทำงของกำรทำงำนวจิ ยั ดำ้ นกำรวจิ ยั ในช้นั เรียน คณะกรรมกำรพฒั นำสำนกั วิชำสู่องค์กรแห่งกำรเรียนรู้ และธรรมำภิบำล สำนกั วิชำวิทยำศำสตร์สุขภำพ มหำวทิ ยำลยั แม่ฟ้ ำหลวง ไดเ้ รียนเชิญอำจำรยผ์ ทู้ รงคุณวุฒิในสำนกั วชิ ำที่มีควำมเช่ียวชำญเป็ นอยำ่ งยิ่งในกำรทำงำนวิจยั ในช้นั เรียน คือ ดร.สุวพร เซ็มเฮง ร่วมแลกเปลี่ยนกำรวจิ ยั ในช้นั เรียนกบั อำจำรยส์ ำนกัวชิ ำวทิ ยำศำสตร์สุขภำพ ซ่ึงจดั กิจกรรมร่วมกบั ส่วนส่งเสริมพฒั นำทำงวชิ ำกำรของมหำวทิ ยำลยั แม่ฟ้ ำหลวงโดยสรุปผลกำรแลกเปล่ียนไดด้ งั น้ีข้นั ตอนการทาวิจยั ในช้นั เรียนโดยสรุป การวิจัยในช้ันเรียนหรือการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียน เป็ นกระบวนการแสวงหาแนวทางหรือวิธกี ารเพ่ือนามาใช้ในการแก้ปัญหาท่เี กิดข้ึนในระหว่างเรียนหรือในบริบทของช้ันเรียน โดยมีครูเป็นผู้วิจัยและใช้ผลการวิจัยน้ันเพ่ือการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป และสามารถพัฒนาคิดค้นข้ึนเป็ นนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาในช้ันเรียนได้ ท้งั น้ีกระบวนการเรียนการสอนไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนวิชาใดกต็ าม ครูผู้สอนจะต้องมีสมรรถภาพพ้ืนฐานท่สี าคัญอย่างน้อย 3 ประการด้วยกันเพ่ือให้ผู้เรียนเกดิ กระบวนการเรียนรู้ให้ได้มากท่สี ดุ คอื 1. มคี วามรู้ดใี นเน้ือหาวิชาท่สี อน (Subject Matter) 2. มีความสามารถในการช้ีแนะและสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ (CoachingMethod) 3. มี ค วาม รู้ใน ด้ าน เท คนิ คการวัดแ ละป ระเมิ น ผ ล ( Measurement and EvaluationTechnique) ท้งั น้ีเพ่ือท่จี ะสามารถทาความเข้าใจจุดประสงค์ของหลักสตู รและเน้ือหาวิชาท่สี อนได้ชัดเจนวางแผนและดาเนินการสอนให้ได้ผลตามจุดประสงค์น้ันๆ และตรวจสอบได้ว่าในการจัดรูปแบบการเรียนรู้ในช้ันเรียนน้ันผู้เรียนได้เรียนรู้หรือประสบผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายของกระบวนการเรียนรู้น้ันๆ มากน้อย
เพียงใดโดยอาศัยกระบวนการวัดและประเมินผล เม่ือประเมินแล้วพบว่าต้องปรับปรุงแก้ไข หากยังไม่มีวิธีการแก้ไขกต็ ้องทาการสืบค้นต่อด้วยการทาวิจัย เพ่ือให้ได้ข้อมูลหรือวิธกี ารท่จี ะนามาใช้ในการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนารูปแบบการเรียนรู้น้ันให้มีประสทิ ธภิ าพย่งิ ข้นึ การทาวิจัยลักษณะน้ีเรียกว่าการวิจัยในช้ันเรียน (Classroom Research) หรือการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียน (Classroom Action Research) เพราะเป็ นการวิจัยท่ีมุ่งหาแนวทางปฏิบัติท่ีเหมาะสมเพ่ือแก้ปัญหาในบริบทของช้ันเรียนหรือสงั คมในขณะน้ัน การลงสรุปผลการวิจัยจะมุ่งเฉพาะกลุ่มผู้เรียนท่ีศึกษาเท่าน้ัน ไม่เน้นการอ้างอิงไปถึงกลุ่มอ่ืนๆ ท่ีไม่ได้ศึกษา การทาวิจัยในช้ันเรียนของครูในระหว่างท่ีดาเนินการจัดรูปแบบการเรียนรู้และประเมินผลในช้ันเรียน สามารถทาได้ในรูปแบบของการสารวจ การหาความสมั พันธ์ การเปรียบเทยี บ และการทดลอง เพ่ือนาผลท่ไี ด้จากการวิจัยมาแก้ปัญหาหรือพัฒนาการบวนการจัดการเรียนรู้ให้ได้ผลตามจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาท่กี าหนดแนวปฏิบตั ิกระบวนการวิจยั ในช้นั เรียน 1. สารวจและวิเคราะห์ปัญหาการเรียนรู้คือการวิเคราะห์และประเมินสภาพการจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันว่าในช้ันเรียนท่ีผู้สอนรับผิดชอบน้ัน นักศึกษาได้เกิดการเรียนรู้หรือประสบผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด มีประเดน็ ใดท่จี ะต้องได้รับการแก้ไขหรือพัฒนาให้ดยี ่ิงข้ึนการวิเคราะห์ปัญหาอาจเป็นปัญหาจากปัจจัยนาเข้า กระบวนการ ผลผลิต ท้งั ด้านพุทธิพิสัย เจตพิสัย และทกั ษะพิสยั
สาเหตแุ ห่งปัญหาอาจทาการวิเคราะห์ จากบุ ค คล (ความ รู้ ค วาม สาม ารถ ค วาม เช่ือ การแสดงออก) วิธีการ (การดาเนินงาน การวางแผน และออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือสภาพแวดล้อม (บรรยากาศ ทรัพยากร สภาพเศรษฐกจิ และสงั คม)เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหา 2. การวางแผนออกแบบการวิจัยและการเลือกทางเลือกในการแก้ไขปัญหาสาหรับการวิจัยในช้ันเรียนในข้ันตอนน้ีคือ การต้ังคาถามในการวิจัยว่าในการศึกษาคร้ังน้ีครูต้องการศึกษาอะไร จะทาการศึกษากบั ใคร และจะทาอย่างไร น่ันคือการระบุวัตถุประสงค์ท่จี ะทาวิจัย ระบุกลุ่มนักศึกษา ทบทวนเอกสารท่เี ก่ยี วข้อง ส่งิ ท่ตี ้องการจะรู้หรือตวั แปรท่ตี ้องการจะศึกษา กาหนดวิธกี ารท่จี ะทาการศึกษากาหนดทางเลือกและเลือกทางเลือกในการแก้ไขปัญหา การกาหนดทางเลือกอาจมาจากความคิดประสบการณ์ในการจัดรูปแบบการเรียนรู้แบบต่าง ๆ หรืออาจมาจากการศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี งานวิจัย เทคนิคกจิ กรรมอ่นื ๆ เพ่ิมเติมมาปรับประยุกต์ใช้ถอื เป็นข้ันตอนในการคดิ ค้นนวัตกรรมเพ่ือแก้ปัญหาในช้ันเรียน ส่วนการเลือกใช้รูปแบบการวิจัยแบบใดน้ันข้ึนอยู่กับคาถามหรือวัตถุประสงค์ของการวิจัยท่ีครูผู้สอนต้ังไว้ แต่ละรูปแบบจะมีลักษณะการวางแผนการเกบ็ รวบรวมข้อมูลเพ่ือตอบคาถามการวิจัยแตกต่างกัน เช่นการวิจัยในช้ันเรียนท่ีมุ่งเน้นวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลหรือปฏบิ ัติการตามแผนเพ่ือประเมินและสะท้อนให้เหน็ ภาพเป็นระยะเพ่ือปรับแผนหรือหาแนวทางดาเนินการใหม่ให้เหมาะสมควรหรืออาจเป็นรูปแบบการวิจัยเพ่ือก่อให้เกดิ ความรู้ความเข้าใจ เช่น การวิจัยเชิงสารวจการวิเคราะห์พฤติกรรมในช้ันเรียน การศึกษารายกลุ่มรายบุคคล หรือการศึกษาเชิงความสมั พันธ์ หรืออาจ
เป็นการวิจัยเพ่ือมุ่งแก้ไขปัญหา เช่นการวิจัยเชิงทดลองใช้รูปแบบการเรียนรู้ ส่อื นวัตกรรม ชุดฝึก หรือการทดลองเฉพาะรายกลุ่ม 3. การสร้างและการพัฒนาเคร่ืองมือวัด เป็ นข้ันตอนท่ีสาคัญข้ันตอนหน่ึงในการสกัดข้อเทจ็ จริงจากส่งิ ท่ตี ้องการศึกษา ข้อมูลท่ไี ด้จากการวิจัยจะมีความน่าเช่ือถือเพียงใดข้นึ อยู่กับคุณภาพของเคร่ืองมือและวิธดี าเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล การใช้เคร่ืองมือในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลท่ีมีความเช่ือม่ัน(Reliability) และความเท่ียงตรง (Validity) สามารถให้ข้อมูลเพียงพอท่จี ะทดสอบสมมติฐานต่างๆท่ตี ้ังไว้ และลดความคลาดเคล่ือนหรือผลกระทบท่เี กิดจากตัวแปรท่ีไม่ได้ศึกษาให้เหลือน้อยท่ีสุดโดยอาศัยวิธกี ารทางสถติ ทิ ่มี ีเคร่ืองมือวัดท่มี ีประสทิ ธภิ าพ การวิจัยท่ีเน้นข้อมูลเชิงปริมาณโดยอาศัยแบบสอบถาม (Standard Questionnaire) หรือแบบสมั ภาษณ์ (Interview Schedule) จะต้องพิจารณาเคร่ืองมือท่ีสร้างอย่างระมัดระวังเพ่ือให้แน่ใจได้ว่าคาตอบท่ไี ด้เป็นข้อมูลท่แี ท้จริงของผู้ให้ข้อมูล ส่วนการวิจัยท่เี น้นข้อมูลเชิงคุณลักษณะโดยใช้การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างหรือไม่มีโครงสร้าง (Structured or Unstructured Interview) หรือการเกบ็ ข้อมูลแบบอภิปรายกลุ่ม (Focus Group Discussion) ผู้เกบ็ รวบรวมข้อมูลจะต้องมีทักษะอย่างสงู ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลให้มีความถูกต้อง ครบถ้วนและสมบูรณ์ เพ่ือนาไปส่กู ารจัดกระทากบั ข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลท่ถี ูกต้องต่อไป 4. การรวบรวมข้อมูล การจัดกิจกรรม และการปฏิบัติงานตามแผนในข้ันตอนน้ีคือ การกาหนดแหล่งข้อมูล การระบุลักษณะของข้อมูลและวิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูล เพ่ือทาการเกบ็ รวบรวมข้อมูลตามแผนท่ีกาหนด เช่น การรวบรวมจากข้อมูลสถิติท่ีโรงเรียนจัดเกบ็ ไว้ ได้แก่ คะแนนสอบคัดเลือกเข้า
ศึกษา ภูมิหลังของครอบครัวนักเรียน คะแนนสอบปลายภาคหรือปลายปี ท่ีครูจัดเกบ็ ไว้ จากน้ันจึงทาการดาเนินกจิ กรรมจากทางเลือกท่คี รูกาหนดจากน้ันจึงทาการวัดผลระดับการเรียนรู้อกี คร้ังเพ่ือดูว่าปัญหาในช้ันเรียนได้รับการแก้ไขอยู่ในระดับใด 5. วิเคราะห์ สรุปผลและเขียนรายงานเป็นการนาข้อมูลท่เี กบ็ รวบรวมได้มาประมวลเพ่ือการวิเคราะห์ เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลท่ใี ช้ข้ึนอยู่กบั ลักษณะข้อมูลท่เี กบ็ รวบรวมมา ถ้าเป็นข้อมูลเชิงปริมาณอาจจะนามาวิเคราะห์โดยการทาโพรไฟล์ (Profile) เพ่ือนาเสนอความเปล่ียนแปลงของผลท่ีได้จากการทดลองหรือติดตามวัดหรือสังเกตมาได้ ถ้าข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมาเป็ นข้อมูลท่ีได้มาจากการสังเกตพฤติกรรมหรือการจดบันทึก กส็ ามารถวิเคราะห์โดยใช้การจัดกลุ่ม จัดประเภท หรืออธิบายเหตุการณ์ท่ีเกดิ ข้นึ หรือเปล่ียนแปลงไปในขณะท่ที าการศึกษาวิจัยอยู่น้ัน ข้อมูลท่สี ามารถบันทกึ เป็นความถ่ีของการเกดิพฤติกรรมท่ีสังเกตได้อาจใช้วิธีการทางสถิติคือการทดสอบไคสแควร์ ( test) ช่วยในการทดสอบความแตกต่างของความถ่ีท่ีเกิดข้ึนในระหว่างกลุ่มท่ีศึกษาได้ การวิจัยในช้ันเรียนอาจไม่จาเป็ นต้องใช้สถิติท่ียุ่งยากมากในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติต่างๆ ข้ึนอยู่กับความต้องการตอบคาถามท่ลี ึกซ้ึงของการวิจัยท่ตี ้ังไว้ ซ่ึงสามารถหาอา่ นเพ่ิมเติมได้จากเอกสารหรือตาราทางการวิจัยและสถิติท่วั ไป 6. จัดเวทนี าเสนอผลการวิจัยในช้ันเรียนท่คี รูเป็นผู้วิจัย เพ่ือให้เพ่ือนครูหรือผู้สนใจสามารถจะนาไปศึกษาหรือค้นคว้าเพ่ิมเติมได้น้ัน ในการนาเสนอผลการวิจัยควรมีรายละเอียดในประเดน็ ต่างๆท่ีสาคัญๆ ได้แก่ ช่ือเร่ืองท่ีทาวิจัย สภาพปัญหาหรือความเป็นมาของปัญหาการวิจัย ข้ันตอนการวิเคราะห์ปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย ประโยชน์ท่ไี ด้รับในการวิจัย วิธกี ารพัฒนากจิ กรรมหรือนวัตกรรมท่ใี ช้ในการแก้ไขปัญหาในช้ันเรียน การดาเนินการวิจัย ตัวแปรท่ใี ช้ในการวิจัย การกาหนดกลุ่มตวั อย่างท่ใี ช้ในการวิจัย การพัฒนาเคร่ืองมือท่ใี ช้ในการวิจัย การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย ปัญหาอปุ สรรคท่เี กดิ ข้นึ และวิธกี ารแก้ไข
ตวั อย่างข้นั ตอนในกาช่ือกระบวนการ : การวิจัยในช้ันเรียนตวั ช้ีวัดท่สี าคญั ของกระบวนการ : กาหนดประเดน็ ความรู้และกลุ่มเป้ าหมาย การแลท่ี ผังกระบวนการ รายละเอยี ดงาการจัดการองคค์ วามรู้1 การระบุประเดน็ ความรู้และเป้ าหมายขการบ่งช้ีความรู้ ภารกจิ ของสานักวิชาด้านใดด้านหน่ึง ค 1.ด้านการวิจัย เป้ าหมายเพ่ือสร้างงานวิจัยในช้ันเรียน คณาจารย์สานักวิชาวิทยาศาสตร์สขุ ภา2 สารวจผู้ท่มี ีความเช่ียวชาญด้านการวิจ การสร้างและการแสวงหาความรู้
ารแลกเปลีย่ นความรู้ เอกสารท่เี ก่ยี วข้องลกเปล่ียน การนาไปใช้าน ผู้รับผิดชอบของ KM ท่สี อดคล้องกบั คณาจารยส์ านักวิชา แผนกลยุทธ์สานักวิชาคือ วิทยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาศาสตร์สขุ ภาพนและมกี ลุ่มเป้ าหมาย คอื คณะกรรมการพัฒนา รายงานการประชุมาพ สานักวิชาสอู่ งคก์ รแห่ง คณะกรรมการการจัยในช้ันเรียน การเรียนรู้ จัดการความรู้
Search