สขุ บัญญตั ิ แนวทางการปฏิบัติตน 3. ล้างมือให ้สะอาดก่อน 1. ล้างมือให้สะอาดอย่างถูกวิธี ด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้ง รับประทานอาหารและ เช่น ก่อนรับประทานอาหาร ก่อนและหลังเตรียม- ปรุงอาหาร หลังใช้ห้องน้ำห้องส้วม หลังไอจาม หลังการขับถ่าย หลังหยิบจบั สิง่ สกปรก หรือสัมผัสสัตวเ์ ลี้ยง ก่อนและ หลงั เยีย่ มผู้ป่วย 2. หลีกเลี่ยงการใช้มือจับสัมผัสบริเวณใบหน้า ขยี้ตา และจมูก 3. ล้างมือให้สะอาด บ่อยๆ จนเป็นนิสัยอย่างถูกวิธี ด้วยวิธีถูมือ 7 ขั้นตอน ทุกขั้นตอนทำ 5 ครั้ง และ ทำสลบั กันท้ังสองข้าง ท้ังมือซ้ายและมือขวา ได้แก่ 1) ฝา่ มือถฝู า่ มือ 2) ฝ่ามือถหู ลงั มือและนิ้ว ถูซอกนิ้ว 3) ฝา่ มือถูฝา่ มือและนิ้วถูซอกนิ้ว 4) หลังนิ้วมือถูฝา่ มือ 5) ถนู ิ้วหวั แมม่ ือโดยรอบด้วยฝา่ มือ 6) ปลายนิ้วถูขวางฝ่ามือ 7) ถรู อบข้อมือ 44
สขุ บญั ญตั ิ แนวทางการปฏิบตั ิตน 4. รบั ประทา นอาหารสุก 1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทุกวัน ในปริมาณ สะอาด ปราศจากสารอนั ตราย เพียงพอกบั ความต้องการของรา่ งกาย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจดั 2. รับประทานอาหารปรุงสุกใหมๆ่ สะอาด สีฉูดฉาด 3. รับประทานผักผลไม้สดทกุ มื้อ 4. ลดการรบั ประทานอาหารที่มีไขมนั สูง 5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุกๆดิบๆ รสจัด หวานจัด เคม็ จดั รวมทั้งอาหารทีม่ ีสารปนเปื้อน เช่น อาหารหมักดอง อาหารใส่สีฉูดฉาด ใส่สารฟอกสี ต่างๆ สารเพิ่มความกรอบ-ความเหนียวเด้ง ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอดั ลมประเภทต่างๆ 6. เลือกรับประทานอาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยคำนึงถึงหลัก 3 ป คือ ประโยชน์ ปลอดภัย ประหยดั 7. ปรุงอาหารที่ถูกสุขลักษณะและใช้เครื่องปรุงรส ที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงหลัก 3 ส คือ สงวนคุณค่า สกุ เสมอ สะอาดปลอดภัย 8. ใช้ช้อนกลางตกั อาหาร กรณีรับประทานอาหารร่วมกนั 9. ดืม่ น้ำสะอาด อยา่ งน้อยวนั ละ 8 แก้ว 10. ดืม่ นมทุกวนั เปน็ ประจำ วันละ 2-3 แก้ว 45
สุขบัญญตั ิ แนวทางการปฏิบัติตน 5. งดบุหรี่ สุร า สารเสพติด 1. ไมส่ บู บหุ รี่ และไมด่ ืม่ เครื่องดื่มทีม่ ีแอลกอฮอล์ การพนัน และพฤติกรรม 2. ไม่เกีย่ วข้องกบั สารเสพติดทั้งการเสพ-การค้า ทางเพศ 3. ไม่เลน่ การพนนั ไมค่ บกบั ผู้ที่เลน่ การพนนั 6. สร้างความสัมพันธ์ใน 1. หาโอกาสทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว สร้างบรรยากาศในการอยรู่ ว่ มกนั ให้อบอ่นุ สนุกสนาน ครอบครวั ให้อบอนุ่ 2. สมาชิกมีความรบั ผิดชอบหน้าที่ ที่มีต่อครอบครวั 3. แบ่งปันความรัก น้ำใจ เอื้ออาทร และห่วงใย ตอ่ ครอบครวั 4. จัดให้มีการทำกิจกรรมของครอบครัวร่วมกัน ในโอกาสวันพิเศษหรือวันสำคัญต่างๆ เช่น วันปีใหม่ วนั สงกรานต์ วันพระ วนั เกิด ฯลฯ 5. ให้ความสำคัญ ให้เกียรติสมาชิกในครอบครัว และถนอมน้ำใจซึง่ กันและกัน 6. ให้ความเคารพญาติผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นผู้วางรากฐาน ภูมิปัญญา ความอบอุ่นและแขง็ แรงของครอบครัว 7. ปรึกษาหารือและช่วยกันแก้ไขปัญหาร่วมกับสมาชิก ในครอบครัว กรณีมีปัญหาเกิดขึ้น 46
สุขบญั ญัติ แนวทางการปฏิบตั ิตน 7. ป้องกันอุบ ัติภัยด้วยการ 1. จดั วางของใช้ อปุ กรณ์ต่างๆ ให้เปน็ ระเบียบ ไม่ประมาท 2. ระมัดระวังบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น บันได ระเบียง พื้นกระเบื้องเปียกน้ำ 3. จัดให้มีแสงสว่างเพียงพอภายในบริเวณโรงเรียน 4. ระมัดระวังการเกิดภัยจากการใช้อุปกรณ์ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เตาแก๊ส ของมีคม จุดธูปเทียน บูชาพระ วัตถไุ วไฟ หรือสารพิษ ฯลฯ 5. ไม่เล่นริมถนนหรือบริเวณที่เสี่ยงอันตราย เช่น ริมแม่น้ำลำคลอง บ่อน้ำ บริเวณทีม่ ีการก่อสร้าง 6. การทำกิจกรรมในสถานทีต่ ่างๆ 7. ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และระมัดระวัง ตนเองในการเดินทาง 8. ฝึกทักษะเบื้องต้นในการดูแลตนเอง เช่น การใช้ บันไดหนีไฟ 9. ระมัดระวังในการทำกิจกรรมหรือหลีกเลี่ยงการกระทำ ที่เสี่ยงต่ออันตรายหรืออุบัติเหตุ ซึ่งอาจเกิดขึ้น ได้ตลอดเวลา 8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 1. ออกกำลงั กายกายให้เหมาะสม อย่างน้อยสปั ดาห์ละ 3 คร้ังๆ ละ 30 นาที เริม่ ด้วยการเตรียมความพร้อม และตรวจสขุ ภาพประจำปี และยืดเหยียดกล้ามเนื้อด้วยกายบริหารท่าต่างๆ ออกกำลังกายด้วยกิจกรรมที่เลือก จบลงด้วย กิจกรรมผ่อนคลาย เพือ่ ให้รา่ งกายกลบั ส่สู ภาวะปกติ 2. ตรวจสุขภาพโดยแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อยา่ งน้อยปีละ 1 คร้ัง 47
สขุ บญั ญตั ิ แนวทางการปฏิบัติตน 9. ทำจิตใจให ้ร่าเริงแจ่มใส 1. แบ่งเวลาในแต่ละวันให้เหมาะสม โดยจัดให้มีเวลา อย่เู สมอ ผ่อนคลายความเครียดบ้าง และพักผ่อนนอนหลับ ให้เพียงพอในแต่ละวัน 2. มองโลกในแง่ดี คิดในแง่บวก เอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักให้อภัย 3. เป็นคนฉลาดทางอารมณ์ รู้เท่าทัน และรู้จักควบคุม อารมณ์ตนเอง 4. จัดสิ่งแวดล้อมในบริเวณโรงเรียน ห้องนอน ห้องที่ต้องอยู่เป็นประจำให้สะอาดน่าอยู่ สบายตา สบายใจ แล้วจึงขยายสู่ชมุ ชน 5. ทำงานอดิเรกยามวา่ ง ให้ผ่อนคลาย เชน่ ทำสิง่ ประดิษฐ์ ปลูก-รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ 6. หากิจกรรมแปลกใหม่ในชีวิต เสริมสร้างความสดชื่น แจ่มใส เช่น กิจกรรมสาธารณประโยชน์ ความรู้เพิ่มเติมนอกระบบ เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือภูมิปญั ญาพื้นบ้าน 7. เมื่อรู้สึกไมส่ บายใจ เครียด หรือมีปัญหา ควรหาทาง ผ่อนคลาย ปรึกษา เพื่อน พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ครู หรือคนสนิทที่ไว้ใจได้ 8. ศึกษาธรรมะและนำหลักธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิต เพื่อความสงบและเป็นสุข 48
สขุ บญั ญัติ แนวทางการปฏิบตั ิตน 10. ม ี ส ำ น ึ ก ต่ อ ส่ ว น ร ว ม 1. ช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน โรงเรียน ร่วมสร้างสรรคส์ ังคม ที่ทำงาน ชุมชน และที่สาธารณะตา่ งๆ 2. ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและคุ้มค่า แยกขยะเพื่อ ลดปริมาณขยะและนำวัสดุบางอย่างหมุนเวียน กลบั มาใช้ใหม่ 3. หลีกเลีย่ งการใช้วัสดอุ ุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดมลภาวะ ต่อสิง่ แวดล้อม เช่น พลาสติก โฟม ฯลฯ 4. มีสำนึกในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค เช่น ใส่หน้ากากอนามัย ใช้ส้วมอย่างถูกวิธี ทิ้งขยะ ให้ถูกที่ กำจัดน้ำทิ้ง กำจัดขยะอย่างถูกต้อง และ ใช้ของอยา่ งประหยดั 5. ให้ความร่วมมือทำกิจกรรม เสียสละ เพื่อประโยชน์ ตอ่ ส่วนรวมด้วยความยินดีตามกำลังและความสามารถ 6. แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับสารเสพติดและแหล่งอาชญากรรม แก่เจ้าหน้าที่ 7. เป็นสื่อบุคคลที่ดีในการสื่อสารเรื่องที่สำคัญและ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมกับบุคคลต่างๆในครอบครัว และชุมชน 49
แบบเฝา้ ระวังพฤติกรรมสุขภาพตามสุขบัญญตั ิแหง่ ชาติ คำชีแ้ จง จงทำเครื่องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับความเปน็ จริงของทา่ น ข้อ แนวทางการปฏิบตั ิตน ประจำ ไม่แนน่ อน ไม่ปฏิบัติ 1 อาบน้ำทุกวนั 2 สระผมอยา่ งน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง 3 ตดั เล็บมือเลบ็ เท้าส้ัน 4 รบั ประทานอาหารเช้าทุกวัน 5 ล้างมือกอ่ นรบั ประทานอาหาร 6 ใสเ่ สื้อผ้าเครือ่ งนงุ่ ห่มทีซ่ กั สะอาด 7 รับประทานผกั ทกุ วนั 8 หลงั รับประทานอาหารจะบ้วนปากหรือแปรงฟันทกุ คร้ัง 9 เกบ็ ของเปน็ ระเบียบ ดแู ลที่พัก โรงเรียนให้สะอาด 10 ถ่ายอจุ จาระทุกวัน 11 ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว 12 แปรงฟนั ทกุ เช้าและก่อนนอน 13 ล้างมือทกุ คร้ังหลังใช้ห้องส้วม 14 สวมหมวกกันนอ็ คขณะขบั ขี่หรือซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ 15 คาดเข็มขัดนิรภยั เมื่อขับรถยนต์หรือเมื่อน่ังตอนหน้า 16 ปฏิบัติตามกฎจราจร 17 รบั ประทานอาหารครบ 5 หมู่ และหลากหลายชนิด 18 รับประทานอาหารปรุงสกุ 19 ใช้ช้อน ถ้วย จาน ที่ล้างสะอาดในการรบั ประทานอาหาร 20 บริหารกายอยา่ งน้อยสปั ดาห์ละ 3 วัน 21 หมนั่ สงั เกตตรวจสอบสขุ ภาพร่างกายตนเองอยู่เสมอ 22 ไมส่ บู บหุ รี่ 23 ไม่ดื่มเครื่องดืม่ ที่มีแอลกอฮอล ์ 50
ขอ้ แนวทางการปฏิบัติตน ประจำ ไม่แน่นอน ไม่ปฏิบัติ 24 ไมใ่ ช้สารเสพติด 25 ไม่เล่นการพนัน 26 ไม่เทีย่ วกลางคืน 27 นอนหลับเพียงพอทุกวนั 28 มีการทำกิจกรรมรว่ มกับเพือ่ นๆ อยู่เสมอ 29 ทิ้งขยะในทีร่ องรบั 30 ชอบวิตกกังวล เครียด หรือโมโหง่าย 31 ดื่มน้ำอัดลมเปน็ ประจำ 32 ใช้ฟนั กัดของแข็ง ฉีกถงุ พลาสติก 33 ชอบรบั ประทานอาหารรสเค็ม หวานจดั 34 ชอบรบั ประทานเนื้อสตั วต์ ิดมัน 35 รับประทานอาหารที่แมลงวนั ตอม 36 รบั ประทานขนมกรุบกรอบหรือขนมใสส่ ีฉดู ฉาดทุกวัน 37 ใช้เวลาพูดคุยโทรศัพท์นานๆ อยเู่ สมอ 38 เล่นเกมคอมพิวเตอรห์ รืออินเตอร์เนต็ เปน็ เวลานาน 39 เลน่ ริมถนน บอ่ น้ำ หรือสถานที่กอ่ สร้าง 40 อยใู่ นที่มีฝ่นุ ละออง ควัน บอ่ ย ข้อ 1-29 ประจำ = 2 คะแนน แสดงว่า การปฏิบัติอยู่ในระดับดีมาก ควรปฏิบัติต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ให้เป็นสุขนิสัย เพื่อสขุ ภาพอนามัยที่ดี ไม่แนน่ อน = 1 คะแนน แสดงว่า การปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง คือ ปฏิบัติพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเสี่ยงต่อปัญหา สุขภาพ ต้องกระตุ้นเตือนให้ปฏิบตั ิอย่างสมำ่ เสมอ ไม่ปฏิบัติ = 0 คะแนน แสดงว่า เสี่ยงอย่างมาก ต่อการเกิดปัญหาสุขภาพและโรคต่างๆ แต่ยงั ไมส่ าย ควรปรบั ปรงุ ตวั ปฏิบตั ิเพื่อไม่ให้เกิดความเสีย่ ง ขอ้ 30-40 ประจำ = 0 คะแนน แสดงว่า เสี่ยงอย่างมาก ต่อการเกิดปัญหาสุขภาพและโรคต่างๆ แต่ยังไม่สาย ควรปรับปรุงตัว ปฏิบัติ เพื่อไมใ่ ห้เกิดความเสีย่ ง ไม่แน่นอน = 1 คะแนน แสดงว่า การปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง คือ ปฏิบัติพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเสี่ยงต่อปัญหา สขุ ภาพ ต้องกระตุ้นเตือนให้ปฏิบัติอย่างสมำ่ เสมอ ไม่ปฏิบัติ = 2 คะแนน แสดงว่า การปฏิบัติอยู่ในระดับดีมาก ควรปฏิบัติต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ให้เป็นสุขนิสัย เพือ่ สขุ ภาพอนามัยทีด่ ี 51
ปญั หาสขุ อนามยั ทีพ่ บบอ่ ย เหา เหา เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กวัยเรียน จากการสำรวจภาวะสุขภาพเด็กวัยเรียน ในส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ปี 2555 ของงานอนามัยเด็กวัยเรียน ศูนย์อนามัยที่ 1-12 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า นักเรียนประถมศึกษา เป็นเหา ร้อยละ 18 และ นกั เรียนมัธยมศึกษา เป็นเหา ร้อยละ 2 เหา เกิดจากเชื้อปาราสิต จะอาศัยอยู่บนหนังศรีษะ เส้นผม ส่วนใหญ่จะพบ บริเวณท้ายทอย หลังหูและขมับ แต่ก็พบได้ทั้งศรีษะ จะดูดเลือดกินเป็นอาหาร น้ำลายของ เหาทำให้เกิดอาการคันได้ เหาจะวางไข่บนเส้นผม โดยหล่ังสารหุ้มปลายหนึ่งของไข่ให้เกาะ ติดแน่นอยู่กับเส้นผม มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไข่จะฟักเป็นตัวภายในเวลา 7-10 วัน เหาตวั ออ่ นใช้เวลาประมาณ 10 วนั หลังจากฟักออกจากไข่ เจริญเติบโตเป็นเหาเต็มวยั และ พร้อมสืบพันธ์ุได้ เหาจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้นอกตัวมนุษย์ หากอยู่นอกร่างกายมนุษย์ จะมีชีวิตอยูไ่ ด้แค่ 1-2 วนั เทา่ น้ัน การติดต่อ เหาติดตอ่ จากคนหนึง่ ไปสู่อีกคนหนึ่งได้ จากการใกล้ชิดกัน ใช้ของร่วมกนั อาการ คัน ระคายเคืองบริเวณหนังศรีษะ เกา ซึ่งแผลจากการเกาอาจทำให้ติดเชื้อ แบคทีเรียได้ และตอ่ มน้ำเหลืองข้างคอและท้ายทอยโต วิธีกำจดั เหา 1. ใช้หวีเสนียดสางเหาทิ้งทุกวนั 2. ใช้สมุนไพร เช่น ยาฉุน ใบหรือเมล็ดน้อยหน่าตำและคั้นกับน้ำหรือน้ำมัน ชโลมผมทิ้งไว้ 3-4 ช่ัวโมง 3. ใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดเหาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข ใสใ่ ห้ท่ัวศรีษะ ทิ้งไว้ 1 ช่ังโมง หรือตามฉลาก 52
การป้องกนั 1. สระผมให้สะอาดเป็นประจำ 2. หม่นั นำผ้าเชด็ ตวั ปลอกหมอน ผ้าปทู ี่นอน ผ้าหม่ มาซกั หรือผึง่ แดด 3. อยา่ ใช้หวีหรือผ้าเชด็ ผมร่วมกับผู้อืน่ 4. ไมค่ ลุกคลีหรือนอนใกล้ผู้ทีเ่ ป็นเหา 5. ครูหรือผู้ปกครอง ควรตรวจเหาให้เด็กและสมาชิกในครอบครัว อย่างน้อย สปั ดาห์ละ 1 คร้ัง 6. หากพบวา่ เปน็ เหา ต้องรีบรกั ษาทนั ที 7. แนะนำให้เพือ่ นและคนในครอบครวั กำจัดเหาพร้อมกันด้วยวิธีที่ถกู ต้อง 53
หดิ หิด เกิดจากตัวไรชนิดหนึ่ง เปน็ โรคติดตอ่ ทางผิวหนัง ถ้าหิดเข้าไปฝงั ตัวในผิวหนัง จะทำให้เป็นเม็ดตุ่มคนั มักพบตามงา่ มมือเป็นส่วนมาก อาจมีได้ตามแขน ขา รกั แร้ เอว และ อ วัยวะสืบพนั ธ์ุ พบในนกั เรียนภาคกลาง ร้อยละ 1.42 อาการ คันบริเวณที่มีเชื้ออาศัยอยู่ คันมากในเวลากลางคืน เกาจนอาจเป็นแผล หากมีโรคชนิดอืน่ ด้วย จะทำให้เกิดการอักเสบเปน็ แผลใหญไ่ ด้ การติดต่อ การสมั ผัสโดยตรงหรือใช้ของรว่ มกบั ผู้ทีเ่ ปน็ โรคนี้ ร ะยะฟกั ตัว ต้ังแตต่ วั หิดเข้าไปฝงั ตัวในผิวหนังจนถึงเวลาออกไข่ภายใน 24-48 ชัว่ โมง ภาพแสดง การเป็นหิดทีส่ ่วนต่างๆ ของร่างกาย ตวั เชือ้ หิด ซอกนิว้ มือ หลังมือ ข้อมือ ฝา่ เทา้ 54
การควบคุมปอ้ งกัน 1. ให้สุขศึกษาแก่นักเรียนถึงลักษณะของโรคและการแพร่เชื้อ ให้รู้จักรักษา ความสะอาดของรา่ งกาย เสื้อผ้า เครื่องนุง่ ห่ม 2. ครหู มัน่ ตรวจร่างกายทกุ เช้า 3. ห้ามเลน่ คลกุ คลีและใช้ของร่วมกัน การรกั ษา 1. ทำความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้า ระหว่างทำการรักษาควรแนะนำนักเรียน และผู้ปกครองให้ต้มเสื้อผ้าและเครือ่ งนอน เชน่ ผ้าปูทีน่ อน เพือ่ ฆา่ ตัวหิดและไข่ 2. ใช้ยารักษาหิดเหาขององค์การเภสัชกรรม หรือใช้ขี้ผึ้งกำมะถัน ซึ่งเป็นยา ที่ได้ผลดีที่สุด 55
กลาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา พบในนักเรียนภาคกลาง ร้อยละ 0.38 ระยะฟักตัว ไมแ่ น่นอน โรคกลาก แบ่งออกเปน็ 2 ชนิด คือ 1. กลากที่ศรีษะ จะเหน็ หนังศรีษะเปน็ วงๆ ลักษณะเปน็ แผน่ ขุย มีผมหกั เปน็ คอ ในวงน้ัน การติดต่อ เชื้ออยู่ตามแผ่นขุยผิวหนังบนศรีษะ เสื้อผ้า หมวก เครื่องใช้ของ ผู้เป็นโรคและเครื่องมือตัดผม โรคนี้จะติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรงหรือ จากการใช้ของรว่ มกัน 2. กลากตามตวั รวมทั้งขาหนีบและซอกนิ้วเท้า บริเวณผิวหนังทีเ่ ปน็ จะมีวงเปน็ ขอบ ชัดเจน ซึ่งเชื้อราจะอยู่ตามขอบวงนั้น การติดต่อ การสมั ผสั โดยตรงและการใช้ของรว่ มกัน ภาพแสดง การเปน็ กลากที่สว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย ลำตัว หนังศรีษะ อณั ฑะ ซอกนิ้วเทา้ เลบ็ เท้า 56
การป้องกัน 1. สอนสุขศึกษาแก่นักเรียน ให้รักษาความสะอาดของศรีษะ ผม และร่างกาย ท่ัวไปอยู่เสมอ 2. ครหู มนั่ ตรวจร่างกายนกั เรียนทุกเช้า เมื่อตรวจพบ ให้สุขศึกษาและส่งปรึกษา เจ้าหน้าทีส่ าธารณสุขหรือใช้ยาตามทีเ่ จ้าหน้าที่สาธารณสุขแนะนำ 3. แนะนำนักเรียนและผู้ปกครองให้ทำลายเชื้อตามเสื้อผ้า เครื่องนอน และ เครือ่ งใช้อืน่ ๆ เช่น หมวก หวี ถุงเท้า รองเท้า ฯลฯ ด้วยการต้ม ทำความสะอาด และผึง่ แดด 4. ห้ามเลน่ คลกุ คลีและใช้ของร่วมกัน เชือ้ ราทีแ่ ขน กลากที่หน้า กลากที่มือ กลากทีห่ ลงั 57
การตรวจตาและวัดสายตา การตรวจตา ตรวจโดยไม่เปิดเปลือกตา ดูว่า มีขนตาร่วงเป็นหย่อม หรือมีตุ่ม เม็ด บวม แดง หรือไม่ สังเกตลักษณะหนังตาตก ดูจากด้านข้างว่า มีลักษณะตาโปน ซึ่งเป็นอาการของ ตอ่ มธยั รอยดเ์ ป็นพิษ ดูการเคลื่อนไหวของลูกตาทั้งสองข้าง • ตาขาว คนปกติ ตาขาวมีสีขาวอมฟ้าอ่อนๆ ตาขาวมีสีเหลืองเป็นอาการของ โรคตบั ถ้ามีเส้นเลือดแดงเรื่อ เปน็ อาการอกั เสบของเยือ่ บุตาหรือถกู กระแทก • ตาดำ คนปกติ ตาดำจะอย่ตู รงกลางนยั น์ตาเมือ่ มองตรง จะไมเ่ อียงไปข้างใดข้างหนึง่ • เยือ่ บุตา ปกติมีสีชมพอู ่อน เยื่อบุตามีสีชมพูเข้มหรือแดง แสดงวา่ มีตาอกั เสบ เยือ่ บุตาซีด แสดงวา่ มีภาวะโรคโลหิตจาง การวดั สายตา ด้วยแผ่นวัดสายตารูปตัวอี(E-Chart) เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อค้นหา ความผิดปกติของการมองเห็น แต่ยังไม่สามารถจำแนกว่าสาเหตุมาจากโรคตาหรือ สายตาผิดปกติ นักเรียนที่ตรวจพบสายผิดปกติ จึงควรไปขอคำแนะนำจากครูอนามัย เจ้าหน้าที่สาธารณสขุ หรือจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสายตาอยา่ งละเอียดต่อไป อุปกรณท์ ี่ใช ้ 1. แผ่นวัดสายตารปู ตัวอี (E-Chart) 2. เทปวัดระยะทาง 3. กระดาษแขง็ หรืออุปกรณอ์ ืน่ ที่ตดั เปน็ รปู ตวั อี (E) 4. อปุ กรณ์สำหรับชี้ตวั อี เชน่ ไม้บรรทดั ปากกา ไม้ชี้ การเตรียมสถานที ่ 1. สถานทีม่ ีแสงสวา่ งเพียงพอ 2. มีความยาวไมน่ ้อยกวา่ 6 เมตร 3. มีพื้นทีแ่ ละแผน่ ฝาผนงั เรียบทึบสำหรบั ติดแผ่นวัดสายตา 58
การติดแผน่ วดั สายตา 1. ติดแผน่ วดั สายตาทีฝ่ าผนงั โดยให้แถวสุดท้ายอยู่ในระดับสายตาของนักเรียน 2. ใช้เทปวัดระยะทางจากฝาผนังที่ติดแผ่นวัดสายตา โดยวัดออกมาในแนวตรง ครั้งละ 1 เมตร จนครบ 6 เมตร พร้อมเขียนเลขกำกบั ระยะ 1, 2, 3, 4, 5, 6 เมตร ตามลำดับ ขั้นตอนการวัดสายตา 1. ให้นักเรียนยืน โดยให้ส้นเท้าอยู่ที่ระยะ 6 เมตร หรือยืนในกรอบสี่เหลี่ยม ทีก่ ำหนดเป็นตำแหน่งยืน 2. วัดสายตาทีละข้าง โดยวดั ข้างขวาก่อนเสมอ 3. นกั เรียนปิดตาข้างซ้ายด้วยอุ้งมือซ้าย มือขวาถือตวั E โดยหันหน้าไปทางเดียวกบั แผน่ E-Chart 4. ผู้วัดสายตาชี้ตัวอักษรตั้งแต่บรรทัดบนสุดลงมาทีละตัว ให้นักเรียนอ่าน ทีละแถว ทั้งนี้นักเรียนต้องอ่านได้ถูกต้องมากกว่าครึ่งของจำนวนตัวอี แตล่ ะแถว จึงจะถือว่า ผ่าน 5. นักเรียนสายตาปกติ สามารถอ่านตัว E ได้ทุกแถว บันทึกว่า ความสามารถ ในการมองเห็นตาขวา เท่ากับ 6/6 (6 ตัวบน หมายถึง ระยะทางที่ยืนคือ 6 เมตร และ 6 ตวั ลา่ ง หมายถึง ขนาดตวั อกั ษรทีอ่ า่ นได้) ถ้านักเรียนอา่ นตวั E ในแถวระยะ 9 เมตร ไมผ่ า่ น แสดงว่า แถวสุดท้ายทีอ่ า่ นได้ คือ แถว 12 ผล คือ ความสามารถในการมองเหน็ ตาขวา 6/12 6. ให้นักเรียนทำเช่นเดียวกันเมือ่ วัดตาข้างซ้าย 7. กรณีนักเรียนสวมแวน่ สายตา ให้วดั สายตาโดยไม่ต้องถอดแว่น 8. หากนักเรียนยืนอยู่ที่ระยะ 6 เมตร มองไม่เห็นบรรทัดบนสุด ให้เลื่อนไปยืน ที่ระยะ 5 เมตร ถ้าอ่านแถวบนสุดได้ บันทึกผลเป็น 5/60 ถ้ายังอ่านไม่ได้ ให้เลื่อนระยะการยืนใกล้ไปเรื่อยๆ 9. ผลการวัดสายตา 6/6 แสดงว่า “ปกติ” และถ้าผลการวัดสายตาที่ได้ ในค่าต่างๆ เช่น 6/9, 6/12, 6/18, 6/24, 6/36, 6/60 แสดงว่า “ผิดปกติ” หากพบว่า ผลการวัดสายตาข้างใดข้างหนึ่งผิดปกติ ให้สรุปผล การวัดสายตาวา่ “ผิดปกติ” 59
การตรวจหูและการตรวจการไดย้ ิน การตรวจห ู ตรวจดูผิวหนังบริเวณใบหูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อค้นหาแผลเปื่อย น ้ำเหล ือง หรือหนองในรูหู ซึ่งเป็นอาการของหูน้ำหนวก การตรวจการไดย้ นิ ภาวะการได้ยินมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของนักเรียน นักเรียนที่ตรวจพบ การได้ยินผิดปกติ จึงควรขอคำแนะนำจากครูอนามัย เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือแพทย์ เพือ่ ตรวจการได้ยินอย่างละเอียดต่อไป การเตรียมสถานที่ ห้องทีใ่ ช้ต้องเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน และควรจดั เก้าอี้ให้นกั เรียนนั่ง วิธีตรวจการไดย้ ินอย่างง่าย 1. นักเรียนยืนหรือนงั่ หันหลงั ให้ผู้ทดสอบ 2. ผู้ทดสอบใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ถูกันเบาๆ ห่างจากรูหูประมาณ 1 นิ้ว ตรวจหทู ีละข้าง 3. ผู้ทดสอบถามผลการได้ยินว่าได้ยินเสียงนิ้วถูกันหรือไม่ ถ้าได้ยิน แสดงว่า “ปกติ” ถ้าไม่ได้ยินเสียงนิ้วถูกัน แสดงว่า “ผิดปกติ” หรือสงสัยว่า มีความผิดปกติของการได้ยินของหูข้างนั้น หากผลการตรวจหูข้างใดข้างหนึ่ง ผิดปกติ ให้สรปุ ผลการตรวจการได้ยินวา่ “ผิดปกติ” 60
หอ้ งปฐมพยาบาล ห้องปฐมพยาบาล เป็นห้องที่จำเป็นสำหรับนักเรียนและบุคลากรของโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รับบริการสุขภาพกรณีเจ็บป่วยเบื้องต้นและฉุกเฉิน เช่น ปวดศีรษะ เป็นไข้ หรือเป็นแผลจากการได้รับบาดเจบ็ จึงมารบั การปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ ขนาดพืน้ ทีข่ องหอ้ งปฐมพยาบาล 1. โรงเรียนขนาดเล็ก (นักเรียน จำนวนไม่เกิน 500 คน) ควรจัดให้เป็น มุมพยาบาล ที่มีเนื้อทีไ่ ม่น้อยกว่า 16 ตารางเมตร และมีเตียง อย่างน้อย 2 เตียง แยกชาย-หญิง 2. โรงเรียนขนาดกลาง(นักเรียน จำนวน 500-1,000 คน) ควรมีห้องพยาบาล ที่มีเนื้อที่ไม่น้อยกว่าครึ่งห้องเรียน หรือ 32 ตารางเมตร และมีเตียง อย่างน้อย 4 เตียง แยกชาย-หญิง (ถ้าเป็นสหศึกษา) 3. โรงเรียนขนาดใหญ่ (นักเรียน จำนวน 1,000-2,500 คน) และโรงเรียน ขนาดใหญ่ใหญ่พิเศษ (นักเรียน จำนวน ไม่เกิน 3,500 คน) ควรมีห้องพยาบาล ที่มีเนื้อที่ ไม่น้อยกว่าขนาด 1 ห้องเรียน และมีเตียง อย่างน้อย 6 เตียง แยกชาย-หญิง (ถ้าเป็นสหศึกษา) หรือมีอาคารพยาบาลโดยเฉพาะ ที่ตัง้ ของห้องปฐมพยาบาล 1. ควรอยู่ชั้นล่างของอาคารเรียน หรือศูนย์กลางของทุกอาคารเรียน เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย 2. ควรจัดให้มีห้องส้วมในห้องปฐมพยาบาลหรืออยู่ใกล้ หรือใกล้ห้องน้ำคร ู เพื่อความสะดวกแกผ่ ู้เจบ็ ป่วย เชน่ มีอาการท้องเดิน เปน็ ต้น 3. ควรอยู่หา่ งจากสิง่ รบกวนและเหตรุ ำคาญ ได้แก่ เสียง กลิ่น เปน็ ต้น คุณลักษณะของหอ้ งปฐมพยาบาล 1. จัดให้มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ควรมีที่ทำการปฐมพยาบาล และควรจัดบรรยากาศให้เหมาะสม 2. สะอาด มีแสงสวา่ งเพียงพอส่องผ่าน และมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก 3. สีภายในห้องควรเปน็ สีเยน็ ตา เชน่ ฟ้าอ่อน เขียวออ่ น 4. มีที่ล้างมือที่ถูกสุขลักษณะ คือ เป็นอ่างล้างมือ มีก๊อกน้ำ เปิดน้ำไหลผ่าน ได้สะดวก หรือกะละมงั ถังน้ำที่มีน้ำบรรจอุ ยู่ พร้อมสบสู่ ำหรบั ใช้ทำความสะอาดมือก่อนและ หลงั ให้การพยาบาล 5. มีม่านหรือฉากบังตา 6. มีสมุดบันทึกประจำห้องปฐมพยาบาล สำหรับจดบันทึกการให้บริการรักษา พยาบาลทุกครั้ง และเป็นหลักฐานการใช้จ่ายเวชภัณฑ์ เพื่อเป็นข้อมูลเสนอของบประมาณ จดั ซื้ออปุ กรณ์และเวชภณั ฑส์ ำหรับใช้ในห้องปฐมพยาบาล 61
บุคลากรที่ใหบ้ ริการดา้ นสขุ ภาพของหอ้ งปฐมพยาบาล 1. โรงเรียนขนาดเล็ก ควรมีครทู ำหน้าทีค่ รอู นามัย อย่างน้อย 1 คน 2. โรงเรียนขนาดกลาง ควรมีครูทำหน้าที่ครูพยาบาลหรือครูอนามัย อย่างน้อย 1 คน และครูผู้ช่วยอยา่ งน้อย 1 คน 3. โรงเรียนขนาดใหญ่ ควรมีครูทำหน้าที่ครูพยาบาลหรือครูอนามัย อย่างน้อย 1 คน และครูผู้ช่วยอยา่ งน้อย 2 คน 4. โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ ควรมีครูทำหน้าที่ครูพยาบาลหรือครูอนามัย อยา่ งน้อย 1 คน และครูผู้ชว่ ยอยา่ งน้อย 3 คน หมายเหตุ ครูพยาบาลที่รับผิดชอบงานโดยเฉพาะ ควรมีวุฒิปริญญาตรี ทางพยาบาล/พยาบาลวิชาชีพ 5. กรณีไม่มีครูพยาบาลในโรงเรียนโดยตรง ควรจัดครูหรืออาจารย์รับผิดชอบ ซึ่งควรจะผ่านการอบรมทางด้านอนามัยโรงเรียน 6. จัดให้มีนักเรียนแกนนำด้านสุขภาพ ทำหน้าที่อยู่เวรประจำห้องปฐมพยาบาล จดั เวรผลดั เปลีย่ นกนั มาเปน็ ชว่ งเวลาในแต่ละวนั ทั้งนี้ต้องมีความรู้และทักษะการดแู ลสุขภาพ เบื้องต้นได้ดี และตั้งใจปฏิบตั ิงาน 7. จัดให้มีคณะกรรมการสง่ เสริมสขุ ภาพของโรงเรียน 8. มีนกั การดแู ลความสะอาด สถานที่ และเครื่องนอน ฯลฯ บทบาทของครอู นามัย ครอู นามัย มีหน้าที่ดูแลด้านสขุ ภาพนกั เรียนในโรงเรียน ดงั นี้ 1. ประเมินสถานการณภ์ าวะสขุ ภาพของนกั เรียนและบคุ ลากรในโรงเรียน 2. ทำการปฐมพยาบาลแก่นักเรียนและบุคลากรในโรงเรียน เมื่อเจ็บป่วยหรือ ได้รบั อุบัติเหตุ 3. ส่งต่อผู้ป่วยอาการหนักเกินขีดความสามารถของครูอนามัย โดยนำส่ง โรงพยาบาล และรายงานให้ผู้บริหารโรงเรียนและผู้เกีย่ วข้องทราบ 4. ควบคุมและป้องกันการระบาดโรคติดต่อ พร้อมแนะนำช่วยเหลือ จัดสิง่ แวดล้อมของโรงเรียนให้ถกู สขุ ลกั ษณะ 5. ให้ความรู้แก่นักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัย สว่ นบุคคลและชุมชน และเผยแพรผ่ า่ นสื่อ เช่น แผ่นพับ โปสเตอร์ บอรด์ นิทรรศการ 6. ประสานบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ กรณีเกิดเหตุเกินขีดความสามารถ ใ นการดูแลชว่ ยเหลือ 62
วัสดุและอุปกรณป์ ระจำหอ้ งปฐมพยาบาล 1) ตู้ยา ควรมีลักษณะ 4 ชั้น สามชั้นบนเป็นกระจก และชั้นล่างสุดเป็นตู้ไม้ทึบ สำหรับปิด-เปิด จำแนกเป็น 1.1 โรงเรียนขนาดใหญ่ ควรมีขนาดของตู้ยา ดงั นี้ - ขนาดกว้าง 97.5 ซม.ลึก 45 ซม. สูง 150 ซม. - ชั้นกระจก บน กลาง ลา่ ง สูงช้ันละ 30 ซม. - ชั้นลา่ งสดุ เป็นไม้ทึบสงู 25 ซม. และมีขาตู้สูง 12.5 ซม. 1.2 โรงเรียนขนาดกลาง ควรมีขนาดของตู้ยา ดงั นี้ - ขนาดกว้าง 60 ซม. ลึก 45 ซม. สงู 115 ซม. - ช้ันกระจก บน กลาง ล่าง สงู ชั้นละ 27.5 ซม. โดยมีช้ันกระจกครึง่ ช้ัน ลึก 22.5 ซม.อยู่ระหว่างชั้นบนและช้ันล่าง - ช้ันลา่ งสดุ เปน็ ไม้ทึบสูง 25 ซม. และมีขาตู้ สูง 7.5 ซม. 1.3 โรงเรียนขนาดเล็ก ควรลดขนาดของตู้ยาลงครึ่งหนึ่ง หรือจัดให้เหมาะสม ตามความจำเปน็ บริบทสภาพพื้นที่ หรืองบประมาณทีไ่ ด้รับ 2) เตียง พร้อมที่นอน หมอน ผ้าหม่ และผ้าคลมุ เตียงจำนวนเทา่ กับจำนวนเตียง ตลอดจนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน อย่างน้อยอย่างละ 2 ชิ้น สำหรับใช้สลับเปลี่ยน รวมถึง ผ้ายางขวางเตียง ขนาด 100x62.5 ซม. 3) โตะ๊ เลก็ ข้างเตียง สำหรบั วางเหยือกน้ำ 4) รถเข็นสแตนเลสหรือโต๊ะเล็กพร้อมล้อเลื่อน สำหรับวางของเครื่องใช้ ในการทำแผล หรือวางอุปกรณท์ ำการรักษาพยาบาล 5) โต๊ะและเก้าอี้ 1 ชุด สำหรบั เจ้าหน้าทีท่ ีป่ ฏิบัติงานในห้องปฐมพยาบาล 6) เก้าอี้หรือม้ายาว สำหรับผู้มารอรับการรักษาพยาบาล 7) อ่างล้างมือ พร้อมกอ๊ กน้ำ สบู่ และผ้าเชด็ มือ 8) ถังขยะพร้อมฝาปิด สำหรับใส่สำลี ผ้าปิดแผลที่ใช้แล้ว จัดเป็นถังขยะติดเชื้อ เขียนด้วยสัญญลกั ษณส์ ีแดง และสำหรับใส่เศษสิ่งของไม่ใช้แล้ว จดั เป็นถงั ขยะทว่ั ไป 9) กระโถนข้างเตียงคนไข้ 63
10) เครื่องช่งั น้ำหนัก ที่วดั สว่ นสงู และแผ่นทดสอบสายตา 11) โคมไฟ สำหรับใช้สอ่ ง 12) ตู้เกบ็ เอกสาร สำหรบั เก็บบัตรบนั ทึกสขุ ภาพ สมดุ รายงานการให้บริการ 13) บอรด์ หรือกระดาน สำหรับบนั ทึกรายการและเผยแพร่ความรู้ 14) ตู้เย็นหรือกระติกน้ำแข็ง สำหรบั เกบ็ ยาบางชนิดและวคั ซีนชนิดต่างๆ 15) เหยือกน้ำและแก้วน้ำดืม่ 16) เสาน้ำเกลือ 17) อปุ กรณ์สำหรบั ต้มและนึ่งเครื่องมือ 18) เครื่องมือเครือ่ งใช้ต่างๆทีจ่ ำเปน็ ประจำห้องปฐมพยาบาล 64
การปฐมพยาบาล การปฐมพยาบาล เป็นงานให้บริการด้านสุขภาพในเบื้องต้น เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยทันทีที่ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วย ซึ่งอาจรุนแรงจนถึง อันตรายแก่ชีวิต โดยใช้เครื่องมือที่หาได้ในขณะนั้น เพื่อช่วยให้อันตรายน้อยลง ก่อนส่ง ใ ห้แพทยท์ ำการรกั ษา วัตถุประสงค ์ 1. เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยก่อนที่แพทย์จะมาถึงหรือก่อนนำส่งโรงพยาบาล ฉะนั้น ผู้ทำการปฐมพยาบาลจะต้องมีความรู้ในการช่วยเหลือเปน็ อยา่ งดี 2. ช่วยแก้ไขตามสภาพการณ์ของผู้ปว่ ย เชน่ ช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น บรรเทา ความเจ็บปวด แก้ไขอาการช็อค และป้องกนั ไม่ให้อาการแยล่ ง 3. ชว่ ยป้องกันโรคแทรก ซึง่ อาจจะเกิดตามมาภายหลังได้ เช่น ผู้ป่วยกระดูกหกั การเคลื่อนย้ายไปพบแพทย์ ควรทำให้ถูกวิธี มิฉะนั้น อาจเกิดอันตรายหรือเกิดความพิการ ตลอดชีวิต 4. การเตรียมผู้ป่วยเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องก่อนแพทย์จะมาถึง เช่น ผู้ป่วย มีบาดแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ควรทำการปฐมพยาบาลจากอาการเจ็บปวดและทำความ สะอาดแผลให้ถูกวิธี รวมทั้งการเคลื่อนย้ายในท่าที่เหมาะสม ถ้าไม่รู้สึกตัว ควรให้นอนตะแคง แ ละให้ศรีษะเอียงไปข้างๆ เพือ่ ป้องกันมิให้สำลัก ไมใ่ ห้สิ่งทีอ่ าเจียนไปอดุ หลอดลมได้ วิธปี ฏิบตั ิทัว่ ไป 1. ควรจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอน โดยให้นอนราบในท่าที่สบาย ห้ามคนมุง ถ้าหมดสติ อาจให้นอนคว่ำ ตะแคงหน้า ไม่หนุนหมอน 2. ถ้ามีเลือดออกจากบาดแผล ให้ช่วยห้ามเลือด 3. ตรวจดูทางเดินหายใจ เพื่อให้อากาศเข้าปอดได้โดยสะดวก ถ้าสงสัยว่า มีเศษอาหารหรือเสมหะ หรือสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจในปาก ควรใช้นิ้วมือล้วง ออกมากอ่ น ถ้าหยุดหายใจให้ช่วยผายปอด (สงั เกตจากการเคลือ่ นไหวที่บริเวณหน้าอก) 65
4. สังเกตอาการท่ัวไป ถ้าหมดสติ จะทราบได้โดยเปิดเปลือกตาขึ้น แล้วใช้ ผ้าเช็ดหน้าหรือสำลีสะอาดเขี่ยเบาๆที่ลูกตาขาวจะไม่กระพริบตาหรือเขี่ยเบาๆ ที่ขนตาถ้าไม่ หมดสติจะกระพริบตา ในรายที่รับประทานของที่มีพิษ จะมีรอยไหม้เกรียมหรือพอง ทีร่ ิมฝีปากและในปาก 5. ป้องกนั อาการชอ็ ค โดยให้ความอบอนุ่ แก่ผู้ปว่ ย 6. ผู้ปว่ ยกระดกู หกั ควรเข้าเฝือกชั่วคราวกอ่ น 7. ให้อยู่ในความสงบ ช่วยให้กำลังใจ ให้สงบและหายกลัว และให้ความหวัง การมีสติดี กำลังใจดี จะช่วยได้มาก ผู้ชว่ ยเหลือต้องอยู่ในความสงบ อย่าตื่นเต้นตกใจเกินไป 66
ลมพิษ ลมพิษไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการผื่นคันปรากฎขึ้นบนผิวหนัง เป็นผื่นแดงนูน มีขอบเขตเห็นได้ชัดเจน ขยายตัวเป็นบริเวณกว้าง บางทีผื่นแดงหลายๆผื่นขยายตัว มาติดเป็นปื้นใหญ่ๆ มีอาการคันมาก และประมาณครึ่งชั่วโมงผื่นที่ขึ้นมาจะยุบราบลงไปและ ทุเลาอาการคัน แต่จะมีผื่นขึ้นมาใหม่และมีอาการคันต่อกันไปเรื่อยๆ บางรายขณะมีลมพิษ อาจมีอาการปวดท้อง มีไข้ต่ำหรือบางรายไข้สูง บางรายมีอาการหายใจขัด อาการลมพิษ อ าจหายได้เองในเวลาประมาณ 2-3 ชวั่ โมง หรือทเุ ลาโดยการให้ยาหรืออาจเปน็ เรื้อรัง สาเหตุ เกี่ยวกับจิตใจ เช่น มีอารมณ์เครียดตลอดเวลา ตื่นเต้น ตกใจง่าย หรือ หญิงใกล้หมดประจำเดือน เกีย่ วกับรา่ งกาย - ภายนอกร่างกาย เชน่ ถูกสารเคมี เครื่องสำอาง ความร้อน ความเยน็ แรงกด ฝนุ่ ละออง เกสรดอกไม้ ยางไม้บางชนิด ขนสตั ว์ ได้แก่ แมว สนุ ขั นก ไก่ ฯลฯ - ภายในร่างกาย เช่น แพ้อาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล ยาบางอย่าง เช่น แอสไพริน ยาแก้ไข ยาแก้ไอ ซัลฟาเพนนิวิลิน คลอแรมเฟนนิคอล การอกั เสบภายในรา่ งกาย ได้แก่ โรคฟนั ผุ เปน็ ฝี แผลเป็นหนอง มีพยาธิลำไส้ ฯลฯ วิธีชว่ ยเหลือ - ให้ใช้ยาทาแก้คัน ถ้ายงั ไม่ทเุ ลาภายใน 30 นาที ให้นำส่งโรงพยาบาล - ควรแนะนำให้สังเกตตัวเองว่าแพ้อะไร และพยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุ อาการลมพิษจะหายไปได้ 67
คนเป็นลม เป็นโรคทีพ่ บบ่อย เกิดทีไ่ หน เมือ่ ไรก็ได้ คนเปน็ ลม มี 4 ชนิด ดงั นี้ 1) ลมหน้าซดี (ลมธรรมดา) สาเหตุ เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ พบมากทีส่ ดุ มีลกั ษณะหน้าซีดขาว มีเหงื่อออกเต็มหน้า เท้าเย็น แขนขาอ่อนไม่มีแรง หน้ามืด ตาพร่า อ่อนเพลีย ชีพจรเบาเร็ว บางทีมีคลื่นไส้อาเจียน อาจจะหมดสติไปชว่ั คร่ไู ม่เกิน 1-2 นาที ส่วนใหญจ่ ะฟื้นเอง วิธีช่วยเหลือ - ให้นอนราบศรีษะตำ่ และตะแคงหน้าไปทางใดทางหนึง่ อย่าให้คนมงุ - เช็ดน้ำมูก น้ำลาย และอาเจียนออกจากปากให้หมด - ปลดเครือ่ งแตง่ กายออกให้หลวม เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้อยา่ งเพียงพอ - ใช้ผ้าชบุ น้ำเยน็ เช็ดตามหน้าตาเท่าน้ัน - ให้ดมยาหอมๆ เช่น แอมโมเนียหอม - ถ้าไม่รู้สึกตวั อย่ากรอกยาหรือให้กินอะไรเข้าไป เพราะจะสำลักเข้าปอด - คอยสังเกตชีพจรและการหายใจ ถ้าไม่หายใจต้องช่วยผายปอด โดยวิธีเป่าปาก แล้วรีบส่งโรงพยาบาลโดยด่วน - หากรู้สึกตวั ดีแล้ว ให้ดื่มน้ำหรือน้ำหวาน - หากไมฟ่ ื้นภายใน 15 นาที ควรนำสง่ โรงพยาบาล - ถ้าสงสัยเกี่ยวกับคดี ควรจดบันทึกบาดแผล หรือลักษณะของคนไข้ ในระยะแรกพบ ตลอดจนพยานทีร่ ู้เหน็ ไว้ด้วย 68
2) ลมหนา้ เขียวคล้ำ สาเหตุ เกิดจากมีสิ่งอุดกั้นทางเดินหายใจ เช่น ดูดลูกโป่งเล่นหลุดเข้าไป อุดหลอดลม สิ่งของต่างๆ เช่น เม็ดน้อยหน่า เม็ดกะท้อน หลุดเข้าไปอุดหลอดลม มีสิ่งของหนักๆทับหน้าอก หรือน้ำมกู น้ำลาย อาเจียนมากไป หรือลิ้นตกอุดทางเดินหายใจ วิธีชว่ ยเหลือ - เอาสิ่งของทีต่ กลงไปขวางกั้นทางเดินหายใจออกให้ได้เสียกอ่ นโดยรีบด่วน - ผู้ที่จะให้การช่วยเหลือผู้ที่มีทางเดินหายใจอุดกั้น สำลักสิ่งแปลกปลอม ควรมีความรู้และทกั ษะการชว่ ยฟื้นคืนชีพ (CPR) - ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทีใ่ กล้ที่สดุ โดยด่วน 3) ลมหน้าแดง (ลมแดด) สาเหตุ เกิดจากถกู ความร้อนมาก จะหน้าแดง ตวั ร้อนจดั ชีพจรเต้นแรงและช้า วิธีชว่ ยเหลือ - ให้นอนศรีษะสูง ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งเช็ดหน้าตา ตามตัว แขน ขา ให้มากๆ ห้ามกินยาทกุ ชนิดทีเ่ ป็นการกระตุ้นหัวใจ เพราะมีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว 4) ลมชัก (ลมบา้ หม)ู อาการ หมดสติ ชักตัวเกร็ง มือกำ มีน้ำลายฟูมปาก หยุดหายใจ หน้าเขียว กล้ามเนื้อแขนขากระตกุ มกั มีประวัติเคยชกั มาแล้วหลายคร้ัง วิธีชว่ ยเหลือ - ให้นอนราบกับพื้น ไมค่ วรให้นอนเตียงเพราะอาจชกั กระตุกตกเตียงจบั ไว้ไม่อย ู่ - ไมค่ วรนำสิ่งของหรือวสั ดใุ ดๆงัดหรือใส่ปากเด็กขณะที่มีอาการชกั - ป้องกันไม่ให้มีอันตรายจากสิ่งกีดขวาง เช่น โต๊ะ เก้าอี้ หม้อน้ำร้อนๆ เลื่อนออกให้หา่ ง เพราะกนั ศรีษะหรือแขนขาเข้าไปกระทก - เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดและจับเวลาในการชักด้วย - เมื่อหายชักแล้ว ให้นอนพัก และแนะนำให้ไปพบแพทย์ เพื่อรักษาและ ป้องกันการชักใหม ่ - ปกติมักจะชักไม่เกิน 2-3 นาที ถ้าชักติดต่อกันนานกว่าปกติ ต้องรีบส่ง โรงพยาบาลทีใ่ กล้ที่สุด 69
เลือดกำเดาไหล สาเหตุ จากการถูกกระแทกบริเวณจมูก หรือโรคในชอ่ งจมกู เชน่ หวัด เยือ่ บุจมกู อกั เสบ โรคความดันโลหิตสงู มะเร็ง หรืออาจเกิดขึ้นเอง วิธีชว่ ยเหลือ - ให้นัง่ ก้มหน้าเลก็ น้อย หายใจทางปาก ใช้ชามรปู ไตรองทีจ่ มกู เพือ่ จะได้ทราบ จำนวนเลือดที่ไหลออกมากน้อยเทา่ ไร - ใช้ผ้าเย็นกดบริเวณดั้งจมกู และบีบจมกู เข้าหากัน - ถ้าเลือดยังไม่หยุด ใช้ผ้าพันแผลสะอาดใส่ในช่องจมูกลึกๆเท่าที่จะใส่ได้ ให้แน่นพอประมาณครึ่ง-หนึ่งช่ัวโมง เพื่อให้เลือดแข็งตัว แล้วจึงเอาผ้าที่ใส่จมูกออกและ ใช้สำลีชุบน้ำสะอาดเชด็ คราบเลือดทีร่ จู มูก - ถ้าเลือดยงั ไหลไมห่ ยดุ ควรรีบสง่ ปรึกษาแพทย ์ 70
การจัดเก็บยาและการใช้ยาท่จี ำเป็น ก ารจัดเกบ็ ยา ดว้ ยเทคนิคการจัดตยู้ าอยา่ งง่าย ดงั นี้ 1. ปลอดภัยไว้ก่อน สิง่ สำคัญทีค่ วรคำนึงถึงในการจัดตู้ยา คือ ความปลอดภยั เพราะยามีคุณอนันต์ แต่ก็ให้โทษมหันต์ หากหยิบใช้ผิดหรือใช้ยาเสื่อมคุณภาพ ดังนั้น ตู้ยาควรจัดตั้งอยู่ในสถานที่ ที่มีแสงสว่างพอ เพื่อความสะดวกในการหยิบยา ถ้าตู้ยาอยู่ในที่แสงส่องจ้าจนเกินไป หรือ ตั้งอยู่ในที่อับชื้น ใกล้ฝนสาด อาจเป็นสาเหตุทำให้ยาเสื่อมคุณภาพเร็ว และต้องหมั่น ทำความสะอาดและจัดเก็บยาให้เรียบร้อยอยู่เสมอ โดยยึดหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับ การจดั ตู้ยา ดังนี้ หลักการจดั ตู้ยา 1. ชั้นบน เป็นที่สำหรับไว้ยาใช้ภายในหรือยารับประทาน ติดป้ายสีขาวว่า “ยารับประทาน” ทีช่ ั้นวางยา ให้เห็นเด่นและชัดเจน 2. ชั้นกลาง เป็นที่สำหรับวางเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ปรอทวัดไข้ สำลี กรรไกร พลาสเตอร์ แก้วยา ชามรูปไต ปากคีบ เปน็ ต้น 3. ชั้นล่าง เป็นที่สำหรับไว้ยาใช้ภายนอก ห้ามรับประทาน โดยติดป้ายสีแดง “ยาใชภ้ ายนอก” ที่ช้ันวางยา ให้เห็นเด่นและชัดเจน 4. ชั้นล่างสุด เป็นบานตู้ไม้ทึบปิด-เปิดได้ สำหรับเก็บวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ผ้าปทู ี่นอน ปลอกหมอน กระเป๋าน้ำร้อน กระเป๋าน้ำเย็น ม้วนสำลี ฯลฯ ตัวอย่าง การจัดตยู้ าประจำห้องปฐมพยาบาล 71
การจัดเรียงยา - ยาชนิดเดียวกันหลายขวดหรือหลายแผง ควรวางยาที่ใกล้หมดอายุก่อน ไว้ด้านนอก เพื่อให้ถกู หยิบใช้ - ยาซื้อมาทีหลังใกล้หมดอายุก่อนยาที่มีอยู่ในตู้ ฉะนั้น การเก็บยาควรยึด ตามวันหมดอายุเปน็ หลกั มากกว่าทีจ่ ะยึดตามวนั ที่ได้รับยามา - ยาบางบริษัท จะพิมพ์ทั้งวันหมดอายุและวันผลิต จึงควรดูให้ดีว่าวันที่เท่าไร เป็นวันหมดอาย ุ วนั หมดอายุ หรือ Exp.Date ย่อมาจาก Expiry Date ตามด้วยวนั เดือน ปี วันผลิต หรือ Mfg.Date ย่อมาจาก Manufacturing Date ตามด้วยวัน เดือน ปี เทคนิคอยา่ งง่ายของการป้องกันการใช้ยาใกล้หมดอายุ แสดงถึงว่า ต้องระวัง คือ ติดสติ๊กเกอร์สีแดง ที่ขวดยาใกล้หมดอายุ ก่อนใช้ต้องพลิกดูวันหมดอายุก่อนทุกครั้ง อาจกำหนดเองว่า หากเป็นยาที่จะหมดอายุภายในปีนี้ ให้ติดสติ๊กเกอร์สีแดงที่ผลิตภัณฑ์ยา และง่ายต่อการปฏิบัติ ปีละครั้ง หรือบางแห่งอาจกำหนดเองว่า เป็นยาที่ใกล้จะหมดอายุ ภายใน 6 เดือนข้างหน้า หรือเป็นยาที่ใกล้จะหมดอายุภายใน 3 เดือนข้างหน้า เปน็ ต้น 2. หยิบก็รู้ ดกู ง็ ามตา การจัดตู้ยาให้เป็นระเบียบ ช่วยให้ผู้ใช้หยิบยาได้งา่ ย หากยาหมดกร็ ู้ได้ทันที 2.1 ติดป้ายกลมุ่ ยาและเวชภัณฑท์ ี่ช้นั วางยา อาจติดป้ายกลุ่มยา สรรพคุณ การรักษา เพื่อให้ง่ายต่อการหยิบใช้ ตัวอย่าง ป้ายชื่อกลุ่มยา มีดังนี้ ยาลดไข้ บรรเทาปวด ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ยาโรคกระเพาะอาหาร ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน แก้เมารถ ยาแก้ปวด กล้ามเนื้อ ยาแก้ปวดประจำเดือน ยาแก้แพ้ แก้ผดผื่นคนั ยาล้างแผล ใส่แผล ฯลฯ สำหรับรายการเวชภัณฑ์ ควรมีรายชือ่ รายการเวชภณั ฑต์ ิดไว้ เพือ่ ให้ทราบวา่ มีเวชภัณฑ์อะไรบ้าง รายการใดใกล้จะหมด จะได้จดั หามาเพิ่มได้ทันเวลา 72
2.2 เก็บรักษายาให้ถูกวิธี การเก็บรักษายา ควรปฏิบตั ิตามคำแนะนำทีผ่ ู้ผลิตระบไุ ว้ในฉลาก เพือ่ ให้ยา คงคณุ ภาพนานทีส่ ดุ แต่ถ้าไมร่ ะบวุ ิธีการเกบ็ รักษายาที่ชดั เจนไว้บนฉลากยา อาจยึดหลักการ เก็บรักษายา ดังนี้ - ไม่ร้อนจัดไม่เย็นจัด โดยทั่วไปอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเก็บ รักษายา คือ อุณหภูมิห้อง (20-25 องศาเซนเซียส) แต่เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน อุณหภมู ิมักสูงกวา่ 25 องศาเซนเซียส จึงอาจมีผลทำให้ยาเสื่อมเรว็ ขึ้น เพราะฉะนั้นนอกจาก จะดูวนั หมดอายุแล้ว ยังควรสังเกตการเปลีย่ นแปลงของสภาพยาควบคกู่ นั ไปด้วย ยาบางชนิด ระบุว่า “เก็บในตู้เย็น” จึงต้องเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซนเซียส เพราะยาจะเสียได้เร็ว หากเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง และจะเสียสภาพหากเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง สำหรับยาที่ระบุให ้ “เกบ็ ในทีเ่ ย็น” ควรเก็บไว้ทีอ่ ณุ หภมู ิ 8-15 องศาเซนเซียส - ไม่ชื้น ความชื้นอาจทำให้ยาเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ดังนั้น จึงไม่ควรเก็บยา ไว้ในบริเวณที่มีอากาศชื้น เช่น ในห้องน้ำ อ่างล้างมือ ห้องครัวชื้นแฉะ เป็นต้น นอกจากนี้ หลังจากการเปิดยาใช้แล้ว ควรปิดภาชนะให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นจากภายนอก เข้าไปได้ - ไมโ่ ดนแสงแดด แสงแดดนอกจากทำให้ยามีอุณหภูมิสูงขึ้นแล้ว ยาบางชนิดสลายตัวได้เร็วมากเมื่อถูกแสง ดังนั้น จึงต้องเก็บในขวดสีชาหรือ ขวดทึบแสง วิธีสงั เกตง่ายๆวา่ ยาชนิดใดควรใสภ่ าชนะป้องกนั แสง ก็ให้ดภู าชนะทีผ่ ู้ผลิตบรรจุ มา ถ้าซื้อมาเป็นแบบป้องกันแสง เวลาเก็บรักษาก็ต้องให้อยู่ในสภาพป้องกันแสงเหมือนกัน ซึง่ ยาเหล่านี้ผู้ผลิตมักระบุให้ทราบวา่ ต้องป้องกนั แสง ยาส่วนใหญ่แม้จะไม่จำเป็นต้องเก็บในภาชนะป้องกันแสง แต่ก็ควรเก็บรักษา โดยหลีกเลีย่ งการถกู แสงแดดโดยตรงเชน่ กนั 73
การเสื่อมสภาพของยา อาจสังเกตงา่ ยๆจากลักษณะทางกายภาพ รูป รส กลิ่น สี ทีอ่ าจเปลีย่ นแปลงไปจากเดิม ซึ่งยาแต่ละประเภทมีข้อสงั เกตแตกตา่ งกัน ดังนี้ 1. ยาเม็ด สังเกตจากสี และลักษณะเม็ดยาที่เปลี่ยนไป มีรอยด่าง เม็ดยา แตกร่วน หรือเมด็ ยาเกาะติดกัน ยาเมด็ บางชนิดอาจมีกลิ่นเปลีย่ นไป เช่น แอสไพริน จะมีกลิ่นเปรี้ยวเกิดขึ้น 2. ยาแคปซูล แคปซูลอาจบวมและพองออก เปลือกแคปซูลอาจนิ่มเยิ้ม และติดกัน หรือแข็งแห้งและแตก หรือผงยาด้านในอาจมีการเปลี่ยนสี ซึ่งจะสงั เกตยาก หากไม่แกะแคปซลู ออกมาดู 3. ยาผงแห้ง ความชื้นอาจทำให้ผงยาเกาะเปน็ ก้อนแข็ง หรือผงยาเปลี่ยนสีไป 4. ยาน้ำแขวนตะกอน ได้แก่ ยาน้ำที่มีผงยาผสมอยู่ในของเหลว เช่น คาลาไมน์โลชั่น ยาลดกรด ยาธาตุน้ำขาว เป็นต้น ผงยาจะจับเป็น ก้อนแขง็ เมือ่ เขย่าก็ไมก่ ระจายตัว หรือสังเกตวา่ มีสี กลิน่ รส เปลี่ยนไป 5. ยาครีมหรือขี้ผึ้ง มีการแตกตัวของเนื้อยา มีสีเปลี่ยนไป เนื้อยาอาจหด ตวั เนือ่ งจากน้ำระเหยออกไป ทำให้เนื้อครีม ขี้ผึ้งแข็งเกินไป หรือบางคร้ัง เกบ็ ไว้ในอุณหภูมิสูงเกินไป ทำให้เนื้อครีม ขี้ผึ้งเหลวเยิ้ม การใช้ยา ส่วนใหญ่มักใช้ยาโดยไม่อ่านฉลากยา หรือไม่อ่านวิธีใช้ที่ถูกต้อง ก่อน เป็นเพราะความคุ้นเคยกับยา และรู้สึกว่าใช้อย่างนี้มาตลอด ยาบางตัวมักใช้ประจำ ใช้แบบผิดๆหรือไม่เคยระวงั ถึงพิษภยั ของยานั้นๆ เช่น พาราเซตามอล มักกินกนั บ่อยๆ ซึ่งจะมี พิษต่อตับถ้าใช้ติดต่อกันนานเกิน 3-5 วัน หรือยาแก้ไอน้ำดำ ห้ามใช้เกิน 7 วัน เพราะเป็น สารเสพติดให้โทษ เป็นต้น จึงเปน็ สิ่งที่ควรได้รับการใสใ่ จ เพื่อให้มน่ั ใจว่าใช้ยาได้อยา่ งถกู ต้อง ปลอดภัยจริงๆ 74
รายการยาทีใ่ ช้ภายใน กลุม่ ยา รายการยา ยารับประทาน ยาลดไข้ บรรเทาปวด พาราเซตามอล (Paracetamol) ยาเม็ด ยาน้ำ ยาแก้แพ้ ลดน้ำมกู คลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine) ยาแก้ไอ ยาแก้ไอน้ำดำ (Brown Mixture) ยาแก้ไอขบั เสมหะสำหรบั เด็ก ยาแก้ท้องเสีย ผงน้ำตาลเกลือแร่ ยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ยาธาตนุ ้ำแดง ยาธาตนุ ้ำขาว โซดามิ้นท์ (Sodamint) ยาโรคกระเพาะอาหาร ยาต้านกรด/ยาลดกรด (Aluminum hydroxide + Magnesium hydroxide) มีเบนดาโซล (Mebendazole) อัลเบนดาโซน (Albendazole) รายการยาทีใ่ ชภ้ ายนอก กลมุ่ ยา รายการยา ประเภทยา ยาแก้แพ้ แก้ผดผื่นคนั คาลาไมนโ์ ลชน่ั (Calamine lotion) ยาทา ยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ เมทิลซาลิไซเลท (Methylsalicylate cream) ยาทา ไดโคลฟิเนค เจล (Diclofenac gel) ยาทา ยาหมอ่ ง ยาทา ยาทาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ซิลเวอร์ ซลั ฟาไดอาซิน (Silver sulfadiazine) ยาทา ยาล้างตา น้ำยาล้างตาบอริก (Boric solution) ยาล้าง ยาดมแก้วิงเวียน แอมโมเนีย (Ammonia) ยาดม ยาล้างแผล แอลกอฮอล์ (Isopropyl / Ethyl alcohol) ยาล้าง น้ำเกลือล้างแผล หรือน้ำเกลือนอรม์ ลั (Normal saline) ยาล้าง ยาใสแ่ ผล โพวิโดนไอโอดีน (Povidone Iodine) ยาทา ยาโรคหิด เหา เบนซิลเบนโซเอต (Benzyl benzoate) ยาทา รายการเวชภณั ฑ ์ - ปรอทวัดไข้ - สำลี - ผ้ากอ๊ ซ เทปกาว - พลาสเตอรย์ า - กระเป๋าน้ำร้อน - ถงุ ประคบร้อนเยน็ - ผ้าพนั แผลชนิดยืด (Elastic bandage) 75
76 รายการยาท่ใี ชภ้ ายนอก กลุม่ ยา/รายการยา สรรพคุณยา รปู แบบยา วิธีใชย้ า ขอ้ ควรระวงั หมายเหตุ ยาลดไข้ บรรเทาปวด พาราเซตามอล (Paracetamol) บรรเทาอาการไข้ ยาเม็ด 500 mg. - เด็กอายตุ ่ำกว่า 12 ปี - สำหรับเด็ก ห้ามรับประทานยานี้ นอกจากรูปแบบ อาการปวด ระดับ ยาน้ำ 120 mg./ รับประทาน 10-15 ติดต่อกันเกิน 3 - 5 วัน ยาน้ำพารา เซตามอล เลก็ น้อยถึงปานกลาง 5 ml. mg./นน.ตัว 1 กก./ครั้ง การรับประทานยานี้มากกว่า ยังมีรูปแบบยา ทุก 4-6 ชม. หรือบ่อยกว่าที่แพทย์ส่ัง แ ข ว น ต ะ ก อ น - เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป อาจเป็นอันตรายต่อตับ มีความแรงมากว่า และผู้ใหญ่รับประทาน รู ป แ บ บ ย า น ้ ำ ครั้งละ 1-2 เม็ด 1 เท่าตัว = 250 ทกุ 4-6 ชม. mg./ 5 mg.
กลมุ่ ยา/รายการยา สรรพคุณยา รปู แบบยา วิธีใชย้ า ข้อควรระวัง หมายเหต ุ ยาแกแ้ พ้ ลดน้ำมูก บรรเทาอาการแพ้ ยาเม็ด 4 mg. - เดก็ อายุ 2-12 ปี - ไม่ควรใช้ยานี้ในเด็กอายุ - คลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine / CPM) และหวดั : ยาน้ำ 2 mg./ 5 ml. รับประทาน 0.35 ต่ำกว่า 2 ปี การใช้ยาในเด็ก น้ำมกู ไหล จาม mg./นน.ตวั 1 กก. 2-6 ปี จะต้องอยู่ภายใต้ คันตา น้ำตาไหล แบ่งให้วันละ 3-4 คร้ัง การดูแลของแพทย์ และ จากการแพ้ - เด็กอายุ 12 ปี ต้องใช้ยาอย่างระมัดระวัง แพ้ละอองเกสร ขึ้นไปและผู้ใหญ่ ในเดก็ อายุ 6-11 ปี ดอกไม้ แพ้ฝุ่น รับประทานครั้งละ - ยานี้อาจทำให้ง่วงซึม ละออง ฯลฯ 1 เม็ด วันละ 3-4 คร้ัง หลังรับประทานยา จึงควร หลงั อาหาร หลีกเลี่ยงการขับรถ หรือ การทำงานเกีย่ วกบั เครื่องจกั ร - ยานี้อาจทำให้ตาแห้ง มองเห็นไม่ชดั ดังน้ัน ผู้สวม คอนแทคเลนส์ อาจจะรู้สึก ไม่สบายตา โดยอาจจะใช้ ยาหยอดตา ชาวยหลอ่ ลื่นในตา 77
78 กล่มุ ยา/รายการยา สรรพคณุ ยา รปู แบบยา วิธีใชย้ า ข้อควรระวัง หมายเหตุ - เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ยา สูตรผสมสำหรับยาแก้หวัด แก้ไอขับเสมหะ และ แก้คัดจมูก จำนวนมากมียานี้ ผสมอยู่ จึงต้องระมัดระวัง ถ ้ า จ ะ ใ ช ้ ร่ ว ม กั บ ย า น ี ้ โ ด ย ต ้ อ ง ต ร ว จ ส อ บ ว่ า ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ซ ้ ำ ซ ้ อ น กั บ ย า ห ร ื อ ไ ม่ เพื่อป้องกันการได้รับยา เกินขนาด
กล่มุ ยา/รายการยา สรรพคณุ ยา รูปแบบยา วิธีใช้ยา ข้อควรระวงั หมายเหต ุ - ยาแก้ไอ ยาแก้ไอน้ำดำ (Brown Mixture) บรรเทาอาการไอ ยาน้ำ - เด็กอายุ 6-12 ปี - ห้ามใช้ยานี้ในเด็กที่มีอายุ และชว่ ยขบั เสมหะ รับประทาน ครั้งละ ต่ำกว่า 6 ปี ผู้สูงอายุและ ½ - 1 ช้อนชา หญิงตั้งครรภ์ เมื่อมีอาการ ทกุ 6-8 ชม. - ห้ามใช้ยานี้ติดต่อกัน - เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป นานเกิน 7 วัน เนื่องจาก และผู้ใหญ่รับประทาน มีสว่ นประกอบที่อาจทำให้เกิด ครั้งละ 1-2 ช้อนชา การเสพติดให้โทษ และ เมือ่ มีอาการ ทกุ 6-8 ชม. อาจทำให้เกิดท้องผูกได้ - ยานี้มีแอลกอฮอล์ผสม ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง - เมื่อเปิดใช้แล้วมีอายุ การใช้งาน 3 เดือน หรือ เมือ่ ยาเสื่อมสภาพ - เก็บยานี้โดยป้องกัน ไมใ่ ห้ถกู แสงแดด 79
80 กลุม่ ยา/รายการยา สรรพคุณยา รปู แบบยา วิธีใช้ยา ขอ้ ควรระวงั หมายเหต ุ - ยาแกท้ อ้ งเสีย - เทผงยาทั้งซอง - ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก ผงน้ำตาลเกลือแร ่ ทดแทนการเสียน้ำ ผงสำหรับ ละลายในน้ำสะอาด เหงื่อออกมาก ตัวเย็น ในรายที่ท้องร่วง ละลายน้ำ หรืออาเจียนมากๆ เช่น น้ำต้มสกุ ทีเ่ ย็นแล้ว ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไป และป้องกันการช็อค เนื่องจากร่างกาย ประมาณ 1 แก้ว หรือหมดสติ ควรนำส่ง ขาดน้ำ (250 ml.) โรงพยาบาลด่วน - ดื่มเมื่อมีอาการ - ผู้ที่เป็นโรคไตหรือหัวใจ ท้องร่วง ถ้าถ่ายบ่อย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ ใ ห ้ ด ื่ ม บ่ อ ย ค รั ้ ง ถ้าอาเจียนด้วย ใ ห ้ ด ื่ ม ท ี ล ะ น ้ อ ย แตบ่ ่อยครั้ง
กลุ่มยา/รายการยา สรรพคณุ ยา รูปแบบยา วิธีใชย้ า ขอ้ ควรระวงั หมายเหต ุ ผงถา่ นคาร์บอน ใ ช ้ ใ น ผู ้ ท ี่ อ า ก า ร 1 แคปซลู ขนาดรับประทาน คุ ณ ส ม บั ต ิ ท้องเสีย (Diarrhea) ป ระกอบด้วย ท้องเสีย Activate C h a r c o a l มีคุณสมบัติใน ใช้ในรายผู้มีอาการ A c t i v a t e ผู้ใหญ่และเด็กอายุ การดูดซับสาร ต่างๆเพื่อกำจัด ท้องอืดเฟ้อ (Flatulence) Charcoal 261 mg. เกิน 3 ปี รบั ประทาน ออกจากทาง เ ด ิ น อ า ห า ร คร้ังละ 3-4 แคปซูล จ ึ ง ใ ช ้ ดู ด ซั บ ส า ร ท ี่ เ ป็ น เมื่อมีอาการ ท้องเสีย ส า เ ห ตุ ข อ ง ท้องเสีย ดดู ซับ หากอาการไม่ดีขึ้น สารพิษในทางเดิน อาหาร ให้รับประทานซ้ำ อีกทุก ½-1 ชม. จนอาการท้องเสีย ด ี ข ึ ้ น จ ึ ง ห ยุ ด ย า ถ้ารับประทานครบ 16 แคปซูลต่อวัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย ์ 81
82 กลุ่มยา/รายการยา สรรพคุณยา รปู แบบยา วิธีใช้ยา ขอ้ ควรระวัง หมายเหต ุ ท้องอืดเฟ้อ เพื่อการดูดซึม ผู้ใหญ่ รับประทาน ส า ร พ ิ ษ เ ข ้ า สู่ คร้ังละ 2-4 แคปซูล ส่ ว น อ ื่ น ข อ ง ตามอาการหลังอาหาร ร่ า ง ก า ย วันละ 3 ครั้ง ดูดซับก๊าซเพื่อ เดก็ ควรใช้ตามแพทย์สงั่ บรรเทาอาการ ท้องอืด
กลมุ่ ยา/รายการยา สรรพคณุ ยา รปู แบบยา วิธีใช้ยา ขอ้ ควรระวงั หมายเหต ุ - ยาแกท้ ้องอืดทอ้ งเฟ้อ ยาธาตนุ ้ำแดง บ ร ร เ ท า อ า ก า ร ยาน้ำ - ให้เขย่าขวดก่อน - ไม่ควรรับประทานเป็น ปวดท้อง เนื่องจาก รบั ประทาน เวลานานกว่า 2 สัปดาห์ จุกเสียด ท้องขึ้น - เด็กอายุ 6-12 นอกจากแพทยส์ ่ัง ท้องเฟ้อ ปี รับประทาน คร้ัง - ยานี้มีแอลกอฮอล์ผสม ละ ½ - 1 ช้อนโตะ๊ ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ก่ อ น อ า ห า ร เ ช ้ า กลางวนั เย็น - เด็กอายุ 12 ปี ขึ้นไปและผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโตะ๊ ก่ อ น อ า ห า ร เ ช ้ า กลางวนั เย็น 83
84 กลุม่ ยา/รายการยา สรรพคณุ ยา รปู แบบยา วิธีใชย้ า ขอ้ ควรระวงั หมายเหต ุ - ยาโรคกระเพาะอาหาร ยาต้านกรด/ยาลดกรด เ ป็ น ย า ล ด ก ร ด ยาเมด็ ยาน้ำ (Aluminum hydroxide + - โดยทั่วไป - ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรค Magnesium hydroxide) บรรเทาอาการแสบ ยอดอก ท้องอืด ให้รับประทานก่อน หวั ใจหรือโรคไต แน่นท้องหรืออาการ ไมย่ อ่ ย อาหาร ½ ชม. - ไม่ควรรับประทานติดต่อกัน หรือหลงั อาหาร 1 ชม. เป็นเวลานาน 2 สัปดาห์ หรือเมื่อมีอาการ นอกจากแพทย์สงั่ - ยาน้ำให้เขย่าขวด - ยาน้ำเมื่อเปิดใช้แล้ว ทุกคร้ัง ไ ม่ ค ว ร เ ก็ บ ไ ว ้ น า น เ ก ิ น - ยาเม็ดให้เคี้ยว 3 เดือน ไม่ควรใช้ต่อ ให้ละเอียดก่อนกลืน ถึงแม้จะยงั ไม่หมดอาย ุ - เด็กอายุ 3-6 ปี - ย า น ้ ำ เ ม ื่ อ เ ข ย่ า แ ล ้ ว รับประทาน ครั้งละ ยาไม่กระจายตัว หรือ ½ - 1 ช้อนชา เ ส ื่ อ ม ส ภ า พ แ ล ้ ว - เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ไม่ควรนำมารับประทาน และผู้ใหญ่รับประทาน ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือ 1-2 เมด็
วิธีการใช้ยาภายนอก (ยาทา ยาลา้ ง ยาดม) กล่มุ ยา/รายการยา สรรพคุณยา รปู แบบยา วิธีใช้ยา ข้อควรระวัง หมายเหต ุ - ยาแกแ้ พ้ แก้ผดผืน่ คัน คาลาไมนโ์ ลช่ัน บ ร ร เ ท า อ า ก า ร ยาน้ำสำหรบั ทา เขย่าขวดก่อนใช้ยา - หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับ - (Calamine lotion) เนื่องจากผด ผื่นคัน ทุกครั้ง ทาบริเวณ ดวงตาหรือเนื้อเยื่ออ่อนของ ลมพิษ ที่เป็น วันละ 3-4 ร่างกาย ยาแกป้ วดกลา้ มเนือ้ ครั้ง หากทายาซ้ำ - ห้ามรับประทาน ไดโคลฟิเนค เจล (Diclofenac gel) ในครั้งถัดไป ให้ล้างยาทีต่ ิดอยู่ ทีผ่ ิวหนงั ออกกอ่ น บรรเทาอาการ ยาเจลสำหรับทา ทาบริเวณที่ปวด - ห้ามทาบริเวณที่เป็น เจ็บปวด บวม จากภาวะอักเสบของ วนั ละ 3-4 ครั้ง แผลเปิด ข้อและกล้ามเนื้อ - หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับ ดวงตาหรือเนื้อเยื่ออ่อนของ ร่างกาย - หลีกเลี่ยงการทาผิวหนัง 85 ใ น บ ร ิ เ ว ณ ก ว ้ า ง แ ล ะ เ ป็ น เวลานาน
86 กลมุ่ ยา/รายการยา สรรพคุณยา รูปแบบยา วิธีใช้ยา ขอ้ ควรระวงั หมายเหตุ ยาลา้ งตา - ยาล้างที่เปิดใช้แล้ว - น้ำยาล้างตาบอริก (Boric solution) ล้างตา เพื่อบรรเทา ยาน้ำสำหรับ - รินน้ำยาลงใน มีอายุการใช้งานประมาณ อาการแสบตา ล้างตา ถ้วยที่สะอาด และ 1 สัปดาห์ จึงควรเลือก ระคายเคืองตา มีขนาดพอเหมาะ ยาล้างตาที่มีขนาดบรรจุน้อยๆ จากผง ควนั กับลูกตา จะใช้หมดในเวลาไม่นาน สิง่ สกปรกเข้าตา - ยกถ้วยล้างตา - ไม่ควรล้างตาเป็นประจำ จ่อที่เบ้าตาข้างที่ เพราะจะทำให้ตาแห้ง ต้องการล้าง - ห้ามรับประทาน - ลืมตาไว้ให้น้ำยา แทรกซึมท่ัวลูกตา ก ร อ ก ต า ไ ป ม า ใช้เวลา 1-2 นาที วนั ละ 1-2 ครั้ง - เมื่อล้างตาเสร็จ แล้วให้ทำความสะอาด ถ ้ ว ย ล ้ า งตา เพื่อ ป้องกนั การติดเชื้อ
กล่มุ ยา/รายการยา สรรพคณุ ยา รูปแบบยา วิธีใช้ยา ข้อควรระวงั หมายเหต ุ ยาดมแก้วิงเวียน แอมโมเนีย (Ammonia) บรรเทาอาการ ยาน้ำใช้ภายนอก ใช้สำลีดมหรือใช้ทา - ห้ามรบั ประทาน - วิงเวียน หน้ามืด สำหรับดมหรือ หรือทาผิวหนงั ทา บรรเทาอาการจาก พิษแมลงกัดตอ่ ย หรือพืชมีพิษ ยาใสแ่ ผล รกั ษาแผลสด ยาน้ำใช้ภายนอก ใช้สำลีสะอาดชุบ - หากมีอาการระคายเคือง โพวิโดนไอโอดีน สำหรับดมหรือ ยาทาทีแ่ ผล ห ร ื อ ผ ื่ น แ ด ง เ ก ิ ด ข ึ ้ น (Povidone Iodine) ทา ให้หยุดใช้ยา - หลีกเลีย่ งอย่าให้ยาเข้าตา - ห้ามรบั ประทาน 87
สง่ิ แวดล้อมปลอดภัยในโรงเรียน สิ่งแวดล้อมปลอดภัยในโรงเรียน หมายถึง การจัดสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเด็กนกั เรียน หรือบุคลากรในโรงเรียนให้มีความปลอดภัยท้ังภายในและภายนอกอาคาร รวมถึงสิ่งแวดล้อมโดยรวมในบริเวณโรงเรียน เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถมีชีวิต อยู่อย่างปลอดภัย เรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ และเติบโตอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ สิ่งสำคัญที่ทำให้เด็กนักเรียนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย คือ การบริหารจัดการ การดำเนินการ และพัฒนาสภาพแวดล้อมโดยรวมของโรงเรียน ให้มีความปลอดภัยหรือเสีย่ งภัยน้อยทีส่ ุด สาเหตขุ องความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1. เกิดจากการกระทำที่ไม่ปลอดภัย 2. เกิดจากสภาพการณ์ทีไ่ ม่ปลอดภัย ดงั น้ัน ในการพฒั นาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ปลอดภยั ควรคำนึงถึง 5 เรือ่ ง คือ 1. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพและอปุ กรณเ์ ครื่องใช้ต่างๆ 2. การจดั การสนามกีฬา สนามเดก็ เล่น และเครื่องเล่นสนาม 3. การสง่ เสริมความปลอดภยั ในการเดินทาง/การจราจร 4. การป้องกันอบุ ตั ิเหตุ แผนสาธารณภยั และระบบส่งต่อฉกุ เฉิน 5. การสง่ เสริมพฤติกรรมด้านความปลอดภยั และการประหยดั ทรพั ยากรธรรมชาติ 88
1. สงิ่ แวดลอ้ มทางกายภาพและอปุ กรณเ์ คร่อื งใชต้ า่ งๆ สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเด็กเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างอาคาร สถานที่ วัสดุ อุปกรณ์ภายในห้องเรียน โรงอาหาร หรือห้องส้วม รวมถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบโรงเรียน ย่อมมีผลต่อสุขภาพอนามัยของเด็กๆทั้งสิ้น ดังนั้น ในการดูแลเอาใจใส่ทุกบริเวณของโรงเรียน จึงเป็นสิง่ จำเปน็ อยา่ งยิ่ง เพื่อให้เดก็ ทกุ คนปลอดภัยจากอันตราใกล้ตัว สิง่ ทีพ่ ึงระวังอย่เู สมอ มีดังนี้ 1.1 สภาพแวดล้อมภายในอาคาร 1) โครงสร้างอาคาร ผนัง เพดาน ประตู หน้าต่าง ระเบียง บันได ฯลฯ มนั่ คง แขง็ แรง พื้น ระเบียง ทางเดินต้องเรียบสมำ่ เสมอ กรณีประตู หน้าต่าง ทีเ่ ป็นบานพบั เปิด-ปิด ต้องมีตะขอสบั ป้องกันการปิดกระแทก 2) บันได ไม่ชันเกินไป พื้นเรียบสม่ำเสมอ ลูกกรง ระเบียง มีช่องห่าง ไม่เกิน 9 ซม. มีความม่นั คง แข็งแรง ห้ามเด็กปีนป่ายหรือเลน่ ที่บันได 3) ห้องส้วม ประตูมั่นคง แข็งแรง ไม่ชำรุด พื้นปูด้วยวัสดุที่ไม่ลื่น เมื่อพื้นเปียกน้ำ ทำความสะอาดง่าย มีแสงสว่างเพียงพออย่างน้อย 100 ลักซ์ หรือ ในสายตาคนปกติสามารถมองเห็นลายมือที่อยู่ห่างจากตาประมาณ 1 ฟุต ได้ชัด และ ไมอ่ ยู่ในทีล่ ับตาคน 4) ห้องครัว โรงอาหาร สะอาด จัดเป็นสัดส่วน และวางภาชนะใส่อาหารร้อน ให้พ้นจากเด็ก มีภาชนะปกปิดอาหารที่ปรุงสุกสำเร็จแล้ว ไม่ควรใช้ผ้าขาวบางคลุมอาหาร ที่ปรุงสุกแล้ว เพราะจะทำให้อาหารเกิดการปนเปื้อนได้ มีการควบคุม ป้องกัน แมลง สัตวพ์ าหะนำโรค 5) ภายในอาคาร หรือห้องเรียน ต้องจัดให้มีแสงสว่างเพียงพอ ควรใช้ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เพื่อการประหยัดพลังงาน และอาศัยการกระบายอากาศ ตามธรรมชาติ ทำได้โดยเปิดหน้าตา่ ง ไมว่ างสิ่งของกีดขวางทางลมหรือบดบงั แสงสว่าง 6) กระดานดำ หรือไวท์บอรด์ ต้องยึดติดผนงั อยา่ งมนั่ คง ควรกวาดผงฝุน่ ชอล์ก ทุกวัน ไม่ปล่อยให้ฟุ้งกระจาย โต๊ะ เก้าอี้ มีสภาพดี มั่นคง แข็งแรง หากชำรุด ควรซอ่ มแซมกอ่ นนำไปใช้ หรือต้องนำไปเกบ็ เพื่อรอการซอ่ มแซม 7) ตู้ ชั้นวางของ มีความมั่นคง แข็งแรง มีการยึดติดกับพื้นหรือ ผนงั อย่างมั่นคง ป้องกนั เด็กปีนปา่ ย อาจทำให้ชั้นล้มทบั เดก็ เปน็ อันตรายถึงตายได้ 89
8) จัดเก็บสิ่งของอย่างเป็นระเบียบ ถูกสุขลักษณะ และสะดวกในการใช้งาน อีกทั้งต้องแยกเก็บ หรือจัดที่วางสารพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาดส้วม เก็บอย่างเป็นระเบียบ มิดชิด และไม่นำน้ำยาหรือสารพิษดังกล่าว ถ่ายเทใส่ภาชนะอื่น ที่มีลักษณะคล้ายกับภาชนะบรรจุอาหาร เครื่องดื่ม หลังการใช้ต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด ทุกครั้ง ควรแนะนำให้ความรู้กับเด็กถึงโทษและอันตรายจากสารเคมีฆ่าแมลงและหนู หรือน้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ ให้รู้จักสัญญลักษณ์อันตรายของสารพิษ หรือ เครื่องหมายห้าม เครือ่ งหมายเตือนตา่ งๆ 9) เก็บมีดหรือของมีคมในทีท่ ี่ปลอดภยั พ้นมือเดก็ และจดั เกบ็ อยา่ งเป็นระเบียบ 10) ไม่ให้เด็กเล่นของเล่นที่มีความแหลมคม หรือของเล่นที่อาจเป็นอันตราย เช่น ไม้ขีดไฟ พลุ ปืนอัดลม ดอกไม้ไฟ ต้องแนะนำให้เด็กรู้ถึงอันตรายและรู้จักระมัดระวัง ในการเล่น ซึ่งสิง่ เหลา่ นี้อาจเป็นอนั ตรายตอ่ ตนเองและผู้อื่นได้ 11) อุปกรณ์เครือ่ งใช้ไฟฟ้า ต้องเลือกเครื่องใช้ที่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ มอก. อย่ใู นสภาพดี พร้อมใช้งาน จดั วาง หรือติดต้ังในตำแหน่งที่ปลอดภัย เช่น เครื่องปรับอากาศ พัดลมเพดาน หลอดไฟต้องหมั่นตรวจสอบการยึดติดกับผนังหรือเพดานอย่างสม่ำเสมอ ดูแลการใช้และบำรุงรกั ษาอปุ กรณท์ ุกชนิดอยา่ งถูกวิธี ตู้ทำน้ำเยน็ ควรวางบนพื้นที่เปน็ ฉนวน ต้องต่อสายดินป้องกันไฟฟ้าร่ัว และไม่เสียบปลั๊กตู้ทำน้ำเย็นไว้ตลอดเวลา ควรตรวจสภาพ เครือ่ งใช้ไฟฟ้าทกุ ชนิดทกุ 6 ชนิด 12) ให้ความรู้แก่เด็ก และสาธิตการใช้เครื่องมือ เครื่อใช้ไฟฟ้าอย่างถูกวิธี หากอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุด ควรนำไปซ่อมแซม แก้ไขทันทีหรือนำไปเก็บไว้ รอการแก้ไข ทั้งนี้ควรติดป้ายบอกว่า ชำรุด รอการแก้ไข 13) มีการจัดการระบบไฟฟ้าที่มีความปลอดภัย เช่น การเดินสายไฟ อย่างเหมาะสม มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ โดยเฉพาะบริเวณตู้ทำน้ำเย็น และไม่เสียบปลั๊ก เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิดในเต้าเสียบเดียวกัน หรือใช้กับสายไฟพ่วง นอกจากนี้ ต้องมีการป้องกันอุบัติเหตุจากไฟฟ้า 90
1.2 สภาพแวดล้อมภายนอกอาคาร 1) รั้ว ประตูต้องติดตั้งให้มั่นคง แข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประตูเลื่อน ซึ่งมีน้ำหนักมาก ต้องมีการตรวจสอบความม่ันคง แข็งแรงในการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ ดูแลไม่ให้มีสิ่งใดกีดขวางบนราง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้ประตูเลื่อนหลุดออกจากรางได้ หากพบว่าชำรุดต้องรบซ่อมแซมให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย และห้ามเด็กปีนเล่น หรือปิด เปิดประตโู ดยลำพงั 2) ต้องสำรวจตรวจสอบและซอ่ มแซมฝาท่อระบายน้ำ ให้อยใู่ นสภาพดี และ ปิดสนิท หากชำรดุ ต้องซอ่ มแซมทนั ที หรือหาวสั ดุสิง่ อื่นใดมาปิดกั้น 3) มีป้ายคำเตือนต่างๆ เพื่อความปลอดภัยในจุดที่เสี่ยงอันตราย เช่น ห้ามเล่นบริเวณทีจ่ อดรถ 4) หากมีบ่อน้ำตื้น บ่อบาดาล ต้องมีฝาปิด กรณีมีสระน้ำ น้ำพุ น้ำตก บอ่ เลี้ยงปลา ต้องทำร้ัวหรือแนวก้ันโดยรอบ ติดป้ายคำเตือน และแนวปฏิบัติให้ชดั เจน 5) การปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ควรปลูกต้นไม้ที่ไม่มียาง ไม่มีหนามแหลมคม หรือมีผลที่อาจหล่นลงศีรษะได้ ควรตัดแต่งกิ่งไม้ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยอยู่เสมอ หม่ันตรวจสอบและกำจัดแมลงมีพิษ(ภาคผนวก 4) 6) ส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีความปลอดภยั ต่อเดก็ อยู่เสมอ !! ! ! ! ! ! 91 ! !
2. การจดั การสนามกฬี า สนามเด็กเล่น และเคร่อื งเลน่ สนาม 2.1 สนามกีฬา การจัดการสนามกีฬาให้ปลอดภัย ควรทำดงั นี้ 1) ส น า ม ก ี ฬ า ห ร ื อ ส น า ม ฟุ ต บ อ ล ต้องปรับพื้นให้เรียบ ไม่มีเศษวัสดุสิ่งของที่อาจเป็น อันตราย เช่นก้อนหิน เศษไม้ เศษเหล็ก หรือกองวัสดุ ก่อสร้าง ต้องมีการดแู ล บำรุงรกั ษาอย่างสมำ่ เสมอ 2) อุปกรณ์ที่ติดต้องในสนามกีฬา เช่น แป้นบาส เสาประตูฟุตบอล เสาตาข่าย ต้องมีความแข็งแรง มีสภาพพร้อมใช้งาน และไม่มีน็อตหรือตะขอเหล็กยื่น ออกมา ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ต้องติดตั้งอย่างม่ันคงแข็งแรง และมีการเฝ้าระวังไม่ให้มี การเลน่ ทีเ่ สีย่ งต่อการเกิดอุบัติเหต ุ 3) ส่งเสริมให้เด็กรู้จักเคารพกติกา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เล่นกีฬาร่วมกัน ด้วยความสามัคคี 4) การตรวจสอบ ควรตรวจดูความเรียบร้อยของอุปกรณ์กีฬา สนามกีฬา และสภาพแวดล้อมทุกวนั 5) ควรมีแบบฟอร์มตรวจสอบความปลอดภัยและรายการซ่อมแซม เป็นประจำทุกสัปดาห์ ควรมีการซ่อมบำรุง รักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเช่น ประจำวัน ประจำ 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะของสถานที่ และชนิดของอุปกรณ์ หรือสนามกีฬา 2.2 สนามเด็กเล่น การจัดการสนามเด็กเลน่ ให้ปลอดภัย ควรทำดังนี้ 1) ส น า ม เ ด็ ก เ ล่ น ต ้ อ ง ส ะ อ า ด ปราศจากขยะ ถุงพลาสติก กิ่งไม้ ก้อนหินหรือ วัสดุที่เป็นอันตรายและสัตว์ต่างๆ และควรเป็น สถานที่ที่เข้าถึงได้ง่ายสะดวกต่อการไปช่วยเหลือ มีร้ัวกั้นป้องกนั อนั ตรายจากภายนอก 92
2) สนามเด็กเล่นต้องปรับพื้นให้เรียบ สม่ำเสมอ พื้นสนามควรทำด้วยวัสดุที่ดูดซับพลังงาน เชน่ ยางสังเคราะห์ ทราย ต้องจดั พื้นผิวให้เหมาะสมกับ ประเภทของเครื่องเล่น เช่น การเล่นที่มีการตกกระทบ กระโดด กระแทก หรือปีนป่าย พื้นรองรับต้องเป็นวัสดุ อ่อนนุม่ รบั แรงตกกระทบได้ 3) เครื่องเล่นหรืออุปกรณ์ที่ติดตั้งถาวร เช่น เครื่องเล่นสนามต่างๆ ต้องมีมาตรฐานด้านความปลอดภัย การออกแบบ การติดตั้งที่ถูกวิธี มีการตรวจสอบเป็นระยะ และมีความเหมาะสมกับวัยของเด็ก มีความแข็งแรง ทนทาน สามารถรับน้ำหนกั ของเด็กทีเ่ ข้าไปเล่นได้ 4) ไม่ควรให้เด็กเล่นเครื่องเล่นที่มีความสูงมากเกินไป หากพลัดตกลงมา อาจทำให้กระดูกหักและเลือดออกในสมองได้ การจัดวาง ต้องจัดวางไม่ชิดกันจนเกินไป ควรมีระยะห่าง 1.5 ถึง 1.8 เมตรโดยรอบ ทั้งนี้ต้องมีความแข็งแรง ทนทานสามารถ รับน้ำหนักของเด็กที่เข้าไปเล่นได้ ต้องตรวจดูความเรียบร้อยทุก 3 เดือน และ มีการบำรุงรักษาให้อยใู่ นสภาพใช้งานได้อยา่ งปลอดภัยอยู่เสมอ 5) ของเล่นหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ เช่น ตุ๊กตา หุ่น ตัวต่อ รถจักรยาน ควรเปน็ ของเล่นทีผ่ ่านการนบั รองมาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม(มอก.) ไม่มีสว่ นแหลมคม ที่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บ เป็นอันตราย มีความแข็งแรง ทนทาน ไม่หลุด ฉีก ขาดหรือ แตกง่าย ของเลน่ ที่มีสี ต้องเป็นสีที่ปลอดภัย 6) กำหนดกฎ ระเบียบ หรือกติกาในการเล่นร่วมกัน และดูแลให้เด็กเล่นตามกติกา อยู่เสมอ โดยส่งเสริมให้เด็กมีพฤติกรรมการเล่นอย่างปลอดภัยและปฎิบัติเป็นประจำ เช่น ไม่แกร่งชิงช้าแรงจนเกินไป ไม่เล่นเครื่องเล่นแบบโลดโผน หรือเล่นผิดวิธี รู้จักขจัด ความขดั แย้งอย่างเหมาะสม เช่น รับฟงั ความคิดเหน็ ยอมรับผิด ปรับปรุงตวั เอง 7) การตรวจสอบ ควรตรวจดูความเรียบร้อยของอุปกรณ์เครื่องเล่นสนามและ สภาพแวดล้อม หากเป็นสนามทราย ควรเกลีย่ ทรายในสนามทกุ วัน 8) ควรมีแบบฟอร์มตรวจสอบความปลอดภัย และรายการการซ่อมแซม เป็นประจำทุกสัปดาห์ ประจำ 3 เดือน 6 เดือนและ 1 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะของสถานที่และ ชนิดของอุปกรณ์หรือเครือ่ งเลน่ น้ันๆ 9) ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นหรืออยู่กับคนแปลกหน้าตามลำพัง ไม่ปล่อยให้เด็ก ทะเลาะ รงั แกกันในระหวา่ งเดก็ และให้เดก็ รู้ถึงความเสี่ยงในการเลน่ กบั สัตว์ หรือรงั แกสตั ว ์ 93
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119