Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา

นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา

Published by สุทธิดา แสงมุกดา, 2022-03-01 03:13:23

Description: E-book นางสุทธิดา แสงมุกดา เลขที่ 21 ห้อง 5

Search

Read the Text Version

46 4. บริการสนทนาออนไลน์ (IRC: Internet Relay Chat) เป็นบริการเพื่อการพดคุย โต้ตอบกัน บนระบบเครอื ขา่ ยไดใ้ นเวลาเดียวกนั (real time) ผา่ นโปรแกรมต่าง ๆแบบ MSN หรือ ICQ เป็นตน้ 5. บรกิ ารเว็บ หรอื เวลไวด์เวบ็ (WWW: World Wide Web)ช่วยใหผ้ ูใ้ ช้งานสามารถสร้างและ อ่าน เอกสารท่ี เรียกว่าเว็บเพจ(Web Page) บนระบบเครือข่ายได้โดยใช้ภาษา HTML(Hypertext Markup Language) เป็น ส่ือกลาง ในการสร้างข้อความท่ี เช่ือมโยงกันแบบหลายมิติไม่มีที่สิ้นสุด(Hyperlink) และ ใช้โปรแกรมประเภทบราวเซอร์(Browser) เช่น Internet Explorer – Netscape - Mozilla Firefox ใน การ อานออกมา เปน็ ภาษามนุษย์ เวิลไวด์เว็บ (World Wide Web) จัดเป็นบรกิ ารบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่มีการขยายตัวสูงมาก เนื่องจากการใชง้ านที่ไดร้ ับการออกแบบและพัฒนาให้ง่ายอย่างต่อเน่ือง ปัจจุบันเป็นที่รวมบริการอื่นๆ ท้ังหมด ของระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้าไว้ด้วยกัน เกิดการเรียกใช้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและเอกสาร สื่อดิจิตอล หลากหลายรูปแบบทงข้อความ รูปภาพ เสียง ภาพเค่ล่ือนไหวและวิดีโอ ท่ีเชื่อมโยงกันแบบหลาย มิติ เรียกว่า ไฮเปอร์มีเดีย (Hypermedia ) ช่วยให้การใช้งานบริการอ่ืน เช่น จดหมายอิเลกทรอนิกส์กระทา ผา่ นเวบ็ ได้ โดยตรง ไมต่ อ้ งใช้โปรแกรมอ่ืนๆในการต้ังคา่ และ ไม่ตอ้ งมเี คร่ืองคอมพวิ เตอร์ประจาตัวเรียกว่า เว็บ เมล์ (Web Mail ) ที่สามารถเรียกใช้จากเคร่ืองคอมพิวเตอร์ใด ๆ ก็ได้ การท่ีข้อความ และสื่อดิจิตอล หลากหลายรูปแบบ สามารถเชื่อมโยงกันได้ แบบหลายมติ ิน้ัน เกิด จากการกาหนดตาแหน่งหรือที่ อยู่ของแฟูม ข้อมลต่างๆ บนระบบเครือขายอินเทอร์เน็ตไม่ให้ซ้ากัน เรียกว่า URL (Uniform Resource Locator) หรือ Web Address น่ันเอง บริการเว็บทาให้เกิดการค้นคืนสารสนเทศ ระดับโลก โดยก้าวพ้นขอบเขตทางภาษา และการเมือง การใช้งานโปรแกรมประเภทบราวเซอร์แบบพ้ืนฐาน (Internet Explorer Basics ) โปรแกรมประเภท บราวเซอร์ที่คนส่วนใหญ่ ่ในปัจจุบัน รู้จักและใช้งานเป็น ได้แก่ โปรแกรม IE: Internet Explorer ทาหน้าท่ี หลักในการถา่ ยทอด ข้อความ ในรูปแบบเว็บเพจที่พัฒนาขนด้วยภาษา HTML ให้สามารถสื่อสารกันได้ท่ัวโลก เนื่องจากเป็นโปรแกรมท่ีพัฒนาขนโดยบริษัท ไมโครซอฟต์โดยเร่ิม ติดต้ังให้ใช้งานคู่กันไปกับระบบปฏิบัติการ วินโดส์ต้ังแต่เวอร์ชั่นท่ี 5.0 ในปีค.ศ.1990 เป็นต้นมาและมี การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้มีคุณลกษณะเด่นๆ ที่ทาให้ทางานและใช้งานได้อย่างสะดวกและรวดเร็วจน ได้รับความนิยมและใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ครอบครองตลาดอยู่ 80-90 เปอร์เซน็ ต์แม้วา่ จะมีโปรแกรม ประเภทบราวเซอรอ์ ื่นๆอีก เช่นโปรแกรม Mozilla Firefox ทเ่ี รมิ่ ได้รับความนิยมและนามาใช้กันมากขึ้น เพราะเป็นโปรแกรมท่ี อยู่ในกลุ่มของซอฟต์แวร์เปิดเผย รหัส (OSS: Open Source Software) ที่ไม่เก็บค่า บริการ หรือลิขสิทธ์ิในการใช้งาน เป็นต้น โปรแกรม IE เปน็ ชดุ โปรแกรม ที่มีส่วนประกอบหลักเปน็ โปรแกรมยอ่ ย ๆ ทไ่ี ด้แก่ 1. โปรแกรมบราวเซอร์ 2. โปรแกรมรับสงจดหมายอิเล็กทรอนกิ ส์ (Outlook Express) 3. โปรแกรมส่อื สารสนทนา (MSN Messenger) 4. โปรแกรมประชุม สอนและฝกึ อบรมออนไลน์ (NetMeeting) 5. โปรแกรมสื่อสารแบบห้องสนทนา (Microsoft Chat) การใช้งานโดยพ้ืนฐานของโปรแกรม IE ประกอบด้วย 1. การทอ่ งเว็บ (Surf the Web )

47 2. การจดเก็บข้อมูล หรือเว็บเพจเพื่อนามาอ่านศึกษาแบบออฟไลน์เมื่อไม่ไ่ด้ต่อเชื่อมระบเครือ ขายอินเทอรเ์ นต็ (Save Web pages ) 3. การดาวนโ์ หลดโปรแกรม หรอื ขอ้ มูลต่างๆ ( Download Software ) 4. การรบั ส่งจดหมายอิเล็กทรอนกิ ส์ ( Send E-Mail ) 5. การเขา้ รว่ มการสนทนากลมและอ่านขา่ ว (Participate Newsgroup ) 2.18 หลกั เกณฑก์ ารประเมินผลลัพธ์ หรอื ผลผลติ (Criterias to Evaluated Outputs) ข้อมูลของบางคนอาจเป็นสารสนเทศสาหรับอีกคนหน่ึง (Nickerson 1998 : 11) การที่จะบ่งบอกว่า ผลผลิต หรอื ผลลัพธม์ ีคณุ ค่า หรอื สถานภาพเป็นสารสนเทศ หรือไม่น้ัน เราใช้หลักเกณฑ์ต่อไปนี้ประกอบการ พจิ ารณา 1. ความถูกตอ้ ง (Accuracy) ของผลผลติ หรอื ผลลพั ธ์ 2. ตรงกบั ความต้องการ (Relevance/pertinent) 3. ทันกบั ความตอ้ งการ (Timeliness) การพิจารณาความถูกต้องดูท่ีเน้ือหา (Content) ของผลผลิต โดยพิจารณาจากข้ันตอนของการ ประมวลผล (Process; verifying, calculating) ข้อมูล สาหรับการตรงกับความต้องการ หรือทันกับความ ต้องการ มีผู้ใช้ผลผลิตเป็น เกณฑ์ในการพิจารณา หากผู้ใช้เห็นว่าผลผลิตตรงกับความต้องการ หรือผลผลิต สามารถตอบปัญหา หรอื แกไ้ ขปัญหา ของผู้ใช้ได้ และสามารถเรียกมาใช้ได้ในเวลาที่เขาต้องการ (ทันต่อความ ต้องการใช้) เราจึงจะสรุปได้วา่ ผลผลติ หรอื ผลลพั ธ์นัน้ มสี ถานภาพ เป็นสารสนเทศ คุณภาพ หรือคุณค่าของสารสนเทศ ข้ึนอยู่กับข้อมูล (Data) ที่นาเข้ามา (Input) หากข้อมูลที่นาเข้ามา ประมวลผล เป็นข้อมูลท่ีดี ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีคุณภาพดี หรือมีคุณค่า ผู้ใช้ หรือผู้บริโภคสามารถนามาใช้ ประโยชนไ์ ด้ แต่หากข้อมูลท่ี นาเขา้ มาประมวลผลไม่ดี ผลผลิต หรือผลลัพธ์ก็จะมีคุณภาพไม่ดี หรือไม่มีคุณค่า สมดัง่ กบั วลที ีว่ า่ GIGO (Garbage In Garbage Out) หมายความวา่ ถ้านาขยะเข้ามา ผลผลิต (ส่ิงที่ได้ออกไป) ก็คอื ขยะน่นั เอง 2.19 วิวฒั นาการของสารสนเทศ อดีตมนุษยย์ ังไมม่ ีภาษาท่ีใช้สาหรบั การส่ือสาร เมอื่ เกดิ มีเหตุการณ์ (Event) อะไร เกิด ข้ึน ก็ไม่สามารถ ถ่ายทอด หรอื เผยแพรแ่ ก่บุคคลอ่ืน หรือสงั คมอนื่ ได้ อย่างถูกต้องตรงกัน ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร จึงมีการ คิดใช้สัญลักษณ์ (Symbol) หรือเคร่ืองหมาย ทาหน้าที่ส่ือ ความหมายแทนเหตุการณ์ดังกล่าว จึงมีการใช้กฎ และสูตร (Rule & Formulation) มาใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดมาจากสาเหตุใด หรือเกิดมาจาก สารใดผสมกบั สารใด เปน็ ต้น จากนั้นเมือ่ มนุษย์มีภาษา สาหรับการสื่อสารแล้ว ก็เกิดมีข้อมูล (Data) เก่ียวกับ เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดข้ึนมามากมาย ท้ังจากภายในสังคมเดียวกัน หรือจากสังคมอื่นๆ เพ่ือให้ได้คาตอบที่ ถูกต้อง ทาให้ต้องมีการวิเคราะห์ หรือประมวลผล ข้อมูลให้มีสถานภาพเป็นสารสนเทศ (Information) ท่ีจะ

48 เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ หรือผู้บริโภค เม่ือผู้บริโภคมีการสะสม เพ่ิมพูน สารสนเทศมากๆเข้าและมีการเรียนรู้ (Learning) จนเกิดความเข้าใจ (Understanding) ก็จะเป็นการพัฒนา สารสนเทศที่มีอยู่ในตนเองเป็นองค์ ความรู้ (Knowledge) เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้ที่มีสติ (สัมปชัญญะ) (Intellect) รู้จักใช้ เหตุและผล (Reasonable) กับความรู้ที่ตนเองมีอยู่ก็จะมีการพัฒนาความรู้เป็นปัญญา (Wisdom) ในที่สุด ดังแสดงได้ ตาม ภาพข้างล่างนี้ 2.20 เทคโนโลยีสารสนเทศกับการใช้ชวี ติ ในสังคมปัจจุบนั ในภาวะปจั จบุ ันนน้ั สารสนเทศได้กลายเปน็ ปจั จัยพื้นฐานปัจจยั ท่ีห้า เพิม่ จากปัจจัยสปี่ ระการท่ีมนุษย์เรา ขาดเสียมิได้ในการดารงชีวิตประจาวัน ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศท่ีจาเป็น ในการประกอบธุรกิจ ในการค้าขาย การผลิตสินค้า และบริการ หรือการให้บริการสังคม การจัดการทรัพยากรของชาติ การบริหารและปกครอง จนถงึ เร่อื งเบา ๆ เร่ืองไร้สาระบ้าง เชน่ สภากาแฟที่สามารถพบได้ทุกแห่งหนในสังคม เรื่องสาระบันเทิงในยาม พักผ่อน ไปจนถงึ เรอื่ งความเปน็ ความตาย เช่น ข่าวอุทกภัย วาตภัย หรือการทารัฐประหารและปฏิวัติ เป็นต้น ในความคิดเห็นของกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ตั้งแต่นักวิชาการ นักธุรกิจ นักสังคมศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ จนกระท่ังผู้นาต่าง ๆ ในโลก ดังเช่น ประธานาธิบดี Bill Clinton และรองประธานาธิบดี Al Gore ของ สหรัฐอเมริกา สารสนเทศเป็นทรัพยากรที่สาคัญท่ีสุดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน และในยุคสังคมสารสนเทศแห่ง ศตวรรษท่ี 21 สารสนเทศจะกลายเป็นทรัพยากรท่ีสาคัญที่สุดเหนือส่ิงอ่ืนใด กล่าวกันส้ัน ๆ สารสนเทศกาลัง จะกลายเป็นฐานแหง่ อานาจอนั แทจ้ รงิ ในอนาคต ทง้ั ในทางเศรษฐกจิ และทางการเมือง ในสมัยสังคมเกษตรน้ัน ปัจจัยพ้ืนฐานในการผลิตท่ีสาคัญ ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน และทุนทรัพย์ ต่อมาใน สังคมอุตสาหกรรม การผลิตต้องพ่ึงพาปัจจัยพ้ืนฐานเพิ่มเติม ได้แก่ วัสดุ พลังงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารสนเทศ สังคมเกษตรและสังคมอุตสาหกรรมต้องพ่ึงพาการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัด อันได้แก่ ที่ดิน พลงั งาน และวัสดุ เป็นอยา่ งมาก และผลของการใช้ทรัพยากรเหล่าน้ันอย่างฟุมเฟือยและขาดความระมัดระวัง ก็ได้สร้างปัญหาส่ิงแวดล้อมที่รุนแรงมาก ซ่ึงกาลังคุกคามโลกรวมทั้งประเทศไทย ต้ังแต่ปัญหาการแปรปรวน

49 ของสภาพดินฟูาอากาศ ภัยธรรมชาติที่นับวันจะเพิ่มความถ่ีและรุนแรงข้ึน ปัญหาการบ่อนทาลายความสมดุล ทางนิเวศวิทยาทั้งปุาดงดิบ ปุาชายเลน ปุาต้นน้าลาธาร ความแห้งแล้ง อากาศเป็นพิษ แม่น้าลาคลองที่เต็มไป ด้วยสารพิษ เจอื ปน ตลอดจนถงึ ปัญหาวกิ ฤตทิ างจราจรและภยั จากควนั พิษในมหานครทุกแหง่ ท่วั โลก ในทางตรงกนั ขา้ ม ขบวนการผลิต การเก็บ และถ่ายทอดสารสนเทศ อาศัยการใช้วัสดุและพลังงานน้อย มาก และไมม่ ีผลเสียตอ่ ภาวะแวดลอ้ มหรอื มีเพียงเล็กน้อยมาก ยง่ิ กว่านั้นสารสนเทศจะสามารถช่วยให้กิจกรรม การผลิตและการบริการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถช่วยให้การผลิตทางอุตสาหกรรมใช้ วัตถุดิบ และพลังงานน้อยลง มีมลภาวะน้อยลง แต่สินค้ามีคุณภาพดีข้ึนคงทนมากขึ้น ปัญหาวิกฤติทางจราจร ในบางด้านก็สามารถผ่อนปรนได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ในการช่วยติดต่อส่ือสารทางธุรกิจต่างๆ โดย ไมจ่ าเป็นตอ้ งเดินทางด้วยตนเองดังเช่นแต่กอ่ น จงึ อาจกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีส่วนอย่างมาก ใน การนาสังคม สู่ววิ ัฒนาการอีกระดับหนง่ึ ทีอ่ าจเรยี กได้วา่ เปน็ สงั คมสารสนเทศ อนั เป็นสังคมท่ีพึงปรารถนาและ ย่ังยนื ยงิ่ ขนึ้ นนั่ จึงเป็นเหตผุ ลท่วี า่ สงั คมตา่ ง ๆ ในโลก ต่างจะตอ้ งก้าวส่สู ังคมสารสนเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เร็วก็ ช้า และน่ันหมายความว่าสังคมจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่ก็ ตาม มใิ ช่เพยี งแต่เพือ่ สรา้ งขดี ความสามารถในเชิงแข่งขันในสนามการค้าระหว่างประเทศ แต่เพื่อความอยู่รอด ของมนษุ ยชาติ และเพอื่ คณุ ภาพชีวติ ท่ดี ีขึ้นอกี ต่างหากด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีคู่โลกในต้นศตวรรษท่ี 21 และเป็นแรงกระตุ้นและเป็นปัจจัย รองรับ ขบวนการโลกาภิวัตน์ ที่กาลังผนวกสังคมเศรษฐกิจไทยเข้าเป็นอันหน่ึงเดียวกันกับสังคมโลก อันท่ีจริงเทคโนโลยีสารสนเทศมีใช้ในประเทศไทยเป็นเวลาช้านานมาแล้ว เป็นต้นว่า เรามีการใช้ โทรศัพท์ต้ังแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือปี พ.ศ. 2414 เพียงแต่ว่าการใช้ เทคโนโลยีนี้ยังไม่แพร่กระจายท่ัวประเทศและยังไม่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอีกหลาย ๆ ประเทศในโลก กลา่ วกันอย่างสั้น ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีท่ีเก่ียวข้องกับการจัดหา วิเคราะห์ ประมวล จัดการและจัดเก็บ เรียกใช้หรือแลกเปล่ียน และเผยแพร่สารสนเทศ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะอยู่ใน รูปแบบของรปู เสียง ตัวอกั ษร หรือภาพเคล่ือนไหว รวมไปถึงการนาสารสนเทศและขอ้ มูลไปปฏิบัติตามเน้ือหา ของสารสนเทศนั้น เพือ่ ให้บรรลุเปาู หมายของผู้ใช้ การจัดหา วิเคราะห์ ประมวล และจัดการกับข่าวสารข้อมูล จานวนมหาศาล จงึ ขาดเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ เสียมิได้ ส่วนการแสวงหาและแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร อย่าง รวดเร็ว ทันเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพ ก็จาเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีโทรคมนาคม และ ท้ายสุดสารสนเทศที่มี จะก่อให้เกิดประโยชน์จากการบริโภค อย่างกว้างขวางตามแต่จะต้องการและอย่าง ประหยัดที่สุด ก็ต้องอาศัยท้ังสองเทคโนโลยีข้างต้นในการจัดการและการส่ือหรือขนย้ายจากแหล่งข้อมูล สารสนเทศ สผู่ ูบ้ รโิ ภคในทีส่ ุด ฉะนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศจึงครอบคลุมถึงหลาย ๆ เทคโนโลยีหลัก อันได้แก่ คอมพิวเตอร์ทั้ง ฮารด์ แวร์ ซอฟต์แวร์ และฐานข้อมูล โทรคมนาคมซึ่งรวมถึง เทคโนโลยีระบบสื่อสารมวลชน (ได้แก่ วิทยุ และ โทรทศั น์) ทงั้ ระบบแบบมสี ายและไรส้ าย รวมถึงเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีโทรทัศน์ ความคมชัดสูง (HDTV) ดาวเทียมคมนาคม (communications satellite) เส้นใยแก้วนาแสง (fibre optics) สารก่ึงตัวนา (semiconductor) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) อุปกรณ์อัตโนมัติสานักงาน (office automation) อุปกรณ์อัตโนมัติในบ้าน (home automation) อุปกรณ์อัตโนมัติในโรงงาน (factory automation) เหล่าน้ี เปน็ ต้น

50 นอกจากการเป็นเทคโนโลยีท่ีไม่ทาลายธรรมชาติหรือสร้างมลภาวะ (ในตัวของมันเอง) ต่อส่ิงแวดล้อม แล้ว คณุ สมบตั โิ ดดเด่นอืน่ ๆ ทท่ี าให้มันกลายเป็นเทคโนโลยี ยทุ ธศาสตร์สาคัญแห่งยุคปัจจุบันและในอนาคตก็ คอื ความสามารถในการเพิม่ ประสิทธภิ าพและสมรรถภาพในเกอื บทุก ๆ กจิ กรรม อาทิโดย 1. การลดตน้ ทนุ หรือค่าใช้จ่าย 2. การเพมิ่ คุณภาพของงาน 3. การสร้างกระบวนการหรือกรรมวธิ ีใหม่ ๆ 4. การสรา้ งผลิตภัณฑแ์ ละบรกิ ารใหม่ ๆ ข้นึ ฉะนั้น โอกาสและขอบเขตการนา เทคโนโลยีนี้มาใช้ จึงมีหลากหลายในเกือบทุก ๆ กิจกรรมก็ว่าได้ ไม่ ว่าจะเปน็ การปกครอง การให้บริการสังคม การผลิตท้ังภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ รวมถึงการค้าท้ัง ภายในและระหวา่ งประเทศอีกด้วย โดยพอสรุปไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี ภาคสังคม การบริหารและปกครอง การให้บริการพ้ืนฐานของรัฐ การบริการสาธารณสุข การบริการ การศึกษา การให้บริการข้อมูลและสาระบันเทิง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การ บรรเทาสาธารณภยั การพยากรณอ์ ากาศและอตุ นุ ยิ ม ฯลฯ ภาคเศรษฐกจิ การเกษตร การปุาไม้ การประมง การสารวจและขุดเจาะน้ามันและ ก๊าซธรรมชาติ การ สารวจแร่และทรัพยากรธรรมชาติท้ังบนและใต้ผิวโลก การก่อสร้าง การคมนาคมทั้งทางบก น้า และอากาศ การค้าภายในและระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมบริการ อาทิ ธุรกิจการท่องเที่ยว การเงิน การธนาคาร การขนสง่ และ การประกันภยั ฯลฯ ผลประโยชน์ต่างๆ จากการประยุกต์ใช้ของเทคโนโลยีดังกล่าว ล้วนเกิดจากคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ ประการของเทคโนโลยีกลุ่มนี้ อันสืบเนื่องจากการพัฒนาของ เทคโนโลยีที่มีอัตราสูงและอย่างต่อเน่ืองตลอด หลายทศวรรษที่ผา่ นมา ววิ ฒั นาการทางเทคโนโลยีน้สี ง่ ผลให้  ราคาของฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ รวมท้ังค่าบริการ สาหรับการเก็บ การประมวล และการแลกเปล่ียน เผยแพรส่ ารสนเทศมกี ารลดลงอย่างตอ่ เนอื่ งและรวดเรว็  ทาให้สามารถนาพาอุปกรณ์ต่าง ๆ ท้ังคอมพิวเตอร์และ โทรคมนาคมติดตามตัวได้ เนื่องจากได้มี พัฒนาการการยอ่ ส่วนของชิน้ สว่ น (miniaturization) และพัฒนาการการส่ือสารระบบไร้สาย  ประการท้าย ที่จัดว่าสาคัญที่สุดก็ว่าได้คือ ทาให้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ การสื่อสารมงุ่ เขา้ สจู่ ุดทใี่ กล้เคียงกัน (converge) ประเทศอุตสาหกรรมในโลกไดเ้ ล็งเหน็ ถึงศักยภาพของเทคโนโลยียทุ ธศาสตร์กลุ่มนี้ จึงให้ความสาคัญต่อ เทคโนโลยีน้ีมากกว่าเทคโนโลยีอ่ืน ๆ ที่จัดเป็นเทคโนโลยียุทธศาสตร์สาคัญอีกหลายกลุ่ม ดังเช่นกลุ่มประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ได้ศึกษาเปรยี บเทียบ ศักยภาพ ของเทคโนโลยีไฮเทค 5 กลุ่มสาคัญในปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีวัสดุใหม่ เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในประเด็นผลกระทบสาคัญ 5 ประเด็น ได้แก่

51 (1) การสรา้ งผลิตภัณฑแ์ ละบริการใหม่ ๆ (2) การปรับปรุงกระบวนการผลติ ผลิตภณั ฑ์และบรกิ าร (3) การยอมรบั จากสังคม (4) การนาไปใช้ประยุกตใ์ นภาค/สาขาอนื่ ๆ (5) การสร้างงานในทศวรรษปี 1990 ปรากฏว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการยอมรับในศักยภาพสูงสุดในทุก ๆ ประเดน็ ปจั จัยทท่ี าใหเ้ กิดความล้มเหลวในการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ จากงานวิจัยของ Whittaker (1999: 23) พบว่า ปัจจัยของความล้มเหลวหรือความผิดพลาดท่ีเกิดจาก การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองคก์ าร มีสาเหตุหลกั 3 ประการ ได้แก่ การขาดการวางแผนท่ีดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนจัดการความเสี่ยงไม่ดีพอ ย่ิงองค์การมีขนาดใหญ่ มากขึ้นเท่าใด การจัดการความเสี่ยงย่อมจะมีความสาคัญมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทาให้ค่าใช้จ่ายด้านนี้เพ่ิม สงู ข้นึ การนาเทคโนโลยีท่ีไม่เหมาะสมมาใช้งาน การนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในองค์การจาเป็นต้อง พจิ ารณาให้สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะของธุรกจิ หรอื งานที่องค์การดาเนินอยู่ หากเลือกใช้เทคโนโลยีท่ีไม่สอดรับกับ ความตอ้ งการขององคก์ ารแล้วจะทาให้เกิดปญั หาต่าง ๆ ตามมา และเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การท่ีจะนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้งานใน องค์กร หากขาดซ่ึงความสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงแล้วก็ถือว่าล้มเหลวต้ังแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น การได้รับ ความม่ันใจจากผบู้ รหิ ารระดับสงู เปน็ ก้าวยา่ งทส่ี าคัญและจาเปน็ ทจ่ี ะทาให้การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ใน องค์การประสบความสาเร็จ สาหรับสาเหตุของความล้มเหลวอ่ืน ๆ ท่ีพบจากการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เช่น ใช้เวลาในการ ดาเนินการมากเกินไป (Schedule overruns), นาเทคโนโลยที ล่ี า้ สมยั หรอื ยังไมผ่ ่านการพสิ จู น์มาใช้งาน (New or unproven technology), ประเมินแผนความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศไม่ถูกต้อง, ผู้จัดจาหน่าย เทคโนโลยีสารสนเทศ (Vendor) ท่ีองค์การซ้ือมาใช้งานไม่มีประสิทธิภาพและขาดความรับผิดชอบ และ ระยะเวลาของการพฒั นาหรือนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้จนเสรจ็ สมบูรณ์ใช้เวลาน้อยกวา่ หนึ่งปี นอกจากนี้ ปัจจัยอ่ืน ๆ ที่ทาให้การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ไม่ประสบความสาเร็จในด้านผู้ใช้งาน น้นั อาจสรปุ ได้ดงั นี้ คอื ความกลัวการเปล่ยี นแปลง กลา่ วคือ ผู้คนกลัวที่จะเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งกลัวว่าเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาทและความสาคัญในหน้าท่ีการงานท่ีรับผิดชอบของตน ใหล้ ดนอ้ ยลง จนทาให้ตอ่ ต้านการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ การไม่ติดตามข่าวสารความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสม่าเสมอ เน่ืองจากเทคโนโลยี สารสนเทศเปลี่ยนแปลงรวดเรว็ มาก หากไม่ม่ันติดตามอย่างสม่าเสมอแล้วจะทาให้กลายเป็นคนล้าหลังและตก ขอบ จนเกิดสภาวะชะงักงันในการเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี

52 สารสนเทศของประเทศกระจายไม่ทว่ั ถึง ทาให้ขาดความเสมอภาคในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเกิดการ ใช้กระจุกตัวเพียงบางพื้นท่ี ทาให้เป็นอุปสรรคในการใช้งานด้านต่าง ๆ ตามมา เช่น ระบบโทรศัพท์ อนิ เทอรเ์ น็ตความเรว็ สงู ฯลฯ

53 บทท่ี 3 เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การเรยี นรู้ 3.1 คอมพิวเตอรแ์ ละอินเทอร์เน็ตกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ ความหมายของอนิ เตอรเ์ นต็ อินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดใหญ่ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ทุก เคร่ืองท่ัวโลก สามารถตดิ ต่อส่ือสารถึงกันได้ โดยใช้มาตรฐานในการรับส่งข้อมูลที่เป็นหน่ึงเดียว หรือท่ีเรียกว่า โปรโตคอล (Protocol) ซ่ึงโปรโตคอล ท่ีใช้บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีช่ือว่า ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP : Transmission Control Protocol/Internet Protocol) พัฒนาการของอินเทอร์เน็ต ปี พ.ศ. 2500 (1957) โซเวียดได้ปล่อยดาวเทียม Sputnik ทาให้สหรัฐอเมริกาได้ตระหนักถึงปัญหา ทอ่ี าจจะเกิดขึ้น ดังนนั้ ค.ศ. 2512 (1969) กองทพั สหรัฐต้องเผชิญหน้ากับความเส่ียงทางการทหาร และความ เปน็ ไปได้ในการถูกโจมตี ดว้ ยอาวุธปรมาณู หรือนวิ เคลียร์ การถกู ทาลายล้าง ศูนย์คอมพิวเตอร์ และระบบการ สื่อสารข้อมูล อาจทาให้เกิดปัญหาทางการรบ และในยุคนี้ ระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีหลากหลายมากมายหลาย แบบ ทาให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร และโปรแกรมกันได้ จึงมีแนวความคิด ในการวิจัยระบบที่ สามารถเช่ือมโยงเคร่ืองคอมพิวเตอร์ และแลกเปล่ียนข้อมูล ระหว่างระบบที่แตกต่างกันได้ ตลอดจนสามารถ

54 รบั ส่งข้อมูลระหวา่ งกัน ได้อย่างไม่ผดิ พลาด แมว้ ่าคอมพิวเตอรบ์ างเครือ่ ง หรือสายรับส่งสัญญาณ เสียหายหรือ ถูกทาลาย กระทรวงกลาโหมอเมริกัน (DoD = Department of Defense) ได้ให้ทุนท่ีมีชื่อว่า DARPA (Defense Advanced Research Project Agency) ภายใต้การควบคุมของ Dr. J.C.R. Licklider ได้ทาการ ทดลอง ระบบเครือข่ายท่ีมีช่ือว่า DARPA Network และต่อมาได้กลายสภาพเป็น ARPANet (Advanced Research Projects Agency Network) และต่อมาไดพ้ ฒั นาเปน็ INTERNET ในทสี่ ุด อินเทอรเ์ น็ตในตา่ งประเทศ อินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการของ ARPAnet (Advanced Research Projects Agency Network) ซ่ึงเป็นหน่วยงานทีส่ งั กัด กระทรวงกลาโหม ของสหรฐั (U.S.Department of Defense – DoD) - ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) ARPA ได้ถูกก่อต้ังและได้ถูกพฒั นาเรื่อยมา - ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝุาย ซึ่งหน่ึงในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปล่ียนชื่อจาก ARPA เป็น DARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง และในปีค.ศ.1969(พ.ศ.2512)น้ีเองท่ีได้ทดลองการเช่ือมต่อ คอมพิวเตอร์คนละชนิด จาก 4 แห่งเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สถาบันวิจัย สแตนฟอรด์ มหาวทิ ยาลยั แคลฟิ อร์เนีย และมหาวทิ ยาลัยยูทาห์ เครือขา่ ยทดลองประสบความสาเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปล่ียนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซ่ึง DARPA ได้ โอนหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ให้แก่ หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency – ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทางานท่ี รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนมุ ตั ิมาตรฐานใหม่ในInternet, IETF (Internet Engineering Task Force) พฒั นามาตรฐานทใ่ี ชก้ ับ Internet ซงึ่ เปน็ การทางานโดยอาสาสมัคร ทง้ั ส้ิน - ค.ศ.1983 (พ.ศ.2526) DARPA ตัดสินใจนา TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองในระบบ ทาให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ

55 ในระบบเครือข่าย Internet จนกระท่ังปัจจุบัน จึงสังเกตุได้ว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ TCP/IP คือข้อกาหนดที่ทาให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ทุก platform คุยกนั รู้เรือ่ งและสอ่ื สารกนั ไดอ้ ย่างถูกต้อง - การกาหนดช่ือโดเมน (Domain Name System) มีข้ึนเม่ือ ค.ศ.1986 (พ.ศ.2529) เพ่ือสร้าง ฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distribution database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจดั ทาฐานข้อมูลของตนเอง จงึ ไมจ่ าเป็นตอ้ งมฐี านขอ้ มลู แบบรวมศูนย์ เหมือนแต่ก่อน เช่น การ เรียกเว็บ http://www.yonok.ac.th จะไปท่ีตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ หรือไม่ ท่ีhttp://www.thnic.co.th ซึ่งมี ฐานข้อมูลของเว็บท่ีลงท้ายด้วย th ท้ังหมด เป็นต้น- DARPA ได้ทาหน้าท่ีรับผิดชอบดูแลระบบ internet เร่ือยมาจนถงึ - ค.ศ.1980 (พ.ศ.2533) และให้ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation NSF) เข้ามาดแู ลแทนร่วม กบั อีกหลายหน่วย อินเตอร์เนต็ ในประเทศไทย - พ.ศ. 2530 ประเทศไทยได้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายเตอร์เน็ตคร้ังแรก โดยมีจุดประสงค์เพ่ือ เชอ่ื มโยงกับมหาวิทยาลัยตา่ งๆ ทง้ั ในประเทศ และต่างประเทศ โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบัน เทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เช่ือมโยงกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลีย แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าท่ีควร เนอื่ งจากการส่งขอ้ มูลลา่ ชา้ - พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (Nectect) ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ( AIT) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมมือกันเช่าสายโทรศัพท์เพ่ือต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ แต่ละสถาบนั เขา้ ดว้ ยกัน โดยเรียกเครอื ขา่ ยสมัยน้ันว่า “เครือข่ายไทยสาร“ - พ.ศ. 2537 เครอื ข่ายไทยสารเตบิ โตขน้ึ เร่อื ยๆ และมีหน่วยงานต่างๆของราชการเข้ามาเช่ือมต่อใน เครือข่ายมากขึ้นเร่ือยๆ และต่อมาทา งหน่ว ยงานเอกชนมีคว ามต้องการใช้บริการมากขึ้น การส่ือสารแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับบริษัทเอกชนเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่บิษัทต่างๆ หรือบุคคล ทั่วไปที่สนใจ โดยเรียกบริษัทเอกชนท่ีให้บริการทางอินเตอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ว่า ISP (Internet Service Provider) ใความเปน็ จริง ไมม่ ีใครเป็นเจ้าของ internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกาหนด มาตรฐานใหมต่ า่ ง ๆ ผตู้ ดิ สนิ ว่าส่งิ ไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รับการยอมรบั คือ ผใู้ ช้ ท่กี ระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ที่ไดท้ ดลองใช้มาตรฐานเหลา่ นน้ั และจะใชต้ อ่ ไปหรือไมเ่ ทา่ น้นั ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพ้ืนฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามนั้นต่อไป เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การ จะเปล่ียนแปลงระบบพน้ื ฐาน จงึ ไม่ใช่เรื่องง่ายนกั หลกั การทางานของอินเทอร์เน็ต การสอ่ื สารข้อมูลดว้ ยคอมพวิ เตอรจ์ ะมีโปรโตคอล (Protocol) ซ่งึ เปน็ ระเบียบวธิ ีการสือ่ สารทเ่ี ปน็ มาตรฐานของการเช่ือมต่อกาหนดไว้ โปรโตคอลท่ีเป็นมาตรฐานสาหรับการเชือ่ มต่ออินเทอร์เนต็ คือ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)

56 เคร่ืองคอมพวิ เตอรท์ ุกเครอ่ื งท่ีเชอื่ มต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เนต็ จะต้องมีหมายเลขประจาเครื่อง ทเ่ี รียกวา่ IP Address เพ่ือเอาไวอ้ ้างองิ หรือตดิ ต่อกับเครื่องคอมพวิ เตอร์อ่ืนๆ ในเครือข่าย ซงึ่ IP ในท่นี ้กี ค็ ือ Internet Protocol ตวั เดยี วกบั ใน TCP/IP นน่ั เอง IP address ถูกจัดเป็นตวั เลขชุดหนึง่ ขนาด 32 บิต ใน 1 ชดุ นจี้ ะมตี วั เลขถูกแบง่ ออกเป็น 4 สว่ น ส่วนละ 8 บติ เท่าๆ กนั เวลาเขยี นก็แปลงใหเ้ ป็นเลขฐานสิบก่อนเพอ่ื ความง่ายแล้วเขยี นโดยคนั่ แต่ละสว่ นดว้ ยจดุ (.) ดงั นั้นในตวั เลขแตล่ ะสว่ นนจี้ ึงมีค่าได้ไม่เกิน 256 คอื ต้ังแต่ 0 จนถึง 255 เทา่ น้ัน เชน่ IP address ของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ของสถาบนั ราชภัฎสวนดสุ ิต คอื 203.183.233.6 ซง่ึ IP Address ชุดนีจ้ ะใช้เป็นที่อยเู่ พือ่ ตดิ ต่อกับเคร่ืองพิวเตอรอ์ ่นื ๆ ในเครือขา่ ย บริการบนอินเตอร์เนต็ บริการค้นขอ้ มูล World Wide Web การนาเสนอข้อมูลในระบบ WWW (World Wide Web) พัฒนาขึ้นมาในช่วงปลายปี 1989 โดย ทมี งานจากห้องปฏิบตั กิ ารทางจลุ ภาคฟสิ กิ ส์แหง่ ยุโรป (European Particle Physics Labs) หรือที่รู้จักกัน ใน นาม CERN (Conseil European pour la Recherche Nucleaire) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้มี การ พัฒนาภาษาที่ใช้สนับสนุน การเผยแพร่เอกสารของนักวิจัย หรือเอกสารเว็บ (Web Document) จากเคร่ือง แม่ข่าย (Server) ไปยังสถานท่ีต่างๆ ในระบบ WWW เรียกว่า ภาษา HTML (Hypertext Markup Language) การเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ผ่านสื่อประเภทเว็บเพจ (WebPage) เป็นที่นิยมกันอย่าง สูงในปัจจุบัน ไม่เฉพาะข้อมูลโฆษณาสินค้า ยังรวมไปถึงข้อมูลทางการแพทย์ การเรียน งานวิจัยต่างๆ เพราะ เข้าถงึ กลุ่มผ้สู นใจได้ท่วั โลก ตลอดจนขอ้ มลู ท่นี าเสนอออกไป สามารถเผยแพร่ ได้ทง้ั ขอ้ มูลตัวอักษร ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง และภาพเคลื่อนไหว มีลูกเล่นและเทคนิคการนาเสนอ ที่หลากหลาย อันส่งผลให้ระบบ WWW เติบโตเป็นหนึ่ง ในรูปแบบบริการ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ ระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งลักษณะเด่นของการ นาเสนอข้อมูลเว็บเพจ คือ สามารถเช่ือมโยงข้อมูลไปยังจุดอื่นๆ บนหน้าเว็บได้ ตลอดจนสามารถเช่ือมโยงไป ยังเว็บอ่ืนๆ ในระบบเครือข่าย อันเป็นที่มาของคาว่า HyperText หรือข้อความที่มีความสามารถ มากกว่า ข้อความปกตินั่นเอง จึงมีลักษณะคล้ายกับว่าผู้อ่านเอกสารเว็บ สามารถโต้ตอบกับเอกสารนั้นๆ ด้วยตนเอง ตลอดเวลาทีม่ กี ารใชง้ าน 3.2 เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ 1.1. ความหมายและองคป์ ระกอบของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer net-work) หมายถึง การเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้า ดว้ ยกันโดยใชส้ ่ือกลางตา่ งๆ เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้ 6 ประเภท ดังน้ี 1. เครือข่ายเฉพาะท่ี หรือแลน (local area network : LAN) 2. เครือขา่ ยนครหลวง หรอื แมน (metropolitan area network : MAN)

57 3. เครือขา่ ยบริเวณกว้าง หรือแวน (wide area network : WAN) 4. เครือขา่ ยภายในองค์กร หรอื อินทราเน็ต (intranet) 5. เครอื ขา่ ยภายนอกองคก์ ร หรอื เอ็กทราเนต็ (extranet) 6. เครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต (internet) 1.2. การเลอื กใชฮ้ ารด์ แวร์ของระบบเครือขา่ ยขนาดเลก็ 1. อปุ กรณใ์ นระบบเครอื ขา่ ยขนาดเลก็ 1.1. การ์ดแลน (LAN card) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าท่ีรับส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เคร่ือง หนึ่งไปสูค่ อมพวิ เตอร์อกี เครือ่ งหน่ึงโดยผา่ นสายแลน 1.2. ฮับ (hub) เปน็ อปุ กรณ์ทท่ี าหนา้ ทีเ่ สมอื นกบั ชุมทางขอ้ มูล มีหน้าท่ีเป็นตัวกลางคอยส่ง ข้อมูลให้คอมพิวเตอรใ์ นเครือขา่ ย 1.3. สวิตช์ (switch) เป็นอุปกรณ์รวมสัญญาณเช่นเดียวกับฮับ แต่ต่างจากฮับ คือ การ รับส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหน่ึงนั้นจะไม่กระจายไปยังทุกเคร่ือง เน่ืองจากข้อมูลจะตรวจสอบก่อนว่า เป็นของเครอ่ื งใด แล้วจึงส่งไปยงั ปลายทาง 1.4. โมเด็ม (modem) เป็นอุปกรณ์ที่ทาหน้าท่ีแปลงสัญญาณเพื่อให้สมมารถส่งผ่าน สายโทรศพั ทไ์ ด้ 1.5. อุปกรณ์จัดเส้นทางหรือเราเตอร์ (router) เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้ในการเช่ือมโยงเครือข่าย หลายเครือข่ายเขา้ ด้วยกัน เราเตอร์ทาหน้าที่เลอื กเสน้ ทางทด่ี ีที่สดุ 1.6. สายสญั ญาณ (cable) เปน็ อุปกรณท์ ่ีทาหน้าท่ีเป็นสื่อกลางในการรบั สง่ ข้อมูล 2. การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายขนาดเลก็ 2.1. การเช่ือมต่อเครือข่ายระยะใกล้ หากมีคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายไม่เกินสอง เคร่อื ง อุปกรณ์ในระบบเครือขา่ ยนอกจากเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ยังต้องมีการ์ดแลนและสายสัญญาณ โดยไม่ ต้องใชฮ้ ับและสวติ ช์ เพราะถา้ มีคอมพิวเตอรส์ องเครื่อง กส็ ามารถเช่อื ตอ่ โดยใช้สายไขว้ (cross line) 2.2. การเชื่อมต่อเครือข่ายระยะไกล จากข้อกาจัดของเครือข่ายที่ใช้สายแลนท่ีไม่สามารถ เดินสายให้มีความยาวมากกวา่ 100 เมตรได้ จงึ ตอ้ งหาทางเลือกสาหรบั ระบบเครอื ขา่ ยระยะไกล ดงั นี้ - แบบที่ 1 คือ ตอ้ งตดิ ตงั้ เคร่อื งทวนสัญญาณ (repeater) ไว้ทุกๆระยะ 100 เมตร - แบบท่ี 2 คือ ใช้โมเด็มหมุนโทรศัพท์เข้าหากันเม่ือต้องการเช่ือมต่อ เละเมื่อเสร็จสิ้นก็ยกเลิกการ เช่ือมตอ่ - แบบท่ี 3 คือ เป็นเทคโนโลยีท่ีมีประสิทธิภาพดีท่ีสุดในปัจจุบันสายสัญญาณที่เลือกใช้ คือ สายใย แกว้ นาแสง สามารถส่งขอ้ มูลระยะไกลไดแ้ ละมคี วามเรว็ สงู - แบบที่ 4 คือ ใช้จุดเชื่อมต่อแบบไร้สาย (wireless lan) เป็นการเช่ือมต่อโดยใช้สัญญาณวิทยุทาง อากาศแทนการใชส้ ายโทรศัพท์ - แบบที่ 5 คือ เทคโนโลยี G.SHDSL ซึ่งเป็นหน่ึงในเทคโนโลยีตระกูล DSL (Digital Subscriber Line) เปน็ เทคโนโลยีโมเดม็ ทท่ี าให้คู่สายทองแดงกลายเป็นสอ่ื สัญญาณดิจิทลั ความเรว็ สูง - แบบท่ี 6 คือ เทคโนโลยีแบบ ethernet over VDSL เป็นเทคโนโลยีระบบเครือข่ายแบบล่าสุดที่ สามารถจะตดิ ตั้งใชง้ านได้เอง สามารถเชอื่ มต่อใช้กบั โทรศพั ทไ์ ด้

58 1.3. การเลือกใชซ้ อฟตแ์ วรข์ องระบบเครอื ข่ายขนาดเลก็ 1. ระบบปฏบิ ัตกิ ารลนิ กุ ซ์ เซ็นโอเอส (Linux community enterprise operating system) นิยมเรียกย่อว่า CentOS ซึ่งช่วยประหยัดงบประมาณขององค์กร เนื่องจาก CentOS เป็นซอฟแวร์ เปิดเผยโค้ด (open source software) ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดโค้ดไปใช้งานโดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธ์ิ ซอฟตแ์ วร์ 2. ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ (Windows server) ปัจจุบันถูกพัฒนาเป็น windows Server 2008 ซ่ึงออกแบบมาเพ่ือนสนับสนุนระบบเครือข่าย แอพพลิเคช่ันและบริการอ่ืนๆ ท่ีมีความทันสมัย บนเว็บไซต์ อินเทอรเ์ นต็ เปน็ แหลง่ ข้อมลู ทท่ี ุกคนสามารถเข้าถึงเพื่อค้นหา แลกเปล่ียน เรียนรู้ ได้อย่างแทบไม่มี ขีดจากัด การใช้อินเทอร์เน็ตเพ่ือประโยชน์ดังกล่าว จาเป็นที่เราจะต้องมีความรู้และทักษะในการค้นหาข้อมูล (Search) รู้จักแหล่งเรียนรู้ และวิธีการนาเสนอข้อมูลความรู้และผลงานอย่างเหมาะสม กิจกรรมน้ีจะช่วยให้ เราสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเคร่ืองมือในการสืบค้นข้อมูลในหัวข้อเร่ืองท่ีนักเรียนสนใจ และเปิดเวทีเพื่อ นาเสนอผลงานของเราบนโลกออนไลน์ได้ (โดยการเลือกสรา้ งBlog หรือ Web Page) อนิ เทอร์เนต็ มาใชใ้ นการศกึ ษาสามารถทาได้หลายรูปแบบด้วยกัน การประยุกต์เน็ตเป็นเครือข่ายที่สามารถติดต่อส่ือสารกันได้กับแหล่งท่ีเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สามารถ สืบค้นข้อมูลได้และมีสถาบันต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกได้เชื่อมเครือข่ายร่วมกัน จึงเป็นแหล่งที่จะ สบื คน้ ขอ้ มลู เพ่ือนามาศึกษาหาความรู้ได้ การนาอินเทอรเ์ น็ตใช้งานเครือข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตทางการศึกษา ดังนี้ การใช้เครือข่ายเพ่ือการติดต่อส่ือสารเป็นการติดต่อระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน เพื่อส่งรายงาน การบ้าน วิทยานิพนธ์ ในรูปแบบแฟูมข้อมูล การเป็นสมาชิกกลุ่มสนทนาเพื่อเป็นเวทีแลกเปล่ียนความคิดเห็น เผยแพร่ ผลงานวิจยั ชว่ ยเหลือซ่ึงกันและกันทางด้านวชิ าการ และแจ้งขา่ วความเคล่ือนไหวทางวิชาการ การใช้เครือข่าย เพื่อการสืบค้นข้อมูลซ่ึงผู้เรียน นักวิจัย และ ผู้สอนสามารถสืบค้นจากฐานข้อมูลทางการศึกษา และ Online Library Catalog ของห้องสมุดต่าง ๆ ท่ีเช่ือมโยงในอินเทอร์เน็ตจากประเทศในทวีปต่าง ๆ ทั่วโลก การใช้ เครอื ข่ายเพือ่ การสอน หรือการสอนทางไกลโดยผ่านเครือข่าย โดยเปิดเป็นหลักสูตรการสอนในระดับปริญญา และในแบบประกาศนียบัตร เรียกว่าOnline Program ซ่ึงผู้เรียนสามารถสมัครและเรียนผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ต ส่วนกิจกรรมการเรียนการสอน เอกสารและการติดต่อต่าง ๆ อยู่ในรูปขอ งแฟูมข้อมูล อเิ ล็กทรอนิกส์ การใช้ Internet ในชีวิตประจาวนั สง่ ผลในดา้ นการศึกษา เราต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นคว้า หาข้อมลู ได้ ไม่ว่าจะเป็น ขอ้ มลู ทางวชิ าการจากที่ตา่ ง ๆ ซึง่ ในกรณนี ้ี อนิ เตอร์เน็ต จะทาหน้าที่เหมือนห้องสมุด ขนาดยักษ์ ส่งข้อมูลที่เราต้องการ มาให้ถึงบนจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านหรือที่ทางานของเรา ไม่ก่ีวินาทีจาก แหล่งข้อมูลท่ัวโลก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ศิลปกรรม สังคมศาสตร์ กฎหมาย ความ บันเทิง และการ พักผ่อนหย่อนใจ หรือสันทนาการ เช่น เลือกอ่านวารสารต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ต ท่ีเรียกว่า magazine แบบ online รวมถึงหนังสือพิมพ์ และข่าวสารอื่น ๆ โดยมีภาพประกอบบนจอคอมพิวเตอร์ เหมอื นกบั หนงั สอื การใช้อนิ เตอรเ์ น็ตเพอ่ื การค้นหาขอ้ มูลในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เน่อื งจากขอ้ มูลทอี่ ยู่บนเครือขา่ ยอินเตอร์เนต็ ในปัจจบุ ันมีมากมายและกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ดงั นั้นผูใ้ ช้อนิ เตอรเ์ น็ตจึงจาเปน็ ตอ้ งเรียนรวู้ ธิ กี ารใชบ้ รกิ ารอนิ เตอร์เนต็ และเลือกใช้ให้เหมาะสม เพ่ือการค้นหา ข้อมูลในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถใช้อินเตอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูล ศึกษา ค้นควา้ และวจิ ัยไดห้ ลายวธิ ดี ้วยกัน วธิ ีทเ่ี ป็นท่ีนยิ มมากที่สดุ ในปัจจบุ นั คือ

59 การสืบค้นทางเวิลดไ์ วด์เวบ็ เน่ืองจากสามารถรองรับข้อมูลได้หลายๆ รูปแบบ และเช่ือมโยงข้อมูลที่ เกี่ยวเน่ืองกันให้เราได้ศึกษาอย่างสะดวกสบาย และมีซอฟต์แวร์ สาหรับอ่านข้อมูลในเว็บที่สมบูรณ์แบบมาก การค้นหาข้อมูล ในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ จาเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วยค้น ( Search engine) ซ่ึงซอฟต์แวร์สาหรับอ่านข้อมูลในเว็บ (Web Browser) ส่วนใหญ่บริการเช่ือมต่อกับเคร่ืองมือเหล่าน้ี ไว้ให้แลว้ ผใู้ ชเ้ พียงแต่กดปุมสาหรับเรียกเครื่องมือน้ีข้ึนมา พิมพ์คา หรือข้อความท่ีต้องการสืบค้นลงไป เคร่ือง ก็จะแสดงผลการค้น โดยการแสดงชื่อของข้อมูลที่เราต้องการศึกษา (Web Page) ซึ่งถ้าต้องการเข้าไปอ่าน ก็ สามารถกดลงไปบนช่ือนั้นได้เลย ข้อมูลดังกล่าวจะปรากฏบนจอไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เครอ่ื งใดในโลกก็ตาม นอกจากน้ีการเข้าใช้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ท่ีต่ออยู่กับเครือข่าย และมีการอนุญาตให้เข้าไปใช้ได้ เช่น การติดตอ่ เขา้ สู่เครอ่ื งคอมพิวเตอรข์ องห้องสมุดเพ่อื ค้นหา ยืม ต่อเวลาการยมื หรอื การจองหนังสือสิ่งพิมพ์ ต่าง ๆ ก็เป็นท่ีนิยมกันมาก ปัจจุบันมีห้องสมุดหลายแห่งเปิดให้บริการบริการน้ีสามารถเข้าใช้ได้โดยการ ใช้ คาส่ัง Telnet และตามดว้ ยชอื่ เครื่อง หรือหมายเลขของเครือ่ งแล้วพิมพช์ ่ือในการขอเข้าใช้ (Login) บางเคร่ือง อาจต้องใช้รหัสลับ (Password) ด้วย หลังจากน้ันต้องทาตามคาส่ังท่ีปรากฏบนจอ ซ่ึงจะแตกต่างกันไปในแต่ ละระบบของเครอื่ ง นอกจากหอ้ งสมดุ แลว้ เราอาจจะใชค้ อมพิวเตอรท์ ี่เปน็ ฐานข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วย โดยในบาง ฐานข้อมูล นอกจากผู้ใช้จะเข้าไปค้นหาบทความที่เคยตีพิมพ์ในวารสารต่าง ๆ แล้วยังสามารถใช้บริการพิเศษ อื่น ๆ เช่น บริการส่งอีเมล์แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับบทความใหม่ ๆ ที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารการศึกษาท่ีสนใจเล่ม ลา่ สุด โดยตอ้ งมีการกาหนดช่ือของวารสารท่ีสนใจไว้ล่วงหน้า หรือ มีบริการส่งแฟกซ์ บทความน้ันให้แก่ผู้ใช้ที่ สนใจ อินเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีมีบทบาทในยุคน้ี โดยการนาความรู้ การเช่ือมโยงแหล่ง ความรู้มาประกอบกันเพ่ือให้ผู้เรียน ท่ีต้องการเรียนรู้ให้เข้าถึงได้จึงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษาในการ ใช้สืบค้นข้อมูลต่างๆจากความจาเป็นและความสาคัญของอินเทอร์เน็ตดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะศึกษา พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตเพ่ือการศึกษาของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง ผลการวิจัยคร้ังนี้เป็นประโยชน์ต่อสถาบันเพื่อใช้ในการวางแผนการบริหารจัดการและการลงทุน ดา้ นเทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารเพือ่ เปน็ ประโยชน์สาหรบั ตวั เราเอง การใช้อนิ เทอร์เน็ตเพือ่ การศึกษา ยุคแห่งสังคมความรู้เป็นยุคที่นักการศึกษามีบทบาทต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างย่ิง อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางของการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ัวทั้งโลก เราต่างก้าวหน้าผ่านยุคแห่ง สังคมข่าวสารมาแล้วซ่ึงทาให้ประจักษ์ได้ว่าข่าวสารต่าง ๆ นั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคมการศึกษา และอืน่ ๆ ไดน้ นั้ ต้องอาศัยความรใู้ นการจดั การ การใช้อินเทอร์เน็ตเพ่ือการศึกษามี ความหมายครอบคลุมกิจกรรมด้านการศึกษาที่ถูกวางรูปแบบโดยครูผู้ทาหน้าท่ีถ่ายทอดความรู้ผ่านทาง อินเทอร์เน็ต เน่ืองจากรูปแบบการส่ือสารและการควบคุมนักเรียนทางไกลแบบOnline มีลักษณะพิเศษท่ี แตกตา่ งจากการเรียนการสอนในห้องเรียนซึ่งทากันเปน็ ปกติ ดังนน้ั เปาู หมายของการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตจึง ประกอบด้วยวัตถุประสงคห์ ลัก 3 ประการ ได้แกก่ ารสร้างกจิ กรรมการเรยี นการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ให้เหมาะสมกับระดับผู้เรียนการเสริมทักษะและความรู้เพ่ือให้ครูสามารถดา เนินการเรียนการสอนผ่าน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกาหนดเปูาหมายการศึกษาเพ่ือสนับสนุนการเรียนการสอน การสร้างกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กิจกรรมการศึกษาในระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ตสามารถแสดงความสัมพันธ์ของกิจกรรมต่าง ๆ เพราะจานวนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต่อการใช้

60 อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษามีความสัมพันธ์กันในอัตราส่วนท่ีลดลงโดยพบว่าข้ันพ้ืนฐานจะมีจานวนประชากรที่ ใช้อินเทอร์เน็ตมาก จานวนของผู้ใช้ท่ีมีทักษะ หรือความสามารถในการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตกลับมี จานวนที่ลดลงจากข้อเท็จจริงดังกล่าวทาให้วิธีการท่ีจะสร้างให้มีกิจกรรมเพื่อการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตอย่าง ได้ผล จึงจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องดาเนินการวางแผนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ให้เป็นบริการสาธารณูปโภคของ ประเทศที่มีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทุกพ้ืนท่ีในเวลาอันรวดเร็วท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ซ่ึงปัจจุบันมหาวิทยาลัย ต่าง ๆ ไดร้ ับการสนบั สนนุ จากทบวงหาวทิ ยาลยั (Uninet) ส่วนโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาก็ได้รับการสนับสนุน จาก Schoolnet Thailand เชน่ กัน การบริการอินเทอร์เน็ตระดับพ้ืนฐาน แต่ละข้ันจะมีรูปแบบของกิจกรรม การศกึ ษาท่ีแตกตา่ งกัน การใช้ระบบเครือข่ายระดับพ้ืนฐานคือการใช้อินเทอร์เน็ตตามโครงสร้างของสาธารณูปโภคท่ีมีใช้กัน อยใู่ นทุกแหง่ สาเหตทุ ีจ่ ะทาให้ กล่มุ ผ้ใู ชท้ ีย่ ังไมร่ จู้ กั เครอื ข่ายอนิ เทอร์เนต็ เปลีย่ นเจตคติมายอมรับเพ่ือเข้าร่วมใน การใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตน่าจะเป็นเพราะความสามารถในการสื่อสารระหว่างบุคคล และ ความสามารถของอนิ เทอรเ์ นต็ ในการเขา้ ถงึ ข้อมูลท่ีมีอยู่ในคอมพิวเตอร์เคร่ืองอ่ืนๆ ทั่วโลกด้วยเวลาอันรวดเร็ว ด้วยเหตนุ จี้ ึงสามารถแบ่งบรกิ ารทีม่ อี ยู่ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ว่า เป็นบริการด้านการสื่อสารระหว่างบุคคล ต่อบุคคล และบุคคลต่อกลุ่มบุคคล เป็นบริการเพ่ือการเข้าถึงแหล่งข้อมูล การใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันที่ สามารถนามาเป็นตัวอย่างได้แก่ การใช้ e-mail ในการสื่อสารระหว่างบุคคล การใช้ WWW เพื่อสืบหาและ เข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆการเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความรู้ ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตถูกนามาใช้เพื่อการสืบค้น ข้อมูลมากที่สุด ซึ่งผู้ใช้ที่มีอาชีพแตกต่างกันย่อมใช้บริการที่มีอยู่ในปริมาณต่างกัน บ้างเป็นการสืบค้นข้อมูลที่ เป็นตัวอักษร บ้างก็เป็นข้อมูลท่ีนาเสนอในรูปแบบของมัลติมีเดีย ที่ล้วนแต่แปลงเป็นสัญญาณดิจิตอลแล้ว ทั้งสิ้นทางด้านการศึกษา อาจจะคล้ายคลึงกับการไปห้องสมุดที่หาตารา วารสาร โดยท่ีมีบรรณารักษ์คอยให้ คาปรึกษา เพ่ือจะได้ข้อมูลและความรู้ท่ีต้องการ การใช้ข้อมูลต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียว เพราะผู้ใช้ สามารถเข้าถึงข้อมูลท่ีมีอยู่ทันที สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางอินเทอร์เน็ตได้แม้จะอยู่ต่างสถานท่ีก็ตาม เว้นเสียแต่ว่าในการศึกษาครั้งนั้นมีจุดประสงค์แตกต่างกันการร่วมกันใช้ข้อมูล แหล่งความรู้ การร่วมใช้ข้อมูล และแหล่งความรู้เป็นเรื่องปกติของกลุ่มผู้ใช้ท่ีต้องการจะมีประสบการณ์ด้านการแล กเปลี่ยนความคิดเห็นและ ขอ้ มูลต่าง ๆ ในอนิ เทอร์เน็ต โดยทั่วไปแล้วผู้ใช้จะไม่เพียงแต่มีปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลหรือผู้เชี่ยวชาญเพียงลาพัง เท่านน้ั แต่จะเข้าร่วมกิจกรรมทางอินเทอร์เนต็ เชน่ การแสดงความคิดเห็น การสนทนา ผ่านเครือข่ายกบผู้ท่ีมี ความสนใจในเรื่องเดียวกัน การสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์กรต่าง ๆ เพ่ือร่วมกันใช้ข้อมูลหรือร่วมแสดงความ คิดเห็นการร่วมมือ ร่วมตัดสินใจ และร่วมกันบริหาร ปัจจุบันมีรูปแบบของการร่วมกันในเครือข่ายอยู่ 3 รูปแบบไดแ้ ก่ การรว่ มมือ ร่วมตัดสินใจ และร่วมกันบริหาร ซึ่งเป็นการท างานระหว่างบุคคล ท่ียังบกพร่องใน รูปแบบทเ่ี หมาะสมแม้จะมจี ดุ หมายเพื่อการใช้ข้อมูลรว่ มกันก็ตาม ย้อนกลับไปยังประเด็นการศึกษาซ่ึงเป็นการ รวมกันระหว่างการเรียนในโรงเรียนหรือการเรียนทางไกลสาหรับผู้ใหญ่ท่ีจาเป็นจะต้องมีการสื่อสารกัน ตลอดเวลาครผู ู้สอนตอ้ งจัดโปรแกรม กิจกรรมการเรยี นการสอน และการแลกเปล่ียนข้อมูลเพื่อให้กระบวนการ เรียนรู้ สาหรับการเรียนของนักเรียนก็เช่นกันที่ต้องจัดให้มีกิจกรรมที่จะร่วมกันทางานกับผู้อ่ืน เพ่ือให้เกิด บุคลิกภาพของการรว่ มกันทางาน หรือต้องการใหส้ รา้ งสังคมของการเรียนร้แู บบร่วมมือนน้ั เอง

61 3.3 เทคโนโลยแี ละสารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ ความรูเ้ บ้อื งตน้ เกยี่ วกับเทคโนโลยีสารสนเทศ สังคมของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ไปอย่างรวดเร็ว กล่าวกันว่าได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในลกั ษณะที่เรียกวา่ การปฏวิ ตั ิ มาแลว้ สองครั้ง คร้ังแรกเกิดจากการท่ีมนุษย์รู้จักใช้ระบบชลประทานเพ่ือการเพาะปลูก สังคมของมนุษย์จึงเปลี่ยน จากการเรร่ อ่ นมาเปน็ การตัง้ หลักแหล่งเพือ่ ทาการเกษตร ต่อมาเมื่อประมาณร้อยกว่าปีท่ีแล้ว ก่อนสงครามโลกคร้ังท่ี 1 หลังจากที่ เจมส์ วัตต์ ประดิษฐ์ เคร่ืองจักรไอน้า มนุษย์นาเอาเคร่ืองจักรมาช่วยในอุตสาหกรรมการผลิตและการสร้างยานพาหนะเพ่ือการ คมนาคมขนส่ง ผลทต่ี ามมาทาให้เกดิ การปฏวิ ัติทางอตุ สาหกรรม ความก้าวหน้าทางดา้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการ ดารงชีวิตไดเ้ ปน็ อย่างดี เทคโนโลยีทาให้การสร้างท่ีพักอาศัยมีคุณภาพ ผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความ ต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทาให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจานวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทาให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมถึงกันทาให้ประชากรใน โลกตดิ ตอ่ รบั ฟงั ขา่ วสารกนั ไดต้ ลอดเวลา การสรา้ งเทคโนโลยสี ารสนเทศมักจะสรา้ งโดยใชร้ ะบบคอมพิวเตอร์เป็นหลักเนื่องจากคอมพิวเตอร์มี ความสามารถและประสิทธิภาพในการจัดการเก็บข้อมูลมากกว่าอุปกรณ์อย่างอื่น รวมทั้งยังสามารถคานวณ ประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วถูกต้องแม่นยา แต่ไม่จาเป็นต้องสร้างมาจากระบบคอมพิวเตอร์เพียงอย่าง เดยี วเราสามารถใชอ้ ปุ กรณ์ชนดิ อ่นื สร้างระบบสารสนเทศได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์สามารถทางานและจัดการข้อมูลได้ดีกว่าอุปกรณ์ชนิดอื่น จึงทาให้ คอมพวิ เตอรก์ ลายเปน็ อุปกรณส์ าคัญในการสร้างระบบสารสนเทศ เทคโนโลยสี ารสนเทศมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า เป็นเรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับวิถี ความเป็นอยขู่ องสงั คมสมัยใหม่อยู่มาก เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลกระทบต่อทุกสิ่งทุกอย่างท้ังทางการดาเนินชีวิต เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศกึ ษาและอ่ืนๆ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อสารในรูปแบบ ต่าง ๆเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ลักษณะเด่นที่สาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศคือ ช่วยเพ่ิมผลผลิต ลดต้นทุน และเพม่ิ ประสิทธิภาพการทางาน ความหมายและความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ความหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่างๆ ท่ีได้รับการสรุป คานวณ จัดเรียง หรือประมวล แลว้ จากข้อมูลต่างๆ ทเี่ ก่ียวขอ้ งอยา่ งเปน็ ระบบตามหลักวชิ าการ จนไดเ้ ป็นขอ้ ความรู้ เพือ่ นามาเผยแพร่และใช้ ประโยชนใ์ นงานดา้ นต่าง ๆ เทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การศึกษา พัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ ก็เพ่ือให้เข้าใจธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของสิ่งต่างๆ และหาทางนามาประยุกต์ให้เกิด ประโยชน์ เทคโนโลยีจึงเป็นคา้ ท่ีมีความหมายกวา้ งไกล เป็นคาท่ีเราได้พบเห็นและไดย้ นิ อยตู่ ลอดมา

62 เมอ่ื รวมคาวา่ เทคโนโลยกี ับสารสนเทศเข้าด้วยกนั จึงหมายถงึ เทคโนโลยที ี่ใชจ้ ดั การสารสนเทศ เป็น เทคโนโลยีท่ีเก่ียวข้องตั้งแต่การรวบรวมการจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การพิมพ์ การสร้างรายงาน การ ส่ือสารข้อมูล ฯลฯ เทคโนโลยีสารสนเทศจะรวมไปถึงเทคโนโลยีท่ีทาให้เกิดระบบการให้บริการ การใช้ และ การดูแลข้อมลู ความสาคญั ของสารสนเทศ สารสนเทศแท้จริงแล้วย่อมมีความสาคัญต่อทุกสิ่งที่เก่ียวข้อง เช่น ด้านการเมือง การปกครอง ดา้ นการศกึ ษา ด้าน เศรษฐกิจ ดา้ นสังคม ฯลฯ ในลกั ษณะดังตอ่ ไปนี้ 1. ทาให้ผู้บริโภคสารสนเทศเกิดความรู้ (Knowledge) และความเข้าใจ (Understanding) ใน เรื่องดงั กล่าวขา้ งต้น 2. เม่ือเรารู้และเข้าใจในเรื่องท่ีเก่ียวข้องแล้ว สารสนเทศจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจ (Decision Making) ในเรื่องต่างๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม 3. นอกจากนั้นสารสนเทศ ยังสามารถทาให้เราสามารถแก้ไขปัญหา (Solving Problem) ที่ เกดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง แม่นยา และรวดเรว็ ทนั เวลากบั สถานการณต์ ่าง ๆ ทเ่ี กิดขึ้น ความสาคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร มี 6 ประการ Souter (1999) ได้แก่ ประการแรก การสื่อสารถือเป็นส่ิงจาเป็นในการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ส่ิงสาคัญท่ีมีส่วน ในการพัฒนากิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ประกอบด้วย Communications media, การสื่อสารโทรคมนาคม (Telecoms) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ประการที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลักที่มากไปกว่า โทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์ เช่น แฟกซ์ อินเทอร์เน็ต อีเมล์ ทาให้สารสนเทศเผยแพร่หรือกระจายออกไปในท่ี ต่างๆ ไดส้ ะดวก ประการทส่ี าม เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารมผี ลใหง้ านดา้ นต่าง ๆ มีราคาถูกลง ประการทส่ี ี่ เครือข่ายสอื่ สาร (Communication networks) ได้รับประโยชนจ์ ากเครือข่ายภายนอก เน่ืองจากจานวนการใช้เครือข่าย จานวนผู้เชื่อมต่อ และจานวนผู้ที่มีศักยภาพในการเข้าเช่ือมต่อกับเครือข่าย นบั วันจะเพม่ิ สูงข้ึน ประการที่ห้า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทาให้ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ และต้นทุนการ ใช้ ICT มีราคาถกู ลงมาก ประการที่หก เทคโนโลยีสารสนเทศก่อใหเ้ กิดการวางแผนการดาเนินการระยะยาวข้ึน อีกท้ังยังทาให้ วถิ ีการตัดสนิ ใจ หรอื เลอื กทางเลอื กไดล้ ะเอียดขนึ้ จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทที่สาคัญในทุกวงการ มีผลต่อการเปล่ียนแปลงโลกด้าน ความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอดจนการวิจัย และการพัฒนาตา่ งๆ การสือ่ สารด้วยเทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยีการส่ือสาร (Communication Technology) มีการพัฒนารูปแบบให้สามารถ ติดต่อสื่อสาร ถงึ กนั ไดง้ ่าย มหี ลายรูปแบบ อปุ กรณต์ า่ งๆ ไดเ้ พ่ิมคุณสมบัติใหส้ ามารถเชือ่ มโยงถึงกนั ได้

63 การเพิ่มคุณคา่ ของระบบคอมพวิ เตอรม์ ีมากขน้ึ เม่อื มีการนาเทคโนโลยกี ารสื่อสารมาประยุกต์เข้าด้วย ระบบกันทเี่ รยี กว่า “เครือข่ายคอมพิวเตอร์” อินเตอร์เน็ต (Internet) คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์ที่เช่ือมต่อกันทั่วโลก โดยมี มาตรฐาน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันเป็นหน่ึงเดียว ซ่ึงคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถรับส่งข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ได้ หลายรปู แบบ เชน่ ตวั อกั ษร ภาพกราฟกิ และ เสยี งได้ รวมทั้งสามารถคน้ หาขอ้ มูลจากทตี่ ่างๆ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ ทาใหก้ ารติดตอ่ สือ่ สารนน้ั เปน็ ไปอย่างรวดเรว็ และมีประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่ายถูกกว่าหลายเท่า น่ีเป็น เหตุผลหลกั ท่วี ่าทาไมเราตอ้ งใช้อินเตอรเ์ น็ตซง่ึ นับเป็นการปฏิวัติ สังคมขา่ วสารครง้ั ใหญท่ ่ีสดุ ในยคุ ของเรา ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต มดี ังน้ี ด้านการศึกษาเราสามารถต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตเพ่ือค้นคว้าหาข้อมูลได้ เหมือนห้องสมุดขนาดยักษ์ ส่งข้อมูลที่เราต้องการมาในเวลาไม่กี่วินาทีจากแหล่งข้อมูลทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ วศิ วกรรม ศิลปกรรม สงั คมศาสตร์ กฎหมายและอื่นๆ ผู้ใช้ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ตสามารถรับส่งข้อมูลจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) กับผู้ ใช้คนอ่ืนๆ ท่ัว โลกในเวลาอนั รวดเรว็ ด้านธุรกิจและการค้าอินเตอร์เน็ตมีบริการซ้ือขายสินค้าผ่านคอมพิวเตอร์เราสามารถเลือกดูสินค้า คุณสมบัตติ า่ งๆ ผา่ นจอคอมพวิ เตอร์ สง่ั ซือ้ และจ่ายเงินด้วยบตั รเครดติ ไดท้ ันทีซง่ึ นบั วา่ สะดวกและรวดเรว็ มาก เราสามารถสรุปได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นเทคโนโลยีทุกรูปแบบที่นามา ประยุกตใ์ นการประมวลผล การจัดเกบ็ การส่ือสาร และการส่งผ่านสารสนเทศด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ ระบบทางกายภาพประกอบด้วยคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ติดต่อสื่อสาร และระบบเครือข่าย ขณะท่ีระบบ นามธรรมเกี่ยวข้องกับการจัดรูปแบบของการมีปฏิสัมพันธ์ด้านสารสนเทศทั้งภายในและภายนอกระบบให้ สามารถดาเนินการร่วมกนั ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารกับการเรยี นรู้ จากความเปลี่ยนแปลงนิยามของการเรียนรู้ ที่หมายถึงการที่บุคคลมีความเข้าใจ รับรู้ปัญหาหรือ เรือ่ งราวที่ได้ประสบมา ที่มีความเก่ียวข้องกับการการเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ ความเข้าใจ และพัฒนาบุคคลน้ัน ๆ เช่น การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้จากประสบการณ์การทางาน การเรียนรู้ยุคใหม่ต้องมีประสิทธิภาพ และมคี วามเหมาะสมกบั สภาพสังคม ในปัจจุบันการเรียนรู้มุ่งหวังท่ีจะให้เกิดองค์ความรู้แก่ตัวผู้เรียน โดยมุ่งจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเป็น ศูนย์กลางการเรียนรู้ไม่ใช่แค่การตีกรอบให้ผู้เรียนอยู่เฉพาะแต่ในส่วนท่ีเป็นความต้องการของครูผู้สอนเพียง อยา่ งเดยี ว แตต่ ้องใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้นดว้ ย เปูาหมายทางการศึกษาของประเทศที่พัฒนาแล้วอยู่ที่การให้การศึกษาแก่ประชาชนเข้าสู่โลกแห่ง เทคโนโลยี โดยเน้นท่ีความรอบรู้ของคนในชาติ การเรียนรู้กับการสร้างสังคมเป็นสิ่งที่ต้องให้เกิดข้ึนกับคนใน ชาติ การเรียนรู้ต้องรวดเร็ว ใช้เวลาน้อย ต้นทุนต่า และท่ีสาคัญ ความรู้จะมีบทบาทท่ีสาคัญมากขึ้นเร่ือยๆ ควบคู่กบั การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรยี นรู้ การปฏิรปู การศกึ ษา มุ่งเนน้ ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียน คือการสร้างโอกาสให้แก่ผู้เรียนเข้าถึง แหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ได้มากและสะดวกข้ึน ดังนั้นการปฏิรูปการศึกษาจึงต้องใช้ระบบเครือข่าย อนิ เทอรเ์ น็ตเข้ามามบี ทบาทในการจัดการเรียนรู้

64 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้เกิดระบบการเรียนการสอนทางไกล ซ่ึงผู้เรียนและผู้สอนสามารถ ตอบโตก้ ันได้แม้วา่ จะอยหู่ ่างกนั ผ้เู รยี นสามารถส่งการบ้านทางอินเทอร์เน็ตได้ ครูสามารถตรวจงานให้คะแนน ได้ แม้กระทั่งการชี้แนะด้วยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือใช้ระบบกระดานข่าว (Bulletin Board System) เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายมีบทบาทสาคัญย่ิงในการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยช้ันนาของ ต่างประเทศ เช่น ญ่ีปุน ฮ่องกง สิงค์โปร์ ให้ความสาคัญอย่างย่ิงกับการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา การนา เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารสามารถใชใ้ นด้านการศกึ ษา จะช่วยพฒั นาการเรียนรู้และอานวยความสะดวกในด้านการสอนและแหล่งการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ไม่มีข้อจากัดในด้านสถานที่ การสอนโดยใช้ระบบสารสนเทศจะจัดการเรียนรู้ได้ตามความแตกต่างของผู้เรียน ระบบการเรียนรู้ท่ีใช้ในด้านการศึกษามีหลายระบบ เช่น E-learning, e – Book, e – Library และ e – Classroom การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศในการเรียนรู้เป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาที่ ทาให้คุณเรียนรู้โดยไม่มีข้อจากัดในประเด็นต่าง ๆ เพียงแต่ผู้เรียนรู้ต้องศึกษาวิธีการเพ่ือเข้าสู่ระบบที่ต้องการ ให้ถูกตอ้ ง การบรู ณาการเทคโนโลยสี ารสนเทศในการจดั การเรยี นรู้ ในโลกปัจจุบัน พบว่าความต้องการเก่ียวกับตัวผู้เรียนเพิ่มมากข้ึน เพราะว่าที่ผ่านมาอาจจะมีการ ตอบสนองต่อการเรยี นแบบท่องจามามากแล้ว การบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการเรียนการสอน ผู้สอนควรจะศึกษาเทคนิค วิธีการ เทคโนโลยตี ่างๆ ที่จะนามาใชเ้ พอ่ื ช่วยให้ผูเ้ รียนได้รบั ความร้ใู หม่ ซ่ึงแต่เดิมมักเป็นการสอนให้ผู้เรียนเรียนโดยเน้นการท่องจา และปรับเปลี่ยนมาสู่การใช้เทคนิค วิธีการที่จะช่วยผู้เรียนได้รับข้อเท็จจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ การใช้เทคนิคช่วยการจา เชน่ Mnemonics เป็นตน้ ความต้องการของการศึกษาในขณะนี้คือ การสอนที่ผู้เรียนควรได้รับคือ ทักษะการคิดในระดับสูง (Higher-order thinking skills) ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตลอดจนการแก้ปัญหา และการถ่ายโยง (Transfer) โดยเน้นการใชว้ ธิ ีการต่าง ๆ อาทิ สถานการณ์จาลอง การคน้ พบ การแก้ปัญหา และการเรยี นแบบร่วมมือ สาหรับผู้เรียนจะได้รับ ประสบการณ์การแก้ปัญหาที่สอดคล้องกับสภาพชวี ิตจรงิ สาหรับการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาบูรณาการในการจัดการเรียนรู้ ผู้เขียนจะขอนาเสนอใน รปู แบบตา่ งๆ ดังต่อไปน้คี ือ 1. สงิ่ แวดล้อมทางการเรียนรู้ (Learning environment) เป็นการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้ท่ีนาทฤษฎีการเรียนรู้มาเป็นพ้ืนฐาน การออกแบบร่วมกับสอ่ื หรือเทคโนโลยสี ารสนเทศ ซ่ึงหลอมรวมทั้งสองส่ิงเข้าไว้ด้วยกัน ที่ประกอบด้วยสถานการณ์ปัญหาท่ีกระตุ้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้ชนิดต่างๆ ทจี่ ัดเตรียมไว้สาหรบั ใหผ้ ู้เรียนค้นหาคาตอบ

65 มีฐานการชว่ ยเหลือไวค้ อยสนับสนนุ ผู้เรียนในกรณที ไ่ี มส่ ามารถแก้ปัญหาได้ ตลอดจนการเรียนรู้แบบ ร่วมมือกันแก้ปัญหาที่สนับสนุนให้ผู้เรียนขยายมุมมองแนวคิดต่างๆสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ในปัจจุบัน สามารถแยกตามคณุ ลักษณะของส่อื ได้ 3 รูปแบบ คือ (1) ส่งิ แวดล้อมทางการเรยี นรบู้ นเครอื ข่าย (2) มลั ตมิ เี ดยี ทพ่ี ัฒนาตามแนวคอนสตรคั ติวิสต์ (3) ชดุ การสรา้ งความรู้ตามแนวคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ 2. การเรยี นรู้แบบออนไลน์ (E-learning) การเรียนรู้แบบออนไลน์ หรือ E-learning การเรียนรู้แบบออนไลน์เป็นการศึกษา เรียนรู้ผ่าน เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรอ์ ินเทอร์เนต็ (Internet) หรืออนิ ทราเนต็ (Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตามความสามารถและความสนใจของตน โดยผู้เรียน ผู้สอน และเพ่ือน ร่วมช้ันเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในช้ัน เรียนปกติ ซึ่งการให้บริการการเรียนแบบออนไลน์ มีองค์ประกอบท่ีสาคัญ 4 ส่วน โดยแต่ละส่วนจะต้องได้รับ การออกแบบเป็นอย่างดี เพราะเม่ือนามาประกอบเข้าด้วยกันแล้วระบบทั้งหมดจะต้องทางานประสานกันได้ อย่างลงตวั ดงั นี้ 1) เนือ้ หาของบทเรียน 2) ระบบบรหิ ารการเรียน ทาหน้าท่ีเป็นศูนย์กลาง กาหนดลาดับของเนื้อหาในบทเรียน เราเรียก ระบบนี้ว่าระบบบริหารการเรียน (E-Learning Management System: LMS) ดังนั้นระบบบริหารการเรียน จึงเปน็ สว่ นทีเ่ อ้อื อานวยใหผ้ ้เู รยี นไดศ้ กึ ษาเรียนรู้ไดด้ ้วยตนเองจนจบหลักสตู ร 3) การติดต่อส่ือสาร การเรียนแบบ E-learning นารูปแบบการติดต่อส่ือสารแบบ 2 ทาง มาใช้ ประกอบในการเรียน โดยเครื่องมือท่ีใช้ในการติดต่อสื่อสารอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ ประเภทReal- time ได้แก่ Chat (message, voice), White board/Text slide, Real-time Annotations, Interactive poll, Conferencing และอ่ืนๆ ส่วนอีกแบบคือ ประเภท Non real-time ไดแ้ ก่ Web-board, E-mail 3. หนงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ (E-books) เป็นหนังสือถูกนามาจัดพิมพ์ในรูปแบบดิจิตอล ไม่บังคับการพิมพ์ และการเข้าเล่ม แผ่นซีดีรอม สามารถจัดเก็บข้อมูลได้จานวนมากในรูปแบบของตัวอักษร ท้ังลักษณะภาพ ดิจิตอล ภาพอนิเมช่ัน วิดีโอ ภาพเคลอื่ นไหวตอ่ เนื่อง คาพูด เสียงดนตรี และเสยี งอื่นๆ ท่ีประกอบตัว อักษรเหลา่ น้ัน 4. ห้องสมดุ อิเล็กทรอนกิ ส์ (E-library) เป็นแหล่งความรู้ท่ีบันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและให้บริการสารสนเทศทาง อเิ ล็กทรอนิกสห์ รอื ผา่ นเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต 1. การจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมและจัดเก็บสารสนเทศ และ สะดวกในการบริการส่งสารสนเทศแก่ผู้ใช้ เป็นการเปล่ียนรูปแบบสิ่งพิมพ์แบบเดิมให้อยู่ในรูปของ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ที่เครือ่ งคอมพิวเตอรส์ ามารถอ่านได้ ทาไดโ้ ดยการจัดเก็บในรูปดิจิตัล ได้แก่ ซีดีรอม หรือจัดเก็บ ในฮาร์ดดสิ ต์

66 2. ระบบเครือข่าย เพ่ือเชื่อมโยงเครือข่ายของห้องสมุดกับผู้ใช้และแหล่งสารสนเทศอ่ืน ๆ ทาให้ ผู้ใช้สามารถตดิ ตอ่ กับห้องสมดุ และแหล่งสารสนเทศ อ่นื ๆไดท้ ่ัวโลก 3. การส่งเอกสารสารสนเทศแก่ผู้ใช้ เพ่ือให้ผู้ใช้ได้รับสารสนเทศท่ีต้องการโดยไม่ต้องมายัง ห้องสมุด คือ ทางไปรษณีย์ โทรสาร และทางอินเตอร์เน็ต 5. แผนการจดั การเรยี นรู้ เป็นการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศในขั้นตอนต่างๆ ของแผนการจัดการเรียนรู้ ท่ียึดหลัก การบูรณาการทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ ของผู้เรียน ซึ่งสังเคราะห์จากทฤษฎีการเรียนรู้คอนสตรัคติวิสต์ ทฤษฎีพุทธิปัญญานิยม และคุณลักษณะของ โปรแกรมทางดา้ น ICT ดังกรอบแนวคิดในการจดั การเรียนรดู้ ังนี้ กรอบแนวคิดในการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีบูรณาการ ICT ท่ีสังเคราะห์จากทฤษฎีการเรียนรู้คอน สตรัคติวิสต์ ทฤษฎีพุทธิปัญญานิยม และคุณลักษณะของโปรแกรมทางดา้ น ICT

67 จากกรอบแนวคิดในการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้ แสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ระหว่างวิธีการจัดการเรียนรู้ (Method) ร่วมกับสื่อ(Media) ซึ่งในที่น้ีก็คือเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เนต็ วีดิทัศน์ ฯลฯ การการเลือกวิธีการจะต้องอยู่บนพ้ืนฐานของการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญและเลือกใช้ส่ือให้ สนองต่อการรบั รขู้ องผู้เรยี น ดงั กรอบแนวคดิ ข้างต้น ในขั้นแรกท่ีเป็นการเช่ือมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ผู้สอนอาจกระตุ้นให้ผู้เรียนใส่ใจหรือกระตุ้น ประสบการณเ์ ดมิ โดยใชส้ ่ือพวกวีดิทัศน์ และตั้งคาถามที่ให้ผู้เรียนสามารถเรียกกลับประสบการณ์เดิมเหล่าน้ัน มาใชใ้ นการเรียนรู้ส่งิ ใหม่ ข้ันจัดประสบการณ์เรียนรู้ต้ังแต่ข้ันการกระตุ้นให้เกิดปัญหาและการมอบหมายภารกิจการเรียนรู้ การส่งเสริมการสรา้ งและการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และการขยายแนวคดิ ที่หลากหลาย เทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีสามารถสนับสนุนการแสวงหาและค้นพบความรู้ เช่น อินเทอร์เน็ต เป็นต้น ในการสร้างและนาเสนอผลงานผู้สอนอาจให้ผู้เรียนใช้โปรแกรมประยุกต์คอมพิวเตอร์ เช่น MSWord, MSPower point เป็นต้น และอาจใช้ Social media ในการแลกเปลี่ยนแนวคิด ติดต่อส่ือสารระหว่างผู้เรียน อื่นๆไดอ้ ีกดว้ ย 3.4 สือ่ เพื่อการเรยี นรู้ การออกแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรยี นรู้ ความหมาย การออกแบบนวัตกรรมการศึกษา “การออกแบบนวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) คือ การนาส่ิงใหม่ๆ ซ่ึงอาจจะ เป็นความคิด วิธีการ หรือการกระทา หรือส่ิงประดิษฐ์ข้ึน ท้ังในส่วนท่ีไม่เคยมีมาก่อน หรือเป็นการพัฒนา ดัดแปลงจากส่งิ ทีม่ ีอยู่แต่เดิม ให้ดีขึ้น โดยอาศัยหลักการ ทฤษฎี ที่ได้ผ่านการทดลองวิจัยจนเชื่อถือได้นามาใช้ บงั เกิดผลเพิ่มพูนประสทิ ธิภาพต่อการเรยี นรู้ การออกแบบนวัตกรรมการศึกษา หมายถึง กระบวนการ แนวคิด หรือวิธีการใหม่ๆ ทางการศึกษา ซึง่ อยู่ในระหว่างการ ทดลองท่ีจะจัดขึ้นมาอย่างมีระบบและกว้างขวางพอสมควร เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพ อัน จะนาไปสู่การยอมรับนาไปใชใ้ นระบบการศึกษาอยา่ งกว้างขวางต่อไป ความคิด วิธีการใหม่ๆ ทางการเรียนการสอนซึ่งรวมไปถึงแนวคิดวิธีปฏิบัติที่เก่ามาจากท่ีอ่ืนและมี ความเหมาะสมทจ่ี ะนามาใชใ้ นการเรียนการสอนในปจั จุบัน การออกแบบนวัตกรรมการศึกษาเป็นส่ิงที่ถูกสร้างข้ึนมาเพื่อแก้ปัญหาทางการศึกษา หรือเพื่อ ปรบั ปรงุ เปลี่ยนแปลง สงิ่ ทมี่ อี ยู่เดมิ ให้ได้ มาตรฐานคณุ ภาพเพ่ิมขึน้ ผูส้ ร้างนวตั กรรมจะคานงึ ถึงว่า นวัตกรรมที่ สร้างข้ึนมาจะต้องดีกว่าของเดิมคือ จะต้องได้รับประโยชน์มากกว่าเดิม หรือมีความสะดวกมากขึ้น ไม่ยากต่อ การใช้ ตรงกบั ความต้องการของผใู้ ช้ สรุป “การออกแบบนวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) คือ การนาสิ่งใหม่ๆ ซึ่ง อาจจะเป็นความคิด วิธีการ หรือการกระทา หรือสิ่งประดิษฐ์ขึ้น ทั้งในส่วนท่ีไม่เคยมีมาก่อน หรือเป็นการ

68 พัฒนาดัดแปลงจากส่ิงท่ีมีอยู่แต่เดิม ให้ดีขึ้น โดยอาศัยหลักการ ทฤษฎี ที่ได้ผ่านการทดลองวิจัยจนเชื่อถือได้ นามาใช้บงั เกดิ ผลเพ่ิมพนู ประสทิ ธภิ าพต่อการเรยี นรู้ ประเภทนวัตกรรมการศึกษา นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ สภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถ่ิน และตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากข้ึน เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการ เปล่ียนแปลงอยเู่ สมอ เพ่ือให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และของโลก นวัตกรรมทางดา้ นหลักสูตรไดแ้ ก่ การพฒั นาหลักสูตรบรู ณาการ หลกั สูตรรายบุคคล หลักสูตร กจิ กรรมและประสบการณ์ และหลักสูตรท้องถิ่น นวัตกรรมการเรียนการสอน เปน็ การใช้วธิ รี ะบบในการปรบั ปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การ เรียนรู้แบบแก้ปัญหา การพัฒนาวิธีสอนจาเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและ สนับสนุนการเรียนการสอน นวัตกรรมส่ือการสอน เนอื่ งจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่าย และเทคโนโลยโี ทรคมนาคม ทาใหน้ กั การศึกษาพยายามนาศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่าน้ีมาใช้ในการผลิต ส่ือการเรียนการสอนใหม่ๆ จานวนมากมาย ทั้งการเรียนด้วยตนเอง การเรียนเป็นกลุ่ม และการเรียนแบบ มวลชน ตลอดจนส่อื ที่ใช้เพ่อื สนบั สนุนการฝกึ อบรมผ่านเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ นวัตกรรมทางดา้ นการประเมนิ ผล เป็นนวตั กรรมท่ใี ช้เป็นเครือ่ งมอื เพ่อื การวดั ผลและประเมินผลได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และทาได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการ ประยกุ ตใ์ ช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรม์ าสนับสนนุ การวัดผล ประเมินผลของสถานศกึ ษา ครู อาจารย์ นวัตกรรมการบริหารจัดการ เป็นการใช้นวัตกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการ บริหารจัดการ เพื่อการตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษา ให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการ เปล่ียนแปลงของโลก นวัตกรรมการศึกษาท่ีนามาใช้ทางด้านการบริหารจะเก่ียวข้องกับระบบการจัดการ ฐานขอ้ มลู ในหนว่ ยงานสถานศึกษา แนวคิด และกระบวนการออกแบบนวัตกรรมการศึกษา กาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้เมื่อครูได้วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือ พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนแล้ว ก็ต้ังเปูาหมายในการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนนั้นคือ กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ทต่ี อ้ งการใหเ้ กดิ ข้นึ ในตัวผ้เู รียนตามเปาู หมายของหลักสตู ร เช่น ความสามารถใน กระบวนการแกป้ ัญหา ความสามารถในทักษะกระบวนการสร้างค่านิยมกาหนดกรอบแนวคิดของกระบวนการ เรียนรู้เม่ือได้กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้แล้ว ครูควรศึกษาค้นคว้าหลักวิชาการ แนวคิดทฤษฎีผลงานวิจัยท่ี เกยี่ วขอ้ งกับจุดประสงคใ์ นการพฒั นาคณุ ลกั ษณะของผ้เู รยี น และนามาผสมผสานกับความคิดแลประสบการณ์ ของตนเอง กาหนดเป็นกรอบแนวคิดของกระบวนการเรียนรู้ข้ึนเพื่อจัดสร้างเป็นต้นแบบนวัตกรรมข้ึน เพื่อใช้ แก้ปญั หาหรอื พัฒนาการเรยี นรู้ของผูเ้ รยี น

69 สร้างต้นแบบนวัตกรรม เมอื่ ตัดสนิ ใจได้ว่าจะเลือกจัดทานวตั กรรมชนิดใดครผู ้ตู ้องศกึ ษาวิธกี ารจดั ทานวัตกรรมชนิดน้นั ๆ อยา่ งละเอยี ด เช่น จะจดั ทาบทเรยี นสาเร็จรูปในรายวิชาหนง่ึ ต้องศึกษาคน้ คว้าวธิ กี ารจดั ทาบทเรียนสาเร็จรูป ว่ามวี ิธกี ารจัดทาอย่างไรจากเอกสารตาราท่เี ก่ยี วข้อง แลว้ จัดทาต้นแบบบทเรียนสาเร็จรูปให้สมบรู ณต์ าม ขอ้ กาหนดของวิธีการทาบทเรียนสาเร็จรปู สาหรบั เครอื่ งมือที่ต้องใชใ้ นการวัดผลสัมฤทธ์ิหรอื เครื่องมืออ่ืน ๆ ตอ้ งมีการพฒั นาเครื่องมอื ตาม วธิ ีการทางวจิ ยั ด้วย การสร้างต้นแบบนวัตกรรมจะตอ้ งนาไปทดลองใช้เพื่อหาประสทิ ธิภาพของนวัตกรรม ซึ่งมี ขนั้ ตอนการหาประสิทธิภาพนวัตกรรม 3.5 การออกแบบ รายละเอยี ดนวัตกรรม ในการออกแบบนวัตกรรมการเรยี นร้ปู ระเภทส่ือการสอนผอู้ อกแบบต้องคานึงถงึ ดังน้ีคือ 1. วตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้ 2. ลกั ษณะผ้เู รยี น ความเหมาะสมกบั วยั ความสนใจ ระดับช้ัน ความรู้ ทักษะ 3. พน้ื ฐาน และประสบการณ์ของผูเ้ รยี น 4. รูปแบบการเรยี นการสอน และการเรียนรู้ 5. ธรรมชาตเิ น้ือหาสาระการเรยี นรู้ และวธิ กี ารนาเสนอท่ีเหมาะสม 6. สภาพการเรยี น 7. ทรัพยากรตา่ ง ๆ เช่น วัสดอุ ปุ กรณ์ ครุภณั ฑ์ งบประมาณ 8. ราคานวัตกรรมทเ่ี หมาะสม

70 โครงสรา้ งของการออกแบบนวัตกรรม ดังนี้คือ 1.ชอื่ นวัตกรรม ผู้พฒั นาควรตง้ั ช่อื นวตั กรรมให้สอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์ และเข้าใจงา่ ย 2.วัตถุประสงคข์ องนวตั กรรม การกาหนดวตั ถุประสงค์ของนวัตกรรมให้ชัดเจนส่งผลให้ การพัฒนา นวตั กรรมนน้ั รวดเร็วและมปี ระสิทธภิ าพมากยงิ่ ขนึ้ 3.ทฤษฎี หลักการ ในการออกแบบนวัตกรรม ผู้พัฒนาต้องพิจารณาทฤษฎีการเรียนรู้เพ่ือให้ สอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ ซ่ึงทฤษฎกี ารเรียนรู้ถอื เปน็ สง่ิ สาคัญทีจ่ ะใชใ้ นการพัฒนานวัตกรรมทางการศกึ ษา 4.ส่วนประกอบของนวัตกรรม ในการออกแบบนวัตกรรมผู้พัฒนาต้องพิจารณาส่วนประกอบของ นวัตกรรม วา่ มอี ะไรบ้าง 5.การนานวัตกรรมไปใช้และประเมินผล เป็นส่วนที่แสดงความสาเร็จของนวัตกรรม ประกอบด้วย วิธีวัดผล เคร่อื งมือทใ่ี ชว้ ัดผล และวธิ ีการประเมินผลประเภทของนวัตกรรมการเรยี นการสอน เมื่อการเรียนการ สอนมีลักษณะเป็นระบบ ประกอบด้วยตัวปูอน (Input) กระบวนการ (Process) และผลผลิต (Output) การ นานวัตกรรมมาใช้จัดการเรียนการสอนจึงมีจุดหมายท่ีจะปรับปรุงหรือเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการเรียน การสอน หลกั การออกแบบสือ่ เพอื่ การเรียนรู้ ประกอบด้วย 9 ข้ันตอน ดังน้ี ขั้นตอนที่1 เรา้ ความสนใจ (Gain Attention) ขั้นตอนท่ี2 บอกวัตถปุ ระสงค์ (Specify Objectives) ขน้ั ตอนท่ี 3 ทวนความรเู้ ดมิ (Activate Prior Knowledge) ขน้ั ตอนท่ี4 การเสนอเนอ้ื หา (Present New Information) ขั้นตอนท่ี 5 ช้แี นวทางการเรยี นรู้ (Guide Learning) ขน้ั ตอนท่ี6 กระตุน้ การตอบสนอง (Elicit Responses) ขั้นตอนท่ี 7 ใหข้ อ้ มลู ย้อนกลับ (Provide Feedback) ขัน้ ตอนที่8 ทดสอบความรู้ (Access Performance) ขน้ั ตอนท9่ี การจาและนาไปใช้ (Promote Retention and Transfer) ดังน้ันในการออกแบบนวตั กรรมการเรียนรู้ผู้ออกแบบต้องคานึงถึงหลักการข้างต้น เพื่อให้นวัตกรรม น้ันสามารถนามาใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์หลัก คือเพ่ือช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึนในการเรียนการสอน และเพ่ิมความสามารถในการเรยี นร้ขู องผ้เู รยี น ให้มปี ระสอทธภิ าพมากย่งิ ขึน้ การออกแบบ เครอ่ื งมือศึกษาคุณภาพ และประสิทธภิ าพนวัตกรรม ข้ันตอนในการจดั ทาเครื่องมือประเมนิ คุณภาพและประสทิ ธิภาพของนวัตกรรมมีดงั น้ี 1 ศึกษาวตั ถุประสงค์ของนวตั กรรมการเรยี นการสอนท่ีสรา้ งขนึ้ 2 กาหนดเครื่องมือท่ีต้องใชป้ ระกอบการประเมินคุณภาพและประสิทธภิ าพ 3 ศึกษาแนวทางการสร้างเครื่องมือ 4 ออกแบบและสรา้ งเครื่องมือ 5 ตรวจสอบและผา่ นการกลั่นกรองของผเู้ ช่ยี วชาญ

71 6 ศกึ ษาคุณภาพและประสิทธิภาพของเคร่ืองมือ 7 จดั ทาเปน็ เคร่ืองมือฉบบั จริง การออกแบบ การศึกษาคณุ ภาพ และประสทิ ธิภาพนวัตกรรม ขัน้ การศึกษาคณุ ภาพของนวตั กรรมการเรียนการสอนดาเนนิ การดังน้ี 1 .กลั่นกรองเบ้ืองต้นโดยให้ผู้เรียนและครูผู้สอนกลุ่มสาระน้ันอ่านเพ่ือตรวจสอบข้อบกพร่อง และ ปรบั ปรงุ แก้ไขใหเ้ หมาะสม 2 .นานวัตกรรมการเรียนการสอนท่ีปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วให้ผู้เชี่ยวชาญ จานวน 3-5 คน ประเมินเพอื่ ตรวจสอบคุณภาพ และให้ขอ้ เสนอแนะเพือ่ ปรบั ปรงุ นวตั กรรม 3. วิเคราะห์ผลการประเมินของผู้เช่ียวชาญเพ่ือดูว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับใด และปรับปรุง ข้อบกพร่องตามข้อเสนอแนะ จัดทาเป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนท่ีพร้อมสาหรับนาไปทดลองใช้ การศึกษาประสิทธิภาพของ นวตั กรรมการเรยี นการสอนดาเนินการดังน้ี นานวัตกรรมการเรียนการสอนที่ผ่านการตรวจสอบและประเมินคุณภาพของผู้เช่ียวชาญแล้ว ไปทดลองใช้กับผู้เรียนที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับกลุ่มเปูาหมายของการแก้ปัญหาหรือพัฒนา ตามรูปแบบและ วธิ กี ารท่กี าหนดนาผลการทดลองมาคานวณหาประสิทธิภาพของนวตั กรรมการเรียนการสอนโดยใช้สตู ร E1/E2 การออกแบบ เคร่ืองมือการนานวัตกรรมไปใช้ 1) ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียน เรียนศิลปะโดยการหัดวาดรูป ใช้โปรแกรม Microsoft Word โปรแกรม Microsoft Excel โปรแกรม Microsoft PowerPoint 2) ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( Computer Assisted Instruction ) หรือ ( CAI ) เป็นกระบวนการ เรยี นการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์นาเสนอเน้ือหาเรื่องราวต่าง ๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการ เรยี นแบบมีปฏสิ มั พนั ธ์ (Interactive) 3) นักเรียนสามารถใช้ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตศึกษาค้นคว้าข้อมูลในแต่ละกลุ่มสาระข่าวสาร ทางวิชาการอน่ื จากท่ีต่าง ๆ 4) จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ( Electronic ) หรือ ( E-mail ) เพื่อใช้รับส่งข่าวสาร ข้อมูล รูปภาพ และสง่ งานให้ครตู รวจในแต่ละกลุ่มสาระ 5) นาระบบ e-Learning มาใชใ้ นการเรยี นการสอนในกลุม่ สาระวทิ ยาศาสตร์ – การใช้คอมพวิ เตอรใ์ นการตัดเกรด การออกแบบ การนานวัตกรรมไปใช้ 1.เพือ่ นานวตั กรรมมาใชแ้ กป้ ัญหาในเรอ่ื งการเรียนการสอน เชน่ 1.1 ปัญหาเร่อื งวธิ กี ารสอน ปัญหาที่มักพบอยเู่ สมอ คือ ผู้สอนส่วนใหญ่ยังคงยึดรูปแบบการสอน แบบบรรยาย โดยมีครูเปน็ ศูนยก์ ลางมากกวา่ การสอนในรูปแบบอื่น การสอนด้วยวิธีการแบบนี้เปน็ การสอนท่ี

72 ขาดประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ลในบนั้ ปลาย เพราะนอกจากจะทาให้นักเรยี นเกดิ ความเบื่อหนา่ ยขาดความ สนใจแล้ว ยงั เปน็ การปดิ กน้ั ความคดิ และสติปัญญาของผูเ้ รียนใหอ้ ยใู่ นขอบเขตจากดั อีกด้วย 1.2 ปัญหาด้านเน้ือหาวิชาบางวชิ าเน้อื หามากและบางวชิ ามเี นือ้ หาเปน็ นามธรรมยากแก่การเข้าใจ จงึ จาเป็นจะต้องนาเทคนิคการสอนและส่อื มาชว่ ย 1.3 ปัญหาดา้ นการวัดและประเมินผล เชน่ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนตา่ ครูผสู้ อนนาไปใช้ในการปรบั กิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสทิ ธิภาพยิ่งข้นึ หรอื ใช้ผลการประเมินเป็นข้อมลู ยอ้ นกลบั ในการพฒั นา คณุ ภาพการจดั การเรยี นการสอนได้ 1.4 ปญั หาเร่อื งอุปกรณ์การสอน บางเน้ือหามีสื่อการสอนเปน็ จานวนน้อยไมเ่ พยี งพอตอ่ การ นาไปใชเ้ พ่ือทาใหน้ ักเรยี นเกิดความร้คู วามเข้าใจในเนื้อหาวิชาได้ง่ายขึน้ จงึ จาเปน็ ตอ้ งมกี ารพฒั นาคดิ ค้นหา เทคนิควิธีการสอน และผลิตสือ่ การสอนใหม่ ๆ เพื่อนามาใช้ทาใหก้ ารเรยี นการสอนบรรลุเปูาหมายได้ เพือ่ นานวัตกรรมไปใชใ้ นการพัฒนาการเรียนการสอน การสร้างองค์ความรใู้ หม่ให้มีประสิทธภิ าพยิง่ ขน้ึ และเปน็ ประโยชน์ต่อการศกึ ษาโดยการนาส่ิงประดิษฐ์หรือแนวความคดิ ใหม่ ๆ ในการเรยี นการสอนน้นั เผยแพร่ไปสคู่ รู – อาจารย์ท่านอ่ืนๆ หรือเพ่ือเปน็ ตัวอยา่ งอีกรูปแบบหนง่ึ ให้กับครู – อาจารย์ทีส่ อนในวชิ า เดียวกนั ได้นาแนวความคิดไปปรับปรุงใช้หรือผลิตสอื่ การสอนใหม่ ๆ เพ่อื นามาใชใ้ นการพฒั นาการเรียนการ สอนต่อไป การนานวตั กรรมไปใชเ้ ป็นผลงานทางวชิ าการ นวตั กรรมการเรียนรูน้ อกจากจะเป็นประโยชน์ใน ด้านการปรับปรุงและพฒั นางานหรอื การจัดการเรยี นการสอนแลว้ ยงั เป็นประโยชน์ ตอ่ การพฒั นาวชิ าชีพอีก ด้วย โดยผู้สรา้ งนวัตกรรมสามารถนาผลจากการนานวตั กรรมไปใชเ้ ปน็ ผลงานวิชาการเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ หรือปรบั ตาแหน่งให้สงู ขนึ้ ได้ การออกแบบ การวดั ประเมนิ ผลการใช้นวัตกรรม ระดับคุณภาพของนวตั กรรมการจดั การเรียนร้เู ปน็ ลกั ษณะของนวัตกรรมการจดั การเรียนรตู้ ามตวั บ่งชี้ มีระดับ คุณภาพ 3 ระดบั คือ ระดับ 3 คุณภาพดีมาก ( มีค่าคะแนนระหว่าง 2.33 – 3.00 ) ระดับ 2 คุณภาพดี ( มีคา่ คะแนนระหวา่ ง 1.67 – 2.32 ) ระดบั 1 คณุ ภาพพอใช้ ( มีคา่ คะแนนระหวา่ ง 1.00 – 1.66 ) ในการประเมนิ นวตั กรรม ควรเลือกใช้วธิ กี ารประเมินท่ีเหมาะสมกับสิ่งทต่ี ้องการประเมิน ดงั นี้ ตรวจสอบเอกสารรายงานผลการพัฒนานวัตกรรมสังเกต และตรวจสอบข้อมูลจากการนาเสนอผลงานของผู้ คดิ คน้ การออกแบบ การเขยี นรายงานการพฒั นานวัตกรรม การเขียนรายงานผลการพัฒนานวัตกรรมแบ่งการเขยี นออกเปน็ 5 บท ดังน้ี บทที่ 1 บทนา นาเสนอรายละเอียดตามหัวข้อต่อไปน้ี – ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา – วัตถุประสงคข์ องการทดลอง

73 – สมมุติฐานของการทดลอง – ขอบเขตของการทดลอง – ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รบั – นยิ ามศัพท์ บทท่ี 2 การศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง นาเสนอแนวคิด หลักการ ทฤษฎี และผลการวิจยั ท่ี เกย่ี วขอ้ งทน่ี ามาใชใ้ นการพฒั นานวัตกรรม ดงั น้ี – หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับการพัฒนานวตั กรรม – ผลการวิจยั ทเี่ กี่ยวข้องกับการพฒั นานวตั กรรม – หลักการ แนวคิด ทฤษฎี และผลการวิจยั ท่ีนามาใช้พัฒนานวตั กรรมในกลุ่มสาระ/วิชาที่คดิ คน้ และ สร้างนวตั กรรมการเรียนการสอน บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการสรา้ งและทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนการสอน – วัตถปุ ระสงคข์ องการทดลอง – สมมุติฐานของการทดลอง – ประชากรที่ใช้ในการทดลอง – กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใชใ้ นการทดลอง – นวัตกรรมและเครื่องมือท่ีใช้ในการทดลอง – การสร้างนวตั กรรมและเคร่ืองมือที่ใช้ในการทดลอง – การดาเนินการทดลอง – การวเิ คราะห์ผลการทดลอง – สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวเิ คราะห์ผลการทดลอง บทท่ี 4 การวิเคราะห์ข้อมลู และผลการวเิ คราะห์ข้อมูล เป็นการนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล โดยนาเสนอในรปู ของตาราง กราฟ หรือบรรยาย ตาม วัตถปุ ระสงค์ของการทดลองที่กาหนดในบทที่ 1 บทท่ี 5 การสรปุ ผล อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ – สรุปผลการวิจยั นาเสนอวตั ถปุ ระสงค์ ข้ันตอนการดาเนินงาน และผลการวจิ ยั โดยสรปุ ใหเ้ หน็ ภาพของการดาเนินการสรา้ งและพัฒนานวตั กรรมตลอดแนว – อภิปรายผลการวิจยั นาผลท่เี กดิ ข้นึ จากการวจิ ยั มานาเสนอให้เหน็ ภาพรวมที่เปน็ ผลน่าพอใจ สง่ิ ที่ เปน็ ข้อสังเกต โดยอ้างองิ หลกั การ ทฤษฎแี ละผลการวจิ ัยที่สอดคล้องประกอบการอภปิ รายอย่างเหมาะสม – ข้อเสนอแนะ นาเสนอสง่ิ ท่ีควรดาเนินการต่อเนือ่ ง หรอื พฒั นาผลการวจิ ัยอย่างต่อเน่ือง ที่จะทาให้ เกิดคณุ ภาพในการพัฒนาอยา่ งเด่นชดั

74 3.6 แหลง่ เรียนรู้และเครือขา่ ย เพ่อื การเรยี นรู้ ความหมายแหล่งเรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรู้ หมายถึง แหลง่ ข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ทสี่ นับสนุนสง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รียน ใฝเุ รยี น ใฝรุ ู้ แสวงหาความรู้และเรียนร้ดู ว้ ยตนเองตามอัธยาศัย อย่างกว้างขวางและต่อเน่ือง เพ่ือเสรมิ สรา้ งให้ ผูเ้ รยี นเกดิ กระบวนการเรียนรู้ และเป็นบุคคลแหง่ การเรียนรู้ แหลง่ เรยี นรทู้ สี่ าคญั 1. แหล่งการศึกษาตามอัธยาศัย 2. แหลง่ การเรยี นรู้ตลอดชีวิต 3. แหล่งปลูกฝงั นสิ ยั รกั การอา่ น การศกึ ษาคน้ ควา้ แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 4. แหลง่ สร้างเสริมประสบการณภ์ าคปฏบิ ตั ิ 5. แหล่งสรา้ งเสรมิ ความรู้ ความคดิ วทิ ยาการและประสบการณ์ เครอื ขา่ ยการเรียนรู้ (Learning Network) หมายถึง การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ข้อมูล ข่าวสาร ประสบการณ์ และการเรียนรู้ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล องค์การ และแหล่งความรทู้ ี่มีส่วนร่วมใน กระบวนการเรยี นรู้อยา่ งต่อเนื่อง จนเป็นระบบทเ่ี ช่อื มโยงกนั สง่ ผลให้เกดิ การเผยแพรแ่ ละการประยุกต์ความรู้ ใหม่ๆ เพื่อวตั ถปุ ระสงค์ทางวิชาชพี หรอื ทางสงั คม ความหมาย เครอื ขา่ ยการเรยี นรูส้ ่วนบุคคล PLN (Personal Learning Network) เครือข่ายการเรียนรู้ส่วนบุคคล การเรียนร้สู ว่ นบคุ คลเป็นหน่งึ ในรากฐานของสถาบันการศกึ ษาและการเปลยี่ นแปลงองคก์ รทป่ี ระสบ ความสาเร็จ เครอื ข่ายการเรยี นรสู้ ว่ นบคุ คล (PLN) ไม่เพยี งแต่สนับสนนุ การพัฒนาวิชาชีพของตัวเอง แต่ยังสามารถเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการกระจายนวัตกรรมภายในสถาบันการศึกษาของพวกเขา เรียนรู้ท่ี จะเช่ือมต่อกับชุมชนของมืออาชีพใจเหมือนให้มีส่วนร่วมมีการสนทนาและทาให้การร้องขอในช่วงเวลาของ ความจาเป็น เคร่ืองมือฟรีที่มีประสิทธิภาพและส่ือสังคมเช่น Google +, Twitter, และ Facebook ให้เป็นไป ได้สาหรับคุณและเพื่อนรว่ มงานของคุณ หากมองในองค์รวมแล้วน้ันเครือข่ายการเรียนรู้ส่วนบุคคล ก็คือการนาเอาเนื้อหา สาระ ข้อมูล จาก ส่วนตา่ ง ๆ ในระบบเครอื ขา่ ยอินเตอร์เน็ตทีเ่ ราใชก้ ันอยู่ทุกวันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในระบบการศึกษา ซ่ึงมีทั้ง สื่อสังคมออนไลน์ (Social Network และ Social Media) เคร่ืองมือค้นคว้าข้อมูล (Search Engines) บันทึก สว่ นตวั (Blog) หรอื แม้กระทง่ั สังคมการเรยี นรู้ (Community Learning)

75 3.7 ประเภทแหล่งเรยี นรแู้ ละเครอื ข่ายการเรยี นรู้ ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ ประเภทของแหล่งเรียนรู้สามารถแบ่งได้หลากหลาย ตามลักษณะการแบ่งของแต่ละบุคคล ซึ่งมี รายละเอยี ดของผ้ใู หค้ วามหมายของประเภทแหล่งเรยี นรู้ดังต่อไปนี้ สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษา แห่งชาติ (2546 : 8-9) ไดจ้ าแนกประเภทของแหล่งการเรียนรู้ไว้ 2 แบบ 1. จดั ตามลักษณะของแหล่งการเรียนรู้ 1.1 แหลง่ การเรยี นรู้ตามธรรมชาติ เปน็ แหลง่ การเรียนรู้ท่ผี เู้ รยี นจะหาความรไู้ ดจ้ ากสิ่งท่ีมีอยู่แล้วตาม ธรรมชาติ เชน่ แมน่ า้ ภูเขา ปาุ ไม้ ลาธาร กรวด หิน ทราย ชายทะเล เป็นตน้ 1.2 แหลง่ การเรียนรทู้ ม่ี นษุ ย์สร้างขึ้น เพ่อื สืบทอดศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนเทคโนโลยีทางการศึกษาท่ี อานวยความสะดวกแก่มนุษย์เช่น โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุดประชาชน สถาบันการศึกษา สวนสาธารณะ ตลาด บา้ นเรือน ทอ่ี ยอู่ าศัย สถานประกอบการ เป็นต้น 1.3 บุคคล เป็นแหล่งการเรียนรู้ท่ีถ่ายทอดความรู้ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม การสืบสาน วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถ่ิน ท้ังด้านประกอบอาชีพ ตลอดจนนักคิด นักประดิษฐ์ และผู้มีความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ 2. จดั ตามแหล่งท่ีตง้ั ของแหลง่ การเรยี นรู้ 2.1 แหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียนเดิมมีแหล่งการเรียนรู้หลัก คือ ครู อาจารย์ ต่อมามีการพัฒนาเป็น หอ้ งปฏบิ ตั ิการต่าง ๆ เช่น ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องจริยธรรม ห้องศิลปะ ตลอดจนอาคารสถานที่และส่ิงแวดล้อมในโรงเรียน เช่น

76 ห้ อ ง อ า ห า ร ส น า ม ห้ อ ง น้ า ส ว น ด อ ก ไ ม้ ส ว น ส มุ น ไ พ ร แ ห ล่ ง น้ า ใ น โ ร ง เ รี ย น เ ป็ น ต้ น 2.2 แหล่งการเรียนรู้ในท้องถ่ินครอบคลุมท้ังด้านสถานที่และบุคคลซ่ึงอาจอยู่ในท้องถิ่นใกล้เคียง โรงเรียน ท้องถิ่นท่ีโรงเรียนพาผู้เรียนไปเรียนรู้ เช่น แม่น้า ภูเขา ชายทะเล สวนสาธารณะ สวนสัตว์ ทุ่งนา สวนผัก สวนผลไม้ วัด ตลาด ร้านอาหาร ห้องสมุดประชาชน สถานีตารวจ สถานีอนามัย ดนตรีพ้ืนบ้าน การละเล่นพื้นเมือง แหล่งทอผ้า เทคโนโลยีชาวบ้าน เทคโนโลยีในชีวิตประจาวัน แหล่งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ประเภท เครือข่ายการเรยี นรู้ 1. แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะภายใต้โครงสร้างของเครือข่ายการ เรยี นรู้ 1.1 เครือข่ายการเรียนรู้ท่ีมุ่งเน้นเอกัตบุคคลเป็นหลัก มีลักษณะของการประสานสัมพันธ์การ ดาเนนิ งานของหน่วยงานตา่ งๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง เพื่อขยายการให้บริการทางการศึกษาในระบบโรงเรียน นอกระบบ โรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย ไปยังผู้ท่ีต้องการ อย่างกว้างขวาง และสนองตอบปัญหาความต้องการ ของแต่ละบุคคล ตลอดจนจติ ใตส้ านึกในการมสี ว่ นร่วมพัฒนา 1.2 เครอื ขา่ ยการเรียนรทู้ ีม่ ่งุ เน้นชุมชนเป็นหลัก เป็นการกระตุ้นให้สมาชิกใช้ศักยภาพของตนเองเพ่ือ แก้ไขปัญหาชุมชน เพ่ิมขีดความสามารถของชุมชนในการพึ่งพาตนเอง บนพ้ืนฐานของการเข้าใจสภาพปัญหา เง่ือนไข ข้อจากดั และความต้องการของตน 2. แบ่งตามโครงสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ ซึ่งพิจารณาถึงโครงสร้างเครือข่ายการเรียนรู้อาศัยความ ร่วมมือระหว่างบุคคล องค์กร และเทคโนโลยีการสื่อสารเช่ือมโยงกันเป็นเครือข่ายการเรียนรู้ สามารถจาแนก ออกไดเ้ ปน็ 4 ประเภท ดงั นี้ 2.1 เครือข่ายการเรียนรู้โครงสร้างกระจายศูนย์ มีศูนย์กลางทาหน้าที่ประสานงาน แต่ภารกิจในการ เรียนการสอนจะกระจายความรับผิดชอบให้สมาชกิ เครอื ขา่ ยซึ่งต่างกม็ ีความสัมพนั ธ์เทา่ เทยี มกัน รูปแบบน้ีอาจ เรียกว่าการกระจายความรับผดิ ชอบ (Distributed Network) ซ่ึงพบได้ในเครือข่ายการพัฒนาชนบท และการ เรียนรูจ้ ากแหลง่ วทิ ยาการชมุ ชน โดยอาศัยสื่อบุคคลเป็นหลกั 2.2 เครือข่ายการเรียนรู้โครงสร้างรวมศูนย์ มีองค์กรกลางเป็นท้ังศูนย์ประสานงาน และเป็นแม่ข่าย รวบรวมอานาจการจัดการความรู้ไว้ในศูนย์กลาง การลงทุนด้านเทคโนโลยีและกาลังคนอยู่ท่ีแม่ข่าย ส่วนลูก ขา่ ยหรอื สมาชิกเปน็ เพียงผ้รู ่วมใชบ้ ริการจากศนู ย์กลาง 2.3 เครือข่ายการเรียนรู้โครงสร้างลาดับขั้น (Hierarchical Network) มีลักษณะเช่นเดียวกับแผนภูมิ องค์กร การติดต่อสื่อสารข้อมูลต้องผ่านตามลาดับข้ันตอนมาก นิยมใช้การบริหาร จัดการองค์กรต่างๆ ซ่ึง เหมาะแกก่ ารควบคมุ ดแู ลระบบงาน 2.4 เครือข่ายการเรียนรู้โครงสร้างแบบผสม คือมีท้ังแบบรวมศูนย์และกระจายศูนย์ ซ่ึงพบมากในการ จัดการศึกษานอกระบบโรงเรียน เนื่องจากการเรียนรู้มิได้อาศัยส่ือใดสื่อหน่ึงเป็นหลัก หากแต่มีการผสมผสาน ส่อื บคุ คล และเทคโนโลยจี ึงจาเป็นต้องจัดระบบเครือข่ายแบบผสม เพื่อสนองความต้องการได้อย่างกว้างขวาง และตรง 3. แบ่งตามหน่วยสังคม ได้แบ่งการเครือข่ายการเรียนรู้ออกเป็น 4 ระดับ คือ เครือข่ายการเรียนรู้ระดับ บคุ คล เครอื ขา่ ย การเรียนรูร้ ะดับกลุ่ม เครือข่ายการเรียนรู้ระดับชุมชน และเครือข่ายการเรียนรู้ระดับสถาบัน 4. แบ่งตามระดับการปกครองและลักษณะของงาน ซ่ึง ประเวศ วะสี (2538) ได้แบ่งประเภทของ เครือข่ายการเรียนรู้ออกเป็น 13 ประเภท คือ เครือข่ายชุมชนเครือข่ายนักพัฒนา เครือข่ายระดับจังหวัด เครือข่ายภาครัฐ เครือข่ายวิชาชีพ เครือข่ายธุรกิจ เครือข่ายสื่อสารมวลชน เครือข่ายนักฝึกอบรม เครือข่าย

77 การประมวลและสงั เคราะหอ์ งคค์ วามรู้ระดับชาติ เครอื ข่ายภาคสาธารณะ เครอื ข่ายวชิ าการ เครือข่ายนโยบาย องคก์ รของรัฐ และเครอื ขา่ ยผทู้ รงคณุ วุฒิ ตวั อยา่ งเครอื ขา่ ยการเรียนรู้ 1. เครือข่ายไทยสาร เป็นเครือข่ายเช่ือมโยงสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ระดับมหาวิทยาลัยเข้าด้วยกัน กวา่ 50 สถาบนั เร่ิมจัดสรา้ งในปพี .ศ.2535 2. เครือข่ายยูนิเน็ต (UNINET) เป็นเครือข่ายเพ่ือการเรียนการสอนที่สาคัญในยุคโลกาภิวัตน์ จัดทา โดยทบวง มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2540 3. สคูลเน็ต (School Net) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย ได้รับการดูแลและสนับสนุน โดยศูนย์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เครือข่ายนี้เชื่อมโยงโรงเรียนในประเทศไทยไว้ กว่า 100 แห่ง และเปิดโอกาสให้โรงเรียนอ่ืน ๆ และบุคคลที่สนใจเรียกเข้าเครือข่ายได้ 4. เครือขา่ ยนนทรี เปน็ เครอื ขา่ ยของมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ นับเป็นเครือข่ายท่ีสมบูรณ์แบบและ ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง สามารถตอบสนองความต้องการใช้ของนิสิต อาจารย์ ข้าราชการ ตลอดจนการรองรับ ทางดา้ นทรัพยากรเซอรเ์ วอร์อยา่ งพอเพียง 5. เครือข่ายกระจายเสียงวิทยุ อสมท. จะรวมผังรายการวิทยุในเครือข่าย อสมท. มีไฟล์เสียงรับฟัง ทางอินเทอร์เนต็ ได.้ 6. เครือข่ายสมานฉันท์เพ่ือการปฏิรูปการเมือง เป็นเครือข่ายที่ใช้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็น ต่าง ๆ ทางการเมอื ง และบทวเิ คราะหด์ ้านการเมือง 7. ThaiSafeNet.Org เป็นเครือข่ายผู้ปกครองออนไลน์ มีพันธกิจด้านการเช่ือมโยงครู ผู้ปกครอง นัก การศึกษา … โครงการพัฒนาเครือข่ายผู้ปกครองออนไลน์ พันธกิจ : ฝึกอบรมครู ผู้ปกครอง 8. เครอื ข่ายพทุ ธิกา รวมตวั อย่างหนงั สอื เครือขา่ ยพทุ ธกิ าเพอื่ พระพุทธศาสนาและสังคม ความสาคัญของแหล่งเรยี นรแู้ ละเครือขา่ ยการเรยี นรู้ ความสาคญั ของแหลง่ เรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้มีความความสาคัญกับผู้เรียน ซ่ึงได้รับความรู้จากแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ซึ่งมีผู้ให้ ความหมายเก่ียวกับความสาคญั ของแหล่งเรียนรู้ดังต่อไปนี้ ก่ิงแก้ว อารีรักษ์ (2548 : 118) ให้ความสาคัญของ การศึกษาโดยใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ไวด้ งั นี้ 1.กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหน่ึง โดยอาศัยการมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อท่ีหลากหลาย 2. ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ให้ลึกซึ้งขึ้น โดยใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลสะท้อนความคิดเห็นจาก แหล่งการเรียนรู้ 3. กระตุ้นมุ่งเน้นลึกในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ซึ่งผลักดันให้ผู้เรียนแสวงหาข้อมูลท่ีเก่ียวข้องเพิ่มมากข้ึน สามารถสรา้ งผลผลิตในการเรียนร้ทู ่ีมีคุณภาพสงู ขึ้น 4. เสริมสร้างการเรียนรู้ จนเกิดทักษะการแสวงหาข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการสร้างความ ต ร ะ ห นั ก เ ชิ ง ม โ น ทั ศ น์ เ กี่ ย ว กั บ ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ข อ ง ข้ อ มู ล 5. แหล่งการเรียนรู้เสริมสร้างการพัฒนาการคิด เช่น การแก้ปัญหา การให้เหตุผล และการประเมิน อยา่ งมวี จิ ารญาณ โดยอาศัยกระบวนการวจิ ยั อสิ ระ 6. เปลี่ยนเจตคติของครูและผู้เรียนท่ีมีต่อเน้ือหารายวิชา และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 7. พั ฒ น า ทั ก ษ ะ ก า ร วิ จั ย แ ล ะ ค ว า ม เ ช่ื อ ม่ั น ใ น ต น เ อ ง ใ น ก า ร ค้ น ห า ข้ อ มู ล 8. เพิ่มผลสัมฤทธิ์ด้านวิชาการ ในด้านเนื้อหา เจตคติ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยอาศัยแหล่ง การเรียนรู้ที่หลากหลายในการเรียนรู้

78 3.8 แหลง่ การเรียนรูแ้ ละเครอื ข่าย เพอื่ การเรยี นรู้ แหล่งการเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ ผู้เรียนใฝุเรียน ใฝุรู้ แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัย เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิด กระบวนการเรยี นรู้ ความสาคญั ของแหล่งการเรียนรู้ มีดังนี้ 1) เป็นแหล่งท่ีรวบรวมขององค์ความรู้ที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า ด้วยกระบวนการ จัดการเรียนรทู้ ่ีแตกต่างกนั ของแต่ละบคุ คล และเป็นการส่งเสรมิ การเรยี นรูต้ ลอดชีวติ 2) ช่วยกระตุ้นและเสริมสร้างการเรียนรู้ให้ลึกซึ้งข้ึน โดยใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลสะท้อนความ คดิ เห็นจากแหล่งการเรยี นรู้ เพราะมีการเชื่อมโยงและแลกเปลย่ี นข้อมลู ระหว่างกัน 3) เพิ่มผลสัมฤทธ์ิด้านวิชาการ เสริมสร้างการเรียนรู้ พัฒนาการคิด การแก้ปัญหา การให้เหตุผล และการประเมินอย่างมีวิจารญาณ จนเกิดทักษะการแสวงหาข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ จากการทไ่ี ด้คิดเอง ปฏบิ ัติเอง และสร้างความรู้ ด้วยตนเอง ขณะเดียวกันกส็ ามารถเข้าร่วมกิจกรรมและทางาน รว่ มกบั ผอู้ ื่นได้ 4) ทาใหผ้ ูเ้ รียนได้รับการปลูกฝังให้รู้และรักท้องถ่ินของตน มองเห็นคุณค่าและตระหนักถึงปัญหาใน ทอ้ งถ่นิ พร้อมทจี่ ะเป็นสมาชิกที่ดขี องท้องถิ่นทง้ั ปจั จบุ ันและอนาคต 5) มีส่ือประเภทต่างๆ ประกอบด้วย สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเสริมกิจกรรมการเรียน การสอนและพฒั นาอาชีพ

79 แหล่งการเรยี นรู้ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ แหล่งการเรียนรใู้ นสถานศึกษา (โรงเรียน) และแหล่งการ เรียนรู้ในท้องถิ่น ประกอบด้วย แหล่งการเรียนรู้ประเภทสถานท่ีและภูมิปัญญาท้องถ่ิน ซึ่งสถานศึกษาควร จาแนกประเภทของแหลง่ การเรยี นรู้โดย คานึงถึงลักษณะท่ีตั้ง ลักษณะการใช้งาน ทรัพยากรท่ีมีอยู่และบริบท ของท้องถิ่น แหล่งเรียนรู้ในทอ้ งถิ่น ไดแ้ ก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬา สถานประกอบการ วัด ครอบครวั ชมุ ชน องคก์ ารภาครัฐและภาคเอกชน แหลง่ ข้อมลู ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ แหลง่ การเรียนรู้อนื่ ๆ เป็นตน้ แหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต หมายถึง แหล่งหรือที่รวมสาระความรู้ซ่ึงอาจเป็นสถานที่ศูนย์รวมข้อมูล ข่าวสาร หรอื บุคคลทเ่ี อือ้ ใหเ้ กดิ การเรยี นร้ตู ลอดชีวิต แหลง่ การเรยี นรู้ตลอดชีวติ มคี วามสาคญั ดังนี้ 1. เป็นแหล่งข้อมูลข่าวสาร เปิดโลกทัศนข์ องผู้ศึกษาให้กว้างไกล 2. พฒั นาคุณภาพชีวติ และพฒั นาอาชีพใหผ้ ทู้ ี่ศึกษา 3. สามารถนามาถา่ ยทอดความรู้ ประสบการณใ์ ห้ผู้อืน่ ไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ 4. ช่วยเปลีย่ นทัศนคติและคา่ นยิ ม เพือ่ ใหเ้ กิดการยอมรบั ส่ิงใหม่ แนวความคิดและมุมมองใหมๆ่ องคป์ ระกอบของแหล่งการเรียนรตู้ ลอดชีวติ มีดังน้ี 1. สถานทท่ี ่ีจดั เปน็ แหล่งการเรียนรู้ 2. กจิ กรรมท่ีจะทาใหเ้ กิดการเรยี นรู้ 3. ผู้ดาเนินการให้เกิดกิจกรรมการเรยี นรู้ 4. การบรหิ ารจัดการแหลง่ การเรียนรูต้ ลอดชีวติ เพือ่ ใหเ้ กดิ บรรยากาศของการเรยี นรู้ ตวั อยา่ งแหลง่ เรียนรู้ตลอดชีวติ กรงุ เทพมหานคร : พิพธิ ภัณฑ์อัญมณีและเครอ่ื งประดบั ภาคตะวันออก : เมืองโบราณ จ.สมทุ รปราการ ภาคกลาง : ศูนยศ์ กึ ษาการพัฒนาหว้ ยทรายอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ จ.เพชรบรุ ี ภาคเหนือ : ศูนยพ์ ฒั นาโครงการหลวงปงั ค่า จ.พะเยา ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ : สถานที ดลองหมอ่ นไหม จ.อบุ ลราชธานี ภาคใต้ : สถานเี พาะเล้ยี งสตั ว์ปาุ พงั งา เครือข่ายการเรียนรู้ หมายถึง การแลกเปล่ียนความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ และการเรียนรู้ ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล องค์การ และแหล่งความรู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเป็น ระบบที่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้เกิดการเผยแพร่และการประยุกต์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาชีพหรือ ทางสังคม หลักการสาคัญของเครือข่ายการเรยี นรู้

80 1. การกระต้นุ ความคดิ ความใฝุแสวงหาความรู้ จิตสานึกในการพัฒนาชุมชนท้องถ่ิน และการมีส่วน ร่วมในการพฒั นา 2. การถ่ายทอด แลกเปล่ียน การกระจายความรู้ทั้งในส่วนของวิทยากรสากลและภูมิปัญญาท้องถ่ิน เพอ่ื สนับสนุนการสรา้ งองคค์ วามรู้ใหมๆ่ 3. การแลกเปลี่ยนขา่ วสารกับหนว่ ยงานตา่ งๆ ของทั้งในภาครฐั และเอกชน 4. การระดมและประสานการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อการพัฒนาและลดความซ้าซ้อน สูญเปล่าให้ มากทีส่ ุด คณุ ลกั ษณะพิเศษของเครอื ขา่ ยการเรียนรู้ 1. สามารถเข้าถึงได้กว้างขวาง ง่าย สะดวก นักเรียนสามารถเรียกข้อมูลมาใช้ได้ง่าย และเชื่อมโยง เข้าหานักเรียนคนอ่ืน ได้ง่ายรวดเร็ว และสามารถเรียกใช้ข้อมูลได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ที่มี เครอื ข่าย 2. เปน็ การเรียนแบบร่วมกนั และทางานร่วมกนั เปน็ กลุม่ คุณลกั ษณะพน้ื ฐานของเครือข่ายการเรียนรู้ คือการเรียนแบบ ร่วมมือกัน ดังน้ันระบบเครือข่ายจึงควรเป็นกลุ่มของการเรียนรู้โดยผ่านระบบ การส่ือสารท่ีสังคมยอมรับ เครือข่ายการเรียนรู้จึงมี รูปแบบของการร่วมกันบนพ้ืนฐานของการ แบง่ ปนั ความน่าสนใจ ของขอ้ มลู ขา่ วสารซงึ่ กนั และกนั 3. สรา้ งกจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยเน้นให้ผเู้ รยี นเป็นผกู้ ระทามากกว่าเปน็ ผู้ถูกกระทา 4. ผู้เรยี นเป็นศนู ยก์ ลางการเรียนการสอน และเน้นบทบาททีเ่ ปลี่ยนแปลงไป 5. จัดให้เครอื ข่ายการเรยี นรู้เปน็ เสมอื นชมุ ชนของการเรยี นรแู้ บบออนไลน์ รปู แบบเครอื ข่ายการเรียนรู้ 1. แบง่ ตามจดุ มงุ่ หมายของการเรยี นรู้ ซง่ึ แบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะภายใตโ้ ครงสร้างของเครือข่ายการ เรยี นรู้ 1.1 เครือขา่ ยการเรยี นรู้ทม่ี ่งุ เนน้ เอกัตบคุ คลเป็นหลกั มลี ักษณะของการประสานสัมพันธ์ การดาเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เพ่ือขยายการให้บริการทางการศึกษาในระบบโรงเรียน นอก ระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย ไปยังผู้ที่ต้องการ อย่างกว้างขวาง และสนองตอบปัญหาความ ต้องการของแตล่ ะบคุ คล ตลอดจนจิตใต้สานกึ ในการมสี ่วนร่วมพัฒนา 1.2 เครือข่ายการเรียนร้ทู ม่ี ุ่งเนน้ ชุมชนเป็นหลกั เป็นการกระตนุ้ ใหส้ มาชกิ ใชศ้ ักยภาพของ ตนเองเพื่อแก้ไขปัญหาชุมชน เพ่ิมขีดความสามารถของชุมชนในการพ่ึงพาตนเอง บนพ้ืนฐานของการเข้าใจ สภาพปัญหา เง่อื นไข ขอ้ จากัด และความต้องการของตน

81 2. แบ่งตามโครงสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ ซ่ึงพิจารณาถึงโครงสร้างเครือข่ายการเรียนรู้อาศัยความ ร่วมมือระหว่างบุคคล องค์กร และเทคโนโลยีการสื่อสารเช่ือมโยงกันเป็นเครือข่ายการเรียนรู้ สามารถจาแนกออกไดเ้ ป็น 4 ประเภท ดังน้ี 2.1 เครอื ข่ายการเรยี นรโู้ ครงสร้างกระจายศนู ย์ มีศนู ยก์ ลางทาหนา้ ทปี่ ระสานงาน แต่ ภารกิจในการเรยี นการสอนจะกระจายความรบั ผิดชอบให้สมาชิกเครือข่ายซึ่งต่างก็มีความสัมพันธ์เท่าเทียมกัน รูปแบบน้ีอาจเรียกว่าการกระจายความรับผิดชอบ (Distributed Network) ซึ่งพบได้ในเครือข่ายการพัฒนา ชนบท และการเรียนรู้จากแหล่งวทิ ยาการชมุ ชน โดยอาศยั ส่อื บคุ คลเป็นหลกั 2.2 เครือขา่ ยการเรียนร้โู ครงสรา้ งรวมศูนย์ มอี งค์กรกลางเป็นทัง้ ศูนย์ประสานงาน และ เปน็ แม่ขา่ ยรวบรวมอานาจการจัดการความรู้ไว้ในศนู ย์กลาง การลงทุนดา้ นเทคโนโลยีและกาลังคนอยู่ที่แม่ข่าย ส่วนลกู ขา่ ยหรอื สมาชิกเป็นเพียงผรู้ ว่ มใชบ้ ริการจากศนู ยก์ ลาง 2.3 เครือข่ายการเรียนรโู้ ครงสร้างลาดับขนั้ (Hierarchical Network) มลี ักษณะ เชน่ เดียวกับแผนภูมิองค์กร การติดต่อส่ือสารข้อมูลต้องผ่านตามลาดับขั้นตอนมาก นิยมใช้การบริหาร จัดการ องคก์ รตา่ งๆ ซึ่งเหมาะแกก่ ารควบคุม ดูแลระบบงาน 2.4 เครือข่ายการเรียนรู้โครงสรา้ งแบบผสม คือมที ง้ั แบบรวมศูนยแ์ ละกระจายศนู ย์ ซึง่ พบ มากในการจดั การศึกษานอกระบบโรงเรียน เน่ืองจากการเรียนรู้มิได้อาศัยส่ือใดส่ือหน่ึงเป็นหลัก หากแต่มีการ ผสมผสานส่อื บุคคล และเทคโนโลยีจึงจาเป็นต้องจัดระบบเครือข่ายแบบผสม เพื่อสนองความต้องการได้อย่าง กว้างขวางและตรง 3. แบ่งตามหน่วยสังคม ได้แบ่งการเครือข่ายการเรียนรู้ออกเป็น 4 ระดับ คือ เครือข่ายการเรียนรู้ ระดับบุคคล เครือข่ายการเรียนรู้ระดับกลุ่ม เครือข่ายการเรียนรู้ระดับชุมชน และเครือข่ายการ เรียนรู้ระดับสถาบนั 4. แบ่งตามระดับการปกครองและลักษณะของงาน ซ่ึง ประเวศ วะสี (2538) ได้แบ่งประเภทของ เครือข่ายการเรยี นรู้ออกเปน็ 13 ประเภท คือ เครือขา่ ยชุมชนเครือข่ายนักพัฒนา เครือข่ายระดับ จังหวัด เครือข่ายภาครัฐ เครือข่ายวิชาชีพ เครือข่ายธุรกิจ เครือข่ายส่ือสารมวลชน เครือข่ายนัก ฝึกอบรม เครือข่ายการประมวลและสังเคราะห์องค์ความรู้ระดับชาติ เครือข่ายภาคสาธารณะ เครอื ขา่ ยวชิ าการ เครือขา่ ยนโยบายองค์กรของรัฐ และเครือขา่ ยผู้ทรงคุณวฒุ ิ ระบบเครอื ข่าย ( Network ) จะเช่ือมโยงคอมพวิ เตอรเ์ ขา้ ด้วยกนั เพื่อการติดต่อส่ือสาร เราสามารถส่ง ข้อมูลภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงซึกหน่ึงของโลก ซึ่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ อาจเป็นข้อความ กราฟิก เสียง หรือข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ การส่งข้อมูลวิธีน้ีเรียกว่า โทรคมนาคม (Telecommunication) หรือ การส่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ ในระบบเครือข่ายจะมีหลายช่ือเรียก เช่น Networked , Linked up หรือ online บางครงั้ เรียกสนั้ ๆ ว่า เน็ต (Net) ระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรส์ ามารถแยกได้สองประเภท คือ เครือข่ายท้องถ่ิน (Local Area Network) หรือแลน (LAN) คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายอยู่ใกล้กันและเครือข่ายระยะไกลหรือบางครั้งเรียกว่า (Wide Area Network) หรือเรียกว่าย่อว่า (WAN) ซึ่งมีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ห่างกันอาจเป็นหลายร้อยหรือหลายพัน

82 กิโลเมตร โดยการเชอื่ มโยงสญั ญาณเพื่อการส่อื สารกนั สามารถใช้คู่สายโทรศัพท์ท่ีเช่าเป็นประจา และสัญญาณ ไมโครเวฟใช้ช่องสัญญาณของดาวเทียมปกติโดยให้คอมพิวเตอร์ที่เป็นคู่สายติดต่อกันเอง เม่ือมีข่าวสารหรือ ขอ้ ความต้องการจะสง่ ก็ได้ แนวทางการบริหารจดั การและพัฒนาเครือขา่ ยการเรยี นรู้ แบ่งออกเปน็ 4 ข้ัน ดงั น้ี 1. ข้นั การก่อรปู เครอื ขา่ ยการเรียนรู้ (learning network forming) เป็นการก่อตัวขึ้นโดยมีแนวทาง สาคญั ทีค่ วรดาเนินการ 4 ประการ ได้แก่ การสรา้ งความตระหนักในปัญหาและการสร้างสานึกใน การรวมตัว การสร้างจุดรวมของผลประโยชน์ในเครือข่ายการแสวงหาแกนนาที่ดีของเครือข่าย และการสร้างแนวร่วมของสมาชิกเครือข่าย ถ้าเครือข่ายแห่งใดปฏิบัติได้ตามแนวทางดังกล่าวก็ เช่อื ได้ว่าจะสามารถก่อตัง้ เครือข่ายในชมุ ชนไดอ้ ยา่ งแนน่ อน 2. ขั้นการจัดระบบบริหารเครือข่ายการเรียนรู้ (learning network organizing) การจัดระบบ บริหารเครือข่ายการเรียนรู้ท่ีจะนาไปสู่ความสาเร็จ มีองค์ประกอบสาคัญท่ีควรพิจารณา 5 ประการ คอื การจัดผังกลุ่มเครือข่าย การจัดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในเครือข่าย การจัดระบบ การติดต่อส่อื สาร การจัดระบบการเรียนรู้ร่วมกัน และการจัดระบบสารสนเทศ ดังน้ันถ้าสามารถ จัดระบบบริหารเครอื ข่ายไดค้ รบถ้วนดงั กล่าว ผลท่ตี ามมากจ็ ะเปน็ ไปอย่างราบร่ืน 3. ขั้นการใช้เครือข่ายการเรียนรู้(learning network utilizing ) การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการ เรียนรู้จากการดาเนินงานด้านต่างๆ ที่สาคัญ 5 ประการ ได้แก่ การใช้เครือข่ายเพ่ือให้เป็นเวที กลางประสานงานร่วมกันระหว่างสมาชิกภายในและภายนอกเครือข่าย การใช้เครือข่ายเพ่ือเป็น เวทีแลกเปลี่ยนสารสนเทศและความรู้ของสมาชิกเครือข่าย และผู้สนใจการใช้เครือข่ายเพ่ือให้ เป็นเวทีแลกเปล่ียนระดมทรัพยากรร่วมกันของสมาชิกเครือข่าย การใช้เครือข่ายเพื่อให้เป็นเวที รว่ มสรา้ งสรรค์และพัฒนาความรู้ใหม่ๆ ให้แก่สมาชิกท้ังภายในและภายนอกเครือข่ายและการใช้ เครอื ขา่ ยเพ่อื ใหเ้ ป็นเวทสี ร้างกระแสผลักดนั ประเด็นใหมๆ่ ที่เปน็ ปญั หาของชุมชนและสังคม 4. ขั้นการธารงรักษาเครือข่ายการเรียนรู้ (learning network maintaining) การธารงรักษา เครือข่ายเพ่ือให้ดาเนินการไปสู่ความสาเร็จนั้น มีแนวทางปฏิบัติ 6 ประการดังนี้ การจัด ดาเนินการกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันอย่างต่อเน่ือง การรักษาสัมพันธภาพท่ีดีต่อกันระหว่างสมาชิก เครือข่าย การกาหนดกลไกและการสร้างระบบแรงจูงใจให้แก่สมาชิกของเครือข่าย การให้ความ ชว่ ยเหลอื และชว่ ยแกไ้ ขปญั หาอย่างจรงิ จงั และการสร้างผู้นารุน่ ใหม่อย่างต่อเน่ือง เปน็ ต้น กระบวนการและวิธีการสร้างเครอื ขา่ ยการเรียนรู้ 1. การตระหนักถึงความจาเป็นในการสร้างเครือข่ายเป็นข้ันตอนที่ผู้ปฏิบัติงานหรือฝุายจัดการ ตระหนักถึงความจาเป็นในการสร้างเครือข่ายเพ่ือที่จะทางานให้บรรลุเปูาหมายรวมท้ังพิจารณา ถงึ องค์กรตา่ งๆ ทเี่ หน็ ว่าเหมาะสมเพ่ือรวมเข้าเปน็ เครือขา่ ยในการทางานรว่ มกัน

83 2. การติดต่อกับองค์กรท่ีจะร่วมเป็นเครือข่ายหลังจากตัดสินใจเก่ียวกับองค์กรท่ีเห็นว่าเหมาะสมใน การเข้าร่วมเป็นเครือข่ายแล้ว ก็จะเป็นข้ันการติดต่อสัมพันธ์เพื่อชักชวนให้เข้าร่วมเป็นเครือข่าย ในการเรียนรู้ โดยต้องสร้างความคุ้นเคย การยอมรับและความไว้ว่างใจระหว่างกันมีการให้ข้อมูล และแลกเปล่ยี นขอ้ มลู กระตุน้ ให้คิดรว่ มกนั เพอ่ื แก้ปัญหาหรอื พฒั นาในเรื่องเดียวกันของเครือข่าย ถอื วา่ เปน็ การเตรียมกลมุ่ เครือข่าย 3. การสร้างพันธกรณีร่วมกัน เป็นข้นตอนการสร้างความผูกพันร่วมกัน มีการตกลงใจใน ความสัมพันธ์ต่อกันและตกลงท่ีจะทางานร่วมกันเป็นเครือข่ายซึ่งการทากิจกรรมเพ่ือตอบสนอง ความต้องการหรือแกป้ ัญหาร่มกนั จะตอ้ งมคี วามร้เู พยี งพอทจ่ี ะทากิจกรรมได้โดยการเชิญวิทยากร มาถา่ ยถอดเพ่มิ พูนความรู้ การไปศึกษาดงู าน เป็นตน้ ทาใหเ้ กดิ เป็นกลุ่มศึกษาเรียนรู้ข้ึนในองค์กร เครือข่าย 4. การพัฒนาความสมั พันธ์รว่ มกัน เป็นขั้นตอนท่ีสรา้ งเครือขา่ ยใหเ้ กิดผลงานเป็นรูปธรรมโดยเริ่มทา กจิ กรรมท่ีใช้ทรัพยากรร่วมกัน มีการตกลงในเรื่องของการบริหารจัดการขององค์กรเครือข่าย ซึ่ง เรมิ่ ด้วยการกาหนดวัตถุประสงค์ กาหนดกิจกรรม กาหนดบทบาทของสมาชิก รวมทั้งสิทธิหน้าท่ี ของผเู้ กยี่ วข้องชดั เจนขึ้น เกดิ เป็นกลมุ่ กจิ กรรมขึน้ ในองคก์ รเครือข่าย 5. การทากิจกรรมร่วมกัน เป็นขั้นตอนท่ีเกิดขึ้นหลังจากมีการพัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกันแล้ และ นาไปสกู่ ารทากิจกรรมรว่ มกันจนมีผลงานเป็นท่ปี ากฎชดั เกดิ ประโยชน์ร่วมกนั ในองค์กรเครือข่าย จนเกิดการขยายกลมุ่ เครือข่ายมากย่งิ ขน้ึ 6. การรวมตวั กนั จัดตัง้ องคก์ รใหม่รว่ มกัน เพือ่ รองรบั จานวนสมาชิกใหม่ทมี่ ากขนึ้ ตวั อยา่ งเครือข่ายการเรียนรู้ 1. เครือข่ายไทยสาร เป็นเครือข่ายเช่ือมโยงสถาบันการศึกษาต่างๆ ระดับมหาวิทยาลัยเข้าด้วยกัน กว่า 50 สถาบัน เร่ิมจดั สร้างในปี พ.ศ.2535 2. เครือข่ายยูนิเน็ต (UNINET) เป็นเครือข่ายเพ่ือการเรียนการสอนท่ีสาคัญในยุคโลกาภิวัตน์ จัดทา โดยทบวง มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2540 3. สคูลเน็ต (school Net) เปน็ เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์เพ่ือโรงเรียนไทย ได้รับการดูแลและสนับสนุน โดยศูนย์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เครือข่ายน้ีเช่ือมโยงโรงเรียนใน ประเทศไทยไว้กวา่ 100 แหง่ และเปดิ โอกาสใหโ้ รงเรยี นอน่ื ๆ และบุคคลทสี่ นใจเขา้ เครอื ข่ายได้ 4. เครือข่ายนนทรี เป็นเครือข่ายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นับเป็นเครือข่ายท่ีสมบูรณ์แบบ และใช้เทคโนโลยีชั้นสูง สามารถตอบสนองความต้องการใช้ของนิสิต อาจารย์ ข้ารา ชการ ตลอดจนการรองรับทางดา้ นทรพั ยากรเซอรเ์ วอร์อย่างพอเพียง 5. เครือข่ายกระจายเสียงวิทยุ อสมท. จะรวมผังรายการวิทยุในเครือข่าย อสมท. มีไฟล์เสียงรับฟัง ทางอนิ เทอร์เนต็ ได้

84 6. เครือข่ายสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง เป็นเครือข่ายที่ใช้แลกเปล่ียนความคิดเห็นประเด็น ต่าง ๆ ทางการเมือง และบทวิเคราะห์ด้านการเมอื ง 7. ThaiSafeNet.Org เปน็ เครือข่ายผปู้ กครองออนไลน์ มีพันธกจิ ดา้ นการเช่ือมโยงครู ผู้ปกครอง นัก การศึกษา ประเภทการเรียนการสอนออนไลน์ ไดแ้ ก่ e-Learning เป็นการเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซ่ึงการถ่ายทอดเน้ือหาน้ัน กระทา ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณ โทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น ซ่ึงการเรียนลักษณะนี้ได้มีการนาเข้าสู่ตลาด เมืองไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning), การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ การเรียนด้วยวีดีโอ ผา่ นออนไลน์ เปน็ ตน้ e-Book หนังสือหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ที่อ่านสามารถ อ่านผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรืออุปกรณ์ อเิ ล็กทรอนิกสพ์ กพาอ่ืน ๆ ได้ หนงั สือหรอื เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ จะมคี วามหมายรวมถึงเน้ือหา ที่ถูกดัดแปลง อยใู่ นรูปแบบท่สี ามารถแสดงผลออกมาได้ โดยเครือ่ งมอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ มีลกั ษณะการ นาเสนอ สอดคล้อง และ คล้ายคลึงกับ การอ่านหนังสือท่ัวไปในชีวิตประจาวัน แต่จะมี ลักษณะพิเศษ คือ สะดวกและรวดเร็ว ในการ ค้นหา และผู้อ่าน สามารถอ่าน พร้อม ๆ กันได้โดยไม่ต้องรอให้อีกฝุายส่งคืนห้องสมุด เช่นเดียวกับหนังสือใน หอ้ งสมุดทัว่ ไป e-Education หรือ Virtual Education หรอื หลักในการดาเนินงาน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนท่ีใดก็ ได้ (any where) เมื่อใด Online Teaching and Learning คือรูปแบบการจัดการศึกษาอีกรูปแบบหน่ึงท่ี อาศยั เทคโนโลยสี ารสนเทศเป็นเครื่องมอื ก็ได้ (any time) ซึ่งเป็นอกี รปู แบบหนึ่งของการเรยี นการสอนทางไกล โดยที่ Online Teaching and Learning จะเน้นระบบและกลไกในการดาเนินงานแบบออนไลน์ Courseware คือ เอกสารประกอบการเรียนการสอนท่ีเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สาหรับการเรียนการสอน ออนไลน์ ซง่ึ ในปจั จุบันนิยมทาในรูปของเอกสารเว็บ Courseware ท่ีดีจะต้องได้รับการออกแบบเพื่อให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยเน้นท่ีองค์ความรู้จากห้องสมุดเสมือนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งสามารถจะ เขา้ ถึงได้ทนั ที มกี ารแบ่งเนือ้ หาออกเปน็ บทเรยี น มีการทดสอบเพื่อประเมินว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในระดับใด มีการออกแบบให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับเน้ือหาวิชา ผู้เรียนกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้สอน โดยใช้การ ส่ือสารผ่านเครอื ขา่ ย Virtual University คือมหาวิทยาลัยที่มีการเปิดการเรียนการสอนทางไกล โดยกิจกรรมหลักท่ี เกย่ี วข้องกบั การดาเนินการจัดการเรยี นการสอนจะใช้ระบบออนไลนเ์ ป็นหลัก ซ่งึ ก็เปน็ อีกรปู แบบหนึ่ง e-Commerce ทางการศึกษา การจัดการศึกษาแบบ Virtual University น้ีอาจจะดาเนินการโดยใช้บุคลากร ของมหาวทิ ยาลยั ตา่ ง ๆ ทีอ่ ยคู่ นละแห่งมารว่ มมอื กันไดเ้ ปน็ เครือขา่ ย

85 3.9 การวเิ คราะห์ปญั หาการจดั การเรียนรทู้ ่ีเกดิ จากการใชน้ วตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ นวัตกรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษา 1. ความหมายของปญั หาความหมายปัญหาคือประเด็นท่เี ป็นอปุ สรรค ความยากลาบาก ความทา้ ทาย หรือเป็นสถานการณใ์ ด ๆ ที่ต้องมีการแก้ปัญหาซึง่ การแก้ปัญหาจะรบั รไู้ ดจ้ ากผลลพั ธ์ของการแก้ปัญหาหรอื ผลงานท่ีนาไปสวู่ ตั ถปุ ระสงค์หรือเปาู หมาย ประเดน็ ปญั หาแสดงถึงทางออกทตี่ อ้ งการ ควบคกู่ ับความบกพร่อง ข้อสงสยั หรอื ความไมส่ อดคล้องท่ปี รากฏข้นึ ซ่ึงขัดขวางมิให้ผลลพั ธ์ประสบผลสาเร็จ 2. วิธีการหรือกระบวนการวิเคราะห์ปัญหากระบวนการวิเคราะห์ปัญหากระบวนการแก้ไขปัญหามี ขน้ั ตอนท่เี กี่ยวข้อง5ประการดังน้ี 1.การกาหนดหรือนิยามปญั หา 2.การวเิ คราะห์สาเหตุ 3.การตดั สนิ ใจ 4.การลงมือปฏบิ ัติ 5.การประเมนิ ผล 3. เหตุผล ท่ีครูต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับปัญหาการจัดการเรียนรู้ที่เกิดจากการใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศครูต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ ปัญหาการจัดการเรียนรู้ท่ีเกิดจากการใช้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครูจะต้องมีความเข้าใจ และผลกระทบที่จะตามมาจากการใช้งาน นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ เน่ืองจากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศนอกจากจะมี ประโยชนม์ ากมายในการพฒั นาการเรียนการสอนแล้ว ยังมีโทษของการใช้งานและปัญหาอ่ืน ๆหากใช้อย่างไม่ เหมาะสม ครูจึงต้องตระหนักและมีความรู้ มีคุณธรรมในการใช้งาน เพ่ือให้เกิดผลประสิทธิภาพท่ีดี และเพื่อ ปูองกันปญั หาทอ่ี าจจะตามมาในการจัดการเรยี นรู้

86 4. ปญั หา และสาเหตุ การจดั การเรยี นรู้ท่เี กดิ จากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการกระจายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษามีคอมพิวเตอร์ยังไม่มีหรือมีไม่เพียงพอต่อความ ต้องการและทีม่ ีอย่กู ็ขาดการบารงุ รักษา รวมท้ังไมอ่ ยู่ในสภาพทีใ่ ชก้ ารได้ ดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื พัฒนาการเรียนร้คู รใู ช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเพื่อ พฒั นาทักษะวิชาชพี ครนู อ้ ยมากและคอมพิวเตอรม์ ีจานวนไม่เพียงพอกับความต้องการที่ครูจะใช้มีการวางแผน ทไี่ ม่ดีพอวางแผนจัดการความเส่ียงไม่ดีพอ ย่ิงสถานศึกษามีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด การจัดการกับความเสี่ยง ย่อมจะมีความสาคัญมากข้ึนตามลาดบั ทาใหค้ ่าใช้จ่ายดา้ นน้เี พิม่ สงู ข้นึ การนาเทคโนโลยีท่ีไม่เหมาะสมมาใช้งานการนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในสถานศึกษา จาเป็นตอ้ งพิจารณาให้สอดคลอ้ งและตรงกับลักษณะของแนวการสอนหรือนโยบายของสถานศึกษา การขาดการจดั การหรอื สนับสนุนจากผู้บริหารสถานศึกษาระดบั สงู ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เพอ่ื พัฒนาการบรหิ ารจัดการและให้บริการทางการ ศึกษา สถานศึกษายงั ขาดรปู แบบระบบสารสนเทศ และจัดให้ผู้บริหารมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสือ่ สารในระดับเบอื้ งต้น ปัญหาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่า ส่วนใหญ่การใช้วัสดุ เคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ และเทคนิค วิธีการครูหรือบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนมีปัญหาด้านงบประมาณไม่เพียงพอและมีความล่าช้า วัสดุ เคร่อื งมือหรืออปุ กรณม์ ีไม่เพยี งพอกับความต้องการ 5. สาเหตุ ของการเกิดปัญหาการจัดการเรียนรทู้ เี่ กิดจากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่ ละดา้ น โดยใชเ้ ครอ่ื งมือ 5.1 ผู้บริหาร ครู และนักเรียนบุคลากรขาดความรู้ความเข้าใจในการผลิตสื่อประกอบการจัด กิจกรรม บุคลากรขาดประสบการณ์ในการใชส้ ื่อนวตั กรรมทางการศึกษา 5.2 เครือ่ งมอื และอุปกรณเ์ ครอื่ งมือ และอุปกรณ์ ขาดงบประมาณในการพัฒนานวัตกรรม อุปกรณ์ ไมเ่ พยี งพอกบั ผเู้ รยี น

87 5.3 วัสดุวัสดุขาดงบประมาณในการจัดซ้ือ ไม่มีงบประมาณและการจัดเก็บไม่มีประสิทธิภาพ ทาให้ วัสดเุ กิดความเสียหาย 5.4 วิธีการการจัดกิจกรรมวิธีการ กิจกรรม ครูยึดวิธีการสอนแบบเดิม คือบรรยายหน้าช้ันเรียน แต่ ส่วนใหญ่มีแนวโน้มในการพัฒนาที่ดีขึ้น ครูยังไม่มีการนาสื่อนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนอย่าง ต่อเนือ่ ง 5.5 สภาพแวดล้อมสภาพแวดล้อมโดยท่ัวไปยังไม่เหมาะสมกับการใช้สื่อ เน่ืองจากความยุ่งยากและ ไม่คล่องตวั มีสถานทีไ่ มเ่ ปน็ สัดสว่ น ไมม่ หี ้องที่ใชเ้ พ่ือเก็บรักษาสือ่ 6. จากข้อ 5. เสนอแนวทางการแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ท่ีเกิดจากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศ แต่ละดา้ น 6.1. สร้างความตระหนัก ความรับผิดชอบในส่วนที่ยังบกพร่องทางนวัตกรรมของบุคลากร ส่งเสริมให้เข้าร่วมการอบรมสัมมนา ส่งเสริมให้เกิดการศึกษาด้วยตนเอง เพ่ือให้ความรู้และประสบการณ์ใน การใชส้ อื่ นวัตกรรมทางการศึกษาทมี่ ากขนึ้ 6.2. เพิ่มงบประมาณให้เพียงพอ ให้หน่วยงานท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องจัดหางบประมาณสนับสนุน สานกั งานเขตพ้ืนทีต่ ้องชว่ ยดแู ลและให้ความช่วยเหลือจัดสรรงบประมาณได้ เพ่ือใช้ในการพัฒนานวัตกรรมให้ มคี ณุ ภาพดีย่งิ ขึ้น และระดมทรัพยากรท่มี ีในท้องถ่ิน มาช่วยสนบั สนุน 6.3. แนวทางการแก้ไข คอื ใชส้ ือ่ นวตั กรรมตามความเหมาะสมของเนื้อหาวิชาตามความยากง่าย ของเนอ้ื หา แบง่ สอ่ื ไปตามหอ้ งให้ครูรับผิดชอบ ควรจดั หาหอ้ งเพอ่ื การนีเ้ ปน็ การเฉพาะ 6.4. จัดกลุ่มให้เพ่ือนช่วยเพื่อน คอยกากับแนะนาช่วยเหลือ จัดครูเข้าสอนตามประสบการณ์ ความถนดั ควรจัดอบรมเพ่ือให้ความรู้ จัดทานวัตกรรมท่ีมีโอกาสเป็นไปได้ และสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชน สอนเพิม่ เติมนอกเวลา 6.5. เน้นการเรียนการสอนที่นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จัด แบบทดสอบท่ีหลากหลาย ทั้งแบบปรนัย และอัตนัย และประเมินผลตามสภาพจริง ประเมินผลงานจากแฟูม สะสมงาน 7. วเิ คราะหป์ ัญหา ในชนั้ เรยี นปญั หา: ครยู งั ยึดวธิ ีการสอนแบบเดิมสอนแบบนิรนัยและแบบปรนัย คือ บรรยายหนา้ ชัน้ เรยี น เครอ่ื งมือทีเ่ ลือกใช:้ powtoon,prezi และ socrativ

88 แบบทดสอบ นวตั กรรมและเทคโนโลยที างการศกึ ษา 1. ทักษะต่าง ๆ ท่ีเกีย่ วกับคอมพิวเตอร์ เรยี กวา่ อะไร ก. ความชานาญทางคอมพวิ เตอร์ ข. การรบั ร้ดู ้านคอมพิวเตอร์ ค. การเชื่อมตอ่ คอมพวิ เตอร์ ง. เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ 2. ตัวเลอื กในข้อใดประกอบด้วย คียบ์ อร์ด เมาส์ จอภาพ หน่วยระบบ และอปุ กรณ์อื่น ๆ ก. บุคลากร ข. ระเบียบปฏบิ ัตกิ าร ค. ฮาร์ดแวร์ ง. หนว่ ยระบบ 3. ซอฟต์แวร์ระบบในข้อใดที่สาคญั ที่สดุ ก. โปรแกรมประมวลผลคา ข. โปรแกรมระบบจักการฐานข้อมูล ค. โปรแกรมระบบปฏิบัติการ ง. ซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์ 4. โปรแกรมเบราว์เซอร์ โปรแกรมประมวลผลคา และโปรแกรมตารางคานวณ เปน็ โปรแกรมประเภทใด ก. ซอฟตแ์ วรป์ ระยกุ ต์พิเศษ ข. ซอฟตแ์ วร์ประยกุ ตเ์ อนกประสงค์ ค. ซอฟต์แวร์ข้นั สูง ง. โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ 5. คาท่ีใชแ้ ทนหนว่ ยความจาชวั่ คราวคือคาใด ก. พีดเี อ ข. ซีดี ค. แรม ง. ดีวดี ี 6. อนิ เตอรเ์ น็ตเกดิ ขน้ึ ในปี ค.ศ. 1969 ขณะท่สี หรฐั อเมริกาค้นพบพฒั นาเครือขา่ ย ของประเทศเรียกว่า________________ ก. ARPANET ข. CERN ค. The Web ง. WWW

89 7. ___________ใช้สายโทรศัพท์และมีเขตบรกิ ารเฉพาะบางพ้ืนที ก. ผู้ใชบ้ รกิ ารแบบไร้สาย ข. ผู้ใหบ้ รกิ ารครอบคลมุ ทงั้ พ้ืนท่ี ค. ผใู้ หบ้ ริการท้องถนิ่ ง. ผใู้ หบ้ ริการบางพน้ื ที่ 8. เว็บ_____________เป็นคอมพิวเตอร์ทเ่ี กบ็ เอกสารและแบ่งปนั ใหผ้ ู้อื่นไดร้ ่วมใชง้ าน ก. เอเจนต์ ข. เบราว์เซอร์ ค. ค้นหา ง. เซิร์ฟเวอร์ 9. ถ้าตอ้ งการมสี ว่ นร่วมในการสนทนาจะตอ้ งเลือก_________จึงจะสามารถส่ือสารกบั คน อ่นื ไดเ้ หมอื นกับการพูดคยุ กันจรงิ ๆ ก. signal ข. Index ค. engine ง. Channel 10. ________เชื่อมต่อกบั คอมพิวเตอร์ เปดิ และส่งผา่ นข้อมลู แสดงข้อความและรูปภาพ มีสว่ นติดต่อกบั ผใู้ ชส้ าหรบั ผใู้ ชอ้ ินเตอร์เนต็ และเวบ็ ไม่ซับซอ้ น ก. บอต ข. เบราว์เซอร์ ค. จาวา ง. โปรแกรมเว็บอรรถประโยชน์ 11. ข้อใดคือความหมายท่ถี ูกตอ้ งท่ีสดุ ของ\"นวตั กรรม\" ก. การกระทาที่ไมเ่ คยมมี าก่อน ข. การกระทาท่ีร้ือฟื้นมาจากของเดิม ค. การกระทาทเี่ อาแบบอย่างมาจากท่ีอื่น ง. การกระทาที่ใชแ้ นวคดิ หรือวิธปี ฏบิ ตั ิใหมๆ่ เพ่ือแกป้ ัญหาและพัฒนางาน 12. ขอ้ ใด\"ไมใ่ ช\"่ แนวคิดพ้ืนฐานทกี่ อ่ ให้เกิดนวตั กรรมการศึกษา ก. เวลาทใ่ี ช้ในการเรียน ข. ความพรอ้ มของผู้เรียน ค. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ง. ความทนั สมยั ของเทคโนโลยี

90 13. นวตั กรรมการศึกษามคี วามสาคญั ต่อการจดั การศึกษาอยา่ งไร ก. ลดความสาคญั ในตวั ผ้สู อน ข. เพิ่มความสาคญั ในตวั ผูเ้ รยี น ค. เพิม่ ความสาคญั ท้ังในตัวผเู้ รยี นและผูส้ อน ง. ช่วยแกไ้ ขปญั หาและพัฒนาการจัดการศกึ ษา 14. ข้อใดเป็นนวัตกรรมการศึกษาทเ่ี กิดจากแนวคิดพ้ืนฐานท่ีตอ้ งการตอบสนองความแตกตา่ งระหว่างบุคคล ก. มหาวทิ ยาลยั เปดิ ข. การเรยี นทางไปรษณยี ์ ค. การจัดตารางเรียนแบบยืดหยนุ่ ง. บทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยการสอน 15. ข้อใดไม่ใช่นวัตกรรมการศกึ ษาทเ่ี กิดจากแนวคดิ พืน้ ฐานด้านการตอบสนองอตั ราการเพ่มิ ของประชากร ก .มหาวิทยาลัยเปิด ข. การศึกษาทางไกล ก. โรงเรยี นไมแ่ บง่ ช้นั ง. การจัดการศึกษาผา่ นอนิ เทอร์เนต็ 16. ข้อใดไม่ใชเ่ กณฑใ์ นการพิจารณาความเป็น\"นวตั กรรม\" ก. ตอ้ งประดิษฐ์ใหม่เท่านน้ั ข. ต้องมีการนาวธิ รี ะบบมาใช้ ค. ตอ้ งมีการพิสจู นด์ ้วยการวิจัย ง. ตอ้ งยังไมเ่ ปน็ สว่ นหน่ึงของงานปจั จุบนั 17. ข้อใดอธบิ ายความนวตั กรรมการศึกษาได้ชดั เจนที่สดุ ก. เป็นส่งิ ใหม่ในวงการศกึ ษา ข. มีการนามาใช้อย่างเป็นระบบ ค. มีการดาเนินงานโดยใช้กระบวนการวจิ ยั ง. ได้รับการพสิ ูจน์จนเป็นทยี่ อมรับว่าสามารถแกป้ ัญหาและพฒั นาการศึกษาได้ 18. นวัตกรรมและเทคโนโลยีมคี วามคล้ายคลงึ กนั ในดา้ นใด ก. ความใหม่ ข. ความทันสมัย ค. การได้รบั ความนยิ มอยา่ งแพร่หลาย ง. มีเปูาหมายเพื่อแก้ปญั หาและพฒั นางาน

91 19. นวตั กรรมและเทคโนโลยีมีความแตกตา่ งกนั ในด้านใด ก. ระบบการใชง้ าน ข. ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ค. การแกป้ ญั หาและพฒั นางาน ง. การยอมรบั ในฐานะเป็นส่วนหนึง่ ของระบบการใช้งานปัจจุบนั 20. นวัตกรรมและเทคโนโลยีมีสว่ นเกีย่ วขอ้ งกนั อย่างไร ก. นวัตกรรมมกั เกดิ ก่อนเทคโนโลยี ข. เทคโนโลยมี ักเกิดกอ่ นนวัตกรรม ค. นวตั กรรมจะประสบผลสาเรจ็ ไดต้ ้องพ่งึ เทคโนโลยี ง. นวตั กรรมอาจแปรสภาพเป็นเทคโนโลยีและเทคโนโลยอี าจแปรสภาพเปน็ นวตั กรรมได้ 21. ปัจจยั ดา้ นใดที่ชว่ ยให้เกิดความสะดวกรวดเรว็ ในการแลกเปลีย่ นและสบื คน้ ข้อมลู ก. เทคโนโลยีสารสนเทศ ข. เอกชนและผใู้ ห้การสนับสนนุ ค. พระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ ง. นโยบายรฐั บาลและผูบ้ รหิ ารระดับสูง 22. ข้อใดนบั ว่าเป็นแหลง่ ทรัพยากรการเรียนรทู้ ีใ่ หญ่ทส่ี ุดในปัจจุบัน ก. อินเทอรเ์ น็ต ข. หนงั สือพิมพ์ ค. วทิ ยุโทรทัศน์ ง. วทิ ยุกระจายเสยี ง 23. ขอ้ ใดเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนร้ทู สี่ ามารถเขา้ ถึงผ้เู รยี นได้มากทีส่ ุดในปัจจุบนั ก. อินเทอรเ์ น็ต ข. หนงั สือพมิ พ์ ค. วทิ ยุโทรทัศน์ ง. วทิ ยกุ ระจายเสยี ง 24. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเก่ยี วกับแนวโน้มของแหล่งทรพั ยากรการเรียนรู้ ก. มจี านวนเพมิ่ ข้นึ อย่างรวดเร็ว ข. มีรปู แบบใหมๆ่ เพม่ิ มากขน้ึ ค. มกี ารรวบรวมสอื่ หลากหลายประเภท ง. มคี วามยงุ่ ยากและซบั ซ้อนในการเข้าถงึ หารให้บริการ 25.ในอนาคตแหล่งทรัพยากรการเรียนรูม้ แี นวโน้มพัฒนาไปสรู่ ปู แบบอิเลคทรอนกิ ส์มากขึ้นเนอ่ื งจากสาเหตุใด ก. เนอ้ื หาวชิ ามมี ากข้ึน ข. ประชากรเพ่ิมมากข้ึน ค. ความตอ้ งการในการเรยี นรู้เพิม่ มากขึ้น ง. พฒั นาการของเทคโนโลยีและราคาของอปุ กรณ์ที่ถูกลง

92 26. เทคโนโลยีเป็นเครือ่ งมือที่มีความสาคัญต่อสารสนเทศอยา่ งไร ก. ชว่ ยในการเก็บข้อมูล ข. ชว่ ยให้เกดิ ผลผลิตที่มีประสทิ ธิภาพ ค. สนบั สนนุ การดาเนนิ งานใหค้ ลอ่ งตวั ง. ช่วยในการเก็บขอ้ มลู ประมวลผลขอ้ มูล 27. ขอ้ ใดไมใ่ ช่องค์ประกอบของนวตั กรรม ก. เป็นสง่ิ ทีไ่ มเ่ คยมมี าก่อน ข. เปน็ สงิ่ ทมี่ ีอยู่แล้วและใชไ้ ด้ดีในสงั คมอืน่ หรอื ประเทศอืน่ แลว้ นามาใช้อีกสังคมหน่งึ หรืออีก ค. เปน็ สง่ิ ท่ีมอี ยู่แลว้ แต่ไม่ไดน้ ามาใชป้ ระโยชน์ ง. เปน็ ส่งิ ทม่ี ีอยู่แล้วและเคยนามาใช้ในชว่ งเวลาหนึ่งแตไ่ ม่ไดร้ บั ความนิยม ต่อมานามาใช้ใหม่ 28. คณุ ลักษณะท่ีสาคัญของยคุ เทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อใดถกู ต้องทีส่ ุด ก. มกี ารผลิตทางอุตสาหกรรม ข. เน้นคณุ คา่ ในสังคมสว่ นรวม ค. ส่ือสารขอ้ มลู และกาหนดกฎหรือระเบยี บของการสื่อสาร ง. เนน้ ปัจจยั 4 ของบุคลากร 29. ทาไมต้องนานวัตกรรมการศกึ ษามาใชแ้ ทนวิธีการเดิม ก. เพื่อไดป้ ระสิทธิผลสงู ขึน้ . ข. เพื่อให้มปี ระสิทธภิ าพมากข้ึน. ค. เพือ่ ลดการสอนของครูจะไดไ้ ปทางานดา้ นอน่ื . ง. วธิ ีการเดิมไมเ่ ปน็ ทยี่ อมรับ 30. ลกั ษณะทศิ ทางการพฒั นาประเทศในอนาคตเปน็ ลักษณะเช่นใด ก. เศรษฐกิจพอเพยี ง. ข. เศรษฐกจิ เสร.ี ค. สังคมสันติภาพ. ง. เศรษฐกิจสังคมฐานความรู้ เฉลยข้อสอบ 1. ก 6. ก 11. ง 16. ก 21. ก 26. ง 2. ค 7. ง 12. ง 17. ง 22. ก 27. ก 3. ค 8. ง 13. ง 18. ง 23. ค 28. ค 4. ข 9. ง 14. ง 19. ง 24. ง 29. ข 5. ค 10. ข 15. ก 20. ง 25. ง 30. ง

93 บรรณานุกรม กิดานนั ท มลทิ อง. 2540. เทคโนโลยีการศกึ ษาและนวัตกรรม. กรงุ เทพมหานคร : ชวนพิมพ กระทรวงวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี (2550). 81 แหลง่ การเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สานกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาต.ิ เกรกิ ท่วมกลาง.(2549). การพฒั นาสือ่ /นวตั กรรมทางการศึกษาเพื่อเล่อื นวิทยฐานะ. กรุงเทพ :สถาพรบุ๊คส์. เกษม คาบตุ ดา. (2550). การพฒั นาแหล่งเรยี นรู้ในโรงเรียน เพ่ือส่งเสรมิ การพฒั นาคุณธรรมจรยิ ธรรม นกั เรียนโรงเรียนอนุบาลมหาสารคาม อาเภอเมือง จงั หวัดมหาสารคาม. (การศึกษาคน้ คว้าอสิ ระ, มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ครรชิต มาลัยวงศ . 2540. ทัศนะไอที. กรงุ เทพมหานคร : ซเี อด็ ยูเคชน่ั จากดั (มหาชน). สนธยา พลศร.ี (2550). เครอื ข่ายการเรียนรู้ในงานพัฒนาชุมชน. พิมพ์คร้งั ท่ี 2. กรุงเทพฯ : โอเดยี น สโตร.์ สานกั งานการประถมศึกษาจังหวัดมหาสารคาม. (2545). แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถ่ินใน จงั หวดั มหาสารคาม. มหาสารคาม : ฝาุ ยบรกิ ารทางการศกึ ษา หนว่ ยศึกษานเิ ทศก.์ สานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2550). แหล่งการเรยี นรู้ตลอดชีวติ ตน้ แบบ 4 ภมู ิภาค. กรงุ เทพฯ : ชมุ ชนสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. สทุ ธธิ รรม เลชววิ ฒั น.์ (2549). เครือขา่ ยชมุ ชนพอเพยี ง. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ : สถาบันวถิ ีทรรศน.์ สุคนธ์ สินธพานนท์. (2552). นวัตกรรมการเรียนการสอน เพ่ือพัฒนาคุณภาพของเยาวชน. กรงุ เทพ : เทคนคิ พรน้ิ ต้ิง เสาวภา ประพันวงศ.์ (2551,ม.ค. – ธ.ค.). การจัดการแหล่งเรียนรู้ (Management of Lifelong Learning : Library). อินฟอร์เมช่นั , 15(1), 14-19. อนุรักษ์ ปญั ญานุวัฒน์, รหัน แตงจวง และสกุ ญั ญา นิมานนั ท.์ (2536). ประสทิ ธภิ าพของรูปแบบ การถา่ ยทอดความรดู้ ว้ ยส่ือบุคคล : กรณศี ึกษาการเผยแพรค่ วามรู้เร่ืองโรคเอดส์ในชุมชนชาน เมืองเชยี งใหม่. เชียงใหม่ : ม.ป.ท. เอกวทิ ย์ ณ ถลาง. (2540). ภูมปิ ัญญาชาวบา้ นสภ่ี มู ภิ าค: วถิ ีชีวติ และกระบวนการเรยี นรู้ของชาวบา้ น ไทย. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. การนานวตั กรรมและเทคโนโลยีมาใช้สถานศกึ ษา. [ออนไลน]์ เขา้ ถงึ ได้จาก http://suksandee. blogspot.com/2013/01/blog-post.html (สบื คน้ วนั ที่ 25 มกราคม 2565) ความหมายของ นวัตกรรมการศึกษาและเทคโนโลยที างการศกึ ษา. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://info.muslimthaipost.com/main/index.php? page=sub&category=31&id=17734 (สืบคน้ วนั ท่ี 25 มกราคม 2565) ความหมายนวัตกรรม. [ออนไลน]์ เข้าถงึ ไดจ้ าก http://salc.trang.psu.ac.th/index.php/14- 2013-06-06-06-30-05/2013-06-06-06-29-39/37-2013-06-06-06-43-27 (สบื ค้นวนั ที่ 25 มกราคม 2565) ชนาธิป แกว้ บ้านดอน. (2557). ความหมายของแหลง่ เรยี นรู้. [เว็บบล็อก]. สบื ค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/560489. นริ นาม. (2555). ความหมายของแหล่งเรยี นรู้. [เว็บบล็อก]. สืบค้นจาก http://www.thaigoodview.com/node/125007.

94 บรรณานกุ รม (ตอ่ ) นวตั กรรมเทคโนโลยที างการศึกษา. [ออนไลน์] เข้าถงึ ได้จาก https://sites.google.com/site/ nwatkrrmkarsuksa/home/khna-phu-cad-tha (สบื ค้นวันท่ี 2 กมุ ภาพนั ธ์ 2565) นวตั กรรมการศกึ ษา. [ออนไลน์] เข้าถงึ ไดจ้ าก http://sukanya- neang.blogspot.com/2012/03/blog-post.html (สืบคน้ วันท่ี 2 กมุ ภาพันธ์ 2565) นวตั กรรมทางการศึกษาทส่ี าคญั ของไทยในปัจจุบัน. [ออนไลน]์ เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.oknation.net/blog/Apinya0936/2013/12/24/entry-3 (สืบคน้ วนั ท่ี 25 มกราคม 2565) แนวความคดิ ท่กี อ่ ใหเ้ กดิ นวัตกรรมการศึกษา. [ออนไลน]์ เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.wachum.com/eBook/811201/doc3-2.html (สืบค้นวนั ท่ี 2 กมุ ภาพนั ธ์ 2565) พนั ธป์ ระภา พนู สิน. (2554). ความสาคญั ของแหล่งการเรียนรู้. [เว็บบลอ็ ก]. สบื ค้นจาก https://sites.google.com/site/punaoy/kha/phumipayya1/khwamhmaykhxnghaelngkarr eiynru. พนั ธ์ประภา พนู สิน. (2554). ประเภทของแหล่งการเรียนรู้. [เว็บบล็อก]. สบื ค้นจาก https://sites.google.com/site/punaoy/kha/phumipayya1 / khwamhmaykhxnghaelngkarr eiynru. สอื่ /นวัตกรรมทางการศึกษา. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://blog.eduzones.com/madamread/102978 (สบื ค้นวันที่ 2 กุมภาพนั ธ์ 2565)

95


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook