Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์

สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์

Published by aun.sutthikan41, 2021-08-03 16:15:10

Description: สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์

Keywords: ggnn

Search

Read the Text Version

การปรบั ปรุงดินมี 2 วธิ ีการ ตามสภาพของดนิ และความเหมาะสม 1. ใช฾นํ้าชะล฾างความเป็นกรด เมื่อล฾างดินเปร้ียวให฾คลายลงแล฾วดินจะมีค฽า pH เพ่ิมข้ึนอีกทั้งสารละลายเหล็กและอลูมินั่มที่เป็นพิษเจือจางลงจนทําให฾พืชสามารถเจริญเติบโตได฾ดี โดยเฉพาะถ฾าหากใช฾ปย฻ุ ไนโตรเจนและฟอสเฟตกส็ ามารถใหผ฾ ลผลิตได฾ 2. การใช฾ปนู ผสมคลุกเคล฾ากับหน฾าดิน เช฽น ปูนมาร์ล ปูนฝุนซึ่งปริมาณของปูนท่ีใช฾ ขึ้นอย฽ูกับความรุนแรงของความเป็นกรดของดิน การใช฾ปูนควบค฽ูไปกับการใช฾น้ําชะล฾างและควบคุม ระดับน้ําใต฾ดิน เป็นวิธีการ ที่สมบูรณ์ท่ีสุดและใช฾ได฾ผลมากในพ้ืนที่ซึ่งดิน เป็นกรดจัดรุนแรง และถูก ปลอ฽ ยทิ้งเป็นเวลานาน การปรับสภาพพ้นื ท่ี มีอยู฽ 2 วิธี คอื การปรับระดับผิวหน฾าดนิ ดว฾ ยวธิ กี าร 1. ปรับระดับผิวหน฾าดินให฾มีความลาดเอียง เพื่อให฾นํ้าไหลไปสู฽คลองระบายนํ้า ตกแตง฽ แปลงนาและคนั นาใหมเ฽ พอ่ื ใหเ฾ กบ็ กักนาํ้ และระบายน้ําออกไปได฾การยกร฽องปลูกพืช สําหรับพืช ไร฽ พืชผัก ไม฾ผล หรือไม฾ยืนต฾นท่ีให฾ผลตอบแทนสูง ถ฾าให฾ได฾ผลต฾องมีแหล฽งนํ้าชลประทานเพื่อขังและ ถ฽ายเทน้ําได฾เมอื่ น้ําในร฽องเปน็ กรดจัด 2. การยกร฽องปลูกพชื ยืนต฾นหรือไมผ฾ ล ต฾องคาํ นงึ ถึงการเกดิ นา้ํ ท฽วมในพ้ืนท่ีนั้น หาก มโี อกาสเส่ียงสงู ก็ไมค฽ วรทาํ หรืออาจยกรอ฽ งแบบเต้ีย ๆ พืชท่ีปลูกเปลี่ยนเป็นพืชล฾มลุกหรือพืชผัก และ ควรปลกู เป็นพชื หมุนเวยี นกับขา฾ วได฾ วธิ กี ารปรับปรงุ ดินเปรี้ยวจัดเพอ่ื การเกษตร 1. เพอื่ ใช฾ปลูกขา฾ วเขตชลประทาน ดนิ ทีม่ ีคา฽ ความเปน็ กรด-ดา฽ ง น฾อยกวา฽ 4.0 หน฽วย ใชป฾ ูนอตั รา 1.5 ตนั ต฽อไร฽ ดนิ ท่มี ีค฽าความเปน็ กรด-ดา฽ ง ระหว฽าง 4.0-4.5 หนว฽ ย ใชใ฾ นอตั รา 1 ตันตอ฽ ไร฽ 2. เพอื่ ใช฾ปลกู ขา฾ วเขตเกษตรน้ําฝน ดินที่มคี ฽าความเปน็ กรด-ดา฽ ง นอ฾ ยกวา฽ 4.0 หน฽วย ใช฾ปนู ในอตั รา 2.5 ตนั ตอ฽ ไร฽ ดนิ ที่มคี า฽ ความเป็นกรด-ดา฽ ง ระหวา฽ ง 4.0-4.5 หน฽วย ใช฾ปูนอตั รา 1.5 ตนั ตอ฽ ไร฽ ข้ันตอนการปรบั ปรงุ ดินเปร้ียว หลังจากหว฽านปูนให฾ทาํ การไถแปร และปลอ฽ ยนํ้าให฾แชข฽ ังในนาประมาณ 10 วนั จากน้ัน ระบายน้าํ ออกเพื่อชะลา฾ งสารพิษและขงั นํ้าใหม฽เพอ่ื รอปักดํา 1. เพื่อใช฾ปลูกพืชล฾มลุก การปลูกพืชผักมีวิธีการ คือ ยกร฽องกว฾าง 6-7 เมตร คู ระบายกว฾าง1.5 เมตรและลึก 50 เซนติเมตร ไถพรวนดินและตากดินท้ิงไว฾ 3-5 วัน ทําแปลงย฽อยบน สันร฽อง ยกแปลงให฾สูง 25-30 เซนติเมตร กว฾าง 1-2 เมตร เพื่อระบายน้ําบนสันร฽องและเพ่ือปูองกัน รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล฾อมเพ่ือชวี ติ GESC1104

ไม฽ให฾แปลงย฽อยแฉะเม่ือรดน้ําหรือมีฝนตก ใส฽หินปูนหรือดินมาร์ล 2-3 ตันต฽อไร฽ คลุกเคล฾าให฾เข฾ากับ ดิน ท้งิ ไว฾ 15 วัน ใส฽ป฻ุยหมักหรอื ป฻ยุ อนิ ทรยี ์ 5 ตันตอ฽ ไร฽ ก฽อนปลกู 1 วัน เพ่ือปรบั ปรุงดนิ การปลูกพืชไร฽บางชนิด กระทําได฾ 2 วิธี คือ แบบยกร฽องสวนและแบบปลูกเป็นพืช คร้ังท่ี 2 หลงั จากการทํานา การปลูกพืชไร฽แบบยกร฽องสวนมีวิธีเตรียมพื้นที่เช฽นเดียวกับการปลูกพืชผัก การปลกู พชื ไร฽หลงั ฤดทู าํ นาซ่ึงอยใู฽ นช฽วงปลายฤดฝู น การเตรียมพื้นท่ีต฾องยกแนวร฽องให฾สูงกว฽าการปลูกบนพื้นที่ดอน 10-20 เซนติเมตร เพ่อื ปูองกนั ไมใ฽ หน฾ า้ํ แชข฽ ังถ฾ามฝี นตกผดิ ฤดู ถ฾าพ้ืนท่ีน้ันได฾รับการปรับปรุง โดยการใช฾ปูนมาแล฾ว คาดว฽า คงไม฽จาํ เป็นตอ฾ งใชป฾ ูนอีก 2. เพ่ือใช฾ปลูกไม฾ผล สร฾างคันดินก้ันนํ้าล฾อมรอบแปลงเพื่อปูองกันนํ้าขัง และติดตั้ง เครื่องสูบน้ําเพ่ือระบายนํ้าออกตามต฾องการ ยกร฽องปลูกพืชตามวิธีการปรับปรุงพื้นที่ที่มีดินเปรี้ยวจัด เพื่อปลูกไม฾ผล นํา้ ในครู ะบายนํ้าจะเป็นน้ําเปรย้ี ว ต฾องระบายออกเม่อื เปร้ยี วจดั และสูบนํ้าจืดมาแทน ช฽วงเวลาถ฽ายนํ้า 3-4 เดือนต฽อครั้ง ควบคุมระดับนํ้าในคูระบายน้ํา ไม฽ให฾ต่ํากว฽าช้ันดินเลน ท่ีมี สารประกอบไพไรท์ เพื่อปูองกันการเกิดปฏิกิริยาท่ีจะทําให฾ดินมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้นใส฽ปูนอาจเป็น ปูนขาว ปูนมาร์ล หรือหินปูนฝุน โดยหว฽านท่ัวท้ังร฽องท่ีปลูกอัตรา 1 - 2 ตันต฽อไร฽ กําหนดระยะปลูก ตามความเหมาะสมของแต฽ละพชื ขุดหลุม กว฾าง ยาว และลึก 50 - 100 เซนติเมตร แยกดินช้ันบนและ ดินช้ันล฽าง ทิ้งไว฾ 1 - 2 เดือน เพ่ือฆ฽าเชื้อโรค เอาส฽วนท่ีเป็นหน฾าดินผสมป฻ุยคอกหรือป฻ุยหมักหรือ บางสว฽ นของดนิ ช้นั ล฽างแลว฾ กลบลงไปในหลมุ ใหเ฾ ต็ม ใส฽ปย฻ุ หมัก 1 กิโลกรัมต฽อต฾น โดยผสมคลุกเคล฾าให฾ เขา฾ กบั ปนู ในอตั รา 15 กิโลกรัมต฽อหลุม ดแู ลฆ฽าวชั พชื โรค แมลง และให฾น้ําตามปกติ สําหรับการใช฾ปุ฻ย บาํ รุงดินขน้ึ กับความตอ฾ งการและชนดิ ของพชื ทีจ่ ะปลูก 2. ทฤษฎใี หม่: การบรหิ ารจัดการทด่ี นิ เพอ่ื การเกษตรตามพระราชดาริ ในทุกคร้ังท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ฾าอยู฽หัว เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเย่ียมราษฎร ตามพ้ืนท่ีต฽าง ๆ ทั่วประเทศน้ันได฾ทรงถามเกษตรกรและ ทอดพระเนตร พบสภาพปัญหา การขาด แคลนน้ําเพ่ือการปลูกข฾าวและเกิดแรงดลพระราชหฤทัย อันเป็นแนวคิดข้ึนว฽าข฾าวเป็นพืชที่แข็งแกร฽ง มาก หากได฾นํ้าเพียงพอ จะสามารถ เพิ่มปริมาณเม็ดข฾าวได฾มากยิ่งข้ึน หากเก็บนํ้าฝนท่ีตกลงมาไว฾ได฾ แลว฾ นาํ มาใชใ฾ นการเพาะปลูกก็จะสามารถเกบ็ เกีย่ วได฾มากขึน้ เช฽นกนั การสร฾างอ฽างเก็บน้ําขนาดใหญ฽นับวันแต฽จะยากท่ีจะดําเนินการได฾เน่ืองจากการขยายตัวของ ชมุ ชนและขอ฾ จาํ กัด ของปรมิ าณท่ดี นิ เป็นอปุ สรรคสําคญั หากแต฽ละครัวเรือนมีสระนํ้าประจําไร฽นาทุก ครัวเรือนแล฾ว เมื่อรวมปริมาณกันก็ย฽อมเท฽ากับปริมาณในอ฽างเก็บนํ้าขนาดใหญ฽ แต฽ส้ินค฽าใช฽จ฽ายน฾อย และเกิดประโยชนส์ งู สุด โดยตรงมากกว฽า ในเวลาต฽อมาได฾พระราชทานพระราชดําริให฾ทําการทดลอง\" รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล฾อมเพื่อชวี ิต GESC1104

ทฤษฎใี หม\"฽ เกีย่ วกบั การจัดการท่ดี ินและแหลง฽ น้ํา เพอื่ การเกษตรข้นึ ณ วดั มงคลชัยพัฒนา ตําบลห฾วย บง อําเภอเมือง จังหวัดสระบุรี แนวทฤษฎีใหม฽ กําหนดขึ้นดังน้ี ให฾แบ฽งพื้นท่ีถือครองทางการเกษตร ซ่ึงโดยเฉลี่ยแล฾วเกษตรกรไทย มีเนื้อท่ีดินประมาณ 10-15 ไร฽ต฽อครอบครัว แบ฽งออกเป็นสัดส฽วน 30- 30-30-10 คอื ส฽วนแรก: ร฾อยละ 30 เนื้อที่เฉล่ีย 3 ไร฽ ให฾ทําการขุดสระกักเก็บน้ําไว฾ใช฾ในการ เพาะปลกู โดยมคี วามลกึ ประมาณ 4 เมตร ซ่ึงจะสามารถรบั นํา้ ไดจ฾ ุถึง 19,000 ลูกบาศก์เมตร โดยการ รองรับจากน้ําฝน ราษฎรจะสามารถนํานํ้าน้ีไปใช฾ในการเกษตร ได฾ตลอดปีและยังสามารถเลี้ยงปลา และปลูกพืชน้ํา พืชริมสระ เพ่ือเพิ่มรายได฾ให฾กับครอบครัวอีกทางหน่ึงด฾วย ส฽วนท่ีสอง : ร฾อยละ 60 เนอ้ื ทเ่ี ฉลย่ี ประมาณ 10 ไร฽ เป็นพื้นท่ีทําการเกษตรปลูกพืชผลต฽าง ๆ โดยแบ฽งพ้ืนที่นี้ออกเป็น 2 ส฽วน คอื รอ฾ ยละ30ในสว฽ นท่ีหนึง่ :ทํานาข฾าวประมาณ5ไร฽ คดิ เปน็ รอ฾ ยละ30 สว฽ นทสี่ อง: ปลูกพชื ไรห฽ รือพชื สวนตามแต฽สภาพของพื้นท่ีและ ภาวะตลาด ประมาณ 5 ไร฽ พระบาทสมเด็จพระเจา฾ อยู฽หวั ทรงคํานวณโดยใช฾หลกั เกณฑว์ ฽า ในพื้นทท่ี าํ การเกษตรน้ีต฾องมีน้ําใช฾ ในช฽วงฤดแู ล฾ง ประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตรตอ฽ ไร฽ ถา฾ หากแบ฽ง แต฽ละแปลงเกษตรให฾มีเน้ือท่ี 5 ไร฽ ทั้ง 2 แห฽งแล฾ว ความต฾องการนํ้าจะต฾อง ใช฾ประมาณ 10,000 ลูกบาศก์เมตร ท่ีจะต฾องเป็นนํ้าสํารองไว฾ใช฾ ในยามฤดแู ล฾ง ส฽วนที่สาม : รอ฾ ยละ 10 เป็นพื้นท่ีที่เหลอื มเี น้อื ท่เี ฉลยี่ ประมาณ 2 ไร฽ จัดเป็นที่อยู฽อาศัย ถนนหนทาง คันคดู ินหรอื คคู ลอง ตลอดจนปลกู พชื สวนครัวและเลย้ี งสัตว์ พระบาทสมเด็จพระเจ฾าอย฽ูหัวได฾พระราชทานแนวพระราชดําริอันเป็นหลักปฏิบัติ สําคัญย่ิงในการดําเนินการ คือ วิธีการน้ีสามารถใช฾ปฏิบัติได฾กับเกษตรกรผู฾เป็นเจ฾าของท่ีดิน ที่มีพื้น ท่ีดินจํานวนน฾อย แปลงเล็ก ๆ ประมาณ 15 ไร฽ (ซึ่งเป็นอัตราถือครองเนื้อที่การเกษตรโดยเฉลี่ยของ เกษตรกรไทย) มงุ฽ ให฾เกษตรกรมีความพอเพียงในการเล้ียงตัวเองได฾ (Self sufficiency) ในระดับชีวิตท่ี ประหยัดก฽อนโดยมุ฽งเน฾นให฾เห็นความสําคัญของความสามัคคีกันในท฾องถ่ิน กําหนดจุดม฽ุงหมายให฾ สามารถผลติ ขา฾ วบรโิ ภคได฾เพียงพอท้ังปี โดยยึดหลักว฽าการทํานา 5 ไร฽ของครอบครัวหนึ่งน้ัน จะมีข฾าว พอกินตลอดปีซึ่งเปน็ หลักสําคัญของทฤษฎีใหม฽นี้ นอกจากนี้ ยังทรงคํานึงถึงการระเหยของน้ําในสระ หรืออ฽างเก็บนํ้าลึก 4 เมตร ของเกษตรกรด฾วยว฽า ในแต฽ละวันท่ีไม฽มีฝนตกคาดว฽านํ้าระเหย วันละ 1 เซนติเมตร ดังน้ัน เม่ือเฉลี่ยว฽าฝนไม฽ตกปีละ 300 วันนั้น ระดับนํ้าในสระจะลดลง 3 เมตร จึงควรมี การเติมนํา้ ให฾เพยี งพอ เนื่องจากน้าํ เหลอื กน฾ สระเพยี ง 1 เมตร เท฽าน้ัน ดังน้ัน การมีแหล฽งนํ้าขนาดใหญ฽ เพื่อคอยเตมิ นา้ํ ในสระเล็ก จึงเปรียบเสมือนมีแท฾งค์น้ําใหญ฽ ๆ ท่ีมีนํ้าสํารอง ที่จะเติมนํ้าอ฽างเล็กให฾เต็ม อย฽ูเสมอ จะทําให฾แนวทางปฏิบัติสมบูรณ์ขึ้น กรณีของการทดลองท่ีวัดมงคลชัยพัฒนา ทรงเสนอ วธิ กี ารดังนี้ ใหม฾ ีตุม฽ นา้ํ เล็ก คือ สระนํ้าที่ราษฎรขุดข้ึนตามทฤษฎีใหม฽นี้ เมื่อเกิดช฽วงขาดแคลนน้ําในฤดู แลง฾ ราษฎรก็สามารถสบู นา้ํ มาใชป฾ ระโยชน์ได฾ และหากน้าํ ในสระไมเ฽ พียงพอก็ขอรับน้าํ จากอ฽างห฾วยหิน รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ฾ มเพ่ือชวี ติ GESC1104

ขาวซ่ึงได฾ทําระบบส฽งนํ้าเชื่อมต฽อลงมายังสระน้ําท่ีได฾ขุดไว฾ในแต฽ละแปลงซ่ึงจะช฽วยให฾สามารถมีนํ้าใช฾ ตลอดปี ในกรณรี าษฎรใชน฾ ํ้ากนั มากอ฽างหว฾ ยหนิ ขาวกอ็ าจมีปรมิ าณนํ้าไม฽เพียงพอ หากโครงการพัฒนา ลุม฽ น้ําปุาสกั สมบรู ณ์แลว฾ ก็ใชว฾ ธิ ีการสบู นาํ้ จากปุาสกั มาพกั ในหนองน้ําใดหนองนํ้าหนง่ึ แล฾วสูบต฽อลงมา ในอ฽างเก็บนาํ้ หว฾ ยหินขาวกจ็ ะช฽วยใหม฾ ีปริมาณนํ้าใช฾มากพอตลอดปี ทฤษฎีใหม฽จึงเป็นแนวพระราชดําริใหม฽ท่ีบัดน้ีได฾รับการพิสูจน์ และยอมรับกันอย฽าง กวา฾ งขวางในหม฽เู กษตรกรไทยแล฾วว฽า พระราชดําริของพระองค์เกิดขึ้นด฾วย พระอัจฉริยภาพ สูงส฽ง ที่ สามารถนําไปปฏิบัติได฾อย฽างแท฾จริง ความสมบูรณ์พูนสุขแห฽งราชอาณาจักรไทย อุบัติขึ้นในคร้ังน้ีด฾วย พระปรีชาสามารถอันเฉียบแหลมของพระมหากษัตริย์ไทยผู฾มิเคยทรงหยุดนิ่งท่ีจะระดมสรรพกําลังท้ัง ปวงเพื่อความสุขของพสกนกิ รชาวไทย 3. หญา้ แฝก: รากฝังลกึ อนุรักษ์หนา้ ดนิ พระบาทสมเด็จพระเจ฾าอย฽ูหัวทรงตระหนักถึงการพังทลายของดินและการสูญเสียหน฾าดินที่ อุดมสมบูรณ์ พระองค์จึงทรงมีพระราชดําริให฾ศึกษา “หญ฾าแฝก” และนํามาใช฾ในการอนุรักษ์ดินและ นํ้า รวมทั้งใช฾ประโยชน์ด฾านอื่นๆ ต้ังแต฽ปี พ.ศ. 2534 เป็นต฾นมา ในปัจจุบันได฾มีหน฽วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนมากกวา฽ 30 หนว฽ ยงาน ร฽วมดําเนนิ การศกึ ษาวจิ ัยเกย่ี วกับหญ฾าแฝก ภาพที่ 4.3 ระบบรากของหญ฾าแฝก และลําต฾น ข฾อมลู ทั่วไปของหญ฾าแฝก หญ฾าแฝกเป็นพืชตระกูลหญ฾าท่ีข้ึนเป็นกอหนาแน฽นอย฽ูตามธรรมชาติ ท่ัวทุกภาคของประเทศ จากทล่ี ุ฽มจนถงึ ทด่ี อน สามารถขน้ึ ได฾ดใี นดินเกอื บทุกชนดิ เจรญิ เติบโตโดยการแตกกอเส฾นผ฽าศูนย์กลาง กอประมาณ 30 เซนติเมตร ความสูงจากยอดประมาณ0.5-1.5 เมตร ใบแคบยาว ประมาณ 75 รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ฾ มเพ่ือชีวติ GESC1104

เซนติเมตร กว฾างประมาณ 8 มิลลิเมตร ค฽อนข฾างแข็ง เจริญเติบโตในแนวดิ่งมากกว฽าออกทางด฾านข฾าง และมีจํานวนรากมากจึงเป็นพืชท่ีทนแล฾งได฾ดี รากจะประสานติดต฽อกันหนาแน฽นเสมือนม฽านหรือ กําแพงใต฾ดิน สามารถกักเก็บนํ้าและความช้ืนได฾ ระบบรากจะแผ฽ขยายกว฾างเพียง 50 เซนติเมตร โดยรอบกอเท฽านน้ั ไม฽เปน็ อปุ สรรคต฽อพืชทปี่ ลกู ข฾างเคยี ง จึงสามารถนาํ มาปลกู เพื่อใช฾ในการอนุรักษ์ดิน และน้ํา เป็นวิธีหน่ึงท่ีจะช฽วยให฾ดินมีความช฽ุมชื้นและรักษาหน฾าดิน รักษาสภาพแวดล฾อมและอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ สามารถนําไปปลูกบนพื้นที่สองข฾างของทางชลประทาน อ฽างเก็บน้ํา บ฽อนํ้า ปุาไม฾ ขอบตลิง่ คอสะพาน ไหลถ฽ นน เพื่อปูองกันการชะลา฾ งพงั ทลาย การใชป฾ ระโยชนข์ องหญ฾าแฝก 1. การใชป฾ ระโยชน์หญ฾าแฝกเพื่อการอนรุ ักษ์ดินและน้ํา 1.1 การปลูกหญ฾าแฝกเป็นแถวตามแนวระดับขวางตามความลาดเท แถว หญ฾าแฝกน้ีจะชว฽ ยชะลอความเรว็ ของนา้ํ ท่ไี หลบา฽ และดักเก็บตะกอนดินเอาไว฾น้ําที่ไหลบ฽าบางส฽วนก็จะ ซมึ ลงสดู฽ ินช้นั ล฽างและไหลผา฽ น แนวหญ฾าแฝก เมื่อแถวหญ฾าแฝกทําหน฾าท่ีดักตะกอนดินเป็นระยะเวลา ยาวนานก็จะเกิดการทับถมของตะกอนดินหน฾าแถว หญ฾าแฝกเพ่ิมข้ึนทุกๆ ปีในท่ีสุดก็จะเกิดคันดิน ข้นึ มาชว฽ ยลดความแรงของกระแสน้ําตามธรรมชาติ 1.2 การปลูกหญ฾าแฝกเพื่อแก฾ปัญหาการพังทลายของดิน จนเป็นร฽องนํ้า แบบลึก(Gully erosion) ในพ้ืนท่ีที่มีความลาดชันสูงและไม฽มีการ จัดการระบบการอนุรักษ์ดินและน้ํา มักเกิดกษัยการแบบร฽องน้ําลึก ปัญหาน้ีสามารถแก฾ไขได฾โดยการปลูกหญ฾าแฝกขวางเหนือบริเวณร฽อง ลึก แล฾วใช฾ถุงทรายหรือหินเรียงเป็นแนว เพ่ือชะลอความเร็วของน้ําท่ีไหลบ฽า ในระยะท่ีแฝกเร่ิมตั้งตัว ส฽วนในบรเิ วณรอ฽ งลึกปลกู หญา฾ แฝกเปน็ แถวขวาง ท฾องร฽องเป็นระยะๆ ซึ่งในไม฽ช฾าดินก็จะค฽อยๆ ทับถม สูงขน้ึ จนเสมอผวิ ดนิ เดิม 1.3 การปลูกหญ฾าแฝกเพ่ืออนุรักษ์ความช฽ุมช้ืนของดิน จากการศึกษาใน ต฽างประเทศ พบว฽าการปลูกไม฾ผล เช฽น ต฾นมะกอก ร฽วมกับแถวหญ฾าแฝกในระยะ 3 ปีแรก ต฾นมะกอก จะสามารถตงั้ ตวั ไดโ฾ ดยไม฽ มีการใช฾น้ําช฽วยเลย นอกจากนใี้ บของหญ฾าแฝกยงั สามารถตดั มาใช฾ประโยชน์ เปน็ วัสดุคลุมดิน เพื่อลดแรงกระแทกของเม็ดฝนต฽อผิวดิน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให฾เกิดกษัยการของ ดิน รวมทงั้ ยังอาํ นวยประโยชน์ ในการรักษาความชม฽ุ ชืน้ ให฾แกด฽ นิ ไดอ฾ กี ดว฾ ย 1.4 การปลกู หญ฾าแฝกเพอื่ ปอู งกันการเสียหายของขัน้ บันไดดินหรือคันคูรับ นา้ํ รอบเขา ในพน้ื ทีล่ าดชันมักนิยมปลูกบนขั้นบันไดดนิ หรอื มกี ารสรา฾ งคนั คดู ินรอบเขา 1.5 การใช฾หญ฾าแฝกในการปูองกันตะกอนดินทับถมลงส฽ู คลองส฽งนํ้า คลอง ระบายน้ํา และอ฽างเก็บน้ําในไร฽นา การปูองกันดังกล฽าว ทําได฾โดยการปลูกหญ฾าแฝกเป็นแนวบริเวณ รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล฾อมเพื่อชวี ติ GESC1104

สองขา฾ งทางคลองส฽งน้าํ คลองระบายนา้ํ และบริเวณสันเข่อื นของอ฽างเก็บน้ํา ซ่ึงจะช฽วยปูองกัน การทับ ถมของตะกอนดนิ ทาํ ใหย฾ ดื อายุการใช฾งานใหย฾ าวข้นึ 2. การใช฾ประโยชน์หญ฾าแฝกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล฾อมและระบบนิเวศวิทยาทําได฾ โดยการปลูกหญ฾าแฝกเป็นแนวขนานไปตามคลองส฽งน้ําหรือแม฽น้ําลําคลอง แถว หญ฾าแฝกจะช฽วยใน การดักตะกอนดินและขยะมูลฝอยไม฽ให฾ลงไปสู฽แม฽นํ้า ลําคลอง ซึ่งจะเป็นสาเหตุให฾เกิดการตื้นเขินและ นํา้ เนา฽ เสีย การปลกู หญ฾าแฝก ในบรเิ วณดงั กล฽าวจงึ ช฽วยใหน฾ าํ้ ในแหล฽งน้ํามีความใสสะอาดย่ิงขนึ้ 3. การใชห฾ ญา฾ แฝกดา฾ นอื่นๆ เช฽น ปลูกหญ฾าแฝกบนคันนา เพ่ือช฽วย ให฾คันนาคงสภาพ อยู฽ได฾นาน ใช฾มุงหลังคาเลี้ยงสัตว์ ใช฾เป็นสมุนไพรและ นํ้าหอม เป็นต฾น (กรมพัฒนาท่ีดิน. ออนไลน์. 2559) บทสรปุ ดินเป็นตัวกลางท่ีทําให฾น้ํา แสงแดด และอากาศ ร฽วมกันสร฾างพืช และเป็นปัจจัยก฽อเกิด ทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ อันได฾แก฽ ปุาไม฾ สัตว์ปุา นํ้า และแร฽ธาตุ ปัจจุบันกิจกรรมของมนุษย์ท้ังด฾าน การเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเป็นสาเหตุสําคัญของการเกิดมลพิษในดิน เช฽น ปัญหาดินเค็ม ดิน เปรีย้ ว และการชะล฾างพงั ทลายของดนิ ที่สง฽ ผลต฽อการลดลงของผลิตผลจากการเพาะปลูก การจัดการ แก฾ปัญหาทรัพยากรดินต฾องร฽วมมือจากทุกฝุายโดยการให฾ความร฾ูแก฽เกษตรกร และน฾อมนําเอาแนว พระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ฾าอยู฽หัวไปปฏิบัติอย฽างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้โครงการแก฾ปัญหา ทรัพยากรดนิ อันเนื่องมาจากพระราชดํารทิ ี่สาํ คัญ ได฾แก฽ โครงการแกล฾งดิน โครงการเกษตรทฤษฎีใหม฽ และโครงการหญ฾าแฝก ซึ่งราษฎรสามารถนําเอาแนวพระราชดําริน้ีไปเป็นแนวทางการจัดการ ทรพั ยากรดนิ ให฾ย่ังยนื ตลอดไป ศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาห้วยทราย อนั เน่อื งมาจากพระราชดาริ เม่ือวันท่ี 5 เมษายน 2526 พระบาทสมเด็จพระเจ฾าอย฽ูหัว เสด็จพระราช ดาํ เนนิ ไปทอดพระเนตรพื้นท่หี ว฾ ยทราย อาํ เภอชะอํา จังหวัดเพชรบุรี ทรงมี พระ ราช ดํารัสความตอนหน่ึงว฽า “...หากปล่อยท้ิงไว้จะเป็นทะเลทรายในที่สุด...” และมีพระราชดําริให฾จัดต้ังศูนย์ศึกษาการพัฒนาห฾วยทราย อันเนื่องมาจาก พระราชดาํ ริ จงั หวดั เพชรบรุ ี เพือ่ ปรับปรุงโครงสร฾างของดินทางด฾านกายภาพโดย ชว฽ ยเพมิ่ อินทรยี ว์ ัตถุใหก฾ บั ดนิ ทาํ ให฾ดนิ เกาะตัวเปน็ กอ฾ นอมุ฾ น้าํ ไวไ฾ ด฾มากขึ้น รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล฾อมเพ่ือชีวิต GESC1104

กจิ กรรมที่ 4 ทรัพยากรดินเพ่ือชวี ติ 1. หลกั การ ดินจัดเป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทใช฾แล฾วไม฽หมดส้ิน และมีความสําคัญต฽อสิ่งมีชีวิตทุก ชนิด ซึ่งต฾องอาศัยอย฽ูบนพ้ืนดิน โดยเฉพาะมนุษย์ใช฾ดินเป็นปัจจัยสําคัญในการดํารงชีวิต เช฽น เป็น แหล฽งที่อยู฽อาศัย แหล฽งผลิตอาหาร แหล฽งกําเนิดของแร฽ธาตุต฽างๆ ซึ่งใช฾เป็นวัตถุดิบในการ ผลิต อุตสาหกรรมประเภทต฽างๆ ท้ังยังใช฾ดินเป็นแหล฽งรองรับของเสียที่เกิดขึ้นจากการกระทําของมนุษย์ เปน็ ผลให฾ทรพั ยากรดินเสือ่ มโทรม เกิดปัญหาทางด฾านทรัพยากรดินต฽าง ๆ เช฽น ดินเค็ม ดินเปร้ียว ดิน พรุ ดินขาดธาตุอาหาร ดินถล฽ม เกิดการกษัยการของดินทําให฾การใช฾ประโยชน์ของทรัพยากรดินลด น฾อยลง ดังน้ัน จึงจําเป็นต฾องมีการจัดการทรัพยากรดินให฾เหมาะสมกับสภาพการเปล่ียนแปลงของ ทรพั ยากรดนิ เพอื่ ใหเ฾ กิดประโยชนจ์ ากการใชท฾ รพั ยากรดนิ ได฾อยา฽ งยั่งยืน 2. จดุ ประสงค์ 2.1 อธิบายเก่ียวกบั การเกิดดิน สมบตั ิของดนิ โครงสรา฾ งของดินได฾ 2.2 สามารถยกตวั อย฽างปัญหาของดนิ พร฾อมทัง้ บอกสาเหตผุ ลกระทบและแนวทางการ แกไ฾ ข ได฾อย฽างถูกต฾องอย฽างนอ฾ ย 1 ตวั อยา฽ ง 2.3 จําแนกเนอ้ื ดนิ และประเภทของดนิ ได฾ 2.4 อธิบายและยกตัวอย฽างเกีย่ วกบั แนวทางการพฒั นาดินตามแนวพระราชดําริของ พระบาทสมเด็จพระเจ฾าอย฽ูหัว อย฽างน฾อย 1 ตวั อย฽าง 3. วิธีปฏิบัตกิ จิ กรรม 3.1 ศกึ ษาจากเอกสาร 3.2 วิเคราะหต์ วั อย฽างดินและจําแนกเนื้อดนิ โดยวิธสี มั ผัส ดังน้ี คลึงดินที่ชื้นให฾เป็นแท฽งในผ฽ามือ ถ฾าสามารถทําให฾เป็นแท฽งยาวมากกว฽า 1 เซนติเมตร จัดเป็นประเภทดินเนื้อละเอียด ได฾แก฽ ดินท่ีมีดินเหนียวปนอย฽ูมาก ถ฾ายาวไม฽ถึง 1 เซนติเมตร จดั เปน็ ประเภทดนิ เนือ้ ปานกลาง ไดแ฾ ก฽ ดินที่ไม฽แสดงความเด฽นชัดในรูปดินทรายหรือดิน เหนยี ว ถา฾ ไมเ฽ ป็นแท฽งเลย จัดเปน็ ประเภทดนิ เนื้อหยาบ ได฾แก฽ ดินทม่ี ที รายอยู฽มาก 3.3 วิเคราะห์ตวั อยา฽ งดนิ และจําแนกประเภทของดิน โดยพิจารณาจากค฽าความเป็นกรด เป็นด฽างของดิน นําดินตัวอย฽างใส฽นํ้าเขย฽าท้ิงให฾ตกตะกอนแล฾วหยดยูนิเวอร์เซลอินดิเคเตอร์ 2-3 หยด แล฾วสังเกตสีของสารละลายดิน เทียบกับสี มาตรฐาน ถ฾าเป็นกรด จะได฾สีเหลือง - ส฾ม- แดง ถา฾ เปน็ ดา฽ ง จะได฾สี น้ําเงนิ - มว฽ ง ถา฾ เป็นกลาง จะไดส฾ เี ขยี ว 3.4 ให฾วิเคราะห์และเขยี นผงั ความคดิ เก่ียวกบั การพัฒนาดนิ ตามแนวพระราชดาํ ริ รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล฾อมเพ่ือชวี ิต GESC1104

4. ผลการศึกษา 4.1 ลักษณะเนื้อดนิ ตัวอย฽าง ความยาวของดินเมื่อคลึงในฝุามือ(ซม.) ลกั ษณะเน้ือดนิ 4.2 ความเปน็ กรดเป็นดา฽ งของดนิ ตัวอย฽าง สีของสารละลายดิน สขี องสารละลายดินเมอื่ หยด ความเปน็ กรด-ดา฽ ง ยูนิเวอร์แซลอินดิเคเตอร์ ของดิน สรุป ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................ ................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................. ... 4.3 สรา฾ งผงั ความคิดเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาดนิ ตามแนวพระราชดําริ รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ฾ มเพ่ือชวี ติ GESC1104

5. คาถาม 5.1 เขยี นผงั แสดงการเกิดของดินมาอยา฽ งละเอียด 5.2 ยกตวั อยา฽ งปัญหาดนิ มา 1 ชนิด บอกสาเหตแุ ละแนวทางแก฾ไข ปัญหา ............................................................................................................................. ................................ .................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. สาเหตุ ............................................................................................................................ ................................. ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ ................................................................................................................................. ............................ ...................................................................................................... ....................................................... แนวทางการแก฾ไข ............................................................................................................................. ................................ ................................................................................................................................................... .......... ........................................................................................................................ ..................................... ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล฾อมเพื่อชวี ิต GESC1104

เอกสารอ้างอิง กรมพัฒนาท่ีดิน. (22 กรกฎาคม 2559). หญ฾าแฝกเฉลิมพระเกียรติ. http://www.ldd.go.th/ link_vetiver/index.htm. เกษม จันทรแ์ ก฾ว (2558). วทิ ยาศาสตร์ส่งิ เเวดลอ้ ม. กรงุ เทพมหานคร: อกั ษรสยามการพมิ พ.์ พูลสุข (โพธิรักขิต) ปรัชญานสุ รณ์. (2553). เคมีสิ่งแวดล้อม. นนทบุรี: บริษัทเอ-บ฿คุ ดิสทริบวิ ชัน จํากดั . วิสาขา ภ฽ูจินดา. (2556). การประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการ ส่ิงแวดล้อม. กรุงเทพมหานคร: ทุนสนับสนุนงานเขียนตํารา คณะพัฒนาสังคมและ สงิ่ แวดล฾อม สถาบนั บัณฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตร์. Raven, P. H., Berg, L. R. and Hassenzahl, D. M. (2008). Environment. 6thEdition. New Jersey: John Wiley & Sons. รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ฾ มเพ่ือชีวติ GESC1104

บทท่ี 5 ทรพั ยากรนา้ เพ่อื ชีวิต น้ําท่ีเป็นของเหลวในแม฽นํ้า ลําคลอง ห฾วย หนอง คลอง บึง และมหาสมุทร ซ่ึงนักวิชาการ สงิ่ แวดล฾อม จัดนา้ํ เปน็ ทรัพยากรทใ่ี ชแ฾ ล฾วไม฽มวี นั หมดส้ิน อันเป็นปัจจัยพืน้ ฐานทีส่ ําคัญในการดํารงชีวิต ของมนุษย์และส่ิงมชี ีวติ อื่นๆ จากอดตี ถงึ ปัจจุบนั จะเห็นไดจ฾ ากการตง้ั ชุมชน บ฾านเรอื น จะเลือกต้ังใกล฾ แหล฽งนํ้า ชุมชุมเหล฽าน้ันจึงมีความเจริญก฾าวหน฾ามากทั้งทางด฾าน เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แต฽ เมื่อมีการเพ่ิมประชากรอย฽างรวดเร็วจากความเจริญของชุมชนน้ันๆ เป็นผลกระทบต฽อทรัพยากรน้ํา อย฽างย่ิง ท้ังความต฾องการปริมาณนํ้าในการอุปโภคบริโภค การระบายนํ้าท่ีใช฾แล฾วลงสู฽แม฽นํ้าลําคลอง จนทําให฾แหล฽งน้ําไม฽สามารถฟื้นคืนสภาพได฾เอง เกิดเป็นปัญหาแหล฽งนํ้าเสื่อมโทรม คุณภาพของนํ้า เปลยี่ นแปลง ดงั นนั้ ทรัพยากรนํ้าจงึ เป็นทรัพยากรที่สําคัญตอ฽ มนุษย์อย฽างยง่ิ ความหมาย นํ้าในทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง สารประกอบชนิดหน่ึงท่ีเกิดจากการรวมตัวของธาตุ ไฮโดรเจน 2 อะตอม กับธาตุออกซิเจน 1 อะตอม โดยธาตุท้ัง 2 จะมีการใช฾อิเล็กตรอนร฽วมกัน เกิด เปน็ พันธะโควาเลนต์ซึ่งมสี ูตรทางเคมี เปน็ H2O น้ํา ในความหมายของส่ิงแวดล฾อม หมายถึง ทรัพยากรธรรมชาติชนิดท่ีมีการหมุนเวียน เปลยี่ นแปลงไดต฾ ามวัฎจักร มีความสาํ คญั ตอ฽ การดํารงชีวิตของสิง่ มีชีวติ ทุกชนดิ ทั้ง คน พชื สตั ว์ น้ําเสีย หมายถึง นํ้าท่ีมีส่ิงเจือปนต฽าง ๆ มากมาย จนกระทั่งกลายเป็นนํ้าท่ีไม฽เป็นท่ีต฾องการ และน฽ารังเกียจของคนทั่วไป ไม฽เหมาะสมสําหรับใช฾ประโยชน์อีกต฽อไป หรือถ฾าปล฽อยลงส฽ูลํานํ้า ธรรมชาติก็จะทําให฾คุณภาพนํ้าของธรรมชาติเสียหายได฾ ได฾แก฽ น้ํามัน ไขมัน ผงซักฟอก สบ฽ู สารฆ฽า แมลง สารอินทรยี ์ทท่ี าํ ให฾เกดิ การเนา฽ เหมน็ และเชอื้ โรคต฽างๆ (กรมควบคุมมลพิษ. ออนไลน์. 2559) น้าํ ท้ิง หมายถึง น้ําเสียท่ีผ฽านระบบบําบัดนํ้าเสียแล฾วจนเป็นไปตามมาตรฐานควบคุมการระบ บายนาํ้ ทิ้ง (ประกาศกระทรวงวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละสง่ิ แวดล฾อม เร่ือง กําหนดมาตรฐานควบคุม การระบายนํา้ ทิง้ จากอาคารบางประเภคและบางขนาด พ.ศ. 2539) วัฏจกั รของน้า วัฏจักรนํ้าเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของการหมุนเวียนนํ้าจากผิวโลกสู฽บรรยากาศและ กลับคืนสู฽ผิวโลกอีกครั้ง โดยดวงอาทิตย์ยังมีบทบาทสําคัญ และเป็นกระบวนการที่เก่ียวข฾องกับการ รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ฾ มเพื่อชวี ิต GESC1104

หมุนเวียนผ฽านระบบนิเวศโลก วัฏจักรน้ําไม฽มีการสร฾างขึ้นมาใหม฽ แต฽จะทําความสะอาดและฟื้นฟู สภาพนํ้าในแหล฽งต฽าง ๆ ให฾ดีขึ้น โดยปริมาณของน้ําในวัฏจักรจะไม฽เปล่ียนแปลง ซ่ึงวัฏจักรนํ้ามี ความสําคัญอย฽างยิ่งในการช฽วยกระจายน้ําไปยังส฽วนต฽าง ๆ ของโลก และรักษาระบบบนิเวศให฾คงอยู฽ อีกดว฾ ย ภาพท่ี 5.1 วัฏจกั รน้ํา (ทม่ี า: Raghunath. 2006: 13) ประเภทของแหล่งน้า น้ําบนโลกส฽วนใหญ฽เป็นนํ้าเค็ม มีนํ้าจืดเพียงร฾อยละ 3 เท฽านั้น และส฽วนที่เป็นนํ้าจืดส฽วนใหญ฽ เป็นน้ําแข็งอย฽ูตามขั้วโลกเหนือและข้ัวโลกใต฾ นอกจากน้ียังมีนํ้าจืดอีกส฽วนหนึ่งอย฽ูในบรรยากาศที่ เรียกว฽า ไอน้ํา ดังน้ันมนุษย์จึงเหลือแหล฽งนํ้าจืดที่นํามาใช฾ประโยชน์ได฾จริงๆไม฽ถึงร฾อยละ 1 ซึ่งมีเพียง แหล฽งน้ําในแมน฽ า้ํ ทะเลสาบ และนํ้าบาดาลในชัน้ ตน้ื เทา฽ นนั้ นํา้ ตา฽ ง ๆ สามารถจําแนกไดจ฾ ากสถานทีท่ พ่ี บของนํา้ ไดด฾ งั น้ี 1. แหล฽งนํ้าผิวดิน (Ground water) ได฾แก฽ น้ําจากแม฽นํ้าต฽างๆ ลํานํ้าธรรมชาติ หนองน้ํา ห฾วย คลอง บึง มหาสมุทร ตลอดจนอ฽างเก็บนํ้า บริเวณดังกล฽าวนับว฽าเป็นแหล฽งน้ําจืดที่ สาํ คญั ทสี่ ดุ 2. แหล฽งน้ําใต฾ดิน (Underground water) น้ําใต฾ดินเกิดจากน้ําผิวดินซึมผ฽านดินช้ัน ต฽าง ๆ ลงไปถงึ ชัน้ ดินหรอื หินทีน่ ้าํ ซมึ ผา฽ นไม฽ได฾ (Impervious rocks) รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ฾ มเพ่ือชวี ิต GESC1104

3. แหล฽งนํ้าจากฟูา (Precipitation) นํ้าจากฟูาหรือนํ้าฝน เป็นนํ้าโดยตรงที่ได฾รับ จากการกล่นั ของไอน้ําในบรรยากาศ นา้ํ ฝนเป็นแหลง฽ นาํ้ จดื ท่ีสาํ คัญทม่ี นษุ ยใ์ ชใ฾ นการอุปโภคบรโิ ภค มลพษิ ทางน้า มลพิษทางนํ้า (Water pollution) หมายถึง นํ้าที่มีสารมลพิษปนเปื้อนเกินขีดจํากัด มีคุณสมบัติเปล่ียนไปจากธรรมชาติ จนทําให฾มนุษย์ สัตว์และพืช ได฾รับอันตรายทั้งทางตรงและ ทางอ฾อม ภาวะท่ีน้ําเส่ือมคุณภาพหรือมีคุณสมบัติเปลี่ยนไปจากเดิมน้ี ก฽อให฾เกิดความเสียหายต฽อการ ใชป฾ ระโยชน์ของมนุษยแ์ ละเป็นอันตรายตอ฽ สงิ่ มชี ีวติ 1. สาเหตุของการเกิดมลพิษทางน้า สาเหตุสําคัญของการเกิดมลพิษทางน้ํามาจากการธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ ซ่ึงการ เพม่ิ จํานวนประชากรอย฽างรวดเรว็ สง฽ ผลใหแ฾ หล฽งท่ีอยูอ฽ าศัยมคี วามหนาแนน฽ ปรมิ าณน้าํ เสียจากการใช฾ น้ําเพื่อการดํารงชีวิตประจําวัน การเกษตร และโรงงานอุตสาหกรรมจึงเพ่ิมข้ึน ซึ่งน้ําเสียเหล฽านี้อาจ ประกอบด฾วยสารอนิ ทรีย์ แบคทเี รยี เชอ้ื โรค สารเคมี และโลหะหนัก แหล฽งกาํ เนิดมลพิษท่ีส฽งผลกระทบต฽อคุณภาพน้ําแบ฽งออกเป็น 2 ประเภทใหญ฽ ได฾แก฽ แหล฽งที่ มีจดุ กําเนดิ แน฽นอน (Point source) คือ แหล฽งกําเนิดท่ีสามารถระบุตําแหน฽งการระบายสารมลพิษลง สแ฽ู หล฽งนํ้าได฾อย฽างชัดเจน เช฽น แหล฽งชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต฾น และแหล฽งกําเนิดไม฽แน฽นอน (Non - point source) ไดแ฾ ก฽ การเกษตรกรรม ซ่ึงไมส฽ ามารถระบุจุดกําเนิดและแหล฽งระบายของเสีย ได฾แนน฽ อน 1.1 มลพิษทางนํ้าท่ีเกิดจากนํ้าโสโครกจากแหล฽งชุมชน (Domestic wastewaters) แบ฽งออกเปน็ 3 ชนิด 1) Salinity wastewaters คือ น้ําโสโครกที่ถูกปล฽อยออกมาจาก บา฾ นเรือน เปน็ น้าํ โสโครกท่รี วมกับน้าํ จากหอ฾ งน้ํา ห฾องครัวและนํ้าซกั ผ฾า 2) Domestic wastewaters คือ น้ําโสโครกท่ีถูกปล฽อยออกมาจากชุมชน ซึ่งรวมถึงนํ้าทิ้งของบ฾านเรือน ตลาดและโรงพยาบาล 3) Municipal wastewaters คือ นํ้าโสโครกที่อยู฽ในท฽อน้ําโสโครกของ เทศบาล ซ่ึงโดยตามปกติแล฾วจะมีแต฽น้ําโสโครกที่ถูกปล฽อยออกมาจากชุมชน ( Domestic wastewaters) แต฽บางแหง฽ ทางเทศบาลอนญุ าตให฾โรงงานอตุ สาหกรรมยอ฽ ย ถา฽ ยท้งิ ลงสู฽ท฽อระบายรวม กบั Domestic waters ได฾ นา้ํ ในทอ฽ จงึ มคี วามสกปรกมากขึ้น รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ฾ มเพื่อชวี ิต GESC1104

1.2 มลพิษทางนํ้าท่ีเกิดจากนํ้าท้ิงจากโรงงานอุตสาหกรรม ( Industrial wastewaters) เป็นมลพิษทางนา้ํ ท่เี กดิ จากกจิ กรรมของโรงงานรวมกับกิจกรรมของคนงานทีท่ ํางาน 1.3 มลพิษทางน้ําท่ีเกิดจากน้ําท้ิงจากการเกษตร (Agricultural wastewater) เน่ืองจากการใช฾สารเคมีต฽าง ๆ เพื่อเพ่ิมผลผลิตทางการเกษตร เช฽น การใช฾ป฻ุยเคมี การใช฾สารฆ฽า ศัตรูพืชและสัตว์ บางส฽วนตกลงสู฽พ้ืนดิน บางส฽วนถูกพัดพาโดยกระแสลมและบางส฽วนถูกพัดพาไปกับ กระแสน้ํา เมื่อฝนตกก็จะชะล฾างลงส฽ูแหล฽งน้ํา นอกจากสารมลพิษแล฾วยังมีปริมาณตะกอนที่เกิดจาก การชะล฾างพังทลายของหน฾าดิน เนื่องมาจากการเกษตรทําให฾นํ้ามีความข฽ุนสูงโดยมีปริมาณฝนเป็น ตวั เรง฽ ให฾เกิดการชะลา฾ งและพดั พาไปกับกระแสนาํ้ โดยสรุปสาเหตกุ ารเกดิ มลพิษทางนํ้าไดด฾ ังภาพท่ี 5.2 สาเหตุ เกษตร อตุ สาหกรรม ชุมชน - ปย฻ุ - นาํ้ มีอุณหภูมสิ งู - สารอินทรยี ์ - มลู สัตว์ - โลหะหนกั - แบคทเี รีย - สารฆา฽ ศตั รูพชื - สารฟอสเฟต ภาพท่ี 5.2 สาเหตกุ ารเกิดมลพิษทางนํ้า รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล฾อมเพื่อชีวิต GESC1104

2. ดัชนคี ณุ ภาพน้า แหล฽งน้ําแต฽ละแหล฽งมีลักษณะที่แตกต฽างกันออกไป การจะบ฽งบอกว฽าแหล฽งน้ําใดเป็นแหล฽ง น้ําดีหรือน้ําเสียจําเป็นต฾องมีส่ิงช้ีบ฽งคุณภาพของน้ํา เรียกว฽า ดัชนีคุณภาพ แบ฽งออกได฾ 4 ลักษณะ คือ ดชั นคี ณุ ภาพนํ้าทางกายภาพ ดชั นคี ุณภาพนา้ํ ทางเคมี ดัชนคี ณุ ภาพนา้ํ ทางชีวภาพ และดัชนีคุณภาพ น้าํ ทางด฾านสารพษิ ดงั ภาพที่ 5.3 ดชั นคี ุณภาพน้า กายภาพ เคมี ชวี ภาพ สารพิษ - อณุ หภูมิ - ดโี อ, บีโอดี - โคลิฟอรม์ - โลหะหนกั - สี - ซโี อดี - สารหนู - ความขุน฽ - กรด-เบส แบคทเี รีย - สารฆ฽า - กล่นิ และรส - จลุ นิ ทรยี ์ ศัตรูพชื - สาหร฽าย ภาพที่ 5.3 ดชั นบี อกคุณภาพน้าํ 2.1 ดัชนีคณุ ภาพน้าํ ทางกายภาพ 1) อุณหภูมิ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแหล฽งนํ้าเกิดข้ึนได฾จากการท่ีมีแสง ส฽องผ฽านลงสู฽แหล฽งน้ําและมีการเปล่ียนแปลงพลังงานแสงเป็นพลังงานความร฾อน ซึ่งมีผลต฽อการเร฽ง ปฏกิ ิริยา เคมีและมีผลต฽อการละลายออกซิเจนในนํ้า ถ฾าน้ํามีอุณหภูมิสูงออกซิเจนจะน฾อยลง ทางกรม รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล฾อมเพ่ือชีวติ GESC1104

อุตสาหกรรมและกรมเจ฾าท฽าได฾กําหนดอุณหภูมิของน้ําท้ิงที่ระบายลงส฽ูแหล฽งนํ้าสาธารณะต฾องไม฽เกิน 40 องศาเซลเซยี ส (หรอื มอี ณุ หภูมิไมเ฽ กนิ 2 องศาเซลเซียส จากนาํ้ ปกติ) 2) สี แหล฽งนํ้าธรรมชาติทั่วไปจะมีสีเหลืองจนถึงน้ําตาลซ่ึงเกิดจากการ หมักทับถมของสารอินทรีย์ ส฽วนความข฽ุนเกิดจากสารแขวนลอย ตะกอน ซึ่งจะขัดขวางทางเดินของ แสง การวัดสีวัดด฾วยหน฽วย Platinum cobalt unit ค฽า 1-300 หน฽วย (1 คือใสมาก 300 คือ คล้ํา มาก) ส฽วนความขน฽ุ วัดดว฾ ยหนว฽ ยเจทยี ู (น้ําธรรมชาติ = 25-75 JTU) 3) ความโปร฽งแสง ความโปร฽งใสของน้ําเป็นการวัดความใสของน้ําท่ี สามารถมองเห็นได฾โดยประมาณค฽าความลึกนี้จะเป็นค฽าที่บอกระยะของเขตที่แสงส฽องถึง หากแหล฽ง น้าํ ใดมีคา฽ ความโปร฽งใสอย฽ูระหว฽าง 30 -60 เซนตเิ มตร มคี วามเหมาะสมตอ฽ การเจริญเติบโตของสัตว์น้ํา ถ฾าต่ํากวา฽ 30 เซนติเมตร นํา้ มีคา฽ ความโปร฽งแสงน฾อยเกนิ ไปซึงอาจทําใหเ฾ กิดการขาดแคลนออกซิเจนได฾ เน่ืองจากกระบวนการสังเคราะห์ด฾วยแสงของแพลงก์ตอนจะมีอัตราส฽วนพื้นท่ีน฾อยลง ถ฾าค฽าความ โปร฽งใสมคี ฽ามากกวา฽ 60 เซนตเิ มตรแหล฽งน้ํานั้นไม฽คอยมีความสมบูรณ์ เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของ แพลงกต์ อนในแหลง฽ นํ้านั้นน฾อย 4) ความขุ฽น หมายถึง น้ําที่มีพวกสารห฾อยแขวน ซึ่งขัดขวางทางเดินของ แสงท่ผี ฽านนํา้ น้ัน เกดิ จาก ดนิ ละเอยี ด อินทรยี สาร อนนิ ทรยี สาร แพลงกต์ อน และสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ สาร พวกนี้จะทําให฾เกิดการกระจัดกระจายและดูดกลืนของสารแทนที่จะปล฽อยให฾แสงผ฽านไปเป็นเส฾นตรง สารห฾อยแขวนน้ีมีขนาดต้ังแต฽ละเอียดมาก นกระทั้งถึงหยาบ 0.2-1000 ไมครอน การวัดค฽าความขุ฽น วัดเป็นหน฽วย NTU (nephelometric turbidity unit) แหล฽งนํ้าตามธรรมชาติควรมีค฽าความข฽ุนไม฽ ควรเกนิ 100 NTU (กรมควบคมุ มลพิษ. 2546: 9) 2.2 ดชั นคี ณุ ภาพนํา้ ทางเคมี 1) ค฽าพีเอช (pH) เป็นค฽าความเป็นกรด-ด฽างของนํ้ามีค฽าตั้งแต฽ 0 - 14 หน฽วย วิธีที่นิยมใช฾และง฽าย คือ อินดิเคเตอร์ หรืออีกวิธีหนึ่งท่ีนิยมใช฾เป็นวิธีท่ีละเอียด โดยใช฾พีเอช มเิ ตอร์ 2) ความเค็ม หมายถึง ของแข็งทั้งหมดหรือเกลือแร฽ต฽าง ๆ โดยเฉพาะ โซเดียมคลอไรดท์ ี่ละลายอยู฽ในนาํ้ โดยรายงานในรปู ของหนว฽ ยนํ้าหนกั ของสารเป็นกรัมต฽อกิโลกรัมของ น้ํา หรือส฽วนในล฾านล฾านส฽วน (ppt) สําหรับนํ้าจืดมีค฽าความเค็มเท฽ากับศูนย์ (0 ppt) ถ฾าในน้ําทะเลมี ความเคม็ ประมาณ 35 สว฽ นใน 1,000 ลา฾ นลา฾ นส฽วน รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ฾ มเพื่อชวี ติ GESC1104

3) สภาพนําไฟฟูา ตัวการท่ีเป็นส่ือนําไฟฟูาในแหล฽งนํ้า คือ สารประกอบ อนินทรีย์ที่ละลายในน้ําแล฾วให฾อิออน เช฽น กรดอนินทรีย์ ด฽าง เกลือ แหล฽งน้ําธรรมชาติมีค฽าการนํา ไฟฟูา 100 - 500 ไมโครโอมห์ตอ฽ เซนติเมตร 4) ความกระด฾างของนํ้า หมายถึง ปริมาณของเกลือแคลเซียมท่ีละลายอย฽ู ในน้ํา ความกระดา฾ งของน้าํ เป็นความสามารถของนํ้าท่ีจะตกตะกอนสบู฽ สาเหตุของความกระด฾างของ นํ้าเกิดจากอิออนบวกของโลหะ เช฽น แคลเซียม (Ca2+) แมกนีเซียม (Mg2+) สตรอนเนียม (Sr2+) เหล็ก (Fe2+) และแมงกานีส (Mn2+) ประเภทของความกระด฾างของนา้ํ แบง฽ ได฾ 2 ประเภท (1) ความกระด฾างช่ัวคราว (Temporary hardness) เกิดจาก คาร์บอเนต (CO3-) และไฮโดรเจนคาร์บอเนต (HCO3-) ซ่ึงเป็นสาเหตุของน้ํากระด฾าง เช฽น แคลเซียม คาร์บอเนต และแมกนเี ซียมคาร์บอเนต (2) ความกระด฾างท่ีไม฽ได฾เกิดจากคาร์บอเนต (Non-carbonate hardness) หรือความกระด฾างถาวร (Permanent hardness) เกิดจากซัลเฟต (SO42-) และคลอไลด์อิ ออน (Cl-) ซึง่ เป็นสาเหตุของความกระด฾าง เชน฽ แคลเซียมซลั เฟต แคลเซยี มคลอดไรด์ และแมกนีเซียม คลอไรด์ 5) ออกซิเจนละลายในน้ํา (Dissolved Oxygen; DO) ปริมาณออกซิเจน ท่ีละลายในนํ้ามีหน฽วยเป็น มิลลิกรัมต฽อลิตร หรือ ppm ถ฾าน฾อยกว฽า 3 มิลลิกรัมต฽อลิตร จัดว฽าเป็นนํ้า เสยี นํ้าธรรมชาตคิ ุณสมบัติดีจะมีคา฽ ระหวา฽ ง 5-7 mg/l 6) ปริมาณความต฾องการออกซิเจนทางชีวเคมี หรือ biological oxygen demand (BOD) คือ ปริมาณออกซิเจนท่ีจุลินทรีย์ต฾องการใช฾ในการย฽อยสลายสารอินทรีย์ภายใต฾ สภาวะท่ีปริมาณออกซิเจนในช฽วงระยะเวลาและอุณหภูมิกําหนดให฾ มาตรฐานน้ําทิ้งไม฽เกิน 20 มิลลิกรัมตอ฽ ลิตร 7) ปริมาณความต฾องการออกซิเจนทางเคมี หรือ chemical oxygen demand (COD) คือ ปริมาณออกซิเจนท้ังหมดที่ต฾องการเพื่อใช฾ในการออกซิไดส์สารอินทรีย์ให฾ กลายเป็นคารบ์ อนไดออกไซด์ และนํ้า 2.3 ดัชนีคุณภาพนาํ้ ทางชีวภาพ 1) ฟีคัลโคลอฟอร์มแบคทีเรีย (Fecal coliform)พวกนี้อาศัยอยู฽ในลําใส฾ สัตว์เลือดอ฽ุนถูกขับถ฽ายออกมาจากอุจจาระ ทุกคร้ังที่เกิดโรคระบาดเก่ียวกับทางเดินอาหารจะพบ รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ฾ มเพื่อชีวิต GESC1104

แบคท่ีเรียช้ีแนะน้ี ตัวอย฽างเช฽น อี.โคไล (Escherichia coli) ซึ่งสามารถทําให฾เกิดแก฿สจากแลคโตส ท่อี ุณหภูมิ 44.5 ± 0.2 องศาเซลเซียส 2) นันฟีคัลโคลิฟอร์ม (Non- fecal coliform) แบคทีเรียพวกนี้อาศัยอย฽ู ในดินและพืช มีอันตรายน฾อยกว฽าพวกแรก แต฽ใช฾เป็นแบคทีเรียชี้แนะ ถึงความสะอาดของน้ําได฾ ตัวอย฽างเช฽น อี.แอโรจีเนส ( Enterobacter aerogenes ) ซ่ึงไม฽สามารถทําให฾เกิดแก฿สจากแลคโตส ได฾ทีอ่ ณุ หภมู ิ 44.5 ± 0.2 องศาเซลเซียส 3) แพลงก์ตอนและสง่ิ มีชีวติ ที่อย฽ูในแหล฽งนํ้า เช฽น แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ ตอนสัตว์ สาหรา฽ ย ตวั อ฽อนแมลง และปลาบางชนิด 2.4 ดชั นีคณุ ภาพนา้ํ ทางด฾านสารพิษ ในแหล฽งตามธรรมชาติไม฽ควรตรวจพบสารพิษโลหะหนัก เช฽น ปรอท ตะก่ัว แคดเมียม สารหนู สารตกคา฾ งจากสารฆา฽ แมลง สารกัมมนั ตรงั สี 3. ปัญหามลพษิ ทางนา้ 3.1 มลพิษทางน้ําเกิดจากชุมชนปล฽อยนํ้าเสียและขยะท่ีเต็มไปด฾วยสารอินทรีย์ลงใน แหล฽งนา้ํ ทําใหป฾ ริมาณออกซเิ จนที่ละลายในนา้ํ ลดลงเป็นผลใหน฾ ํา้ เนา฽ เสยี ภาพที่ 5.4 สภาพการเนา฽ เสียของแหลง฽ นาํ้ สาธารณะ ในเขตกรงุ เทพมหานคร 3.2. มลพิษทางนํ้าที่เกิดจากในแหล฽งนํ้ามีธาตุอาหารพืช เช฽น ฟอสฟอรัส ไนโตรเจน ในนํ้าทิ้ง ซ่ึงเรียกปรากฎการณ์น้ีว฽า สาหร฽ายเริงร฽า จนทําให฾เกิดการเส่ือมสภาพท่ีรุนแรงในแหล฽งนํ้า (กรมควบคุมมลพิษและสมาคมส่งิ แวดลอ฾ มแหว฽ ประเทศไทย. 2540: 3) รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล฾อมเพ่ือชีวติ GESC1104

ภาพท่ี 5.5 ปรากฏการณ์ยูโทรฟเิ คชันของสระนา้ํ ในมหาวทิ ยาลับราชภัฎจันทรเกษม บทสรุป ทรัพยากรนํ้าจัดเป็นทรัพยากรธรรมชาติชนิดใช฾แล฾วไม฽มีวันหมดสิ้นจึงมีความจําเป็นในการ อนุรักษ์ทรัพยากรนํ้าตามรูปแบบในการอนุรักษ์ในกลุ฽มทรัพยากรท่ีใช฾แล฾วไม฽หมดส้ิน ซึ่งโดยส฽วนใหญ฽ แล฾วจะเป็นการคํานึงถึงในเรื่องของคุณภาพของทรัพยากร ท้ังนี้ทรัพยากรนํ้ามีลักษณะความจําเป็นท่ี ต฾องพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องของช฽วงเวลาของการให฾นํ้าในระบบธรรมชาติอันจะส฽งผลกระทบต฽อ ปัญหาอุทกภยั และปญั หาภัยแลง฾ ด฾วย แต฽อย฽างไรก็ดีแหล฽งนํ้าในปัจจุบันหลายแห฽งทั้งทรัพยากรนํ้าบน ดนิ และนาํ้ ใต฾ดินไดถ฾ ูกปนเปื้อนและเกิดมลพิษทางน้ํา หรือท่ีเรียกว฽า “น้ําเสีย” ทําให฾มนุษย์ไม฽สามารถ นําทรัพยากรนํ้ามาใช฾ประโยชน์ในการดํารงชีวิตท้ังด฾านอุปโภคและบริโภค ตลอดจนใช฾เป็นทรัพยากร นําเข฾าพน้ื ฐานเพื่อขับเคลือ่ นกจิ กรรมสาํ คญั ระดับประเทศทั้งดา฾ นเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม สาเหตุ ของมลพิษทางนํ้าเกิดจาก 3 แหล฽งสําคัญได฾แก฽ จากแหล฽งชุมชน แหล฽งอุตสาหกรรม และแหล฽ง เกษตรกรรม โดยเฉพาะสารพิษจําพวกโลหะหนักต฽างๆ ท่ีสามารถเข฾าสู฽ร฽างกายของมนุษย์ทั้งทางตรง และทางอ฾อมซงึ่ อาจส฽งผลเป็นอันตรายถึงชวี ิตทาํ ให฾มนุษย์เริ่มประสบกับภาวะเส่ียงต฽อคุณภาพชีวิต จึง มีความจําเป็นอย฽างยิ่งที่จะต฾องมีการตรวจสอบคุณภาพนํ้าก฽อนการอุปโภคบริโภค โดยดัชนีช้ีวัด คุณภาพน้ําท่ีสําคัญมี 4 ประเภท คือ ดัชนีชี้วัดทางกายภาพ ได฾แก฽ อุณหภูมิ สี ความข฽ุน กลิ่นและรส ดัชนีชี้วัดทางชีวภาพ ได฾แก฽ โคลิฟอร์มแบคทีเรีย จุลินทรีย์และสาหร฽าย ดัชนีชี้วัดทางเคมี ได฾แก฽ ค฽า DO BOD COD และค฽าความเป็นกรด-เบส และดัชนีช้ีวัดด฾านสารพิษ เช฽น โลหะหนักและสารฆ฽า ศัตรพู ชื เปน็ ต฾น รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ฾ มเพื่อชีวติ GESC1104

กิจกรรมที่ 5 ทรพั ยากรน้าเพ่ือชวี ติ 1. หลกั การ นํ้าเป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทหมุนเวียนเปล่ียนแปลงไปตามวัฏจักร มีความสําคัญต฽อ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งทางตรงและทางอ฾อม มนุษย์ใช฾นํ้าในการอุปโภคบริโภค น้ําเป็นส฽วนประกอบ ของเซลลท์ กุ เซลล์ ในรา฽ งกายของคนมีนํ้าเป็นสว฽ นประกอบประมาณร฾อยละ 70 ของน้ําหนักตัว หรือ 2 ใน 3 ของน้ําหนักตัว มนุษย์ได฾นําน้ํามาใช฾ประโยชน์ในการเกษตร อุตสาหกรรม การคมนาคม การ นันทนาการ ฯลฯ น้ําส฽วนใหญ฽เป็นนํ้าในทะเลและมหาสมุทร ซึ่งเป็นแหล฽งผลิตก฿าซแก฿สออกซิเจนท่ี สําคญั ส฽วนน้ําท่ีใชใ฾ นการอุปโภคบรโิ ภคมีไมถ฽ ึงรอ฾ ยละ ของนา้ํ ทงั้ หมด และนา้ํ ทม่ี ีจาํ นวนน฾อยแต฽ยังเป็น มลพษิ เสยี อกี ด฾วย ดังนั้นต฾องใช฾อย฽างมีประสิทธิภาพ และปูองกันไม฽ให฾น้ําเป็นมลพิษ โดยการบําบัดนํ้า เสียกอ฽ นปลอ฽ ยลงส฽แู หลง฽ นาํ้ จะชว฽ ยลดมลพิษในนํ้าได฾อีกทางหนง่ึ 2. จดุ ประสงค์ 2.1 อธบิ ายความหมาย ความสาํ คญั ประโยชน์ของนํ้า และแหล฽งน้ําได฾ 2.2 จาํ แนกประเภทของแหล฽งน้ําบนโลกได฾ 2.3 สามารถยกตวั อย฽างปญั หาของทรพั ยากรนํ้า บอกสาเหตแุ ละแนวทางปอู งกันแก฾ไขได฾ 2.4 สามารถทดสอบสมบตั ิของนา้ํ บางประการได฾ 2.5 บอกหลักการอนรุ ักษ์ทรัพยากรนาํ้ ได฾ 3. วธิ ปี ฏิบัตกิ จิ กรรม 3.1 ศึกษาจากเอกสาร 3.2 แบ฽งนักศึกษาออกเป็นกล฽ุม และใหน฾ กั ศึกษาสํารวจแหล฽งนา้ํ ในมหาวิทยาลัย 3.2.1 ลกั ษณะของนํา้ 3.2.2 สมบตั ิของนํ้า อณุ หภมู ิ สี ความเปน็ กรด-เบส ปริมาณออกซิเจนในนาํ้ 3.2.3 การใช฾ประโยชน์จากแหล฽งนํ้า 3.2.4 แนวคิดในการพัฒนาแหล฽งนาํ้ ในมหาวิทยาลัย 3.3 จากประสบการณ์ของนักศึกษา วิเคราะห์ปัญหาความเส่ือมโทรมของแหลง฽ นํ้า และ วธิ ีการอนุรักษ์ 4. ผลการศึกษา 4.1 การสาํ รวจตรวจสอบเกย่ี วกบั แหลง฽ น้าํ ในมหาวิทยาลยั รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ฾ มเพ่ือชีวิต GESC1104

ลักษณะของแหลง่ น้า ชือ่ ของแหล่งนา้ อณุ หภูมิ ºC สขี องน้า ความเปน็ กรด- ปริมาณออกซเิ จนละลาย อากาศ น้า (หน่วย) เบส ในนา้ (หนว่ ย) (mg/l) เฉล่ยี สรปุ สถานภาพของแหลง฽ นํ้าในมหาวิทยาลยั ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การใช฾ประโยชนข์ องแหล฽งนํ้า ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………. แนวทางการพฒั นาแหลง฽ นํา้ ในมหาวิทยาลยั ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………. รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล฾อมเพื่อชีวติ GESC1104

4.2 การอนรุ ักษ์ทรัพยากรนาํ้ สาเหตุ วธิ กี ารอนุรกั ษ์ สภาวะแหล่งทีเ่ สอื่ มโทรมหรอื ภาวะมลพิษ 5. คาถาม 5.1 นกั ศึกษาจะมีสว฽ นรว฽ มในการอนรุ ักษท์ รัพยากรน้ําได฾อยา฽ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล฾อมเพ่ือชีวิต GESC1104

5.2 นกั ศกึ ษามีความคดิ เหน็ อย฽างไร ถ฾ามีการถมบ฽อน้ําเพื่อสรา฾ งอาคารเรียน ในมหาวิทยาลยั ของเรา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..…………………. เอกสารอา้ งอิง กรมควบคมุ มลพิษ 2546. คู่มือการติดตามตรวจสอบและประเมินคุณภาพน้าในแหล่งน้าจืดผิวดิน. กรุงเทพมหานคร: สาํ นกั งานจดั การคณุ ภาพน้ํา. ____________. (1 สิงหาคม 2559). น้าเสียชุมชน. http://www.pcd.go.th/Info_serv/water_ wt.html กรมควบคุมมลพิษ และสมาคมส่ิงแวดล฾อมแห฽งประเทศไทย. (2540). ศัพท์บัญญัติและนิยามน้าเสีย (พมิ พ์ครั้งท่ี 1).กรงุ เทพมหานคร: เรือนแกว฾ การพิมพ์. ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่ิงแวดล฾อม ฉบับท่ี 3 พ.ศ. 2539 เรื่อง กําหนด มาตรฐานควบคุมการระบายนํ้าทิ้งจากแหล฽งกําเนิดประเภทโรงงานอุตสาหกรรมและนิคม อตุ สาหกรรม. (3 มกราคม 2539). ราชกจิ จานเุ บกษา. เลม฽ ที่ 113 ตอนท่ี 13ง. Raghunath, H. M. (2006). Hydrology (Principle Analysis and Design). 2ndEdition. New Delhi: New Age International (P) Ltd. รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ฾ มเพื่อชวี ิต GESC1104

บทท่ี 6 ทรัพยากรป่าไมเ้ พอ่ื ชีวติ ปุาไม฾เป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทที่ใช฾แล฾วทดแทนได฾และมีความสําคัญอย฽างยิ่งต฽อ สง่ิ มีชวี ิต ไมว฽ ฽าจะเปน็ มนษุ ย์หรือสัตว์อื่นๆ เพราะปุาไม฾มีประโยชน์ทั้งการเป็นแหล฽งวัตถุดิบของปัจจัย ส่ี คอื อาหาร เคร่อื งนงุ฽ ห฽ม ที่อยอ฽ู าศยั และยารักษาโรคสําหรับมนุษย์ และยังมีประโยชน์ในการรักษา สมดุลของส่ิงแวดล฾อม ถ฾าปุาไม฾ถูกทําลายลงไปมากๆ ย฽อมส฽งผลกระทบต฽อทรัพยากรธรรมชาติ ประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะอย฽างย่ิงพวกสัตว์ปุาก็จะไร฾ที่อยู฽อาศัย ปุาไม฾เป็นมรดกทางธรรมชาติท่ีสําคัญ แห฽งหน่ึงของประเทศไทยจึงควรค฽าแก฽การอนุรักษ์เป็นอย฽างย่ิง ตลอดจนหากเราสามารถอนุรักษ์ ผืนปุาของประเทศไว฾ได฾ เราก็จะมีแหล฽งท่ีช฽วยในการดูดซับแก฿สคาร์บอนไดออกไซด์ และคืนแก฿ส ออกซเิ จนสูบ฽ รรยากาศก็จะมีส฽วนชว฽ ยลดปญั หาโลกรอ฾ นได฾ ความหมายและประเภทของป่าไม้ 1. ความหมายของป่าไม้ ปุาไม฾ (Forest) ตามพรบ.ปุาไม฾ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 หมายความว฽า ที่ดิน ที่ยังมิได฾ มีบุคคล ได฾มาตามกฎหมายที่ดินปุาไม฾ ขณะที่ หนังสือ An Introduction to American Forestry ให฾คํา จาํ กดั ความของ ปุาไม฾ คือ สังคมของต฾นไม฾และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อันมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยปก คลมุ เนอื้ ทกี่ ว฾างใหญแ฽ ละใช฾ประโยชนจ์ ากอากาศ น้าํ วัตถตุ ฽างๆ ในดิน เพ่ือเติบโตจนถึงอายุขัยและเพ่ือ สืบพันธ์ของตนเอง ทง้ั ใหผ฾ ลผลติ และบรกิ ารทีจ่ ําเปน็ อนั จะขาดเสยี มไิ ด฾ตอ฽ มนษุ ย์ (Allen, 2007) 2. ประเภทของปา่ ไม้ ปุาไม฾ในประเทศไทย แบ฽งเป็น 2 ประเภท คือ ปุาดงดิบหรือปุาไม฽ผลัดใบ (Evergreen forest) และปุาผลัดใบ (Deciduous forest) (กรมอุทยานแห฽งชาติ สัตว์ปุา และพันธ์ุพืช. ออนไลน์. 2559) 2.1 ป่าดงดบิ หรอื ปา่ ไมผ่ ลัดใบ (Evergreen forest) เป็นระบบนิเวศของปุาไม฾ชนิดที่ประกอบด฾วยพนั ธุ์ไม฾ชนดิ ไม฽ผลดั ใบ คือ มีใบเขยี ว ตลอดเวลา แบ฽งออกเป็น 4 ชนดิ คอื รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล฾อมเพ่ือชีวติ GESC1104

2.1.1 ปาุ ดบิ เมืองร฾อน (Tropical evergreen forest) เป็นปาุ ท่อี ย฽ใู นเขตลม มรสุมพดั ผ฽านเกอื บตลอดปี มีปรมิ าณนํา้ ฝนมาก แบง฽ ออกเป็น 1) ปุาดิบชื้น (Tropical rain forest) ปุาดิบชื้นเกิดทั่วไปในเขต รอ฾ นและชุ฽มช้นื มีฝนตกรายปีโดยเฉล่ียไม฽น฾อยกว฽า 2,000 มิลลิเมตรต฽อปี และมีช฽วงฤดูแล฾งที่ส้ัน พบท่ี ระดบั ความสงู จากน้าํ ทะเลไม฽เกิน 600 เมตร ในประเทศไทยพบได฾ทุกส฽วนของประเทศ แต฽มีลักษณะท่ี แตกตา฽ งกนั ไปบ฾างตามสภาพดนิ ฟาู อากาศและภมู ิประเทศท่ขี ้ึนอย฽ู สภาพโดยท่ัวไปเป็นปุารกทึบ ไม฾ช้ัน บนส฽วนใหญ฽เป็นไม฾ใหญ฽วงศ์ไม฾ยาง ไม฾ช้ันกลาง และไม฾ช้ันล฽างสามารถข้ึนใต฾ร฽มเงาไม฾ใหญ฽ได฾ พื้นปุา ประกอบด฾วย ไม฾พ฽ุม ไม฾ล฾มลุก ระกํา หวาย และไผ฽ รวมทั้งพืชตระกูลปาล์มที่มักพบอยู฽เสมอ บนไม฾ ใหญ฽จะมีพรรณไม฾พวกเกาะอาศัย (Epiphyte) เช฽น เฟิร์น มอส ข้ึนอยู฽ทั่วไป และพบเถาวัลย์เป็น จํานวนมาก พรรณไม฾ทสี่ าํ คญั ในปุาดิบชน้ื ไดแ฾ ก฽ ยางนา ยาง ยางยูง ตะเคยี นทอง ไขเ฽ ขยี ว เปน็ ตน฾ 2) ปุาดงดบิ แล฾ง (Dry evergreen forest) องค์ประกอบของพรรณ ไม฾ที่แตกต฽างกันอย฽างเด฽นชัดระหว฽างปุาดิบแล฾งกับปุาดิบช้ืนก็คือการลดลงของจํานวนชนิดพรรณไม฾ วงศ์ยางของปุาดิบแล฾งเม่ือเปรียบเทียบกับปุาดิบช้ืน โครงสร฾างของปุาประกอบด฾วยเรือนยอด 3 ช้ัน โดยไม฾ในเรือนยอดชั้นบน (Canopy layer) นั้นประกอบด฾วยพรรณไม฾ผลัดใบน฾อยกว฽าหนึ่งในสาม ช้ัน ของไม฾พ฽ุม (Shrub layer) มีการพัฒนาดี และมีเถาวัลย์ที่มีเน้ือไม฾ (Woody climber) หลายชนิด พรรณไม฾พวกปาล์มพบกระจายอย฽ูทั่วไปโดยเฉพาะในบริเวณท่ีมีความช้ืนสูง เช฽น ตามแนวลํานํ้า พบที่ ความสูงจากระดับน้ําทะเล ประมาณ 100 ถึง 800 เมตร พรรณไม฾สําคัญในปุาดิบแล฾งได฾แก฽ กระบาก ยางนา ยาง ยางแดง ตะเคียนทอง 3) ปุาดิบเขา (Hill evergreen forest) ในพ้ืนที่ภูเขาสูงในเขตร฾อน (Tropical mountain) สังคมพืชเขตร฾อน จะถูกแทนที่ด฾วยสังคมพืชเขตอบอ฽ุน (Temperate vegetation) หรือสังคมพืชปุาดิบเขา (Mountain vegetation) มักปรากฏให฾เห็นที่ระดับความสูง ประมาณ 1,000 เมตรจากระดับนํ้าทะเลขึ้นไปซ่งึ สามารถแบ฽งปุาดิบเขาออกเป็นสังคมยอ฽ ยไดด฾ งั น้ี (1) ปุาดิบเขาระดับตํ่า (Lower mountain forest) พบท่ี ระดับความสูงประมาณ 1,000-1,800 เมตร จากระดับน้ําทะเล ปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยประมาณ 1,300- 2,000 มิลลิเมตรต฽อปี หรือมากกว฽า มีปริมาณความช้ืนสูงคงที่ พันธ์ุไม฾ท่ีพบ ได฾แก฽ ไม฾ในวงศ์ก฽อ อัน ไดแ฾ ก฽ Castanopsis, Lithocarpus และ Quercus นอกจากนี้ยังพบไม฾สนสามใบ (Pinus kesiya) ข้ึน ผสมอยูร฽ ฽วมกับไมใ฾ นวงศ์ Fagaceae และ Theaceae เปน็ ต฾น (2) ปุาดิบเขาระดับสูง (Upper mountain forest) การ ปรากฏของปุาดิบเขาระดับสูงนั้นจะควบค฽ูไปกับแนวหมอกน้ําค฾าง (Mist belt) โดยปกติแล฾วจะอย฽ูท่ี ระดบั ความสูงมากกวา฽ 1,800 เมตรจากระดับนํ้าทะเล แบ฽งย฽อยได฾เป็น ปุาดิบเขาช้ืนระดับสูง (Upper mountain rain forest) มีเรือนยอดเกือบจะเป็นช้ันเดียว (Single storey) บนกิ่งก฾านของต฾นไม฾น้ันมี รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล฾อมเพื่อชวี ิต GESC1104

พืชท่ีเกาะอาศัยอยู฽บนต฾นไม฾ประเภทไม฾ดอก (Epiphytic flowering plants) เฟิร์น มอส และไลเคน ขึ้นอยู฽อย฽างหนาแน฽น และ ปุาดิบเขาระดับสูงแคระ (Upper mountain scrub) ปรากฏอยู฽ตามร฽อง หินท่ีได฾รับแสงเต็มท่ี สภาพพ้ืนท่ีเปล฽าเปลือยปราศจากดินเป็นส฽วนใหญ฽ มีลักษณะคล฾ายกับเป็นสวน หิน ซง่ึ เป็นรปู แบบของสงั คมพืชก่ึงอลั ไพนแ์ ละอัลไพน์ 2.1.2 ปุาสน (Coniferous forest) ปุาชนิดนี้ถือเอาลักษณะโครงสร฾างของ สังคมเป็นหลักในการจําแนกโดยเฉพาะองค์ประกอบของชนิดพันธุ์ไม฾ในสังคมและไม฾เด฽นนํา อาจเป็น สนสองใบหรือสนสามใบ ปุาสนจะกระจายเป็นหย฽อม ๆ อยู฽ตามภาคเหนือ และภาคอีสาน ปุาสนมัก ขนึ้ ในดนิ ไมอ฽ ุดมสมบูรณ์ เชน฽ สันเขาทคี่ ฽อนขา฾ งแห฾งแลง฾ 2.1.3 ปุาพรุ (Peat fwamp forest) ปุาพรุถือได฾ว฽าเป็นปุาที่มีนํ้าท฽วมขัง ประเภทหนึ่ง เกิดข้ึนตามแอ฽งน้ําที่มีนํ้าขังตลอดปี มีการสะสมซากพืช หรืออินทรียวัตถุอย฽างถาวรของ สังคมท่ีขึ้นอยู฽ เน่ืองจากมีนํ้าจืดแช฽ขังอย฽ูตลอดท้ังปี ทําให฾ขาดออกซิเจน ซากพืช และอินทรียวัตถุจึง สลายตวั ไดช฾ า฾ มาก ทําใหเ฾ กดิ เป็นพรุ (Peat bog) ขึ้น พชื สว฽ นใหญ฽จงึ มวี ิวฒั นาการในส฽วนของอวัยวะให฾ มีโครงสร฾างพิเศษ เพ่ือดํารงชีพอยู฽ในสภาพแวดล฾อมเช฽นนี้ได฾ เช฽น โคนต฾นมีพูพอน มีรากหายใจ โผล฽ เหนือชั้นดินอินทรีย์ที่มีน้ําขัง ประเทศไทยมีปุาพรุที่สมบูรณ์เหลืออยู฽เพียงแห฽งเดียวคือ ปุาพรุโต฿ะแดง จงั หวัดนราธิวาส พรรณไมท฾ ีส่ าํ คัญในปุาพรุได฾แก฽ หว฾าหิน สะเตียว ชะเมาน้ํา ช฾างไห฾ เสม็ดแดงใบใหญ฽ กล฾วยไม฾ ขี้หนอนพรุ 2.1.4 ปุาชายเลน (Mangrove swamp forest) จะพบท่ัวไปตามพ้ืนที่ ชายฝ่ังทะเล บริเวณปากน้ํา อ฽าว ทะเลสาบ และเกาะซ่ึงเป็นบริเวณที่นํ้าทะเลท฽วม น้ําขึ้นน้ําลง เป็น ปัจจัยสําคัญในการกําหนดการแบ฽งเขตการขึ้นอย฽ูของพรรณไม฾ หรือสิ่งมีชีวิต ในปุาชายเลน คล่ืนและ กระแสนํ้า มบี ทบาทต฽อการแพร฽กระจายของพันธุ์ไม฾ สภาพแวดล฾อมท่ีรุนแรง ทําให฾พรรณไม฾ในปุาชาย เลนตอ฾ งมีการปรบั ตวั และเปลี่ยนแปลงลักษณะบางประการของระบบราก ลําต฾น ใบ ดอก และผลทั้ง ลักษณะภายนอกและภายในให฾เหมาะสมกับสภาพพ้ืนที่ที่พรรณไม฾แต฽ละชนิดข้ึนอยู฽ เช฽นการมีรากคํ้า จนุ ในไมโ฾ กงกาง รากหายใจของไม฾แสม และลาํ พู เปน็ ต฾น 2.1.5 ปุาชายหาด (Beach forest) พบอย฽ูตามชายฝั่งทะเลซึ่งพ้ืนดินเป็น กรวด ทราย และโขดหิน ท่ีนํ้าทะเลท฽วมไม฽ถึง เน่ืองจากอย฽ูติดทะเลจึงได฾รับอิทธิพลจากคลื่น ละออง น้าํ เค็ม และลมทะเลอย฽างต฽อเน่ือง ปุาชายหาดพบกระจายอย฽ูท่ัวไปบริเวณชายฝ่ังทะเลเป็นพื้นท่ีเล็กๆ องค์ประกอบของพรรณไม฾และลักษณะโครงสร฾างของปุาชายหาดจะมีความแตกต฽างกันค฽อนข฾างมาก รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ฾ มเพ่ือชวี ิต GESC1104

ตามสภาพแวดล฾อมของแต฽ละท฾องที่ พรรณไม฾สําคัญในปุาชายหาด ได฾แก฽ ทุ฾งฟูา (Alstonia macrophylla) โพทะเล (Thespesia populnea) และก฾านเหลือง (Nuaclea orientalis) 2.2 ปา่ ผลัดใบ (Deciduous Forest) เป็นระบบนิเวศปุาชนิดที่ประกอบด฾วยพันธ์ุไม฾ชนิดผลัดใบหรือทิ้งใบเก฽าในฤดูแล฾ง เพื่อจะแตกใบใหม฽เม่ือเข฾าฤดูฝน ยกเว฾นพืชช้ันล฽างจะไม฽ผลัดใบ จะพบปุาชนิดนี้ตั้งแต฽ระดับความสูง 50-800 เมตร เหนือระดับนาํ้ ทะเล แบ฽งออกเป็น 3 ประเภท คอื 2.2.1 ปุาเบญจพรรณ เป็นปุาผลัดใบประเภทหนึ่งที่ต฾นไม฾ส฽วนใหญ฽ต฽างทิ้ง ใบหมดในช฽วงฤดูแล฾งและเร่ิมผลิใบใหม฽ในต฾นฤดูฝน ประเทศไทยพบปุาเบญจพรรณได฾ทั่วไปทั้ง ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับนํ้าทะเลไม฽เกิน 1,000 เมตร พันธุ์ไม฾เด฽นในปุาเบญจพรรณได฾แก฽ ไม฾สัก ไม฾แดง ไม฾ประด฽ู ไม฾มะค฽าโมง ไม฾ตะแบกใหญ฽ ไม฾ไผ฽ เช฽น ไผ฽หก ไผ฽ปุา ไผ฽รวก ไผ฽ข฾าวหลาม ไม฾เถา เช฽น เครืออ฽อน รางจืด และไม฾อิงอาศัย เช฽น กระแตไต฽ไม฾ นมตําเลีย กระเช฾าสีดา เอ้ืองกะเรกะร฽อน เอ้ืองเงิน นอกจากนี้ปุาเบญจพรรณยังอุดมไป ด฾วยเฟนิ ชนิดตา฽ ง ๆ อีกหลากหลายชนดิ ตลอดจนพชื สมนุ ไพรทส่ี าํ คัญ เช฽น บุกและพญากาสักดํา สัตว์ ปุาในปุาเบญจพรรณได฾แก฽ ช฾างปุา กระทิง กวางปุา เก฾ง หมาไม฾ ชะมด อีเห็น ไก฽ปุา นกและแมลงอีก หลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังเต็มไปด฾วยสัตว์ครึ่งน้ําคร่ึงบกท่ีเป็นอาหารของชาวบ฾านได฾อย฽างดี เช฽น กบ เขยี ด อง่ึ อา฽ ง 2.2.2 ปุาแดง ปุาแพะ หรือปุาเต็งรัง พบขึ้นสลับกับปุาเบญจพรรณ เป็น สังคมพืชท่ีแห฾งแล฾ง ซึ่งปัจจัยดิน (Edaptic Factors) และไฟปุาท่ีเกิดเป็นประจําทุกปีมีบทบาทสําคัญ ต฽อการพัฒนาและการกระจายของปุาเต็งรัง ต฾นไม฾ส฽วนใหญ฽มีความทนทานต฽อไฟผิวดินซึ่งเกิดข้ึนเป็น ประจําทุกปีได฾ดี ปุาเต็งรังเกิดบนพื้นที่แห฾งแล฾งจนถึงแห฾งแล฾งมากท่ีสุดบนที่ลาดเชิงเขา บนไหล฽เขา ตามแนวสันเขา และตามแนวลาดของภูเขาจนถึงความสูงประมาณ 600 – 800 เมตร จาก ระดับนา้ํ ทะเล ดินต้ืน เป็นกรวดจนถึงเป็นทราย หรือเป็นดินแดงที่มีหิน ต฾นไม฾ที่แสดงคุณลักษณะของ ปุาเต็งรงั อย฽างเดน฽ ชดั ท่ีสดุ ได฾แก฽ เต็ง และรงั 2.2.3 ปุาทุ฽ง หรือปุาหญ฾า เกิดขึ้นภายหลังจากการเผาทําลายปุา ปุาชนิดน้ี มีมากที่สุดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซ่ึงปรากฏว฽าเป็นบริเวณท่ีได฾เคยทําไร฽เลื่อนลอยติดต฽อกันมา นานในอดตี ดินมลี กั ษณะเปน็ ดนิ ปนทรายหรอื ดินลูกรัง ปริมาณนํ้าฝนมีน฾อยในภาคน้ี จะมีปุาท฽ุงแปลง เล็ก ๆ อย฽ูกระจัดกระจาย ส฽วนปุาท฽ุงแปลงใหญ฽ที่สุดก็ได฾กลายเป็นท฽ุงหญ฾าท่ีไร฾ประโยชน์ไป เช฽น ทุ฽ง รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ฾ มเพื่อชีวติ GESC1104

กุลาร฾องไห฾ในจังหวัดสกลนคร อย฽างไรก็ดีในทุ฽งหญ฾าเหล฽านี้จะมีต฾นไม฾ขึ้นกระจัดกระจายห฽าง ๆ ต฾น เป็นต฾นไม฾ที่แคระแกร็น ส฽วนมากเป็นพันธ์ุไม฾ของปุาเต็งรัง ลูกไม฾จากไม฾เหล฽านี้ และจากแม฽ไม฾ของปุา ใกล฾เคียง มีโอกาสน฾อยเหลือเกินที่จะเอาชนะหญ฾าซ่ึงข้ึนอย฽ูหนาแน฽นในทุ฽งหญ฾าเหล฽าน้ันได฾ หญ฾าส฽วน ใหญ฽ คอื หญา฾ คา สถานการณ์ทรพั ยากรป่าไม้ของประเทศ จากข฾อมูลเน้ือที่ปุาไม฾ของกรมปุาไม฾ ปี พ.ศ. 2551-2558 ตารางที่ 6.1 พบว฽า ในปี พ.ศ. 2551 พื้นท่ีปุาท่ัวประเทศมีประมาณ 107 ล฾านไร฽ ไม฽รวมสวนยางและสวนผลไม฾ แต฽ในปี พ.ศ.2556- 2558 พบว฽าพน้ื ท่ปี ุาเหลอื เพยี ง 102 ลา฾ นไร฽ นน่ั หมายความว฽าภายใน 5 ปี ปาุ ไม฾หายไป 5 ลา฾ นไร฽ หรือ เฉลี่ยปีละ 1 ล฾านไร฽ โดยส฽วนใหญ฽มีลักษณะการตัดไม฾ทําลายปุาเพ่ือต฾องการพ้ืนที่เพื่อการเกษตรเป็น หลกั เพราะปจั จบุ นั ไม฾ใหญ฽หรือไม฾ซุงมีเหลืออย฽ูน฾อยมาก พ้ืนที่ท่ีดินประเทศไทย เมื่อเทียบกับเน้ือที่ปุา เมอ่ื 50 ปีทีผ่ ฽านมาจะมเี นอ้ื ปุาลดลงไปถงึ รอ฾ ยละ 50 ของท่ีเคยมี ตารางที่ 6.1 เนือ้ ที่ปาุ ไมข฾ องประเทศไทย ปี พ.ศ. 2551-2558 ปี ภาคเหนือ ภาค ภาค ภาคกลาง ภาคใต้ เนอื้ ท่ีปา่ ไม้ รอ้ ย พ.ศ. (ไร่) ตะวนั ออก ตะวนั ออก (ไร)่ (ไร่) รวม ละ เฉียงเหนอื (ไร)่ (ไร่) (ไร)่ 2551 59,421,715 17,222,214 5,020,875 13,892,232 11,683,996 107,241,031 33.44 2556 56,283,600 15,813,931 5,139,025 13,832,638 11,050,350 102,119,538 31.57 2557 56,537,481 15,748,931 5,076,313 13,863,194 11,059,475 102,285,400 31.62 2558 56,496,886 15,660,166 5,091,779 13,918,145 11,074,005 102,240,982 31.60 ทีม่ า: สํานกั จดั การทดี่ นิ ปุาไม฾ กรมปาุ ไม฾. ออนไลน์. 2559 จากการศึกษาข฾อมลู เน้ือท่ีปุาไม฾รายจังหวัด สามารถจัดกลุ฽มจังหวัดท่ีมีการเปล่ียนแปลงเนื้อท่ี ปุาออกได฾เปน็ 4 ระดบั ดังนี้ 1. สูญเสียเนื้อที่ปุาไม฾รุนแรงมาก คือจังหวัดท่ีเคยมีเน้ือท่ีปุาไม฾มากกว฽า 70 % ใน อดตี แต฽ในปจั จุบนั ลดลงไมถ฽ งึ 25 % ของพ้ืนทีจ่ ังหวดั ไดแ฾ ก฽ กําแพงเพชร สกลนคร และชุมพร สูญเสีย เนือ้ ท่ปี าุ ไมอ฾ ยา฽ งรุนแรง คอื จังหวัดท่ีเคยมีปุาไม฾ปกคลุมมากกว฽า 70% ในอดีตแต฽ในปัจจุบันลดลงไม฽ถึง 50% ได฾แก฽ จงั หวดั เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขนั ธ์ พงั งา สตลู และจังหวัดที่เคยมีปุาไม฾ปกคลุมกว฽า 50% รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล฾อมเพ่ือชวี ติ GESC1104

แต฽ในปจั จบุ นั ลดลงไมถ฽ ึง 25 % ได฾แก฽ จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์ นครพนม นครราชสีมา หนองคาย ฉะเชิงเทรา ชลบรุ ี ระยอง กระบี่ ตรงั 2. สูญเสียเนื้อท่ีปุาไม฾มาก คือจังหวัดที่เคยมีปุาไม฾ปกคลุมมากกว฽า 70% ในอดีตแต฽ ในปัจจุบันลดลงอยุ฽ในช฽วง 50-70% ได฾แก฽ จังหวัดลําพูน อุตรดิตถ์ อุทัยธานี กาญจนบุรี เพชรบุรี ระนอง ,จงั หวัดทเ่ี คยมีปุาไม฾ปกคลุมกว฽า 50% แต฽ในปัจจุบันลดลงอย฽ูในช฽วง 25-50 % ได฾แก฽ จังหวัด เชียงราย พิษณุโลก สุโขทัย ชัยภูมิ เลย จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ราชบุรี ภูเก็ต สรุ าษฏร์ธานี และ จงั หวดั ทเี่ คยมีปุาไม฾ปกคลุม 25-50 % แตใ฽ นปจั จบุ ันลดลงจนน฾อยกว฽า 25 % ได฾แก฽ จังหวัดนครสวรรค์ ขอนแก฽น บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อํานาจเจริญ อุดรานี อุบลราชธานี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา รวมถึงพิจิตร ท่ีเคยมีปุาไม฾อยู฽ถึงเกือบ 20 % แต฽ปัจจุบันแทบจะ ไม฽มีปาุ ไมเ฾ หลอื อยูเ฽ ลย 3. จังหวัดท่ีสูญเสียปุาไม฾ปานกลาง คือจังหวัด จังหวัดที่เคยมีปุาไม฾ปกคลุมมากกว฽า 70% ในอดีตและในปัจจุบันลดลงแต฽ยังคงมีปุาไม฾มากกว฽า 70% ได฾แก฽ จังหวัดเชียงใหม฽ ตาก น฽าน แม฽ฮ฽องสอน และ ลําปาง,จังหวัดท่ีเคยมีปุาไม฾ปกคลุมกว฽า 50% ในปัจจุบันลดลงแต฽ยังคงมีปุาไม฾ มากกว฽า 50 % ได฾แก฽ จังหวัดแพร฽ พะเยา และ จังหวัดท่ีเคยมีปุาไม฾ปกคลุม 25-50 % ในปัจจุบัน ลดลงแต฽ยังคงมีปุาไม฾มากกว฽า 25 % ได฾แก฽จังหวัดยะลา รวมถึง จังหวัดมหาสารคาม ร฾อยเอ็ด หนองบัวลาํ ภู สระแกว฾ ชัยนาท สระบรุ ี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ปัตตานี และพัทลุง ท่ีเคยมีปุาไม฾อยู฽บ฾างและในปัจจุบันก็ยังมีเนื้อท่ีปุาไม฾เหลืออย฽ู ซึ่งในกล฽ุมน้ี อาจจะรวมถึง กรงุ เทพมหานคร และพระนครศรีอยธุ ยาไว฾ด฾วยกไ็ ด฾ นอกจากน้ียังพบว฽าข฾อมูลเนื้อท่ีปุาไม฾เพิ่มขึ้นในจังหวัด มุกดาหาร และนราธิวาส ไม฽ เพียงพอในการวิเคราะห์ดังกล฽าวเนื่องจากไม฽มีข฾อมูลในช฽วงก฽อนปี 2525 อาจเน่ืองมาจากภาพ ดาวเทยี มมีเมฆปกคลมุ มาก โดยสาเหตุที่สําคัญของการสูญเสียพื้นที่ปุาไม฾ ได฾แก฽ การเพ่ิมของจํานวนประชากร การส฽งเสรมิ ใหม฾ ีการปลกู พชื เศรษฐกิจเพ่ือการสง฽ ออก การใชเ฾ ทคโนโลยที ลี่ ฾าสมัยในการเพ่ิมผลผลิตทาง การเกษตร การพัฒนาโครงสร฾างพ้ืนฐาน การเปลี่ยนพ้ืนท่ีปุาชายเลนไปเพาะเล้ียงสัตว์น้ํา และปัญหา ไฟปุา โรค และแมลง รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ฾ มเพ่ือชีวิต GESC1104

การอนุรกั ษ์ป่าไม้ แนวทางหนึ่งในการอนุรักษ์ปุาไม฾ คือ การประกาศเป็นพ้ืนท่ีปุาอนุรักษ์ หรือพ้ืนที่คุ฾มครอง ไดแ฾ ก฽ อุทยานแห฽งชาติ เขตรักษาพันธุสัตว์ปุา วนอุทยาน เขตห฾ามล฽าสัตว์ปุา รวมถึงสวนรุกขชาติและ สวนพฤกษศาสตร์ แต฽อย฽างไรก็ดี แม฾ว฽าการประกาศพื้นที่อนุรักษ์จะสามารถรักษาพื้นท่ีที่ถูกประกาศ ส฽วนใหญ฽ไว฾ได฾ แต฽เนื่องจากขั้นตอนการประกาศพื้นท่ีอนุรักษ์ในอดีตมิได฾มีกระบวนการมีส฽วนร฽วมของ ชุมชนและการสํารวจเพื่อค฾มุ ครองสทิ ธชิ ุมชน จึงทาํ ใหม฾ กี ารประกาศพ้ืนท่ีทับซ฾อนกับพ้ืนท่ีใช฾ประโยชน์ ทาํ กนิ และเก็บหาของปุาของประชาชนในชุมชนท฾องถิ่นดั้งเดิมเป็นจํานวนมาก ส฽งผลให฾เกิดปัญหาใน เชิงสิทธิชุมชนมากมายในปัจจุบัน ซึ่งต฾องอาศัยมติคณะรัฐมนตรี (30 มิถุนายน พ.ศ. 2541) ในการ ผอ฽ นผันให฾อย฽ูอาศัยในพน้ื ทปี่ ุาอนรุ ักษ์ แต฽ในขณะเดยี วกันเมื่อมีการขยายพ้ืนท่เี ดิม ท่ีไม฽มีการแสดงแนว เขตการควบคุมที่ชัดเจนก็ส฽งผลให฾เกิดการสูญเสียพ้ืนท่ีปุาไม฾จากการขยายตัวท้ังชุมชนกลางปุา และ ขอบปุาอนุรักษ์อย฽างต฽อเนื่อง โดยเฉพาะอย฽างยิ่ง หลังการส฽งเสริมการปลูกพืชไร฽ต฽างๆ สวนยางพารา ปาล์มนํ้ามัน ทั้งจากบริษัทเอกชน และนโยบายการสนับสนุนท่ีขาดความรอบคอบของรัฐ ทําให฾เกิด ความขัดแย฾งทีร่ ุนแรง และสูญเสยี พ้นื ทป่ี ุาเพิม่ เติมตลอดมา (มูลนธิ สิ ืบนาคะเสถยี ร. ออนไลน.์ 2555) แนวทางดําเนนิ การเพอ่ื ให฾คงเนื้อทป่ี ุาเหลือไว฾ มดี งั นี้ 1. หามาตรการเพื่อหยุดยั้งการบุกรุกทําลายปุาให฾ได฾เด็ดขาด เพื่อรักษาพื้นท่ีปุาที่ เหลืออยท฽ู วั่ ประเทศ ในปี 2547 จํานวนร฾อยละ 32.66 ให฾คงอยู฽ โดยการนํากฎหมายเก่ียวกับปุาไม฾มา บังคับใช฾ใหไ฾ ด฾ผลอย฽างจริงจัง 2. เร฽งดําเนินการปลูกปุาทดแทน เช฽น ทําสวนปุา สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ สวนสาธารณะต฽างๆ เพื่อทดแทนปุาที่ถูกบุกรุกทําลาย โดยการทําสวนปุาในประเภทต฽างๆ เช฽น การทาํ สวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียน 3. ต฾องเร฽งให฾มีการประชาสัมพันธ์และส฽งเสริมให฾ประชาชนรู฾คุณค฽าของปุาไม฾เพ่ือให฾ เกดิ จติ สาํ นกึ ในการช฽วยกนั อนรุ กั ษป์ าุ ไม฾ไวเ฾ พื่ออาํ นวยประโยชน์อยา฽ งยงั่ ยืนต฽อไป พื้นท่ีอนุรักษ์หรือพื้นท่ีคุ้มครองในประเทศไทย สาํ หรบั ปาุ ไม฾ที่เหลอื อยู฽ ส฽วนใหญ฽รฐั บาลโดยกรมอทุ ยานแหง฽ ชาตสิ ตั ว์ปุา และพันธ์ุพืช/กรมปุา ไม฾ ได฾อนรุ ักษไ์ ว฾ในรปู แบบของพื้นที่อนุรักษ์หรือพื้นที่ค฾ุมครอง ซึ่งเป็นอุทยานแห฽งชาติ วนอุทยาน เขต รักษาพันธุ์สตั วป์ ุาและเขตห฾ามลา฽ สัตว์ปุา รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ฾ มเพ่ือชวี ิต GESC1104

ท้ังนี้ ประเทศไทยมีอุทยานแห฽งชาติทางบกมี 75 แห฽ง และทางทะเล 21 แห฽ง พ้ืนที่รวม ประมาณ 5,810.65 ตารางกโิ ลเมตร เขตรักษาพนั ธ์สตั ว์ปุามี 48 แหง฽ มีพืน้ ท่รี วมประมาณ 33,433.51 ตารางกิโลเมตร เขตรักษาพันธ์สัตว์ปุาทุ฽งใหญ฽นเรศวรมีพ้ืนที่ปุามากท่ีสุด (3,647.20 ตารางกิโลเมตร) และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ปุาคลองพระยามีพื้นที่น฾อยที่สุด 153.58 ตารางกิโลเมตร เขตห฾ามล฽าสัตว์ปุามี 54 แหง฽ พน้ื ท่ีรวมประมาณ 4,294.20 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีพื้นท่ีเตรียมการประกาศให฾เป็น พื้นที่อนุรกั ษ์อกี หลายแห฽ง 1. มรดกโลกทางธรรมชาติในประเทศไทย ประเทศไทยได฾รับเห็นชอบให฾ขึ้นบัญชีแหล฽งมรดกโลกทางธรรมชาติ รวม 2 แห฽ง ได฾แก฽ ทุ฽ง ใหญ฽นเรศวร-หว฾ ยขาแข฾ง (พ.ศ.2534) และผืนปาุ ดงพญาเย็น-เขาใหญ฽ (พ.ศ.2548) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ปุาทุ฽งใหญ฽นเรศวรและเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ห฾วยขาแข฾ง มีพื้นท่ีรวม 6,424.14 ตารางกิโลเมตร จัดเป็นพ้ืนที่อนุรักษ์ท่ีเป็นแกนกลางของกล฽ุมปุาตะวันตก ซึ่งเป็นผืนปุาที่มี ความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดแห฽งหน่ึงในประเทศไทย นอกจากนี้ผืนปุา ตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นปุาที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดแห฽งหนึ่งใน ประเทศไทย นอกจากนผ้ี ืนที่ปาุ ตะวนั ตกยังเป็นผืนปุาอนุรักษ์ที่มีอาณาเขตกว฾างใหญ฽ท่ีสุดของประเทศ และของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต฾ โดยผืนปุาตะวันตกเกิดจากการผนวกรวมเขตอนุรักษ์ถึง 17 แหง฽ เข฾าเปน็ พืน้ ปุาขนาดใหญ฽ ประกอบด฾วย 11 อุทยานแห฽งชาติ และ 6 เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ปุา มีพ้ืนที่ รวม 18,730.54 ตารางกิโลเมตร ทอดตัวตามแนวเทอื กเขาธงชยั และตะนาวศรี โดยมีพ้ืนที่คาบเก่ียวใน 6 จังหวัด ตาก กาญจนบุรี กําแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี และสุพรรณบุรี สําหรับเขตรักษาพันธ์ุ สัตว์ปุาทุ฽งใหญ฽นเรศวร และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ปุาห฾วยขาแข฾ง มีรายงานการพบสัตว์ปุาที่ถูกคุกคาม หลายชนิด เช฽น ควายปุา วัวแดง สมเสร็จ แมวลายหินอ฽อน เสือโคร฽ง นกเงือกคอแดง และนกยูงเป็น ตน฾ ผืนปุาดงพญาเย็น-เขาใหญ฽ เกิดจากการรวมตัวกันของ 5 พ้ืนที่อนุรักษ์ คือ อุทยานแห฽งชาติ เขาใหญ฽ อุทยานแห฽งชาติทับลาน อุทยานแห฽งชาติปางสีดา อุทยานแห฽งชาติตาพระยา และเขตรักษา พันธุ์สัตว์ปุาดงใหญ฽ มีพ้ืนท่ีราว 6,152.13 ตารางกิโลเมตร โดยผืนปุาดงพญาเย็น-เขาใหญ฽มีพื้นที่คาบ เกย่ี วกบั จงั หวัดนครนายก นครราชสีมา ปราจนี บุรี บุรีรัมย์ สระบุรี และสระแกว฾ ในอดีตผืนปุาดงพญาเย็น-เขาใหญ฽ มีสภาพเป็นปุารกทึบ ชุกชุมไปด฾วยสัตว์ปุาขนาดใหญ฽ แต฽ หลังจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได฾ก฾าวเข฾าสู฽ยุคแห฽งการพัฒนา ผืนปุาถูกแผ฾วถาง เปลย่ี นเปน็ พ้ืนท่เี พาะปลกุ ประกอบกับการตัดถนนมิตรภาพผ฽าใจกลางปุา ได฾ทําให฾ผืนปุาย่ิงถูกทําลาย รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล฾อมเพื่อชีวติ GESC1104

มากย่ิงข้ึน อย฽างไรก็ตามในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2505 ปุาเขาใหญ฽ก็ได฾รับการประกาศเป็นอุทยาน แห฽งชาติแห฽งแรกของประเทศไทย ซ่ึงนับเป็นจุดรากฐานการอนุรักษ์ธรรมชาติในประเทศท่ีก฽อตัวเป็น รปู รา฽ งอย฽างชัดเจน และตอ฽ เนือ่ งมาจนถงึ ปัจจุบนั 2. พนื้ ทสี่ งวนชีวมณฑล พ้ืนที่สงวนชีวมณฑล หมายถึง พื้นท่ีอนุรักษ์สังคมพืชและสัตว์ในภาวะของระบบนิเวศที่เป็น ธรรมชาติ เพ่ือรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรม และเพื่อใช฾เป็นแหล฽งศึกษาวิจัยทางด฾าน วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะข฾อมูลพ้ืนฐาน ทั้งในสภาพแวดล฾อมท่ีเป็นธรรมชาติและท่ีถูกเปลี่ยนแปลงไป พ้ืนท่ีสงวนชีวมณฑล หรือ ชีวาลัยน้ีมีการจัดเตรียมสิ่งอํานวยความสะดวกในการศึกษาและฝึกอบรม ด฾วย ซึ่งพ้ืนท่ีเหล฽าน้ีสภาประสานงานนานาชาติด฾านมนุษย์ และชีวลัย จะเป็นผ฾ูประกาศ ประเทศไทย ไดเ฾ ข฾ารว฽ มโปรแกรมมนุษย์และชีวมณฑล ใน ปี พ.ศ.2519 ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่สงวนชีวมณฑล ในเครอื ข฽ายพื้นทีส่ งวนชีวมณฑล รวม 4 แหง฽ ไดแ฾ ก฽ 1. พ้ืนทส่ี งวนชวี มณฑลสะแกราช จงั หวัดนครราชสมี า 2. พน้ื ท่สี งวนชีวมณฑลสวนสัก-หว฾ ยทาก จังหวัดลําปาง 3. พื้นที่สงวนชวี มณฑลแมส฽ า หว฾ ยคอกมา฾ จงั หวัดเชียงใหม฽ 4. พ้ืนทสี่ งวนชวี มณฑลปุาชายเลน จงั หวดั ระนอง โดยเปน็ พน้ื ทสี่ งวนชีวมณฑลที่อยูใ฽ นบรเิ วณทะเลชายฝ่ังจํานวน 1 แห฽ง ได฾แก฽ พื้นที่สงวน ชีวมณฑลปาุ ชายเลน จังหวัดระนอง บทสรุป ทรัพยากรปุาไม฾มีความสําคัญมหาศาลต฽อมวลมนุษย์ ปุาไม฾เป็นแหล฽งกําเนิดของปัจจัยสี่ เป็น แหล฽งท่ีอย฽ูอาศัยของสัตว์ปุา และท่ีสําคัญ คือ เป็นแหล฽งกําเนิดที่สําคัญของต฾นน้ําลําธารหลายสายท่ี หล฽อเลี้ยงชีวิตของคนไทยท้ังประเทศ ปัจจุบันเป็นที่น฽าห฽วงใยอย฽างย่ิงท่ีพื้นท่ีปุาลดลงจากเดิมมากจาก การบุกรกุ ทาํ ลายปาุ โดยยังไม฽มีมาตรการใดๆท่ีจะหยดุ ยัง้ ขบวนการแผว฾ ถางปาุ ได฾ ปาุ ไม฾ในประเทศไทย จัดอย฽ูในเขตปุาไม฾เมืองร฾อน แบ฽งเป็น 2 ประเภท คือ ปุาผลัดใบและไม฽ผลัดใบ โดยปุาผลัดใบแบ฽ง ออกเป็น 4 ชนิด คือ ปุาดิบเมืองร฾อน ปุาสน ปุาพรุ และปุาชายหาด ส฽วนปุาผลัดใบแบ฽งเป็น 3 ประเภท คือ ปุาเบญจพรรณ ปุาเต็งรัง และปุาหญ฾า เน่ืองจากปุาในประเทศถูกบุกรุกทําลายเราจึง จาํ เป็นต฾องปลูกฝังจิตสาํ นึกรักษป์ าุ โดยการดาํ เนินการต฽างๆ เช฽น การประชาสัมพันธ์แก฽ประชาชน การ ปรบั ปรุงและใชม฾ าตรการทางกฎหมายใหเ฾ ขม฾ งวดข้ึน ตลอดจนการรณรงค์ปลูกปุาทดแทน เพื่ออนุรักษ์ ปุาไม฾ไว฾ใหย฾ ง่ั ยนื ตลอดไป รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล฾อมเพ่ือชวี ิต GESC1104

2 2 รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ฾ มเพื่อชวี ติ GESC1104

กิจกรรมท่ี 6 ทรพั ยากรปา่ ไมเ้ พื่อชวี ติ 1. หลกั การ ปุาไม฾มีความสําคัญต฽อมนุษย์และทรัพยากรอ่ืนๆ ท้ังทางตรงและทางอ฾อม ปุาไม฾ในประเทศ ไทยแบ฽งออกเป็น 2 ประเภท ได฾แก฽ ปุาไม฾ผลัดใบและไม฽ผลัดใบ ปัจจุบันจํานวนประชากรเพิ่มมากข้ึน เกิดการบุกรุกพ้ืนทป่ี าุ เพ่อื ทําการเกษตร เพื่อขยายพ้ืนที่ทํากิน การลักลอบตัดไม฾ทําลายปุา ไฟปุา และ การพัฒนาสาธารณูปโภคในพ้ืนที่ปุาไม฾ ส฽งผลกระทบทําให฾เกิดภัยแล฾ง อากาศแปรปรวน โลกร฾อน ฝน ตกไม฽ถกู ต฾องตามฤดกู าล นํ้าท฽วม จากผลกระทบดังกล฽าวจึงจําเป็นอย฽างย่ิงที่จะต฾องอาศัยความร฽วมมือ ของทกุ ฝุายในการอนุรักษ์ปาุ ไม฾ สง฽ เสรมิ นโยบายปุาไม฾แหง฽ ชาติ การปลกู ปาุ ชมุ ชน จัดการปูองกันไฟปุา จัดโครงการปลกู ปุาทดแทน ปูองกันการบกุ รกุ ทาํ ลายปุา 2. จุดประสงค์ 2.1 เพอื่ ให฾เข฾าใจความหมายของทรัพยากรปาุ ไม฾ 2.2 เพ่ือใหเ฾ กดิ จติ สาํ นึกและแนวทางการอนรุ กั ษ์ปุาไม฾ 2.3 เพ่ือให฾สามารถอธบิ ายลกั ษณะของระบบนิเวศพนั ธุ์ไม฾ในมหาวทิ ยาลยั 3. วิธีปฏิบัติกิจกรรม 3.1 ศึกษาจากเอกสาร 3.2 แบง฽ นักศึกษาออกเปน็ กลุ฽ม กลุม฽ ละ 4-5 คน 3.3 สํารวจความหลากหลายของพันธไุ์ ม฾ในมหาวทิ ยาลยั ตามพน้ื ท่ีท่ีกาํ หนดให฾ 3.4 ใหน฾ กั ศกึ ษาแบง฽ กลม฽ุ ต฾นไมท฾ ี่สาํ รวจเปน็ 3 ระดับตามความสูงดงั นี้ พืชปกคลมุ ดิน มีความสงู ไมเ฽ กนิ 5 เมตร ไมเ฾ ต้ยี ไม฾พุม฽ มคี วามสงู ไม฽เกนิ 10 เมตร ไมใ฾ หญ฽ มคี วามสงู เกิน 10 เมตร 3.5 เขยี นชือ่ และนับจาํ นวนต฾นไม฾ท่ีพบ รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ฾ มเพื่อชวี ิต GESC1104

4. ผลการปฏบิ ัติกิจกรรม ความสูง ชนิด ไม่เกนิ 5 ไม่เกิน 10 10 เมตร ชือ่ ต้นไม้ อายุ ใบเล้ยี งเด่ยี ว ใบเลี้ยงคู่ เมตร เมตร ขน้ึ ไป สรปุ …............................................................................................................................. ............................ …............................................................................................................................. ............................ …..................................................................................................... .................................................... …............................................................................................................................. ............................ …......................................................................................................................................................... 5. คาถาม 5.1 พรรณไมใ฾ นมหาวทิ ยาลยั มีความสาํ คญั หรือไม฽ อยา฽ งไร …......................................................................................................................................................... …............................................................................................................................. ............................ …......................................................................................................................................................... …............................................................................................................................. ............................ …............................................................................................................................. ............................ รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล฾อมเพื่อชวี ิต GESC1104

5.2 ถ฾าตัดต฾นไม฾ในมหาวิทยาลัย จะมีผลอยา฽ งไร …......................................................................................................................................................... …............................................................................................................................. ............................ …............................................................................................................................. ............................ …......................................................................................................................................................... …............................................................................................................................. ............................ 5.3 จากการปฏิบตั ิกิจกรรมคร้ังน้ี นกั ศึกษามีความคดิ เหน็ อยา฽ งไร …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... เอกสารอา้ งองิ กรมอุทยานแห฽งชาติ สัตว์ปุา และพันธุ์พืช. (8 มกราคม 2559). ประเภทของป่าไม้. http://www. dnp.go.th/research/Knowledge/type%20of%20forest.html. มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. (12 กันยายน 2555). รายงานสาธารณะ “สถานการณ์ป่าไม้ไทย 2555”. http://www.seub.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=927 :seubnews&catid=5:2009-10-07-10-58-20&Itemid=14. สํานักจัดการท่ีดนิ ปาุ ไม฾ กรมปาุ ไม.฾ (6 กมุ ภาพันธ์ 2559). เน้ือที่ป่าไม้ของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2516 – 2558. http://forestinfo.forest.go.th/55/Content.aspx?id=72. Allen, S. W. (2007). An Introduction to American Forestry: American Forestry Series. New York: McGraw-Hill. รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ฾ มเพ่ือชีวิต GESC1104

บทที่ 7 ทรัพยากรสตั ว์ปา่ ในปัจจุบันได฾มีการสํารวจพบสัตว์ปุาในประเทศไทยมีความหลากหลาย และบางชนิด เป็นชนดิ เดยี วท่มี อี ย฽ใู นโลก แตก฽ ็เปน็ ท่นี ฽าเสยี ดายอย฽างยง่ิ ทบี่ างชนดิ ได฾สูญพันธ์ุไปแล฾วเนื่องจากแหล฽งท่ี อยอ฽ู าศัยท่สี าํ คญั ของสตั ว์ปาุ มพี ืน้ ทล่ี ดน฾อยลง รวมท้ังพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีการตัดไม฾ทําลายปุาและ ลักลอบค฾าสัตว์ปุาท่ีกระทํากันอย฽างมีแบบแผนและรัดกุม อยากท่ีจะจัดการได฾อย฽างมีประสิทธิภ าพ สัตว์ปุาถือว฽าเป็นองค์ประกอบที่สําคัญของปุา ซึ่งเป็นทั้งตัวการจัดการสร฾างความสมดุลให฾กับระบบ นิเวศปุาไม฾ และเป็นส่ิงเช่ือมโยงระหว฽างสิ่งมีชีวิตในทุกระบบ หากสัตว์ปุาถูกทําลายจนถึงระดับท่ีไม฽ สามารถจะทาํ หนา฾ ทีข่ องตนเองในระบบนิเวศไดอ฾ ยา฽ งสมบูรณ์แล฾ว ระบบนิเวศนั้น ๆ ก็ไม฽สามารถดํารง อย฽ไู ดอ฾ ยา฽ งสมบูรณ์ แลว฾ ยงั ส฽งผลกระทบต฽อความสมดลุ ทางธรรมชาติ ความหมายและการกาหนดสถานภาพของสตั ว์ป่า 1. ความหมายของสัตว์ปา่ พระราชบัญญัติสงวนและค฾ุมครองสัตว์ปุา พ.ศ. 2535 ให฾คํานิยามคําว฽า สัตว์ปุา (Wildlife) หมายถึง สัตว์ทุกชนิดไม฽ว฽าสัตว์บก สัตว์น้ํา สัตว์ปีก แมลง หรือแมง ซ่ึงโดยสภาพธรรมชาติย฽อมเกิด และดํารงชวี ิตอยใู฽ นปาุ หรือในนา้ํ และให฾หมายความรวมถงึ ไขข฽ องสตั ว์ปาุ เหลา฽ นั้นทกุ ชนิดด฾วย แต฽ไม฽ได฾ หมายความรวมถงึ สตั วพ์ าหนะที่ได฾จดทะเบยี นทําต๋วั รปู พรรณกฎหมายวา฽ ดว฾ ยสัตวพ์ าหนะ 2. การกาหนดสถานภาพของสตั ว์ป่า ในการกําหนดสถานภาพของสัตว์ปุาเพ่ือใช฾เป็นแนวทางในการอนุรักษ์ตามกฎหมายของ ประเทศไทยซ่งึ มีการตราพระราชบัญญัตสิ งวนและคมุ฾ ครองสตั วป์ าุ ปี พ.ศ.2535 ซ่ึงได฾ปรับปรุงแก฾ไขมา จากพระราชบัญญัติสงวนและค฾ุมครองสัตว์ปุา พ.ศ.2503 เพื่อท่ีจะคุ฾มครองถิ่นที่อย฽ูอาศัยตาม ธรรมชาติ ตลอดจนมีการกําหนดชนิดสัตว์ปุาสงวน สัตว์ปุาหาอยาก จํานวน 15 ชนิด (เดิม 9 ชนิด) รวมท้ังมีการปรับปรุงพระราชาบัญญัติให฾ทันสมัยมากข้ึน ท้ังนี้เพ่ือเป็นการสอดคล฾องกับอนุสัญญาว฽า ด฾วยการค฾าระหว฽างประเทศซ่ึงชนิดสัตว์ปุาและพืชปุาท่ีใกล฾สูญพันธุ์ และกําหนดการควบคุมนําเข฾า ส฽งออก ส฽งเสรมิ การขยายพันธสุ์ ัตว์ปุาบางชนิด โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือช฽วยเพิ่มประชากร อนุรักษ์ชนิด พันธุ์ และลดการกดดันท่ีเกิดจากการล฽า (กรมส฽งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล฾อม, 2553: 103) โดยกําหนด สถานภาพของสตั วป์ ุาดงั นี้ รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ฾ มเพ่ือชวี ิต GESC1104

1. สัตว์ปุาสงวน เป็นสัตว์ปุาหายากหรือกําลังจะสูญพันธ์ุจึงห฾ามล฽าหรือมีไว฾ ครอบครองทั้งสัตว์ท่ียังมีชีวิตหรือซากสัตว์ เว฾นแต฽กระทําเพื่อการศึกษา วิจัย ทางวิชาการ หรือเพื่อ กจิ การสวนสาธารณะโดยได฾รบั อนญุ าตจากอธบิ ดีกรมปุาไม฾เป็นกรณีพเิ ศษ 2. สัตว์ปุาค฾ุมครอง หมายถึง สัตว์ปุาตามท่ีกระทรวงกําหนดให฾เป็นสัตว์ปุาคุ฾มครอง เช฽น กระทิง กระรอกบิน กวาง เก฾ง ชะมด ชะนี ไก฽ปุา นกยูง นกแร฾ง นกเงือก งูสิง งูเหลือม ปูเจ฾าฟูา เป็นตน฾ ซงึ่ กฎหมายไม฽อนญุ าตให฾ลา฽ หรอื มีไว฾ในครอบครองซงึ่ รวมถึงซากของสัตว์ปุาสงวนหรือซากของ สัตวป์ ุาคุม฾ ครองหรือคา฾ เวน฾ แต฽การกระทาํ โดยทางราชการ นอกจากนี้ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล฾อม ได฾กล฽าวถึง สถานภาพความหลากชนดิ พนั ธส์ุ ตั วท์ ่ีมีการจําแนกแล฾วในโลก และประเทศไทยไว฾ ดังตารางที่ 7.1 ตารางท่ี 7.1 จาํ นวนชนิดของสัตว์ทีศ่ กึ ษาทางวิทยาศาสตรแ์ ล฾วในโลกและในประเทศไทย ชนิดพันธุ์ โลก ประเทศไทย คดิ เปน็ รอ้ ยละ (ชนิด) (ชนดิ ) (เทียบกับชนดิ พันธุ์ในโลก) สัตว์สะเทินน้ําสะเทินบกและเล้ือย 12,000 491 4.09 คลาน สตั วเ์ ลีย้ งลกู ดว฾ ยนํ้านม 4,500 302 6.71 นก 10,000 982 9.82 ปลา 22,000 2,820 12.82 สตั ว์ไม฽มีกระดดู สนั หลัง 400,000 11,900 2.97 (ยกเวน฾ แมลง) แมลง 960,000 NA - (ทมี่ า: กรมส฽งเสริมคณุ ภาพสิ่งแวดล฾อม. 2553: 28) ปัญหาการคา้ สัตว์ปา่ เปน็ ทที่ ราบกนั ดวี ฽า ตลาดตามแนวชายแดน เช฽น ปอยเปต ท฽าข้ีเหล็ก ช฽องเม็ก และด฽านเจดีย์ สามองค์ คือ แหล฽งขายซากสัตว์ปุาขนาดใหญ฽ แต฽ก็เป็นเวลากว฽า 10 ปี มาแล฾วเช฽นกันที่มีการรณรงค์ เกี่ยวกับการค฾าสัตว์ปุาผิดกฎหมาย เพื่อให฾คนในประเทศรู฾สึกว฽าการลักลอบค฾าสัตว์ปุา หรือค฽านิยมใน การบรโิ ภคอวัยวะสัตว์ปาุ น้ันหมดไปจากประเทศน้ีแล฾ว หรืออาจจะมีเหตุการณ์เช฽นนี้เกิดข้ึนมาบ฾างแต฽ ก็นานๆครง้ั สิ่งนเ้ี องที่อาจส฽งผลต฽อทัศนคตทิ ีผ่ ดิ ประหลาดของประชาชนให฾คดิ วา฽ การลักลอบค฾าสัตว์ปุา รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ฾ มเพื่อชวี ติ GESC1104

ผิดกฎหมายน้ันเป็นเพียงธุรกิจเล็กๆในตลาดมืดท่ีมีผู฾เก่ียวข฾องอยู฽เพียงไม฽กี่คน และจะไม฽มีผลกระทบ รุนแรงต฽อธรรมชาติหรือระบบนิเวศแต฽อย฽างใด แต฽ในความเป็นจริงการลักลอบค฾าสัตว์ปุาเป็นธุรกิจใน ตลาดมืดทม่ี ีมลู ค฽าสูงเปน็ อันดับสองของโลกเปน็ รองเพยี งขบวนการค฾ายาเสพตดิ เทา฽ นน้ั นาย คริส เชฟเฟิร์ด เจ฾าหน฾าที่ประจํา TRAFFIC องค์กรเอกชนนานาชาติซ่ึงติดตามความ เคลื่อนไหวเกี่ยวกับการค฾าสัตว์ปุาทั่วโลกกว฽า 10 ปี ให฾ข฾อมูลเกี่ยวกับการค฾าสัตว์ปุาในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใต฾ว฽า ดินแดนแถบน้ีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สําคัญในการค฾าสัตว์ปุาระดับโลก เน่ืองจากมี ความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก ปุาเขตร฾อนท่ีน่ีจึงเป็นแหล฽งวัตถุดิบสําคัญที่มีความต฾องการใน ตลาดสูง การคา฾ สตั ว์ปาุ ทเี่ กิดขน้ึ ทั้งหมดเป็นไปเพื่อตอบสนองวัตถุประสงคใ์ หญ฽ๆ 5 ประการ คือ เต฽า 1. เพ่ือใช฾เป็นเคร่ืองประดับตกแต฽ง เช฽น งาช฾าแกะสลัก เขาสัตว์ หนังเสือ กระดอง ชนิดต฽าง ๆ 2. เพื่อใช฾เปน็ ส฽วนประกอบของยาแผนโบราณ เช฽น นอแรด กระดูกเสอื ดหี มี และต฽างชาติ 3. เพ่ือนํามาเป็นสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะนกปุา สัตว์ในกลุ฽มลิง และสัตว์เล้ือยคลาน 4. เพ่ือการบริโภค ท้ังในระดับท฾องถิ่น และส฽งขายให฾ร฾านอาหารทั้งในประเทศ 5. เพอื่ ตอบสนองกจิ การสวนสัตว์ ทัง้ ของรฐั และเอกชน สาํ หรับในประเทศไทยการค฾าสตั ว์ปุาเปน็ อาชญากรรมทม่ี ีความรุนแรงไม฽น฾อยไปกว฽าการค฾ายา เสพติดและอาวุธสงคราม ประเทศไทยค฽อนข฾างจะถูกโจมตีอย฽างรุนแรงว฽า เป็นประเทศศูนย์กลาง การค฾าสัตว์ปุาท่ีหน่ึงซึ่งใหญ฽มากท่ีสุดในโลก ผลกระทบจากปัญหาการค฾าสัตว์ปุา ได฾แก฽ การสูญเสีย ความหลากหลายทางชีวภาพจํานวนมากและไม฽สามารถเอากลับคืนมาได฾ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ คาดการณไ์ ว฾ว฽า หากเหตกุ ารณเ์ ชน฽ นยี้ งั คงดําเนินต฽อไป สตั ว์ปุาและพืชปุาในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียง ใต฾ถึง 13-42% จะสูญพันธุ์ไปในศตวรรษน้ี และอัตราการสูญเสียอย฽างน฾อยคร่ึงหนึ่งจากจํานวน ดังกล฽าวก็เท฽ากับสัตว์เหล฽าน้ันจะสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้อย฽างถาวร การสูญเสียระบบนิเวศวิทยาของ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ซึ่งส฽งผลต฽อเน่ืองไปยังแหล฽งต฾นน้ําลําธาร แหล฽งอาหารและความแปรปรวนของ สภาพอากาศ ทําให฾สัตว์ปุาขาดแคลนอาหาร ซึ่งมีผลทําให฾สัตว์ปุาล฾มตายจากภัยแล฾งที่เกิดข้ึน ทรัพยากรที่ไม฽เพยี งพอ จึงเป็นอกี ปญั หาหนึง่ ท่ีตอ฾ งช฽วยกนั อนรุ กั ษ์ทรัพยากรส่ิงแวดล฾อมไว฾ ปัญหาการลักลอบค฾าสัตว์ปุาเพ่ิมอัตราความเสี่ยงของการแพร฽ระบาดไวรัสและเชื้อโรคจาก สตั ว์สค฽ู น เชน฽ การระบาดของโรคซาร์สและโรคไข฾หวดั นก หน฽วยงานท่ีเก่ียวข฾องจะต฾องเข฾ามาดูแลและ ตระหนักถึงโรคท่ีตามมาว฽ามีอันตรายร฾ายแรงเพียงใด แก฿งอาชญากรรมลักลอบค฾าสัตว์ปุาอย฽ูได฾ด฾วย กําไรมหาศาล ซ่ึงปัจจุบันสามารถพิสูจน์ได฾ว฽าอาชญากรรมด฾านสัตว์ปุามีส฽วนเช่ือมโยงไปยัง รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล฾อมเพ่ือชวี ิต GESC1104

อาชญากรรมด฾านอื่นๆ ด฾วย อาทิ ยาเสพติดและการค฾ามนุษย์ ดังนั้นภาครัฐจึงต฾องเข฾ามามีส฽วนร฽วม อยา฽ งมากกบั การปราบปรามการลกั ลอบค฾าสัตวป์ าุ อยา฽ งเด็ดขาด ผู฾ท่คี รํ่าหวอดในการปราบปรามการคา฾ สัตวป์ ุามายาวนาน ให฾ขอ฾ มูลว฽า สินค฾าประเภทเสือโคร฽ง เป็นท่ีต฾องการในตลาดจีนและเวียดนามค฽อนข฾างสูง โดยเฉพาะตลาดคนจีนโพ฾นทะเลในอเมริกา ต฾องการยาแคปซูลบดกระดูกเสือรวมกับหนังงู ซ่ึงถือว฽าเป็นยาอายุวัฒนะและยาโปฺว คิดเป็นเงินไทย แล฾วแพงถึงแคปซูลละ 1 หมื่นบาท ซากลูกเสือดองเหล฾า ซึ่งเป็นท่ีนิยมในเวียดนาม โดยมีความเชื่อว฽า ด่มื แลว฾ แก฾ปวดเมื่อยให฾หายขาด รวมถึงแกโ฾ รคหดหซู฽ ึมเศรา฾ ในผู฾สงู อายุ มีการขายเป็นเปฺกหรือแก฾วช็อต แก฾วละ 500 บาท โดยมีการซื้อขายเป็นโหล ประมาณโหลละ 4-5 หมื่นบาท (โพสต์ทูเดย์. ออนไลน์. 2559) ภาพท่ี 7.1 สตั ว์ปุาทีถ่ กู ลกั ลอบส฽งออกนอกประเทศ (ทีม่ า: โพสต์ทูเดย.์ ออนไลน์. 2559) อนุสญั ญาไซเตส อนสุ ัญญาไซเตส คือ อนุสญั ญาวา฽ ดว฾ ยการค฾าระหว฽างประเทศซง่ึ ชนดิ สตั ว์ปุาและพืชปุาท่ีกําลัง สูญพันธ์ุ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora, CITES) เร่ิมบังคับใช฾มาตั้งแต฽ปี พ.ศ. 2518 มีสมาชิกลงนามรับรองทั้งหมด 181 รัฐ (ณ พฤษภาคม 2558) เป็นข฾อตกลงระหว฽างประเทศเก่ียวกับการค฾าขายพันธุ์สัตว์ปุาและพันธุ์พืช โดย ประเทศไทย เป็น 1 ใน 181 รัฐ โดยอนุสัญญาฯ มีการกําหนดชนิดพันธุ์สัตว์ปุาหรือพืชปุาออกเป็น บัญชี หมายเลข 1, 2 และ 3 ดังนี้ (CITES. Online. 2016) รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล฾อมเพื่อชวี ติ GESC1104

บัญชีหมายเลข 1 เป็นบัญชีรายชื่อของชนิดพันธ์ุที่ห฾ามทําการค฾าโดยเด็ดขาด เนื่องจากใกล฾ สูญพนั ธ์ยุ กเวน฾ เพื่อการศึกษาวิจยั ซึง่ จะตอ฾ งได฾รับการยินยอมจากประเทศท่ีจะนําเข฾าเสียก฽อนประเทศ ทจี่ ะสง฽ ออก จึงจะสามารถอกใบอนุญาตได฾ ตัวอยา฽ งชนดิ พนั ธุ์ท่ีมอี ย฽ูในประเทศไทยที่ปรากฏอย฽ูในบัญชี น้ี เชน฽ แรด เสือโครง฽ หมคี วาย กลว฾ ยไมป฾ ุาหายากบางชนดิ บญั ชีหมายเลข 2 เปน็ บญั ชีรายชือ่ ของชนดิ พันธ์ุทส่ี ามารถค฾าได฾แต฽ต฾องอยู฽ในการควบคุมไม฽ให฾ เกิดความเสียหายหรือกระทบกระเทือนต฽อการดํารงอย฽ูของชนิดพันธ์ุนั้น ๆ ตัวอย฽างชนิดพันธ์ุท่ีมีการ แพรก฽ ระจายอยใ฽ู นประเทศไทยท่ีปรากฏอยู฽ในบัญชีน้ี เช฽น นาก ค฾างคาวแม฽ไก฽ ต฾นหม฾อข฾าวหม฾อแกงลิง เป็นต฾น บัญชีหมายเลข 3 เป็นชนดิ พนั ธทุ์ ่ไี ด฾รบั การคุ฾มครองตามกฎหมายของประเทศใดประเทศหน่ึง ซึง่ ในการนาํ เขา฾ จะตอ฾ งมีหนังสอื รับรองการสง฽ ออกจากประเทศถน่ิ กาํ เนดิ บทสรุป ปัจจุบันสถานภาพสัตว์ปุาอย฽ูในสถานการณ์ที่น฽าเป็นห฽วงซ่ึงสาเหตุสําคัญเกิดจากการลักลอบ ค฾าสัตว์ปุาท่ีกระทําเป็นขบวนการที่กฎหมายยังไม฽สามารถกวาดล฾างได฾หมดสิ้น สัตว์ปุาในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต฾จัดว฽าเป็นพื้นท่ียุทธศาสตร์สําคัญในการค฾าสัตว์ปุาระดับโลก เนื่องจากมีความ หลากหลายทางชีวภาพสูงมาก ปุาเขตร฾อนท่ีน่ีจึงเป็นแหล฽งวัตถุดิบสําคัญท่ีมีความต฾องการในตลาดสูง การค฾าสัตว์ปุาที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นไปเพ่ือตอบสนองวัตถุประสงค์ใหญ฽ ๆ 5 ประการ คือ เพ่ือใช฾เป็น เครื่องประดับตกแต฽ง เพ่ือใช฾เป็นส฽วนประกอบของยาแผนโบราณ เพื่อนํามาเป็นสัตว์เล้ียง เพื่อการ บริโภค และเพื่อตอบสนองกิจการสวนสัตว์ การอนุรักษ์สัตว์ปุาสามารถทําได฾โดยการไม฽ให฾การ สนับสนนุ วงการคา฾ สัตวป์ าุ โดยการซ้ือนํามาเล้ียงไว฾ท่ีบ฾าน เนื่องจากบ฾านของสัตว์ปุาท่ีแท฾จริงคือ “ปุา” ดงั นน้ั การอนรุ กั ษป์ ุาจึงเปน็ การอนุรกั ษส์ ัตวป์ ุาด฾วย คณุ ทราบหรือไม่ว่า? “ในปัจจุบันสัตว์และพืช สูญพันธ์ุในอัตราที่เร็วกว฽า อัตราการสุญพันธ์ุทางธรรมชาติ 1,000-10,000 เท฽านี้เป็นการ สูญพันธุ์ครั้งท่ี 6 ในประวัติสาสตร์โลก และคราวนี้มนุษย์เป็น ตัวการเดียวทีท่ าใหเ้ กดิ ปรากฏการณ์น้ีขึน้ ” “ทกุ ๆ ปี ของเสยี จากพลาสตกิ ครา฽ ชวี ิตนก 1,000,000 ตวั สตั ว์ นาํ้ อกี 100,000 ตัว และปลาอีกจาํ นวนนบั ไม฽ถ฾วน” รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล฾อมเพื่อชวี ิต GESC1104

กิจกรรมที่ 7 ทรพั ยากรสตั ว์ปา่ 1. หลกั การ ธุรกิจการลักลอบค฾าสัตว์ปุาถือได฾ว฽าเป็นหน่ึงในธุรกิจตลาดมืดที่ให฾กําไรต฽ออาชญากรผู฾ค฾าสูง ผลกระทบจากการค฾าผนวกกับการสูญเสียพ้ืนท่ีปุา ส฽งผลให฾สัตว์ปุาหลายชนิดอย฽ูในภาวะใกล฾สูญพันธุ์ การลักลอบฆ฽าสัตว์ ตัดไม฾และการลักลอบลําเลียงสัตว์ปุาเป็นปัญหาท่ีเกิดข้ึนทุกท่ีทั่วโลก โดยเฉพาะ อย฽างยิ่งในกลุ฽มประเทศกําลังพัฒนา และเนื่องจากอาชญากรมักทํางานกันเป็นขบวนการ จึงทําให฾ ธรุ กจิ การคา฾ สัตว์ปาุ ทผ่ี ิดกฎหมายท่วั โลกนน้ั สูงถึงหลายพันล฾านเหรียญสหรัฐต฽อปี แม฾ปุาไม฾และสัตว์ปุา จะไดร฾ ับการคุม฾ ครองภายใต฾กฎหมายของแต฽ละประเทศและระดับนานาชาติ แต฽สัตว์ปุาหลายชนิดก็ยัง ถูกลักลอบค฾าอย฽างต฽อเน่ือง เพื่อมาประกอบยารักษาโรค ตลาดสัตว์เลี้ยงและสวนสัตว์ นักสะสมและ ของตกแต฽ง รวมทั้งเพื่อการบริโภคเนื้อเปิบพิสดาร ซ่ึงส฽วนใหญ฽ผู฾ท่ีเกี่ยวข฾องในกระบวนการลักลอบค฾า สัตว์ปุา โดยเฉพาะผู฾บริโภคทั้งหลายไม฽มีความตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมาหากสัตว์ปุาเหล฽าน้ี ต฾องสูญพนั ธุ์ไป 2. จุดประสงค์ 2.1 เพ่ือใหเ฾ ขา฾ ใจความหมายของคาํ วา฽ สตั วป์ าุ สัตวป์ ุาคมุ฾ ครอง อนุสัญญาไซเตส 2.2 สามารถจาํ แนกประเภทของสตั วป์ าุ โดยใชเ฾ กณฑต์ า฽ งๆได฾ 2.3 เพอื่ ใหเ฾ กิดจติ สาํ นึกในการอนรุ กั ษ์สตั ว์ปาุ 3. วธิ ปี ฏบิ ัตกิ ิจกรรม 3.1 ศกึ ษาจากเอกสาร 3.2 ใหน฾ ักศกึ ษาศึกษาสตั ว์ปาุ มา 1 ชนิดที่สนใจโดยอธิบายเกยี่ วกับการดาํ รงชวี ติ ถ่ินทอี่ ยู฽ อาศยั พฤติกรรม และวาดภาพประกอบ 4. ผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม 4.1 ช่ือสตั ว์ ............................................................................................................................. ................................ รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล฾อมเพ่ือชีวติ GESC1104

4.2 ภาพสตั ว์ 4.3 การดํารงชีวติ ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ ...................................................................................................................................................... ....... 4.4 ถ่นิ ท่อี ยู฽อาศยั ................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ 4.5 พฤติกรรม ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ .............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................. ................................................. .............. รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ฾ มเพื่อชวี ติ GESC1104

5. คาถาม 5.1 สตั วป์ าุ สงวนมกี ช่ี นดิ อะไรบา฾ ง และมลี ักษณะอย฽างไร ชอ่ื สตั ว์ ประเภท ลกั ษณะ รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ฾ มเพ่ือชีวติ GESC1104

5.2 ร฽องรอยต฽อไปน้เี ปน็ สตั ว์อะไร ชอื่ สตั ว์ ร่องรอย ……………………………….. ……………………………….. ………………………………. ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ฾ มเพ่ือชีวติ GESC1104

ร่องรอย ชื่อสัตว์ ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล฾อมเพ่ือชีวติ GESC1104

5.3 จงบอกชอ่ื แมลงต฽าง ๆ เหล฽านี้มา 5 ชนดิ 5.3.1 แมลงหายากและใกลส฾ ญู พนั ธุ์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5.3.2 แมลงอันตราย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5.4 จงบอกช่อื นกในมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏจนั ทรเกษม และแหลง฽ ท่พี บมา 5 ชนิด ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5.5 เตา฽ ในมหาวิทยาลัยราชภฏั จันทรเกษมมีกช่ี นิด และจะมแี นวทางในการอนุรักษเ์ ตา฽ ได฾ อยา฽ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… เอกสารอา้ งอิง กรมส฽งเสริมคุณภาพส่ิงแวดล฾อม. (2553). ความหลากหลายทางชีวภาพ กู้วิกฤตชีวิตโลก. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ฾ ม. พระราชบัญญัติสงวนและค฾ุมครองสัตว์ปุา พ. ศ. 2535 (28 กุมภาพันธ์ 2535). ราชกิจจานุเบกษา. เลม฽ ที่ 109 ตอนที่ 15. หน฾า 1-8. โพสต์ทูเดย์. (27 มิถุนายน 2559). เส้นทางค้าสัตว์ป่า เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ. http:// www.posttoday.com/life/life/439704. Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES). (10 March 2016). Appendices I, II and III. https://cites.org/eng/app/ appendices.php. รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ฾ มเพ่ือชวี ติ GESC1104

บทท่ี 8 พลงั งานเพื่อชีวิต พลังงานเป็นส่ิงจําเป็นของมนุษย์ในโลกปัจจุบันและทวีความสําคัญขึ้นเม่ือโลกยิ่งพัฒนามาก ยิ่งขึ้น แหล฽งพลังงานค฽อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นแหล฽งพลังงานท่ีต฾องอาศัยเทคโนโลยีในการผลิตมากยิ่งขึ้น จากนํ้ามันปิโตรเลียมไปเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต฾น ประเทศไทยมีแหล฽งพลังงานหลายประเภท ด฾วยกัน แต฽อาจจะมีในปริมาณค฽อนข฾างน฾อย เมื่อเทียบกับประเทศอ่ืน ๆ วิกฤตการณ์พลังงานของโลก กําลังเป็นท่ีตื่นตัวและส฽งผลกระทบต฽อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของโลก และส฽งผลกระทบโดยตรงต฽อ ประเทศไทยจากราคานาํ้ มนั ทีพ่ งุ฽ สงู ขน้ึ ทุกวัน ส฽งผลให฾การดาํ เนินชีวิตของประชากรในประเทศ ความหมายและประเภทของแหลง่ พลังงาน 1. ความหมายของพลงั งาน พลังงานเป็นคําไทยที่เกิดจากการนําคํา 2 คํามาผสมกัน คือ “พลัง” และ “งาน” หมายถึง พลังของส่งิ ตา฽ ง ๆ ทนี่ ํามาทําให฾เกิดเป็นงานข้ึน ได฾แก฽ นํ้ามัน ไฟฟูา ถ฽าน แสงอาทิตย์ ลม และน้ํา เป็น ตน฾ พลังงาน หมายถึง แรงงานที่ได฾มาจากธรรมชาติ ถ฾าจําแนกตามแหล฽งท่ีมาอาจแบ฽งได฾เป็น 2 ประเภท คือ พลังงานต฾นกําเนิด (Primary energy) ได฾แก฽ น้ํา แสงแดด ลม และเช้ือเพลิงธรรมชาติ เชน฽ นาํ้ มัน ถ฽านหิน แกส฿ ธรรมชาติ ไอน้ําใต฾ดิน แร฽นิวเคลียร์ ไม฾ฟืน แกลบ ชานอ฾อย และพลังงานแปร รูป (Secondary energy) ซึ่งได฾มาโดยการนําพลังงานต฾นกําเนิดดังกล฽าวข฾างต฾นมาแปรรูปเพ่ือใช฾ ประโยชน์ในลักษณะต฽างๆ กัน เช฽น พลังงานไฟฟูา ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ถ฽านโค฾ก แก฿สหุงต฾ม เป็นต฾น (กระทรวงพลังงาน. ออนไลน์. 2555) 2. ประเภทของแหลง่ พลังงาน พลงั งานมีแหล฽งกําเนดิ ได฾เป็น 2 ประเภท คือ 2.1 แหล฽งพลังงานใช฾แล฾วหมดไป หรือพลังงานสิ้นเปลือง (Non-renewable energy resources) คอื แหล฽งพลังงานจากใตพ฾ นื้ พิภพ เมื่อใช฾หมดแล฾วไม฽สามารถสร฾างขึ้นมาใหม฽หรือ หามาทดแทนโดยธรรมชาตไิ ด฾ทนั ความต฾องการในเวลาอันรวดเร็ว ต฾องใช฾เวลานานกว฽าร฾อยล฾านปีที่จะ สรา฾ งข้นึ มาอีกไดแ฾ ละมปี รมิ าณจํากดั เช฽น นํา้ มนั ดบิ ถ฽านหนิ ก฿าซธรรมชาติ และแร฽ยเู รเนยี ม ฯลฯ รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ฾ มเพ่ือชวี ิต GESC1104

เม่ือพิจารณาจากวิถีชีวติ ประชาคมโลกจะเหน็ วา฽ มกี ารใชพ฾ ลังงานฟอสซลิ รอ฾ ยละ 80 ของพลังงานประเภทต฽าง ๆ โดยรอ฾ ยละ 60 เป็นการใชพ฾ ลงั งานจากปิโตรเลยี ม และเช่ือว฽าแหลง฽ พลงั งานนี้จะถกู นํามาใช฾สูงสุดในระยะเวลาไม฽นานอยา฽ งแน฽นอน 2.2 แหล฽งพลังงานหมุนเวียน (Renewable resources) คือ แหล฽งพลังงานที่ได฾จาก ธรรมชาติและสามารถหามาใช฾ได฾ไม฽มีวันหมด ซ่ึงสามารถสร฾างทดแทนได฾ในช฽วงเวลาสั้นๆ โดย ธรรมชาติหลังจากมีการใช฾ไป อาจเรียกว฽า พลังงานทดแทน พลังงานสะอาด หรือพลังงานสีเขียว เนื่องจากไม฽ทําให฾เกิดมลพิษต฽อส่ิงแวดล฾อม ตัวอย฽างของพลังงานชนิดนี้ ได฾แก฽ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังนาํ้ พลงั งานคล่ืนในทะเล พลังงานน้ําขึ้นน้ําลง พลังงานชีวมวล พลังงานความร฾อนใต฾ พภิ พและพลังงานไฮโดรเจน ฯลฯ พลังงานในชีวิตประจาวนั พลังงานไฟฟาู มีความเกยี่ วข฾องกับการใชช฾ วี ิตประจําวันอย฽างมากเพราะอุปกรณ์ในการอํานวย ความสะดวกสว฽ นใหญ฽จะเปน็ เครอื่ งใช฾ไฟฟูา ดังน้ันในการคํานวณพลังงานไฟฟูาจะต฾องทราบอัตราการ ใช฾พลังงานไฟฟูาตอ฽ 1 หน฽วยเวลาเพ่ือนํามาหาปริมาณการใช฾พลังงานท้ังหมดในช฽วงเวลาน้ันหรือเรียก ไดอ฾ กี อยา฽ งหน่ึงว฽า “กําลงั ไฟฟาู ” ซึ่งสามารถคํานวณได฾จากสมการ E= PxT เมอื่ E คือ พลังงานไฟฟูา มหี น฽วยเปน็ วัตต์.ช่วั โมง P คอื กําลงั ไฟฟูา มีหนว฽ ยเป็น วตั ต์ T คอื เวลาทใ่ี ช฾งาน มหี น฽วยเปน็ ชัว่ โมง ตวั อยา่ งที่ 1 หงุ ขา฾ วโดยใช฾หม฾อหงุ ข฾าวขนาด 630 วัตต์ นาน 2 ช่วั โมง จะใช฾พลังงานกี่ วัตต์.ชว่ั โมง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… การคาํ นวณหาคา฽ กาํ ลงั ไฟฟูาทถี่ กู ต฾องควรคาํ นวณจากเครื่องโดยตรง ในกรณีที่เครอื่ งใช฾ไฟฟาู บอกค฽า ความตา฽ งศักยแ์ ละค฽ากระแสไฟฟูา คํานวณกําลังไฟฟาู ได฾โดยใช฾สูตร P= VxI รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล฾อมเพื่อชีวติ GESC1104

เม่อื P คอื กาํ ลงั ไฟฟูา หนว฽ ยเปน็ วตั ต์ เมือ่ V คือ ความตา฽ งศักย์ หน฽วยเปน็ โวลต์ เม่ือ I คอื กระแสไฟฟาู หน฽วย แอมแปร์ ตัวอย่างที่ 2 ตู฾เย็นเครื่องหนึ่ง มีความต฽างศักย์ 220 โวลต์ ใช฾กระแสไฟฟูา 0.8 แอมแปร์ จะมี กาํ ลงั ไฟฟูาเทา฽ ไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… การคดิ คา่ ไฟฟ้าดว้ ยตัวเอง จากสภาวะเศรษฐกจิ ตกตา่ํ ในปัจจบุ ัน หลายบา฾ นตอ฾ งสํารวจและควบคุมค฽าใช฾จ฽ายไม฽ว฽าจะเป็น ค฽าใชจ฾ ฽ายในการกนิ อยร฽ู วมทงั้ คา฽ ใชจ฾ ฽ายในดา฾ นสาธารณปู โภค ได฾แก฽ ค฽าไฟฟูา ค฽านํ้าประปา ค฽าน้ํามันรถ เพ่ือให฾เพียงพอกบั รายได฾ ซ่ึงสว฽ นใหญ฽เปน็ ค฽าใช฾จ฽ายท่ีเราหลกี เล่ยี งไม฽ได฾ โดยเฉพาะอย฽างยิ่งค฽าไฟฟูาเรา จึงต฾องมกี ารตรวจสอบว฽าเราใช฾ไฟฟูาไปกี่หน฽วย จะต฾องเสียค฽าใช฾จ฽ายเป็นจํานวนเงินเท฽าไร ถือเป็นการ ชว฽ ยในการวางแนวทางการประหยัดไฟฟูาได฾อีกด฾วย แต฽ก฽อนท่ีเราจะทราบอัตราค฽าไฟฟูาน้ัน เราควรร฾ู ก฽อนวา฽ ค฽าไฟประกอบด฾วยอะไรบา฾ ง คา฽ ไฟฟูาในปัจจบุ ันประกอบด฾วย 3 สว฽ นคือ ดังภาพท่ี 8.1 1 2 3 ภาพที่ 8.1 ใบแจง฾ หนค้ี ฽าไฟฟาู รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ฾ มเพื่อชีวติ GESC1104