การปรบั ปรุงดินมี 2 วธิ ีการ ตามสภาพของดนิ และความเหมาะสม 1. ใชนํ้าชะลางความเป็นกรด เมื่อลางดินเปร้ียวใหคลายลงแลวดินจะมีคา pH เพ่ิมข้ึนอีกทั้งสารละลายเหล็กและอลูมินั่มที่เป็นพิษเจือจางลงจนทําใหพืชสามารถเจริญเติบโตไดดี โดยเฉพาะถาหากใชปยุ ไนโตรเจนและฟอสเฟตกส็ ามารถใหผ ลผลิตได 2. การใชปนู ผสมคลุกเคลากับหนาดิน เชน ปูนมาร์ล ปูนฝุนซึ่งปริมาณของปูนท่ีใช ขึ้นอยูกับความรุนแรงของความเป็นกรดของดิน การใชปูนควบคูไปกับการใชน้ําชะลางและควบคุม ระดับน้ําใตดิน เป็นวิธีการ ที่สมบูรณ์ท่ีสุดและใชไดผลมากในพ้ืนที่ซึ่งดิน เป็นกรดจัดรุนแรง และถูก ปลอ ยทิ้งเป็นเวลานาน การปรับสภาพพ้นื ท่ี มีอยู 2 วิธี คอื การปรับระดับผิวหนาดนิ ดว ยวธิ กี าร 1. ปรับระดับผิวหนาดินใหมีความลาดเอียง เพื่อใหนํ้าไหลไปสูคลองระบายนํ้า ตกแตง แปลงนาและคนั นาใหมเ พอ่ื ใหเ กบ็ กักนาํ้ และระบายน้ําออกไปไดการยกรองปลูกพืช สําหรับพืช ไร พืชผัก ไมผล หรือไมยืนตนท่ีใหผลตอบแทนสูง ถาใหไดผลตองมีแหลงนํ้าชลประทานเพื่อขังและ ถายเทน้ําไดเมอื่ น้ําในรองเปน็ กรดจัด 2. การยกรองปลูกพชื ยืนตนหรือไมผ ล ตองคาํ นงึ ถึงการเกดิ นา้ํ ทวมในพ้ืนท่ีนั้น หาก มโี อกาสเส่ียงสงู ก็ไมค วรทาํ หรืออาจยกรอ งแบบเต้ีย ๆ พืชท่ีปลูกเปลี่ยนเป็นพืชลมลุกหรือพืชผัก และ ควรปลกู เป็นพชื หมุนเวยี นกับขา วได วธิ กี ารปรับปรงุ ดินเปรี้ยวจัดเพอ่ื การเกษตร 1. เพอื่ ใชปลูกขา วเขตชลประทาน ดนิ ทีม่ ีคา ความเปน็ กรด-ดา ง นอยกวา 4.0 หนวย ใชป ูนอตั รา 1.5 ตนั ตอไร ดนิ ท่มี ีคาความเปน็ กรด-ดา ง ระหวาง 4.0-4.5 หนว ย ใชใ นอตั รา 1 ตันตอ ไร 2. เพอื่ ใชปลกู ขา วเขตเกษตรน้ําฝน ดินที่มคี าความเปน็ กรด-ดา ง นอ ยกวา 4.0 หนวย ใชปนู ในอตั รา 2.5 ตนั ตอ ไร ดนิ ที่มคี า ความเป็นกรด-ดา ง ระหวา ง 4.0-4.5 หนวย ใชปูนอตั รา 1.5 ตนั ตอ ไร ข้ันตอนการปรบั ปรงุ ดินเปร้ียว หลังจากหวานปูนใหทาํ การไถแปร และปลอ ยนํ้าใหแชข ังในนาประมาณ 10 วนั จากน้ัน ระบายน้าํ ออกเพื่อชะลา งสารพิษและขงั นํ้าใหมเพอ่ื รอปักดํา 1. เพื่อใชปลูกพืชลมลุก การปลูกพืชผักมีวิธีการ คือ ยกรองกวาง 6-7 เมตร คู ระบายกวาง1.5 เมตรและลึก 50 เซนติเมตร ไถพรวนดินและตากดินท้ิงไว 3-5 วัน ทําแปลงยอยบน สันรอง ยกแปลงใหสูง 25-30 เซนติเมตร กวาง 1-2 เมตร เพื่อระบายน้ําบนสันรองและเพ่ือปูองกัน รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอมเพ่ือชวี ติ GESC1104
ไมใหแปลงยอยแฉะเม่ือรดน้ําหรือมีฝนตก ใสหินปูนหรือดินมาร์ล 2-3 ตันตอไร คลุกเคลาใหเขากับ ดิน ท้งิ ไว 15 วัน ใสปุยหมักหรอื ปยุ อนิ ทรยี ์ 5 ตันตอ ไร กอนปลกู 1 วัน เพ่ือปรบั ปรุงดนิ การปลูกพืชไรบางชนิด กระทําได 2 วิธี คือ แบบยกรองสวนและแบบปลูกเป็นพืช คร้ังท่ี 2 หลงั จากการทํานา การปลูกพืชไรแบบยกรองสวนมีวิธีเตรียมพื้นที่เชนเดียวกับการปลูกพืชผัก การปลกู พชื ไรหลงั ฤดทู าํ นาซ่ึงอยใู นชวงปลายฤดฝู น การเตรียมพื้นท่ีตองยกแนวรองใหสูงกวาการปลูกบนพื้นที่ดอน 10-20 เซนติเมตร เพ่อื ปูองกนั ไมใ หน า้ํ แชข ังถามฝี นตกผดิ ฤดู ถาพ้ืนท่ีน้ันไดรับการปรับปรุง โดยการใชปูนมาแลว คาดวา คงไมจาํ เป็นตอ งใชป ูนอีก 2. เพ่ือใชปลูกไมผล สรางคันดินก้ันนํ้าลอมรอบแปลงเพื่อปูองกันนํ้าขัง และติดตั้ง เครื่องสูบน้ําเพ่ือระบายนํ้าออกตามตองการ ยกรองปลูกพืชตามวิธีการปรับปรุงพื้นที่ที่มีดินเปรี้ยวจัด เพื่อปลูกไมผล นํา้ ในครู ะบายนํ้าจะเป็นน้ําเปรย้ี ว ตองระบายออกเม่อื เปร้ยี วจดั และสูบนํ้าจืดมาแทน ชวงเวลาถายนํ้า 3-4 เดือนตอครั้ง ควบคุมระดับนํ้าในคูระบายน้ํา ไมใหต่ํากวาช้ันดินเลน ท่ีมี สารประกอบไพไรท์ เพื่อปูองกันการเกิดปฏิกิริยาท่ีจะทําใหดินมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้นใสปูนอาจเป็น ปูนขาว ปูนมาร์ล หรือหินปูนฝุน โดยหวานท่ัวท้ังรองท่ีปลูกอัตรา 1 - 2 ตันตอไร กําหนดระยะปลูก ตามความเหมาะสมของแตละพชื ขุดหลุม กวาง ยาว และลึก 50 - 100 เซนติเมตร แยกดินช้ันบนและ ดินช้ันลาง ทิ้งไว 1 - 2 เดือน เพ่ือฆาเชื้อโรค เอาสวนท่ีเป็นหนาดินผสมปุยคอกหรือปุยหมักหรือ บางสว นของดนิ ช้นั ลางแลว กลบลงไปในหลมุ ใหเ ต็ม ใสปยุ หมัก 1 กิโลกรัมตอตน โดยผสมคลุกเคลาให เขา กบั ปนู ในอตั รา 15 กิโลกรัมตอหลุม ดแู ลฆาวชั พชื โรค แมลง และใหน้ําตามปกติ สําหรับการใชปุย บาํ รุงดินขน้ึ กับความตอ งการและชนดิ ของพชื ทีจ่ ะปลูก 2. ทฤษฎใี หม่: การบรหิ ารจัดการทด่ี นิ เพอ่ื การเกษตรตามพระราชดาริ ในทุกคร้ังท่ีพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเย่ียมราษฎร ตามพ้ืนท่ีตาง ๆ ทั่วประเทศน้ันไดทรงถามเกษตรกรและ ทอดพระเนตร พบสภาพปัญหา การขาด แคลนน้ําเพ่ือการปลูกขาวและเกิดแรงดลพระราชหฤทัย อันเป็นแนวคิดข้ึนวาขาวเป็นพืชที่แข็งแกรง มาก หากไดนํ้าเพียงพอ จะสามารถ เพิ่มปริมาณเม็ดขาวไดมากยิ่งข้ึน หากเก็บนํ้าฝนท่ีตกลงมาไวได แลว นาํ มาใชใ นการเพาะปลูกก็จะสามารถเกบ็ เกีย่ วไดมากขึน้ เชนกนั การสรางอางเก็บน้ําขนาดใหญนับวันแตจะยากท่ีจะดําเนินการไดเน่ืองจากการขยายตัวของ ชมุ ชนและขอ จาํ กัด ของปรมิ าณท่ดี นิ เป็นอปุ สรรคสําคญั หากแตละครัวเรือนมีสระนํ้าประจําไรนาทุก ครัวเรือนแลว เมื่อรวมปริมาณกันก็ยอมเทากับปริมาณในอางเก็บนํ้าขนาดใหญ แตส้ินคาใชจายนอย และเกิดประโยชนส์ งู สุด โดยตรงมากกวา ในเวลาตอมาไดพระราชทานพระราชดําริใหทําการทดลอง\" รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอมเพื่อชวี ิต GESC1104
ทฤษฎใี หม\" เกีย่ วกบั การจัดการท่ดี ินและแหลง น้ํา เพอื่ การเกษตรข้นึ ณ วดั มงคลชัยพัฒนา ตําบลหวย บง อําเภอเมือง จังหวัดสระบุรี แนวทฤษฎีใหม กําหนดขึ้นดังน้ี ใหแบงพื้นท่ีถือครองทางการเกษตร ซ่ึงโดยเฉลี่ยแลวเกษตรกรไทย มีเนื้อท่ีดินประมาณ 10-15 ไรตอครอบครัว แบงออกเป็นสัดสวน 30- 30-30-10 คอื สวนแรก: รอยละ 30 เนื้อที่เฉล่ีย 3 ไร ใหทําการขุดสระกักเก็บน้ําไวใชในการ เพาะปลกู โดยมคี วามลกึ ประมาณ 4 เมตร ซ่ึงจะสามารถรบั นํา้ ไดจ ุถึง 19,000 ลูกบาศก์เมตร โดยการ รองรับจากน้ําฝน ราษฎรจะสามารถนํานํ้าน้ีไปใชในการเกษตร ไดตลอดปีและยังสามารถเลี้ยงปลา และปลูกพืชน้ํา พืชริมสระ เพ่ือเพิ่มรายไดใหกับครอบครัวอีกทางหน่ึงดวย สวนท่ีสอง : รอยละ 60 เนอ้ื ทเ่ี ฉลย่ี ประมาณ 10 ไร เป็นพื้นท่ีทําการเกษตรปลูกพืชผลตาง ๆ โดยแบงพ้ืนที่นี้ออกเป็น 2 สวน คอื รอ ยละ30ในสว นท่ีหนึง่ :ทํานาขาวประมาณ5ไร คดิ เปน็ รอ ยละ30 สว นทสี่ อง: ปลูกพชื ไรห รือพชื สวนตามแตสภาพของพื้นท่ีและ ภาวะตลาด ประมาณ 5 ไร พระบาทสมเด็จพระเจา อยูหวั ทรงคํานวณโดยใชหลกั เกณฑว์ า ในพื้นทท่ี าํ การเกษตรน้ีตองมีน้ําใช ในชวงฤดแู ลง ประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตรตอ ไร ถา หากแบง แตละแปลงเกษตรใหมีเน้ือท่ี 5 ไร ทั้ง 2 แหงแลว ความตองการนํ้าจะตอง ใชประมาณ 10,000 ลูกบาศก์เมตร ท่ีจะตองเป็นนํ้าสํารองไวใช ในยามฤดแู ลง สวนที่สาม : รอ ยละ 10 เป็นพื้นท่ีที่เหลอื มเี น้อื ท่เี ฉลยี่ ประมาณ 2 ไร จัดเป็นที่อยูอาศัย ถนนหนทาง คันคดู ินหรอื คคู ลอง ตลอดจนปลกู พชื สวนครัวและเลย้ี งสัตว์ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวไดพระราชทานแนวพระราชดําริอันเป็นหลักปฏิบัติ สําคัญย่ิงในการดําเนินการ คือ วิธีการน้ีสามารถใชปฏิบัติไดกับเกษตรกรผูเป็นเจาของท่ีดิน ที่มีพื้น ท่ีดินจํานวนนอย แปลงเล็ก ๆ ประมาณ 15 ไร (ซึ่งเป็นอัตราถือครองเนื้อที่การเกษตรโดยเฉลี่ยของ เกษตรกรไทย) มงุ ใหเกษตรกรมีความพอเพียงในการเล้ียงตัวเองได (Self sufficiency) ในระดับชีวิตท่ี ประหยัดกอนโดยมุงเนนใหเห็นความสําคัญของความสามัคคีกันในทองถ่ิน กําหนดจุดมุงหมายให สามารถผลติ ขา วบรโิ ภคไดเพียงพอท้ังปี โดยยึดหลักวาการทํานา 5 ไรของครอบครัวหนึ่งน้ัน จะมีขาว พอกินตลอดปีซึ่งเปน็ หลักสําคัญของทฤษฎีใหมนี้ นอกจากนี้ ยังทรงคํานึงถึงการระเหยของน้ําในสระ หรืออางเก็บนํ้าลึก 4 เมตร ของเกษตรกรดวยวา ในแตละวันท่ีไมมีฝนตกคาดวานํ้าระเหย วันละ 1 เซนติเมตร ดังน้ัน เม่ือเฉลี่ยวาฝนไมตกปีละ 300 วันนั้น ระดับนํ้าในสระจะลดลง 3 เมตร จึงควรมี การเติมนํา้ ใหเพยี งพอ เนื่องจากน้าํ เหลอื กน สระเพยี ง 1 เมตร เทาน้ัน ดังน้ัน การมีแหลงนํ้าขนาดใหญ เพื่อคอยเตมิ นา้ํ ในสระเล็ก จึงเปรียบเสมือนมีแทงค์น้ําใหญ ๆ ท่ีมีนํ้าสํารอง ที่จะเติมนํ้าอางเล็กใหเต็ม อยูเสมอ จะทําใหแนวทางปฏิบัติสมบูรณ์ขึ้น กรณีของการทดลองท่ีวัดมงคลชัยพัฒนา ทรงเสนอ วธิ กี ารดังนี้ ใหม ีตุม นา้ํ เล็ก คือ สระนํ้าที่ราษฎรขุดข้ึนตามทฤษฎีใหมนี้ เมื่อเกิดชวงขาดแคลนน้ําในฤดู แลง ราษฎรก็สามารถสบู นา้ํ มาใชป ระโยชน์ได และหากน้าํ ในสระไมเ พียงพอก็ขอรับน้าํ จากอางหวยหิน รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ มเพ่ือชวี ติ GESC1104
ขาวซ่ึงไดทําระบบสงนํ้าเชื่อมตอลงมายังสระน้ําท่ีไดขุดไวในแตละแปลงซ่ึงจะชวยใหสามารถมีนํ้าใช ตลอดปี ในกรณรี าษฎรใชน ํ้ากนั มากอางหว ยหนิ ขาวกอ็ าจมีปรมิ าณนํ้าไมเพียงพอ หากโครงการพัฒนา ลุม น้ําปุาสกั สมบรู ณ์แลว ก็ใชว ธิ ีการสบู นาํ้ จากปุาสกั มาพกั ในหนองน้ําใดหนองนํ้าหนง่ึ แลวสูบตอลงมา ในอางเก็บนาํ้ หว ยหินขาวกจ็ ะชวยใหม ีปริมาณนํ้าใชมากพอตลอดปี ทฤษฎีใหมจึงเป็นแนวพระราชดําริใหมท่ีบัดน้ีไดรับการพิสูจน์ และยอมรับกันอยาง กวา งขวางในหมเู กษตรกรไทยแลววา พระราชดําริของพระองค์เกิดขึ้นดวย พระอัจฉริยภาพ สูงสง ที่ สามารถนําไปปฏิบัติไดอยางแทจริง ความสมบูรณ์พูนสุขแหงราชอาณาจักรไทย อุบัติขึ้นในคร้ังน้ีดวย พระปรีชาสามารถอันเฉียบแหลมของพระมหากษัตริย์ไทยผูมิเคยทรงหยุดนิ่งท่ีจะระดมสรรพกําลังท้ัง ปวงเพื่อความสุขของพสกนกิ รชาวไทย 3. หญา้ แฝก: รากฝังลกึ อนุรักษ์หนา้ ดนิ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวทรงตระหนักถึงการพังทลายของดินและการสูญเสียหนาดินที่ อุดมสมบูรณ์ พระองค์จึงทรงมีพระราชดําริใหศึกษา “หญาแฝก” และนํามาใชในการอนุรักษ์ดินและ นํ้า รวมทั้งใชประโยชน์ดานอื่นๆ ต้ังแตปี พ.ศ. 2534 เป็นตนมา ในปัจจุบันไดมีหนวยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนมากกวา 30 หนว ยงาน รวมดําเนนิ การศกึ ษาวจิ ัยเกย่ี วกับหญาแฝก ภาพที่ 4.3 ระบบรากของหญาแฝก และลําตน ขอมลู ทั่วไปของหญาแฝก หญาแฝกเป็นพืชตระกูลหญาท่ีข้ึนเป็นกอหนาแนนอยูตามธรรมชาติ ท่ัวทุกภาคของประเทศ จากทล่ี ุมจนถงึ ทด่ี อน สามารถขน้ึ ไดดใี นดินเกอื บทุกชนดิ เจรญิ เติบโตโดยการแตกกอเสนผาศูนย์กลาง กอประมาณ 30 เซนติเมตร ความสูงจากยอดประมาณ0.5-1.5 เมตร ใบแคบยาว ประมาณ 75 รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ มเพ่ือชีวติ GESC1104
เซนติเมตร กวางประมาณ 8 มิลลิเมตร คอนขางแข็ง เจริญเติบโตในแนวดิ่งมากกวาออกทางดานขาง และมีจํานวนรากมากจึงเป็นพืชท่ีทนแลงไดดี รากจะประสานติดตอกันหนาแนนเสมือนมานหรือ กําแพงใตดิน สามารถกักเก็บนํ้าและความช้ืนได ระบบรากจะแผขยายกวางเพียง 50 เซนติเมตร โดยรอบกอเทานน้ั ไมเปน็ อปุ สรรคตอพืชทปี่ ลกู ขางเคยี ง จึงสามารถนาํ มาปลกู เพื่อใชในการอนุรักษ์ดิน และน้ํา เป็นวิธีหน่ึงท่ีจะชวยใหดินมีความชุมชื้นและรักษาหนาดิน รักษาสภาพแวดลอมและอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ สามารถนําไปปลูกบนพื้นที่สองขางของทางชลประทาน อางเก็บน้ํา บอนํ้า ปุาไม ขอบตลิง่ คอสะพาน ไหลถ นน เพื่อปูองกันการชะลา งพงั ทลาย การใชป ระโยชนข์ องหญาแฝก 1. การใชป ระโยชน์หญาแฝกเพื่อการอนรุ ักษ์ดินและน้ํา 1.1 การปลูกหญาแฝกเป็นแถวตามแนวระดับขวางตามความลาดเท แถว หญาแฝกน้ีจะชว ยชะลอความเรว็ ของนา้ํ ท่ไี หลบา และดักเก็บตะกอนดินเอาไวน้ําที่ไหลบาบางสวนก็จะ ซมึ ลงสดู ินช้นั ลางและไหลผา น แนวหญาแฝก เมื่อแถวหญาแฝกทําหนาท่ีดักตะกอนดินเป็นระยะเวลา ยาวนานก็จะเกิดการทับถมของตะกอนดินหนาแถว หญาแฝกเพ่ิมข้ึนทุกๆ ปีในท่ีสุดก็จะเกิดคันดิน ข้นึ มาชว ยลดความแรงของกระแสน้ําตามธรรมชาติ 1.2 การปลูกหญาแฝกเพื่อแกปัญหาการพังทลายของดิน จนเป็นรองนํ้า แบบลึก(Gully erosion) ในพ้ืนท่ีที่มีความลาดชันสูงและไมมีการ จัดการระบบการอนุรักษ์ดินและน้ํา มักเกิดกษัยการแบบรองน้ําลึก ปัญหาน้ีสามารถแกไขไดโดยการปลูกหญาแฝกขวางเหนือบริเวณรอง ลึก แลวใชถุงทรายหรือหินเรียงเป็นแนว เพ่ือชะลอความเร็วของน้ําท่ีไหลบา ในระยะท่ีแฝกเร่ิมตั้งตัว สวนในบรเิ วณรอ งลึกปลกู หญา แฝกเปน็ แถวขวาง ทองรองเป็นระยะๆ ซึ่งในไมชาดินก็จะคอยๆ ทับถม สูงขน้ึ จนเสมอผวิ ดนิ เดิม 1.3 การปลูกหญาแฝกเพ่ืออนุรักษ์ความชุมช้ืนของดิน จากการศึกษาใน ตางประเทศ พบวาการปลูกไมผล เชน ตนมะกอก รวมกับแถวหญาแฝกในระยะ 3 ปีแรก ตนมะกอก จะสามารถตงั้ ตวั ไดโ ดยไม มีการใชน้ําชวยเลย นอกจากนใี้ บของหญาแฝกยงั สามารถตดั มาใชประโยชน์ เปน็ วัสดุคลุมดิน เพื่อลดแรงกระแทกของเม็ดฝนตอผิวดิน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําใหเกิดกษัยการของ ดิน รวมทงั้ ยังอาํ นวยประโยชน์ ในการรักษาความชมุ ชืน้ ใหแกด นิ ไดอ กี ดว ย 1.4 การปลกู หญาแฝกเพอื่ ปอู งกันการเสียหายของขัน้ บันไดดินหรือคันคูรับ นา้ํ รอบเขา ในพน้ื ทีล่ าดชันมักนิยมปลูกบนขั้นบันไดดนิ หรอื มกี ารสรา งคนั คดู ินรอบเขา 1.5 การใชหญาแฝกในการปูองกันตะกอนดินทับถมลงสู คลองสงนํ้า คลอง ระบายน้ํา และอางเก็บน้ําในไรนา การปูองกันดังกลาว ทําไดโดยการปลูกหญาแฝกเป็นแนวบริเวณ รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอมเพื่อชวี ติ GESC1104
สองขา งทางคลองสงน้าํ คลองระบายนา้ํ และบริเวณสันเข่อื นของอางเก็บน้ํา ซ่ึงจะชวยปูองกัน การทับ ถมของตะกอนดนิ ทาํ ใหย ดื อายุการใชงานใหย าวข้นึ 2. การใชประโยชน์หญาแฝกในการอนุรักษ์สิ่งแวดลอมและระบบนิเวศวิทยาทําได โดยการปลูกหญาแฝกเป็นแนวขนานไปตามคลองสงน้ําหรือแมน้ําลําคลอง แถว หญาแฝกจะชวยใน การดักตะกอนดินและขยะมูลฝอยไมใหลงไปสูแมนํ้า ลําคลอง ซึ่งจะเป็นสาเหตุใหเกิดการตื้นเขินและ นํา้ เนา เสีย การปลกู หญาแฝก ในบรเิ วณดงั กลาวจงึ ชวยใหน าํ้ ในแหลงน้ํามีความใสสะอาดย่ิงขนึ้ 3. การใชห ญา แฝกดา นอื่นๆ เชน ปลูกหญาแฝกบนคันนา เพ่ือชวย ใหคันนาคงสภาพ อยูไดนาน ใชมุงหลังคาเลี้ยงสัตว์ ใชเป็นสมุนไพรและ นํ้าหอม เป็นตน (กรมพัฒนาท่ีดิน. ออนไลน์. 2559) บทสรปุ ดินเป็นตัวกลางท่ีทําใหน้ํา แสงแดด และอากาศ รวมกันสรางพืช และเป็นปัจจัยกอเกิด ทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ อันไดแก ปุาไม สัตว์ปุา นํ้า และแรธาตุ ปัจจุบันกิจกรรมของมนุษย์ท้ังดาน การเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเป็นสาเหตุสําคัญของการเกิดมลพิษในดิน เชน ปัญหาดินเค็ม ดิน เปรีย้ ว และการชะลางพงั ทลายของดนิ ที่สง ผลตอการลดลงของผลิตผลจากการเพาะปลูก การจัดการ แกปัญหาทรัพยากรดินตองรวมมือจากทุกฝุายโดยการใหความรูแกเกษตรกร และนอมนําเอาแนว พระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวไปปฏิบัติอยางเป็นรูปธรรม ทั้งนี้โครงการแกปัญหา ทรัพยากรดนิ อันเนื่องมาจากพระราชดํารทิ ี่สาํ คัญ ไดแก โครงการแกลงดิน โครงการเกษตรทฤษฎีใหม และโครงการหญาแฝก ซึ่งราษฎรสามารถนําเอาแนวพระราชดําริน้ีไปเป็นแนวทางการจัดการ ทรพั ยากรดนิ ใหย่ังยนื ตลอดไป ศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาห้วยทราย อนั เน่อื งมาจากพระราชดาริ เม่ือวันท่ี 5 เมษายน 2526 พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว เสด็จพระราช ดาํ เนนิ ไปทอดพระเนตรพื้นท่หี ว ยทราย อาํ เภอชะอํา จังหวัดเพชรบุรี ทรงมี พระ ราช ดํารัสความตอนหน่ึงวา “...หากปล่อยท้ิงไว้จะเป็นทะเลทรายในที่สุด...” และมีพระราชดําริใหจัดต้ังศูนย์ศึกษาการพัฒนาหวยทราย อันเนื่องมาจาก พระราชดาํ ริ จงั หวดั เพชรบรุ ี เพือ่ ปรับปรุงโครงสรางของดินทางดานกายภาพโดย ชว ยเพมิ่ อินทรยี ว์ ัตถุใหก บั ดนิ ทาํ ใหดนิ เกาะตัวเปน็ กอ นอมุ น้าํ ไวไ ดมากขึ้น รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอมเพ่ือชีวิต GESC1104
กจิ กรรมที่ 4 ทรัพยากรดินเพ่ือชวี ติ 1. หลกั การ ดินจัดเป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทใชแลวไมหมดส้ิน และมีความสําคัญตอสิ่งมีชีวิตทุก ชนิด ซึ่งตองอาศัยอยูบนพ้ืนดิน โดยเฉพาะมนุษย์ใชดินเป็นปัจจัยสําคัญในการดํารงชีวิต เชน เป็น แหลงที่อยูอาศัย แหลงผลิตอาหาร แหลงกําเนิดของแรธาตุตางๆ ซึ่งใชเป็นวัตถุดิบในการ ผลิต อุตสาหกรรมประเภทตางๆ ท้ังยังใชดินเป็นแหลงรองรับของเสียที่เกิดขึ้นจากการกระทําของมนุษย์ เปน็ ผลใหทรพั ยากรดินเสือ่ มโทรม เกิดปัญหาทางดานทรัพยากรดินตาง ๆ เชน ดินเค็ม ดินเปร้ียว ดิน พรุ ดินขาดธาตุอาหาร ดินถลม เกิดการกษัยการของดินทําใหการใชประโยชน์ของทรัพยากรดินลด นอยลง ดังน้ัน จึงจําเป็นตองมีการจัดการทรัพยากรดินใหเหมาะสมกับสภาพการเปล่ียนแปลงของ ทรพั ยากรดนิ เพอื่ ใหเ กิดประโยชนจ์ ากการใชท รพั ยากรดนิ ไดอยา งยั่งยืน 2. จดุ ประสงค์ 2.1 อธิบายเก่ียวกบั การเกิดดิน สมบตั ิของดนิ โครงสรา งของดินได 2.2 สามารถยกตวั อยางปัญหาของดนิ พรอมทัง้ บอกสาเหตผุ ลกระทบและแนวทางการ แกไ ข ไดอยางถูกตองอยางนอ ย 1 ตวั อยา ง 2.3 จําแนกเนอ้ื ดนิ และประเภทของดนิ ได 2.4 อธิบายและยกตัวอยางเกีย่ วกบั แนวทางการพฒั นาดินตามแนวพระราชดําริของ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว อยางนอย 1 ตวั อยาง 3. วิธีปฏิบัตกิ จิ กรรม 3.1 ศกึ ษาจากเอกสาร 3.2 วิเคราะหต์ วั อยางดินและจําแนกเนื้อดนิ โดยวิธสี มั ผัส ดังน้ี คลึงดินที่ชื้นใหเป็นแทงในผามือ ถาสามารถทําใหเป็นแทงยาวมากกวา 1 เซนติเมตร จัดเป็นประเภทดินเนื้อละเอียด ไดแก ดินท่ีมีดินเหนียวปนอยูมาก ถายาวไมถึง 1 เซนติเมตร จดั เปน็ ประเภทดนิ เนือ้ ปานกลาง ไดแ ก ดินที่ไมแสดงความเดนชัดในรูปดินทรายหรือดิน เหนยี ว ถา ไมเ ป็นแทงเลย จัดเปน็ ประเภทดนิ เนื้อหยาบ ไดแก ดินทม่ี ที รายอยูมาก 3.3 วิเคราะห์ตวั อยา งดนิ และจําแนกประเภทของดิน โดยพิจารณาจากคาความเป็นกรด เป็นดางของดิน นําดินตัวอยางใสนํ้าเขยาท้ิงใหตกตะกอนแลวหยดยูนิเวอร์เซลอินดิเคเตอร์ 2-3 หยด แลวสังเกตสีของสารละลายดิน เทียบกับสี มาตรฐาน ถาเป็นกรด จะไดสีเหลือง - สม- แดง ถา เปน็ ดา ง จะไดสี น้ําเงนิ - มว ง ถา เป็นกลาง จะไดส เี ขยี ว 3.4 ใหวิเคราะห์และเขยี นผงั ความคดิ เก่ียวกบั การพัฒนาดนิ ตามแนวพระราชดาํ ริ รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอมเพ่ือชวี ิต GESC1104
4. ผลการศึกษา 4.1 ลักษณะเนื้อดนิ ตัวอยาง ความยาวของดินเมื่อคลึงในฝุามือ(ซม.) ลกั ษณะเน้ือดนิ 4.2 ความเปน็ กรดเป็นดา งของดนิ ตัวอยาง สีของสารละลายดิน สขี องสารละลายดินเมอื่ หยด ความเปน็ กรด-ดา ง ยูนิเวอร์แซลอินดิเคเตอร์ ของดิน สรุป ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................ ................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................. ... 4.3 สรา งผงั ความคิดเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาดนิ ตามแนวพระราชดําริ รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ มเพ่ือชวี ติ GESC1104
5. คาถาม 5.1 เขยี นผงั แสดงการเกิดของดินมาอยา งละเอียด 5.2 ยกตวั อยา งปัญหาดนิ มา 1 ชนิด บอกสาเหตแุ ละแนวทางแกไข ปัญหา ............................................................................................................................. ................................ .................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. สาเหตุ ............................................................................................................................ ................................. ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ ................................................................................................................................. ............................ ...................................................................................................... ....................................................... แนวทางการแกไข ............................................................................................................................. ................................ ................................................................................................................................................... .......... ........................................................................................................................ ..................................... ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมเพื่อชวี ิต GESC1104
เอกสารอ้างอิง กรมพัฒนาท่ีดิน. (22 กรกฎาคม 2559). หญาแฝกเฉลิมพระเกียรติ. http://www.ldd.go.th/ link_vetiver/index.htm. เกษม จันทรแ์ กว (2558). วทิ ยาศาสตร์ส่งิ เเวดลอ้ ม. กรงุ เทพมหานคร: อกั ษรสยามการพมิ พ.์ พูลสุข (โพธิรักขิต) ปรัชญานสุ รณ์. (2553). เคมีสิ่งแวดล้อม. นนทบุรี: บริษัทเอ-บ฿คุ ดิสทริบวิ ชัน จํากดั . วิสาขา ภูจินดา. (2556). การประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการ ส่ิงแวดล้อม. กรุงเทพมหานคร: ทุนสนับสนุนงานเขียนตํารา คณะพัฒนาสังคมและ สงิ่ แวดลอม สถาบนั บัณฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตร์. Raven, P. H., Berg, L. R. and Hassenzahl, D. M. (2008). Environment. 6thEdition. New Jersey: John Wiley & Sons. รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ มเพ่ือชีวติ GESC1104
บทท่ี 5 ทรพั ยากรนา้ เพ่อื ชีวิต น้ําท่ีเป็นของเหลวในแมนํ้า ลําคลอง หวย หนอง คลอง บึง และมหาสมุทร ซ่ึงนักวิชาการ สงิ่ แวดลอม จัดนา้ํ เปน็ ทรัพยากรทใ่ี ชแ ลวไมมวี นั หมดส้ิน อันเป็นปัจจัยพืน้ ฐานทีส่ ําคัญในการดํารงชีวิต ของมนุษย์และส่ิงมชี ีวติ อื่นๆ จากอดตี ถงึ ปัจจุบนั จะเห็นไดจ ากการตง้ั ชุมชน บานเรอื น จะเลือกต้ังใกล แหลงนํ้า ชุมชุมเหลาน้ันจึงมีความเจริญกาวหนามากทั้งทางดาน เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แต เมื่อมีการเพ่ิมประชากรอยางรวดเร็วจากความเจริญของชุมชนน้ันๆ เป็นผลกระทบตอทรัพยากรน้ํา อยางย่ิง ท้ังความตองการปริมาณนํ้าในการอุปโภคบริโภค การระบายนํ้าท่ีใชแลวลงสูแมนํ้าลําคลอง จนทําใหแหลงน้ําไมสามารถฟื้นคืนสภาพไดเอง เกิดเป็นปัญหาแหลงนํ้าเสื่อมโทรม คุณภาพของนํ้า เปลยี่ นแปลง ดงั นนั้ ทรัพยากรนํ้าจงึ เป็นทรัพยากรที่สําคัญตอ มนุษย์อยางยง่ิ ความหมาย นํ้าในทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง สารประกอบชนิดหน่ึงท่ีเกิดจากการรวมตัวของธาตุ ไฮโดรเจน 2 อะตอม กับธาตุออกซิเจน 1 อะตอม โดยธาตุท้ัง 2 จะมีการใชอิเล็กตรอนรวมกัน เกิด เปน็ พันธะโควาเลนต์ซึ่งมสี ูตรทางเคมี เปน็ H2O น้ํา ในความหมายของส่ิงแวดลอม หมายถึง ทรัพยากรธรรมชาติชนิดท่ีมีการหมุนเวียน เปลยี่ นแปลงไดต ามวัฎจักร มีความสาํ คญั ตอ การดํารงชีวิตของสิง่ มีชีวติ ทุกชนดิ ทั้ง คน พชื สตั ว์ น้ําเสีย หมายถึง นํ้าท่ีมีส่ิงเจือปนตาง ๆ มากมาย จนกระทั่งกลายเป็นนํ้าท่ีไมเป็นท่ีตองการ และนารังเกียจของคนทั่วไป ไมเหมาะสมสําหรับใชประโยชน์อีกตอไป หรือถาปลอยลงสูลํานํ้า ธรรมชาติก็จะทําใหคุณภาพนํ้าของธรรมชาติเสียหายได ไดแก น้ํามัน ไขมัน ผงซักฟอก สบู สารฆา แมลง สารอินทรยี ์ทท่ี าํ ใหเกดิ การเนา เหมน็ และเชอื้ โรคตางๆ (กรมควบคุมมลพิษ. ออนไลน์. 2559) น้าํ ท้ิง หมายถึง น้ําเสียท่ีผานระบบบําบัดนํ้าเสียแลวจนเป็นไปตามมาตรฐานควบคุมการระบ บายนาํ้ ทิ้ง (ประกาศกระทรวงวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละสง่ิ แวดลอม เร่ือง กําหนดมาตรฐานควบคุม การระบายนํา้ ทิง้ จากอาคารบางประเภคและบางขนาด พ.ศ. 2539) วัฏจกั รของน้า วัฏจักรนํ้าเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของการหมุนเวียนนํ้าจากผิวโลกสูบรรยากาศและ กลับคืนสูผิวโลกอีกครั้ง โดยดวงอาทิตย์ยังมีบทบาทสําคัญ และเป็นกระบวนการที่เก่ียวของกับการ รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ มเพื่อชวี ิต GESC1104
หมุนเวียนผานระบบนิเวศโลก วัฏจักรน้ําไมมีการสรางขึ้นมาใหม แตจะทําความสะอาดและฟื้นฟู สภาพนํ้าในแหลงตาง ๆ ใหดีขึ้น โดยปริมาณของน้ําในวัฏจักรจะไมเปล่ียนแปลง ซ่ึงวัฏจักรนํ้ามี ความสําคัญอยางยิ่งในการชวยกระจายน้ําไปยังสวนตาง ๆ ของโลก และรักษาระบบบนิเวศใหคงอยู อีกดว ย ภาพท่ี 5.1 วัฏจกั รน้ํา (ทม่ี า: Raghunath. 2006: 13) ประเภทของแหล่งน้า น้ําบนโลกสวนใหญเป็นนํ้าเค็ม มีนํ้าจืดเพียงรอยละ 3 เทานั้น และสวนที่เป็นนํ้าจืดสวนใหญ เป็นน้ําแข็งอยูตามขั้วโลกเหนือและข้ัวโลกใต นอกจากน้ียังมีนํ้าจืดอีกสวนหนึ่งอยูในบรรยากาศที่ เรียกวา ไอน้ํา ดังน้ันมนุษย์จึงเหลือแหลงนํ้าจืดที่นํามาใชประโยชน์ไดจริงๆไมถึงรอยละ 1 ซึ่งมีเพียง แหลงน้ําในแมน า้ํ ทะเลสาบ และนํ้าบาดาลในชัน้ ตน้ื เทา นนั้ นํา้ ตา ง ๆ สามารถจําแนกไดจ ากสถานทีท่ พ่ี บของนํา้ ไดด งั น้ี 1. แหลงนํ้าผิวดิน (Ground water) ไดแก น้ําจากแมนํ้าตางๆ ลํานํ้าธรรมชาติ หนองน้ํา หวย คลอง บึง มหาสมุทร ตลอดจนอางเก็บนํ้า บริเวณดังกลาวนับวาเป็นแหลงน้ําจืดที่ สาํ คญั ทสี่ ดุ 2. แหลงน้ําใตดิน (Underground water) น้ําใตดินเกิดจากน้ําผิวดินซึมผานดินช้ัน ตาง ๆ ลงไปถงึ ชัน้ ดินหรอื หินทีน่ ้าํ ซมึ ผา นไมได (Impervious rocks) รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ มเพ่ือชวี ิต GESC1104
3. แหลงนํ้าจากฟูา (Precipitation) นํ้าจากฟูาหรือนํ้าฝน เป็นนํ้าโดยตรงที่ไดรับ จากการกล่นั ของไอน้ําในบรรยากาศ นา้ํ ฝนเป็นแหลง นาํ้ จดื ท่ีสาํ คัญทม่ี นษุ ยใ์ ชใ นการอุปโภคบรโิ ภค มลพษิ ทางน้า มลพิษทางนํ้า (Water pollution) หมายถึง นํ้าที่มีสารมลพิษปนเปื้อนเกินขีดจํากัด มีคุณสมบัติเปล่ียนไปจากธรรมชาติ จนทําใหมนุษย์ สัตว์และพืช ไดรับอันตรายทั้งทางตรงและ ทางออม ภาวะท่ีน้ําเส่ือมคุณภาพหรือมีคุณสมบัติเปลี่ยนไปจากเดิมน้ี กอใหเกิดความเสียหายตอการ ใชป ระโยชน์ของมนุษยแ์ ละเป็นอันตรายตอ สงิ่ มชี ีวติ 1. สาเหตุของการเกิดมลพิษทางน้า สาเหตุสําคัญของการเกิดมลพิษทางน้ํามาจากการธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ ซ่ึงการ เพม่ิ จํานวนประชากรอยางรวดเรว็ สง ผลใหแ หลงท่ีอยูอ าศัยมคี วามหนาแนน ปรมิ าณน้าํ เสียจากการใช น้ําเพื่อการดํารงชีวิตประจําวัน การเกษตร และโรงงานอุตสาหกรรมจึงเพ่ิมข้ึน ซึ่งน้ําเสียเหลานี้อาจ ประกอบดวยสารอนิ ทรีย์ แบคทเี รยี เชอ้ื โรค สารเคมี และโลหะหนัก แหลงกาํ เนิดมลพิษท่ีสงผลกระทบตอคุณภาพน้ําแบงออกเป็น 2 ประเภทใหญ ไดแก แหลงที่ มีจดุ กําเนดิ แนนอน (Point source) คือ แหลงกําเนิดท่ีสามารถระบุตําแหนงการระบายสารมลพิษลง สแู หลงนํ้าไดอยางชัดเจน เชน แหลงชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม เป็นตน และแหลงกําเนิดไมแนนอน (Non - point source) ไดแ ก การเกษตรกรรม ซ่ึงไมส ามารถระบุจุดกําเนิดและแหลงระบายของเสีย ไดแนน อน 1.1 มลพิษทางนํ้าท่ีเกิดจากนํ้าโสโครกจากแหลงชุมชน (Domestic wastewaters) แบงออกเปน็ 3 ชนิด 1) Salinity wastewaters คือ น้ําโสโครกที่ถูกปลอยออกมาจาก บา นเรือน เปน็ น้าํ โสโครกท่รี วมกับน้าํ จากหอ งน้ํา หองครัวและนํ้าซกั ผา 2) Domestic wastewaters คือ น้ําโสโครกท่ีถูกปลอยออกมาจากชุมชน ซึ่งรวมถึงนํ้าทิ้งของบานเรือน ตลาดและโรงพยาบาล 3) Municipal wastewaters คือ นํ้าโสโครกที่อยูในทอน้ําโสโครกของ เทศบาล ซ่ึงโดยตามปกติแลวจะมีแตน้ําโสโครกที่ถูกปลอยออกมาจากชุมชน ( Domestic wastewaters) แตบางแหง ทางเทศบาลอนญุ าตใหโรงงานอตุ สาหกรรมยอ ย ถา ยท้งิ ลงสูทอระบายรวม กบั Domestic waters ได นา้ํ ในทอ จงึ มคี วามสกปรกมากขึ้น รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ มเพื่อชวี ิต GESC1104
1.2 มลพิษทางนํ้าท่ีเกิดจากนํ้าท้ิงจากโรงงานอุตสาหกรรม ( Industrial wastewaters) เป็นมลพิษทางนา้ํ ท่เี กดิ จากกจิ กรรมของโรงงานรวมกับกิจกรรมของคนงานทีท่ ํางาน 1.3 มลพิษทางน้ําท่ีเกิดจากน้ําท้ิงจากการเกษตร (Agricultural wastewater) เน่ืองจากการใชสารเคมีตาง ๆ เพื่อเพ่ิมผลผลิตทางการเกษตร เชน การใชปุยเคมี การใชสารฆา ศัตรูพืชและสัตว์ บางสวนตกลงสูพ้ืนดิน บางสวนถูกพัดพาโดยกระแสลมและบางสวนถูกพัดพาไปกับ กระแสน้ํา เมื่อฝนตกก็จะชะลางลงสูแหลงน้ํา นอกจากสารมลพิษแลวยังมีปริมาณตะกอนที่เกิดจาก การชะลางพังทลายของหนาดิน เนื่องมาจากการเกษตรทําใหนํ้ามีความขุนสูงโดยมีปริมาณฝนเป็น ตวั เรง ใหเกิดการชะลา งและพดั พาไปกับกระแสนาํ้ โดยสรุปสาเหตกุ ารเกดิ มลพิษทางนํ้าไดด ังภาพท่ี 5.2 สาเหตุ เกษตร อตุ สาหกรรม ชุมชน - ปยุ - นาํ้ มีอุณหภูมสิ งู - สารอินทรยี ์ - มลู สัตว์ - โลหะหนกั - แบคทเี รีย - สารฆา ศตั รูพชื - สารฟอสเฟต ภาพท่ี 5.2 สาเหตกุ ารเกิดมลพิษทางนํ้า รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอมเพื่อชีวิต GESC1104
2. ดัชนคี ณุ ภาพน้า แหลงน้ําแตละแหลงมีลักษณะที่แตกตางกันออกไป การจะบงบอกวาแหลงน้ําใดเป็นแหลง น้ําดีหรือน้ําเสียจําเป็นตองมีส่ิงช้ีบงคุณภาพของน้ํา เรียกวา ดัชนีคุณภาพ แบงออกได 4 ลักษณะ คือ ดชั นคี ณุ ภาพนํ้าทางกายภาพ ดชั นคี ุณภาพนา้ํ ทางเคมี ดัชนคี ณุ ภาพนา้ํ ทางชีวภาพ และดัชนีคุณภาพ น้าํ ทางดานสารพษิ ดงั ภาพที่ 5.3 ดชั นคี ุณภาพน้า กายภาพ เคมี ชวี ภาพ สารพิษ - อณุ หภูมิ - ดโี อ, บีโอดี - โคลิฟอรม์ - โลหะหนกั - สี - ซโี อดี - สารหนู - ความขุน - กรด-เบส แบคทเี รีย - สารฆา - กล่นิ และรส - จลุ นิ ทรยี ์ ศัตรูพชื - สาหราย ภาพที่ 5.3 ดชั นบี อกคุณภาพน้าํ 2.1 ดัชนีคณุ ภาพน้าํ ทางกายภาพ 1) อุณหภูมิ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแหลงนํ้าเกิดข้ึนไดจากการท่ีมีแสง สองผานลงสูแหลงน้ําและมีการเปล่ียนแปลงพลังงานแสงเป็นพลังงานความรอน ซึ่งมีผลตอการเรง ปฏกิ ิริยา เคมีและมีผลตอการละลายออกซิเจนในนํ้า ถาน้ํามีอุณหภูมิสูงออกซิเจนจะนอยลง ทางกรม รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
อุตสาหกรรมและกรมเจาทาไดกําหนดอุณหภูมิของน้ําท้ิงที่ระบายลงสูแหลงนํ้าสาธารณะตองไมเกิน 40 องศาเซลเซยี ส (หรอื มอี ณุ หภูมิไมเ กนิ 2 องศาเซลเซียส จากนาํ้ ปกติ) 2) สี แหลงนํ้าธรรมชาติทั่วไปจะมีสีเหลืองจนถึงน้ําตาลซ่ึงเกิดจากการ หมักทับถมของสารอินทรีย์ สวนความขุนเกิดจากสารแขวนลอย ตะกอน ซึ่งจะขัดขวางทางเดินของ แสง การวัดสีวัดดวยหนวย Platinum cobalt unit คา 1-300 หนวย (1 คือใสมาก 300 คือ คล้ํา มาก) สวนความขนุ วัดดว ยหนว ยเจทยี ู (น้ําธรรมชาติ = 25-75 JTU) 3) ความโปรงแสง ความโปรงใสของน้ําเป็นการวัดความใสของน้ําท่ี สามารถมองเห็นไดโดยประมาณคาความลึกนี้จะเป็นคาที่บอกระยะของเขตที่แสงสองถึง หากแหลง น้าํ ใดมีคา ความโปรงใสอยูระหวาง 30 -60 เซนตเิ มตร มคี วามเหมาะสมตอ การเจริญเติบโตของสัตว์น้ํา ถาต่ํากวา 30 เซนติเมตร นํา้ มีคา ความโปรงแสงนอยเกนิ ไปซึงอาจทําใหเ กิดการขาดแคลนออกซิเจนได เน่ืองจากกระบวนการสังเคราะห์ดวยแสงของแพลงก์ตอนจะมีอัตราสวนพื้นท่ีนอยลง ถาคาความ โปรงใสมคี ามากกวา 60 เซนตเิ มตรแหลงน้ํานั้นไมคอยมีความสมบูรณ์ เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของ แพลงกต์ อนในแหลง นํ้านั้นนอย 4) ความขุน หมายถึง น้ําที่มีพวกสารหอยแขวน ซึ่งขัดขวางทางเดินของ แสงท่ผี านนํา้ น้ัน เกดิ จาก ดนิ ละเอยี ด อินทรยี สาร อนนิ ทรยี สาร แพลงกต์ อน และสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ สาร พวกนี้จะทําใหเกิดการกระจัดกระจายและดูดกลืนของสารแทนที่จะปลอยใหแสงผานไปเป็นเสนตรง สารหอยแขวนน้ีมีขนาดต้ังแตละเอียดมาก นกระทั้งถึงหยาบ 0.2-1000 ไมครอน การวัดคาความขุน วัดเป็นหนวย NTU (nephelometric turbidity unit) แหลงนํ้าตามธรรมชาติควรมีคาความขุนไม ควรเกนิ 100 NTU (กรมควบคมุ มลพิษ. 2546: 9) 2.2 ดชั นคี ณุ ภาพนํา้ ทางเคมี 1) คาพีเอช (pH) เป็นคาความเป็นกรด-ดางของนํ้ามีคาตั้งแต 0 - 14 หนวย วิธีที่นิยมใชและงาย คือ อินดิเคเตอร์ หรืออีกวิธีหนึ่งท่ีนิยมใชเป็นวิธีท่ีละเอียด โดยใชพีเอช มเิ ตอร์ 2) ความเค็ม หมายถึง ของแข็งทั้งหมดหรือเกลือแรตาง ๆ โดยเฉพาะ โซเดียมคลอไรดท์ ี่ละลายอยูในนาํ้ โดยรายงานในรปู ของหนว ยนํ้าหนกั ของสารเป็นกรัมตอกิโลกรัมของ น้ํา หรือสวนในลานลานสวน (ppt) สําหรับนํ้าจืดมีคาความเค็มเทากับศูนย์ (0 ppt) ถาในน้ําทะเลมี ความเคม็ ประมาณ 35 สว นใน 1,000 ลา นลา นสวน รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ มเพื่อชวี ติ GESC1104
3) สภาพนําไฟฟูา ตัวการท่ีเป็นส่ือนําไฟฟูาในแหลงนํ้า คือ สารประกอบ อนินทรีย์ที่ละลายในน้ําแลวใหอิออน เชน กรดอนินทรีย์ ดาง เกลือ แหลงน้ําธรรมชาติมีคาการนํา ไฟฟูา 100 - 500 ไมโครโอมห์ตอ เซนติเมตร 4) ความกระดางของนํ้า หมายถึง ปริมาณของเกลือแคลเซียมท่ีละลายอยู ในน้ํา ความกระดา งของน้าํ เป็นความสามารถของนํ้าท่ีจะตกตะกอนสบู สาเหตุของความกระดางของ นํ้าเกิดจากอิออนบวกของโลหะ เชน แคลเซียม (Ca2+) แมกนีเซียม (Mg2+) สตรอนเนียม (Sr2+) เหล็ก (Fe2+) และแมงกานีส (Mn2+) ประเภทของความกระดางของนา้ํ แบง ได 2 ประเภท (1) ความกระดางช่ัวคราว (Temporary hardness) เกิดจาก คาร์บอเนต (CO3-) และไฮโดรเจนคาร์บอเนต (HCO3-) ซ่ึงเป็นสาเหตุของน้ํากระดาง เชน แคลเซียม คาร์บอเนต และแมกนเี ซียมคาร์บอเนต (2) ความกระดางท่ีไมไดเกิดจากคาร์บอเนต (Non-carbonate hardness) หรือความกระดางถาวร (Permanent hardness) เกิดจากซัลเฟต (SO42-) และคลอไลด์อิ ออน (Cl-) ซึง่ เป็นสาเหตุของความกระดาง เชน แคลเซียมซลั เฟต แคลเซยี มคลอดไรด์ และแมกนีเซียม คลอไรด์ 5) ออกซิเจนละลายในน้ํา (Dissolved Oxygen; DO) ปริมาณออกซิเจน ท่ีละลายในนํ้ามีหนวยเป็น มิลลิกรัมตอลิตร หรือ ppm ถานอยกวา 3 มิลลิกรัมตอลิตร จัดวาเป็นนํ้า เสยี นํ้าธรรมชาตคิ ุณสมบัติดีจะมีคา ระหวา ง 5-7 mg/l 6) ปริมาณความตองการออกซิเจนทางชีวเคมี หรือ biological oxygen demand (BOD) คือ ปริมาณออกซิเจนท่ีจุลินทรีย์ตองการใชในการยอยสลายสารอินทรีย์ภายใต สภาวะท่ีปริมาณออกซิเจนในชวงระยะเวลาและอุณหภูมิกําหนดให มาตรฐานน้ําทิ้งไมเกิน 20 มิลลิกรัมตอ ลิตร 7) ปริมาณความตองการออกซิเจนทางเคมี หรือ chemical oxygen demand (COD) คือ ปริมาณออกซิเจนท้ังหมดที่ตองการเพื่อใชในการออกซิไดส์สารอินทรีย์ให กลายเป็นคารบ์ อนไดออกไซด์ และนํ้า 2.3 ดัชนีคุณภาพนาํ้ ทางชีวภาพ 1) ฟีคัลโคลอฟอร์มแบคทีเรีย (Fecal coliform)พวกนี้อาศัยอยูในลําใส สัตว์เลือดอุนถูกขับถายออกมาจากอุจจาระ ทุกคร้ังที่เกิดโรคระบาดเก่ียวกับทางเดินอาหารจะพบ รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ มเพื่อชีวิต GESC1104
แบคท่ีเรียช้ีแนะน้ี ตัวอยางเชน อี.โคไล (Escherichia coli) ซึ่งสามารถทําใหเกิดแก฿สจากแลคโตส ท่อี ุณหภูมิ 44.5 ± 0.2 องศาเซลเซียส 2) นันฟีคัลโคลิฟอร์ม (Non- fecal coliform) แบคทีเรียพวกนี้อาศัยอยู ในดินและพืช มีอันตรายนอยกวาพวกแรก แตใชเป็นแบคทีเรียชี้แนะ ถึงความสะอาดของน้ําได ตัวอยางเชน อี.แอโรจีเนส ( Enterobacter aerogenes ) ซ่ึงไมสามารถทําใหเกิดแก฿สจากแลคโตส ไดทีอ่ ณุ หภมู ิ 44.5 ± 0.2 องศาเซลเซียส 3) แพลงก์ตอนและสง่ิ มีชีวติ ที่อยูในแหลงนํ้า เชน แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ ตอนสัตว์ สาหรา ย ตวั ออนแมลง และปลาบางชนิด 2.4 ดชั นีคณุ ภาพนา้ํ ทางดานสารพิษ ในแหลงตามธรรมชาติไมควรตรวจพบสารพิษโลหะหนัก เชน ปรอท ตะก่ัว แคดเมียม สารหนู สารตกคา งจากสารฆา แมลง สารกัมมนั ตรงั สี 3. ปัญหามลพษิ ทางนา้ 3.1 มลพิษทางน้ําเกิดจากชุมชนปลอยนํ้าเสียและขยะท่ีเต็มไปดวยสารอินทรีย์ลงใน แหลงนา้ํ ทําใหป ริมาณออกซเิ จนที่ละลายในนา้ํ ลดลงเป็นผลใหน ํา้ เนา เสยี ภาพที่ 5.4 สภาพการเนา เสียของแหลง นาํ้ สาธารณะ ในเขตกรงุ เทพมหานคร 3.2. มลพิษทางนํ้าที่เกิดจากในแหลงนํ้ามีธาตุอาหารพืช เชน ฟอสฟอรัส ไนโตรเจน ในนํ้าทิ้ง ซ่ึงเรียกปรากฎการณ์น้ีวา สาหรายเริงรา จนทําใหเกิดการเส่ือมสภาพท่ีรุนแรงในแหลงนํ้า (กรมควบคุมมลพิษและสมาคมส่งิ แวดลอ มแหว ประเทศไทย. 2540: 3) รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
ภาพท่ี 5.5 ปรากฏการณ์ยูโทรฟเิ คชันของสระนา้ํ ในมหาวทิ ยาลับราชภัฎจันทรเกษม บทสรุป ทรัพยากรนํ้าจัดเป็นทรัพยากรธรรมชาติชนิดใชแลวไมมีวันหมดสิ้นจึงมีความจําเป็นในการ อนุรักษ์ทรัพยากรนํ้าตามรูปแบบในการอนุรักษ์ในกลุมทรัพยากรท่ีใชแลวไมหมดส้ิน ซึ่งโดยสวนใหญ แลวจะเป็นการคํานึงถึงในเรื่องของคุณภาพของทรัพยากร ท้ังนี้ทรัพยากรนํ้ามีลักษณะความจําเป็นท่ี ตองพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องของชวงเวลาของการใหนํ้าในระบบธรรมชาติอันจะสงผลกระทบตอ ปัญหาอุทกภยั และปญั หาภัยแลง ดวย แตอยางไรก็ดีแหลงนํ้าในปัจจุบันหลายแหงทั้งทรัพยากรนํ้าบน ดนิ และนาํ้ ใตดินไดถ ูกปนเปื้อนและเกิดมลพิษทางน้ํา หรือท่ีเรียกวา “น้ําเสีย” ทําใหมนุษย์ไมสามารถ นําทรัพยากรนํ้ามาใชประโยชน์ในการดํารงชีวิตท้ังดานอุปโภคและบริโภค ตลอดจนใชเป็นทรัพยากร นําเขาพน้ื ฐานเพื่อขับเคลือ่ นกจิ กรรมสาํ คญั ระดับประเทศทั้งดา นเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม สาเหตุ ของมลพิษทางนํ้าเกิดจาก 3 แหลงสําคัญไดแก จากแหลงชุมชน แหลงอุตสาหกรรม และแหลง เกษตรกรรม โดยเฉพาะสารพิษจําพวกโลหะหนักตางๆ ท่ีสามารถเขาสูรางกายของมนุษย์ทั้งทางตรง และทางออมซงึ่ อาจสงผลเป็นอันตรายถึงชวี ิตทาํ ใหมนุษย์เริ่มประสบกับภาวะเส่ียงตอคุณภาพชีวิต จึง มีความจําเป็นอยางยิ่งที่จะตองมีการตรวจสอบคุณภาพนํ้ากอนการอุปโภคบริโภค โดยดัชนีช้ีวัด คุณภาพน้ําท่ีสําคัญมี 4 ประเภท คือ ดัชนีชี้วัดทางกายภาพ ไดแก อุณหภูมิ สี ความขุน กลิ่นและรส ดัชนีชี้วัดทางชีวภาพ ไดแก โคลิฟอร์มแบคทีเรีย จุลินทรีย์และสาหราย ดัชนีชี้วัดทางเคมี ไดแก คา DO BOD COD และคาความเป็นกรด-เบส และดัชนีช้ีวัดดานสารพิษ เชน โลหะหนักและสารฆา ศัตรพู ชื เปน็ ตน รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ มเพื่อชีวติ GESC1104
กิจกรรมที่ 5 ทรพั ยากรน้าเพ่ือชวี ติ 1. หลกั การ นํ้าเป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทหมุนเวียนเปล่ียนแปลงไปตามวัฏจักร มีความสําคัญตอ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งทางตรงและทางออม มนุษย์ใชนํ้าในการอุปโภคบริโภค น้ําเป็นสวนประกอบ ของเซลลท์ กุ เซลล์ ในรา งกายของคนมีนํ้าเป็นสว นประกอบประมาณรอยละ 70 ของน้ําหนักตัว หรือ 2 ใน 3 ของน้ําหนักตัว มนุษย์ไดนําน้ํามาใชประโยชน์ในการเกษตร อุตสาหกรรม การคมนาคม การ นันทนาการ ฯลฯ น้ําสวนใหญเป็นนํ้าในทะเลและมหาสมุทร ซึ่งเป็นแหลงผลิตก฿าซแก฿สออกซิเจนท่ี สําคญั สวนน้ําท่ีใชใ นการอุปโภคบรโิ ภคมีไมถ ึงรอ ยละ ของนา้ํ ทงั้ หมด และนา้ํ ทม่ี ีจาํ นวนนอยแตยังเป็น มลพษิ เสยี อกี ดวย ดังนั้นตองใชอยางมีประสิทธิภาพ และปูองกันไมใหน้ําเป็นมลพิษ โดยการบําบัดนํ้า เสียกอ นปลอ ยลงสแู หลง นาํ้ จะชว ยลดมลพิษในนํ้าไดอีกทางหนง่ึ 2. จดุ ประสงค์ 2.1 อธบิ ายความหมาย ความสาํ คญั ประโยชน์ของนํ้า และแหลงน้ําได 2.2 จาํ แนกประเภทของแหลงน้ําบนโลกได 2.3 สามารถยกตวั อยางปญั หาของทรพั ยากรนํ้า บอกสาเหตแุ ละแนวทางปอู งกันแกไขได 2.4 สามารถทดสอบสมบตั ิของนา้ํ บางประการได 2.5 บอกหลักการอนรุ ักษ์ทรัพยากรนาํ้ ได 3. วธิ ปี ฏิบัตกิ จิ กรรม 3.1 ศึกษาจากเอกสาร 3.2 แบงนักศึกษาออกเป็นกลุม และใหน กั ศึกษาสํารวจแหลงนา้ํ ในมหาวิทยาลัย 3.2.1 ลกั ษณะของนํา้ 3.2.2 สมบตั ิของนํ้า อณุ หภมู ิ สี ความเปน็ กรด-เบส ปริมาณออกซิเจนในนาํ้ 3.2.3 การใชประโยชน์จากแหลงนํ้า 3.2.4 แนวคิดในการพัฒนาแหลงนาํ้ ในมหาวิทยาลัย 3.3 จากประสบการณ์ของนักศึกษา วิเคราะห์ปัญหาความเส่ือมโทรมของแหลง นํ้า และ วธิ ีการอนุรักษ์ 4. ผลการศึกษา 4.1 การสาํ รวจตรวจสอบเกย่ี วกบั แหลง น้าํ ในมหาวิทยาลยั รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ มเพ่ือชีวิต GESC1104
ลักษณะของแหลง่ น้า ชือ่ ของแหล่งนา้ อณุ หภูมิ ºC สขี องน้า ความเปน็ กรด- ปริมาณออกซเิ จนละลาย อากาศ น้า (หน่วย) เบส ในนา้ (หนว่ ย) (mg/l) เฉล่ยี สรปุ สถานภาพของแหลง นํ้าในมหาวิทยาลยั ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การใชประโยชนข์ องแหลงนํ้า ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………. แนวทางการพฒั นาแหลง นํา้ ในมหาวิทยาลยั ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………. รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอมเพื่อชีวติ GESC1104
4.2 การอนรุ ักษ์ทรัพยากรนาํ้ สาเหตุ วธิ กี ารอนุรกั ษ์ สภาวะแหล่งทีเ่ สอื่ มโทรมหรอื ภาวะมลพิษ 5. คาถาม 5.1 นกั ศึกษาจะมีสว นรว มในการอนรุ ักษท์ รัพยากรน้ําไดอยา งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอมเพ่ือชีวิต GESC1104
5.2 นกั ศกึ ษามีความคดิ เหน็ อยางไร ถามีการถมบอน้ําเพื่อสรา งอาคารเรียน ในมหาวิทยาลยั ของเรา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..…………………. เอกสารอา้ งอิง กรมควบคมุ มลพิษ 2546. คู่มือการติดตามตรวจสอบและประเมินคุณภาพน้าในแหล่งน้าจืดผิวดิน. กรุงเทพมหานคร: สาํ นกั งานจดั การคณุ ภาพน้ํา. ____________. (1 สิงหาคม 2559). น้าเสียชุมชน. http://www.pcd.go.th/Info_serv/water_ wt.html กรมควบคุมมลพิษ และสมาคมส่ิงแวดลอมแหงประเทศไทย. (2540). ศัพท์บัญญัติและนิยามน้าเสีย (พมิ พ์ครั้งท่ี 1).กรงุ เทพมหานคร: เรือนแกว การพิมพ์. ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่ิงแวดลอม ฉบับท่ี 3 พ.ศ. 2539 เรื่อง กําหนด มาตรฐานควบคุมการระบายนํ้าทิ้งจากแหลงกําเนิดประเภทโรงงานอุตสาหกรรมและนิคม อตุ สาหกรรม. (3 มกราคม 2539). ราชกจิ จานเุ บกษา. เลม ที่ 113 ตอนท่ี 13ง. Raghunath, H. M. (2006). Hydrology (Principle Analysis and Design). 2ndEdition. New Delhi: New Age International (P) Ltd. รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ มเพื่อชวี ิต GESC1104
บทท่ี 6 ทรัพยากรป่าไมเ้ พอ่ื ชีวติ ปุาไมเป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทที่ใชแลวทดแทนไดและมีความสําคัญอยางยิ่งตอ สง่ิ มีชวี ิต ไมว าจะเปน็ มนษุ ย์หรือสัตว์อื่นๆ เพราะปุาไมมีประโยชน์ทั้งการเป็นแหลงวัตถุดิบของปัจจัย ส่ี คอื อาหาร เคร่อื งนงุ หม ที่อยอู าศยั และยารักษาโรคสําหรับมนุษย์ และยังมีประโยชน์ในการรักษา สมดุลของส่ิงแวดลอม ถาปุาไมถูกทําลายลงไปมากๆ ยอมสงผลกระทบตอทรัพยากรธรรมชาติ ประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะอยางย่ิงพวกสัตว์ปุาก็จะไรที่อยูอาศัย ปุาไมเป็นมรดกทางธรรมชาติท่ีสําคัญ แหงหน่ึงของประเทศไทยจึงควรคาแกการอนุรักษ์เป็นอยางย่ิง ตลอดจนหากเราสามารถอนุรักษ์ ผืนปุาของประเทศไวได เราก็จะมีแหลงท่ีชวยในการดูดซับแก฿สคาร์บอนไดออกไซด์ และคืนแก฿ส ออกซเิ จนสูบ รรยากาศก็จะมีสวนชว ยลดปญั หาโลกรอ นได ความหมายและประเภทของป่าไม้ 1. ความหมายของป่าไม้ ปุาไม (Forest) ตามพรบ.ปุาไม พ.ศ. 2484 มาตรา 4 หมายความวา ที่ดิน ที่ยังมิได มีบุคคล ไดมาตามกฎหมายที่ดินปุาไม ขณะที่ หนังสือ An Introduction to American Forestry ใหคํา จาํ กดั ความของ ปุาไม คือ สังคมของตนไมและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อันมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยปก คลมุ เนอื้ ทกี่ วางใหญแ ละใชประโยชนจ์ ากอากาศ น้าํ วัตถตุ างๆ ในดิน เพ่ือเติบโตจนถึงอายุขัยและเพ่ือ สืบพันธ์ของตนเอง ทง้ั ใหผ ลผลติ และบรกิ ารทีจ่ ําเปน็ อนั จะขาดเสยี มไิ ดตอ มนษุ ย์ (Allen, 2007) 2. ประเภทของปา่ ไม้ ปุาไมในประเทศไทย แบงเป็น 2 ประเภท คือ ปุาดงดิบหรือปุาไมผลัดใบ (Evergreen forest) และปุาผลัดใบ (Deciduous forest) (กรมอุทยานแหงชาติ สัตว์ปุา และพันธ์ุพืช. ออนไลน์. 2559) 2.1 ป่าดงดบิ หรอื ปา่ ไมผ่ ลัดใบ (Evergreen forest) เป็นระบบนิเวศของปุาไมชนิดที่ประกอบดวยพนั ธุ์ไมชนดิ ไมผลดั ใบ คือ มีใบเขยี ว ตลอดเวลา แบงออกเป็น 4 ชนดิ คอื รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
2.1.1 ปาุ ดบิ เมืองรอน (Tropical evergreen forest) เป็นปาุ ท่อี ยใู นเขตลม มรสุมพดั ผานเกอื บตลอดปี มีปรมิ าณนํา้ ฝนมาก แบง ออกเป็น 1) ปุาดิบชื้น (Tropical rain forest) ปุาดิบชื้นเกิดทั่วไปในเขต รอ นและชุมช้นื มีฝนตกรายปีโดยเฉล่ียไมนอยกวา 2,000 มิลลิเมตรตอปี และมีชวงฤดูแลงที่ส้ัน พบท่ี ระดบั ความสงู จากน้าํ ทะเลไมเกิน 600 เมตร ในประเทศไทยพบไดทุกสวนของประเทศ แตมีลักษณะท่ี แตกตา งกนั ไปบางตามสภาพดนิ ฟาู อากาศและภมู ิประเทศท่ขี ้ึนอยู สภาพโดยท่ัวไปเป็นปุารกทึบ ไมช้ัน บนสวนใหญเป็นไมใหญวงศ์ไมยาง ไมช้ันกลาง และไมช้ันลางสามารถข้ึนใตรมเงาไมใหญได พื้นปุา ประกอบดวย ไมพุม ไมลมลุก ระกํา หวาย และไผ รวมทั้งพืชตระกูลปาล์มที่มักพบอยูเสมอ บนไม ใหญจะมีพรรณไมพวกเกาะอาศัย (Epiphyte) เชน เฟิร์น มอส ข้ึนอยูทั่วไป และพบเถาวัลย์เป็น จํานวนมาก พรรณไมทสี่ าํ คญั ในปุาดิบชน้ื ไดแ ก ยางนา ยาง ยางยูง ตะเคยี นทอง ไขเ ขยี ว เปน็ ตน 2) ปุาดงดบิ แลง (Dry evergreen forest) องค์ประกอบของพรรณ ไมที่แตกตางกันอยางเดนชัดระหวางปุาดิบแลงกับปุาดิบช้ืนก็คือการลดลงของจํานวนชนิดพรรณไม วงศ์ยางของปุาดิบแลงเม่ือเปรียบเทียบกับปุาดิบช้ืน โครงสรางของปุาประกอบดวยเรือนยอด 3 ช้ัน โดยไมในเรือนยอดชั้นบน (Canopy layer) นั้นประกอบดวยพรรณไมผลัดใบนอยกวาหนึ่งในสาม ช้ัน ของไมพุม (Shrub layer) มีการพัฒนาดี และมีเถาวัลย์ที่มีเน้ือไม (Woody climber) หลายชนิด พรรณไมพวกปาล์มพบกระจายอยูทั่วไปโดยเฉพาะในบริเวณท่ีมีความช้ืนสูง เชน ตามแนวลํานํ้า พบที่ ความสูงจากระดับน้ําทะเล ประมาณ 100 ถึง 800 เมตร พรรณไมสําคัญในปุาดิบแลงไดแก กระบาก ยางนา ยาง ยางแดง ตะเคียนทอง 3) ปุาดิบเขา (Hill evergreen forest) ในพ้ืนที่ภูเขาสูงในเขตรอน (Tropical mountain) สังคมพืชเขตรอน จะถูกแทนที่ดวยสังคมพืชเขตอบอุน (Temperate vegetation) หรือสังคมพืชปุาดิบเขา (Mountain vegetation) มักปรากฏใหเห็นที่ระดับความสูง ประมาณ 1,000 เมตรจากระดับนํ้าทะเลขึ้นไปซ่งึ สามารถแบงปุาดิบเขาออกเป็นสังคมยอ ยไดด งั น้ี (1) ปุาดิบเขาระดับตํ่า (Lower mountain forest) พบท่ี ระดับความสูงประมาณ 1,000-1,800 เมตร จากระดับน้ําทะเล ปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยประมาณ 1,300- 2,000 มิลลิเมตรตอปี หรือมากกวา มีปริมาณความช้ืนสูงคงที่ พันธ์ุไมท่ีพบ ไดแก ไมในวงศ์กอ อัน ไดแ ก Castanopsis, Lithocarpus และ Quercus นอกจากนี้ยังพบไมสนสามใบ (Pinus kesiya) ข้ึน ผสมอยูร วมกับไมใ นวงศ์ Fagaceae และ Theaceae เปน็ ตน (2) ปุาดิบเขาระดับสูง (Upper mountain forest) การ ปรากฏของปุาดิบเขาระดับสูงนั้นจะควบคูไปกับแนวหมอกน้ําคาง (Mist belt) โดยปกติแลวจะอยูท่ี ระดบั ความสูงมากกวา 1,800 เมตรจากระดับนํ้าทะเล แบงยอยไดเป็น ปุาดิบเขาช้ืนระดับสูง (Upper mountain rain forest) มีเรือนยอดเกือบจะเป็นช้ันเดียว (Single storey) บนกิ่งกานของตนไมน้ันมี รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอมเพื่อชวี ิต GESC1104
พืชท่ีเกาะอาศัยอยูบนตนไมประเภทไมดอก (Epiphytic flowering plants) เฟิร์น มอส และไลเคน ขึ้นอยูอยางหนาแนน และ ปุาดิบเขาระดับสูงแคระ (Upper mountain scrub) ปรากฏอยูตามรอง หินท่ีไดรับแสงเต็มท่ี สภาพพ้ืนท่ีเปลาเปลือยปราศจากดินเป็นสวนใหญ มีลักษณะคลายกับเป็นสวน หิน ซง่ึ เป็นรปู แบบของสงั คมพืชก่ึงอลั ไพนแ์ ละอัลไพน์ 2.1.2 ปุาสน (Coniferous forest) ปุาชนิดนี้ถือเอาลักษณะโครงสรางของ สังคมเป็นหลักในการจําแนกโดยเฉพาะองค์ประกอบของชนิดพันธุ์ไมในสังคมและไมเดนนํา อาจเป็น สนสองใบหรือสนสามใบ ปุาสนจะกระจายเป็นหยอม ๆ อยูตามภาคเหนือ และภาคอีสาน ปุาสนมัก ขนึ้ ในดนิ ไมอ ุดมสมบูรณ์ เชน สันเขาทคี่ อนขา งแหงแลง 2.1.3 ปุาพรุ (Peat fwamp forest) ปุาพรุถือไดวาเป็นปุาที่มีนํ้าทวมขัง ประเภทหนึ่ง เกิดข้ึนตามแองน้ําที่มีนํ้าขังตลอดปี มีการสะสมซากพืช หรืออินทรียวัตถุอยางถาวรของ สังคมท่ีขึ้นอยู เน่ืองจากมีนํ้าจืดแชขังอยูตลอดท้ังปี ทําใหขาดออกซิเจน ซากพืช และอินทรียวัตถุจึง สลายตวั ไดช า มาก ทําใหเ กดิ เป็นพรุ (Peat bog) ขึ้น พชื สว นใหญจงึ มวี ิวฒั นาการในสวนของอวัยวะให มีโครงสรางพิเศษ เพ่ือดํารงชีพอยูในสภาพแวดลอมเชนนี้ได เชน โคนตนมีพูพอน มีรากหายใจ โผล เหนือชั้นดินอินทรีย์ที่มีน้ําขัง ประเทศไทยมีปุาพรุที่สมบูรณ์เหลืออยูเพียงแหงเดียวคือ ปุาพรุโต฿ะแดง จงั หวัดนราธิวาส พรรณไมท ีส่ าํ คัญในปุาพรุไดแก หวาหิน สะเตียว ชะเมาน้ํา ชางไห เสม็ดแดงใบใหญ กลวยไม ขี้หนอนพรุ 2.1.4 ปุาชายเลน (Mangrove swamp forest) จะพบท่ัวไปตามพ้ืนที่ ชายฝ่ังทะเล บริเวณปากน้ํา อาว ทะเลสาบ และเกาะซ่ึงเป็นบริเวณที่นํ้าทะเลทวม น้ําขึ้นน้ําลง เป็น ปัจจัยสําคัญในการกําหนดการแบงเขตการขึ้นอยูของพรรณไม หรือสิ่งมีชีวิต ในปุาชายเลน คล่ืนและ กระแสนํ้า มบี ทบาทตอการแพรกระจายของพันธุ์ไม สภาพแวดลอมท่ีรุนแรง ทําใหพรรณไมในปุาชาย เลนตอ งมีการปรบั ตวั และเปลี่ยนแปลงลักษณะบางประการของระบบราก ลําตน ใบ ดอก และผลทั้ง ลักษณะภายนอกและภายในใหเหมาะสมกับสภาพพ้ืนที่ที่พรรณไมแตละชนิดข้ึนอยู เชนการมีรากคํ้า จนุ ในไมโ กงกาง รากหายใจของไมแสม และลาํ พู เปน็ ตน 2.1.5 ปุาชายหาด (Beach forest) พบอยูตามชายฝั่งทะเลซึ่งพ้ืนดินเป็น กรวด ทราย และโขดหิน ท่ีนํ้าทะเลทวมไมถึง เน่ืองจากอยูติดทะเลจึงไดรับอิทธิพลจากคลื่น ละออง น้าํ เค็ม และลมทะเลอยางตอเน่ือง ปุาชายหาดพบกระจายอยูท่ัวไปบริเวณชายฝ่ังทะเลเป็นพื้นท่ีเล็กๆ องค์ประกอบของพรรณไมและลักษณะโครงสรางของปุาชายหาดจะมีความแตกตางกันคอนขางมาก รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ มเพ่ือชวี ิต GESC1104
ตามสภาพแวดลอมของแตละทองที่ พรรณไมสําคัญในปุาชายหาด ไดแก ทุงฟูา (Alstonia macrophylla) โพทะเล (Thespesia populnea) และกานเหลือง (Nuaclea orientalis) 2.2 ปา่ ผลัดใบ (Deciduous Forest) เป็นระบบนิเวศปุาชนิดที่ประกอบดวยพันธ์ุไมชนิดผลัดใบหรือทิ้งใบเกาในฤดูแลง เพื่อจะแตกใบใหมเม่ือเขาฤดูฝน ยกเวนพืชช้ันลางจะไมผลัดใบ จะพบปุาชนิดนี้ตั้งแตระดับความสูง 50-800 เมตร เหนือระดับนาํ้ ทะเล แบงออกเป็น 3 ประเภท คอื 2.2.1 ปุาเบญจพรรณ เป็นปุาผลัดใบประเภทหนึ่งที่ตนไมสวนใหญตางทิ้ง ใบหมดในชวงฤดูแลงและเร่ิมผลิใบใหมในตนฤดูฝน ประเทศไทยพบปุาเบญจพรรณไดทั่วไปทั้ง ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับนํ้าทะเลไมเกิน 1,000 เมตร พันธุ์ไมเดนในปุาเบญจพรรณไดแก ไมสัก ไมแดง ไมประดู ไมมะคาโมง ไมตะแบกใหญ ไมไผ เชน ไผหก ไผปุา ไผรวก ไผขาวหลาม ไมเถา เชน เครือออน รางจืด และไมอิงอาศัย เชน กระแตไตไม นมตําเลีย กระเชาสีดา เอ้ืองกะเรกะรอน เอ้ืองเงิน นอกจากนี้ปุาเบญจพรรณยังอุดมไป ดวยเฟนิ ชนิดตา ง ๆ อีกหลากหลายชนดิ ตลอดจนพชื สมนุ ไพรทส่ี าํ คัญ เชน บุกและพญากาสักดํา สัตว์ ปุาในปุาเบญจพรรณไดแก ชางปุา กระทิง กวางปุา เกง หมาไม ชะมด อีเห็น ไกปุา นกและแมลงอีก หลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังเต็มไปดวยสัตว์ครึ่งน้ําคร่ึงบกท่ีเป็นอาหารของชาวบานไดอยางดี เชน กบ เขยี ด อง่ึ อา ง 2.2.2 ปุาแดง ปุาแพะ หรือปุาเต็งรัง พบขึ้นสลับกับปุาเบญจพรรณ เป็น สังคมพืชท่ีแหงแลง ซึ่งปัจจัยดิน (Edaptic Factors) และไฟปุาท่ีเกิดเป็นประจําทุกปีมีบทบาทสําคัญ ตอการพัฒนาและการกระจายของปุาเต็งรัง ตนไมสวนใหญมีความทนทานตอไฟผิวดินซึ่งเกิดข้ึนเป็น ประจําทุกปีไดดี ปุาเต็งรังเกิดบนพื้นที่แหงแลงจนถึงแหงแลงมากท่ีสุดบนที่ลาดเชิงเขา บนไหลเขา ตามแนวสันเขา และตามแนวลาดของภูเขาจนถึงความสูงประมาณ 600 – 800 เมตร จาก ระดับนา้ํ ทะเล ดินต้ืน เป็นกรวดจนถึงเป็นทราย หรือเป็นดินแดงที่มีหิน ตนไมที่แสดงคุณลักษณะของ ปุาเต็งรงั อยางเดน ชดั ท่ีสดุ ไดแก เต็ง และรงั 2.2.3 ปุาทุง หรือปุาหญา เกิดขึ้นภายหลังจากการเผาทําลายปุา ปุาชนิดน้ี มีมากที่สุดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซ่ึงปรากฏวาเป็นบริเวณท่ีไดเคยทําไรเลื่อนลอยติดตอกันมา นานในอดตี ดินมลี กั ษณะเปน็ ดนิ ปนทรายหรอื ดินลูกรัง ปริมาณนํ้าฝนมีนอยในภาคน้ี จะมีปุาทุงแปลง เล็ก ๆ อยูกระจัดกระจาย สวนปุาทุงแปลงใหญที่สุดก็ไดกลายเป็นทุงหญาท่ีไรประโยชน์ไป เชน ทุง รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ มเพื่อชีวติ GESC1104
กุลารองไหในจังหวัดสกลนคร อยางไรก็ดีในทุงหญาเหลานี้จะมีตนไมขึ้นกระจัดกระจายหาง ๆ ตน เป็นตนไมที่แคระแกร็น สวนมากเป็นพันธ์ุไมของปุาเต็งรัง ลูกไมจากไมเหลานี้ และจากแมไมของปุา ใกลเคียง มีโอกาสนอยเหลือเกินที่จะเอาชนะหญาซ่ึงข้ึนอยูหนาแนนในทุงหญาเหลาน้ันได หญาสวน ใหญ คอื หญา คา สถานการณ์ทรพั ยากรป่าไม้ของประเทศ จากขอมูลเน้ือที่ปุาไมของกรมปุาไม ปี พ.ศ. 2551-2558 ตารางที่ 6.1 พบวา ในปี พ.ศ. 2551 พื้นท่ีปุาท่ัวประเทศมีประมาณ 107 ลานไร ไมรวมสวนยางและสวนผลไม แตในปี พ.ศ.2556- 2558 พบวาพน้ื ท่ปี ุาเหลอื เพยี ง 102 ลา นไร นน่ั หมายความวาภายใน 5 ปี ปาุ ไมหายไป 5 ลา นไร หรือ เฉลี่ยปีละ 1 ลานไร โดยสวนใหญมีลักษณะการตัดไมทําลายปุาเพ่ือตองการพ้ืนที่เพื่อการเกษตรเป็น หลกั เพราะปจั จบุ นั ไมใหญหรือไมซุงมีเหลืออยูนอยมาก พ้ืนที่ท่ีดินประเทศไทย เมื่อเทียบกับเน้ือที่ปุา เมอ่ื 50 ปีทีผ่ านมาจะมเี นอ้ื ปุาลดลงไปถงึ รอ ยละ 50 ของท่ีเคยมี ตารางที่ 6.1 เนือ้ ที่ปาุ ไมข องประเทศไทย ปี พ.ศ. 2551-2558 ปี ภาคเหนือ ภาค ภาค ภาคกลาง ภาคใต้ เนอื้ ท่ีปา่ ไม้ รอ้ ย พ.ศ. (ไร่) ตะวนั ออก ตะวนั ออก (ไร)่ (ไร่) รวม ละ เฉียงเหนอื (ไร)่ (ไร่) (ไร)่ 2551 59,421,715 17,222,214 5,020,875 13,892,232 11,683,996 107,241,031 33.44 2556 56,283,600 15,813,931 5,139,025 13,832,638 11,050,350 102,119,538 31.57 2557 56,537,481 15,748,931 5,076,313 13,863,194 11,059,475 102,285,400 31.62 2558 56,496,886 15,660,166 5,091,779 13,918,145 11,074,005 102,240,982 31.60 ทีม่ า: สํานกั จดั การทดี่ นิ ปุาไม กรมปาุ ไม. ออนไลน์. 2559 จากการศึกษาขอมลู เน้ือท่ีปุาไมรายจังหวัด สามารถจัดกลุมจังหวัดท่ีมีการเปล่ียนแปลงเนื้อท่ี ปุาออกไดเปน็ 4 ระดบั ดังนี้ 1. สูญเสียเนื้อที่ปุาไมรุนแรงมาก คือจังหวัดท่ีเคยมีเน้ือท่ีปุาไมมากกวา 70 % ใน อดตี แตในปจั จุบนั ลดลงไมถ งึ 25 % ของพ้ืนทีจ่ ังหวดั ไดแ ก กําแพงเพชร สกลนคร และชุมพร สูญเสีย เนือ้ ท่ปี าุ ไมอ ยา งรุนแรง คอื จังหวัดท่ีเคยมีปุาไมปกคลุมมากกวา 70% ในอดีตแตในปัจจุบันลดลงไมถึง 50% ไดแก จงั หวดั เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขนั ธ์ พงั งา สตลู และจังหวัดที่เคยมีปุาไมปกคลุมกวา 50% รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอมเพ่ือชวี ติ GESC1104
แตในปจั จบุ นั ลดลงไมถ ึง 25 % ไดแก จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์ นครพนม นครราชสีมา หนองคาย ฉะเชิงเทรา ชลบรุ ี ระยอง กระบี่ ตรงั 2. สูญเสียเนื้อท่ีปุาไมมาก คือจังหวัดที่เคยมีปุาไมปกคลุมมากกวา 70% ในอดีตแต ในปัจจุบันลดลงอยุในชวง 50-70% ไดแก จังหวัดลําพูน อุตรดิตถ์ อุทัยธานี กาญจนบุรี เพชรบุรี ระนอง ,จงั หวัดทเ่ี คยมีปุาไมปกคลุมกวา 50% แตในปัจจุบันลดลงอยูในชวง 25-50 % ไดแก จังหวัด เชียงราย พิษณุโลก สุโขทัย ชัยภูมิ เลย จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ราชบุรี ภูเก็ต สรุ าษฏร์ธานี และ จงั หวดั ทเี่ คยมีปุาไมปกคลุม 25-50 % แตใ นปจั จบุ ันลดลงจนนอยกวา 25 % ไดแก จังหวัดนครสวรรค์ ขอนแกน บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อํานาจเจริญ อุดรานี อุบลราชธานี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา รวมถึงพิจิตร ท่ีเคยมีปุาไมอยูถึงเกือบ 20 % แตปัจจุบันแทบจะ ไมมีปาุ ไมเ หลอื อยูเ ลย 3. จังหวัดท่ีสูญเสียปุาไมปานกลาง คือจังหวัด จังหวัดที่เคยมีปุาไมปกคลุมมากกวา 70% ในอดีตและในปัจจุบันลดลงแตยังคงมีปุาไมมากกวา 70% ไดแก จังหวัดเชียงใหม ตาก นาน แมฮองสอน และ ลําปาง,จังหวัดท่ีเคยมีปุาไมปกคลุมกวา 50% ในปัจจุบันลดลงแตยังคงมีปุาไม มากกวา 50 % ไดแก จังหวัดแพร พะเยา และ จังหวัดท่ีเคยมีปุาไมปกคลุม 25-50 % ในปัจจุบัน ลดลงแตยังคงมีปุาไมมากกวา 25 % ไดแกจังหวัดยะลา รวมถึง จังหวัดมหาสารคาม รอยเอ็ด หนองบัวลาํ ภู สระแกว ชัยนาท สระบรุ ี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ปัตตานี และพัทลุง ท่ีเคยมีปุาไมอยูบางและในปัจจุบันก็ยังมีเนื้อท่ีปุาไมเหลืออยู ซึ่งในกลุมน้ี อาจจะรวมถึง กรงุ เทพมหานคร และพระนครศรีอยธุ ยาไวดวยกไ็ ด นอกจากน้ียังพบวาขอมูลเนื้อท่ีปุาไมเพิ่มขึ้นในจังหวัด มุกดาหาร และนราธิวาส ไม เพียงพอในการวิเคราะห์ดังกลาวเนื่องจากไมมีขอมูลในชวงกอนปี 2525 อาจเน่ืองมาจากภาพ ดาวเทยี มมีเมฆปกคลมุ มาก โดยสาเหตุที่สําคัญของการสูญเสียพื้นที่ปุาไม ไดแก การเพ่ิมของจํานวนประชากร การสงเสรมิ ใหม ีการปลกู พชื เศรษฐกิจเพ่ือการสง ออก การใชเ ทคโนโลยที ลี่ าสมัยในการเพ่ิมผลผลิตทาง การเกษตร การพัฒนาโครงสรางพ้ืนฐาน การเปลี่ยนพ้ืนท่ีปุาชายเลนไปเพาะเล้ียงสัตว์น้ํา และปัญหา ไฟปุา โรค และแมลง รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ มเพ่ือชีวิต GESC1104
การอนุรกั ษ์ป่าไม้ แนวทางหนึ่งในการอนุรักษ์ปุาไม คือ การประกาศเป็นพ้ืนท่ีปุาอนุรักษ์ หรือพ้ืนที่คุมครอง ไดแ ก อุทยานแหงชาติ เขตรักษาพันธุสัตว์ปุา วนอุทยาน เขตหามลาสัตว์ปุา รวมถึงสวนรุกขชาติและ สวนพฤกษศาสตร์ แตอยางไรก็ดี แมวาการประกาศพื้นที่อนุรักษ์จะสามารถรักษาพื้นท่ีที่ถูกประกาศ สวนใหญไวได แตเนื่องจากขั้นตอนการประกาศพื้นท่ีอนุรักษ์ในอดีตมิไดมีกระบวนการมีสวนรวมของ ชุมชนและการสํารวจเพื่อคมุ ครองสทิ ธชิ ุมชน จึงทาํ ใหม กี ารประกาศพ้ืนท่ีทับซอนกับพ้ืนท่ีใชประโยชน์ ทาํ กนิ และเก็บหาของปุาของประชาชนในชุมชนทองถิ่นดั้งเดิมเป็นจํานวนมาก สงผลใหเกิดปัญหาใน เชิงสิทธิชุมชนมากมายในปัจจุบัน ซึ่งตองอาศัยมติคณะรัฐมนตรี (30 มิถุนายน พ.ศ. 2541) ในการ ผอ นผันใหอยูอาศัยในพน้ื ทปี่ ุาอนรุ ักษ์ แตในขณะเดยี วกันเมื่อมีการขยายพ้ืนท่เี ดิม ท่ีไมมีการแสดงแนว เขตการควบคุมที่ชัดเจนก็สงผลใหเกิดการสูญเสียพ้ืนท่ีปุาไมจากการขยายตัวท้ังชุมชนกลางปุา และ ขอบปุาอนุรักษ์อยางตอเนื่อง โดยเฉพาะอยางยิ่ง หลังการสงเสริมการปลูกพืชไรตางๆ สวนยางพารา ปาล์มนํ้ามัน ทั้งจากบริษัทเอกชน และนโยบายการสนับสนุนท่ีขาดความรอบคอบของรัฐ ทําใหเกิด ความขัดแยงทีร่ ุนแรง และสูญเสยี พ้นื ทป่ี ุาเพิม่ เติมตลอดมา (มูลนธิ สิ ืบนาคะเสถยี ร. ออนไลน.์ 2555) แนวทางดําเนนิ การเพอ่ื ใหคงเนื้อทป่ี ุาเหลือไว มดี งั นี้ 1. หามาตรการเพื่อหยุดยั้งการบุกรุกทําลายปุาใหไดเด็ดขาด เพื่อรักษาพื้นท่ีปุาที่ เหลืออยทู วั่ ประเทศ ในปี 2547 จํานวนรอยละ 32.66 ใหคงอยู โดยการนํากฎหมายเก่ียวกับปุาไมมา บังคับใชใหไ ดผลอยางจริงจัง 2. เรงดําเนินการปลูกปุาทดแทน เชน ทําสวนปุา สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ สวนสาธารณะตางๆ เพื่อทดแทนปุาที่ถูกบุกรุกทําลาย โดยการทําสวนปุาในประเภทตางๆ เชน การทาํ สวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียน 3. ตองเรงใหมีการประชาสัมพันธ์และสงเสริมใหประชาชนรูคุณคาของปุาไมเพ่ือให เกดิ จติ สาํ นกึ ในการชวยกนั อนรุ กั ษป์ าุ ไมไวเ พื่ออาํ นวยประโยชน์อยา งยงั่ ยืนตอไป พื้นท่ีอนุรักษ์หรือพื้นท่ีคุ้มครองในประเทศไทย สาํ หรบั ปาุ ไมที่เหลอื อยู สวนใหญรฐั บาลโดยกรมอทุ ยานแหง ชาตสิ ตั ว์ปุา และพันธ์ุพืช/กรมปุา ไม ไดอนรุ ักษไ์ วในรปู แบบของพื้นที่อนุรักษ์หรือพื้นที่คุมครอง ซึ่งเป็นอุทยานแหงชาติ วนอุทยาน เขต รักษาพันธุ์สตั วป์ ุาและเขตหามลา สัตว์ปุา รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ มเพ่ือชวี ิต GESC1104
ท้ังนี้ ประเทศไทยมีอุทยานแหงชาติทางบกมี 75 แหง และทางทะเล 21 แหง พ้ืนที่รวม ประมาณ 5,810.65 ตารางกโิ ลเมตร เขตรักษาพนั ธ์สตั ว์ปุามี 48 แหง มีพืน้ ท่รี วมประมาณ 33,433.51 ตารางกิโลเมตร เขตรักษาพันธ์สัตว์ปุาทุงใหญนเรศวรมีพ้ืนที่ปุามากท่ีสุด (3,647.20 ตารางกิโลเมตร) และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ปุาคลองพระยามีพื้นที่นอยที่สุด 153.58 ตารางกิโลเมตร เขตหามลาสัตว์ปุามี 54 แหง พน้ื ท่ีรวมประมาณ 4,294.20 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีพื้นท่ีเตรียมการประกาศใหเป็น พื้นที่อนุรกั ษ์อกี หลายแหง 1. มรดกโลกทางธรรมชาติในประเทศไทย ประเทศไทยไดรับเห็นชอบใหขึ้นบัญชีแหลงมรดกโลกทางธรรมชาติ รวม 2 แหง ไดแก ทุง ใหญนเรศวร-หว ยขาแขง (พ.ศ.2534) และผืนปาุ ดงพญาเย็น-เขาใหญ (พ.ศ.2548) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ปุาทุงใหญนเรศวรและเขตรักษาพันธ์ุสัตว์หวยขาแขง มีพื้นท่ีรวม 6,424.14 ตารางกิโลเมตร จัดเป็นพ้ืนที่อนุรักษ์ท่ีเป็นแกนกลางของกลุมปุาตะวันตก ซึ่งเป็นผืนปุาที่มี ความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดแหงหน่ึงในประเทศไทย นอกจากนี้ผืนปุา ตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นปุาที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดแหงหนึ่งใน ประเทศไทย นอกจากนผ้ี ืนที่ปาุ ตะวนั ตกยังเป็นผืนปุาอนุรักษ์ที่มีอาณาเขตกวางใหญท่ีสุดของประเทศ และของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยผืนปุาตะวันตกเกิดจากการผนวกรวมเขตอนุรักษ์ถึง 17 แหง เขาเปน็ พืน้ ปุาขนาดใหญ ประกอบดวย 11 อุทยานแหงชาติ และ 6 เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ปุา มีพ้ืนที่ รวม 18,730.54 ตารางกิโลเมตร ทอดตัวตามแนวเทอื กเขาธงชยั และตะนาวศรี โดยมีพ้ืนที่คาบเก่ียวใน 6 จังหวัด ตาก กาญจนบุรี กําแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี และสุพรรณบุรี สําหรับเขตรักษาพันธ์ุ สัตว์ปุาทุงใหญนเรศวร และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ปุาหวยขาแขง มีรายงานการพบสัตว์ปุาที่ถูกคุกคาม หลายชนิด เชน ควายปุา วัวแดง สมเสร็จ แมวลายหินออน เสือโครง นกเงือกคอแดง และนกยูงเป็น ตน ผืนปุาดงพญาเย็น-เขาใหญ เกิดจากการรวมตัวกันของ 5 พ้ืนที่อนุรักษ์ คือ อุทยานแหงชาติ เขาใหญ อุทยานแหงชาติทับลาน อุทยานแหงชาติปางสีดา อุทยานแหงชาติตาพระยา และเขตรักษา พันธุ์สัตว์ปุาดงใหญ มีพ้ืนท่ีราว 6,152.13 ตารางกิโลเมตร โดยผืนปุาดงพญาเย็น-เขาใหญมีพื้นที่คาบ เกย่ี วกบั จงั หวัดนครนายก นครราชสีมา ปราจนี บุรี บุรีรัมย์ สระบุรี และสระแกว ในอดีตผืนปุาดงพญาเย็น-เขาใหญ มีสภาพเป็นปุารกทึบ ชุกชุมไปดวยสัตว์ปุาขนาดใหญ แต หลังจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยไดกาวเขาสูยุคแหงการพัฒนา ผืนปุาถูกแผวถาง เปลย่ี นเปน็ พ้ืนท่เี พาะปลกุ ประกอบกับการตัดถนนมิตรภาพผาใจกลางปุา ไดทําใหผืนปุาย่ิงถูกทําลาย รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอมเพื่อชีวติ GESC1104
มากย่ิงข้ึน อยางไรก็ตามในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2505 ปุาเขาใหญก็ไดรับการประกาศเป็นอุทยาน แหงชาติแหงแรกของประเทศไทย ซ่ึงนับเป็นจุดรากฐานการอนุรักษ์ธรรมชาติในประเทศท่ีกอตัวเป็น รปู รา งอยางชัดเจน และตอ เนือ่ งมาจนถงึ ปัจจุบนั 2. พนื้ ทสี่ งวนชีวมณฑล พ้ืนที่สงวนชีวมณฑล หมายถึง พื้นท่ีอนุรักษ์สังคมพืชและสัตว์ในภาวะของระบบนิเวศที่เป็น ธรรมชาติ เพ่ือรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรม และเพื่อใชเป็นแหลงศึกษาวิจัยทางดาน วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะขอมูลพ้ืนฐาน ทั้งในสภาพแวดลอมท่ีเป็นธรรมชาติและท่ีถูกเปลี่ยนแปลงไป พ้ืนท่ีสงวนชีวมณฑล หรือ ชีวาลัยน้ีมีการจัดเตรียมสิ่งอํานวยความสะดวกในการศึกษาและฝึกอบรม ดวย ซึ่งพ้ืนท่ีเหลาน้ีสภาประสานงานนานาชาติดานมนุษย์ และชีวลัย จะเป็นผูประกาศ ประเทศไทย ไดเ ขารว มโปรแกรมมนุษย์และชีวมณฑล ใน ปี พ.ศ.2519 ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่สงวนชีวมณฑล ในเครอื ขายพื้นทีส่ งวนชีวมณฑล รวม 4 แหง ไดแ ก 1. พ้ืนทส่ี งวนชวี มณฑลสะแกราช จงั หวัดนครราชสมี า 2. พน้ื ท่สี งวนชีวมณฑลสวนสัก-หว ยทาก จังหวัดลําปาง 3. พื้นที่สงวนชวี มณฑลแมส า หว ยคอกมา จงั หวัดเชียงใหม 4. พ้ืนทสี่ งวนชวี มณฑลปุาชายเลน จงั หวดั ระนอง โดยเปน็ พน้ื ทสี่ งวนชีวมณฑลที่อยูใ นบรเิ วณทะเลชายฝ่ังจํานวน 1 แหง ไดแก พื้นที่สงวน ชีวมณฑลปาุ ชายเลน จังหวัดระนอง บทสรุป ทรัพยากรปุาไมมีความสําคัญมหาศาลตอมวลมนุษย์ ปุาไมเป็นแหลงกําเนิดของปัจจัยสี่ เป็น แหลงท่ีอยูอาศัยของสัตว์ปุา และท่ีสําคัญ คือ เป็นแหลงกําเนิดที่สําคัญของตนน้ําลําธารหลายสายท่ี หลอเลี้ยงชีวิตของคนไทยท้ังประเทศ ปัจจุบันเป็นที่นาหวงใยอยางย่ิงท่ีพื้นท่ีปุาลดลงจากเดิมมากจาก การบุกรกุ ทาํ ลายปาุ โดยยังไมมีมาตรการใดๆท่ีจะหยดุ ยัง้ ขบวนการแผว ถางปาุ ได ปาุ ไมในประเทศไทย จัดอยูในเขตปุาไมเมืองรอน แบงเป็น 2 ประเภท คือ ปุาผลัดใบและไมผลัดใบ โดยปุาผลัดใบแบง ออกเป็น 4 ชนิด คือ ปุาดิบเมืองรอน ปุาสน ปุาพรุ และปุาชายหาด สวนปุาผลัดใบแบงเป็น 3 ประเภท คือ ปุาเบญจพรรณ ปุาเต็งรัง และปุาหญา เน่ืองจากปุาในประเทศถูกบุกรุกทําลายเราจึง จาํ เป็นตองปลูกฝังจิตสาํ นึกรักษป์ าุ โดยการดาํ เนินการตางๆ เชน การประชาสัมพันธ์แกประชาชน การ ปรบั ปรุงและใชม าตรการทางกฎหมายใหเ ขม งวดข้ึน ตลอดจนการรณรงค์ปลูกปุาทดแทน เพื่ออนุรักษ์ ปุาไมไวใหย ง่ั ยนื ตลอดไป รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอมเพ่ือชวี ิต GESC1104
2 2 รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ มเพื่อชวี ติ GESC1104
กิจกรรมท่ี 6 ทรพั ยากรปา่ ไมเ้ พื่อชวี ติ 1. หลกั การ ปุาไมมีความสําคัญตอมนุษย์และทรัพยากรอ่ืนๆ ท้ังทางตรงและทางออม ปุาไมในประเทศ ไทยแบงออกเป็น 2 ประเภท ไดแก ปุาไมผลัดใบและไมผลัดใบ ปัจจุบันจํานวนประชากรเพิ่มมากข้ึน เกิดการบุกรุกพ้ืนทป่ี าุ เพ่อื ทําการเกษตร เพื่อขยายพ้ืนที่ทํากิน การลักลอบตัดไมทําลายปุา ไฟปุา และ การพัฒนาสาธารณูปโภคในพ้ืนที่ปุาไม สงผลกระทบทําใหเกิดภัยแลง อากาศแปรปรวน โลกรอน ฝน ตกไมถกู ตองตามฤดกู าล นํ้าทวม จากผลกระทบดังกลาวจึงจําเป็นอยางย่ิงที่จะตองอาศัยความรวมมือ ของทกุ ฝุายในการอนุรักษ์ปาุ ไม สง เสรมิ นโยบายปุาไมแหง ชาติ การปลกู ปาุ ชมุ ชน จัดการปูองกันไฟปุา จัดโครงการปลกู ปุาทดแทน ปูองกันการบกุ รกุ ทาํ ลายปุา 2. จุดประสงค์ 2.1 เพอื่ ใหเขาใจความหมายของทรัพยากรปาุ ไม 2.2 เพ่ือใหเ กดิ จติ สาํ นึกและแนวทางการอนรุ กั ษ์ปุาไม 2.3 เพ่ือใหสามารถอธบิ ายลกั ษณะของระบบนิเวศพนั ธุ์ไมในมหาวทิ ยาลยั 3. วิธีปฏิบัติกิจกรรม 3.1 ศึกษาจากเอกสาร 3.2 แบง นักศึกษาออกเปน็ กลุม กลุม ละ 4-5 คน 3.3 สํารวจความหลากหลายของพันธไุ์ มในมหาวทิ ยาลยั ตามพน้ื ท่ีท่ีกาํ หนดให 3.4 ใหน กั ศกึ ษาแบง กลมุ ตนไมท ี่สาํ รวจเปน็ 3 ระดับตามความสูงดงั นี้ พืชปกคลมุ ดิน มีความสงู ไมเ กนิ 5 เมตร ไมเ ต้ยี ไมพุม มคี วามสงู ไมเกนิ 10 เมตร ไมใ หญ มคี วามสงู เกิน 10 เมตร 3.5 เขยี นชือ่ และนับจาํ นวนตนไมท่ีพบ รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ มเพื่อชวี ิต GESC1104
4. ผลการปฏบิ ัติกิจกรรม ความสูง ชนิด ไม่เกนิ 5 ไม่เกิน 10 10 เมตร ชือ่ ต้นไม้ อายุ ใบเล้ยี งเด่ยี ว ใบเลี้ยงคู่ เมตร เมตร ขน้ึ ไป สรปุ …............................................................................................................................. ............................ …............................................................................................................................. ............................ …..................................................................................................... .................................................... …............................................................................................................................. ............................ …......................................................................................................................................................... 5. คาถาม 5.1 พรรณไมใ นมหาวทิ ยาลยั มีความสาํ คญั หรือไม อยา งไร …......................................................................................................................................................... …............................................................................................................................. ............................ …......................................................................................................................................................... …............................................................................................................................. ............................ …............................................................................................................................. ............................ รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอมเพื่อชวี ิต GESC1104
5.2 ถาตัดตนไมในมหาวิทยาลัย จะมีผลอยา งไร …......................................................................................................................................................... …............................................................................................................................. ............................ …............................................................................................................................. ............................ …......................................................................................................................................................... …............................................................................................................................. ............................ 5.3 จากการปฏิบตั ิกิจกรรมคร้ังน้ี นกั ศึกษามีความคดิ เหน็ อยา งไร …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... …......................................................................................................................................................... เอกสารอา้ งองิ กรมอุทยานแหงชาติ สัตว์ปุา และพันธุ์พืช. (8 มกราคม 2559). ประเภทของป่าไม้. http://www. dnp.go.th/research/Knowledge/type%20of%20forest.html. มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. (12 กันยายน 2555). รายงานสาธารณะ “สถานการณ์ป่าไม้ไทย 2555”. http://www.seub.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=927 :seubnews&catid=5:2009-10-07-10-58-20&Itemid=14. สํานักจัดการท่ีดนิ ปาุ ไม กรมปาุ ไม. (6 กมุ ภาพันธ์ 2559). เน้ือที่ป่าไม้ของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2516 – 2558. http://forestinfo.forest.go.th/55/Content.aspx?id=72. Allen, S. W. (2007). An Introduction to American Forestry: American Forestry Series. New York: McGraw-Hill. รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ มเพ่ือชีวิต GESC1104
บทที่ 7 ทรัพยากรสตั ว์ปา่ ในปัจจุบันไดมีการสํารวจพบสัตว์ปุาในประเทศไทยมีความหลากหลาย และบางชนิด เป็นชนดิ เดยี วท่มี อี ยใู นโลก แตก ็เปน็ ท่นี าเสยี ดายอยางยง่ิ ทบี่ างชนดิ ไดสูญพันธ์ุไปแลวเนื่องจากแหลงท่ี อยอู าศัยท่สี าํ คญั ของสตั ว์ปาุ มพี ืน้ ทล่ี ดนอยลง รวมท้ังพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีการตัดไมทําลายปุาและ ลักลอบคาสัตว์ปุาท่ีกระทํากันอยางมีแบบแผนและรัดกุม อยากท่ีจะจัดการไดอยางมีประสิทธิภ าพ สัตว์ปุาถือวาเป็นองค์ประกอบที่สําคัญของปุา ซึ่งเป็นทั้งตัวการจัดการสรางความสมดุลใหกับระบบ นิเวศปุาไม และเป็นส่ิงเช่ือมโยงระหวางสิ่งมีชีวิตในทุกระบบ หากสัตว์ปุาถูกทําลายจนถึงระดับท่ีไม สามารถจะทาํ หนา ทีข่ องตนเองในระบบนิเวศไดอ ยา งสมบูรณ์แลว ระบบนิเวศนั้น ๆ ก็ไมสามารถดํารง อยไู ดอ ยา งสมบูรณ์ แลว ยงั สงผลกระทบตอความสมดลุ ทางธรรมชาติ ความหมายและการกาหนดสถานภาพของสตั ว์ป่า 1. ความหมายของสัตว์ปา่ พระราชบัญญัติสงวนและคุมครองสัตว์ปุา พ.ศ. 2535 ใหคํานิยามคําวา สัตว์ปุา (Wildlife) หมายถึง สัตว์ทุกชนิดไมวาสัตว์บก สัตว์น้ํา สัตว์ปีก แมลง หรือแมง ซ่ึงโดยสภาพธรรมชาติยอมเกิด และดํารงชวี ิตอยใู นปาุ หรือในนา้ํ และใหหมายความรวมถงึ ไขข องสตั ว์ปาุ เหลา นั้นทกุ ชนิดดวย แตไมได หมายความรวมถงึ สตั วพ์ าหนะที่ไดจดทะเบยี นทําต๋วั รปู พรรณกฎหมายวา ดว ยสัตวพ์ าหนะ 2. การกาหนดสถานภาพของสตั ว์ป่า ในการกําหนดสถานภาพของสัตว์ปุาเพ่ือใชเป็นแนวทางในการอนุรักษ์ตามกฎหมายของ ประเทศไทยซ่งึ มีการตราพระราชบัญญัตสิ งวนและคมุ ครองสตั วป์ าุ ปี พ.ศ.2535 ซ่ึงไดปรับปรุงแกไขมา จากพระราชบัญญัติสงวนและคุมครองสัตว์ปุา พ.ศ.2503 เพื่อท่ีจะคุมครองถิ่นที่อยูอาศัยตาม ธรรมชาติ ตลอดจนมีการกําหนดชนิดสัตว์ปุาสงวน สัตว์ปุาหาอยาก จํานวน 15 ชนิด (เดิม 9 ชนิด) รวมท้ังมีการปรับปรุงพระราชาบัญญัติใหทันสมัยมากข้ึน ท้ังนี้เพ่ือเป็นการสอดคลองกับอนุสัญญาวา ดวยการคาระหวางประเทศซ่ึงชนิดสัตว์ปุาและพืชปุาท่ีใกลสูญพันธุ์ และกําหนดการควบคุมนําเขา สงออก สงเสรมิ การขยายพันธสุ์ ัตว์ปุาบางชนิด โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือชวยเพิ่มประชากร อนุรักษ์ชนิด พันธุ์ และลดการกดดันท่ีเกิดจากการลา (กรมสงเสริมคุณภาพสิ่งแวดลอม, 2553: 103) โดยกําหนด สถานภาพของสตั วป์ ุาดงั นี้ รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ มเพ่ือชวี ิต GESC1104
1. สัตว์ปุาสงวน เป็นสัตว์ปุาหายากหรือกําลังจะสูญพันธ์ุจึงหามลาหรือมีไว ครอบครองทั้งสัตว์ท่ียังมีชีวิตหรือซากสัตว์ เวนแตกระทําเพื่อการศึกษา วิจัย ทางวิชาการ หรือเพื่อ กจิ การสวนสาธารณะโดยไดรบั อนญุ าตจากอธบิ ดีกรมปุาไมเป็นกรณีพเิ ศษ 2. สัตว์ปุาคุมครอง หมายถึง สัตว์ปุาตามท่ีกระทรวงกําหนดใหเป็นสัตว์ปุาคุมครอง เชน กระทิง กระรอกบิน กวาง เกง ชะมด ชะนี ไกปุา นกยูง นกแรง นกเงือก งูสิง งูเหลือม ปูเจาฟูา เป็นตน ซงึ่ กฎหมายไมอนญุ าตใหลา หรอื มีไวในครอบครองซงึ่ รวมถึงซากของสัตว์ปุาสงวนหรือซากของ สัตวป์ ุาคุม ครองหรือคา เวน แตการกระทาํ โดยทางราชการ นอกจากนี้ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ไดกลาวถึง สถานภาพความหลากชนดิ พนั ธส์ุ ตั วท์ ่ีมีการจําแนกแลวในโลก และประเทศไทยไว ดังตารางที่ 7.1 ตารางท่ี 7.1 จาํ นวนชนิดของสัตว์ทีศ่ กึ ษาทางวิทยาศาสตรแ์ ลวในโลกและในประเทศไทย ชนิดพันธุ์ โลก ประเทศไทย คดิ เปน็ รอ้ ยละ (ชนิด) (ชนดิ ) (เทียบกับชนดิ พันธุ์ในโลก) สัตว์สะเทินน้ําสะเทินบกและเล้ือย 12,000 491 4.09 คลาน สตั วเ์ ลีย้ งลกู ดว ยนํ้านม 4,500 302 6.71 นก 10,000 982 9.82 ปลา 22,000 2,820 12.82 สตั ว์ไมมีกระดดู สนั หลัง 400,000 11,900 2.97 (ยกเวน แมลง) แมลง 960,000 NA - (ทมี่ า: กรมสงเสริมคณุ ภาพสิ่งแวดลอม. 2553: 28) ปัญหาการคา้ สัตว์ปา่ เปน็ ทที่ ราบกนั ดวี า ตลาดตามแนวชายแดน เชน ปอยเปต ทาข้ีเหล็ก ชองเม็ก และดานเจดีย์ สามองค์ คือ แหลงขายซากสัตว์ปุาขนาดใหญ แตก็เป็นเวลากวา 10 ปี มาแลวเชนกันที่มีการรณรงค์ เกี่ยวกับการคาสัตว์ปุาผิดกฎหมาย เพื่อใหคนในประเทศรูสึกวาการลักลอบคาสัตว์ปุา หรือคานิยมใน การบรโิ ภคอวัยวะสัตว์ปาุ น้ันหมดไปจากประเทศน้ีแลว หรืออาจจะมีเหตุการณ์เชนนี้เกิดข้ึนมาบางแต ก็นานๆครง้ั สิ่งนเ้ี องที่อาจสงผลตอทัศนคตทิ ีผ่ ดิ ประหลาดของประชาชนใหคดิ วา การลักลอบคาสัตว์ปุา รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ มเพื่อชวี ติ GESC1104
ผิดกฎหมายน้ันเป็นเพียงธุรกิจเล็กๆในตลาดมืดท่ีมีผูเก่ียวของอยูเพียงไมกี่คน และจะไมมีผลกระทบ รุนแรงตอธรรมชาติหรือระบบนิเวศแตอยางใด แตในความเป็นจริงการลักลอบคาสัตว์ปุาเป็นธุรกิจใน ตลาดมืดทม่ี ีมลู คาสูงเปน็ อันดับสองของโลกเปน็ รองเพยี งขบวนการคายาเสพตดิ เทา นน้ั นาย คริส เชฟเฟิร์ด เจาหนาที่ประจํา TRAFFIC องค์กรเอกชนนานาชาติซ่ึงติดตามความ เคลื่อนไหวเกี่ยวกับการคาสัตว์ปุาทั่วโลกกวา 10 ปี ใหขอมูลเกี่ยวกับการคาสัตว์ปุาในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใตวา ดินแดนแถบน้ีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สําคัญในการคาสัตว์ปุาระดับโลก เน่ืองจากมี ความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก ปุาเขตรอนท่ีน่ีจึงเป็นแหลงวัตถุดิบสําคัญที่มีความตองการใน ตลาดสูง การคา สตั ว์ปาุ ทเี่ กิดขน้ึ ทั้งหมดเป็นไปเพื่อตอบสนองวัตถุประสงคใ์ หญๆ 5 ประการ คือ เตา 1. เพ่ือใชเป็นเคร่ืองประดับตกแตง เชน งาชาแกะสลัก เขาสัตว์ หนังเสือ กระดอง ชนิดตาง ๆ 2. เพื่อใชเปน็ สวนประกอบของยาแผนโบราณ เชน นอแรด กระดูกเสอื ดหี มี และตางชาติ 3. เพ่ือนํามาเป็นสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะนกปุา สัตว์ในกลุมลิง และสัตว์เล้ือยคลาน 4. เพ่ือการบริโภค ท้ังในระดับทองถิ่น และสงขายใหรานอาหารทั้งในประเทศ 5. เพอื่ ตอบสนองกจิ การสวนสัตว์ ทัง้ ของรฐั และเอกชน สาํ หรับในประเทศไทยการคาสตั ว์ปุาเปน็ อาชญากรรมทม่ี ีความรุนแรงไมนอยไปกวาการคายา เสพติดและอาวุธสงคราม ประเทศไทยคอนขางจะถูกโจมตีอยางรุนแรงวา เป็นประเทศศูนย์กลาง การคาสัตว์ปุาท่ีหน่ึงซึ่งใหญมากท่ีสุดในโลก ผลกระทบจากปัญหาการคาสัตว์ปุา ไดแก การสูญเสีย ความหลากหลายทางชีวภาพจํานวนมากและไมสามารถเอากลับคืนมาได ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ คาดการณไ์ ววา หากเหตกุ ารณเ์ ชน นยี้ งั คงดําเนินตอไป สตั ว์ปุาและพืชปุาในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียง ใตถึง 13-42% จะสูญพันธุ์ไปในศตวรรษน้ี และอัตราการสูญเสียอยางนอยคร่ึงหนึ่งจากจํานวน ดังกลาวก็เทากับสัตว์เหลาน้ันจะสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้อยางถาวร การสูญเสียระบบนิเวศวิทยาของ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ซึ่งสงผลตอเน่ืองไปยังแหลงตนน้ําลําธาร แหลงอาหารและความแปรปรวนของ สภาพอากาศ ทําใหสัตว์ปุาขาดแคลนอาหาร ซึ่งมีผลทําใหสัตว์ปุาลมตายจากภัยแลงที่เกิดข้ึน ทรัพยากรที่ไมเพยี งพอ จึงเป็นอกี ปญั หาหนึง่ ท่ีตอ งชวยกนั อนรุ กั ษ์ทรัพยากรส่ิงแวดลอมไว ปัญหาการลักลอบคาสัตว์ปุาเพ่ิมอัตราความเสี่ยงของการแพรระบาดไวรัสและเชื้อโรคจาก สตั ว์สคู น เชน การระบาดของโรคซาร์สและโรคไขหวดั นก หนวยงานท่ีเก่ียวของจะตองเขามาดูแลและ ตระหนักถึงโรคท่ีตามมาวามีอันตรายรายแรงเพียงใด แก฿งอาชญากรรมลักลอบคาสัตว์ปุาอยูไดดวย กําไรมหาศาล ซ่ึงปัจจุบันสามารถพิสูจน์ไดวาอาชญากรรมดานสัตว์ปุามีสวนเช่ือมโยงไปยัง รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอมเพ่ือชวี ิต GESC1104
อาชญากรรมดานอื่นๆ ดวย อาทิ ยาเสพติดและการคามนุษย์ ดังนั้นภาครัฐจึงตองเขามามีสวนรวม อยา งมากกบั การปราบปรามการลกั ลอบคาสัตวป์ าุ อยา งเด็ดขาด ผูท่คี รํ่าหวอดในการปราบปรามการคา สัตวป์ ุามายาวนาน ใหขอ มูลวา สินคาประเภทเสือโครง เป็นท่ีตองการในตลาดจีนและเวียดนามคอนขางสูง โดยเฉพาะตลาดคนจีนโพนทะเลในอเมริกา ตองการยาแคปซูลบดกระดูกเสือรวมกับหนังงู ซ่ึงถือวาเป็นยาอายุวัฒนะและยาโปฺว คิดเป็นเงินไทย แลวแพงถึงแคปซูลละ 1 หมื่นบาท ซากลูกเสือดองเหลา ซึ่งเป็นท่ีนิยมในเวียดนาม โดยมีความเชื่อวา ด่มื แลว แกปวดเมื่อยใหหายขาด รวมถึงแกโ รคหดหซู ึมเศรา ในผูสงู อายุ มีการขายเป็นเปฺกหรือแกวช็อต แกวละ 500 บาท โดยมีการซื้อขายเป็นโหล ประมาณโหลละ 4-5 หมื่นบาท (โพสต์ทูเดย์. ออนไลน์. 2559) ภาพท่ี 7.1 สตั ว์ปุาทีถ่ กู ลกั ลอบสงออกนอกประเทศ (ทีม่ า: โพสต์ทูเดย.์ ออนไลน์. 2559) อนุสญั ญาไซเตส อนสุ ัญญาไซเตส คือ อนุสญั ญาวา ดว ยการคาระหวางประเทศซง่ึ ชนดิ สตั ว์ปุาและพืชปุาท่ีกําลัง สูญพันธ์ุ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora, CITES) เร่ิมบังคับใชมาตั้งแตปี พ.ศ. 2518 มีสมาชิกลงนามรับรองทั้งหมด 181 รัฐ (ณ พฤษภาคม 2558) เป็นขอตกลงระหวางประเทศเก่ียวกับการคาขายพันธุ์สัตว์ปุาและพันธุ์พืช โดย ประเทศไทย เป็น 1 ใน 181 รัฐ โดยอนุสัญญาฯ มีการกําหนดชนิดพันธุ์สัตว์ปุาหรือพืชปุาออกเป็น บัญชี หมายเลข 1, 2 และ 3 ดังนี้ (CITES. Online. 2016) รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอมเพื่อชวี ติ GESC1104
บัญชีหมายเลข 1 เป็นบัญชีรายชื่อของชนิดพันธ์ุที่หามทําการคาโดยเด็ดขาด เนื่องจากใกล สูญพนั ธ์ยุ กเวน เพื่อการศึกษาวิจยั ซึง่ จะตอ งไดรับการยินยอมจากประเทศท่ีจะนําเขาเสียกอนประเทศ ทจี่ ะสง ออก จึงจะสามารถอกใบอนุญาตได ตัวอยา งชนดิ พนั ธุ์ท่ีมอี ยูในประเทศไทยที่ปรากฏอยูในบัญชี น้ี เชน แรด เสือโครง หมคี วาย กลว ยไมป ุาหายากบางชนดิ บญั ชีหมายเลข 2 เปน็ บญั ชีรายชือ่ ของชนดิ พันธ์ุทส่ี ามารถคาไดแตตองอยูในการควบคุมไมให เกิดความเสียหายหรือกระทบกระเทือนตอการดํารงอยูของชนิดพันธ์ุนั้น ๆ ตัวอยางชนิดพันธ์ุท่ีมีการ แพรก ระจายอยใู นประเทศไทยท่ีปรากฏอยูในบัญชีน้ี เชน นาก คางคาวแมไก ตนหมอขาวหมอแกงลิง เป็นตน บัญชีหมายเลข 3 เป็นชนดิ พนั ธทุ์ ่ไี ดรบั การคุมครองตามกฎหมายของประเทศใดประเทศหน่ึง ซึง่ ในการนาํ เขา จะตอ งมีหนังสอื รับรองการสง ออกจากประเทศถน่ิ กาํ เนดิ บทสรุป ปัจจุบันสถานภาพสัตว์ปุาอยูในสถานการณ์ที่นาเป็นหวงซ่ึงสาเหตุสําคัญเกิดจากการลักลอบ คาสัตว์ปุาท่ีกระทําเป็นขบวนการที่กฎหมายยังไมสามารถกวาดลางไดหมดสิ้น สัตว์ปุาในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตจัดวาเป็นพื้นท่ียุทธศาสตร์สําคัญในการคาสัตว์ปุาระดับโลก เนื่องจากมีความ หลากหลายทางชีวภาพสูงมาก ปุาเขตรอนท่ีน่ีจึงเป็นแหลงวัตถุดิบสําคัญท่ีมีความตองการในตลาดสูง การคาสัตว์ปุาที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นไปเพ่ือตอบสนองวัตถุประสงค์ใหญ ๆ 5 ประการ คือ เพ่ือใชเป็น เครื่องประดับตกแตง เพ่ือใชเป็นสวนประกอบของยาแผนโบราณ เพื่อนํามาเป็นสัตว์เล้ียง เพื่อการ บริโภค และเพื่อตอบสนองกิจการสวนสัตว์ การอนุรักษ์สัตว์ปุาสามารถทําไดโดยการไมใหการ สนับสนนุ วงการคา สัตวป์ าุ โดยการซ้ือนํามาเล้ียงไวท่ีบาน เนื่องจากบานของสัตว์ปุาท่ีแทจริงคือ “ปุา” ดงั นน้ั การอนรุ กั ษป์ ุาจึงเปน็ การอนุรกั ษส์ ัตวป์ ุาดวย คณุ ทราบหรือไม่ว่า? “ในปัจจุบันสัตว์และพืช สูญพันธ์ุในอัตราที่เร็วกวา อัตราการสุญพันธ์ุทางธรรมชาติ 1,000-10,000 เทานี้เป็นการ สูญพันธุ์ครั้งท่ี 6 ในประวัติสาสตร์โลก และคราวนี้มนุษย์เป็น ตัวการเดียวทีท่ าใหเ้ กดิ ปรากฏการณ์น้ีขึน้ ” “ทกุ ๆ ปี ของเสยี จากพลาสตกิ ครา ชวี ิตนก 1,000,000 ตวั สตั ว์ นาํ้ อกี 100,000 ตัว และปลาอีกจาํ นวนนบั ไมถวน” รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอมเพื่อชวี ิต GESC1104
กิจกรรมที่ 7 ทรพั ยากรสตั ว์ปา่ 1. หลกั การ ธุรกิจการลักลอบคาสัตว์ปุาถือไดวาเป็นหน่ึงในธุรกิจตลาดมืดที่ใหกําไรตออาชญากรผูคาสูง ผลกระทบจากการคาผนวกกับการสูญเสียพ้ืนท่ีปุา สงผลใหสัตว์ปุาหลายชนิดอยูในภาวะใกลสูญพันธุ์ การลักลอบฆาสัตว์ ตัดไมและการลักลอบลําเลียงสัตว์ปุาเป็นปัญหาท่ีเกิดข้ึนทุกท่ีทั่วโลก โดยเฉพาะ อยางยิ่งในกลุมประเทศกําลังพัฒนา และเนื่องจากอาชญากรมักทํางานกันเป็นขบวนการ จึงทําให ธรุ กจิ การคา สัตว์ปาุ ทผ่ี ิดกฎหมายท่วั โลกนน้ั สูงถึงหลายพันลานเหรียญสหรัฐตอปี แมปุาไมและสัตว์ปุา จะไดร ับการคุม ครองภายใตกฎหมายของแตละประเทศและระดับนานาชาติ แตสัตว์ปุาหลายชนิดก็ยัง ถูกลักลอบคาอยางตอเน่ือง เพื่อมาประกอบยารักษาโรค ตลาดสัตว์เลี้ยงและสวนสัตว์ นักสะสมและ ของตกแตง รวมทั้งเพื่อการบริโภคเนื้อเปิบพิสดาร ซ่ึงสวนใหญผูท่ีเกี่ยวของในกระบวนการลักลอบคา สัตว์ปุา โดยเฉพาะผูบริโภคทั้งหลายไมมีความตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมาหากสัตว์ปุาเหลาน้ี ตองสูญพนั ธุ์ไป 2. จุดประสงค์ 2.1 เพ่ือใหเ ขา ใจความหมายของคาํ วา สตั วป์ าุ สัตวป์ ุาคมุ ครอง อนุสัญญาไซเตส 2.2 สามารถจาํ แนกประเภทของสตั วป์ าุ โดยใชเ กณฑต์ า งๆได 2.3 เพอื่ ใหเ กิดจติ สาํ นึกในการอนรุ กั ษ์สตั ว์ปาุ 3. วธิ ปี ฏบิ ัตกิ ิจกรรม 3.1 ศกึ ษาจากเอกสาร 3.2 ใหน ักศกึ ษาศึกษาสตั ว์ปาุ มา 1 ชนิดที่สนใจโดยอธิบายเกยี่ วกับการดาํ รงชวี ติ ถ่ินทอี่ ยู อาศยั พฤติกรรม และวาดภาพประกอบ 4. ผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม 4.1 ช่ือสตั ว์ ............................................................................................................................. ................................ รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
4.2 ภาพสตั ว์ 4.3 การดํารงชีวติ ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ ...................................................................................................................................................... ....... 4.4 ถ่นิ ท่อี ยูอาศยั ................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ 4.5 พฤติกรรม ............................................................................................................................. ................................ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................ .............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................. ................................................. .............. รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ มเพื่อชวี ติ GESC1104
5. คาถาม 5.1 สตั วป์ าุ สงวนมกี ช่ี นดิ อะไรบา ง และมลี ักษณะอยางไร ชอ่ื สตั ว์ ประเภท ลกั ษณะ รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ มเพ่ือชีวติ GESC1104
5.2 รองรอยตอไปน้เี ปน็ สตั ว์อะไร ชอื่ สตั ว์ ร่องรอย ……………………………….. ……………………………….. ………………………………. ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. รายวิชาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ มเพ่ือชีวติ GESC1104
ร่องรอย ชื่อสัตว์ ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. ……………………………….. รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอมเพ่ือชีวติ GESC1104
5.3 จงบอกชอ่ื แมลงตาง ๆ เหลานี้มา 5 ชนดิ 5.3.1 แมลงหายากและใกลส ญู พนั ธุ์ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5.3.2 แมลงอันตราย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5.4 จงบอกช่อื นกในมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏจนั ทรเกษม และแหลง ท่พี บมา 5 ชนิด ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5.5 เตา ในมหาวิทยาลัยราชภฏั จันทรเกษมมีกช่ี นิด และจะมแี นวทางในการอนุรักษเ์ ตา ได อยา งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… เอกสารอา้ งอิง กรมสงเสริมคุณภาพส่ิงแวดลอม. (2553). ความหลากหลายทางชีวภาพ กู้วิกฤตชีวิตโลก. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ ม. พระราชบัญญัติสงวนและคุมครองสัตว์ปุา พ. ศ. 2535 (28 กุมภาพันธ์ 2535). ราชกิจจานุเบกษา. เลม ที่ 109 ตอนที่ 15. หนา 1-8. โพสต์ทูเดย์. (27 มิถุนายน 2559). เส้นทางค้าสัตว์ป่า เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ. http:// www.posttoday.com/life/life/439704. Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES). (10 March 2016). Appendices I, II and III. https://cites.org/eng/app/ appendices.php. รายวิชาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ มเพ่ือชวี ติ GESC1104
บทท่ี 8 พลงั งานเพื่อชีวิต พลังงานเป็นส่ิงจําเป็นของมนุษย์ในโลกปัจจุบันและทวีความสําคัญขึ้นเม่ือโลกยิ่งพัฒนามาก ยิ่งขึ้น แหลงพลังงานคอย ๆ เปลี่ยนไปเป็นแหลงพลังงานท่ีตองอาศัยเทคโนโลยีในการผลิตมากยิ่งขึ้น จากนํ้ามันปิโตรเลียมไปเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นตน ประเทศไทยมีแหลงพลังงานหลายประเภท ดวยกัน แตอาจจะมีในปริมาณคอนขางนอย เมื่อเทียบกับประเทศอ่ืน ๆ วิกฤตการณ์พลังงานของโลก กําลังเป็นท่ีตื่นตัวและสงผลกระทบตอภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของโลก และสงผลกระทบโดยตรงตอ ประเทศไทยจากราคานาํ้ มนั ทีพ่ งุ สงู ขน้ึ ทุกวัน สงผลใหการดาํ เนินชีวิตของประชากรในประเทศ ความหมายและประเภทของแหลง่ พลังงาน 1. ความหมายของพลงั งาน พลังงานเป็นคําไทยที่เกิดจากการนําคํา 2 คํามาผสมกัน คือ “พลัง” และ “งาน” หมายถึง พลังของส่งิ ตา ง ๆ ทนี่ ํามาทําใหเกิดเป็นงานข้ึน ไดแก นํ้ามัน ไฟฟูา ถาน แสงอาทิตย์ ลม และน้ํา เป็น ตน พลังงาน หมายถึง แรงงานที่ไดมาจากธรรมชาติ ถาจําแนกตามแหลงท่ีมาอาจแบงไดเป็น 2 ประเภท คือ พลังงานตนกําเนิด (Primary energy) ไดแก น้ํา แสงแดด ลม และเช้ือเพลิงธรรมชาติ เชน นาํ้ มัน ถานหิน แกส฿ ธรรมชาติ ไอน้ําใตดิน แรนิวเคลียร์ ไมฟืน แกลบ ชานออย และพลังงานแปร รูป (Secondary energy) ซึ่งไดมาโดยการนําพลังงานตนกําเนิดดังกลาวขางตนมาแปรรูปเพ่ือใช ประโยชน์ในลักษณะตางๆ กัน เชน พลังงานไฟฟูา ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ถานโคก แก฿สหุงตม เป็นตน (กระทรวงพลังงาน. ออนไลน์. 2555) 2. ประเภทของแหลง่ พลังงาน พลงั งานมีแหลงกําเนดิ ไดเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 แหลงพลังงานใชแลวหมดไป หรือพลังงานสิ้นเปลือง (Non-renewable energy resources) คอื แหลงพลังงานจากใตพ นื้ พิภพ เมื่อใชหมดแลวไมสามารถสรางขึ้นมาใหมหรือ หามาทดแทนโดยธรรมชาตไิ ดทนั ความตองการในเวลาอันรวดเร็ว ตองใชเวลานานกวารอยลานปีที่จะ สรา งข้นึ มาอีกไดแ ละมปี รมิ าณจํากดั เชน นํา้ มนั ดบิ ถานหนิ ก฿าซธรรมชาติ และแรยเู รเนยี ม ฯลฯ รายวิชาทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ มเพ่ือชวี ิต GESC1104
เม่ือพิจารณาจากวิถีชีวติ ประชาคมโลกจะเหน็ วา มกี ารใชพ ลังงานฟอสซลิ รอ ยละ 80 ของพลังงานประเภทตาง ๆ โดยรอ ยละ 60 เป็นการใชพ ลงั งานจากปิโตรเลยี ม และเช่ือวาแหลง พลงั งานนี้จะถกู นํามาใชสูงสุดในระยะเวลาไมนานอยา งแนนอน 2.2 แหลงพลังงานหมุนเวียน (Renewable resources) คือ แหลงพลังงานที่ไดจาก ธรรมชาติและสามารถหามาใชไดไมมีวันหมด ซ่ึงสามารถสรางทดแทนไดในชวงเวลาสั้นๆ โดย ธรรมชาติหลังจากมีการใชไป อาจเรียกวา พลังงานทดแทน พลังงานสะอาด หรือพลังงานสีเขียว เนื่องจากไมทําใหเกิดมลพิษตอส่ิงแวดลอม ตัวอยางของพลังงานชนิดนี้ ไดแก พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังนาํ้ พลงั งานคล่ืนในทะเล พลังงานน้ําขึ้นน้ําลง พลังงานชีวมวล พลังงานความรอนใต พภิ พและพลังงานไฮโดรเจน ฯลฯ พลังงานในชีวิตประจาวนั พลังงานไฟฟาู มีความเกยี่ วของกับการใชช วี ิตประจําวันอยางมากเพราะอุปกรณ์ในการอํานวย ความสะดวกสว นใหญจะเปน็ เครอื่ งใชไฟฟูา ดังน้ันในการคํานวณพลังงานไฟฟูาจะตองทราบอัตราการ ใชพลังงานไฟฟูาตอ 1 หนวยเวลาเพ่ือนํามาหาปริมาณการใชพลังงานท้ังหมดในชวงเวลาน้ันหรือเรียก ไดอ กี อยา งหน่ึงวา “กําลงั ไฟฟาู ” ซึ่งสามารถคํานวณไดจากสมการ E= PxT เมอื่ E คือ พลังงานไฟฟูา มหี นวยเปน็ วัตต์.ช่วั โมง P คอื กําลงั ไฟฟูา มีหนว ยเป็น วตั ต์ T คอื เวลาทใ่ี ชงาน มหี นวยเปน็ ชัว่ โมง ตวั อยา่ งที่ 1 หงุ ขา วโดยใชหมอหงุ ขาวขนาด 630 วัตต์ นาน 2 ช่วั โมง จะใชพลังงานกี่ วัตต์.ชว่ั โมง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… การคาํ นวณหาคา กาํ ลงั ไฟฟูาทถี่ กู ตองควรคาํ นวณจากเครื่องโดยตรง ในกรณีที่เครอื่ งใชไฟฟาู บอกคา ความตา งศักยแ์ ละคากระแสไฟฟูา คํานวณกําลังไฟฟาู ไดโดยใชสูตร P= VxI รายวชิ าทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอมเพื่อชีวติ GESC1104
เม่อื P คอื กาํ ลงั ไฟฟูา หนว ยเปน็ วตั ต์ เมือ่ V คือ ความตา งศักย์ หนวยเปน็ โวลต์ เม่ือ I คอื กระแสไฟฟาู หนวย แอมแปร์ ตัวอย่างที่ 2 ตูเย็นเครื่องหนึ่ง มีความตางศักย์ 220 โวลต์ ใชกระแสไฟฟูา 0.8 แอมแปร์ จะมี กาํ ลงั ไฟฟูาเทา ไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… การคดิ คา่ ไฟฟ้าดว้ ยตัวเอง จากสภาวะเศรษฐกจิ ตกตา่ํ ในปัจจบุ ัน หลายบา นตอ งสํารวจและควบคุมคาใชจายไมวาจะเป็น คาใชจ ายในการกนิ อยรู วมทงั้ คา ใชจ ายในดา นสาธารณปู โภค ไดแก คาไฟฟูา คานํ้าประปา คาน้ํามันรถ เพ่ือใหเพียงพอกบั รายได ซ่ึงสว นใหญเปน็ คาใชจายท่ีเราหลกี เล่ยี งไมได โดยเฉพาะอยางยิ่งคาไฟฟูาเรา จึงตองมกี ารตรวจสอบวาเราใชไฟฟูาไปกี่หนวย จะตองเสียคาใชจายเป็นจํานวนเงินเทาไร ถือเป็นการ ชว ยในการวางแนวทางการประหยัดไฟฟูาไดอีกดวย แตกอนท่ีเราจะทราบอัตราคาไฟฟูาน้ัน เราควรรู กอนวา คาไฟประกอบดวยอะไรบา ง คา ไฟฟูาในปัจจบุ ันประกอบดวย 3 สว นคือ ดังภาพท่ี 8.1 1 2 3 ภาพที่ 8.1 ใบแจง หนค้ี าไฟฟาู รายวชิ าทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ มเพื่อชีวติ GESC1104
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155