Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทุจริตศึกษา

ทุจริตศึกษา

Published by Suchart Saenpich, 2021-08-10 06:41:57

Description: ทุจริตศึกษา

Search

Read the Text Version

1 ความนาํ การทจุ รติ นบั วา่ เป็นปัญหาทส่ี าํ คญั และสง่ ผลกระทบอยา่ งมากตอ่ สงั คมโดยรวม หลายๆประเทศทผ่ี บู้ รหิ ารประเทศ หรอื ขา้ ราชการระดบั สงู มีสว่ นรว่ มกบั การทจุ รติ หรอื ดาํ เนินการทจุ รติ เอง ยอ่ มสง่ ผลใหป้ ระเทศชาตเิ สยี หาย เกิดความวนุ่ วาย เกิดวิกฤตใิ นประเทศ ซงึ่ ก็มใี หเ้ หน็ มากมายแมแ้ ตใ่ นประเทศไทย ก็ประสบกบั ปัญหาการทจุ รติ เช่นเดียวกนั จนทาํ ใหเ้ กิดความพยายามทจี่ ะแกไ้ ขปัญหาการทจุ รติ อยา่ งตอ่ เนื่อง และลา่ สดุ คณะกรรมการปอ้ งกนั และ ปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาต(ิ หรอื ป.ป.ช) ไดจ้ ดั ประชมุ เชงิ ปฎิบตั กิ ารระหวา่ งหนว่ ยงานทเี่ ก่ียวขอ้ งเพ่อื ผลกั ดนั หลกั สตู รตา้ น ทจุ รติ ศกึ ษา เมื่อวนั ท่ี 6 มิถนุ ายน พ.ศ.2562 เพ่อื ใหห้ นว่ ยงานทีเ่ กี่ยวขอ้ งนาํ ไปปฎบิ ตั ิ ดงั นนั้ การเรยี นรูท้ าํ ความเขา้ ใจเรอื่ งทจุ รติ จงึ มีความสาํ คญั และควรเรยี นรูท้ าํ ความเขา้ ใจการทจุ รติ ในเรอื่ งตา่ งๆ ตงั้ แต่ พฒั นาการของการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ในประเทศไทย ความหมาย ตน้ เหตุ ประเภทของการทจุ รติ และอื่นๆ ดงั นี้ พัฒนาการของการต่อต้านการทุจรติ ในประเทศไทย คงเป็นการยากทีจ่ ะระบวุ า่ การทจุ รติ นนั้ เรม่ิ เกิดขนึ้ เมอื่ ไหร่ แตถ่ า้ กลา่ วถงึ พฒั นาการของการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ใน ประเทศไทย คงพอจะสรุปได้ ดงั นี้ (พลเดช ป่ินประทปี 2560 น.101-104) 1. ชว่ งปี พ.ศ.2530 มีการเคลอื่ นไหวตอ่ ตา้ นทจุ รติ ในสงั คมไทย มีลกั ษณะท่เี กิดขีน้ ในวงแคบๆ ซงึ่ สว่ น ใหญ่มกั จะเกิดจากความสนใจของนกั วชิ าการในมหาวทิ ยาลยั ท่ที าํ การศกึ ษาวิจยั เก่ียวกบั นโยบายการบรหิ ารบา้ นเมืองหรอื โครงการพฒั นาตา่ งๆของรฐั เม่อื คน้ ควา้ ขอ้ มลู ที่เกี่ยวกบั การใชอ้ าํ นาจหนา้ ทีแ่ ละบรหิ ารจดั การทรพั ยากรของชาติ โดยเฉพาะ การใชง้ บประมาณแผน่ ดิน และไดเ้ หน็ ความไมช่ อบมาพากลหรอื การทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั เกิดขนึ้ จงึ ไดเ้ ผยแพรข่ อ้ มลู ขา่ วสารผา่ น งานวจิ ยั และเวทเี สวนาทางวิบาการ ออกมาเป็นระยะๆ รวมทงั้ ยงั มกี ลมุ่ องคก์ รพฒั นาเอกชน หรอื NGOs (มาจากคาํ ยอ่ วา่ Non Govermental Oganizations แปลตรงตวั คือ องคก์ รท่ไี มใ่ ช่องคก์ รของรฐั ในตา่ งประเทศมกั เรยี กวา่ \"องคท์ ี่ทาํ งานโดย ไมแ่ สวงหากาํ ไร\" หรอื \"องคก์ รอาสาสมคั รเอกชน\" หรอื องคก์ รพฒั นาเอกชน) และองคก์ รเฉพาะกิจอนื่ ๆ ทีล่ กุ ขนึ้ มาตรวจสอบ การใชอ้ าํ นาจรฐั ของนกั การเมือง อยา่ งเชน่ กรณี 30 องคก์ รดา้ นสขุ ภาพทาํ การเปิดโปงการทจุ รติ ยาในกระทรวงสาธารณะสขุ จนเป็นที่มาของการจาํ คกุ อดตี รฐั มนตรี ตามทเ่ี ป็นขา่ ว ตวั อยา่ งเชน่ กรณี นายรกั เกียรติ สขุ ธนะนายรกั เกียรติ อดีต รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงสาธารณสขุ (ดาํ รงตาํ แหนง่ 14 พฤศจิกายน 2540 และลาออก 15 ก.ย. 2541) เป็นรฐั มนตรคี นแรก ท่ี ตอ้ งโทษจาํ คกุ ในคดที จุ รติ รบั สนิ บน ตามการชีม้ ลู ความผดิ ของคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ (ป.ป.ช.) ฐานทจุ รติ รบั เงินสนิ บน 5 ลา้ นบาทจากบรษิ ัทยา ทาํ ใหส้ าธารณสขุ จงั หวดั ตอ้ งจดั ซือ้ ยาในราคาแพงกวา่ ปกตติ งั้ แต่ 50 % ถงึ กวา่ 300% ในพืน้ ท่ี 34 จงั หวดั ท่วั ประเทศ ความเสยี หายโดยประมาณ 181.7 ลา้ นบาท โดยเมื่อวนั ท่ี 28 ตลุ าคม พ.ศ. 2546 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผดู้ าํ รงตาํ แหนง่ ทางการเมือง พิพากษาวา่ ”จาํ เลยสาํ เรจ็ การศกึ ษาชนั้ ปรญิ ญาตรที างกฎหมายแตก่ ลบั มาทาํ ความผิดคอรร์ ปั ชนั เชน่ นี้ จึงเหน็ สมควรลงโทษสถานหนกั พพิ ากษาวา่ จาํ เลยมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ใหล้ งโทษจาํ คกุ 15 ปี” (คาํ พิพากษาศาลฎีกาแผนก คดอี าญาของผดู้ าํ รงตาํ แหนง่ ทางการเมอื งคดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๔๖)

2 นอกจากนี้ นายรกั เกียรติยงั เป็นจาํ เลยในคดรี า่ํ รวยผดิ ปกติอีกดว้ ย โดยวนั ท่ี 30 กนั ยายน พ.ศ. 2546 ศาลฎกี าแผนก คดอี าญาผดู้ าํ รงตาํ แหนง่ ทางการเมอื งไดม้ คี าํ พิพากษาใหท้ รพั ยส์ นิ ของนายรกั เกยี รติจาํ นวน 233.88 ลา้ นบาท ตกเป็นของ แผน่ ดนิ อนง่ึ ระหวา่ งท่ดี าํ เนนิ กระบวนพจิ ารณานนั้ ไดม้ กี ารเคลอื่ นยา้ ยเงินสดออกจากบญั ชีทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ทาํ ใหใ้ นทส่ี ดุ กรมบงั คบั คดีตอ้ งยดึ อสงั หารมิ ทรพั ยข์ องนายรกั เกียรตแิ ทน นอกจากนมี้ โี ทษจาํ คกุ ตามคดเี ช็ค อีก 30 เดือน รวมทงั้ สนิ้ เป็น 17 ปี 6 เดอื น 2. ช่วงปี พ.ศ.2544 ทป่ี ระชมุ ผทู้ รงคณุ วฒุ จิ ากเครอื ขา่ ยงานประชาสงั คมไทยทมี่ ี ศาสตราจารย์ นายแพทยป์ ระเวศ วะสี เป็นประธาน ไดพ้ จิ ารณาปัญหาวิกฤตใหญ่ของบา้ นเมอื ง ใน 3 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ ปัญหาความยากจน ปัญหายาเสพติดและ ปัญหาทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั โดยชวี้ า่ เป็นมะเรง็ รา้ ย 3 เรอื่ งทร่ี ุมเรา้ ประเทศ จงึ มีขอ้ เสนอใหเ้ ครอื ขา่ ยภาคประชาสงั คมท่วั ประเทศ ช่วยกนั หาทางแกไ้ ข รวมทงั้ ไดเ้ สนอใหพ้ รรคการเมืองทีก่ าํ ลงั จะมกี ารแขง่ ขนั เลอื กตงั้ ท่วั ไปไดน้ าํ ไปใชป้ ระกอบในการออก นโยบาย เพ่อื แกป้ ัญหาอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ จากนนั้ เป็นตน้ มา จึงไดเ้ กิดการรวมตวั กนั ของกลมุ่ องคก์ ร NGO นกั วิชาการ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิทางสงั คม นกั ธรุ กิจ รวมทงั้ ผนู้ าํ องคก์ รตรวจสอบอสิ ระ เชน่ ป.ป.ช.(สาํ นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาต)ิ และ สตง. (สาํ นกั งานการตรวจเงินแผน่ ดิน) ไดก้ ่อตวั ขนึ้ ในนามของ เครอื ขา่ ยประชาชนตา้ นคอรร์ ปั ช่นั (คปต.) ตอ่ มารฐั บาลทกั ษิณ ชินวตั ร ไดใ้ หก้ ารสนบั สนนุ งบประมาณจาํ นวน 5 ลา้ นบาท จากสาํ นกั งานสลากกินแบง่ รฐั บาล จึงไดต้ งั้ เปา้ กองทนุ สนบั สนนุ การทาํ งานของภาคประชาชนในนามของ “กองทนุ สอื่ ประชาสมั พนั ธต์ า้ นคอรร์ ปั ช่นั ” (สปต.) ขน่ึ มาอีกองคก์ รหนงึ่ ซงึ่ ทงั้ 2 กลไกนีม้ บี ทบาทในการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ กลมุ่ องคก์ รเครอื ขา่ ยภาคประชาชนใหล้ กุ ขนึ้ มา เคลอ่ื นไหวและก่อตวั ในการรณรงคต์ อ่ ตา้ นทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั ทงั้ ในระดบั ชาติและระดบั พืน้ ทเี่ ป็นจาํ นวนมาก แตเ่ ป็นที่นา่ เสยี ดาย ผลการสนบั สนนุ สอ่ื และภาคประชาสงั คม ในการเปิดโปงขอ้ มลู การทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั หลาย โครงการไดส้ รา้ งความไมพ่ อใจใหก้ บั รฐั บาลและนกั การเมืองทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ในที่สดุ รฐั บาลจงึ ไดต้ ดั การสนบั สนนุ ไปเลย โดยลมื สงิ่ ท่เี คยรบั ปากไว้ 3. ในชว่ งปี พ.ศ.2545-2548 เพ่ือใหม้ ีการเคลอ่ื นไหวคขู่ นานไปกบั การขบั เคลอ่ื นของเครอื ขา่ ยภาคประชาสงั คม รฐั บาลทกั ษิณ ชินวตั ร ไดม้ อบหมายใหส้ าํ นกั นายกรฐั มนตรี และกระทรวงมหาดไทย จดั ตงั้ “เครอื ขา่ ย 84 องคก์ รตอ่ ตา้ น ทจุ รติ ” ขนึ้ มาอีกเครอื ขา่ ยหนง่ึ นอกนนั้ ยงั ไดต้ งั้ “ศนู ยส์ ง่ เสรมิ และพฒั นาพลงั แผน่ ดนิ เชงิ คณุ ธรรม” (ศนู ยค์ ณุ ธรรม) ใหเ้ ป็น กลไกดาํ เนินงาน โดยใชม้ าตรการเชิงบวก ซงึ่ มอบหมายให้ พลตรจี าํ ลอง ศรเี มอื ง เป็นผดู้ แู ล สว่ นทางดา้ นสาํ นกั งาน คณะกรรมการขา้ ราชการพลเรอื น(กพ.) ก็ไดจ้ ดั ตงั้ “มลู นธิ ิประเทศไทยใสสะอาด” ขนึ้ มาอกี องคก์ รดว้ ย 4. ในชว่ งปี พ.ศ.2549-2553 กระแสประชาชนทเี่ รม่ิ ไมพ่ อใจการบรหิ ารบา้ นเมืองของรฐั บาลท่ีมอี าํ นาจเบด็ เสรจ็ กมุ เสยี งขา้ งมากของรฐั สภาและมปี ัญหาการทจุ รติ ทางนโยบาย จากรฐั บาลพรรคไทยรกั ไทยมาจนถงึ รฐั บาลพรรคเพอ่ื ไทย จน เหตกุ ารณบ์ านปลายกลายเป็นขบวนการชมุ นมุ ขบั ไลร่ ฐั บาลท่ีเขม้ แขง็ ในนามของกลมุ่ พนั ธมติ รประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) อนั นาํ ไปสกู่ ารเปลยี่ นแปลงรฐั บาลถงึ 2 ครงั้ ในปี พ.ศ.2549 และ พ.ศ.2551 (ในปีพ.ศ.2549 เกิดการรฐั ประหาร ใน คนื วนั ท่ี 19 กนั ยายน พ.ศ. 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ หรอื คปค. ซงึ่ มพี ลเอก สนธิ บญุ ยรตั กลนิ เป็นหวั หนา้ คณะ ทาํ การยดึ อาํ นาจจาก พนั ตาํ รวจโท ดร. ทกั ษิณ ชินวตั ร นายกรฐั มนตรี สว่ นในปี พ.ศ.2551 เกิดการประทว้ งขบั ไลร่ ฐั บาล นายสมคั ร สนุ ทรเวช นายกรฐั มนตรี เนือ่ งจากกลมุ่ พนั ธมติ รฯ เหน็ วา่ รฐั บาลแทรกแซงสอื่ มวลชน รวมทงั้ กระบวนการยตุ ิธรรม เชน่ การยา้ ยขา้ ราชการในกระทรวงยตุ ิธรรม อาทิ การยา้ ยสนุ ยั

3 มโนมยั อดุ ม อธิบดีกรมสอบสวนคดพี ิเศษ ทกี่ าํ ลงั ดาํ เนนิ คดีตอ่ ทกั ษิณ ชินวตั รและครอบครวั ใหพ้ น้ ตาํ แหนง่ อยา่ งเรง่ ดว่ น พรอ้ มใหต้ าํ รวจออกหมายจบั สนุ ยั มโนมยั อดุ ม ในขอ้ หาหม่ินประมาททกั ษิณ ชินวตั ร และยา้ ย พ.ต.อ.ทวี สอดสอ่ ง ซงึ่ มคี วาม ใกลช้ ิดกบั ครอบครวั ชินวตั ร มารกั ษาการในตาํ แหนง่ อธิบดีกรมสอบสวนคดพี ิเศษ และรฐั บาลยงั ประกาศอยา่ งชดั เจนวา่ จะ แกไ้ ขรฐั ธรรมนญู ปี พ.ศ. 2550 ในมาตรา 237 และมาตรา 309 ซงึ่ ทางกลมุ่ พนั ธมติ รฯ เหน็ วา่ การแกร้ ฐั ธรรมนญู ครงั้ นเี้ ป็น การหลบเลย่ี งการกระทาํ ความผดิ ตอ่ กฎหมายเลอื กตงั้ ทจี่ ะนาํ ไปสกู่ ารยบุ พรรคและตอ้ งการยบุ คณะกรรมการตรวจสอบการ กระทาํ ที่ก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกร่ ฐั เพือ่ ตดั ตอนคดีความทกี่ าํ ลงั ดาํ เนนิ ตอ่ ทกั ษิณ ชินวตั ร ครอบครวั และพวกพอ้ ง ตลอดจน ทาํ ใหก้ ระบวนการตรวจสอบนกั การเมอื งออ่ นแอลงจนไมส่ ามารถตรวจสอบฝ่ายการเมืองได้ การชมุ นมุ ประทว้ งยตุ ิลงหลงั จากตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ไดอ้ า่ นคาํ วนิ จิ ฉยั คดี เม่ือวนั ท่ี 2 ธนั วาคม พ.ศ. 2551 ให้ ยบุ พรรคพลงั ประชาชน พรรคชาตไิ ทย และพรรคมชั ฌิมาธิปไตย อนั เน่อื งมาจากกรณีทจุ รติ การเลอื กตงั้ และการสนิ้ สดุ การเป็น นายกรฐั มนตรี ของนายสมคั ร สนุ ทรเวชา เม่ือวนั ท่ี 9 กนั ยายน พ.ศ. 2551 เน่อื งจากรบั เป็นพิธีกรกิตตมิ ศกั ดิ์ ของรายการ “ชิม ไปบน่ ไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเชา้ ” ซง่ึ ศาลรฐั ธรรมนญู มมี ตเิ ป็นเอกฉนั ท์ 9 ตอ่ 0 เสยี ง เห็นวา่ สมคั รกระทาํ ตอ้ งหา้ มขดั ตอ่ รฐั ธรรมนญู มาตรา 267 เรอื่ งคณุ สมบตั ิของนายกรฐั มนตรี จงึ ทาํ ใหค้ วามเป็นนายกรฐั มนตรขี องสมคั รสนิ้ สดุ ลง การชมุ นมุ ครงั้ นใี้ ชเ้ วลาตอ่ เนื่องยาวนานที่สดุ ในประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งไทยถึง 193 วนั และตลอดการประทว้ งไดเ้ กิด ความวนุ่ วาย เกิดการปะทะกนั ระหวา่ งแนวรว่ มประชาธิปไตยตอ่ ตา้ นเผดจ็ การแหง่ ชาติ หรอื นปช. และกลมุ่ พนั ธมติ รประชาชน เพื่อประชาธิปไตย บรเิ วณแยก จปร. เป็นเหตใุ หม้ ผี บู้ าดเจ็บ 45 คน ในจาํ นวนนบี้ าดเจ็บสาหสั 12 ราย เม่อื วนั ท่ี 2 กนั ยายน พ.ศ. 2551) ในชว่ งนีเ้ อง สาํ นกั งาน ป.ป.ช.ไดร้ เิ รมิ่ จดั ทาํ ยทุ ธศาสตรช์ าตวิ า่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ เพ่ือเป็น เครอ่ื งมือใจการทาํ งาน ซงึ่ เป็นแผนแมบ่ ทระยะเวลา 5 ปี โดย ปปช. ไดใ้ หค้ วามสาํ คญั ตอ่ บทบาทของภาคประชาสงั คมในการ ตอ่ ตา้ นทจุ รติ และจดั ใหม้ งี บประมาณอดุ หนนุ การขบั เคลอ่ื นของเครอื ขา่ ยภาคประชาชนอกี ทางหนง่ึ ดว้ ย 5. ในชว่ งปี พ.ศ.2554-2556 ภาคธรุ กิจเอกชนเรม่ิ แสดงจดุ ยนื ความไมย่ อมรบั ตอ่ สภาพปัญหาทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั นาํ โดยคณุ ดสุ ติ นนทะนาคร ประธานสภาหอการคา้ ไทย ไดป้ ระการตวั รณรงคต์ อ่ ตา้ นการทจุ รติ ซงึ่ มอี งคก์ รและสถาบนั ภาคธรุ กิจ อ่นื ๆเขา้ รว่ มกนั อยา่ งคกึ คกั ทงั้ สภาอตุ สาหกรรม สมาคมธนาคาร ตลาดหลกั ทรพั ย์ บรรษัทธุรกจิ ขนาดหญ่และสถาบนั ทาง วิชาการ จนทาํ ใหเ้ กิดเป็นกระแสทางสงั คมในการตอ่ ตา้ นทจุ รติ ทมี่ ขี นาดใหญ่ขนึ้ อยา่ งกา้ วกระโดด ในขว่ งเดยี วกนั ในอกี ดา้ น หนง่ึ ปัญหาการทจุ รติ เชิงนโยบายในรฐั บาลยิ่งลกั ษณ์ ชินวตั ร และปัญหาประสทิ ธิภาพในการรหิ ารบา้ นเมือง ทาํ ใหเ้ กิดขบวน ชมุ นมุ ขบั ไลร่ ฐั บาลอีกคาํ รบหนงึ่ นาํ โดย กปปส.(คณะกรรมการประชาชนเพ่ือการเปลย่ี นแปลงปฏิรูปประเทศไทยใหเ้ ป็น ประชาธิปไตยทีส่ มบรู ณแ์ บบอนั มพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ ) ซงึ่ ตอ่ มาไดน้ าํ มาสกู่ ารเปลย่ี นแปลงรฐั บาลจากการยดึ อาํ นาจของคณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ (คสช.) เมอื่ วนั ท่ี 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 6. ช่วงปี พ.ศ.2557 เป็นตน้ มา เป็นชว่ งท่ี คสช.และกลไกอาํ นาจรฐั “แมน่ า้ํ 5 สาย” ไดแ้ ก่ คสช.(คณะรกั ษาความ สงบแหง่ ชาต)ิ , ครม.(คณะรฐั มนตร)ี , สนช.(สภานิติบญั ญตั ิแหง่ ชาต)ิ สปช.(สภาปฎิรูปแหง่ ชาต)ิ สปท.(สภาขบั เคลอื่ นการปฏิรูปประเทศ)และ กรธ.(คณะกรรมการรา่ งรฐั ธรรมนญู ) ไดเ้ ขา้ มาแกไ้ ขปัญหาเรง่ ดว่ นของประเทศ อยา่ งนอ้ ย 3 ประการใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ ปัญหาความม่นั คง ปัญหาทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั และปัญหาการปฎิรูปประเทศไทย โดยเฉพาะ อยา่ งย่ิงในดา้ นการแกป้ ัญหาทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั คสช. ไดต้ งั้ หนว่ ยงานเฉพาะกิจขนึ้ มาดาํ เนินการ คอื ศนู ยอ์ าํ นวยการตอ่ ตา้ นการ

4 ทจุ รติ แหง่ ชาติ (ศอตช.) และคณะกรรมการตดิ ตามและตรวจสอบ เพือ่ ใหเ้ ห็นภาพของพฒั นาการ ทงั้ 6 ชว่ งเวลา จงึ ของสรุปดงั ตาราง ดงั นี้ พ.ศ.2530 พ.ศ.2544 พ.ศ.2545-2548 พ.ศ.2549-2553 พ.ศ.2554-2556 พ.ศ.2557 เป็ นตน้ มา เรม่ิ จาก - เครอื ขา่ ย - กลมุ่ เครอื ขา่ ย - ปปช. ตงั้ - องคก์ รตอ่ ตา้ น - คสช. - นกั วิชาการ ประชาชนตา้ น ตอ่ ตา้ นทจุ รติ ท่ี งบประมาณ ทจุ รติ - ครม. - ปัจเจกชน คอรร์ ปั ช่นั จดั ตง้ โดยภาครฐั อดุ หนนุ ตาม (ACT/หอการคา้ ) - สนช. พลเมืองอสิ ระ (คปต.) (มท.) ยทุ ธศาสตร์ - กปปส. - สปช/สปท. - NGO/ กลมุ่ - กองทนุ - ศนู ยค์ ณุ ธรรม - มลู นิธิตอ่ ตา้ น - กรธ. องคก์ รเฉพาะ สนบั สนนุ สอื่ - มลู นิธิประเทศ ทจุ รติ กิจ ประชาสงั คม ไทยใสสะอาด - กลมุ่ พนั ธมิตร ตา้ นคอรร์ ปั ช่นั (กพ.) ประชาชนเพอื่ (สปต.) ประชาธิปไตย (พธม.) - สภาพฒั นา การเมือง/กองทนุ พฒั นาการเมือง ภาคพลเมือง ความหมายของการทุจรติ การทจุ รติ ตรงกบั ภาษาองั กฤษวา่ Corruption ซง่ึ ก็มีผใู้ หค้ าํ อธิบายไวม้ ากมาย เช่น สาํ นกั งานราชบณั ฑติ (www.royin.go.th) ไดอ้ ธิบายไวว้ า่ การทจุ รติ หมายถึง ประพฤตชิ ่วั ประพฤติไมด่ ี ไมซ่ ื่อตรง โกง คดโกง ฉอ้ โกง โดยใชอ้ บุ าย หรอื เลห่ เ์ หลย่ี มหลอกลวงเพื่อใหไ้ ดส้ ง่ิ ที่ตอ้ งการ อกี ทงั้ ในแงข่ องกฎหมาย ไดม้ กี ารอธิบายความหมายของการทจุ รติ ไวใ้ นหลกั ของกฎหมายตา่ งๆ เชน่ ประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) ไดบ้ ญั ญตั ไิ วว้ า่ “โดยทจุ รติ ” หมายถึง เพอื่ แสวงหาประโยชนท์ ี่มคิ วรไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมาย สาํ หรบั ตนเองหรอื ผอู้ นื่ ” และพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. 2561 มาตรา 4 ไดอ้ ธิบายวา่ “ทจุ รติ ตอ่ หนา้ ท”ี่ หมายถงึ ปฎบิ ตั หิ รอื ละเวน้ การปฎบิ ตั ิอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ในตาํ แหนง่ หรอื หนา้ ท่ีหรอื ปฎิบตั หิ รอื ละเวน้ การปฎบิ ตั ิอยา่ งใดในพฤติกรรมทอ่ี าจทาํ ใหผ้ อู้ น่ื เช่ือวา่ มตี าํ แหนง่ หรอื หนา้ ท่ที งั้ ทต่ี นมไิ ดม้ ตี าํ แหนง่ หรอื หนา้ ท่ี นนั้ หรอื ใชอ้ าํ นาจในตาํ แหนง่ หรอื หนา้ ท่ี ทงั้ นี้ เพ่อื แสวงหาประโยชนท์ ่ีมิควรไดโ้ ดยชอบสาํ หรบั ตนเองหรอื ผอู้ น่ื หรอื กระทาํ การ อนั เป็นความผดิ ตอ่ ตาํ แหนง่ หนา้ ท่ีราชการหรอื ความผดิ ตอ่ ตาํ แหนง่ หนา้ ท่ใี นการยตุ ธิ รรรมตามประมวลกฎหมายอาญาหรอื ตามกฎหมายอืน่

5 สว่ นในศพั ทส์ ทิ ธิมนษุ ยชน ของคณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ (2555 : น.52) ไดใ้ หค้ าํ อธิบายวา่ การใชห้ รอื อาศยั ตาํ แหนง่ หนา้ ท่ี อาํ นาจหรอื อิทธิพลทตี่ นมีอยโู่ ดยมชิ อบเพ่ือประโยชนแ์ กต่ นเองหรอื ผอู้ น่ื ไมว่ า่ จะเป็นประโยชนท์ าง การเงิน ตาํ แหนง่ หนา้ ท่กี ารงาน หรอื ประโยชนอ์ น่ื เช่น การรบั สนิ บน ฉอ้ ราษฎรบ์ งั หลวง รวมถงึ การใชต้ าํ แหนง่ หนา้ ทอ่ี าํ นวย ประโยขนอ์ ยา่ งไมข่ อบธรรมโดยการเลอื กท่ีรกั มกั ทชี่ งั เช่น การเห็นแกญ่ าตพิ ่นี อ้ ง การใชร้ ะบบอปุ ถมั ภแ์ ละความไมเ่ ป็นธรรม อื่นๆ การทจุ รติ เป็นพฤตกิ รรมท่ีขดั ตอ่ ธรรมาภิบาล บ่นั ทอนความเป็นธรรมของสงั คมและขดั ตอ่ หลกั นิตธิ รรม นอกจากนนั้ ยงั เกิดผลรา้ ยตอ่ สทิ ธิมนษุ ยชนทงั้ ในดา้ นสทิ ธิพลเมอื ง สทิ ธิทางการเมอื ง สทิ ธิทางเศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม เนอื่ งจากการ ทจุ รติ นาํ ไปสกู่ ารลดิ รอนความเป็นธรรมและความถกู ตอ้ งของสงั คม ทรพั ยากรของรฐั หรอื ผลประโยชนท์ างสงั คมอาจถกู นาํ จดั สรรใหค้ นบางคน หรอื บางกลมุ่ อนั เนือ่ งมาจากนโยบายทเี่ กิดจากการทจุ รติ ะ สว่ นองคก์ รความโปรง่ ใสสากล หรอื Transparency International ไดใ้ หค้ วามหมายทจุ รติ ไวว้ า่ ทจุ รติ เป็นการ ละเมิดอาํ นาจทไี่ ดร้ บั มอบหมายเพอื่ ผลประโยชนส์ ว่ นตวั ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั Marco Arnone และ Leonardo S. Borlini (2014 p.1) ท่ีไดอ้ ธิบายวา่ การคอรร์ ปั ช่นั คือ การละเมิดหรอื เบยี ดบงั สง่ิ ทเี่ ป็นประโยชนข์ องสาธารณะมาเป็นของสว่ นตวั โดยสรุป การทจุ รติ ก็คือ พฤตกิ รรมทม่ี งุ่ แสวงหาผลประโยชนส์ ว่ นตวั ดว้ ยวธื ีการทผ่ี ิดกฎหมาย โดยอาศยั ตาํ แหนง่ หนา้ ที่ท่ีตวั เองดาํ รงอยู่ ตน้ เหตุของการเกิดทุจริต คงเป็นการยากท่จี ะสามารถระบตุ น้ เหตหุ รอื สาเหตทุ ีแ่ ทจ้ รงิ ของการทจุ รติ ได้ เนอื่ งจากตน้ เหตหุ รอื สาเหตขุ องการเกดิ ทจุ รติ คงเกิดจากหลากหลายสาเหตุ หลากหลายปัจจยั ท่สี ลบั ซบั ซอ้ น อีกทงั้ หากสามารถระบตุ น้ เหตทุ ี่แทจ้ รงิ ของการเกดิ ทจุ รติ ได้ คงไมเ่ ป็นการยากที่จะหามาตราการในการปอ้ งกนั การเกิดทจุ รติ ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ อยา่ งไรก็ตามก็ไดม้ ีผอู้ ธิบายตน้ เหตุ ของการเกดิ ทจุ รติ ไวจ้ าํ นวนมาก เชน่ ปธาน สวุ รรณมงคล (2559 น.29-37) ไดก้ ลา่ วถงึ ตน้ เหตขุ องการทจุ รติ วา่ เกิดจาก 8 สาเหตุ คือ 1. การขาดคุณธรรมในการดาํ รงชีวติ คณุ ธรรมหมายถึง การประพฤติปฎบิ ตั ทิ ี่ดีงาม หากพจิ ารณาในแง่ของศาสนา พทุ ธ ความซอ่ื สตั ย์ สจุ รติ หรอื สจั จะนบั เป็นหลกั ธรรมทสี่ าํ คญั และสอดแทรกอยใุ่ นหลกั ธรรมของศาสนาพทุ ธ หากไดน้ าํ หลกั ธรรมนีไ้ ปใชใ้ นการดาํ รงชีวติ อยา่ งจรงิ จงั แลว้ ก็นา่ เชื่อวา่ การทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั จะลดนอ้ ยถอยลงได้ 2. การขาดคุณธรรมในการใชอ้ าํ นาจ โดยเฉพาะเจา้ หนา้ ท่ขี องรฐั ทงั้ ในสว่ นของขา้ ราชการประจาํ และขา้ ราชการ การเมือง ที่มีอาํ นาจรฐั อยใู่ นมือตามท่กี ฎหมายกาํ หนด กลบั ขาดความสาํ นกึ รบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ท่ี ไมย่ ดึ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม กลบั ใชอ้ าํ นาจทมี่ ีแสวงหาผลประโยชนส์ ว่ นตวั 3. กระบวนการเขา้ สตู่ าํ แหน่งทางการเมืองเป็ นไปอยา่ งไม่บริสุทธ์ เที่ยงธรรม ในประเทศกาํ ลงั พฒั นาท่ีปกครอง

6 ดว้ ยระบอบประชาธิปไตย การเขา้ สตู่ าํ แหนง่ ทางการเมือง ก็คอื ตอ้ งผา่ นกระบวนการเลอื กตงั้ ซงึ่ แนน่ อนวา่ ก่อใหเ้ กดิ ปัญหา การเขา้ สตู่ าํ แหนง่ ทางการเมืองทไี่ มบ่ รสิ ทุ ธ์ ก็คือ การซอื้ สทิ ธิขายเสยี ง เมือ่ เกิดการซอื้ เสยี งเพอ่ื ใหต้ วั เองไดร้ บั การเลอื กตงั้ ก็ถือ วา่ มีตน้ ทนุ มคี า่ ใชจ้ า่ ยเกดิ ขนึ้ เมื่อเขา้ สตู่ าํ แหนง่ ก็ตอ้ งมีการหาชอ่ งทางทจ่ี ะ “ถอนทนุ คืน” จงึ พยายามหาชอ่ งทางเสาะแสวงหา ผลประโยชนใ์ สต่ วั จงึ เกดิ การทจุ รติ เกิดขนึ้ 4. การมคี า่ นิยมที่เออื้ ตอ่ การคอรร์ ปั ช่ัน คา่ นยิ ม เป็นสง่ิ ท่ีสงั คมยดึ ถือในการปฎบิ ตั ใิ นสง่ิ ทด่ี งี าม เชน่ คา่ นยิ มในเรอื่ ง ความกตญั �ู รวมถงึ คา่ นยิ มในเรอ่ื งความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ แตใ่ นปัจจบุ นั คา่ นิยมไดเ้ ปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ ทเ่ี คยใหค้ วามสาํ คญั ความดงี าม ความเป็นคนดี กลายเป็นคา่ นิยมทใี่ หค้ วามสาํ คญั กบั วตั ถุ ยกยอ่ งคนท่มี ีฐานะรา่ํ รวยมตี าํ แหนง่ หนา้ ท่สี งู โดยไม่ สนใจทม่ี าของฐานะความรา่ํ รวยและหนา้ ทกี่ ารงาน คา่ นยิ มทเี่ ปลยี่ นแปลงไปดงั กลา่ ว กอ่ ใหเ้ กิดการเออื้ ตอ่ การคอรร์ ปั ช่นั 5. ระบบการเมอื งทอี่ อ่ นแอ ผนู้ าํ ทางการเมอื งขาดความจรงิ จงั ในการแกไ้ ขปัญหาคอรร์ ปั ช่นั และขาดระบบตรวจสอบ ทเ่ี ขม้ แขง็ เน่อื งจากประเทศทมี่ รี ะบบการเมืองทอี่ อ่ นแอขาดเสถียรภาพทางการเมือง มกั จะขาดระบบตราวจสอบทางการเมอื ง ท่เี ขม้ แขง็ ทาํ ใหม้ โี อกาสท่ีบคุ คลในสถาบนั ทางการเมอื งเหลา่ นแี้ สวงหาผลประโยชนส์ ว่ นตนเฉพาะหนา้ มสี งู ท่สี าํ คญั ผนู้ าํ ทาง การเมืองก็ไมม่ ีความจรงิ ใจในการแกไ้ ขปัญหาคอรร์ ปั ช่นั มหิ นาํ ซา้ํ ผนู้ าํ ประเทศกลบั เป็นผแู้ สวงหาผลประโยชนเ์ สยี เอง ซง่ึ จะ เห็นไดจ้ ากหลายๆ ประเทศทยี่ งั ไมม่ ีความเป็นประชาธิปไตยเป็นการปกครองแบบเผดจ็ การทาํ ใหฝ้ ่ายบรหิ ารเป็นฝ่ายทม่ี อี าํ นาจ มาก ขาดการตรวจสอบจากหนว่ ยงาน หรอื ขาดการคานอาํ นาจหรอื ตรวจสอบอาํ นาจระหวา่ งกนั นนั้ เอง 6. ขาดการบงั คบั ใชก้ ฎหมายทจี่ ริงจังและเป็ นธรรม เป็นสาเหตหุ นงึ่ ท่กี ่อใหเ้ กิดการคอรปั ช่นั ซง่ึ การบงั คบั ใช้ กฎหมาย สว่ นใหญ่อยทู่ ี่ดลุ พินจิ ของเจา้ หนา้ ทรี่ ฐั ดงั นนั้ จงึ ก่อใหเ้ กิดการเลอื กท่ีบงั คบั ใชก้ ฎหมายที่ไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ทาํ ให้ สามารถเลอื กรบั ผลประโยชน์ 7. ประชาชนไมใ่ ห้ความสาํ คญั กบั ปัญหาคอรร์ ัปช่ันเทา่ ที่ควร อาจจะเนอื่ งจากวา่ ประชาชนเรมิ่ มที ศั นคติท่ีวา่ การ คอรปั ช่นั เป็นเรอ่ื งทีแ่ กไ้ ขยากและฝังรากลกึ ในสงั คมมานาน ทาํ ใหร้ ูส้ กึ เบื่อหนา่ ย เพกิ เฉย จงึ เป็นชอ่ งทางใหป้ ัญหาการ คอรร์ ปั ช่นั กลายเป็นสง่ิ ท่ีเรม่ิ ไดร้ บั การยอมรบั วา่ เป็นสงิ่ ปกติ 8. ค่าตอบแทนเจ้าหน้าท่รี ัฐทไ่ี มจ่ ูงใจ ตอ้ งยอมรบั วา่ เจา้ หนา้ ทรี่ ฐั เป็นกลมุ่ บคุ คลทีม่ อี าํ นาจในการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย แตใ่ นขณะเดยี วกนั ตอ้ งยอมรบั วา่ คา่ ตอบแทนหรอื เงินเดอื นของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั นอ้ ยกวา่ บคุ คลกลมุ่ อ่ืน เชน่ กลมุ่ บคุ คลทีท่ าํ งาน ในภาคธรุ กิจเอกชน จงึ เป็นเหตผุ ลหนงึ่ ใหเ้ จา้ หนา้ ที่รฐั อาศยั ตาํ แหนง่ หนา้ ท่ที ่ตี วั เองมีแสวงหาผลประโยชน์ ซง่ึ ตน้ เหตขุ องการทจุ รติ ทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ หลายขอ้ ก็ตรงกบั ของนกั วชิ าการอกี หลายทา่ น เชน่ เสาวนีย์ ไทยรุง่ โรจน์ (2562 น.53-54) ไดร้ ะบตุ น้ เหตหุ รอื สาเหตขุ องการทกุ จรติ วา่ เกิดจากสาเหตดุ า้ นตวั บคุ คลและปัจจยั ภายนอกตวั บคุ คล โดยดา้ นตวั บคุ คล ไดแ้ ก่ พฤตกิ รรมสว่ นตวั ของขา้ ราชการบางคนที่เป็นคนโลภมาก เหน็ แก่ไดไ้ มร่ ูจ้ กั พอ ความเคยชิน ของขา้ ราชการท่ีคนุ้ เคยกบั การทจ่ี ะได้ “คา่ นาํ้ รอ้ นนา้ํ ชา” หรอื “เงินใตโ้ ตะ๊ ” จากผมู้ าตดิ ตอ่ ราชการ ขาดจิตสาํ นกึ เพ่ือสว่ นรวม สว่ นปัจจยั ภายนอกตวั บคุ คล ประกอบดว้ ย - ดา้ นเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ รายไดข้ องขา้ ราชการนอ้ ยหรอื ต่าํ มากไมไ่ ดส้ ดั สว่ นกบการครองชีพท่ีสงู ขนึ้ การเติบโตของระบบ ทนุ นยิ มทเี่ นน้ การบรโิ ภค สรา้ งนสิ ยั การอยากได้ อยากมี เมื่อรายไดไ้ มเ่ พียงพอ ก็ตอ้ งหาทางใชอ้ าํ นาจไปทจุ รติ

7 - ดา้ นสงั คม ไดแ้ ก่ คา่ นิยมของสงั คมทย่ี กยอ่ งคนมีเงิน คนรา่ํ รวย และไมส่ นใจวา่ เงินนนั้ ไดม้ าอยา่ งไรเกิดลทั ธิเอาอยา่ ง อยากไดส้ ง่ิ ทคี่ นรวยมี เมือ่ เงินเดอื นของตนไมเ่ พยี งพอก็หาโดยวิธีมิชอบ - ดา้ นวฒั นธรรม ไดแ้ ก่ การนิยมจา่ ยเงินของนกั ธรุ กิจใหก้ บั ขา้ ราชการทีต่ อ้ งการความสะดวกรวดเรว็ หรอื การบรกิ ารที่ ดกี วา่ ดว้ ยการลดตน้ ทนุ ท่ีจะตอ้ งปฎิบตั ติ ามระเบยี บ - ดา้ นการเมอื ง ไดแ้ ก่ การทจุ รติ ของขา้ ราชการแยกไมอ่ อกจากนกั การเมือง การรว่ มมอื ของคนสองกลมุ่ นเี้ กิดขนึ้ ไดใ้ น ประเดน็ การใชจ้ า่ ยเงินการหารายไดแ้ ละการตด้ สนิ พิจารณาโครงการของรฐั - ดา้ นระบบราชการ ไดแ้ ก่ ความบกพรอ่ งในการบรหิ ารงานเปิดโอกาสใหเ้ กิดการทจุ รติ , การใชด้ ลุ พนิ จิ มากและการ ผกู ขาดอาํ นาจจะทาํ ใหอ้ ตั ราการทจุ รติ ในหนว่ ยงานสงู , การท่ีขนั้ ตอนของระเบียบราชการมมี ากเกนิ ไป ทาํ ใหผ้ ทู้ ีไ่ ปติดตอ่ ตอ้ ง เสยี เวลามากจงึ เกิดการสมยอมกนั ระหวางผใู้ หก้ บั ผรู้ บั , การวมอาํ นาจระบบราชการมลี กั ษณะทร่ี วมศนู ย์ ทาํ ใหไ้ มม่ รี ะบบ ตรวจสอบทเ่ี ป็นจรงิ และมปี ระสทิ ธิภาพ, ตาํ แหนง่ หนา้ ทใ่ี นบกั ษณะอาํ นวยตอ่ การกระทาํ ผดิ เช่น อาํ นาจในการอนญุ าตการ อนมุ ตั จิ ดั ซือ้ จดั จา้ ง ผปู้ ระกอบการเอกชนมกั จะยอมเสยี เงินติดสนิ บนเจา้ หนา้ ท่เี พอ่ื ใหเ้ กิดความสะดวกและรวดเรว็ , การที่ ขา้ ราชการผใู้ หญ่ทจุ รติ ใหเ้ ห็นเป็นตวั อยา่ งแลว้ ไมถ่ กู ลงโทษขา้ ราชการชนั้ ผนู้ อ้ ยจึงเลยี นแบบกลายเป็นความเคยชิน และมองไม่ เห็นวา่ การกระทาํ เหลา่ นนั้ จะเป็นการคอรร์ ปั ช่นั หรอื มคี วามสบั สนระหวา่ งสนิ นา้ํ ใจกบั คอรร์ ปั ช่นั แยกออกจากกนั - กฎหมายและระเบยี บ กฎหมายหลายฉบบั มี ชอ่ งโหว่ ท่ที าํ ใหเ้ กิดการทจุ รติ ทดี่ าํ รงอยไู่ ด้ อกี ทงั้ การหาพยานหลกั ฐาน ในเรอ่ื งการทจุ รติ ก็เป็นเรอ่ื งยาก เน่ืองจากคกู่ รณีทงั้ สองฝ่ายมกั ไมค่ อ่ ยมฝี ่ายใดยอมเปิดเผยออกมา และถา้ หากฝ่ายใดตอ้ งการ ทจี่ ะเปิดเผยความจรงิ ในเรอ่ื งนี้ ก็มกี ฎหมายหม่ินประมาทยบั ยงั้ ไว้ อีกทงั้ กฎหมายของทกุ ประเทศอาผิดกบั บคุ คลท่ีใหส้ นิ บน และผรู้ บั สนิ บน เทา่ ๆกนั จงึ ไมค่ อ่ ยมีผใู้ หส้ นิ บนรายใดกลา้ ดาํ เนินคดีกบั ผรู้ บั สนิ บน อกี ทงั้ บคุ คลธรรมดาที่รูเ้ หน็ การทจุ รติ ก็เป็น โจทยฟ์ อ้ งรอ้ งมไิ ดเ้ น่อื งจากไมใ่ ชผ่ เู้ สยี หาย - การตรวจสอบที่ไมม่ คี วามเขม้ แขง็ โดยเฉพาะภาคประชาชน ทาํ ใหก้ ระบวนการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ จากฝ่ายประชาชน ไมเ่ ขม้ แขง็ เทา่ ทค่ี วร ประเภทของการคอรร์ ัปช่นั การแบง่ ประเภทของคอรร์ ปั ช่นั มนี กั วชิ าการจาํ นวนมาก แบง่ ประเภทของการคอรร์ ปั ช่นั ไว้ มากมาย เช่น ปธาน สวุ รรณมงคล(2559 น.19-20) ไดแ้ บง่ การคอรร์ ปั ช่นั ออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ ตามความรุนแรงโดยแบง่ เป็นสตี า่ ง ๆ และแบง่ ตามผทู้ ่เี ก่ียวขอ้ งกบั การคอรร์ ปั ช่นั ดงั นี้ 1. แบง่ ตามความรุนแรง เป็นสตี า่ งๆ ไดแ้ ก่ 1.1 การคอรร์ ปั ช่นั สขี าว (White corruption) อาจจะถือเป็นการคอรร์ ปั ช่นั ท่ไี มร่ ุนแรงนกั ประชาชนท่วั ไปยงั เห็นวา่ เป็น การกระทาํ ที่ยงั ไมถ่ ึงขนั้ ตอ้ งลงโทษผกู้ ระทาํ อกี ทงั้ ยงั ไมส่ ามารถระบใุ หช้ ดั เจนวา่ การกระทาํ ลกั ษณะดงั กลา่ วเป็นการ คอรร์ ปั ช่นั หรอื ไม่ ตวั อยา่ งเชน่ การใหข้ องขวญั ของฝากแกเ่ จา้ หนา้ ที่ของรฐั หรอื แมแ้ ตก่ ารใหเ้ งินทองของมคี า่ ในเทศกาลตา่ งๆ

8 1.2 การคอรร์ ปั ช่นั สเี ทา (Gray corruption) เป็นการกระทาํ ที่ผนู้ าํ ในสงั คมเห็นวา่ เป็นการกระทาํ ผดิ และไมส่ มควรทาํ แตบ่ คุ คลท่วั ไปหรอื ประชาชนไมส่ ามารถตดั สนิ ใจไดว้ า่ ผิดหรอื ไม่ เช่น การทป่ี ระชาชนไปตติ ตอ่ ราชการและเพอ่ื ใหไ้ ดร้ บั การ บรกิ ารทรี่ วดเรว็ ประชาชนผใู้ ชบ้ รกิ ารอาจใหเ้ งินเป็นสนิ นา้ํ ใจแกเ่ จา้ หนา้ ทีข่ องรฐั เป็นการตอบแทน ซง่ึ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ก็ไมไ่ ด้ เรยี กรบั ผลตอบแทนอยา่ งใด แตผ่ ใู้ ชบ้ รกิ ารยินดีจา่ ยใหเ้ อง 1.3 การคอรร์ ปั ช่นั สดี าํ (Black corruption) เป็นการคอรร์ ปั ช่นั ท่ีทกุ ฝายในสงั คมเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั วา่ ผดิ และสมควรไดร้ บั การลงโทษ เช่น การใชต้ าํ แหนง่ หนา้ ท่ใี นการแสวงหาผลประโยชนส์ ว่ นตน หรอื การเรยี กรบั ผลประโยชน์ เป็นตน้ 2.แบง่ ตามผทู้ ่เี ก่ียวขอ้ งกบั การคอรร์ ปั ช่นั 2.1 การคอรร์ ปั ช่นั โดยเจา้ หนา้ ทรี่ ฐั หรอื ขา้ ราชการ (Administrative or Bureaucratic Corruption) เป็นการกระทาํ ของเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั โดยอาศยั หนว่ ยงานราชการทตี่ นสงั กดั เพอื่ มงุ่ แสวงหาผลประโยชนส์ ว่ นตวั การคอรร์ ปั ช่นั แบบนยี้ งั แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื ก) การคอรร์ ปั ช่นั ตามนาํ้ (corruption without theft) โดยเจา้ หนา้ ที่ของรฐั ตอ้ งการสนิ บนโดยใหม้ กี ารจา่ ยตาม ชอ่ งทางปกตขิ องทางราชการ แตใ่ หเ้ พม่ิ สนิ บนรวมเขา้ ไวใ้ นการจ่ายคา่ บรกิ ารของหนว่ ยงานนนั้ ข) การคอรร์ ปั ช่นั ทวนนาํ้ (corruption with theft) เป็นการคอรร์ ปั ช่นั ในลกั ษณะท่ีเจา้ หนา้ ที่รฐั เรยี กรบั เงินจากผขู้ อรบั บรกิ ารโดยตรงโดยท่ีหนว่ ยงานไมไ่ ดร้ บั เงินคา่ บรกิ ารดงั กลา่ วแตอ่ ยา่ งใด 2.2 การคอรร์ ปั ช่นั โดยนกั การเมอื ง การทนี่ กั การเมืองใชอ้ าํ นาจหนา้ ทห่ี รอื หนว่ ยงานของรฐั ทตี่ นกาํ กบั ดแู ลในการแสวงหา ผลประโยชนท์ างการเมืองสว่ นตนมากกวา่ ประโยชนส์ าธารณะ ซงึ่ การคอรร์ ปั ช่นั เชน่ นเี้ กิดขนึ้ อยา่ งกวา้ งขวางโดยเฉพาะใน ประเทศท่กี ลไกการตรวจสอบออ่ นแอไมม่ ปี ระสทิ ธิภาพ สาํ นกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ(2562) ไดแ้ บง่ ประเภทการคอรร์ ปั ช่นั ออกเป็น ตาม กระบวนการ และตามลกั ษณะรูปธรรม 1. แบ่งตามกระบวนการ ไดแ้ ก่ 1.1 เกิดจากการใขอ้ าํ นาจในการกาํ หนด กฎ กตกิ าพนื้ ฐาน เชน่ การออกกฎหมาย และกฎระเบียบตา่ งๆ เพือ่ อาํ นวย ประโยชนต์ อ่ กลมุ่ ธรุ กิจของตนหรอื พวกพอ้ ง 1.2 เกิดจากการใชอ้ าํ นาจหนา้ ทเี่ พ่อื แสวงหาผลประโยชนจ์ ากกฎ และระเบยี บทด่ี าํ รงอยู่ ซงึ่ มกั เกดิ จากความไม่ ชดั เจนของกฎและระเบียบเหลา่ นนั้ ที่ทาํ ใหเ้ จา้ หนา้ ทส่ี ามารถใชค้ วามคดิ เห็นของตนไดแ้ ละการใขค้ วามคดิ เหน็ นนั้ อาจไม่ ถกู ตอ้ งหากมีการใชไ้ ปในทางทีผ่ ิดหรอื ไมย่ ตุ ิธรรมได้

9 2. แบง่ ตามลกั ษณะรูปธรรม ได้แก่ 2.1 คอรร์ ปั ช่นั จากการจดั ซือ้ จดั หา (Procurement Corruption) เช่น การจดั ซอื้ ของหนว่ ยงาน โดยมกี ารคิดราคา เพ่มิ หรอื ลดคณุ สมบตั ิแตก่ าํ หนดราคาซอื้ ไวเ้ ทา่ เดมิ 2.2 คอรร์ ปั ช่นั จากการใหส้ มั ปทานและสทิ ธิพิเศษ (Concessionaire Corruption) เช่น การใหเ้ อกชนรายใด ราย หนง่ึ เขา้ มามสี ทิ ธิในการจดั ทาํ สมั ปทานเป็นกรณีพเิ ศษตา่ งกบั เอกชนรายอนื่ 2.3 คอรร์ ปั ช่นั จากการขายสาธารณสมบตั ิ (Privatization Corruption) เชน่ การขายกิจการของรฐั วสิ าหกิจหรอื การยกเอาทด่ี ิน ทรพั ยส์ นิ ไปเป็นสทิ ธิการครอบครองของตา่ งชาติ เป็นตน้ 2.4 คอรร์ ปั ช่นั จากการกาํ กบั ดแู ล (Regulatory Corruption) เชน่ การกาํ กบั ดแู ลในหนว่ ยงานแลว้ ทาํ การทจุ รติ ตา่ งๆ เป็นตน้ ถวลิ วดี บรุ กี ลุ และคณะ(2559 น.15-30) ไดแ้ บง่ การทจุ รติ ออกเป็น 1. การทุจริตทางการเมือง(Political Corruption) เป็นผลจากการทีน่ กั การเมอื งไดร้ บั อาํ นาจทางการเมือง และมพี ฤติกรรมเปลยี่ นแปลงไป เชน่ มกี ารปรบั เปลย่ี นความคิด และการตดั สนิ ใจดว้ ยการใชอ้ าํ นาจโดยมชิ อบเพอ่ื ทาํ ใหไ้ ดร้ บั ประโยชนส์ ว่ นตวั แทนที่ประโยชนส์ ว่ นรวม ซงึ่ มีการทจุ รติ ตงั้ แตก่ ารเขา้ สอู่ าํ นาจทางการเมอ้ งของนกั การเมอื ง เช่น การแจกเงิน ซือ้ เสยี ง การแจกเหลา้ เบียรน์ า้ํ แข็ง เครอื่ งด่ืม ในงานประเพณี และงานเทศกาลตา่ งๆ การซอื้ ผแู้ ขง่ ขนั ไมใ่ หล้ งแขง่ และไมใ่ หร้ อ้ ง คดั คา้ น การพาเที่ยวหรอื ดงู านโดยใชง้ บประมาณหลวงขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น และการพมิ พผ์ ลงานเกา่ และเผยแพร่ โดยการใชง้ บประมาณหลวงเพื่อหวงั สรา้ งคะแนนนยิ ม เป็นตน้ 2. การทุจรติ ทางราชการ (Bureaucratic Corruption) เป็นรูปแบบท่ีเห็นมากท่สี ดุ ในสงั คมและอาจกลา่ ว ไดว้ า่ เป็นปัญหาเรอื้ รงั ในสงั คมมาอยา่ งยาวนาน เนอื่ งจากปัจจยั หลายประการซงึ่ หากพิจารณาตามลกั ษณะของผจู้ ่ายสนิ บน ใหก้ บั ขา้ ราชการระดบั กลาง การทจุ รติ ทางราชการประเภทนี้ เรยี กวา่ การทจุ รติ ระดบั กลาง (Mid-level corruption) โดยเป็น การจา่ ยสนิ บนโดยบรษิ ัทขนาดเลก็ และระดบั บคุ คล ซง่ึ มกั จะเกี่ยวขอ้ งกบั นกั การเมอื งหรอื ขา้ ราชการระดบั กลางและตวั ผจู้ า่ ย สนิ บนมคี วามสนใจหรอื ความตอ้ งการเขา้ ไปมอี ทิ ธิพล หรอื มีสว่ นรว่ มในการนาํ นโยบายหรอื แผนงานไปปฎบิ ตั ิในระดบั ลา่ งหรอื ระดบั ปฎิบตั กิ ารของรฐั บาล ลกั ษณะการกระทาํ ทจุ รติ คือ การมคี วามพยายามทจี่ ะแสวงหากาํ ไรจากนโยบายของรฐั บาลใน เรอื่ งตา่ งๆ 3. การทุจรติ ในภาคเอกชน (Private Corruption) รูปแบบของการทจุ รติ ในภาคเอกชนนนั้ มี ลกั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั การทจุ รติ ทางราชการ เพยี งแตเ่ ป็นการกระทาํ ทจุ รติ ทีเ่ กิดขนึ้ ในหนว่ ยงานภาคเอกชน การกระทาํ บางอยา่ งจงึ เป็นลกั ษณะทเ่ี กิดขนึ้ ไดท้ งั้ ในภาครฐั และเอกชน ซงึ่ พบรูปแบบการทาํ ทจุ รติ ในภาคเอกชน ดงั นี้

10 3.1 เอกชนจาํ เป็นตอ้ งติดสนิ บนเจา้ พนกงานเพื่อใหส้ ามารถทาํ ธุรกจิ ไดโ้ ดยสะดวก หรอื ไมถ่ กู ขดั ขวางหนว่ ย เหนยี่ ว ปรากฎการณเ์ ช่นนีม้ เี หน็ อยทู่ ่วั ไปในวงการรบั -สง่ สนิ คา้ ระหวา่ งประเทศ การขอรบั ใบอนญุ าตตา่ งๆ จากทางราชการ 3.2 การตงั้ ใจฉอ้ โกง เป็นการมงุ่ กระทาํ อาชญากรรม โดยโจง่ แจง้ ไดแ้ ก่ การตงั้ วงธุรกิจแชรล์ กู โซห่ รอื อาชญากรรมเศรษฐกิจผา่ นการขายสนิ คา้ ดว้ ยระบบขายตรงบางรายการ เป็นตน้ 3.3 การทจุ รติ ของผบู้ รหิ ารหรอื พนกั งานขององคก์ รธรุ กิจเอกชน เช่น ผบู้ รหิ ารหรอื พนกั งานทาํ การทจุ รติ พบได้ มากในสถาบนั การเงิน ตา่ งๆ 3.4 การใหส้ วสั ดิการท่สี งู เกินควร จะเกิดขนึ้ ในวสิ าหกจิ ขนาดใหญ่หรอื บรษิ ัทมหาชน ท่ีทาํ การจา่ ยสวสั ดกิ ารที่ สงู เกินจรงิ เชน่ ในวงการสายการบิน ท่ีใหส้ วสั ดิการพนกั งานสามารถซือ้ ต๋วั เดนิ ทางในราคาถกู แต่ ผใู้ ชบ้ รกิ ารท่วั ไปตอ้ งเสยี คา่ บรกิ ารแพง เป็นตน้ 4. การทุจรติ ในภาคการปกครองทอ้ งถน่ิ ทอ้ งถิ่นถือเป็นพืน้ ทร่ี บั ผดิ ชอบของราชการสว่ นภมู ภิ าค ซง่ึ เกดิ จากการกระจายอาํ นาย จากราชการสว่ นกลาง ซงึ่ รูปแบบของการทจุ รติ ทพ่ี บจะมลี กั ษณะเดียวกนั กบั การทจุ รติ ทางราชการ ระดบั กลางและระดบั ลา่ ง เน่อื งจากเป็นการกระทาํ ของขา้ ราชการและนกั การเมืองทอ้ งถ่ิน เช่น การทจุ รติ ในรูปงบประมาณ การ ทาํ บญั ชี การจดั ซือ้ จดั จา้ ง และการเงินการคลงั เป็นการาละเลยไมป่ ฎิบตั ิหรอื ไมท่ าํ ตามระเบยี บและอา้ งวา่ ไมท่ ราบเกี่ยวกบั เรอ่ื งทม่ี ีการใหจ้ ดั ทาํ และไมจ่ ดั ทาํ , การทจุ รติ ในรูปแบบบท่เี กิดจากตวั บคุ คล คือ การใชต้ าํ แหนง่ ในการแสวงหาผลประโยชน์ 5. การทุจริตในรูปแบบผลประโยชนท์ ับซ้อน(Conflict of Interest) การทจุ รติ รูปแบบนี้ เรยี กอกี อยา่ ง “ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น (Conflict of Interest)” หรอื ในบางครงั้ เรยี กวา่ “การคอรร์ ปั ช่นั เชิงนโยบาย” สถาบนั พระปกเกลา้ ได้ อธิบายวา่ หมายถงึ การทผ่ี มู้ อี าํ นาจและหนา้ ทก่ี าํ หนดนโยบายไดใ้ ชอ้ าํ นาจหนา้ ท่ีของตนเออื้ ประโยชนแ์ กต่ นเองและพวกพอ้ ง โดยวิธีการกาํ หนดนโยบายท่ีมีจดุ มงุ่ หมายซอ่ นเรน้ ทจ่ี ะแสวงหาผลประโยชนจ์ ากนโยบายดงั กลา่ ว และมอบหมายใหฝ้ ่าย ประจาํ ไปดาํ เนินการจดั ทาํ โครงการเสนอขนึ้ มาเพือ่ อนมุ ตั ิ การคอรปั ช่นั เชิงนโยบายจงึ เป็นรูปแบบใหมข่ องคอรปั ช่นั ทีม่ ี จดุ เรม่ิ ตน้ มาจากผกู้ าํ หนดนโยบายโดยไดร้ บั ความรว่ มมอื หรอื ตกอยใู่ นสภาวะจาํ ยอมจากฝ่ายประจาํ ในการจดั ทาํ โครงการให้ เป็นไปตามนโยบาย และเป็นการคอรปั ช่นั ท่ีอาศยั ความชอบธรรมทางกฎหมายเป็นเครอ่ื งบงั หนา้ ในการแสวงหาผลประโยชน์ สว่ นตวั (http://www.kpi.ac.th/) ตวั อยา่ งการทจุ รติ เชงิ นโยบาย มหี ลายกรณี เช่น ทจุ รติ จาํ นาํ ขา้ ว ในสมยั รฐั บาลนางสาวยง่ิ ลกั ษณ์ ชินวตั ร แตท่ ่เี ห็นไดช้ ดั เจน คือ ดดีทจุ รติ จดั ซอื้ ที่ดนิ และโครงการกอ่ สรา้ งบอ่ บาํ บดั นาํ้ เสยี ท่ีคลองดา่ น เนอ่ื งจากศาลไดต้ ดั สนิ ลงโทษ ผเู้ ก่ียวขอ้ งแลว้ โครงการนีเ้ ป็นคดีการทจุ รติ โครงการจดั ซอื้ ที่ดินและโครงการก่อสรา้ งบอ่ บาํ บดั นาํ้ เสยี 2 ระบบ เรม่ิ แนวคิดขนึ้ ในสมยั รฐั บาลชวน หลกี ภยั และไดอ้ นมุ ตั ิวงเงินในสมยั รฐั บาลบรรหาร ศลิ ปอาชา โครงการแหง่ นตี้ งั้ อยบู่ รเิ วณ ตาํ บลคลองดา่ น อาํ เภอ บางบอ่ จงั หวดั สมทุ รปราการ ถือเป็นโครงการกอ่ สรา้ งบอ่ บาํ บดั นา้ํ เสยี ทใี่ หญ่ท่ีสดุ ในเอเซยี ในขณะนนั้ ดว้ ยศกั ยภาพในการ บาํ บดั นา้ํ เสยี รวม 525,000 ลกู บาศกเ์ มตร (ลบ.ม.) ตอ่ วนั

11 โครงการไดเ้ รม่ิ ขนึ้ จากการผลกั ดนั โดยสวุ จั น์ ลปิ ตพลั ลภ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงวิทยาศาสตร์ ในขณะนนั้ แตไ่ มไ่ ด้ พิจารณา ในปี 2538 โครงการไดผ้ ลกั ดนั ขนึ้ อีกครงั้ โดย ย่ิงพนั ธ์ มนะสกิ าร รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงวทิ ยาศาสตร์ จนในทสี่ ดุ มติ คณะรฐั มนตรสี มยั รฐั บาลบรรหารไดอ้ นมุ ตั วิ งเงินโครงการจาํ นวน 13,612 ลา้ นบาท ตอ่ มาในปี 2540 ก็ไดเ้ พมิ่ เป็น 23,000 ลา้ น บาท รฐั บาลไดป้ ระกาศหาผรู้ บั เหมา จนไดผ้ มู้ าย่นื ความจาํ นงจาํ นวน 13 ราย และไดค้ ดั ไปจนสดุ ทา้ ยเหลอื เพยี ง 2 รายคอื กลมุ่ บรษิ ัท NVPSKG และ กลมุ่ บรษิ ัท Marubeni จนในทสี่ ดุ กลมุ่ บรษิ ัท NVPSKG ไดร้ บั เลอื กใหเ้ ป็นผรู้ บั เหมาแบบเหมารวม (Turnkey) โครงการไดเ้ รมิ่ พบการทจุ รติ มากมายจนภาคประชาชนเขา้ รอ้ งเรยี นถึง ป.ป.ช. พบวา่ ในสว่ นของทด่ี นิ วฒั นา อศั วเหม รฐั มนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวงมหาดไทยในขณะนนั้ ทาํ การกวา้ นซอื้ ทีด่ ินชาวบา้ นในทอ้ งที่ดว้ ยวิธีการขม่ ขู่ รวมถึงออกเอกสาร สทิ ธิพนื้ ท่ีสาธารณะโดยมชิ อบ และบางพืน้ ทยี่ งั เป็นป่ าชายเลนซง่ึ เป็นทสี่ งวนอกี ดว้ ย จาํ นวน 17 แปลง รวมพืน้ ท่ีกวา่ 1,900 ไร่ ดว้ ยราคาถกู คือจากไรล่ ะประมาณ 4 หมื่น แลว้ นาํ ไปขายใหก้ รมควบคมุ มลพษิ ในราคาไรล่ ะ 1 ลา้ นบาท คิดเป็นเงินทงั้ หมด 1,900 ลา้ นบาท ป.ป.ช. จึงไดส้ ง่ เรอ่ื งไปทศี่ าล แตใ่ นวนั ฟังคาํ พิพากษา ใน พ.ศ. 2550 นายวฒั นากลบั เดินทางหนไี ป ตา่ งประเทศ ศาลจึงมีคาํ ส่งั จาํ คกุ 10 ปี นอกจากนีศ้ าลยงั มคี าํ สง่ั ใหน้ ายยง่ิ พนั ธ์ มนะสกิ าร รมต.กระทรวงวิทยาศาสตร์ รบั ผดิ ดว้ ยแตเ่ สยี ชีวติ ไปแลว้ สว่ นสวุ จั น์ ลปิ ตพลั ลภ ไดถ้ กู กลา่ วหา แตศ่ าลไดย้ กฟอ้ ง ในปี 2546 กรมควบคมุ มลพษิ (ค.พ.) ไดม้ คี าํ ส่งั ใหก้ ิจการรว่ มคา้ NVPSKG ยตุ กิ ารดาํ เนนิ โครงการ และระงบั การ จ่ายเงิน หลงั ดาํ เนนิ กอ่ สรา้ งไปแลว้ กวา่ 95% คดิ เป็นมลู คา่ ถงึ 2 หม่นื ลา้ นบาท จนตอ่ มากลมุ่ บรษิ ทั NVPSKG ไดท้ าํ การ เรยี กรอ้ งใหจ้ า่ ยเงินทีเ่ หลอื อยู่ อนญุ าตโตตลุ าการจึงไดต้ ดั สนิ ให้ กรมควบคมุ มลพิษ แพ้ ทาํ ให้ กรมควบคมุ มลพิษ ไดไ้ ปฟอ้ งตอ่ ยงั ศาลชนั้ ตน้ และศาลปกครอง แตผ่ ลสดุ ทา้ ยคือยืนตามคาํ ตดั สนิ อนญุ าตโตตลุ าการ ตอ้ งจา่ ยสว่ นทเ่ี หลอื กวา่ 9.6 พนั ลา้ นบาท ซง่ึ การจา่ ยเงินลา่ สดุ คือในปี พ.ศ.2558 สมยั รฐั บาลพลเอกประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา การทจุ รติ โครงการนีน้ บั เป็นการทจุ รติ ทสี่ ลบั ซบั ซอ้ นทมี่ เี ครอื ขา่ ยในวงการนกั การเมือง ขา้ ราชการ นกั ธุรกิจ คนใน ครอบครวั อยา่ งกวา้ งขวาง ซงึ่ ในสมยั นนั้ ไมม่ กี ฎหมายหา้ มกิจการของผดู้ าํ รงตาํ แหนง่ ทางการเมอื งเขา้ เป็นคสู่ ญั ญากบั หนว่ ยงานของรฐั จงึ เป็นชอ่ งโหวใ่ นการแสวงหาผลประโยชน์ ปัจจบุ นั โครงการแหง่ นีไ้ ดถ้ กู ทงิ้ รา้ ง ชาวบา้ นในพืน้ ทตี่ อ้ งยา้ ยท่อี ยู่ และรฐั บาลยงั คงตอ้ งจา่ ยคา่ ชดเชยโครงการกบั กลมุ่ บรษิ ัท NVPSKG ที่เหลอื อกี 2 งวด รวมเป็นเงินท่ปี ระเทศไทยสญู เสยี ไป กวา่ 3 หมน่ื ลา้ นบาท เป็นคดที จุ รติ ทสี่ รา้ งความเสยี หายมากท่ีสดุ คดีหนงึ่ ในประเทศไทย สอื่ ไทยทกุ แขนงจงึ ตา่ งตงั้ ชื่อคดนี วี้ า่ \"คา่ โงค่ ลองดา่ น\" ในปี 2561 ศาลฎีกาพพิ ากษากลบั คดีทจุ รติ จดั ซือ้ ทด่ี ินและฉอ้ โกงสญั ญาก่อสรา้ งบอ่ บาํ บดั นา้ํ เสยี คลองดา่ น จ. สมทุ รปราการ รวมมลู คา่ 2.49 หม่นื ลา้ นบาท ลงโทษจาํ เลย 18 ราย มีทงั้ นติ บิ คุ คลและบคุ คล “สงั วรณ์ ลปิ ตพลั ลภ” กรรมการ บรษิ ัท ประยรู วิศวก์ ารชา่ ง ถกู คมุ เขา้ เรอื นจาํ พรอ้ มพวกอกี 4 คน สว่ น “ชยณฐั โอสถานเุ คราะห-์ วฒั นา อศั วเหม” พรอ้ มพวก หลบหนีไมม่ าศาลรวม 6 คน มหี มายจบั ติดตวั (https://th.wikipedia.org/wiki/คดีคลองดา่ น)

12 การปลกู จติ สาํ นึกให้มสี ่วนร่วมในการตา้ นทุจริต ภายใตส้ ถานการณก์ ารทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั ในแวดวงตา่ งๆ ที่ถกู เปิดโปงเป็นระยะๆ นนั้ ทาํ ใหด้ เู หมอื นวา่ สถานการณก์ าร ทจุ รติ ของประเทศไทย นา่ เป็นหว่ ง ทวา่ อกี ดา้ นหนงึ่ มีความพยายามปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กิดปัญหาการทจุ รติ โดยสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ใหก้ บั คนรุน่ ใหมแ่ ละสรา้ งเครอื ขา่ ยในการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ที่เขม้ แขง็ ใน การขบั เคลอื่ นยทุ ธศาสตรช์ าตวิ า่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และ ปราบปรามการทจุ รติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) โดยรศ.ดร. มาณี ไชยธีรานวุ ฒั ศริ ิ ที่ปรกึ ษาประธานกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ ป.ป.ช. กลา่ ว ในระหวา่ งการอภิปรายเรอื่ ง “ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ กบั การมีสว่ นรว่ มของผบู้ รหิ าร” ในกิจกรรมเตรยี มความพรอ้ ม หลกั สตู ร “นกั บรหิ ารยทุ ธศาสตรก์ ารปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ระดบั สงู ” (นยปส.)รุน่ ที่ 8 ตอนหนง่ึ วา่ กระทรวงศกึ ษาธิการไดน้ าํ หลกั สตู รตอ่ ตา้ นการทจุ รติ มาใชใ้ นปี 2562 โดยใหบ้ รรจเุ ป็นวชิ า หรอื ในชว่ งเวลาเรยี นรู้ ตงั้ แตร่ ะดบั อนบุ าล จนถงึ ระดบั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ใหส้ ามารถปฏิบตั ไิ ดแ้ บบอตั โนมตั ิ ใน 4 ขอ้ หลกั ดว้ ยกนั (สยามรฐั ออนไลน์ 28 มกราคม 2562 บท บรรณาธิการ) 1.สามารถแยกแยะผลประโยชนส์ ว่ นตวั และสว่ นรวมได้ 2.STRONG จิตพอเพยี งตา้ นทจุ รติ 3.ความอาย ความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ 4.ความเป็นพลเมอื ง โดยมีรายละเอียดดงั นี้ 1.สามารถแยกแยะผลประโยชนส์ ว่ นตวั และส่วนรวมได้ หากสามารถแยกแยะได้ จะทาํ ใหไ้ มเ่ กิดผลประโยชนท์ บั ซอ้ น ซง่ึ คอื ความทบั ซอ้ นระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม(ผลประโยชนส์ าธารณะ) ที่มีผลตอ่ การปฎบิ ตั ิหนา้ ท่ขี องเจา้ หนา้ ที่ของรฐั กลา่ วคือ เป็นสถานการณท์ ี่ เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั มผี ลประโยชนส์ ว่ นตนอยแู่ ละไดใ้ ชอ้ ิทธิพลตามอาํ นาจหนา้ ทแ่ี ละความรบั ผิดชอบ เพื่อใหเ้ กิดประโยชนส์ ว่ นตน ทาํ ใหเ้ กิดผลเสยี หายตอ่ ประโยชนส์ ว่ นรวม 2.STRONG จติ พอเพียงตา้ นทจุ ริต STRONG เป็นความคดิ พืน้ ฐานทีน่ าํ มาประยกุ ตใ์ ชก้ บั ปัจเจกบคุ คล เพอื่ ใหบ้ คุ คลเกิดจิตพอเพยี งในการตา้ นทจุ รติ อนั ประกอบดว้ ย - S=Sufficient หมายถงึ ความพอเพียง คอื หลกั ความพอเพยี ง ผนู้ าํ ผบู้ รหิ าร บคุ คลทกุ ระดบั องคก์ รและชมุ ชนนอ้ ม นาํ ปรชั ญาของเศรษฐฏจิ พอเพยี งมาปรบั ประยกุ ตเ์ ป็นหลกั ความพอเพียงในการทาํ งาน การดาํ รงชีวติ การพฒั นาตนเองและ สว่ นรวม รวมถึงการปอ้ งกนั การทจุ รติ อยา่ งย่งั ยนื ความพอเพียงตอ่ สงิ่ ใดสง่ิ หนงึ่ ของมนษุ ยแ์ มว้ า่ จะแตกตา่ งกนั ตามพนื้ ฐาน แต่

13 การตดั สนิ ใจวา่ ความพอเพยี งของตนเองตอ้ งตง้ อยบู่ นความมีเหตมุ ีผลรวมทงั้ ตอ้ งไมเ่ บยี ดเบยี นตนเอง ผอู้ ่นื และสว่ นรวมความ พอเพียงดงั กลา่ วจึงเป็นภมู ิคมุ้ กนั ใหบ้ คุ คลนนั้ ไมก่ ระทาํ การทจุ รติ ซง่ึ ตอ้ งใหค้ วามรูค้ วามเขา้ ใจและปลกุ ใหต้ ื่นรู้ T=Transparent หมายถงึ โปรง่ ใส คอื บคุ คลและหนว่ ยงานปฏบิ ตั ิงานบนฐานของความโปรง่ ใส ตรวจสอบได้ ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งมแี ละปฎบิ ตั ติ ามหลกั ปฎบิ ตั ิ ระเบยี บ ขอ้ ปฎบิ ตั ิ กฎหมายดา้ นความโปรง่ ใส R= Realize หมายถงึ ตืน่ รู้ คอื รูแ้ ละพรอ้ มลงมอื ปอ้ งกนั ทจุ รติ เพราะตระหนกั รูถ้ งึ รากเหงา้ ของปัญหาและภยั รา้ ยแรง ของการทจุ รติ ประพฤติมิชอบภายในชมุ ชนและประเทศ ความตื่นรูจ้ ะบงั เกิดเมือ่ ไดพ้ บเห็นสถานการณท์ เ่ี สยี่ งตอ่ การทจุ รติ ยอ่ มจะมีปฎิกิรยิ าเฝา้ ระวงั และไมย่ นิ ยอมตอ่ การทจุ รติ ในทสี่ ดุ ซงึ่ ตอ้ งใหค้ วามรูค้ วามเขา้ ใจ เกย่ี วกบั สถานการณก์ ารทจุ รติ ทเี่ กิด ขนี้ ความรา้ ยแรงและผลกระทบตอ่ ระดบั บคุ คลสว่ นรวม O=Onward หมายถึง มงุ่ ไปขา้ งหนา้ คือ มงุ่ พฒั นาใหเ้ กดิ ความเจรญิ โดยการตอ่ สกู้ บั การทจุ รติ อยา่ งไมย่ อ่ ทอ้ โดย ผนู้ าํ ผบู้ รหิ าร บคุ คลทกุ ระดบั มงุ่ พฒั นาปรบ้ เปลย่ี นตนเองและสว่ นรวมใหม้ ีความเจรญิ กา้ วหนา้ อยา่ งย่งั ยืน บนฐานความ โปรง่ ใส ความพอเพยี งและรว่ มสรา้ งวฒั นธรรมสจุ รติ ใหเ้ กิดขนึ้ อยา่ งไมย่ อ่ ทอ้ N=Knowledge หมายถงึ ความรู้ คือ แสวงหาความรูอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง เพื่อใหเ้ ทา่ ทนั ตอ่ สถานการณก์ ารทจุ รติ โดยทกุ ภาคสว่ นตอ้ งมีความรูค้ วามเขา้ ใจสามารถนาํ ความรูไ้ ปใช้ สามารถวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมนิ ไดอ้ ยา่ งถ่องแทใ้ นเรอ่ื ง สถานการณก์ ารทจุ รติ ผลกระทบทมี่ ีตอ่ ตนเองและสว่ นรวม ความพอเพยี งตา้ นทจุ รติ การแยกแยะผลประโยชนส์ ว่ นตวั และ ผลประโยชนส์ ว่ นรวมทมี่ ีความสาํ คญั ตอ่ การลดทจุ รติ ในระยะยาว รวมทงั้ ความอายไมก่ ลา้ ทที่ าํ ทจุ รติ และความไมท่ น เม่อื พบ เห็นวา่ มกี ารทจุ รติ เกิดขนึ้ เพอ่ื สรา้ งสงั คมไมท่ นตอ่ การทจุ รติ G-Generosity หมายถงึ ความเออื้ อาทร คอื รว่ มพฒั นาใหเ้ กดิ ความเออื้ อาทรตอ่ กนั บนพนื้ ฐานของจรยิ ธรรมและจิต พอเพียง มเี มตตา มนี าํ้ ใจ บนพืน้ ฐานของความพอเพยี งตา้ นทจุ รติ ไมเ่ ออื้ ตอ่ การรบั หรอื การใหผ้ ลประโยชนห์ รอื ตอ่ พวกพอ้ ง 3.ความละอาย ความไม่ทนตอ่ การทุจรติ ความละอาย ความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ เป็นสงิ่ สาํ คญั เพราะการทจุ รติ ไมว่ า่ จะระดบั ใด ยอ่ มเกิดความเสยี หายตอ่ สงั คม ประเทศชาติ เหน็ ไดจ้ ากคดีทจุ รติ ตา่ งๆ ทค่ี ดเี ขา้ สกู่ ระบวนการพจิ ารณาของศาลและไดต้ ดั สนิ ลงโทษผกู้ ระทาํ ผิดไปแลว้ ก็ ตาม ดงั ปรากฎตามสอ่ื มวลชนตา่ งๆ แตค่ วามเสยี หายทเี่ กิดขนึ้ ก็ไมส่ ามารถประมาณคา่ ได้ ดงั นนั้ หากทกุ ภาคสว่ นของสงั คม ยงั มกี ารปลอ่ ยใหม้ กี ารทจุ รติ ยินยอมใหม้ ีการทจุ รติ โดยเห็นวา่ เป็นเรอ่ื งของคนอ่ืน ไมเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ตวั เอง หรอื คดิ วา่ เป็นเรอื่ ง ของเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั สดุ ทา้ ยทกุ คนก็จะไดร้ บั ผลกระทบจากการทจุ รติ ดงั กลา่ ว ดงั นนั้ การสรา้ งใหบ้ คุ คลทกุ ระดบั เกิดความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ ก็จะทาํ ใหก้ ารทจุ รติ ลดลงหรอื หมด ไปจากสงั คมไทยได้

14 ความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ หมายถงึ การแสดงออกอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เกดิ ขนึ้ เพอื่ ใหร้ บั รูว้ า่ จะไมท่ นตอ่ บคุ คลหรอื การ กระทาํ ใดๆทีท่ าํ ใหเ้ กิดการทจุ รติ ความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ นนั้ สามารถแบง่ ระดบั ไดม้ ากกวา่ ความละอายตอ่ การทจุ รติ และ แสดงออกไดห้ ลายลกั ษณะ ทงั้ กรยิ าททา่ ทางหรอื คาํ พดู เชน่ การวา่ กลา่ วตกั เตือน การประกาศใหส้ าธารณชนรบั รู้ การแจง้ เบาะแส การรอ้ งทกุ ขก์ ลา่ วโทษ การชมุ นมุ ประทวง้ ซง่ึ เป็น ขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยที่รุนแรงที่สดุ เนื่องจากมีการรวมตวั ของคนจาํ นวน มากและสรา้ งความเสยี หายอยา่ งมาก เช่นกนั ทงั้ นี้ บคุ คลจะมคี วามไมท่ นตอ่ การทจรุ ติ มาก-นอ้ ย เพยี งใด ขนึ้ อยกู่ บั จิตสาํ นกึ ของแตล่ ะบคุ คล และผลกระทบที่เกิดขนึ้ จากการกระทาํ นนั้ ๆ และโดยปกติ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ นนั้ สามารถแบง่ ออกได้ เป็น 2 ระดบั ไดแ้ ก่ (www.thaiairways.com สบื คน้ 8 ตลุ าคม 2562) . 1. ความละอายระดบั ตน้ หมายถงึ ความละอาย ไมก่ ลา้ ทจี่ ะทาํ ในสง่ิ ที่ผิด เน่อื งจากกลวั วา่ เมอ่ื ตนเองไดท้ าํ ลงไป แลว้ จะมคี น รบั รูห้ ากถกู จบั ไดจ้ ะไดร้ บั การลงโทษหรอื ไดร้ บั ความเดือดรอ้ นจากสงิ่ ท่ีตนเองไดท้ าํ ลงไป จึงไมก่ ลา้ ที่จะทาํ ผิด 2. ความละอายระดบั สงู คอื แมว้ า่ จะไมม่ ใี ครรบั รูห้ รอื เหน็ ในสง่ิ ทต่ี นเองไดท้ าํ ลงไป ก็ไมก่ ลา้ ทจี่ ะทาํ ผิด เพราะ นอกจากตนเอง จะไดร้ บั ผลกระทบแลว้ ครอบครวั สงั คมก็จะไดร้ บั ผลกระทบตามไปดว้ ย อกี ทงั้ ชื่อเสยี งของตนเองและ ครอบครวั กจ็ ะเสอื่ มเสยี บางครงั้ การทจรุ ติ เลก็ ๆนอ้ ยๆ อาจไมม่ ใี ครใสใ่ จหรอื สงั เกตเหน็ แตห่ ากเป็นความละอายขนั้ สงู แลว้ บคุ คลคนนนั้ ก็จะไมก่ ลา้ ทาํ ผดิ 4.ความเป็ นพลเมอื ง ความเป็นพลเมืองมสี ว่ นสาํ คญั ยงิ่ ตอ่ การตา้ นทจุ รติ เนอ่ื งจาก พลเมอื งเป็นองคป์ ระกอบทส่ี าํ คญั ของสงั คม พลเมืองที่ สมบรู ณต์ อ้ งมคี ณุ ภาพชวี ิตทีด่ ี มรี า่ งกายดี จิตใจดี คดิ เป็น แกป้ ัญหาเป็น และตอ้ งเป็นกาํ ลงั ในการพฒั นาความเจรญิ ของ ประเทศชาตใิ หเ้ กิดความม่นั คงสามคั คีปรองดอง การเป็นพลเมืองดี จึงเป็นพืน้ ฐานสาํ คญั ในการแกป้ ัญหาทกุ เรอ่ื ง พลเมืองดี หมายถึง ประชาชน หรอื ราษฎร หรอื พสกนกิ ร ท่ปี ระพฤตติ นใหเ้ ป็นไปตามระเบียบ กฎเกณฑ์ กฎหมาย และขอ้ บงั คบั ตา่ งๆ ของสงั คม โดยบคุ คลดงั กลา่ วจะตอ้ งมหี นา้ ทแี่ ละมคี วามรบั ผิดชอบ ปฏบิ ตั ติ นใหเ้ กิดประโยชนแ์ กส่ งั คม ประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์ โดยลกั ษณะท่วั ไปของพลเมอื งดี ไดม้ ผี รู้ ะบไุ วม้ ากมาย เช่น (มตชิ นออนไลน์ 8 ตลุ าคม 2562) 1) เคารพกฎหมายและปฏบิ ตั ิตามกฎระเบยี บ ขอ้ บงั คบั ของสงั คม และขอ้ บญั ญตั ขิ องกฎหมาย 2) มเี หตผุ ลและรบั ฟังความคดิ เห็นของผอู้ น่ื 3) ยอมรบั มติของเสยี งสว่ นใหญ่ แมว้ า่ มตนิ นั้ ๆ จะไมต่ รงกบั ความคดิ ของตนเอง 4) มีนาํ้ ใจประชาธิปไตย เหน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวมมากกวา่ ประโยชนต์ น 5) เคารพสทิ ธิเสรภี าพของผอู้ น่ื 6) รบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง สงั คม ชมุ ชน และประเทศชาติ 7) มีสว่ นรว่ มในกิจกรรมการเมอื ง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย

15 8) มีสว่ นรว่ มในการปอ้ งกนั แกไ้ ขปัญหาเศรษฐกิจสงั คม การเมอื งการปกครองของประเทศ 9) มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม และปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมทางศาสนาท่ตี นนบั ถือ นอกจากนี้ พล.อ.ประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา นายกรฐั มนตรี ยงั ไดก้ ลา่ วถงึ ลกั ษณะเฉพาะของพลเมืองดี โดยไดก้ าํ หนด คา่ นิยมหลกั 12 ประการ เพ่อื สรา้ งสรรคใ์ หพ้ ลเมืองในชาติไดป้ ระพฤตติ นเป็นพลเมอื งดี มีความเขม้ แขง็ สมคั รสมานสามคั คี รกั ชาติ รกั ศาสนา และรกั เทดิ ทนู พระมหากษัตรยิ ์ สาํ หรบั คา่ นิยมทงั้ 12 ประการ ไดแ้ ก่ (http://www.kpi.ac.th/) 1. มคี วามรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ 2. ซอื่ สตั ย์ เสยี สละ อดทน มอี ดุ มการณใ์ นสง่ิ ทดี่ งี ามเพอื่ สว่ นรวม 3. กตญั �ตู อ่ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง ครูบาอาจารย์ 4. ใฝ่หาความรู้ หม่นั ศกึ ษาเลา่ เรยี นทงั้ ทางตรง และทางออ้ ม 5. รกั ษาวฒั นธรรมประเพณีไทยอนั งดงาม 6. มศี ีลธรรม รกั ษาความสตั ย์ หวงั ดตี อ่ ผอู้ ่นื เผ่อื แผแ่ ละแบง่ ปัน 7. เขา้ ใจเรยี นรูก้ ารเป็นประชาธิปไตย อนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ ท่ีถกู ตอ้ ง 8. มีระเบยี บวนิ ยั เคารพกฎหมาย ผนู้ อ้ ยรูจ้ กั การเคารพผใู้ หญ่ 9. มสี ตริ ูต้ วั รูค้ ิด รูท้ าํ รูป้ ฏิบตั ติ ามพระราชดาํ รสั ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั 10. รูจ้ กั ดาํ รงตนอยโู่ ดยใชห้ ลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งตามพระราชดาํ รสั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รูจ้ กั อดออมไว้ ใชเ้ ม่ือยามจาํ เป็น มีไวพ้ อกินพอใช้ ถา้ เหลอื ก็แจกจา่ ยจาํ หนา่ ย และพรอ้ มที่จะขยายกิจการเมอ่ื มคี วามพรอ้ ม เม่อื มี ภมู ิคมุ้ กนั ท่ีดี 11. มคี วามเขม้ แข็งทงั้ รา่ งกาย และจิตใจ ไมย่ อมแพต้ อ่ อาํ นาจฝ่ายต่าํ หรอื กเิ ลส มคี วามละอายเกรงกลวั ตอ่ บาปตามหลกั ของ ศาสนา 12. คาํ นงึ ถงึ ผลประโยชนข์ องสว่ นรวม และของชาตมิ ากกวา่ ผลประโยชนข์ องตนเอง สนุ นั ท์ สพี าย และ ไพฑรู ย์ สนิ ลารตั น์ (2561 น.15) ไดก้ าํ หนดคณุ ลกั ษณะพลเมอื งไทย หรอื เดก็ ไทย 4.0 วา่ ควรมี ลกั ษณะ CCPR คอื 1) เป็นผมู้ จี ิตใจดา้ นวเิ คราะห์ (Critical Mind) ประกอบดว้ ย รูจ้ กั มองสงั คมรอบตวั ใหท้ ่วั ถงึ รอบดา้ นวา่ มอี ะไรเป็น ปัญหากระทบตอ่ การดาํ รงชีวิตของตน ควรแกไ้ ขอยา่ งไร และมีความเขา้ ใจถงึ เหตแุ ละผลของปัญหานนั้ ๆ วา่ อะไรเป็นสาเหตุ ของปัญหา แกใ้ หต้ รงสาเหตขุ องปัญหานนั้ ๆ ทสี่ าํ คญั จะตอ้ งใชป้ ัญญาวเิ คราะหป์ ัญหาอยา่ งแยบคาย 2) มจี ิตคดิ สรา้ งสรรค์ (Creative Mind) เด็กไทยหรอื พลเมอื งไทยตอ้ งคดิ สรา้ งสรรค์ สรา้ งสงิ่ ใหมๆ่ ใหเ้ กิดนวตั กรรม โดยสามารถใชป้ ัญญาคิดตดิ ตอ่ ยอดความคดิ เดมิ ทมี่ อี ยใู่ หท้ นั สมยั และสามารถเผยแพรผ่ ลงานโดยใชส้ อ่ื ท่ีสรา้ งสรรค์ อนั จะทาํ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ สงั คมและประเทศชาติ

16 3) มจี ิตคดิ ผลติ ภาพ (Productivity Mind) ประกอบดว้ ย ทกั ษะการสงั เกตการณค์ ดิ ตอ่ เนอ่ื ง มีการประเมินเพ่ือ สรา้ งผลสาํ เรจ็ มองเห็นคณุ คา่ และคณุ ภาพของผลงาน คาํ นงึ ถงึ เปา้ หมาย มีการวางแผนงานเป็นขนั้ ตอน ทาํ งานรว่ มกนั เป็นทีม ลงมอื ปฏบิ ตั ติ ามแผน และปรบั ปรุงพฒั นาใหไ้ ดผ้ ลดมี ปี ระสทิ ธิภาพ 4) มจี ิตคดิ รบั ผดิ ชอบ (Responsibility Mind) ประกอบดว้ ยทกั ษะมองภาพรวม มีการประเมินเหตกุ ารณ์ เหน็ ประโยชน์ ชว่ ยเหลอื ผดู้ อ้ ยโอกาส มจี ิตสาธารณะ มีคณุ ธรรมจรยิ ธรรม คาํ นงึ ถงึ ประโยชนข์ องสงั คมและประเทศชาติ หากพลเมืองหรอื เด็กไทย 4.0 มคี ณุ ลกั ษณะ ดงั กลา่ ว นอกจากจะเป็นตวั จกั รสาํ คญั ในการขบั เคลอ่ื นเศรษฐกิจ เนน้ การสรา้ งนวตั กรรมใหม่ มที กั ษะในการสอ่ื สาร รูจ้ กั การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ สรา้ งผลติ ภณั ฑท์ ม่ี มี ลู คา่ สงู เป็นทตี่ อ้ งการของ สงั คม และสามารถยกระดบั คณุ ภาพชีวติ ของตนเองและคนไทยใหด้ ี มปี ระสทิ ธิภาพ แลว้ ยงั สามารถมีสว่ นทาํ ใหป้ ัญหาการ ทจุ รติ ลดนอ้ ยลงตามไปอีกดว้ ย การขดั เกลาทางสงั คมกับการต้านทุจริต สงั คมจะตอ้ งประกอบดว้ ยคนจาํ นวนมาก มาอยรู่ วมกนั เมื่อคนจาํ นวนมากมาอยรู่ วมกนั ยอ่ มตอ้ งมกี ารเรยี นรู้ วธิ ีการ ในการอยรู่ ว่ มกนั กบั คนอ่นื เชน่ การเรยี นรูเ้ กี่ยวกบั บรรทดั ฐานและขนบธรรมเนียมประเพณีตา่ งๆ สงั คมจงึ ตอ้ งมวี ิธีการในการ อบรม ส่งั สอนและปลกู ฝัง ใหค้ นรูจ้ กั วิธีการประพฤติปฎิบตั ิตวั ในการอยรู่ ว่ มกบั คนอ่นื ในสงั คมทอกี ทงั้ การทีบ่ คุ คลแตล่ ะคนจะมี ความเป็นคนโดยสมบรู ณ์ ไดน้ นั้ จะตอ้ งไดร้ บั การถา่ ยทอดสง่ิ ตา่ งๆ เช่น วฒั นธรรม กิรยิ า มารยาท และการศกึ ษา ซงึ่ วธิ ีการนนั้ ก็คือ “การอบรมขดั เกลาทางสงั คม(Socialization)” นนั้ เอง คาํ วา่ การอบรมขดั เกลาทางสงั คม มาจากภาษาองั กฤษวา่ “Socialization” แตเ่ มอ่ื นาํ มาใชห้ รอื เม่ือแปลเป็น ภาษาไทย กม็ หี ลายคาํ เชน่ การกลอ่ มเกลาทางสงั คม, การเรยี นรูท้ างสงั คม, การอบรมใหร้ ูร้ ะเบยี บของสงั คม, การอบรมทาง สงั คม, การขดั เกลาทางสงั คม, สงั คมกรณ,์ สงั คมประกิต เป็นตน้ ซงึ่ ในพจนานกุ รมศพั ทส์ งั คมวทิ ยา ฉบบั ราชบณั ฑติ สถาน (2532: 370-371) ไดใ้ ชค้ าํ วา่ กระบวนการขดั เกลาทาง สงั คม แทนคาํ วา่ “Socialization” และหมายถงึ กระบวนการทางสงั คมกบั จิตวิทยาซงึ่ มีผลทาํ ใหบ้ คุ คลมบี คุ ลกิ ภาพตาม แนวทางท่สี งั คมตอ้ งการ เดก็ ทเี่ กดิ มาจะตอ้ งไดร้ บั การอบรมสง่ั สอนใหม้ ีความเป็นคนโดยแทจ้ รงิ สามารถอยรู่ ว่ มและมี ความสมั พนั ธก์ บั คนอื่นไดอ้ ยา่ งราบรนื่ กระบวนการขดั เกลาทางสงั คมจะเรมิ่ ตน้ ตงั้ แตบ่ คุ คลถือกาํ เนิดมาในโลก ตวั แทนสาํ คญั ของสงั คมท่ีทาํ หนา้ ทใี่ นเรอื่ งนี้ ไดแ้ ก่ ครอบครวั กลมุ่ เพ่ือน โรงเรยี น มหาวทิ ยาลยั ศาสนา ตลอดจนสอ่ื มวลชนตา่ งๆ โดยทาง ตวั แทนเหลา่ นี้ บคุ คลจะไดท้ ราบคณุ ธรรม คณุ คา่ และอดุ มคติทีส่ งั คมยดึ ม่นั จะไดเ้ รยี นรูบ้ รรทดั ฐานและขนบธรรมเนยี ม ประเพณีทใี่ ชอ้ ยใู่ นสงั คม จติ ใจของบคุ คลจะไดร้ บั การขดั เกลาใหย้ ดึ ม่นั ในหลกั ศีลธรรมของสงั คม และพรอ้ มทีจ่ ะใชช้ วี ิตใน แนวทางท่สี งั คมตอ้ งการการขดั เกลาทางสงั คมเกดิ ขนึ้ โดยจงใจและไมจ่ งใจ เชน่ การอบรมส่งั สอนโดยพอ่ แมแ่ ละครูอาจารย์ โดยไมจ่ งใจ เช่น การเรยี นรูห้ รอื เอาอยา่ งการกระทาํ ของเพอ่ื นฝงู หรอื ตวั ละครในนวนยิ ายท่แี พรท่ างสอ่ื มวลชน

17 ดงั นนั้ การอบรมขดั เกลาทางสงั คม จงึ นบั วา่ เป็นกระบวนการท่สี าํ คญั ท่ีจะมสี ว่ นสาํ คญั ในการตา้ นทจุ รติ ไดอ้ ยา่ ง ย่งั ยนื และมปี ระสทิ ธิภาพ เนื่องจากการอบรมขดั เกลาทางสงั คม เป็นกระบวนการปลกู ฝังและอบรมคนในสงั คมใหเ้ รยี นรู้ เรอ่ื งราวตา่ งๆ ในสงั คม รวมทงั้ เรอื่ งการปลกู ฝังคณุ ธรรม จรยิ ธรรม อนั เป็นรากฐานที่สาํ คญั ในการตา้ นทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั อกี ทงั้ หากพิจารณาจดุ มงุ่ หมายของการอบรมขดั เกลาทางสงั คม แลว้ ก็จะพบวา่ มีสว่ นสาํ คญั อยา่ งยง่ิ ตอ่ การตอ่ ตา้ น การทจุ รติ โดยจดุ มงุ่ หมายของการอบรมขดั เกลาทางสงั คม ประกอบดว้ ย 1.ปลกู ฝังระเบียบวนิ ยั ขนั้ พืน้ ฐาน ซง่ึ ถือเป็นพืน้ ฐานทมี่ ีความสาํ คญั ในการดาํ เนนิ ชีวติ ในสงั คม ซง่ึ ระเบยี บวินยั พืน้ ฐานทมี่ นษุ ยไ์ ดร้ บั การอบรมส่งั สอนใหป้ ระพฤตปิ ฎิบตั ิตงั้ แตเ่ ดก็ เช่น กิรยิ ามารยาท การกิน การนอน การเขา้ แถว คณุ ธรรมพนื้ ฐานตา่ งๆ เป็นตน้ ดงั นนั้ หากการปลกู ฝังระเบยี บวนิ ยั ขนั้ พืน้ ฐาน โดยเฉพาะการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ใหแ้ กเ่ ดก็ และสมาชิกใหมใ่ นสงั คม อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ก็จะสง่ ผลใหก้ ารกระทาํ ทจุ รติ ตา่ งๆในสงั คมลดนอ้ ยลงหรอื หมดไป ดว้ ยเช่นกนั 2.การปลกู ฝังความมงุ่ หวงั ในชีวติ เชน่ ความมงุ่ หวงั ในอนาคตหรอื ความตอ้ งการในอนาคต ซง่ึ มกั จะ ไดร้ บั การปลกู ฝังตงั้ แตเ่ ดก็ เชน่ เดยี วกบั วินยั ขนั้ พนื้ ฐาน ซง่ึ สงั คมไทยมกั จะมกี ารปลกู ฝังความมงุ่ หวงั ใหแ้ ก่เดก็ ใหโ้ ตเป็นคนดี มี การศกึ ษา เป็นเจา้ คนนายคน เพอ่ื จะไดม้ ีชีวติ ทดี่ ี การปลกู ฝังความมงุ่ หวงั เชน่ การปลกู ฝังความมงุ่ หวงั ในการเป็นแพทย์ ก็ ตอ้ งขยนั เรยี น รวมถึงการปลกู ฝังความมงุ่ ห่ วงั ในเรอ่ื งการโตไปไมโ่ กง หรอื ไมท่ จุ รติ นนั้ เอง 3.การกาํ หนดบทบาทหนา้ ทีใ่ นสงั คมมนษุ ยจ์ ะไดร้ บั การอบรมส่งั สอนใหร้ ูจ้ กั บทบาทหนา้ ทีต่ ามวยั ของตนในลกั ษณะคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป เช่น ในวยั เดก็ ก็ตอ้ งไดร้ บั การอบรมในการแสดงบทบาทของการเป็นลกู ท่ดี ี กตญั �กู ตเวที เมือ่ โตเป็นผใู้ หญ่ ก็ตอ้ งรูจ้ กั แสดงบทบาทตามหนา้ ทีท่ ีไ่ ดร้ บั หากเป็นพอ่ ก็ตอ้ งแสดงบทบาทการเป็นพอ่ ท่ีดใี นการเลยี้ งดลู กู และท่สี าํ คญั การเป็นคนทรี่ ูจ้ กั บทบาทหนา้ ที่ในการทาํ งานภายใตก้ ฎระเบียบ กฎหมาย ไมแ่ สวงหาผลประโยชนอ์ นั ไมค่ วรได้ ตา่ งๆ หรอื เรยี กรบั ผลประโยชนต์ า่ งๆ เป็นตน้ 4.การทาํ ใหเ้ กิดความชาํ นาญหรอื ทกั ษะ จดุ มงุ่ หมายขอ้ นกี้ ็คือ เป็นการถา่ ยทอดความรู้ วชิ าการตา่ งๆ ทาํ ใหม้ นษุ ยเ์ กิดความรู้ ความชาํ นาญหรอื ทกั ษะตา่ งๆ ในการทาํ งานหรอื ประกอบอาชีพตามความถนดั และความสนใจนนั้ เอง เม่อื มคี วามรูท้ กั ษะหรอื ความชาํ นาญในการทาํ งานในการประกอบอาชีพ ก็ทาํ ใหส้ ามารถเลยี้ งดตู วั เองและครอบครวั ได้ ทกั ษะ ความชาํ นาญและความรูท้ ี่มกี ็นาํ มาซง่ึ ผลประโยชนท์ ่ถี กู ตอ้ งตามทาํ นองคลองธรรม ไมจ่ าํ เป็นตอ้ งทาํ ทจุ รติ ตา่ งๆ หรอื แสวงหา ผลประโยชนอ์ นั ใด

18 การมีส่วนรว่ มของชุมชนกบั การตา้ นทุจริต การมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชนหรอื ประชาชนในการตา้ นทจุ รติ นบั เป็นเรอื่ งทีส่ าํ คญั และจาํ เป็น เพราะจะทาํ ใหก้ ารตา้ น ทจุ รติ มปี ระสทิ ธิภาพมากขนึ้ และที่สาํ คญั ประชาชนเอง ก็จะเป็นผทู้ ่ไี ดร้ บั ผลกระทบโดยตรงตอ่ การทจุ รติ ดงั นนั้ การมีสว่ นรว่ ม ของชมุ ชนรวมทงั้ ประชาขนในการตา้ นทจุ รติ และเรอ่ื งอืน่ ๆ จงึ เป็นสาํ คญั เน่อื งจากชมุ ชน เป็นหนว่ ยพืน้ ฐานทางสงั คม เขน่ เดียวกบั เซลลเ์ ป็นหนว่ ยพืน้ ฐานของรา่ งกายเซลลท์ กุ เซลลต์ อ้ งมี ความถกู ตอ้ ง เซลลห์ ลายเซลลร์ วมกนั เป็นอวยั วะทม่ี คี วามถกู ตอ้ ง อวยั วะหลายๆ อวยั วะรวมกนั เป็นชีวติ รา่ งกายทม่ี คี วาม ถกู ตอ้ งทาํ ใหส้ ขุ ภาพดีและอายยุ นื รา่ งกายทม่ี คี วามสลบั ซบั ซอ้ นมากเรมิ่ จากการมเี ซลลเ์ ลก็ ๆ ทม่ี คี วามถกู ตอ้ ง ชมุ ชนซงึ่ เปรยี บประดจุ เซลลข์ องสงั คม การทาํ ประเทศใหถ้ กู ตอ้ งขนึ้ ตอ้ งมาจากชมุ ชนพืน้ ฐานเลก็ ๆ ซงึ่ สามารถทาํ ได้ งา่ ยกวา่ การทาํ ประเทศใหถ้ กู ตอ้ งโดยการส่งั ลงมาจากขา้ งบน(พลเดช ปิ่นประทปี . 2560 น.100) ดงั นนั้ แนวคดิ การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ และประพฤตมิ ิชอบ โดยบทบาทของภาคประชาชนเป็นอกี ช่องทางหนง่ึ ที่จะรกั ษาผลประโยชนข์ องชาติโดยอาศยั การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนภายใตพ้ นื้ ฐานความเขา้ ใจวา่ คนไทยทกุ คน ตอ้ งมสี ว่ นรบั ผดิ ชอบดแู ลอนาคตและความอยรู่ อดของชาตไิ ทยของเราในการทปี่ ระชาชนจะเขา้ มามีบทบาท ในการตรวจสอบ ความโปรง่ ใสของภาครฐั ในฐานะ ป.ป.ช.ภาคประชาชน นนั้ จงึ ตอ้ งมีหลกั การทาํ งาน ดงั นี(้ คมู่ อื ปอ้ งกนั การทจุ รติ และ ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น กระทรวงสาธารณะสขุ ม.ป.ป น.18-20) 1) ตอ้ งมคี วามมงุ่ ม่นั ตงั้ ใจทีจ่ ะอาสาเขา้ มาทาํ งานเพอ่ื ประโยชนข์ องบา้ นเมอื งจรงิ ๆน่นั คือตอ้ งมคี วามเป็นผมู้ จี ิตอา สามคี วามเสยี สละ อดทน กลา้ หาญ มีความซอื่ สตั ย์ สจุ รติ มีความโปรง่ ใส ไมใ่ ชอ้ าํ นาจ หนา้ ท่ีเพอ่ื การแสวงหาประโยชนส์ ว่ น ตนหรอื ประโยชนใ์ หแ้ ก่พรรคพวกน่นั หมายความวา่ เราตอ้ งมีภมู คิ มุ้ กนั ใหก้ บั ตวั เองโดยการดาํ เนนิ ชีวิตแบบ ปรชั ญาเศรษฐกิจ พอเพยี งของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั 2) ตอ้ งตดิ อาวธุ ทางปัญญาใหก้ บั ตวั เองตลอดเวลา น่นั คือตอ้ ง มคี วามรูท้ ีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั อาํ นาจหนา้ ที่ของภาค ประชาชนและตอ้ ง แสวงหาความรูใ้ หเ้ ทา่ ทนั เทคนคิ กลโกงการทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั ดว้ ยวิธีการ ตา่ งๆ เพ่อื เป็นหลกั ในการทาํ งานให้ ถกู ตอ้ งและเป็นที่นา่ เชื่อถือของสงั คม 3) ตอ้ งสรา้ งการมีสว่ นรว่ มของประชาชนในรูปแบบตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเป็นการสรา้ งเครอื ขา่ ยภาคประชาชนดว้ ยกนั เอง การตดิ อาวธุ ทางปัญญาใหก้ บั ประชาชนโดยการใหค้ วามรูห้ รอื การเสนอแนะชอ่ งทางในการตรวจสอบความโปรง่ ใสของการ ทาํ งานของภาครฐั การสรา้ งทศั นคติ ทถี่ กู ตอ้ งและการชีใ้ หเ้ ห็นอนั ตรายของการทจุ รติ คอรปั ช่นั 4) การเฝา้ ระวงั พืน้ ทท่ี เี่ ห็นวา่ สมุ่ เสย่ี งตอ่ การแสวงหาผลประโยชน์ การสรา้ งเครอื ขา่ ยอาสาสมคั รแจง้ ขอ้ มลู ขา่ วสารที่ ไมช่ อบมาพากลตา่ งๆ เพ่อื รกั ษาผลประโยชนข์ องชาติไดท้ นั การ

19 5) ดาํ เนินกิจกรรมตา่ งๆ เพอ่ื รณรงคต์ อ่ ตา้ นการทจุ รติ อยา่ งตอ่ เนือ่ งในชมุ ชน หมบู่ า้ น ตาํ บลและในทกุ ภาคสว่ นของ สงั คมโดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในสถานศกึ ษาทกุ ระดบั เพ่อื ใหเ้ ยาวชนไดต้ ระหนกั ถงึ ภยั รา้ ยของการทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั 6) สง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนไดเ้ ขา้ ไปมีบทบาทในการปอ้ งกนั การ ทจุ รติ การเลอื กตงั้ ทกุ ระดบั ไมว่ า่ ในระดบั ชาติหรอื ใน ระดบั ทอ้ งถ่ินเพอ่ื การคดั กรองคนดี มีความรูค้ วามสามารถมีคณุ ธรรมเขา้ มาบรหิ ารประเทศ ปอ้ งกนั คนไมด่ ีไมใ่ หเ้ ขา้ มาแสวงหา ประโยชนโ์ ดยมิชอบดงั พระราชดาํ รสั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทใี่ หส้ ง่ เสรมิ คนดใี หค้ นดไี ดป้ กครองบา้ นเมืองและ ควบคมุ คนไมด่ ไี มใ่ หม้ ีอาํ นาจไมใ่ หก้ อ่ ความเดือดรอ้ นวนุ่ วายได้ 7) สง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนไดเ้ ขา้ ไปมีบทบาทในการปอ้ งกนั การ ทจุ รติ การบรหิ ารงานขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินซง่ึ เป็นการปกครอง ทีใ่ กลต้ วั ของพน่ี อ้ งประชาชนมากทสี่ ดุ โดยการสง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชน ไดม้ ีโอกาสเขา้ รว่ มประชมุ กาํ หนดนโยบาย การบรกิ ารสาธารณะใหเ้ ป็นไป ตามความตอ้ งการของประชาชนใหป้ ระชาชนไดเ้ ขา้ รว่ มตรวจสอบความ โปรง่ ใสของการจดั ซือ้ จดั จา้ งใหป้ ระชาชนประเมนิ การทาํ งานขององคก์ าร ปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นของตน เป็นตน้ 8) จดั ใหม้ กี ารแลกเปลย่ี นและรบั ฟังความคิดเหน็ และรบั ฟังขอ้ เสนอแนะของสาธารณะชนเพ่ือนาํ มาแกไ้ ขปรบั ปรุง การทาํ งานของภาคประชาชนใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพมากยงิ่ ขนึ้ 9) จดั ใหม้ ีกิจกรรมเผยแพรช่ ื่อเสยี งเกียรตคิ ณุ ยกยอ่ งใหก้ าํ ลงั ใจและชว่ ยกนั รณรงคป์ กปอ้ งคนทีท่ าํ ความดี มีความ ซ่ือสตั ย์ สจุ รติ มคี ณุ ธรรมเพ่ือใหเ้ ป็นตวั อยา่ งท่ดี ขี องสงั คม 10) หามาตรการรองรบั การทาํ งานและคมุ้ ครองความปลอดภยั ใหแ้ ก่ ภาคประชาชนและเครอื ขา่ ย 11) ใหม้ กี ารประชาสมั พนั ธผ์ ลงานของภาคประชาชน อยา่ งตอ่ เนอ่ื งเพื่อใหป้ ระชาชนไดท้ ราบและรณรงคใ์ ห้ ประชาชนเขา้ รว่ มกนั เป็นเครอื ขา่ ยปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ประพฤติมชิ อบภาคประชาชนกนั อยา่ งกวา้ งขวางซงึ่ จะยงั ประโยชนใ์ นการปลกุ จิตสาํ นกึ ใหป้ ระชาชนดว้ ยกนั เองไดร้ ว่ มกนั รกั ษาผลประโยชนข์ องชาติ ทกั ษะการปรับกระบวนการคดิ ในการต้านทุจรติ และคุณธรรมจริยธรรมในการตา้ นทุจรติ โดยพนื้ ฐานสงั คมไทย มกี ระบวนการคิดในการตา้ นทจุ รติ อยแู่ ลว้ เพียงแตด่ ว้ ยสภาพการเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกิจ และสงั คม โดยเฉพาะวธิ ีคิดแบบใหค้ วามสาํ คญั กบั วตั ถุ ยกยอ่ งและตดั สนิ ผลสาํ เรจ็ ของคนดว้ ยวตั ถุ โดยเฉพาะการให้ ความสาํ คญั กบั การมีเงิน จึงเป็นเหตผุ ลหนง่ึ ท่กี อ่ ใหเ้ กิด การทจุ รติ ในสงั คมไทย ดงั นนั้ การปรบั กระบวนการคิดในการตา้ นทุจริต ท่ีง่ายท่ีสดุ ก็คือ ยอ้ นกลบั ไปใหค้ วามสาํ คญั กบั แนวพืน้ ฐานที่เป็น รากฐานของสงั คมไทย ไดแ้ ก่ แนวคดิ ดา้ นจรยิ ธรรม คณุ ธรรม (เกษม วฒั นชยั 2555 น.7) หากทกุ คนยดึ หม่นั ในคณุ ธรรม การ ทจุ รติ คงจะลดลงหรอื หมดไปจากสงั คมไทย

20 จรยิ ธรรม หมายถึง หลกั ความประพฤติ พฤติกรรม การแสดง ออกที่ดีงาม(สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ ป.อ.ปยตุ โต 2561 น.63) แนวทางความประพฤติของบคุ คลในสงั คมหนง่ึ ๆ วา่ พฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมท่ีควรงดเวน้ โดยพิจารณาตาม กฎระเบยี บ ขอบเขต ความเขือ่ ของแตล่ ะสงั คม เพ่อื ใหบ้ คุ คลในสงั คมสามารถอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งรม่ เย็น คณุ ธรรม หมายถงึ ภาวะจิตใจที่เมือ่ สาํ แดงความประพฤติออกมาแลว้ สงั คมตดั สนิ ออกมาวา่ เป็นจริยะที่ดี จริง งาม ถา้ ใจเราคิดดี คิดจรงิ และคิดงาม และประพฤตอิ อกมาดี จริง งาม แสดงว่าคนๆ นนั้ มีคณุ ธรรม แต่ถา้ ใจคิดช่วั คิดไม่จรงิ (เทจ็ ) คิดไม่งาม ก็จะมีความประพฤติช่วั เท็จและไม่งาม ซ่ึงเราก็จะบอกว่าคนๆ นนั้ ไม่มีคณุ ธรรม ดงั นนั้ สงั คมจึงตอ้ งสรา้ งเครอื่ ง ตดั สนิ วา่ อะไรคอื ดี จรงิ และงาม ซงึ่ เครอ่ื งตดั สนิ คณุ ธรรมหรอื เครอ่ื งฝึกฝนคณุ ธรรมนนั้ มหี ลายอยา่ ง คอื 1. ศาสนาธรรม 2. นติ ิธรรม 3. จรยิ ธรรม 4. ธรรมาภิบาลในองคก์ ร 5. ระบบคณุ ธรรมสในครอบครวั 6. ระบบความเชื่อ/คา่ นิยม/ธรรมเนยี มของสงั คม 7. บคุ คลตวั อยา่ งในสงั คม 1. ศาสนาธรรม คือ หลกั ศาสนาทกุ ศาสนา สงั คมไทยเป็นสงั คมพหศุ าสตรแ์ ละมเี สรภี าพมากในการนบั ถือ ศาสนา ขณะนีก้ รมการศาสนารบั รองอยู่ 5 ศาสนา คือ พทุ ธ ครสิ ต์ อิสลาม ซิกข์ และพราหมณฮ์ ินดู คนเรา มีเสรภี าพท่ีจะเช่ือ และศรทั ธา ซึ่งแต่ละศาสนาก็มีอดุ มการณแ์ ละพิธีกรรมท่ีแตกตา่ งกนั แต่ท่ีทกุ ศาสนามีเหมือนกนั คือ ศาสนธรรม หรือคาํ สอน ของทกุ ศาสนา ซง่ึ มหี ลกั การใหญ่ๆ อยู่ 3 ขอ้ คือ 1.1 ความสตั ย์ ความจรงิ ไมม่ ีศาสนาใดสอนใหค้ นพดู โกหก หลอกลวง คดโกง แตส่ อนใหพ้ ดู ความจรงิ ทงั้ นนั้ 1.2 ศกั ดศิ์ รคี วามเป็นคน ซง่ึ จะแปลงเป็นอะไรก็ได้ เช่น ถา้ แปลงตามตะวนั ตก จะหมายถงึ สทิ ธิมนษุ ยชน ถา้ ทางตะวนั ออกก็นา่ จะรวมสทิ ธิสาธารณะเขา้ ไปดว้ ยเพราะมคี วามสาํ คญั และบางครงั้ สทิ ธิอยา่ งเดยี วไมไ่ ดต้ อ้ งรวมหนา้ ทคี่ วาม รบั ผดิ ชอบของปัจเจก และหนา้ ทคี่ วามรบั ผิดชอบของสาธารณชนดว้ ย เพราะถา้ เนน้ เฉพาะสทิ ธิสว่ นบคุ คลอยา่ งเดียว โลกจะไป ไมร่ อดเพราะจะทาํ ใหเ้ กิดการแกง่ แยง่ กนั แตถ่ า้ จะใหโ้ ลกอยรู่ อดไปตลอดตอ้ งรวมใหค้ รบทงั้ 4 ดา้ น คอื สทิ ธิสว่ นบคุ คล หนา้ ที่ ความรบั ผดิ ชอบสว่ นบคุ คล สทิ ธิสาธารณะ และหนา้ ทคี่ วามรบั ผิดชอบของสาธารณะตอ้ งมีครบทงั้ หมด ชมุ ชน สงั คม และ ประเทศชาตจิ งึ จะอยไู่ ด้ 1.3 ความรกั ความเมตตา ทกุ คมั ภรี ก์ ลา่ วถงึ เรอื่ งความรกั ความเมตตาในศาสนาพทุ ธ คือพรหมวิหารธรรม ศาสนาครสิ ต์ คอื ความรกั ในเพ่อื น มนษุ ย์ สว่ นศาสนาอิสลาม ซกิ ข์ พราหมณฮ์ ินดู กม็ ีเช่นกนั แตเ่ สยี ดาย ไมค่ อ่ ยไดย้ กมาเป็นหลกั เกณฑม์ ากนกั เพราะถกู ผลประโยชนด์ า้ นอ่ืนมาเบยี ดบงั เรอื่ งความรกั ความเมตตาตอ่ กนั โดยเฉพาะ คนตา่ งศาสนา เราจึงตอ้ งชว่ ยทาํ ใหท้ กุ คนมคี วามรกั กนั ไดแ้ มจ้ ะตา่ งศาสนาก็ตามที และน่ีก็เป็นเสรภี าพขนั้ พนื้ ฐานตาม รฐั ธรรมนญู และตามหลกั ของศาสนาทกุ ศาสนาและจะทาํ อยา่ งไรจงึ จะทาํ ใหส้ งั คมท่ีอยรู่ วมกนั หลายศาสนา อยรู่ ว่ มกนั อยา่ ง

21 สนั ติสขุ ได้ คาํ ตอบคอื เราตอ้ งใหเ้ สรภี าพในการนบั ถือศาสนาตามท่รี ฐั ธรรมนญู วา่ ไว้ แตท่ ส่ี าํ คญั คอื ศาสนามเี กณฑใ์ นการ ประเมนิ ความดคี วามจรงิ และความงามเสมอ ซง่ึ ความจรงิ แลว้ ก็เป็นเกณฑห์ ลกั น่นั เอง 2. หลกั นติ ิธรรม หรอื หลกั กฎหมาย ท่ที กุ ประเทศเมือ่ เรม่ิ สรา้ งประเทศก็ตอ้ งออกกฎหมายเพ่อื เป็นเครอ่ื ง ประกนั ความม่นั คงของประเทศ ทกุ คนตอ้ งอยภู่ ายใตก้ ฎหมาย และทกุ คนตอ้ งเคารพกฎหมายอนั เป็นมาตรฐานเดียวกนั ประเทศจงึ จะอยรู่ อดได้ ประเทศใดถา้ มปี ระชาชนอยเู่ หนือกฎหมายก็อยไู่ มไ่ ด้ ในทนี่ หี้ มายถงึ ศาล ศาลซงึ่ มีหนา้ ทตี่ ดั สนิ ไปตาม ความศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ของกฎหมาย ทกุ คนตอ้ งเคารพการตดั สนิ ของศาล ไมว่ า่ จะพอใจหรอื ไมพ่ อใจก็ตาม นี่คือสงิ่ ทตี่ อ้ งเรยี นรู้ บาง ประเทศเรยี นรูช้ า้ บางประเทศถือเป็นเรอื่ งใหญ่ เป็นเรอ่ื งสาํ คญั โดยเฉพาะสอื่ มวลชนกต็ อ้ งใหค้ วามสาํ คญั ในเรอื่ งนี้ กฎหมาย ออกโดยผแู้ ทนของราษฎรในสภา เม่ือออกกฎหมายมาแลว้ ตอ้ งมคี วามศกั ดสิ์ ทิ ธิ์โดยเฉพาะกฎหมายรฐั ธรรมนญู ซง่ึ ผนู้ าํ กฎหมายไปใชก้ ็มหี ลายฝ่าย แตผ่ ทู้ ี่จะตดั สนิ ความถกู ตอ้ งของกฎหมายตอ้ งเป็นศาล ดงั นนั้ คาํ ตดั สนิ ของศาลทกุ คนตอ้ งเชื่อฟัง ไมอ่ ยา่ งนนั้ ก็อยไู่ มไ่ ด้ ในประเทศตา่ งๆ กวา่ สองรอ้ ยประเทศท่วั โลกนนั้ บางประเทศก็คนุ้ ชินกบั การอยกู่ บั กฎหมายมาเนิ่นนาน มี วฒั นธรรมของการเคารพกฎหมายทช่ี ดั เจน และเคารพการตดั สนิ ของศาลอยา่ งม่นั คงมาก ซง่ึ แมจ้ ะมคี วามขดั แยง้ อยา่ งไร เขาก็ สามารถจดั การตกลงความขดั แยง้ นนั้ โดยอาศยั กฎหมายและศาล สาํ หรบั หลกั นิติธรรมนจี้ ะบอกไดว้ า่ ถกู หรอื ผดิ จรงิ หรอื เทจ็ แตจ่ ะไมค่ อ่ ยบอกเรอื่ งความดงี ามมากนกั 3. หลกั จรยิ ธรรม คือ หลกั ของความประพฤติ เป็นหลกั ที่ออกโดยฆราวาสไมเ่ ก่ยี วกบั ศาสนา ไมเ่ กยี่ วกบั กฎหมาย ไมไ่ ดอ้ อกโดยรฐั สภา เป็นกฎเกณฑซ์ ง่ึ ออกสาํ หรบั บคุ คลท่วั ไปก็ได้ หรอื ออกสาํ หรบั แตล่ ะวชิ าชีพ วตั ถปุ ระสงคก์ เ็ พื่อใหส้ มาชิก ในวิชาชีพนนั้ ๆ ถือปฏบิ ตั ิ แลว้ เกิดความดงี ามในวชิ าชีพนนั้ เชน่ จรยิ ธรรมของพยาบาล หมอ ตาํ รวจ ทหาร นกั การเมอื ง ถา้ ทกุ คนปฏบิ ตั ติ ามหลกั จรยิ ธรรม ประชาชนก็จะเกิดความเช่ือม่นั นบั ถือ และไวว้ างใจ ถา้ ไมม่ หี ลกั จรยิ ธรรม คนในอาชีพนนั้ ก็จะ ประพฤติตวั ออกนอกลนู่ อกทาง ทาํ ใหศ้ รทั ธาท่คี นมตี อ่ อาชีพนนั้ ๆ เสอ่ื มลง เช่น หากประเทศใดมตี าํ รวจตรงไปตรงมา ถือ กฎหมายเป็นใหญ่ ไมท่ าํ ตวั แบบลบู หนา้ ปะจมกู ไมย่ อมอยใู่ ตอ้ ิทธิพลของใคร ทกุ คนก็จะยอมรบั ในอาชีพตาํ รวจ 4. ระบบธรรมาภิบาลในองคก์ ร หลกั ธรรมาภิบาล (Good Governance) ใชไ้ ดก้ บั องคก์ รในภาครฐั รฐั วิสาหกจิ องคก์ ร NGO ก็ตอ้ งมเี หมือนกนั มีหลกั งา่ ยๆ วา่ เป็นหลกั ที่ออกแบบเพอื่ ใหอ้ งคก์ ารนนั้ ๆ บรหิ ารแลว้ เกิดประสทิ ธิภาพและ ประสทิ ธิผลสงู สดุ ตามเปา้ หมายท่ีวางไว้ (Goal) โดยมคี วามรบั ผิดชอบ (Responsibility) และมคี วามรบั ผิดรบั ชอบ (Accountability) ความรบั ผดิ ชอบ (Responsibility) หมายถึง หนา้ ทีท่ กี าํ หนดเป็นพนั ธสญั ญาท่ีคนในองคก์ รใหไ้ วก้ บั องคก์ รนนั้ ๆ สว่ น ความรบั ผดิ รบั ชอบ(Accountability) หมายถงึ พนั ธสญั ญาทว่ี า่ เม่อื ทาํ งานใหอ้ งคก์ รแลว้ ถา้ เกิดผลดกี ็รบั ชอบ ถา้ เกิดผลเสยี หรอื ผลรา้ ยก็ตอ้ งรบั ผดิ

22 5. ระบบคณุ ธรรมในครอบครวั เป็นหลกั คาํ สอนที่เป็นเรอื่ งใกลต้ วั ทสี่ ดุ และสาํ คญั มาก เป็นคาํ สอนที่รุน่ ป่ ยู า่ ตายายได้ ปฏิบตั ิมาแลว้ เหน็ คณุ คา่ เมอ่ื เหน็ คณุ คา่ ก็อยากใหล้ กู หลานไดป้ ฏิบตั ติ ามหลกั ความดี ความจรงิ ความงามนตี้ อ่ ไปจงึ นาํ มา ถ่ายทอดใหแ้ กล่ กู หลาน ในสงั คมตะวนั ตกซงึ่ เนน้ การใชช้ วี ิตแบบปัจเจกบคุ คลนยิ ม ใครกส็ อนใครไมไ่ ด้ เมอื่ จรญิ เตบิ โตจนถงึ วยั 18 ปีแลว้ มกั จะมีแนวคดิ วา่ พอ่ แมไ่ มต่ อ้ งมาสอนฉนั ฉนั เป็นตวั ของฉนั เองแลว้ ซงึ่ ผิดกบั ทางสงั คมตะวนั ออกของเราทย่ี งั มีความเออื้ อาทร กนั ตราบสนิ้ ลมหายใจ และเรายงั เออื้ เฟื้อเผื่อแผต่ อ่ กนั ไปตลอดชีวติ และเรายงั มชี ดุ หลกั ปฏิบตั ิทล่ี กู ตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ พอ่ แม่ ป่ ยู า่ ตายาย หรอื พ่ีกบั นอ้ งควรปฏิบตั ติ อ่ กนั ซง่ึ ทางหลกั ในศาสนาพทุ ธเรยี กวา่ “ทศิ 6” (หมายถึง บคุ คลประเภทตา่ งๆ ทเี่ ราตอ้ ง เก่ียวขอ้ งสมั พนั ธ์ ดจุ ทศิ ทอี่ ยรู่ อบตวั จดั เป็น 6 ทิศ ดงั นี้ 1. ปรุ ตั ถิมทสิ ทศิ เบอื้ งหนา้ ไดแ้ ก่ บดิ า มารดา 2. ทกั ขณิ ทิส ทศิ เบอื้ ง ขวา ไดแ้ ก่ ครูอาจารย์ 3.ปัจฉิมทิส ทศิ เบือ้ งหลงั ไดแ้ ก่ สามีภรรยา 4. อตุ ตรทสิ ทศิ เบือ้ งซา้ ยไดแ้ ก่ มิตรสหาย 5. อปุ รมิ ทสิ ทิศ เบือ้ งบน ไดแ้ ก่ พระสงฆ์ สมณพราหมณ์ 6. เหฏฐิมทิส ทศิ เบอื้ งลา่ ง ไดแ้ ก่ ลกู จา้ งกบั นายจา้ ง) 6.ระบบความเชื่อ/คา่ นยิ ม/ธรรมเนียมของสงั คม เป็นชดุ ปฏบิ ตั ธิ รรมเนียมปฏิบตั ทิ เ่ี ป็นทยี่ อมรบั ในหมบู่ า้ น ชมุ ชน ตาํ บล หรอื เป็นวฒั นธรรมของบรษิ ัท หรอื องคก์ รตา่ งๆ เม่ืออยกู่ นั ไปนานๆ ก็เกิดการตกผลกึ เป็นระเบียบปฏิบตั ิ เป็นระบบความ เช่ือท่ีทาํ จนเคยชิน ซง่ึ ไมม่ ีรูปแบบท่ีชดั เจน เช่น บางหมบู่ า้ นสกปรกเพราะตา่ งคนตา่ งอยไู่ มอ่ าทรรอ้ นใจซงึ่ กนั และกนั มีขยะเขา ก็ไมร่ ูส้ กึ เลยวา่ ขยะพวกนนั้ เหมน็ แตบ่ างหมบู่ า้ นสะอาดปราศจากขยะ เพราะคนในหมบู่ า้ นมคี วามสามคั คกี นั มแี ตค่ นชว่ ยกนั คดิ วา่ ทาํ อยา่ งไรจงึ จะไมม่ ีขยะเรย่ี ราด สง่ิ นีไ้ มม่ รี ูปแบบทช่ี ดั เจน แตเ่ มอ่ื เปรยี บเทยี บแลว้ ก็จะเห็นไดช้ ดั ทงั้ นกี้ ็เป็นเพราะการ ปฏบิ ตั ิตอ่ ๆ กนั มาจนเกิดความเคยชิน 7. บคุ คลตวั อยา่ งในสงั คม เป็นเรอื่ งจาํ เป็นมากสาํ หรบั เด็กและเยาวชนหากมตี วั อยา่ งทดี่ ีใหซ้ มึ ซบั ก็เป็นประโยชนแ์ ก่ เด็กและเยาวชน แตถ่ า้ เป็นตวั อยา่ งทชี่ ่วั รา้ ยเดก็ และเยาวชนก็จะไดต้ วั อยา่ งทไ่ี มด่ ไี ป โดยเฉพาะเรอ่ื งการทจุ รติ ซง่ึ เคยมกี ารทาํ โพลลส์ าํ รวจ เกี่ยวกบั ทศั นคตขิ องเยาวชนไทยทม่ี ตี อ่ การคอรปั ช่นั ของนกั การเมอื ง ผลปรากฏวา่ เยาวชนไทยถงึ รอ้ ยละ 80 ยอมรบั การคอรปั ช่นั ของนกั การเมอื งได้ ซง่ึ เป็นเรอ่ื งนา่ วติ กอยา่ งยิง่ หากคนในประเทศคดิ วา่ เลวแตร่ วยไมเ่ ป็นไร ดงั นนั้ จงึ จาํ เป็นอยา่ งยิง่ ทตี่ อ้ งชว่ ยกนั ปรบั ทศั นคตินีโ้ ดยเรง่ ดว่ น การยบั ยง้ั และการป้องกนั การทุจรติ การยบั ยงั้ และการปอ้ งกนั การทจุ รติ ทไี่ ดผ้ ลทสี่ ดุ คอื แกไ้ ขทรี่ ะดบั ตวั บคุ คล ใหส้ ามารถมรี ะบบคดิ ทีส่ ามารถแยกแยะ ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตวั กบั ประโยขนส์ ว่ นรวม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในกลมุ่ “เจา้ หนา้ ท่ีของรฐั ” ซง่ึ มอี าํ นาจหนา้ ท่ที ี่จะตอ้ งกระทาํ การหรอื ใชด้ ลุ ยพินจิ สว่ นตนเขา้ มามีสว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจ ยอ่ มตอ้ งเกิดการขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนหรอื ผลประโยชน์ สว่ นรวม โดยระบบคิดที่เรยี กวา่ “ระบบคดิ ฐานสบิ (Analog) กบั “ระบบคิด ฐานสอง (Digital) ซง่ึ เป็นระบบคิดท่นี าํ มา ประยกุ ตใ์ ชแ้ ละเปรยี บเทยี บ เพอ่ื ใหเ้ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั หรอื ผทู้ ีม่ ีโอกาสทจ่ี ะทจุ รติ นาํ ไปเป็นหลกั คิด ในการปฎิบตั ิและแยกแยะ ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม ไดอ้ ยา่ งเด็ดขาด

23 ระบบคดิ ฐานสอง (Digital) ความหมาย ระบบคิด “ฐานสอง(Digital)” เป็นระบบการคดิ วิเคราะหข์ อ้ มลู ที่ สามารถเลอื กได้ เพียง 2 ทางเทา่ นนั้ คือ 0 (ศนู ย)์ กบั 1 (หนงึ่ ) และอาจหมายถึงโอกาส ทีจ่ ะเลอื กไดเ้ พยี ง 2 ทาง เช่น ใชก้ บั ไม่ ใช,้ จรงิ กบั เทจ็ , ทาํ ไดก้ บั ทาํ ไมไ่ ด,้ ประโยชน์ สว่ นตน กบั ประโยชนส์ ว่ นรวม เป็นตน้ จงึ เหมาะกบั การ นาํ มาเปรยี บเทยี บกบั การปฏบิ ตั งิ านของเจา้ หนา้ ที่ของรฐั ทีต่ อ้ งสามารถแยกเรอ่ื งตาํ แหนง่ หนา้ ทีก่ บั เรอ่ื งสว่ นตวั ออกจากกนั ไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด และไม่ กระทาํ การที่ เป็นการขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม “การปฏบิ ตั ิงานแบบใชร้ ะบบคดิ ฐานสอง (Digital)” คือ การทเ่ี จา้ หนา้ ทขี่ องรฐั มรี ะบบการคิดท่ี สามารถแยกเรอื่ ง ตาํ แหนง่ หนา้ ทีก่ บั เรอ่ื งสว่ นตนออกจากกนั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน วา่ สง่ิ ไหนถกู สง่ิ ไหนผดิ สง่ิ ไหนทาํ ไดส้ ง่ิ ไหนทาํ ไมไ่ ด้ สงิ่ ไหนคือ ประโยชนส์ ว่ นตน สงิ่ ไหน คือประโยชนส์ ว่ นรวม ไมน่ าํ มาปะปนกนั ไมน่ าํ บคุ ลากร หรอื ทรพั ยส์ นิ ของราชการมาใชเ้ พอื่ ประโยชนส์ ว่ นตน ไมเ่ บยี ดบงั ราชการ เห็นแกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวมหรอื ของ หนว่ ยงานเหนือกวา่ ประโยชนข์ องสว่ นตน เครอื ญาติ และพวกพอ้ ง ไมแ่ สวงหาประโยชนจ์ ากตาํ แหนง่ หนา้ ที่ ราชการ ไมร่ บั ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ ่ืนใดจากการปฏบิ ตั ิหนา้ ท่กี รณี เกิดการขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตน และประโยชนส์ ว่ นรวม ก็จะยดึ ประโยชนส์ ว่ นรวม เป็นหลกั ระบบคิดฐานสบิ (Analog) ระบบคดิ “ฐานสบิ (Analog)” เป็นระบบการคิดวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทม่ี ตี วั เลขหลายตวั และ อาจ หมายถงึ โอกาสทจี่ ะเลอื กไดห้ ลายทาง เกิดความคดิ ทหี่ ลากหลาย ซบั ซอ้ น หากน ามาเปรยี บเทียบกบั การ ปฏบิ ตั งิ านของ เจา้ หนา้ ท่ขี องรฐั จะท าใหเ้ จา้ หนา้ ท่ี ของรฐั ตอ้ งคดิ เยอะ ตอ้ งใช้ ดลุ ยพนิ จิ เยอะ อาจจะน า ประโยชนส์ ว่ นตนและ ประโยชน์ สว่ นรวม มาปะปนกนั ไดแ้ ยกประโยชน์ สว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมออก จากกนั ไมไ่ ด้ “การปฏบิ ตั งิ านแบบใชร้ ะบบคิดฐาน สบิ (Analog)” คือ การทเี่ จา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ยงั มรี ะบบการคดิ ทีย่ งั แยก เรอื่ งต าแหนง่ หนา้ ที่กบั เรอื่ งสว่ นตนออกจากกนั ไมไ่ ดน้ า ประโยชนส์ วนบคุ คลและประโยชนส์ ว่ นรวมมาปะปน กนั ไปหมด แยกแยะไมอ่ อกวา่ สง่ิ ไหนคอื ประโยชนส์ ว่ นบคุ คลสง่ิ ไหนคอื ประโยชนส์ ว่ นรวม น าบคุ ลากรหรอื ทรพั ยส์ นิ ของราชการมาใชเ้ พอื่ ประโยชนส์ ว่ นตน เบยี ดบงั ราชการ เห็นแก่ประโยชนส์ ว่ น ตน เครอื ญาติ หรอื พวกพอ้ ง เหนือกวา่ ประโยชนข์ องสว่ นรวมหรอื ของหนว่ ยงาน จะคอยแสวงหาประโยชนจ์ ากต าแหนง่ หนา้ ที่ ราชการ กรณีเกิดการขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม จะยดึ ประโยชนส์ ว่ นตนเป็นหลกั การยบั ยง้ั และการป้องกนั การทุจรติ ในระดับโลก การทจุ รติ คอรร์ ปั ช่นั เป็นปัญหาทที่ กุ สงั คมในโลก มคี วามตน่ื ตวั ตอ้ งการแกไ้ ข ปอ้ งกนั หรอื ยบั ยงั้ ไมใ่ หเ้ กิดการทจุ รติ ขนึ้ โดยในระดบั สงั คมโลก จะพบวา่ องคก์ รระหวา่ งประเทศตา่ งๆ ไดแ้ สดงบทบาทในการปอ้ งกนั การทจุ รติ เชน่ (Fritz Heimann and Francois Vincke 2008 p.209-216) 1. องคก์ ารสหประชาชาติ (United Nation) 2. องคก์ ารเพ่อื ความรว่ มมอื และพฒั นาทางเศรษฐกิจ (OECD)

24 1. องคก์ ารสหประชาชาติ (United Nation) ไดต้ ระหนกั ถงึ ปัญหาการทจุ รติ และไดแ้ สดงบทบาทในการตอ่ ตา้ นการ ทจุ รติ โดยในท่ีประชมุ สมชั ชาแหง่ สหประชาชาติไดต้ ระหนกั ถงึ ความรุนแรงของปัญหาและภยั คกุ คามอนั เกิดจากการทจุ รติ ที่ สง่ ผลตอ่ เสถียรภาพ และความม่นั คงของสงั คม จงึ ไดต้ งั้ คณะทาํ งานเฉพาะกิจขนึ้ เพ่ือการเจรจาจดั ทาํ สง่ิ ท่เี รยี กวา่ “อนสุ ญั ญาสหประชาชาติวา่ ดว้ ยการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ” หรอื United Nations Convention Against Corruption (UNCAC) ในการประชมุ สมชั ชา แหง่ สหประชาชาติ เม่อื วนั ท่ี 31 ตลุ าคม 2546 (ค.ศ.2003) และอนสุ ญั ญา ดงั กลา่ วมผี ลบงั คบั ใชต้ งั้ แตว่ นั ที่ 14 ธนั วาคม 2548 เป็นตน้ มา ปัจจบุ นั มรี ฐั ภาครี วม 186 ประเทศ (ขอ้ มลู ณ.ค.ศ.2018) ซง่ึ ประเทศไทยลงนามเป็นภาคีในอนสุ ญั ญา UNCAC ตงั้ แตว่ นั ที่ 9 ธนั วาคม ค.ศ.2003 (พ.ศ.2546) และใหส้ ตั ยาบนั เขา้ เป็นภาคเี มอ่ื วนั ท่ี 1 มีนาคม ค.ศ.2011 (พ.ศ.2554) อนสุ ญั ญาฉบบั นี้ ถือเป็นกฎหมายระหวา่ งประเทศดา้ นการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ในระดบั นานาชาตฉิ บบั แรก โดยสาระสาํ คญั ของอนสุ ญั ญาฉบบั นี้ แบง่ ออกเป็น 8 หมวด โดยแตล่ ะหมวดมสี าระสาํ คญั ดงั นี้ หมวด 1 บทบญั ญตั ิท่วั ไป กลา่ วถงึ ความมงุ่ ประสงคข์ องอนสุ ญั ญา บทนิยาม ขอบเขตการใชบ้ งั คบั ของอนสุ ญั ญาและหลกั การเคารพอธิปไตย แหง่ รฐั หมวด 2 มาตรการปอ้ งกนั การทจุ รติ กลา่ วถงึ พนั ธกรณีของรฐั ภาคที ่ีจะตอ้ งจดั ทาํ นโยบายปอ้ งกนั การทจุ รติ ทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพการกาํ หนดมาตรการตา่ ง ๆ ที่เก่ียวขอ้ งทงั้ ในภาครฐั และเอกชนตงั้ แตก่ ารจดั ตงั้ องคก์ รพิเศษเพอ่ื การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ นโยบายและแนวทางปฏบิ ตั ิของ เจา้ หนา้ ทีใ่ นการสง่ เสรมิ ธรรมาภบิ าลหลกั นิติธรรม ความโปรง่ ใสตรวจสอบได้ หมวด 3 ความผิดทางอาญาและการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย กาํ หนดใหก้ ารกระทาํ บางอยา่ งทีไ่ มไ่ ดก้ าํ หนดไวใ้ นกฎหมายภายในของรฐั ภาคเี ป็นความผดิ ทางอาญา เพอ่ื ให้ ครอบคลมุ การทจุ รติ ไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางมากยงิ่ ขนึ้ ซงึ่ การกระทาํ ความผิดอาญาบางประการภายใตข้ อ้ บทแหง่ อนสุ ญั ญานี้ กาํ หนดใหร้ ฐั ภาคตี อ้ งกาํ หนดใหเ้ ป็นฐานความผดิ เพิ่มเตมิ หมวด 4 ความรว่ มมอื ระหวา่ งประเทศ กาํ หนดใหร้ ฐั ภาคกี าํ หนดรูปแบบความรว่ มมอื ทางกฎหมายระหวา่ งกนั ในการรวบรวมและนาํ สง่ พยานหลกั ฐาน การ สง่ ผรู้ า้ ยขา้ มแดน การติดตาม อายดั ยดึ และรบิ ทรพั ยส์ นิ ท่ีไดจ้ ากการทจุ รติ หมวด 5 การตดิ ตามทรพั ยส์ นิ คืน กลา่ วถงึ ความรว่ มมอื และการใหค้ วามชว่ ยเหลอื ระหวา่ งรฐั ภาคใี นการคนื ทรพั ยส์ นิ ทีไ่ ดม้ าจากการกระทาํ ความผดิ ใหแ้ กร่ ฐั ภาคที ร่ี อ้ งขอ ตลอดจนพจิ ารณาถงึ ผลประโยชนห์ รอื สว่ นไดเ้ สยี ของผเู้ สยี หายและเจา้ ของโดยชอบดว้ ยกฎหมาย ซงึ่ ทรพั ยส์ นิ ทไ่ี ดม้ าจากการกระทาํ ความผดิ หมวด 6 ความชว่ ยเหลอื ทางวชิ าการและการแลกเปลยี่ นขอ้ มลู ขา่ วสาร

25 กลา่ วถงึ มาตรการในการฝึกอบรม วจิ ยั และการแลกเปลยี่ นขอ้ มลู รวมทงั้ การใหค้ วามชว่ ยเหลอื แลกเปลยี่ น ประสบการณร์ ะหวา่ งรฐั ภาคีและองคก์ ารระหวา่ งประเทศทเี่ กี่ยวขอ้ ง หมวด 7 กลไกในการปฏบิ ตั ิตามอนสุ ญั ญา กาํ หนดใหม้ ที ่ีประชมุ ใหญ่ของรฐั ภาคอี นสุ ญั ญา การประชมุ ของรฐั ภาคี รวมทงั้ บทบาทหนา้ ทข่ี องฝ่ายเลขานกุ ารในท่ี ประชมุ ใหญ่ของรฐั ภาคี หมวด 8 บทบญั ญตั ิสดุ ทา้ ย กลา่ วถงึ การปฏบิ ตั ติ ามอนสุ ญั ญา การระงบั ขอ้ พิพาท การลงนาม การใหส้ ตั ยาบนั การยอมรบั การใหค้ วามเหน็ ชอบ และการภาคยานวุ ตั ิ (คอื วิธีการเขา้ รว่ มเป็นภาคสี นธิสญั ญาในภายหลงั หลงั จากท่ีสนธิสญั ญามีผลบงั คบั ใชแ้ ลว้ โดยรฐั ยอมรบั ผกู พนั ตามสทิ ธิและหนา้ ท่ตี ามที่กาํ หนดไวใ้ นสนธิสญั ญานบั แตม่ ีการภาคยานวุ ตั )ิ การมีผลใชบ้ งั คบั การแกไ้ ขเพ่มิ เตมิ การบอกเลกิ ผเู้ ก็บรกั ษาและภาษาทใ่ี ชใ้ นการจดั ทาํ อนสุ ญั ญา 2. องคก์ ารเพ่อื ความรว่ มมือและพฒั นาทางเศรษฐกิจ (OECD) องคก์ ารเพือ่ เศรษฐกิจความรว่ มมอื และการพฒั นา หรอื Organization for Economic Co-operation and Development(OECD) ไดท้ าํ อนสุ ญั ญา Convention on Combating Bribery of Foreign Public Officials in International Business Transactions มีผลใชบ้ งั คบั เม่อื ปี ค.ศ. 1999 ปัจจบุ นั มปี ระเทศทเี่ ป็นภาคีอนสุ ญั ญา 38 ประเทศ (ขอ้ มลู อาจมกี ารเปลย่ี นแปลง) คอื ประเทศสมาชิก OECD ทงั้ หมด พรอ้ มทงั้ อาเจนตนิ า บราซิล บลั เกเรยี และแอฟรกิ าใต้ โดยเป็นอนสุ ญั ญาที่มผี ลผกู พนั ตามกฎหมายของประเทศสมาชิก โดยบงั คบั ใหร้ ฐั สมาชิก ตรากฎหมายใหผ้ ใู้ ห้ สนิ บนแก่เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ตา่ งประเทศ(foreign public official) มีความผดิ ทางอาญา ซงึ่ เป็นเครอื่ งมอื การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ระดบั สากลฉบบั แรกและฉบบั เดยี ว ที่เนน้ เอาผิดกบั ผใู้ หส้ นิ บนซง่ึ เป็นการทจุ รติ ในเชิงรุก ในขณะทผ่ี รู้ บั สนิ บน (passive bribery) ซง่ึ เป็นการทจุ รติ ในเชิงรบั จะอยนู่ อกเหนือการบงั คบั ใชข้ องอนสุ ญั ญานี้ นอกจากความผดิ ทางอาญาแลว้ อนสุ ญั ญานีไ้ ดก้ าํ หนดมาตรการเก่ียวกบั บญั ชี (accounting) โดยตอ้ งกาํ หนด กฎหมายใหม้ ีการเก็บรกั ษาสมดุ บญั ชีเเละบนั ทกึ ตา่ งๆ (maintenance of books and records) การเปิดเผยเอกสารบญั ชี ทางการเงิน (financial statement disclosures) เเละ มาตรฐานการจดั ทาเเละตรวจสอบบญั ชี (accounting and auditing standards) มีวตั ถปุ ระสงคท์ ่จี ะปอ้ งกนั มใิ หม้ ีบญั ชีผี (off-the-books account) หรอื การทาํ หลกั ฐานทางธุรกิจที่ ไมต่ รงกบั ความเป็นจรงิ เเละการบนั ทกึ หลกั ฐานคา่ ใชจ้ า่ ยท่ีไมม่ ีจรงิ (recording of non-existing expenditures) รวมทงั้ การใชเ้ อกสารปลอม (use of false documents) เพ่ือติดสนิ บนเจา้ หนา้ ท่ขี องรฐั บาลตา่ งประเทศหรอื เพ่อื ปิดบงั ซอ่ นเรน้ การ ใหส้ นิ บนดงั กลา่ ว

26 การประยุกตห์ ลกั เศรษฐกจิ พอเพียงในการต้านทุจริต หลกั เศรษฐกิจพอเพียง เป็นพระราชดาํ รสั ของพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภมู ิพลอดลุ ยเดชนมหาราช (รชั กาลที่ 9) ในพธิ ิพระราชทานปรญิ ญาบตั รของมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ความวา่ “…ในการพฒั นาประเทศนนั้ จาํ เป็นตอ้ งทาํ ตามลาํ ดบั ขนั้ เรม่ิ ดว้ ยการ สรา้ งพนื้ ฐาน คอื ความมกี ินมีใชข้ องประชาชน ก่อน ดว้ ยวธิ ีการที่ ประหยดั ระมดั ระวงั แตถ่ กู ตอ้ งตามหลกั วิชา เมอ่ื พืน้ ฐานเกิดขนึ้ ม่นั คง พอควรแลว้ จงึ คอ่ ยสรา้ งเสรมิ ความ เจรญิ ขนั้ ทีส่ งู ขนึ้ ตามลาํ ดบั ตอ่ ไป การถือหลกั ทจี่ ะสง่ เสรมิ ความเจรญิ ใหค้ อ่ ยเป็นคอ่ ยไปตามลาํ ดบั ... ดว้ ยความรอบคอบ ระมดั ระวงั และประหยดั นนั้ ก็เพอ่ื ปอ้ งกนั ความ ผดิ พลาดลม้ เหลวและเพ่ือใหบ้ รรลผุ ลสาํ เรจ็ ไดแ้ นน่ อนบรบิ รู ณ.์ ..” (พระบรมราโชวาทในพธิ ีพระราชทานปรญิ ญาบตั ร ของ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ 19 กรกฎาคม 2517) พระราชดาํ รสั ดงั กลา่ วสามารถนาํ ไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ดใ้ นหลายๆ สถานการณไ์ มเ่ พยี งแตเ่ ฉพาะทางดา้ นวิกฤติการณท์ าง เศรษฐกิจเทา่ นนั้ ทีส่ าํ คญั ยงั สามารถนาํ ไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั การตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี หากแนวพระราชดาํ รสั ดงั กลา่ ว ถกู นาํ ไปปลกู ฝังในตวั ของคนไทยทกุ ๆคน ใหม้ ยี ดึ ม่นั ในแนวพระราชดาํ รสั ดงั กลา่ ว ทงั้ นีเ้ นื่องจาก หลกั การของพระราชดาํ รสั ดงั กลา่ วนนั้ จะทาํ ใหผ้ ทู้ ยี่ ดึ ถือและปฎิบตั ติ ามนนั้ ประพฤตแิ ละปฎิบตั ิในสง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ ง โดยรายละเอยี ดทส่ี าํ คญั ของเศรษฐกิจพอเพยี ง มลู นิธิชยั พฒั นาไดอ้ ธิบาย ไวด้ งั นี้ (https://www.chaipat.or.th) เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรชั ญาชีถ้ ึงแนวการดาํ รงอยแู่ ละปฏบิ ตั ิตนของประชาชนในทกุ ระดบั ตงั้ แตร่ ะดบั ครอบครวั ระดบั ชมุ ชน จนถงึ ระดบั รฐั ทงั้ ในการพฒั นาและบรหิ ารประเทศใหด้ าํ เนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกิจ เพ่ือใหก้ า้ วทนั ตอ่ โลกยคุ โลกาภวิ ตั น์ ความพอเพยี ง หมายถงึ ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล รวมถงึ ความจาํ เป็นทจ่ี ะตอ้ งมี ระบบภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ีพอสมควร ตอ่ การกระทบใดๆ อนั เกิดจากการเปลยี่ นแปลงทงั้ ภายในภายนอก ทงั้ นี้ จะตอ้ งอาศยั ความ รอบรู้ ความรอบคอบ และความระมดั ระวงั อยา่ งยงิ่ ในการนาํ วชิ าการตา่ งๆ มาใชใ้ นการวางแผนและการดาํ เนินการ ทกุ ขนั้ ตอน และขณะเดยี วกนั จะตอ้ งเสรมิ สรา้ งพนื้ ฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั นกั ทฤษฎี และนกั ธุรกิจในทกุ ระดบั ใหม้ ีสาํ นกึ ในคณุ ธรรม ความซื่อสตั ยส์ จุ รติ และใหม้ คี วามรอบรูท้ เ่ี หมาะสม ดาํ เนินชีวติ ดว้ ยความอดทน ความเพยี ร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพอื่ ใหส้ มดลุ และพรอ้ มตอ่ การรองรบั การเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ และกวา้ งขวาง ทงั้ ดา้ นวตั ถุ สงั คม สงิ่ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ป็นอยา่ งดี คณุ ลกั ษณะทสี่ าํ คญั ของปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง จงึ มี ดงั นี้ 1. ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดีทไี่ มน่ อ้ ยเกินไปและไมม่ ากเกินไป โดยไมเ่ บียดเบยี นตนเองและผอู้ น่ื เชน่ การผลติ และการบรโิ ภคทอ่ี ยใู่ นระดบั พอประมาณ 2. ความมเี หตผุ ล หมายถงึ การตดั สนิ ใจเก่ียวกบั ระดบั ความพอเพยี งนนั้ จะตอ้ งเป็นไปอยา่ งมเี หตผุ ล โดยพิจารณา จากเหตปุ ัจจยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง ตลอดจนคาํ นงึ ถึงผลที่คาดวา่ จะเกิดขนึ้ จากการกระทาํ นนั้ ๆ อยา่ งรอบคอบ

27 3. ภมู ิคมุ้ กนั หมายถงึ การเตรยี มตวั ใหพ้ รอ้ มรบั ผลกระทบและการเปลยี่ นแปลงดา้ นตา่ งๆ ทจี่ ะเกิดขนึ้ โดยคาํ นงึ ถงึ ความเป็นไปไดข้ องสถานการณต์ า่ งๆ ท่คี าดวา่ จะเกิดขนึ้ ในอนาคต โดยมี เงื่อนไขในการตดั สนิ ใจและดาํ เนินกิจกรรมตา่ งๆ ใหอ้ ยใู่ นระดบั พอเพยี ง ๒ ประการ ดงั นี้ 1. เง่ือนไขความรู้ ประกอบดว้ ย ความรอบรูเ้ กย่ี วกบั วชิ าการตา่ งๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งรอบดา้ น ความรอบคอบท่ีจะนาํ ความรู้ เหลา่ นนั้ มาพจิ ารณาใหเ้ ชื่อมโยงกนั เพ่อื ประกอบการวางแผนและความระมดั ระวงั ในการปฏิบตั ิ 2. เง่ือนไขคณุ ธรรม ทจี่ ะตอ้ งเสรมิ สรา้ ง ประกอบดว้ ย มคี วามตระหนกั ใน คณุ ธรรม มคี วามซือ่ สตั ยส์ จุ รติ และมคี วาม อดทน มีความเพียร ใชส้ ติปัญญาในการดาํ เนนิ ชวี ติ คณุ ลกั ษณะ ดงั กลา่ ว ไดส้ รุปเป็นหลกั การท่ีเรยี กวา่ 3 หว่ ง 2 เงื่อนไข ดงั นี้ (ดาํ รงค์ ชลสขุ 2561 มตชิ นออนไลน)์

28 หลกั การ 3 หว่ ง 2 เงื่อนไข สามารถนาํ ไปใชใ้ นการตา้ นการทจุ รติ ได้ กลา่ วคอื ในเรอื่ งความพอประมาณ หากแตล่ ะบคุ คล ยดึ หลกั การนี้ ในชีวติ ประจาํ วนั ไมบ่ รโิ ภคหรอื ใชจ้ ่ายอะไรทเ่ี กินตวั ก็ ยอ่ มจะไมเ่ กิดภาระหนีส้ นิ และเมือ่ ไมเ่ กิดภาระหนสี้ นิ ใดๆ ก็ไมม่ เี หตจุ งู ใจอนั ใดใหต้ อ้ งทาํ การทจุ รติ ตอ่ หนา้ ทหี่ รอื แสวงหา ผลประโยชนโ์ ดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย หรอื กลา่ วใหเ้ ขา้ ใจง่ายๆ ก็คอื หลกั ความพอประมาณนนั้ ก็คือ มรี ายไดเ้ ทา่ ไหรใ่ ช้ เทา่ นนั้ ก็จะไมเ่ กดิ ปัญหา ในเรอ่ื งความมเี หตผุ ล แตล่ ะบคุ คล จะตอ้ งมีการตดั สนิ ใจดาํ เนนิ การเรอ่ื งราวตา่ งๆ ในชีวติ อยา่ งมเี หตผุ ลและเป็น เหตผุ ลทต่ี งั้ อยบู่ นพืน้ ฐานหรอื หลกั การทถี่ กู ตอ้ ง เชน่ ยดึ หลกั กฎหมาย หลกั ศีลธรรม จรยิ ธรรมอนั ดงี าม เพราะในการดาํ รงขี วติ ประจาํ วนั ในแตล่ ะวนั ของคนเรายอ่ มตอ้ งเจอปัญหาหรอื อปุ สรรคตา่ งๆ คงตอ้ งเลอื กตดั สนิ บนหลกั การท่ีถกู ตอ้ ง กจ็ ะสง่ ผลท่ี ดีตอ่ ผปู้ ฎบิ ตั ิเอง และทาํ ใหไ้ มเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การทาํ ทจุ รติ เช่น หากมคี วามจาํ เป็นตอ้ งใชเ้ งิน กต็ อ้ งคดิ หาทางใหไ้ ดเ้ งินมาใช้ แต่ ตอ้ งอยบู่ นพนื้ ฐานของหลกั การทีด่ ี ไมใ่ ชเ่ มอื่ มเี หตผุ ลจาํ เป็นในการใชเ้ งิน ก็ใชว้ ิธีโกงหรอื ทจุ รติ ซงึ่ พบเห็นไดบ้ อ่ ยทงั้ ในภาค ราชการและธรุ กิจเอกชน สว่ นการมภี มู คิ มุ้ กนั ทดี่ ีนนั้ ก็คอื การเตรยี มตวั ใหพ้ รอ้ มตอ่ การเปลย่ี นแปลงหรอื ผลกระทบท่ีจะเกดิ ขนึ้ กลา่ วคือ ยอมรบั กบั สภาพการเปลยี่ นแปลงและพรอ้ มจะเปลย่ี นแปลงวถิ ีชวี ติ เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกบั การเปลย่ี นแปลงหรอื ผลกระทบทจี่ ะ เกิดขนึ้ เชน่ หากรายไดล้ ดลง ก็ควรลดคา่ ใขจ้ า่ ยตา่ งๆ เพื่อใหช้ ีวติ ดาํ รงอยไู่ ด้ ไมใ่ ช่ไปหาทางทจุ รติ เพือ่ มาชดเชยกบั รายไดท้ ่ี สญู เสยี ไป สว่ น 2 เงื่อนไข คอื ความรู้ และคณุ ธรรมนนั้ จะเป็นสงิ่ สาํ คญั ที่เกีย่ วโยงและสมั พนั ธก์ บั 3 หว่ ง กลา่ วคือ แตล่ ะบคุ คล จะสาํ เรจ็ ไดต้ าม 3 หว่ ง จะตอ้ งมเี ง่ือนไขทแ่ี ตล่ ะบคุ คลจะตอ้ งมคี วามรูแ้ ละคณุ ธรรม เป็นพนื้ ฐานถึงจะทาํ ให้ 3 หว่ ง ดงั กลา่ ว ประสบผลสาํ เรจ็ ได้ หากนาํ แนวทางการดาํ เนินชีวติ ตามแนวพระราชดาํ รพิ อเพียง หรอื 3 หว่ ง 2 เง่ือนไขมาปรบั ใชก้ บั การดาํ เนิน ชีวติ ประจาํ วนั ก็คอื 1. ยดึ ความประหยดั ตดั ทอนคา่ ใชจ้ า่ ยในทกุ ดา้ น ลดละความฟ่มุ เฟือยในการใชช้ วี ติ เมื่อตดั ทอนคา่ ใขจ้ ่าย ลดความ ฟ่ มุ เฟือย กย็ อ่ มไมม่ เี หตผุ ลหรอื ความจาํ เป็นได้ ท่ีจะตอ้ งดิน้ รนเพ่ือหารายได้ ยอ่ มไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ เงื่อนไขของการทาํ ทจุ รติ ตามมา 2. ยดึ ถือการประกอบอาชีพดว้ ยความถกู ตอ้ ง ซือ่ สตั ยส์ จุ รติ ตรงนกี้ ็คอื เมื่อยดึ ความประหยดั แลว้ สงิ่ ทจี่ ะตอ้ งมตี ามา ก็คอื ความแนว่ แนท่ ีจ่ ะไมท่ จุ รติ หรอื มีความตงั้ ม่นั ในการประกอบอาชีพอยา่ งซ่อื สตั ยส์ จุ รติ นนั้ เอง 3. ละเลกิ การแกง่ แยง่ ผลประโยชนแ์ ละแขง่ ขนั กนั ในทางการคา้ แบบตอ่ สกู้ นั อยา่ ง รุนแรง

29 4. ไมห่ ยดุ น่ิงท่จี ะหาทางใหช้ ีวติ หลดุ พน้ จากความทกุ ขย์ าก ดว้ ยการขวนขวายใฝ่หาความรูใ้ หม้ รี ายไดเ้ พ่มิ พนู ขนึ้ จนถงึ ขนั้ พอเพียงเป็นเปา้ หมายสาํ คญั 5. ปฏิบตั ติ นในแนวทางทด่ี ี ลดละสง่ิ ช่วั ประพฤตติ นตามหลกั ศาสนา

30 บรรณานุกรม กระทรวงสาธารณะสขุ (ม.ป.ป) คมู่ อื ปอ้ งกนั การทจุ รติ และผลประโยชนท์ บั ซอ้ น.นนทบรุ ี เกษม วฒั นชยั (2555) ความซือ่ ตรงกบั คา่ นิยมสงั คมไทย ปาฐกถาพเิ ศษ งานเสวนา “แกว้ ิกฤตไิ ทย ดว้ ยใจซื่อตรง” 22 กรกฎาคม 2555 คณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชน (2555) ศพั ทส์ ทิ ธิมนษุ ยชน. สาํ นกั งานคณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ กรุงเทพฯ ปธาน สวุ รรณมงคล (2559) คอรร์ ปั ช่นั ปัญหาของสงั คมไทยและแนวทางแกไ้ ข สถาบนั พระปกเกลา้ กรุงเทพฯ เสาวนยี ์ ไทยรุง่ โรจน์ (2562) เอกสารประกอบการประชมุ เชงิ ปฎบิ ตั การระหวา่ งหนว่ ยงานทเี่ ก่ียวขอ้ งเพื่อผลกั ดนั หลกั สตู รตา้ น ทจุ รติ ศกึ ษา สาํ นกั งานตา้ นทจุ รติ ศกึ ษา สาํ นกั งาน ป.ป.ช ดาํ รงค์ ชลสขุ (2561) จิตพอเพยี งตา้ นทจุ รติ มติชนออนไลน์ (17 ตลุ าคม 2561) ถวิลวดี บรุ กี ลุ และคณะ(2559) ราบงานการวจิ ยั เรอ่ื ง การปฎิรูปประเทศไทยดา้ นการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ และการสง่ เสรมิ คณุ ธรรมจรยิ ธรรมของเยาวขน.สถาบนั พระปกเกลา้ .กรุงเทพฯ. พลเดช ปิ่นประทีป (2560) ความเขม้ แขง็ ของภาคประชาสงั คมไทยในการตอ่ ตา้ นคอรร์ ปั ช่นั . ใน สงั คมธรรมาธิปไตย สงั ศติ พริ ยิ ะรงั สรรคแ์ ละคณะ สาํ นกั พมิ พม์ หาวิทยาลยั รงั สติ ปทมุ ธานี สนุ นั ท์ สพี าย และ ไพฑรู ย์ สนิ ลารตั น์ (2561) เปลย่ี นผา่ นการศกึ ษาไทยสู่ การศกึ ษา 4.0 วารสารการวดั ผลการศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ปีที่ 24 ฉบบั ที่ 2 : ธนั วาคม พ.ศ. 2561 สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยตุ โต) (2561) พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ มลู นธิ ิ ป.อ.ปยตุ โต เพอ่ื เชิดธรรม Marco Arnone and Leonardo S. Borlini (2014) Corruption : Economic Analysis and International law. Edward Edgar Publishing Limited UK Fritz Heimann and Francois Vincke (2008) Fighting Corruption : International Corporate Integrity Handbook. International Chambre of Commerce.The World business organization.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook