Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการเรียน บทที่ 7

เอกสารประกอบการเรียน บทที่ 7

Published by amonrat.sin, 2020-05-30 07:44:25

Description: บทที่ 7

Search

Read the Text Version

สาระสาคญั รายงานเป็นการนาเสนอผลงานท่ีได้จากการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ เพ่ือ ประกอบการศึกษาในรายวิชาต่าง ๆ เป็นการนาความรู้ท่ีได้จากการศึกษาค้นคว้าโดยมี จดุ ม่งุ หมายมาเรยี บเรยี งอย่างมรี ะเบยี บแบบแผน ตามหลกั เกณฑก์ ารเขยี นรายงานทางวชิ าการ โดยนาเสนอขอ้ เท็จจรงิ ขอ้ คิดเหน็ และข้อเสนอแนะของผู้เขยี นเกี่ยวกับเร่อื งท่นี าเสนออย่าง ถูกต้อง มกี ารอ้างอิงท่มี าของเน้ือหาเพ่อื เพ่ิมความน่าเช่อื ถือ ใช้ภาษาถูกต้องเหมาะสมตาม หลกั ภาษา องค์ประกอบและรูปแบบครบถว้ นสมบูรณ์ ในการเขยี นรายงานทางวชิ าการ ผเู้ ขยี น จะตอ้ งแสดงแหล่งขอ้ มลู ทน่ี ามาใช้อา้ งองิ ใหช้ ดั เจน ซงึ่ อาจแสดงในรปู บรรณานุกรม เพอ่ื เป็นการ ใหเ้ กยี รตแิ ก่เจา้ ของผลงานเดมิ และเป็นแหลง่ ขอ้ มูลในการศกึ ษาคน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ ของผอู้ ่านได้ สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายและวตั ถปุ ระสงคข์ องรายงานทางวชิ าการ 2. ประเภทของรายงาน 3. สว่ นประกอบของรายงานทางวชิ าการ 4. ขนั้ ตอนการเขยี นรายงานทางวชิ าการ 5. การเขยี นบรรณานุกรม 6. ประโยชน์ของการทารายงานทางวชิ าการ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. บอกความหมายและวตั ถปุ ระสงคข์ องรายงานได้ 2. บอกประเภทของรายงานได้ 3. อธบิ ายส่วนประกอบของรายงานได้ 4. บอกขนั้ ตอนการเขยี นรายงานได้ 5. เขยี นรายงานทางวชิ าการได้ 6. เขยี นรายการอา้ งองิ ในรปู แบบของบรรณานุกรมได้

146 การเขยี นรายงานเป็นกิจกรรมท่สี ่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเองเพ่อื ให้ ผู้เรียนสามารถรวบรวมความรู้อย่างเป็นระบบ และนาเสนอผลท่ีได้จากการศึกษาค้นคว้า ในรูปแบบท่ีสถาบันกาหนดได้อย่างมีคุณภาพ ในปัจจุบันการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง มคี วามสาคญั และจาเป็นอย่างยงิ่ เพราะสารสนเทศต่าง ๆ เพมิ่ ขน้ึ อย่างรวดเรว็ ตามพฒั นาการ ของเทคโนโลยี การศกึ ษาในชนั้ เรยี นอย่างเดยี วจงึ ไม่เป็นการเพยี งพอ ผู้เรยี นจาเป็นตอ้ งศกึ ษา ค้นคว้าด้วยตนเองประกอบด้วย จึงจะสามารถตดิ ตามความก้าวหน้าทางวทิ ยาการ ขอ้ มูล ข่าวสาร และเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ทนั การเขยี นรายงานเป็นการแสดงผลของการศึกษาค้นคว้าให้อยู่ ในรูปแบบท่ีเป็นมาตรฐาน โดยใช้ภาษาท่ีสละสลวยในการเรยี บเรยี งความรู้ ตามลาดบั ของ โครงเร่อื ง การเขยี นรายงานใหถ้ ูกตอ้ งตามรูปแบบสากลนิยม จะช่วยให้ผูอ้ ่านเกิดความเขา้ ใจ ในเร่อื งทอ่ี ่านไดง้ า่ ย ลาดบั ความคดิ ไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ การเขยี นรายงานท่ถี กู ตอ้ งเป็นการลาดบั เน้อื หา โดยใชส้ านวนการเขยี นของผทู้ ารายงานเองไมใ่ ช่การลอกเลยี นขอ้ ความของผอู้ น่ื ทงั้ หมด และเขยี นเอกสารอา้ งองิ หรอื บรรณานุกรม ประโยชน์ของการทารายงานจะทาให้ผเู้ รยี นรวู้ ธิ กี าร ประมวลความรเู้ ผยแพร่ความรู้ และไดค้ วามรเู้ พมิ่ ขน้ึ จากเรอ่ื งทอ่ี ่านและศกึ ษาคน้ ควา้ ความหมายและวตั ถปุ ระสงคข์ องรายงาน 1. ความหมายของรายงาน รายงาน หมายถึง การเรยี บเรยี งผลของการศึกษาค้นควา้ ในเร่อื งใดเร่อื งหนึ่ง โดยการศกึ ษาจากเอกสาร การสงั เกต การทดลอง การออกแบบสอบถาม โดยมีการเขยี นรายงาน ตามสว่ นประกอบทส่ี าคญั ๆ ไดแ้ ก่ ส่วนนา สว่ นเน้อื เร่อื งและสว่ นอา้ งองิ ความยาวของรายงาน ขน้ึ อยูก่ บั ขอบเขตของหวั ขอ้ และขอ้ ตกลงระหวา่ งผสู้ อนกบั ผเู้ รยี น (น้าทพิ ย์ วภิ าวนิ . 2547 : 55) รายงาน หมายถึง ความเรยี งทางวชิ าการท่เี ป็นกิจกรรมหรอื วธิ กี ารประเมินผล อย่างหน่ึง อันเป็นผลมาจากการรวบรวมสารสนเทศท่ีได้จากการสืบค้นในเร่อื งใดเร่อื งหนึ่ง หรอื เป็นผลจากการศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรใู้ หม่ ๆ เพอ่ื ปรบั ปรุง หรอื พสิ จู น์ความรเู้ ดมิ โดยวธิ ใี ด วธิ หี น่ึงหรอื หลายวธิ ี ทงั้ น้ีเพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ เทจ็ จรงิ ท่เี ช่อื ถือได้ และนาสารสนเทศท่คี ้นควา้ มาได้มา ประกอบเขา้ กับความคิดของตนเอง แล้วเรยี บเรยี งข้นึ ใหม่โดยการนามาเขยี น หรอื พิมพ์ให้ ถกู ตอ้ งตามแบบแผน (ฤทธชิ ยั เตชะมหทั ธนันท์ และ รชั นีพร ศรรี กั ษา. 2547 : 156) รายงานและผลงานทางวชิ าการ หมายถึง ผลงานท่เี กิดจากการศกึ ษาคน้ คว้า และรวบรวมข้อมูลมาเรยี บเรียงให้ได้เน้ือหาสาระตามหัวข้อเร่อื งท่ีกาหนด ทงั้ รายงานและ ผลงานทางวชิ าการนนั้ มอี งค์ประกอบทเ่ี หมอื นกนั แต่จะต่างกนั ในเรอ่ื งของขอบเขตของเน้อื หา สาระเป็นองค์ประกอบ ส่วนเร่อื งของผลงานวชิ าการ ชอ่ื เร่อื งจะเป็นแกนนา แล้วแตกแขนงออก ไปเป็นบท ใช้ช่อื บทเป็นแกนหลกั และมหี วั ขอ้ เร่อื งของเน้ือหาสาระของบทเป็นองค์ประกอบ (วลั ลภ สวสั ดวิ ลั ลภ. 2547 : 1)

147 รายงาน หมายถึง ผลการศึกษาค้นคว้าแล้วนามาเรียบเรียงอย่างมีระบบ ตามกฎเกณฑ์และรูปแบบท่ีสถาบันกาหนด ถือเป็นส่วนหน่ึงในการประเมินผลการศึกษา รายงานมีหลายรูปแบบ เช่น รายงานผลการทดลอง การสารวจภาคสนาม หรอื วธิ กี ารอ่ืน ๆ อาจทาเป็นรายกลุ่มหรอื รายบคุ คล ตามหวั ขอ้ ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย หรอื ตามความสนใจของผเู้ รยี น (ดวงกมล อนุ่ จติ ต.ิ 2548 : 130) รายงาน หมายถึง รายงานท่ไี ด้จากการศกึ ษาคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู ซง่ึ ส่วนใหญ่ จะเป็นการรวบรวมขอ้ มูลจากหนงั สอื และเอกสารตา่ ง ๆ เป็นกจิ กรรมประกอบการเรยี นการสอน ท่ีผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า เพ่ือให้มีความรู้เพ่ิมเติมจากเน้ือหาท่ีเรียน ในห้องเรยี น และใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประเมนิ ผลของแต่ละรายวชิ า ในหน่ึงรายวิชาอาจมี รายงานได้หลายเร่อื ง การนาเสนออาจเป็นลายลักษณ์อกั ษร หรอื รายงานปากเปล่าก็ได้ แลว้ แต่ ผสู้ อนกาหนด (อาไพวรรณ ทพั เป็นไทย. 2549 : 117) จากคาจากดั ความขา้ งต้นสรุปได้ว่า รายงาน หมายถึง การเรียบเรยี งผลของ การศึกษาค้นคว้าในเร่อื งใดเร่ืองหน่ึง โดยการศึกษาข้อมูลจากหนังสือและเอกสารต่าง ๆ และรวบรวมข้อมูลให้ได้ เน้ือหาสาระตามหวั ข้อเร่อื งท่ีกาหนด แล้วนามาเรียบเรียงข้นึ ใหม่ โดยการเขยี นหรอื พมิ พ์ให้ถูกตอ้ งตามแบบแผนท่นี ิยมใช้กนั การเขยี นรายงานมสี ่วนประกอบ ท่ีสาคัญ ๆ ได้แก่ ส่วนนา ส่วนเน้ือเร่ืองและส่วนอ้างอิง ในการนาเสนอรายงานอาจเป็น ลายลกั ษณ์อกั ษรหรอื รายงานดว้ ยปากเปล่า 2. วตั ถปุ ระสงคข์ องการทารายงาน 2.1 เพ่อื เปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นได้ศกึ ษาคน้ คว้าในเร่อื งใดเร่อื งหนึ่งด้วยตนเอง อย่างกวา้ งขวางและลกึ ซ้งึ จากแหลง่ ขอ้ มลู ต่าง ๆ อนั เป็นการชว่ ยส่งเสรมิ ใหม้ คี วามรคู้ วามคดิ ท่ี กวา้ งไกลกวา่ การรบั ฟังจากผสู้ อนแต่เพยี งอย่างเดยี ว หรอื ศกึ ษาจากตาราเพยี งเลม่ เดยี ว รวมทงั้ ยงั เป็นการทดแทนเน้อื หาบางสว่ นทข่ี าดหายไป หรอื ทผ่ี สู้ อนไมส่ ามารถบรรยายไดล้ ะเอยี ด 2.2 เพ่ือให้ผู้เรียนรู้จกั แหล่งข้อมูลต่าง ๆ และเกิดทักษะรู้วิธีการค้นคว้า รวบรวมขอ้ มูล ประมวลผล เรยี บเรยี งความรู้ ความคดิ อย่างมรี ะบบ 2.3 เพ่อื เสรมิ สรา้ งใหผ้ ู้เรยี นมอี ุปนิสยั รกั การอ่าน และช่วยฝึกทกั ษะทางด้าน การอ่าน โดยอ่านแลว้ สามารถจบั ใจความของเรอ่ื งทอ่ี า่ นได้ สามารถสรปุ ได้ และจดบนั ทกึ ได้ 2.4 เพอ่ื ส่งเสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นรจู้ กั วเิ คราะห์และสงั เคราะห์ขอ้ มูล เป็นการฝึกทกั ษะ ทางด้านการคิด สามารถคดิ วเิ คราะห์เร่อื งราวต่าง ๆ ได้ โดยใช้วิจารณญาณของตนเองและ แสดงความคดิ อยา่ งมเี หตุผลโดยมหี ลกั ฐานอา้ งองิ 2.5 ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถทางภาษา และช่วยฝึกทักษะ ทางด้านการเขียน รูข้ นั้ ตอนและรูปแบบของการเขยี นรายงานได้อย่างถูกต้อง สามารถเขยี น รายงานประกอบการเรียนได้อย่างถูกต้องตามระเบียบแบบแผน และมีความรู้พ้ืนฐานใน การศกึ ษาชนั้ สงู ตอ่ ไป

148 ประเภทของรายงาน การศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลนัน้ อาจเป็นการค้นคว้าจาก หนังสือ เอกสาร การสารวจ การทดลอง การสงั เกต การสมั ภาษณ์ อาจใช้วิธใี ดวธิ ีหน่ึงหรอื หลายวิธีประกอบกัน กไ็ ด้ ในสถานศกึ ษาการเขยี นรายงานถอื เป็นส่วนหนึง่ ของกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยผสู้ อน การทารายงานอาจเป็นรายบุคคลหรอื เป็นกลุ่มก็ได้ รายงานมหี ลายประเภท จาแนกออกเป็น 2 ประเภท คอื รายงานทวั่ ไป และรายงานทางวชิ าการ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี 1. รายงานทวั่ ไป คอื รายงานท่เี สนอขอ้ เท็จจรงิ ในเร่อื งตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวกบั องคก์ ร สถาบัน หรอื ข้อคดิ เห็นของบุคคล ความเคล่อื นไหวของเหตุการณ์ สถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซงึ่ ไดด้ าเนินการไปแล้ว หรอื กาลังดาเนินการอยู่ หรอื จะดาเนินการต่อไป เพ่อื ใหผ้ ู้เกี่ยวข้อง ทราบ (อาไพวรรณ ทพั เป็นไทย. 2549 : 115) ไดแ้ ก่ 1.1 รายงานทางราชการ เช่น รายงานแสดงผลงาน เป็นรายงานซ่ึงพนักงาน เจ้าหน้าท่รี ายงานผลการปฏบิ ตั ิงานต่อผูบ้ งั คบั บญั ชา ผู้ร่วมงานหรอื ผูส้ นใจทราบหรอื ขอ้ เขยี น ทเ่ี ป็นคากล่าวรายงานในพธิ เี ปิดและพธิ เี ปิด การประชุมสมั มนา การแขง่ ขนั กฬี า การจดั งานตา่ ง ๆ เป็นต้น เป็นการรายงานให้ทราบถึงความเป็นมาของงาน การดาเนินงานผู้ร่วมงาน กาหนด ระยะเวลาของงาน และลงทา้ ยดว้ ยการเชญิ ประธานในพธิ กี ล่าวเปิดหรอื ปิดงาน 1.2 รายงานการประชมุ เป็นการบนั ทกึ เร่อื งราวต่าง ๆ ท่อี งค์ประชุมกล่าวถึง ตงั้ แต่เรมิ่ ประชุมจนส้นิ สุดการประชุม และต้องนารายงานน้ีเสนอให้ท่ปี ระชุมรบั รอง ในการ ประชุมครงั้ ต่อไป รายงานการประชุมเป็นเอกสารท่ใี ช้อ้างอิงได้จงึ ต้องใช้ภาษาเป็นทางการ กระชบั รดั กมุ และชดั เจน 1.3 รายงานขา่ ว เป็นการรายงานโดยใช้วธิ เี ขยี นหรอื พดู เพ่อื รายงานเร่อื งราว หรอื เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ผรู้ ายงาน ไดแ้ ก่ นักหนงั สอื พมิ พ์ นกั จดั รายการวทิ ยุ ผปู้ ระกาศขา่ วทาง โทรทศั น์ 1.4 รายงานเหตุการณ์ เป็นรายงานซึ่งเจ้าพนักงานผู้มหี น้าท่รี บั ผดิ ชอบเป็น ผูร้ ายงานเพ่อื บอกเร่อื งราวเหตุการณ์หรอื สถานการณ์ต่าง ๆ ท่เี ป็นอยู่หรอื เกดิ ข้นึ ในขณะนัน้ เสนอต่อผู้บังคบั บัญชาหรอื ผู้เกี่ยวข้องทราบ เช่น รายงานการอยู่เวรรกั ษาการณ์ รายงาน อุบตั ิเหตุรถชนกนั เป็นตน้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นการเขยี นรายงานอย่างสนั้ เป็นการเขยี นทเ่ี น้น ขอ้ เท็จจรงิ และความถูกตอ้ งของขอ้ มลู ภาษาท่ใี ช้ควรเป็นภาษาทางการ หรอื ถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ กะทดั รดั ชดั เจน ตรงประเดน็ 2. รายงานทางวิชาการ คือ รายงานผลท่ีเกิดจากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ เร่อื งใดเร่อื งหนึ่ง มุ่งเสนอผลท่ไี ดต้ ามความเป็นจรงิ รวบรวมและเรยี บเรยี งขอ้ มูลข้นึ อย่างมรี ะบบ มลี กั ษณะเป็นวทิ ยาศาสตร์ โดยมหี ลกั ฐานและการอ้างองิ ประกอบแลว้ เขยี นหรอื พมิ พใ์ ห้ถูกตอ้ ง

149 ตามรูปแบบท่ีสถาบันการศึกษากาหนด และถือว่ารายงานเป็ นส่วนหน่ึงของการประเมินผล การเรยี นการสอนของวชิ านนั้ ๆ ดว้ ย รายงานทางวิชาการนัน้ มีหลายลกั ษณะ มีทงั้ ท่ีจัดว่าเป็นวิชาการขนาดสนั้ ขนาดยาวและเป็นเร่ืองหรืออาจเป็นรูปของการวิจัย ซ่ึงสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท (สุกญั ญา กลุ นติ .ิ 2549 : 168) ดงั น้ี 2.1 รายงานจากการค้นคว้า (Report) เป็นการเสนอรายงานทางวิชาการ ประกอบการศกึ ษาตามรายวชิ าต่าง ๆ ตรงตามหลกั สตู รท่เี รยี น ผเู้ ขยี นรายงานจะต้องมคี วามรู้ พน้ื ฐานดา้ นรายงานวชิ าการในเรอ่ื งรปู แบบ การวางโครงเร่อื ง การลาดบั หวั ขอ้ และการอา้ งองิ แต่จะไม่ ละเอยี ดลกึ ซง้ึ เทา่ กบั รายงานทางวชิ าการประเภท ภาคนพิ นธ์ วทิ ยานพิ นธ์ และรายงานการวจิ ยั 2.2 ภาคนิพนธ์ (Term Paper) เป็นรายงานท่ีผู้เรยี นจะต้องศึกษาค้นควา้ ใน เร่อื งใดเร่อื งหนึ่งซึง่ มขี อบเขตกวา้ งขวาง ลกึ ซง้ึ และใชร้ ะยะเวลามากกว่ารายงานมุง่ ใหผ้ เู้ รยี นมี ความสามารถในการแสดงความคดิ ทงั้ ของตนเองและของผู้รจู้ ากแหล่งทไ่ี ดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ มาได้ อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ สามารถเรยี บเรยี งขอ้ มูลอยา่ งเป็นระบบ มกี ารลาดบั ความคดิ ทเ่ี ป็นเหตุผล ดว้ ยภาษาทถ่ี ูกต้อง ชดั เจน แลว้ นาเสนอตามรูปแบบทส่ี ถาบนั กาหนด และถอื เป็นส่วนหนง่ึ ใน การประเมนิ ผลการศึกษาในรายวชิ า อาจทาเป็นรายกลุ่ม หรือรายบุคคลตามหัวข้อท่ีได้รบั มอบหมาย หรอื ตามความสนใจของผเู้ รยี น 2.3 วิทยานิพนธ์ (Thesis or Dissertation) วิทยานิพนธ์ หรือบางแห่ง เรียกว่า ปรญิ ญานิพนธ์ เป็นรายงานผลการค้นคว้าวจิ ยั ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของการศกึ ษาตามหลกั สูตร ปรญิ ญามหาบัณฑิตหรอื ปรญิ ญาดุษฎีบัณฑิต โดยผู้เรยี นเลอื กเร่อื งท่ปี ระสงค์จะศึกษาและ ทาการค้นควา้ อย่างละเอยี ดลกึ ซ้งึ ตามระเบยี บวธิ กี ารวจิ ยั การทาวทิ ยานิพนธ์หรอื ปรญิ ญานิพนธ์ เป็นการศึกษาค้นคว้าอย่างมีเหตุผล มีระเบียบวธิ ีการวจิ ยั และรู้จกั วเิ คราะห์ข้อมูลท่ีได้จาก การศกึ ษาคน้ ควา้ การนาเสนอผลการคน้ ควา้ วจิ ยั นัน้ มุง่ หาเหตผุ ลเพ่อื พสิ จู น์สมมตุ ิฐาน แสดง ความคดิ เหน็ ของผวู้ จิ ยั และใหข้ อ้ เสนอแนะเพ่อื เผยแพรค่ วามรทู้ ไ่ี ดใ้ หก้ วา้ งขวางย่ิงขน้ึ และเป็น แนวทางแก่ผสู้ นใจทจ่ี ะทาการศกึ ษาคน้ ควา้ วจิ ยั ในเร่อื งนนั้ ๆ 2.4 รายงานการวิจัย (Research) หมายถึง การหาคาตอบเกี่ยวกับปั ญหา เร่อื งใดเร่อื งหน่ึง โดยมีการตงั้ สมมติฐานแล้วรวบรวมข้อมูลอย่างมรี ะบบ โดยอาจทาเป็นรูปของ การศึกษาค้นคว้ารวบรวมจากเอกสารต่างๆ ใช้แบบสอบถาม การสมั ภาษณ์หรือการทดลอง แลว้ นาขอ้ มูลทไ่ี ดม้ าเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตารางหรอื รูปแบบอ่นื อาจใชค้ ่าสถติ มิ าช่วยใน การคานวณ จากนัน้ จงึ อา่ นตารางและแปลความหมายของค่าสถติ ิ เม่อื ไดข้ อ้ มลู มาแล้วกน็ ามา วเิ คราะห์เพ่อื ดูว่าขอ้ มูลท่ไี ด้มานัน้ ตอบรบั หรอื ปฏเิ สธ สมมติฐานดงั กล่าว และมกี ารเสนอแนะ ความคิดเหน็ ท่คี ิดว่าจะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหานัน้ ด้วยการทางานวจิ ยั จะต้องใช้ความ ระมดั ระวงั และความละเอียดรอบครอบสูง มีการทดสอบเคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการวจิ ยั ว่ามีความ เทย่ี งตรงตามทต่ี อ้ งการวดั หรอื ไม่ เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลทเ่ี ช่อื ถอื ได้

150 ขนั้ ตอนการทารายงาน ในการเขยี นรายงานนัน้ มีขนั้ ตอนมากมาย เรม่ิ ตัง้ แต่การตดั สินใจจะเขยี นเร่อื งอะไร หรอื หวั ขอ้ อะไร ทาไมจงึ ต้องเขยี นเร่อื งนัน้ มีวตั ถุประสงคเ์ พ่อื อะไร เน้ือหามขี อบเขตแค่ไหน และคาดหวังอะไรจากผู้อ่าน เช่น เพ่ือเป็นการแสดงความคิดเห็น หรือเพ่ือเป็นการอธบิ าย เร่อื งใดเร่อื งหนึ่ง อีกทงั้ ยงั ต้องคานึงถึงผู้อ่านว่าเป็นใคร มีอาชีพอะไร มกี ารศกึ ษาระดบั ใด มีความรู้พ้ืนฐานในเร่ืองนั้นมากน้อยเพียงไร มีความคิดและทัศนคติต่อเร่ืองน้ีอย่างไร ซงึ่ โดยทวั่ ไป มขี นั้ ตอนดงั น้ี ขนั้ ตอนท่ี 1 การเลอื กหวั ขอ้ เร่ือง การเลือกหวั ขอ้ เร่อื ง หมายถึง การเลือกเร่อื งท่จี ะเขยี นรายงานซ่ึงผูส้ อนอาจเป็น ผกู้ าหนดใหห้ รอื ผศู้ กึ ษาเป็นผเู้ ลอื กดว้ ยตนเองกไ็ ดซ้ งึ่ ควรคานึงถงึ หลกั ในการเลอื ก ดงั น้ี 1. เป็นเร่อื งท่นี ่าสนใจ มคี วามสาคญั มปี ระโยชน์ต่อตนเอง สงั คมส่วนรวม มสี ่วน ส่งเสรมิ พฒั นาความรทู้ างวชิ าการ 2. เลอื กเร่อื งทต่ี วั เองสนใจ และตอ้ งการศกึ ษาคน้ ควา้ ใหล้ ะเอยี ด ลกึ ซง้ึ มากขน้ึ 3. เลอื กเร่อื งทม่ี นั่ ใจวา่ จะทาไดด้ ที ส่ี ุดภายในระยะเวลาทก่ี าหนด 4. เลอื กเร่อื งท่สี ามารถหาหนังสอื และวสั ดุสารสนเทศอ้างอิงมาใช้ประกอบการ ศกึ ษาคน้ ควา้ มจี านวนมากเพยี งพอแกค่ วามตอ้ งการ และแหล่งขอ้ มูลเขา้ ถงึ ไดส้ ะดวก ขนั้ ตอนที่ 2 การสารวจและค้นคว้าหาขอ้ มลู ผทู้ จ่ี ะทารายงานไดด้ นี นั้ จาเป็นตอ้ งมคี ณุ สมบตั ทิ ส่ี าคญั ยง่ิ อยู่อย่างหน่ึงคอื การเป็น นักศกึ ษาค้นคว้า สบื เสาะแสวงหาขอ้ มูล ผู้ศกึ ษาคน้ คว้าจะต้องเรม่ิ สารวจแหล่งขอ้ มูลเกี่ยวกบั เร่อื งทต่ี ้องการศกึ ษาและหาวสั ดุดงั กล่าวได้จากท่ใี ดบา้ ง เช่น ศกึ ษาคน้ ควา้ จากเอกสารต่าง ๆ ในห้องสมุด อินเทอร์เน็ต สัมภาษณ์ผู้รู้ผู้เกี่ยวข้องไปดูไปสังเกตศึกษาจากสถานท่ีจริง แหลง่ ขอ้ มลู ทส่ี าคญั มดี งั น้ี 1. สารวจดูท่บี ตั รรายการในหอ้ งสมุด ซงึ่ ปัจจุบนั นักศกึ ษาสามารถสารวจรายการ ทรพั ยากรสารสนเทศของหอ้ งสมดุ จากฐานขอ้ มูลคอมพวิ เตอรแ์ ทนบตั รรายการ ซง่ึ ชว่ ยใหไ้ ดร้ บั ความสะดวก รวดเรว็ และประหยดั เวลายงิ่ ขน้ึ 2. สารวจหนังสืออ้างอิงประเภทต่าง ๆ เช่น พจนานุกรม สารานุกรม หนังสือ อา้ งองิ ทางภมู ศิ าสตร์ หนงั สอื รายปี อกั ขรานุกรมชวี ประวตั ิ เป็นตน้ 3. สารวจหนังสอื เอกสารสง่ิ พมิ พต์ ่าง ๆ เช่น ตารา วาสาร หนงั สอื พมิ พ์ เป็นตน้ 4. สารวจแหล่งขอ้ มูล แหล่งความรอู้ ่นื ๆ เชน่ โสตทศั วสั ดุ ส่อื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ หรอื จากการแนะนาของอาจารย์ ผเู้ ชย่ี วชาญ หรอื อาจใชว้ ธิ กี ารสมั ภาษณ์ ใชแ้ บบสอบถามหรอื วธิ กี าร สงั เกต โบราณสถาน โบราณวตั ถุ สถานทส่ี าคญั ๆ เป็นตน้

151 ขนั้ ตอนท่ี 3 การวางโครงเร่อื ง การวางโครงเร่อื งเป็นสงิ่ สาคญั และจาเป็นอย่างย่งิ ในการเขยี นรายงาน เพราะจะ ช่วยให้ผู้เขียนเรยี บเรียงลาดบั เร่อื งราวต่าง ๆ ท่ีอ่านมาให้ชัดเจน ตามลาดับไม่สบั สนและ มเี น้อื หาครอบคลมุ เน้อื เร่อื ง รวมทงั้ ชว่ ยให้เขยี นไดค้ รบถว้ นตามจุดมงุ่ หมาย ลกั ษณะโครงเร่อื ง จะคล้ายกบั สารบญั ประกอบด้วยหวั ขอ้ ต่าง ๆ โครงเร่อื งทด่ี ตี ้องมชี ่อื หวั ขอ้ กะทดั รดั ได้ใจความ ครอบคลุมเน้ือหา โดยเฉพาะส่วนหวั ขอ้ ย่อยตอ้ งให้สอดคล้องกบั หวั ขอ้ ใหญ่ การวางโครงเร่อื ง ใหย้ ดึ หลกั ตอ่ ไปน้ี 1. โครงเร่อื งควรประกอบด้วย บทนา หวั ขอ้ ใหญ่ หวั ขอ้ รอง หวั ขอ้ ย่อยต่าง ๆ ท่ี แสดงถงึ ความสาคญั มากและสาคญั รองลงมาตามลาดบั และบทสรุป 2. ไม่ควรแบ่งเน้อื เร่อื งออกเป็นหวั ขอ้ ย่อยหลายชนั้ จนเกนิ ไป เพราะจะทาให้เกดิ ความสบั สนไดง้ า่ ย 3. ช่อื หวั ขอ้ ควรเป็นคาหรอื ขอ้ ความท่กี ระชบั รดั กุมได้ใจความเจาะจงครอบคลุม เน้อื หาเฉพาะตอน ไมค่ วรใชค้ ากวา้ ง ๆ เพราะจะทาใหไ้ มส่ ามารถมองเหน็ แนวทางของขอบขา่ ย เน้อื หาไดช้ ดั เจน 4. ตวั เลข หรอื ตวั อกั ษร ทใ่ี ช้กากบั หวั ขอ้ และย่อหน้าให้พอเหมาะ ควรเป็นระบบ เดยี วกนั ตลอดโดยถ้าหวั ขอ้ สาคญั เท่ากนั ใหใ้ ชต้ วั เลขหรอื ตวั อกั ษรอย่างเดยี วกนั และย่อหน้า ใหต้ รงกนั หวั ขอ้ ยอ่ ยยอ่ หนา้ ลกึ กวา่ หวั ขอ้ ใหญซ่ ง่ึ อาจทาไดส้ องแบบคอื แบบใชต้ วั เลขอย่างเดยี ว หรอื แบบใชต้ วั เลขผสมตวั อกั ษร 5. การลาดบั เร่อื ง คอื การกาหนดว่าหวั ขอ้ ใดควรเขยี นไวก้ ่อน หวั ขอ้ ใดควรเขยี น ไวห้ ลงั เพ่อื ใหผ้ อู้ า่ นตดิ ตามเร่อื งราวไดโ้ ดยไม่สบั สน การลาดบั เร่อื งมปี ระโยชน์ ดงั น้ี 5.1 เป็นการแบ่งหวั ขอ้ ใหญ่ หวั ขอ้ รอง และหวั ขอ้ ยอ่ ยไวอ้ ย่างชดั เจน 5.2 ช่วยใหร้ ู้วา่ หวั ขอ้ ไหนมเี น้อื หามาก หวั ขอ้ ไหนมเี น้ือหาน้อยจะไดป้ รบั ปรุง หวั ขอ้ ใหม่เพอ่ื ใหน้ ้าหนักของเน้อื หาในแต่ละหวั ขอ้ มคี วามสมดุลกนั 5.3 ชว่ ยใหร้ วู้ า่ ควรเพม่ิ หวั ขอ้ ใดหรอื หาขอ้ มลู ใดเพม่ิ อกี บา้ ง 5.4 ผู้ทาสามารถเลอื กหวั ขอ้ ใดมาเขยี นก่อนก็ได้เพราะมกี ารจดั แบ่งเน้ือหา เป็นหมวดหมูไ่ วเ้ รยี บรอ้ ยแลว้ อย่างไรกต็ ามโครงเร่อื งอาจมกี ารปรบั เปลย่ี นได้ในภายหลงั หากศกึ ษาคน้ ควา้ พบ ประเดน็ ทน่ี ่าสนใจควรเพม่ิ เตมิ

152 ตวั อยา่ ง การวางโครงเร่อื งโดยใชร้ ะบบตวั เลข เรอื่ ง ภาวะโลกร้อน 1. บทนา 2. ทม่ี าของภาวะโลกรอ้ น 2.1 ความหมายของภาวะโลกรอ้ น 2.2 สาเหตุทท่ี าใหเ้ กดิ ภาวะโลกรอ้ น 3. ก๊าชและสารทม่ี ผี ลกระทบตอ่ ภาวะโลกรอ้ น 3.1 ไอน้า 3.2 กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ 3.3 กา๊ ซมเี ทน 3.4 กา๊ ซไนตรสั ออกไซด์ 3.5 สารประกอบคลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน 4. การเปลย่ี นแปลงอณุ หภมู ิ 4.1 ตวั แปรอณุ หภูมกิ อ่ นยคุ มนุษย์ 4.2 อุณหภมู ปิ ัจจบุ นั 5. แบบจาลองภูมอิ ากาศ 6. ผลกระทบจากภาวะโลกรอ้ น 6.1 ผลกระทบระดบั ประเทศ 6.1.1 ผลกระทบต่อระดบั น้าทะเล 6.1.2 ผลกระทบตอ่ ระบบนิเวศ 6.1.3 ผลกระทบตอ่ การเกษตรและแหล่งน้า 6.1.4 ผลกระทบต่อมนุษย์ 6.1.5 ผลกระทบตอ่ เศรษฐกจิ 6.2 ผลกระทบระดบั โลก 7. การป้องกนั และวธิ กี ารแกป้ ัญหาภาวะโลกรอ้ น 7.1 การป้องกนั ภาวะโลกรอ้ น 7.2 วธิ กี ารแกป้ ัญหาภาวะโลกรอ้ น 8. สรุป

153 ขนั้ ตอนท่ี 4 การอา่ นเพื่อทาบนั ทึกการอ่าน การอ่านเพ่ือทาบันทกึ การอ่าน เม่อื พบหนังสือ เอกสารท่ตี ้องการแล้ว ขนั้ ตอน ต่อไปคอื อ่านเพ่อื จดบนั ทกึ แนวความคดิ ขอ้ มลู สถติ ิไว้ เพ่อื นาไปเรยี บเรยี งเน้ือหาของรายงาน ต่อไป วธิ อี ่านเพ่อื บนั ทกึ การอ่านใหไ้ ดร้ วดเรว็ นัน้ ควรดเู ฉพาะเร่อื งหรอื ตอนทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั เร่อื งท่ี จะศกึ ษาเท่านัน้ โดยดูจากสารบญั หรอื ดรรชนีท้ายเล่ม โดยใหบ้ นั ทกึ เฉพาะเน้ือหาทเ่ี กย่ี วกับ หวั ขอ้ เท่านัน้ และควรค้นควา้ จากหลายๆ แหล่ง การจดบนั ทกึ ควรใช้กระดาษขนาด 4 x 6 น้ิว หรือ 5 x 8 น้ิว กระดาษหนึ่งแผ่นควรบันทึกข้อความเพียงหัวข้อเดียวและเขียนหน้าเดียว ถา้ ไม่พอให้ใชแ้ ผ่นต่อไป แลว้ เขยี นหมายเลขลาดบั ทก่ี ากบั ไว้ วธิ ีทาบนั ทกึ การอ่านควรบนั ทกึ ดว้ ยสานวนการเขยี นดว้ ยตนเอง ถอ้ ยคาสานวนกะทดั รดั ชดั เจน ขนั้ ตอนที่ 5 การเรียบเรยี งเนื้อหา หลักในการเรียบเรียงเน้ือหานัน้ ข้ึนอยู่กับผู้ศึกษาจะต้องใช้ความรู้และแสดง แนวความคดิ ของตนเองนอกเหนือจากเน้ือหาทใ่ี ชอ้ า้ งอิงประกอบใหม้ ากท่สี ุด ไม่ควรคดั ลอก เน้ือหามาบนั ทกึ ตดั ต่อกนั จนจบ เว้นไวเ้ สยี แต่ว่าขอ้ ความนัน้ เป็นการคดั ลอกมาตรง ๆ อย่าง ไม่ผดิ เพย้ี นซงึ่ จะตอ้ งทาอญั ประภาษ หรอื ใส่ไวใ้ นเคร่อื งหมายคาพดู ใหช้ ดั เจน ควรใชภ้ าษาหรอื สานวนเป็นของตนเอง ใช้ประโยคสนั้ ๆ ไดใ้ จความชดั เจน สมบูรณ์ ตรงไปตรงมา ไม่วกวนหรอื กากวม การสะกดการนั ต์จะต้องถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ไม่ฉีกคา ไม่แยกคา ไม่ควรใชอ้ กั ษรยอ่ ทไ่ี ม่ไดร้ บั การยอบรบั ใหใ้ ชอ้ ย่างเป็นทางการ เม่ือรวบรวมข้อมูลได้ส่วนใหญ่แล้วเราก็จะสามารถเขียนรายงานฉบับร่างได้ เพราะในขณะเขยี นร่างนนั้ ยงั ช่วยใหเ้ ราไดพ้ บว่าควรคน้ ควา้ ขอ้ มูลใดเพม่ิ ทาได้โดยการจดั แบ่ง ขอ้ มูลออกเป็นหวั ขอ้ ๆ และแยกประเดน็ ใหช้ ดั เจน วางเรยี งขอ้ มลู ต่าง ๆ ทม่ี ใี หค้ รบทุกชน้ิ เรยี ง ตามลาดบั หวั ขอ้ ตามโครงเร่อื ง ขนั้ ตอนท่ี 7 การเขยี นบรรณานุกรม ในขนั้ น้ีให้ผู้ศกึ ษาคน้ คว้านารายการเอกสารอ้างองิ ต่าง ๆ ท่ไี ดใ้ ช้ประกอบเน้ือหา รายงานในเล่ม มาจัดเรียงตามลาดับอักษรแบบพจนานุกรม โดยเขียนรายละเอียดทาง บรรณานุกรมของหนังสือและวสั ดุอ้างองิ แต่ละรายการให้ถูกต้อง ตามรูปแบบและหลกั เกณฑ์ การเขยี นบรรณานุกรมตามทส่ี ถาบนั กาหนด ขนั้ ตอนท่ี 8 ตรวจสอบความถกู ต้อง และการเข้าเล่ม ผศู้ กึ ษาควรอา่ นตรวจทานพรอ้ มทงั้ แกไ้ ขขอ้ บกพร่องตา่ งๆ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู เน้อื หาท่ี ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ โดยการอ่านตงั้ แต่ต้นจนจบให้ละเอยี ดเพ่อื ให้แน่ใจว่า แต่ละตอนมี เน้ือความเป็นอนั หนึ่งอนั เดยี วกนั เน้ือเร่อื งได้สดั ส่วน มเี หตุมผี ลตามหวั ขอ้ เรอ่ื งทก่ี าหนดไว้ โดยตรวจสอบในส่วนตา่ ง ๆ ดงั น้ี

154 1. พิจารณาแต่ละตอน เช่น คานา จุดมุ่งหมาย เน้ือเร่อื ง การอ้างอิง เป็นต้น ดูวา่ ถูกตอ้ งชดั เจนหรอื ไม่ เขยี นไดต้ รงตามจดุ มงุ่ หมายเพยี งใด และสรุปความไดถ้ ูกตอ้ งหรอื ไม่ 2. เน้อื หาถูกตอ้ ง ใชภ้ าษาเขยี นเป็นทางการได้ถูกตอ้ งเหมาะสมกบั เน้ือหาทเ่ี ขยี น ใช้เคร่อื งหมายวรรคตอน และเขยี นตวั สะกดการนั ต์ได้ถูกตอ้ งไม่ผดิ พลาด กระชบั รดั กุม เขยี น สนั้ ตรงประเดน็ ใชค้ าในการส่อื ความหมายไดช้ ดั เจนเขา้ ใจงา่ ย การเรยี บเรยี งเน้ือหาเป็นไปโดย ลาดบั ขนั้ ตอน กลมกลนื กนั ตลอดทงั้ เร่อื ง มกี ารเน้นจุดสาคญั เพ่อื เน้นใหเ้ หน็ ถงึ ประเดน็ ของเรอ่ื ง ไดอ้ ยา่ งชดั เจน 3. ตรวจดูส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น สารบัญ ตาราง ภาพประกอบ บรรณานุกรม ภาคผนวก ใหถ้ ูกตอ้ งครบถว้ น เม่อื เขยี นหรอื พิมพ์รายงานเสรจ็ เรยี บร้อยแล้ว ควรตรวจสอบว่ามีขอ้ บกพร่องใน การพมิ พ์หรอื ไม่ สงิ่ ท่คี วรตรวจสอบคอื ตวั สะกดการนั ต์ รูปแบบการพมิ พ์ การย่อหน้า ระบบ การใหห้ วั ขอ้ เน้ือหาครบถว้ น การอา้ งอิงถูกต้องตามหลกั เกณฑ์ เรยี งลาดบั หน้าถูกต้องและมี สว่ นประกอบครบถว้ น จงึ เยบ็ เลม่ ใหเ้ รยี บรอ้ ย สะอาดสวยงามพรอ้ มทจ่ี ะนาส่งอาจารยผ์ สู้ อนต่อไป ส่วนประกอบของรายงานทางวิชาการ การเขียนรายงานทางวิชาการ ไม่ว่าจะเป็ นรายงานประเภทใดเน้นในเร่ือง ส่วนประกอบและการจดั รูปเล่มมาก ดงั นัน้ ผูท้ ่จี ะเขยี นรายงานจงึ จาเป็นต้องทราบถึงรูปแบบ ส่วนประกอบต่าง ๆ ท่เี ป็นมาตรฐาน เพ่อื จะได้เขยี นรายงานได้ถูกต้องตามแบบแผน อีกทงั้ ยงั ช่วยให้รายงานนัน้ มีความสมบูรณ์เพ่ิมคุณค่าย่ิงข้นึ การเขียนรายงานทางวิชาการแต่ละ ประเภทมสี ่วนประกอบแตกต่างกนั ออกไป เม่อื ทาการคน้ ควา้ และจดบนั ทกึ ขอ้ ความเรยี บรอ้ ย แลว้ ใหเ้ รยี บเรยี งเน้อื หาของรายงานตามโครงเรอ่ื งทไ่ี ดก้ าหนดไว้ รายงานท่ดี ีควรมสี ่วนประกอบท่ีสาคญั 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนนา ส่วนเน้ือเร่อื ง และ ส่วนอา้ งองิ ซงึ่ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี (คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . 2551 : 126) 1. ส่วนนา หมายถึง ส่วนท่ีอยู่ตอนต้นเล่มของรายงานก่อนถึงเน้ือเร่ือง ประกอบดว้ ยสว่ นต่าง ๆ คอื ปกนอก หนา้ ปกใน คานา และสารบญั ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี 1.1 ปกนอก (Cover) คือ ส่วนท่ีเป็นปกหุ้มรายงานทงั้ หมด มีทงั้ ปกหน้า และ ปกหลัง กระดาษท่ใี ช้เป็นปกควรเป็นกระดาษแขง็ พอสมควร สีใดกไ็ ด้ ขอ้ ความท่ปี รากฏบน ปกนอก ได้แก่ ส่วนช่อื เร่อื งของรายงาน การเขยี นหรอื พมิ พ์ช่อื เร่อื งของรายงาน ให้ห่างจาก ขอบบนของหน้ากระดาษลงมาประมาณ 2 น้ิว และควรให้ช่อื เร่ืองของรายงานอยู่ก่ึงกลาง หน้ากระดาษพอดี ส่วนช่อื ผู้เขยี นรายงาน ให้อยู่ตรงส่วนกลางของหน้ากระดาษ พมิ พช์ ่อื และ นามสกลุ ของผเู้ ขยี นรายงาน ในบรรทดั ตอ่ มา ใหพ้ มิ พเ์ ลขประจาตวั ผทู้ ารายงาน และสาขางานท่ี

155 นกั ศกึ ษาสงั กดั ในกรณีทม่ี ผี ู้เขยี นรายงานหลายคน ให้ใส่ช่อื ทุกคนโดยจดั เรยี งตามลาดบั และ สว่ นล่างของปกนอกใหพ้ มิ พข์ อ้ ความทร่ี ะบุว่าเป็นรายงานประกอบรายวชิ าใด รายงานนนั้ จดั ทา ขน้ึ ในภาคการศกึ ษา ปีการศกึ ษาใด และช่อื สถาบนั การศกึ ษาใด 1.2 หน้าปกใน (Title page) คอื ส่วนท่อี ยู่ต่อจากปกนอก ข้อความท่รี ะบุใน หนา้ ปกในจะปรากฏรายละเอยี ดต่าง ๆ เช่นเดยี วกบั ปกนอก 1.3 คานา (Preface) คอื ส่วนท่อี ยู่ถดั จากหน้าปกใน ให้เขยี นหรอื พมิ พค์ าว่า “คานา” ให้ห่างจากขอบบนของหน้ากระดาษลงมาประมาณ 1.5 น้ิว และจัดอยู่ก่ึงกลาง หน้ากระดาษพอดี โดยใชต้ วั อกั ษรหนาขนาดประมาณ 20 พอยต์ ผเู้ ขยี นรายงานเป็นผเู้ ขยี นเอง โดยกล่าวถึงวตั ถุประสงค์และขอบเขตของรายงาน อาจรวมถึงปัญหา อุปสรรคในการศกึ ษา คน้ ควา้ ทารายงาน ตลอดจนคาขอบคุณผทู้ ใ่ี ห้ความช่วยเหลอื ในการรวบรวมขอ้ มูลหรอื การเขยี น รายงาน 1.4 สารบญั หรอื สารบาญ (Contents) คอื ส่วนทอ่ี ยู่ต่อจากหน้าคานา ในหน้า สารบญั จะมลี กั ษณะคล้ายโครงเร่อื งของรายงาน ทาให้ผู้อ่านได้ทราบว่า ขอบเขตเน้ือหาของ รายงานครอบคลุมเร่อื งใดบา้ ง ในหน้าทใ่ี ห้พมิ พ์คาว่า “สารบญั ” ไวก้ ลางหน้า ห่างจากขอบบน ของหน้ากระดาษลงมาประมาณ 1.5 น้ิว และในบรรทดั ถดั มา ใหเ้ วน้ ระยะ 1 ช่วงบรรทดั พมิ พ์ แล้วจึงพิมพ์คาว่า “หน้า” ไว้ทางด้านขวาของหน้ากระดาษ จากนั้นจึงเร่ิมพิมพ์ข้อความใน หน้าสารบัญ โดยเรมิ่ ต้นจากหัวข้อสาคญั ๆ ของรายงาน จดั เรยี งตามลาดบั เร่อื ง และท้ายสุด เป็นรายการอา้ งองิ ทใ่ี ชป้ ระกอบการเรยี บเรยี งรายงาน หน้าสารบญั ควรจดั ทาเม่อื เขยี นรายงาน เสรจ็ แลว้ เพ่อื จะไดท้ ราบว่าแตล่ ะหวั ขอ้ เรม่ิ จากหนา้ ใดบา้ ง 2. ส่วนเนื้อเร่ือง หมายถึง ส่วนท่อี ยู่ต่อจากส่วนนา เป็นส่วนท่สี าคญั ท่สี ุดของ รายงาน เพราะจะครอบคลุมเน้ือหาทงั้ หมดของรายงานตามโครงเร่อื งท่กี าหนดไว้ หรอื ตามท่ี แจ้งไว้ในสารบัญ ส่วนเน้ือเร่ืองจะประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ คือ บทนา เน้ือเร่ือง และสรุป ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี 2.1 บทนา (Introduction) ต่างจากคานา คอื การเขียนบทนาจะต้องอธบิ าย เน้ือหาอย่างกว้าง ๆ เป็นการนาผู้อ่านเขา้ สู่เน้ือเร่อื ง หรอื เน้ือหาของรายงานให้ผู้อ่านเขา้ ใจ ขอ้ มลู เบ้อื งตน้ และเกดิ ความสนใจทจ่ี ะตดิ ตามอา่ นเน้อื หาโดยละเอยี ดต่อไป 2.2 เน้ือเร่ือง (Text) คือ ส่วนท่ีเสนอเร่ืองราวสาระทัง้ หมดของรายงาน ตามลาดบั ของหวั ขอ้ ท่รี ะบุไวใ้ นหน้าสารบญั การเสนอเน้ือเร่ืองอาจแบ่งออกเป็นบทหรอื ตอน เพ่อื ช่วยใหผ้ อู้ ่านเหน็ ประเด็นสาคญั ของเน้ือความตามลาดบั และต่อเน่ืองกนั ส่วนการทจ่ี ะแบ่ง ออกเป็นบทหรอื ตอนอย่างไรนัน้ ข้นึ อยู่กบั ลกั ษณะความสนั้ ยาวของเน้ือเร่อื ง ถา้ เป็นรายงาน ขนาดสนั้ ไม่จาเป็นต้องแบ่งเป็นบทหรอื ตอนก็ได้ เพียงแต่แบ่งตามหวั ขอ้ สาคญั ๆ ของเน้ือเร่อื ง ใหเ้ หมาะสม แตถ่ า้ เป็นรายงานขนาดยาว จงึ สมควรแบง่ เป็นบทหรอื ตอน เพ่อื ใหช้ ดั เจน

156 2.3 สรปุ (Conclusion) คอื ส่วนทเ่ี ขยี นเพ่อื เน้นยา้ หรอื นาเสนอประเดน็ สาคญั ของเน้อื หารายงานโดยสรุปเฉพาะสาระสาคญั เพอ่ื ใหผ้ ูอ้ ่านเกดิ ความชดั เจน และเขา้ ใจมากขน้ึ สว่ นสรปุ ของรายงานควรมคี วามยาวประมาณ 1 – 2 หนา้ กระดาษ 3. สว่ นอ้างอิง (References) หมายถึง สว่ นท่แี สดงหลกั ฐานประกอบการคน้ ควา้ และการเขยี นรายงานเพอ่ื ให้ทราบว่าผูท้ ารายงานไดค้ น้ คว้ามาจากแหล่งใดบ้าง นับเป็นส่วนท่ี ทาใหร้ ายงานมคี วามน่าเชอ่ื ถอื และแสดงถงึ ความมจี รยิ ธรรมทางวชิ าการ สว่ นอา้ งอิงมี 2 ลกั ษณะ คอื การอา้ งองิ ในเน้ือหาของรายงาน และการอา้ งองิ ท่ี อยู่ตอนทา้ ยเล่มของรายงาน 3.1 การอ้างอิงในเน้ือหาของรายงาน จะปรากฏเม่อื ผู้ทารายงานได้คดั ลอก ขอ้ ความ หรอื อา้ งคาพดู หรอื แนวความคดิ ของบคุ คลอ่นื มาไวใ้ นการทารายงานของตน โดยระบุ นามผู้แต่ง ปีพมิ พ์ และ หรอื เลขหนา้ ส่วนการอา้ งองิ ท่ีอยู่ตอนท้ายเล่มของรายงาน คอื การนา รายการทอ่ี ้างอิงในเน้ือหาทงั้ หมดมารวบรวมไวต้ อนท้ายเล่มของรายงานในลกั ษณะท่เี รยี กว่า รายการอ้างองิ หรอื ในลกั ษณะบรรณานุกรม ซึ่งหมายถงึ รายการทรพั ยากรสารสนเทศทงั้ หมด ทผ่ี ู้ทารายงานไดใ้ ชป้ ระกอบการคน้ คว้าการทารายงาน โดยจะต้องนามาจดั เรยี งไวต้ ามลาดบั ตวั อกั ษร และบนั ทกึ รายการต่าง ๆ ตามแบบแผนบรรณานุกรมทไ่ี ดก้ าหนดไว้ 3.2 การอา้ งอิงท่อี ยู่ตอนทา้ ยเลม่ ของรายงาน ไดแ้ ก่ บรรณานุกรม เป็นการนา รายช่อื สง่ิ พิมพ์และวสั ดุอา้ งอิงประเภทอ่นื ทผ่ี ู้จดั ทารายงานใชเ้ ป็นขอ้ มูลในการจดั ทารายงาน เพ่อื สนับสนุนให้รายงานหรอื ผลงานทางวชิ าการมีความน่าเช่อื ถือ และผู้อ่านสามารถใช้เป็น ขอ้ มูลในการศกึ ษาค้นคว้าเพ่ิมเติม มีการจดั ลาดบั ของรายการอ้างอิงภาษาไทยตามลาดับ พยัญชนะและลาดับสระ ตามรูปแบบพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ส่วนรายการ ภาษาองั กฤษเรยี งตามลาดบั พยญั ชนะ A-Z และลาดบั พยญั ชนะของตวั ตามเช่นกนั ส่วนอา้ งองิ จะอยู่เป็นส่วนท้ายของรายงาน นอกจากสว่ นอา้ งองิ แล้ว ในรายงาน บางเร่อื งอาจมภี าคผนวกประกอบดว้ ยกไ็ ด้ ภาคผนวก คอื สว่ นทเ่ี พมิ่ เตมิ เน้อื หาของเร่อื งทจ่ี ะเขยี นรายงาน อาจเป็นตาราง ตวั เลข สถิติ รูปภาพ แผนภูมิ แผนท่ี ซึ่งจะช่วยประกอบใหเ้ ขา้ ใจเร่อื งราว เน้อื หาของรายงาน ไดด้ ยี งิ่ ขน้ึ อยา่ งไรกต็ าม รายงานไมจ่ าเป็นตอ้ งมภี าคผนวกเสมอไป จะมหี รอื ไมข่ น้ึ อยู่กบั ความ จาเป็น และความเหมาะสมของรายงานแต่ละเร่อื ง หากรายงานใดมภี าคผนวก ภาคผนวกจะอยู่ ตอนท้ายจากรายการอ้างองิ หรอื บรรณานุกรม หน้าแรกของภาคผนวก ใหเ้ ขยี นว่าภาคผนวก อยู่ตรงกลางหน้ากระดาษ หน้าถดั ไปเป็นเน้ือหาของภาคผนวก ถ้าในกรณีท่ีมภี าคผนวก มากกว่า 1 ภาคผนวกหน้าแรกของภาคผนวกให้เขยี นว่า ภาคผนวก ตรงกลางหน้ากระดาษ เชน่ เดยี วกนั หน้าถดั ไป เขยี นคาว่า ภาคผนวก ก กลางหน้ากระดาษ หนา้ ถดั ไปเป็นเน้ือหา ของภาคผนวก ก และใหข้ ้นึ หน้าใหม่ทุกครงั้ โดยใชห้ วั ข้อตามลาดบั อกั ษรเป็นภาคผนวก ข ภาคผนวก ค ตามลาดบั

157 ตวั อย่างการเว้นขอบกระดาษ 1 1 น้วิ หน้าปกติ 1.25 ซม. เลขหน้า 2 2 1 1 น้วิ 1 น้วิ 2 1 น้วิ

158 ตวั อย่างและรปู แบบการเขียนรายงาน รปู แบบการเขียนปกนอกของรายงาน 2 น้วิ ช่ือเรอ่ื งของรายงาน ชอ่ื –นามสกุล ครูผสู้ อน 1 1 น้วิ ชอ่ื – นามสกุล ผเู้ ขยี นรายงาน 1 น้วิ 2 รหสั ประจาตวั นักศกึ ษา ระดบั ชนั้ สาขางาน รายงานน้เี ป็นส่วนหน่งึ ของวชิ า .............................................. ภาคเรยี นท.่ี ........... ปีการศกึ ษา.................. ช่อื สถาบนั การศกึ ษา 1 น้วิ

159 ตวั อยา่ งหนา้ ปกนอกของรายงาน 2 น้วิ ภาวะโลกรอ้ น เสนอ ครกู ฤตยา จนั ทรส์ วา่ ง จดั ทาโดย นายกฤษฎา ใจหลา้ หาญ รหสั 5731010118 นักศกึ ษาระดบั ชนั้ ปวส. 1 กลมุ่ 5 สาขางานเทคนิ คยานยนต์ รายงานนี้เป็นส่วนหน่ึงของวิชาห้องสมุดกบั การร้สู ารสนเทศ (3000–1601) ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2557 วิทยาลยั เทคนิคลพบรุ ี

160 ตวั อย่างหนา้ ปกนอกของรายงาน (งานกลมุ่ ) 2 น้วิ ภาวะโลกรอ้ น เสนอ ครกู ฤตยา จนั ทรส์ วา่ ง จดั ทาโดย นักศึกษาระดบั ชนั้ ปวส. 1 กลุ่ม 5 สาขางานเทคนิ คยานยนต์ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาห้องสมุดกบั การร้สู ารสนเทศ (3000–1601) ภาคเรยี นที่ 1 ปี การศกึ ษา 2557 วิทยาลยั เทคนิคลพบรุ ี

161 ตวั อยา่ งหนา้ คานา 1.5 น้วิ ก คานา รายงานฉบับน้ีนาเสนอในเร่ืองภาวะโลกร้อน ซ่ึงเป็ น ปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนในโลกปัจจุบันและอนาคต เน้ือเร่ืองกล่าวถึง ท่ีม า ข อ ง ภ า ว ะ โล ก ร้อ น ท่ี เกิ ด จ า ก ก า ร เป ล่ีย น แ ป ล ง ข อ ง ภู มิ อ า ก า ศ สาเหตุท่ที าใหเ้ กิดภาวะโลกร้อน ก๊าซและสารท่มี ผี ลกระทบต่อภาวะโลกรอ้ น ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน รวมถึงแนวทางการป้องกนั ภาวะโลกรอ้ น ทม่ี นุษย์ทุกคนควรทราบ และนาไปปฏบิ ตั เิ พ่อื ช่วยกันแก้ไขปัญหา เพ่อื ไม่ใหป้ ระชากรโลก รวมทงั้ ประเทศไทยไดร้ บั ผลกระทบท่รี ุนแรงจากการ เปล่ยี นแปลงของภูมอิ ากาศ ดงั นัน้ จึงควรร่วมมอื กันในการรกั ษาสมดุล ทางธรรมชาตใิ หค้ งอยู่ตลอดไป ผู้จดั ทาหวงั เป็นอย่างย่ิงว่ารายงานฉบับน้ี จะเป็นประโยชน์ แก่ผู้ท่สี นใจศึกษาขอ้ มูลเกย่ี วกบั ภาวะโลกรอ้ น ซ่ึงจดั เป็นปัญหาสาคญั ในโลกปัจจุบนั ขอขอบคุณครูกฤตยา จนั ทรส์ ว่าง ท่ใี ห้คาแนะนาปรกึ ษา ทาให้รายงานฉบบั น้ีสาเรจ็ ลลุ ่วงไปด้วยดี ท่านเจ้าของขอ้ มูลในการจดั ทา รายงานทผ่ี จู้ ดั ทาไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ มาประกอบการเขยี นและไดอ้ า้ งองิ ไวใ้ น ตอนท้ายของรายงาน หากมีข้อบกพร่องประการใด ผู้จดั ทาขอรบั ไว้ เพอ่ื ปรบั ปรงุ ต่อไป นายกฤษฎา ใจหลา้ หาญ 5 สงิ หาคม 2557

162 ข ตวั อย่างหน้าสารบญั หน้า ก 1.5 น้วิ ค 1 สารบญั 3 3 คานา 5 สารบญั ภาพ 10 บทนา 11 ทม่ี าของภาวะโลกรอ้ น 13 14 ความหมายของภาวะโลกรอ้ น 15 สาเหตุทท่ี าใหเ้ กดิ ภาวะโลกรอ้ น 21 กา๊ ซและสารทม่ี ผี ลกระทบต่อภาวะโลกรอ้ น 23 ไอน้า 25 กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ 29 กา๊ ซมเี ทน 30 กา๊ ซไนตรสั ออกไซด์ 37 สารประกอบคลอโรฟลูออโรคารบ์ อน 42 การเปลย่ี นแปลงอุณหภมู ิ 42 แบบจาลองภูมอิ ากาศ 45 ผลกระทบจากภาวะโลกรอ้ น 49 ผลกระทบระดบั ประเทศ 54 ผลกระทบระดบั โลก การป้องกนั และวธิ กี ารแกป้ ัญหาภาวะโลกรอ้ น การป้องกนั ภาวะโลกรอ้ น วธิ กี ารแกป้ ัญหาภาวะโลกรอ้ น บทสรุป บรรณานุกรม

163 ตวั อยา่ งหนา้ บรรณานุกรม 1.5 น้วิ บรรณานุกรม กอร,์ อลั . โลกรอ้ น ความจริงท่ีไมม่ ีใครอยากฟัง. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ : มตชิ น, 2550. ธนวฒั น์ จารพุ งษส์ กุล. โลกรอ้ นสดุ ขวั้ วิกฤตอนาคตไทย. กรงุ เทพฯ : ฐานบ๊คุ ส,์ 2550. ธารา บวั คาศร.ี โลกรอ้ น 5°C. กรุงเทพฯ : ดนิ สามน้าหนง่ึ , 2550. . พสิ ุทธพิ ร ฉ่าใจ. 29 โรคอนั ตราย อนั เป็นผลจากภาวะโลกรอ้ น. กรงุ เทพฯ : ตน้ ธรรม, 2551. อรรณพ เรอื งวเิ ศษ. Heat Pump เทคโนโลยเี พือ่ การประหยดั พลงั งานและ ลดภาวะโลกร้อน. กรุงเทพฯ : สมาคมสง่ เสรมิ เทคโนโลยไี ทย-ญป่ี ่นุ , 2551. กรมอุตุนยิ มวทิ ยา. ภาวะโลกรอ้ น. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.tmd.go.th/NCCT/index.php. (สบื คน้ เมอ่ื 5 สงิ หาคม 2557). คลงั ปัญญาไทย. ภาวะโลกรอ้ น. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php. (สบื คน้ เมอ่ื 5 สงิ หาคม 2557). มูลนธิ วิ กิ พิ เี ดยี . ภาวะโลกร้อน. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.wikipedia.org/wiki /ปรากฏการณ์โลกรอ้ น - 318k. (สบื คน้ เม่อื 5 สงิ หาคม 2557). วชิ าการดอตคอม. สาเหตุของภาวะโลกรอ้ น. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.vcharkarn.com/varticle/18345. (สบื คน้ เมอ่ื 5 สงิ หาคม 2557).

164 หลกั การเขยี นและการพิมพร์ ายงาน เม่อื ตรวจทานและแก้ไขรายงานฉบับร่างแล้ว ควรคดั ลอกด้วยลายมอื ท่อี ่านง่าย หรอื พมิ พต์ ามแบบของบทนิพนธป์ ระเภทนนั้ ๆ อย่างเรยี บรอ้ ย สะอาด และเป็นระเบยี บเดยี วกนั ตลอดทงั้ เล่ม พรอ้ มทงั้ เขยี นหรอื พมิ พส์ ว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของรายงานใหถ้ กู ตอ้ งและครบทกุ สว่ น หลกั เกณฑ์ในการเขียนหรือพิมพ์รายงาน การเขยี นหรอื พมิ พ์รายงานควรปฏบิ ัติ ดงั น้ี 1. ควรใชก้ ระดาษ A4 มาตรฐาน (8.5 X 11.5 น้วิ ) และมคี วามหนา 70 - 80 แกรม 2. ในการเขยี นหรอื พมิ พ์ ควรใชก้ ระดาษเพยี งหนา้ เดยี ว 3. ตวั อกั ษรควรใชต้ วั อกั ษรสดี า มขี นาด และแบบตวั อกั ษร เป็นมาตรฐานเดยี วกนั ตลอดเล่ม 3.1 ตัวอักษรในส่วนของปก คานา สารบัญ หัวข้อสาคญั ๆ บรรณานุกรม ภาคผนวก อภธิ านศพั ท์ ดรรชนี ใช้ตวั อกั ษรขนาด 20 พอยต์ และเป็นตวั หนา ส่วนขอ้ หวั รอง ใชต้ วั อกั ษรขนาด 18 พอยต์ 3.2 เน้อื เร่อื ง ใชต้ วั อกั ษรขนาด 16 พอยต์ 3.3 การเวน้ ระยะในการพมิ พย์ อ่ หนา้ ใหเ้ วน้ 8 ชว่ งตวั อกั ษร เรมิ่ พมิ พต์ วั อกั ษรท่ี 9 4. ขอ้ ความ ตาราง รูปภาพต่างๆ ท่พี ิมพ์ต้องเว้นหวั กระดาษและขอบกระดาษ ซา้ ยมอื ใหเ้ วน้ ไว้ 1.5 น้วิ ขอบขวามอื และขอบล่างใหเ้ วน้ ไว้ 1 น้วิ 5. การลาดบั หนา้ 5.1 การลาดบั หน้าส่วนแรกของรายงาน ได้แก่ คานา สารบัญ สารบญั ภาพ ให้ใช้ตวั พยญั ชนะภาษาไทยเรยี งตามลาดบั และตงั้ แตส่ ่วนเน้อื หาจนถงึ สว่ นสุดทา้ ย การลาดบั หนา้ ใหใ้ ชห้ มายเลข 1,2,3 เป็นตน้ 5.2 การพมิ พพ์ ยญั ชนะหรอื หมายเลขเพ่อื เรยี งลาดบั หน้า ใหพ้ มิ พไ์ ว้ตอนบน ทางมุมขวามอื ของหน้ากระดาษ โดยพมิ พ์ห่างจากขอบบน 1.25 เซนตเิ มตร และขอบด้านขา้ ง ทางขวามอื 1 น้วิ 5.3 สาหรบั หน้าแรกของเน้ือเร่อื ง หน้าแรกของบรรณานุกรม และหน้าแรกของ ภาคผนวกไมต่ อ้ งใส่หมายเลขกากบั หนา้ แต่ใหน้ ับรวมจานวนหนา้ ไปดว้ ย 6. การเวน้ ระยะและการวางหวั ขอ้ 6.1 การเวน้ ระยะระหวา่ งบรรทดั 1 ชว่ งบรรทดั พมิ พ์ 6.2 การย่อหน้าใหเ้ วน้ ไว้ 8 ชว่ งตวั อกั ษรจากขอบทเ่ี วน้ ไว้

165 6.3 ถ้าหัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง และหัวข้อย่อยไม่ได้อยู่บรรทัดแรกของ หน้ากระดาษ เวลาเขียนหรือพิมพ์หวั ข้อเหล่าน้ีควรเว้นระยะให้ห่างจากข้อความตอนบน 1 ชว่ งบรรทดั พมิ พ์ 6.4 หวั ขอ้ ใหญ่ ควรอยู่กลางหน้ากระดาษ หวั ข้อรองอยู่ชดิ ขอบซา้ ยมอื ส่วน หวั ข้อย่อยให้ย่อหน้าเข้ามา ถ้ามีขอ้ ความขยายหวั ข้อย่อย ให้เขียนหรอื พิมพ์ต่อในบรรทดั เดยี วกบั หวั ขอ้ ยอ่ ย 7. การเขยี นหรอื พมิ พห์ นา้ ปก มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 7.1 ช่อื เร่อื งรายงาน อยู่ห่างจากขอบบนของหนา้ กระดาษลงมาประมาณ 2 น้วิ และควรให้อยู่กลางหน้ากระดาษ ใช้ตวั อักษรและขนาดท่ีอ่านง่ายและเป็นตวั อกั ษรรูปแบบ มาตรฐาน (ไม่มคี าว่ารายงานเรอ่ื ง) ถา้ ช่อื เรอ่ื งมตี วั อกั ษรเกนิ กวา่ 52 ตวั อกั ษร ควรจะเขยี นหรอื พมิ พเ์ ป็นรปู หน้าจวั่ กลบั 7.2 ช่ือและนามสกุลของครู อาจารย์ผู้สอน ท่ีผู้เขียนต้องนาเสนอหรือส่ง รายงาน 7.3 ชอ่ื ผเู้ ขยี นรายงาน เขยี นหรอื พมิ พช์ อ่ื และนามสกุลของผเู้ ขยี นรายงานและ ช่อื ของแผนกหรอื สาขาท่นี ักศกึ ษาสงั กดั ในกรณีท่รี ายงานนัน้ มผี ูเ้ ขยี นหลายคน ให้ใส่เฉพาะ ชนั้ กล่มุ แผนกวชิ า และทาใบรายช่อื ผรู้ ่วมงานแทรกไวร้ ะหวา่ งหนา้ ปกในกบั หนา้ คานา 7.4 สว่ นล่างของปก ประกอบดว้ ยขอ้ ความตามลาดบั ดงั น้ี 7.4.1 ช่อื ของรายวชิ าและรหสั วชิ าทก่ี าหนดใหเ้ ขยี นรายงาน 7.4.2 ภาคการศกึ ษา ปีการศกึ ษาทท่ี ารายงาน 7.4.3 ชอ่ื ของสถาบนั การศกึ ษา บรรทดั ลา่ งสดุ ของสว่ นลา่ งปกควรหา่ งจากขอบล่าง 1 น้วิ 8. การเขยี นคานา ควรอยู่กลางหนา้ กระดาษห่างจากขอบบนลงมา 1.5 น้วิ พมิ พ์คาว่า คานา ดว้ ยตวั อกั ษรหนา แลว้ เวน้ 1 บรรทดั พมิ พข์ อ้ ความ แบ่งเป็นสองย่อหนา้ ย่อหน้าท่ี 1 กล่าวถึงวตั ถุประสงค์ และบอกขอบเขตของเน้ือหาบอกวิธีการ คน้ ควา้ ในเลม่ ย่อหน้าท่ี 2 ขอบคุณอาจารย์ประจาวิชาท่ีให้คาปรึกษาในการทารายงานให้ เสรจ็ สมบรู ณ์ เวน้ 1.5 น้วิ ลงช่อื ผูเ้ ขยี นพรอ้ มลงวนั ท่ี เดอื น (เขยี นเตม็ ไมเ่ ขยี นย่อ) ปี (ไม่ตอ้ งมี พ.ศ.) กากบั ไวด้ ว้ ย 9. การเขยี นสารบญั มหี ลกั การดงั น้ี 9.1 ให้เขยี นหรอื พมิ พ์คาว่า สารบญั กลางบรรทดั แรกของหน้ากระดาษดว้ ย ตวั อกั ษรหนา สว่ นบรรทดั ท่ี 2 ใหเ้ วน้ วา่ ง บรรทดั ท่ี 3 ใหเ้ ขยี นหรอื พมิ พค์ าว่า “หน้า” ชดิ ขอบขวา 9.2 เม่อื พมิ พ์หวั ขอ้ ใหญ่หรอื หวั ข้อสาคญั ในหน้าสารบญั จบแล้ว ต้องลงคาว่า “บรรณานุกรม” และลงเลขบอกหน้าแรกของบรรณานุกรมเชน่ เดยี วกบั หวั ขอ้ สาคญั

166 9.3 ตัวเลขท่ีบอกหน้าจะต้องอยู่ในแนวเดยี วกนั กบั ตวั อกั ษรตวั สุดท้ายของ คาว่า “หนา้ ” 9.4 การระบเุ ลขหน้า ใหเ้ ลขหลกั หน่วยตรงกนั 10. เน้ือหา เป็นส่วนท่ปี ระกอบด้วยข้อมูลทงั้ หมดโดยละเอียด พิมพ์หวั ข้อใหญ่ กลางหน้ากระดาษ บรรทดั ต่อมาเว้น 1 บรรทดั พมิ พ์ พิมพ์หวั ขอ้ สาคญั ให้พิมพ์ชดิ ขอบซา้ ย และตามดว้ ยขอ้ มลู ตามหวั ขอ้ 11. การเขียนบรรณานุกรม ให้เขยี นหรอื พิมพ์คาว่า บรรณานุกรม อยู่กึ่งกลาง หนา้ กระดาษด้วยตวั อกั ษรหนา แลว้ เวน้ 1 บรรทดั พมิ พร์ ายละเอยี ด โดยใชห้ ลกั เกณฑก์ ารทา บรรณานุกรมดงั ตอ่ ไปน้ี 11.1 ถา้ เน้อื หารายงาน เป็นภาษาไทย ใหเ้ รยี งเอกสารสงิ่ พมิ พแ์ ละวสั ดุอา้ งองิ ภาษาไทยก่อนภาษาตา่ งประเทศ โดยเรยี งลาดบั ตามอกั ษรของช่อื ผแู้ ตง่ ตามแบบพจนานุกรม 11.2 บรรทัดแรกของแต่ละรายการจะพิมพ์ชิดขอบโดยไม่เว้นระยะ แต่ถ้า รายการนนั้ พมิ พไ์ ม่จบในบรรทดั เดยี วใหพ้ มิ พ์ตอ่ ไปในบรรทดั ท่ี 2 โดยเวน้ ระยะเขา้ ไปประมาณ 8 ชว่ งตวั อกั ษร 11.3 ถ้าผู้แต่งเป็นชาวต่างประเทศให้กลับเอาช่ือสกุลข้นึ ก่อนช่อื ต้น สาหรบั ผแู้ ตง่ คนแรกของแต่ละรายการ 11.4 ในแต่ละรายการถา้ สว่ นใดสว่ นหนึ่งไม่มี ใหเ้ ล่อื นส่วนตอ่ ไปขน้ึ มาแทนท่ี 11.5 ถ้ารายการใดไม่มีปีท่ีผลิต ให้ลง ม.ป.ป. สาหรบั ภาษาไทย หรือ n.d. สาหรบั ภาษาอังกฤษ ไม่มีสานักพิมพ์ให้ลง ม.ป.ท. สาหรบั ภาษาไทย หรอื n.d. (no date) สาหรบั ภาษาองั กฤษ 12. ภาคผนวก หน้าแรกพมิ พ์ ภาคผนวก อยู่ตรงกลางหน้ากระดาษ หน้าถดั ไปเป็น เน้อื หาของภาคผนวก ถา้ มมี ากกว่าหน่ึงภาคผนวกหนา้ แรกของภาคผนวกให้เขยี นคาว่า ภาคผนวก ตรงกลางหน้ากระดาษเช่นเดียวกัน หน้าถัดไปเขียนคาว่า ภาคผนวก ก กลางหน้ากระดาษ หน้าถัดไปเป็ นเน้ือหาของภาคผนวก ก และให้ข้ึนใหม่ทุกครงั้ โดยใช้หัวข้อตามลาดับอักษร เช่น ภาคผนวก ข ภาคผนวก ค ตามลาดบั 13. อภธิ านศพั ท์ คอื หน้าท่ปี ระกอบไปดว้ ยบญั ชคี าศพั ท์ยาก ๆ ศพั ท์เฉพาะหรอื ศพั ท์ภาษาต่างประเทศท่กี ล่าวถงึ ในเน้ือเร่อื ง และมคี าอธบิ ายศพั ท์เหล่านัน้ เพ่อื ช่วยให้เขา้ ใจ เน้อื เร่อื งไดด้ ขี น้ึ จดั เรยี งตามลาดบั อกั ษรตงั้ แต่ ก ถงึ ฮ หรอื A ถงึ Z เป็นตน้ 14. ดรรชนี คือ หวั ขอ้ ย่อยๆ หรอื บัญชีคาท่เี ก็บมาจากเน้ือเร่อื งในหนังสือนัน้ ๆ แลว้ นามาจดั เรยี งตามลาดบั อกั ษรตงั้ แตอ่ กั ษร ก หรอื อกั ษร A

167 การเขียนบรรณานุกรม ในการจดั ทารายงานโดยเฉพาะรายงานทางวชิ าการ การระบุท่มี าของแหล่งขอ้ มูล ท่ศี กึ ษาค้นคว้ามาประกอบการเขียนรายงานเป็นสง่ิ สาคญั อย่างยิง่ เพราะเป็นการให้เกียรติ แก่เจ้าของผลงานเดมิ รวมทงั้ เป็นการเพิ่มความน่าเช่อื ถือของข้อมูลในรายงานให้ผู้อ่านพิจารณา หรอื เป็นแหล่งค้นคว้าเพิ่มเติมตามความสนใจ โดยผู้เขียนอาจเขียนรายการอ้างอิงไว้ท้ายเล่ม ซงึ่ เรยี กวา่ บรรณานุกรม บรรณานุกรม คือ รายการของทรพั ยากรสารสนเทศทุกประเภทท่ผี ู้เขียนใช้ใน การศกึ ษาคน้ ควา้ หาขอ้ มูลและอา้ งองิ ประกอบในการเขยี นรายงาน ภาคนพิ นธห์ รอื วทิ ยานิพนธ์ ซงึ่ เป็นความหมายเดยี วกนั กบั คาว่าเอกสารอา้ งองิ หลกั เกณฑท์ วั่ ไปของการเขียนบรรณานกุ รม การเขยี นบรรณานุกรมมหี ลกั ดงั น้ี 1. เขียนหรือพิมพ์คาว่า บรรณานุกรม ไว้กลางหน้ากระดาษ ห่างจากขอบ ดา้ นบนประมาณ 1.5 น้วิ ดว้ ยตวั อกั ษรหนาขนาดเดยี วกนั กบั คานา สารบญั และไมต่ อ้ งขดี เสน้ ใต้ 2. เขียนหรือพิมพ์บรรณานุกรมแต่ละรายการ ในบรรทัดแรกให้ชิดขอบซ้าย ถ้าไม่พอในบรรทดั เดยี วให้ต่อในบรรทดั ถดั ไปในระยะย่อหน้าหรอื เว้นเข้าไป 8 ช่วงตวั อกั ษร และเรมิ่ พมิ พใ์ นระยะท่ี 9 3. เรยี งลาดบั บรรณานุกรมตามลาดบั ตัวอกั ษรของรายการแรก ก-ฮ หรอื A-Z ไมม่ เี ลขลาดบั ทก่ี ากบั 4. ถ้าทรพั ยากรสารสนเทศท่ีจะนามาเขียนบรรณานุกรมมีทงั้ ภาษาไทยและ ภาษาองั กฤษใหเ้ รยี งบรรณานุกรมภาษาไทยไวก้ อ่ น แลว้ จงึ เรยี งบรรณานุกรมภาษาองั กฤษ 5. ถ้าทรพั ยากรสารสนเทศ ท่จี ะนามาเขยี นบรรณานุกรมมีหลายประเภท และ แต่ละประเภทมีจานวนมาก ให้แบ่งตามประเภทของเอกสารนั้น ๆ เช่น หนังสือ วารสาร หนงั สอื พมิ พ์ จลุ สาร เอกสารอดั สาเนา โสตทศั นวสั ดุ สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เป็นตน้ 6. ถา้ รายการแรกในบรรณานุกรมซา้ กนั เชน่ ผแู้ ตง่ ผเู้ ขยี นบทความ หรอื สถาบนั ซ้ากัน ให้เรียงตามลาดับตัวอักษรของช่ือหนังสือ หรือช่ือบทความท่ีอยู่ลาดับถัดไป และบรรณานุกรมท่ีเขียนในลาดับหลังไม่ต้องเขียนหรือพิม พ์ส่วนแรกซ้าอีก โดยให้ใช้ เคร่อื งหมายสญั ประกาศ หรอื ขดี เสน้ ยาว 8 ชว่ งตวั อกั ษรหรอื ประมาณ 1 น้วิ แทน 7. หลงั เครอ่ื งหมายมหพั ภาค (.) ใหเ้ วน้ 2 ระยะเคาะแป้นพมิ พ์ และหลงั เคร่อื งหมาย อ่ืน ๆ เช่น มหัพภาคคู่ (:) ให้เว้นระยะหน้าเคร่ืองหมาย 1 ระยะเคาะแป้นพิมพ์ และหลัง เครอ่ื งหมาย 1 ระยะเคาะแป้นพมิ พ์ สว่ นเคร่อื งหมาย จุลภาค (,) อฒั ภาค (;) อญั ประกาศ (“ ”) นขลขิ ติ ( ) ใหเ้ วน้ 1 ระยะเคาะแป้นพมิ พ์

168 8. ผแู้ ตง่ คนเดยี วกนั แต่บางเล่มมผี อู้ ่นื แต่งรว่ มดว้ ย ใหล้ งเลม่ ทผ่ี แู้ ต่งคนเดยี วก่อน จนหมดแลว้ จงึ ตามดว้ ยเลม่ ทม่ี ผี อู้ ่นื แตง่ ร่วมดว้ ย 9. ชอ่ื สารสนเทศใหพ้ มิ พด์ ว้ ยอกั ษรตวั หนา ตวั เอยี ง หรอื ขดี เสน้ ใตต้ ลอดช่อื เรอ่ื ง 10. ถ้าสารสนเทศไม่ปรากฏผู้แต่ง ผู้จัดทาหรือผู้รบั ผิดชอบให้ใช้ช่ือเร่ืองเป็น รายการแรกของบรรณานุกรมแทนรายการผแู้ ต่ง 11. การเขยี นบรรณานุกรม ถา้ ไม่ปรากฏสถานท่พี มิ พห์ รอื สานักพมิ พ์ ใหล้ งว่า ม.ป.ท. ในตาแหน่งนนั้ ๆ หรอื ถา้ ไม่ปรากฏทงั้ สองอย่างใหล้ ง ม.ป.ท. แทนเพยี งครงั้ เดยี ว 12. ถา้ ไมป่ รากฏปีทพ่ี มิ พ์ ใหล้ งวา่ ม.ป.ป. 13. บรรณานุกรมจะอยู่สว่ นทา้ ยของเลม่ รปู แบบการเขยี นบรรณานุกรม การเขยี นบรรณานุกรมของทรพั ยากรสารสนเทศแต่ละประเภทมรี ปู แบบ ดงั น้ี 1. หนังสอื ผแู้ ต่ง.//ช่ือหนังสือ.//ครงั้ ทพ่ี มิ พ.์ //สถานทพ่ี มิ พ/์ :/สานักพมิ พ,์ /ปีทพ่ี มิ พ.์ ตวั อยา่ ง มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. คณะมนุษยศาสตร.์ สารสนเทศและการศกึ ษาคน้ คว้า. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 5. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, 2546. ศนั สนยี ์ สวุ รรณเจตต์. ห้องสมดุ กบั การร้สู ารสนเทศ. กรุงเทพฯ : พสิ ษิ ฐก์ ารพมิ พ,์ 2546. 2. หนงั สือแปล ผแู้ ตง่ .//ชื่อหนงั สือ.//แปลจาก/ช่อื เรอ่ื งเดมิ /โดยผแู้ ปล.//ครงั้ ทพ่ี มิ พ.์ //สถานทพ่ี มิ พ/์ :/ สานักพมิ พ,์ /ปีทพ่ี มิ พ.์ ตวั อยา่ ง คอสบ้,ี บลิ ล์. อายุเท่าไรกไ็ ม่แก่. แปลจาก Times Flies โดย เจตน์ เจรญิ โท. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 5. กรุงเทพฯ : บานช่นื , 2545. 3. หนงั สือรวบรวมบทความ ผเู้ ขยี นบทความ.//“ชอ่ื บทความ,”./ใน/ชื่อหนงั สอื .//เล่มท/่ี หนา้ .//พมิ พค์ รงั้ ท.่ี //สถานทพ่ี มิ พ/์ :/ สานกั พมิ พ,์ /ปีทพ่ี มิ พ.์

169 ตวั อยา่ ง สายฤดี วรกจิ โภคาทร. “ทศั นคตทิ เ่ี หมาะสมของพอ่ แมต่ อ่ บทบาทของตนเอง,” ใน รกั ลกู ให้ถกู ทาง. เลม่ 1 หนา้ 37-39. กรุงเทพฯ : สถาบนั วจิ ยั ประชากรและสงั คม มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, 2533. 4. วารสาร ผเู้ ขยี นบทความ.//“ช่อื บทความ,”/ชื่อวารสาร.//ปีท,่ี /ฉบบั ท/่ี (เดอื น/ปี)/:/เลขหนา้ . ตวั อย่าง ศริ ริ ตั น์ ทวิ ะศริ .ิ “ครูกาลงั สาคญั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงทางสงั คม,” วิทยาจารย.์ 99, 7 (ตุลาคม 2543) : 9-10. 5. หนงั สือพิมพ์ ผเู้ ขยี นบทความ.//“ชอ่ื บทความหรอื ชอ่ื คอลมั น์,”/ชื่อหนังสือพิมพ.์ //(วนั /เดอื น/ปี)/:/เลขหนา้ . ตวั อย่าง ประกอบ คปุ รตั น์. “หอ้ งสมดุ ลอยฟ้า : ปัญหาและโอกาส,” มติชน. (25 กรกฎาคม 2548) : หน้า 14. 6. จลุ สาร เอกสารอดั สาเนา และเอกสารที่ไม่ได้ตีพิมพต์ ่างๆ ผแู้ ตง่ .//“ช่อื จลุ สารหรอื เอกสาร,”/สถานทพ่ี มิ พ/์ :/ผจู้ ดั พมิ พเ์ ผยแพร่,/ปีทพ่ี มิ พ.์ (อดั สาเนา, แผน่ พบั , พมิ พด์ ดี ) ตวั อย่าง พรพรรณ กาวงศ์. “ผลการดาเนนิ งานการแพทยแ์ ผนไทย ปี 2543,” นนทบรุ ี : สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กระทรวงสาธารณสขุ , 2543. (แผ่นพบั ) 7. วิทยานิพนธ์ ผเู้ ขยี น.//ช่ือวิทยานิพนธ์.//ระดบั วทิ ยานิพนธ.์ //ภาควชิ า/คณะ/มหาวทิ ยาลยั ,/ปีทพ่ี มิ พ.์

170 ตวั อย่าง จริ ศกั ดิ์ สุรงั คพพิ รรธน์. การพฒั นารปู แบบการประเมินหลกั สูตรระดบั ปริญญาของ สถาบนั เทคโนโลยีราชมงคล. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาดุษฎบี ณั ฑติ . ภาควชิ าวจิ ยั การศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , 2540. 8. รายงานวิจยั ผเู้ ขยี น.//“ชอ่ื งานวจิ ยั ,”/รายงานวิจยั .//ช่อื สถาบนั หรอื สานักงานของผเู้ ขยี น,/ปีทพ่ี มิ พ.์ ตวั อยา่ ง บุญธรรม กจิ ปรดี าบรสิ ทุ ธิ์และคณะ. “การวจิ ยั และประเมนิ ผลประสทิ ธภิ าพทางการศกึ ษาของ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล,” รายงานวิจยั . ภาควชิ าศกึ ษาศาสตร์ คณะสงั คมศาสตรแ์ ละ มนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, 2550. 9. บทความในสารานกุ รม ผเู้ ขยี นบทความ.//“ชอ่ื บทความ,”/ช่ือสารานุกรม.//เลม่ ท/่ี (ปีทพ่ี มิ พ)์ /:/เลขหนา้ . ตวั อยา่ ง สริ พิ รรณ ธริ ศิ ริ โิ ชต.ิ “พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตพิ มิ าย,” สารานุกรมวฒั นธรรมภาคอีสาน. 9 (2542) : 3100 - 3104. 10. การบรรยาย การอภิปราย การประชุม การสมั มนา ผพู้ ดู หรอื บรรยาย.//ชื่อหวั ขอ้ หรือหวั เร่ือง.(การบรรยาย การอภปิ ราย การประชุม การสมั มนา) สถานท,่ี /วนั /เดอื น/ปี. ตวั อยา่ ง สมบตั ิ ธารงธญั วงศ์ และคณะ. การดาเนินการเพ่ือการพฒั นานักศกึ ษาในสถาบนั อดุ มศึกษา. (การอภปิ ราย) คอนเวนชนั่ ฮอลล์ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรงุ เทพมหานคร, 21 มนี าคม 2544.

171 11. การสมั ภาษณ์ ผใู้ หส้ มั ภาษณ์.//ตาแหน่ง(ถา้ ม)ี .//สมั ภาษณ์,/วนั /เดอื น/ปี. ตวั อยา่ ง ทกั ษณิ ชนิ วตั ร. นายกรฐั มนตร.ี สมั ภาษณ์, 22 สงิ หาคม 2544. 12. โสตทศั นวสั ดุ เช่น วีดีทศั น์ ภาพยนตร์ แผนท่ีแผ่นโปร่งใส รปู ภาพ ผผู้ ลติ หรอื ผรู้ บั ผดิ ชอบ.//ชื่อเรื่อง.//(ประเภทของวสั ดุ).//สถานทผ่ี ลติ /:/ผผู้ ลติ ,/ปีทผ่ี ลติ . ตวั อย่าง บรษิ ทั แปซฟิ ิกอนิ เตอรค์ อมมวิ นิเคชนั่ จากดั . กลว้ ยไมไ้ ทย. (วดี ที ศั น์). กรงุ เทพฯ : แปซฟิ ิก อนิ เตอรค์ อมมวิ นเิ คชนั่ , 2550. 13. รายการวิทยุ หรอื โทรทศั น์ ผพู้ ดู หรอื ผปู้ ระกาศ.//“ช่อื บทความหรอื ช่อื เรอ่ื ง,”/ชื่อรายการ.//สถานทอ่ี อกอากาศ,/เวลาท่ี ออกอากาศ.//วนั /เดอื น/ปี. ตวั อยา่ ง พสิ ทิ ธิ์ กริ ตกิ ารกลุ . “เจาะกระแสโลก,” ข่าวเช้า 7 สี. สถานีโทรทศั น์สกี องทพั บกช่อง 7, เวลา 05.25 - 6.30 น. 31 สงิ หาคม 2544. 14. สอื่ อิเลก็ ทรอนิกส์ (ขอ้ มูลสารสนเทศอื่นบนอินเทอรเ์ น็ต) ผเู้ ขยี น.//ช่ือเร่ือง.//(ประเภทสอ่ื ).//เขา้ ถงึ ไดจ้ าก/:/แหล่งขอ้ มลู .//(สบื คน้ เม่อื /วนั ท/่ี เดอื น/ปี). ตวั อยา่ ง วกิ พิ เี ดยี สารานุกรมเสร.ี ภาวะโลกร้อน. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://th.wikipedia.org/wiki. (สบื คน้ เมอ่ื 18 เมษายน 2557).

172 ข้อสงั เกต 1. ในการเขยี นบรรณานุกรมทใ่ี ช้ประกอบรายงาน ควรเขยี นในกระดาษแผ่นใหม่ แยกอออกจากเน้อื เร่อื ง 2. แยกรายการอา้ งองิ ตามประเภทแหลง่ ขอ้ มลู และเรยี งลาดบั ตวั พยญั ชนะในแตล่ ะ รายการ ถ้าพยญั ชนะตวั เดยี วกัน ให้เรยี งตามลาดบั สระ และจดั เรยี งรายการ อา้ งองิ ภาษาไทยไวก้ ่อนภาษาต่างประเทศ 3. การเขียนอ้างอิงในบรรณานุกรม หน้าเคร่อื งหมายวรรคตอนทุกเคร่อื งหมาย ไมต่ อ้ งเวน้ วรรค และหลงั เครอ่ื งหมายมหพั ภาค (.) ใหเ้ วน้ 2 ระยะเคาะแป้นพมิ พ์ 4. การเขยี นอา้ งองิ ในบรรณานุกรม หน้าและหลงั เครอ่ื งหมายมหพั ภาคคู่ (:) ใหเ้ วน้ 1 ระยะเคาะแป้นพมิ พ์ และหลงั เคร่อื งหมายอน่ื ๆ ใหเ้ วน้ 1 ระยะเคาะแป้นพมิ พ์ (เคร่อื งหมาย / หมายถงึ เคาะแป้นพมิ พ์ 1 ครงั้ ) (เครอ่ื งหมาย // หมายถงึ เคาะแป้นพมิ พ์ 2 ครงั้ ) หลกั เกณฑก์ ารลงรายละเอียดในบรรณานกุ รม มดี งั น้ี 1. ช่ือผ้แู ต่ง 1.1 ไม่ตอ้ งลงคานาหน้าช่อื ยกเว้น พระราชวงศ์ ราชทนิ นาม บรรดาศกั ดิ์ เวลาลง ใหค้ นั่ ด้วยเคร่อื งหมายจุลภาค (,) กอ่ นคานาหน้าช่อื ถ้าเป็นชาวต่างชาติ ให้ลงนามสกุลก่อนช่อื หลงั นามสกลุ คนั่ ดว้ ยจุลภาค เช่น พรทพิ ย์ โรจนสุนนั ท์ คกึ ฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. Hayes, Robert M. 1.2 ผู้แต่งท่ีเป็นพระสงฆ์ หรอื องค์กร สถาบัน หรือใช้นามแฝง ให้ระบุช่ือตามท่ี ปรากฏในหนงั สอื เช่น พระธรรมปิฎก (ประยุทธิ์ปยุตโต) กรมอาชวี ศกึ ษา สานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช สุมาล,ี นามแฝง 1.3 ผู้แต่งมี 2 คน ให้ลงทงั้ 2 คน โดยเช่อื มด้วยคาว่า “และ” ภาษาองั กฤษใช้ คาวา่ “and” เชน่ เกษม สวุ รรณกลุ และจรสั ศรี ทวปี รตั น์ น้าทพิ ย์ วภิ าวนิ และนงเยาว์ เปรมกมลเนตร. วรี ะ ธรี ะภทั ร และธงชยั สนั ตวิ งศ์ Douglas, Michale C. and Starski, Alan L.

173 1.4 ผู้แต่งท่ีมี 3 คน ให้ลงทั้ง 3 คน โดยเช่ือมด้วย (,) และคาว่า “และ” ภาษาองั กฤษใชค้ าว่า “and” เชน่ เกษม สุวรรณกลุ , ประทปี ดวงรตั น์ และจรสั ศรี ทวปี รตั น์ ปราโมทย์ ทศั นาสวุ รรณ, วรี ะ ธรี ะภทั ร และธงชยั สนั ตวิ งศ์ Hayes, Robert M., Green, Wesley J. and Rockson, Barbara. 1.5 ผู้แต่งมมี ากกว่า 3 คน ให้ลงผู้แต่งคนแรก แลว้ เช่อื มดว้ ยคาว่า “และคน อน่ื ๆ” หรอื “และคณะ” ถา้ เป็นภาษาองั กฤษใชค้ าว่า “and others” เช่น กอบแกว้ โชตกิ ญุ ชร และคนอ่นื ๆ ปราโมทย์ ทศั นาสุวรรณ และคนอ่นื ๆ นภาลยั สุวรรณธาดา และคณะ สกุ านดา ดโี พธิ์และคณะ Malen, Gerald R. and others 1.6 ถา้ ไมป่ รากฏช่อื ผแู้ ตง่ ใหเ้ ล่อื นช่อื เร่อื งมาไวใ้ นตาแหน่งของผแู้ ตง่ เชน่ สารานุกรมวฒั นธรรมไทย. กรุงเทพฯ : มูลนิธสิ ารานุกรมวฒั นธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย,์ 2542. 2. ช่ือเร่ือง ใชช้ ่อื เร่อื งท่หี น้าปกในเน้นความสาคญั ของช่อื เร่อื งด้วยการขีดเส้นใต้ ช่อื เรอ่ื ง หรอื ถา้ พมิ พใ์ หพ้ มิ พด์ ว้ ยตวั ดาหนา หรอื ตวั เอยี ง 3. ครงั้ ท่ีพิมพ์ ถา้ เป็นการพมิ พค์ รงั้ แรกไมต่ อ้ งลงรายการจะลงตอ่ เมอ่ื พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2 เป็นตน้ ไป เชน่ พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2 ภาษาองั กฤษลงวา่ 2nd ed (มาจากคาวา่ second edition) พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3 ภาษาองั กฤษลงว่า 3rd ed (มาจากคาว่า third edition) 3. สถานท่ีพิมพ์ ลงช่ือเมือง หรือช่ือจังหวัดท่ีสานักพิมพ์ หรือโรงพิมพ์ตัง้ อยู่ เช่น กรงุ เทพฯ, นครปฐม, ชลบุรี หรอื New York, Spain เป็นตน้ ถา้ ไม่ปรากฏสถานทพ่ี มิ พใ์ หใ้ ช้ อกั ษรยอ่ “ม.ป.ท.” ภาษาองั กฤษใชอ้ กั ษรย่อ n.p. (no place of publishers) 4. สานักพิมพ์ ให้ระบุช่อื สานักพมิ พ์ท่ปี รากฏในหนังสอื ถ้าไม่มสี านักพมิ พ์ให้ใช้ โรงพมิ พ์แทน แต่ถ้าไม่ปรากฏสานักพมิ พ์ใช้อกั ษรย่อ “ม.ป.ท.” สาหรบั ภาษาองั กฤษใช้ “n.p.” กรณีท่ีไม่ปรากฏทงั้ สถานท่ีพิมพ์และสานักพิมพ์ให้ใช้อักษรย่อ “ม.ป.ท.” หรอื “n.p.” เพียง ครงั้ เดยี ว สาหรบั หนังสอื ของหน่วยงานหรอื องคก์ ร ใหใ้ ชช้ ่อื เป็นสานักพมิ พไ์ ด้ 5. ปี ท่ีพิมพ์ ให้เขยี นเฉพาะตวั เลข ถ้าไม่ปรากฏปีท่พี มิ พ์ให้ใชอ้ กั ษรย่อ “ม.ป.ป.” ภาษาองั กฤษใชอ้ กั ษรย่อ “n.d.” (no date of publication)

174 สรปุ ท้ายบท การเขียนรายงานทางวิชาการเป็ นการแสดงผลของการศึกษาค้นคว้าให้อยู่ ใน รปู แบบท่เี ป็นมาตรฐาน เป็นกิจกรรมทส่ี ่งเสรมิ ให้ผูเ้ รยี นศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเอง รายงานทาง วชิ าการเป็นผลจากการค้นคว้า การแสวงหาความรู้ ความคิด เพ่อื ให้ผู้เรยี นสามารถรวบรวม ความรอู้ ย่างเป็นระบบ และนาเสนอผลทไ่ี ด้จากการศกึ ษาค้นควา้ ในรูปแบบทส่ี ถาบนั กาหนดได้ อย่างมีคุณภาพ ตามหลักเกณฑ์การเขียนรายงานทางวิชาการ โดยนาเสนอข้อเท็จจริง ขอ้ คดิ เหน็ และข้อเสนอแนะของผู้เขียนเกยี่ วกบั เร่อื งท่นี าเสนออย่างถูกต้อง มกี ารอา้ งอิงทม่ี า ของเน้อื หาเพ่อื เพมิ่ ความน่าเช่อื ถอื ใชภ้ าษาถูกตอ้ งเหมาะสมตามหลกั ภาษา องคป์ ระกอบและ รูปแบบครบถ้วนสมบูรณ์ ในการเขยี นรายงานทางวิชาการ ผู้เขียนจะต้องแสดงแหล่งข้อมูล ท่ีนามาใช้อ้างอิงให้ชดั เจน ซ่ึงอาจแสดงในรูปของบรรณานุกรม ดังนัน้ การศึกษาค้นคว้า ดว้ ยตนเอง ถอื เป็นหวั ใจสาคญั ของการค้นควา้ หาความรู้ ซ่ึงผเู้ รยี นจะตอ้ งเรม่ิ จากการรวบรวม ทรพั ยากรสารสนเทศ การอ่าน การวเิ คราะห์ และการนาความคดิ ไปใช้ในการพิจารณาขอ้ มูล และแพรก่ ระจายสารสนเทศอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และนาเสนอผลการศกึ ษาคน้ ควา้ ไดถ้ ูกตอ้ ง

175 การเรยี งลาดบั พยญั ชนะและสระตามแบบพจนานุกรมไทย ตารางแสดงการลาดบั พยญั ชนะและสระตามทใ่ี ชใ้ นพจนานุกรม (ลาดบั จากซา้ ยไปขวา) กขฃคฅฆ ง จฉชซฌญ ฎ ฏ ฐ ฑฒณด ต ถ ท ธ น บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ร ฤ ฤา ล ฦ ฦา ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ ะ (กนั ) ะ (ผวั ะ) า ำ ุู เ เ ะ (เกะ) เ า (เขา) เ าะ (เจาะ) เ (เกนิ ) เ (เสีย) เ ะ (เผยี ะ) เ (เสอื ) เ ะ (เกอื ะ) แ แ ะ (แพะ) โ โ ะ (โป๊ะ) ใ ไ ทม่ี า : พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542

176 ตวั อยา่ งหนา้ ปกแฟ้มสะสมงาน 2 น้วิ แฟ้ มสะสมงาน เสนอ ครกู ฤตยา จนั ทรส์ ว่าง จดั ทาโดย นายกฤษฎา ใจหลา้ หาญ รหสั 5731010118 นักศึกษาระดบั ชนั้ ปวส. 1 กลมุ่ 5 สาขางานเทคนิ คยานยนต์ แฟ้มสะสมงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาห้องสมดุ กบั การร้สู ารสนเทศ (3000–1601) ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2557 วิทยาลยั เทคนิคลพบุรี

177 กิจกรรมส่งเสริมการเรยี นรู้ แบบฝึกปฏิบตั ิการเขยี นบรรณานกุ รม กิจกรรมท่ี 1 ให้นักเรยี นเขยี นบรรณานุกรมของหนังสอื ท่กี าหนดใหถ้ ูกต้องตามหลกั เกณฑ์ การเขยี นบรรณานุกรม (10 คะแนน) 1. หนงั สอื พระราชพงศาวดารกรงุ ธนบุรี แตง่ โดยสานกั พมิ พโ์ ฆษติ จดั พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3 โดยสานักพมิ พโ์ ฆษติ กรุงเทพฯ เม่อื ปี พ.ศ. 2551. 2. หนงั สอื การจดั ดอกไมส้ ด ของนายสมพร ยง่ิ เจรญิ พมิ พท์ ส่ี านักพมิ พ์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั กรุงเทพมหานคร เมอ่ื ปี พ.ศ. 2548 3. หนังสอื โครงสรา้ งขอ้ มูล แต่งโดยนายววิ ฒั น์ อภสิ ทิ ธภิ์ ญิ โญ พมิ พท์ ่ี กรุงเทพฯ โดยบรษิ ทั ไอเดยี ซอฟแวรเ์ ทคโนโลยี จากดั เมอ่ื ปี พ.ศ. 2550 4. หนงั สอื คู่มอื และเทคนคิ การทา VIDEO CD คุณภาพสงู แตง่ โดยนายดุษฎี สงวนชาติ จดั พมิ พเ์ ป็นครงั้ ท่ี 4 โดยสานักพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เมอ่ื ปี พ.ศ. 2550 5. หนังสอื เรอ่ื งฐานขอ้ มลู คลงั ขอ้ มลู และเหมอื งขอ้ มูล จดั ทาโดย นายชนวฒั น์ ศรสี อา้ น พมิ พใ์ นปี พ.ศ. 2550 โดยมหาวทิ ยาลยั รงั สติ จ.ปทมุ ธานี กิจกรรมที่ 2 ใหน้ ักเรยี นจดั เรยี งลาดบั ผแู้ ตง่ ทก่ี าหนดให้ ตามหลกั เกณฑก์ ารเขยี นบรรณานุกรม (10 คะแนน) ...................... 1. ชษิ ณุพงษ์ ธญั ญลกั ษณ์ ...................... 2. เจษฎา โทณะวณกิ ...................... 3. ชลมารค พนั ธสุ์ มบตั ิ ...................... 4. เกยี รตศิ กั ดิ์ อดุ มนาค ...................... 5. อาจอง ชุมสาย ณ อยธุ ยา ...................... 6. สมาคมวศิ วกรสง่ิ แวดลอ้ มแหง่ ประเทศไทย ...................... 7. เศรษฐมนั ตร์ กาญจนกลุ ...................... 8. ภาณุพงษ์ ปัตตสิ งิ ห์ ...................... 9. ปราโมทย์ เดชะอาไพ .....................10. ฐติ พิ ฒั น์ ประทานทรพั ย์

178 กิจกรรมการศึกษาค้นคว้า กิจกรรมที่ 3 ให้นักศกึ ษาค้นคว้าทรพั ยากรสารสนเทศเพ่อื จดั ทารายงานตามเร่อื งท่ีผู้สอน กาหนดให้ เช่น 1. เศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. พระบดิ าแหง่ นวตั กรรมไทย 3. โครงการอนั เน่อื งมาจากพระราชดาริ (ระบุชอ่ื โครงการ) 4. พระอจั ฉรยิ ภาพดา้ น............ (การดนตร,ี การกฬี า, การถ่ายภาพ) 5. พระราชประวตั แิ ละพระราชกรณียกจิ (รชั กาลท่ี 9) 6. ราชวงศ์จกั รี 7. วดั สาคญั ของไทย 8. โบราณสถานไทย (ระบชุ ่อื ) 9. อทุ ยานแห่งชาติ (ระบชุ ่อื ) 10. มรดกโลกในประเทศไทย โดยปฏบิ ตั ติ ามรายละเอยี ด ดงั น้ี 1. จดั ทาโครงเร่อื งใหค้ รอบคลุมเน้อื หาของรายงาน โดยจดั พิมพโ์ ครงเรื่องรายงานมาส่งก่อน และสง่ พรอ้ มเล่มรายงานดว้ ย 2. ใหค้ น้ ควา้ ขอ้ มูลจากหนงั สอื วารสาร และอนิ เทอรเ์ น็ต โดยเน้อื เร่อื งของรายงานต้องไมน่ ้อย กว่า 50 หนา้ (ดหู ลกั เกณฑใ์ นการพมิ พร์ ายงานไดจ้ ากเอกสารประกอบการเรยี น) 3. ใหใ้ ชก้ ระดาษสขี าว A4 พมิ พห์ น้าเดยี ว (ใส่เลขกากบั หน้าดว้ ย) 4. ส่วนประกอบของรายงานต้องครบถ้วน ประกอบด้วย ปกนอก, ปกใน, ช่อื ผู้จดั ทา, คานา, สารบญั , เน้อื เรอ่ื ง และบรรณานุกรม 5. ส่วนเน้อื หาตอ้ งมเี น้อื หาส่วนนาและส่วนสรปุ ประมาณ 1 - 2 หน้า 6. รูปภาพท่ใี ช้ประกอบรายงานต้องชดั เจน และเป็นภาพสพี ิมพ์โดยกระดาษโฟโต้ทงั้ แผ่น ขนาดของภาพ 4” x 6” จานวน 10 - 12 ภาพ และมคี าบรรยายใตภ้ าพทุกภาพ 7. บรรณานุกรมตอ้ งมไี ม่น้อยกว่า 10 รายการ (5 เวบ็ ไซต์ + 5 เล่ม) และเขยี นให้ถกู ตอ้ งตาม หลกั เกณฑก์ ารเขยี นบรรณานุกรม (ดจู ากเอกสารประกอบการเรยี น) 8. ผจู้ ดั ทากลุ่มละ 10 คน ใหท้ ารายชอ่ื ผจู้ ดั ทาเรยี งตามรหสั ประจาตวั หรอื เลขท่ี แทรกระหวา่ ง หนา้ ปกในและหน้าคานา

179 แบบประเมินก่อนและหลงั การเรียนรู้ จงเลือกคาตอบที่ถกู ต้องที่สดุ เพยี งคาตอบเดียว 1. วตั ถุประสงคข์ องการทารายงานขอ้ ใดสาคญั ทส่ี ุด ก. เพอ่ื ใหเ้ รยี นรจู้ กั การคดิ อย่างมรี ะบบ ข. เพอ่ื เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง ค. เพ่อื เสรมิ สรา้ งอุปนสิ ยั รกั การอา่ น ง. เพอ่ื พฒั นาความสามารถทางภาษา 2. รายงานในขอ้ ใด ไม่จดั เป็นรายงานทางวชิ าการ ก. รายงานการประชุม ข. รายงานการวจิ ยั ค. รายงานจากการคน้ ควา้ ประกอบการเรยี น ง. รายงานประกอบโครงงานวชิ าชพี 3. รายงานตามหลกั สตู รปรญิ ญามหาบณั ฑติ และดุษฏบี ณั ฑติ เรยี กวา่ อะไร ก. รายงานทวั่ ไป ข. รายงานการวจิ ยั ค. ภาคนิพนธ์ ง. วทิ ยานิพนธ์ 4. ขอ้ ใดคอื หลกั การเขยี นบรรณานุกรมทถ่ี ูกตอ้ ง ก. การเรยี งรายการอา้ งองิ ใหเ้ รยี งลาดบั ตวั อกั ษร ข. บรรณานุกรมใหใ้ สเ่ ลขกากบั ทกุ รายการ ค. รายการอา้ งองิ ทช่ี ่อื ผแู้ ต่งซา้ ใหเ้ ขยี นซา้ อกี ครงั้ ง. รายการอา้ งองิ ไมต่ อ้ งเรยี งลาดบั ภาษา 5. ส่วนทก่ี ล่าวถงึ วตั ถปุ ระสงคข์ องการทารายงาน ตลอดจนคาขอบคุณ คอื ขอ้ ใด ก. ปกนอก ข. บทนา ค. คานา ง. สารบญั

180 6. ขนั้ ตอนของการทารายงาน ทช่ี ่วยใหผ้ เู้ ขยี นเรยี บเรยี งลาดบั ไดช้ ดั เจนและครอบคลมุ เน้อื เร่อื ง คอื ขอ้ ใด ก. การวางโครงเรอ่ื ง ข. การเลอื กหวั ขอ้ เรอ่ื ง ค. การสารวจแหล่งขอ้ มลู ง. การเรยี บเรยี งเน้ือหา 7. การอา้ งองิ ทา้ ยเลม่ รายงาน เพอ่ื ใหร้ ายงานน่าเช่อื ถอื และใหเ้ กยี รตเิ จา้ ของขอ้ มลู เดมิ เรยี กว่าอะไร ก. เชงิ อรรถ ข. ดรรชนี ค. บรรณานุกรม ง. รายการอา้ งองิ 8. การเนน้ ความสาคญั ของชอ่ื หนังสอื และช่อื วารสารในการเขยี นบรรณานุกรมสามารถทาได้ ดว้ ยวธิ ใี ด ก. พมิ พด์ ว้ ยตวั อกั ษรตวั ใหญ่กวา่ รายการอ่นื ๆ ข. พมิ พต์ วั หนา ตวั เอยี ง หรอื ขดี เสน้ ใต้ ค. พมิ พด์ ว้ ยหมกึ สแี ดงเพอ่ื ใหแ้ ตกตา่ ง ง. พมิ พด์ ว้ ยตวั อกั ษรรูปแบบอน่ื 9. อกั ษรยอ่ “ม.ป.ท.” ใชแ้ ทนการไมป่ รากฏรายการในขอ้ ใด ก. ครงั้ ทพ่ี มิ พ์ ข. ปีทพ่ี มิ พ์ ค. สถานทพ่ี มิ พ์ ง. ประเทศทพ่ี มิ พ์ 10. อกั ษรยอ่ “ม.ป.ป.” ใชแ้ ทนการไม่ปรากฏรายการในขอ้ ใด ก. ครงั้ ทพ่ี มิ พ์ ข. ปีทพ่ี มิ พ์ ค. สถานทพ่ี มิ พ์ ง. ประเทศทพ่ี มิ พ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook