Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2014-04-10การสร้างการเรียนรู้สู่สตวรรษที่ 21

2014-04-10การสร้างการเรียนรู้สู่สตวรรษที่ 21

Published by kanya insorn, 2018-10-24 23:55:13

Description: 2014-04-10การสร้างการเรียนรู้สู่สตวรรษที่ 21

Search

Read the Text Version

การสรา งการเรียนรูสูศตวรรษที่ ๒๑ ศาสตราจารย นายแพทยวจิ ารณ พานชิ

คํ า นิ ย ม ถาโลกนไี้ มม โี รงเรียน คนเราจะไดเรียนรูเพอ่ื พัฒนาชวี ิตใหอ ยรู อด อยูดหี รอื ไม คําตอบคือ ได ต้ังแตเกิดจนเติบโต เราเรียนรูจากการสัมผัสและสัมพันธกับพอแมพี่นอง เรียนรูจากธรรมชาติ ส่ิงแวดลอม จากการใชชีวิตแตละวันเปนบทเรียน ถาทาํ อะไร ทําเม่อื ใด ทาํ อยางไร กบั ใครแลวมีความสุข กท็ ําตอไป ถาลมเหลวมีความทุกขก็ไมทาํ อีก ถา เชน นนั้ เหตใุ ด ทาํ ไม เพราะอะไร พอ แมจ งึ ตอ งเหนด็ เหนอื่ ยหาเงินเปนทนุ สง ลกู ไปโรงเรียน คําตอบธรรมดาๆ คือ เราสงลูกไปโรงเรียนเพราะความเช่ือและความเชอ่ื มน่ั วา ทโ่ี รงเรยี นลกู รกั จะไดร บั การศกึ ษาเพอื่ พฒั นาชวี ติอยา งมหี ลกั การ มรี ะบบการจดั การเรยี นรู มกี ารจดั สง่ิ แวดลอ ม มเี พอื่ นและทสี่ าํ คญั คอื มคี รทู สี่ ามารถจดั กระบวนการเรยี นการสอนใหเ ตบิ โตขึ้นสมวยั และมคี ุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค ยง่ิ กวา นน้ั ยงั มกี ฎหมายบงั คบั ใหต อ งสง ลกู ไปโรงเรยี นอยา งนอ ย๙ ป ดวยเหตุน้ี ลกู จงึ ใชช ีวติ แตละวนั นานแสนนานในโรงเรียน๐2 การสรา งการเรยี นรสู ศู ตวรรษท่ี ๒๑

คํ า นิ ย ม ๐3 ยังมีคําถาม - คําตอบอีกมากเก่ียวกับโรงเรียน ภารกิจของโรงเรยี น บทบาทของครู และการจดั การศกึ ษาจนกลายเปน การวพิ ากษวิจารณกันวาปญหาเศรษฐกิจ การเมือง สังคมความเปนอยูของคนในสังคมไทยปจจุบันนี้ ตนเหตุใหญเปนเพราะความลมเหลวของการจัดการศกึ ษาท้ังสิ้น ประหน่งึ วา การศึกษาคอื ยาสารพดั ประโยชน ผูที่เกี่ยวของกับการจัดการศึกษาจึงตองตั้งหลัก ตั้งสติ ต้ังใจคนหาวิธีการและลงมือทําเพ่ือสรางกระบวนการเรียนรูที่พัฒนาชีวิตของผูเ รียนใหมคี ุณภาพ หนงั สอื “การสรา งการเรยี นรสู ศู ตวรรษที่๒๑”นเ้ี ปน คาํ ตอบหนงึ่ทมี่ ใิ ชค าํ ตอบเดยี วในการสรา งคณุ ภาพของกระบวนการเรยี นการสอนผูเขียนเปนแพทย เปนครูแพทย นักวิจัย นักอานและนักเลาเร่ืองจากการที่ทานเปนนักจัดการความรู ทานจึงสามารถเก็บสาระท่ีมีความสาํ คัญทางการศึกษา เขยี นบนั ทึกลงสอ่ื เผยแพรและแลกเปล่ียนเรยี นรกู บั ครอู าจารยท วั่ ประเทศมาอยา งตอ เนอ่ื ง หนงั สอื เลม นอ้ี ธบิ ายวาทักษะที่จําเปนสําหรับคนไทยในศตวรรษท่ี ๒๑ น้ันคืออะไรบางครตู อ งจดั การเรยี นการสอนอยา งไรศษิ ยจ งึ จะเรยี นรเู ตม็ ตามศกั ยภาพการสรางเสริมแรงบันดาลใจใฝรูใฝเรียน นอกจากนี้ผูเขียนยังไดเปดโลกกวางของการจัดกระบวนการเรียนรู โดยยกตัวอยาง “ครูสอนดีและการสอนดี” ในตางประเทศนําเสนออยางงายๆ นาสนใจ เขียน

ดวยขอความส้ันๆ กระชับไดสาระชัดเจน จัดไดวาหนังสือเลมนี้ เปนอารัมภกถาที่เกริ่นนําเขาสูเลมท่ี ๒ ชื่อวา “การเรียนรูเกิดข้ึน อยางไร” การอานหนังสือเลมนี้จะมีประโยชนมากถาผูอานไดมากกวา การทองคาถา ทักษะ 3Rs + 8Cs + 2Ls และ Learning by doing ถาผูอานเกิดแรงบันดาลใจวาตัวฉันสามารถเปล่ียน “แนวคิดติดยึด (mindset)” ทเ่ี คยฝง แนน อยู แลว ลงมอื ทดลองทาํ ในสถานการณจ รงิ ของตน มคี ําหลายคาํ ใน ๘ บทของหนงั สอื เลมน้ี ทีค่ รสู ามารถเลอื ก หยบิ มาออกแบบกระบวนการการเรยี นการสอนใหเ หมาะสม ตวั อยา ง เชน ทกั ษะชวี ติ และการทาํ งาน การรเู ทา ทนั สอ่ื การฝก วนิ ยั ในตนเอง การตั้งคําถามและการคนหาคําตอบ กลับทางหองเรียน (เรียนวิชา ที่บาน - ทําการบานท่ีโรงเรียน) สอนนอยเรียนมาก การพัฒนาดาน นอกตนและในตน ฯลฯ เมอื่ ครูลงมอื ปฏิบตั ิจะพบอปุ สรรค เมือ่ พบ อปุ สรรคยอ มหาทางแกไข และหากัลยาณมิตร คิด ทํา แลกเปล่ียน เรียนรูจ นกวา งานจะสาํ เรจ็ ไดเหน็ ผลสมั ฤทธิท์ ่ีเกิดขน้ึ กบั ลูกศิษยข อง เรา งานครูจึงไมใชงานท่ีซ้ําซากจําเจ มีความใหมและสดอยูเสมอ น่คี ือรสชาติของชวี ติ ไมใ ชเ หรอ๐4 การสรา งการเรียนรสู ศู ตวรรษที่ ๒๑

คํ า นิ ย ม ๐5 ดิฉันโชคดีมากท่ีไดมีโอกาสรวมทํางานกับศาสตราจารยนายแพทยว จิ ารณ พานชิ มานาน ไดเ รยี นรวู ธิ คี ดิ การบกุ เบกิ งานใหมทใ่ี หญแ ละยาก และการนาํ เสนอสาระทางวชิ าการทชี่ ดั เจน งานเขยี นท่ีเก่ียวของกับการศึกษานั้นมีหลายเลม ที่ไดรับความนิยมมากคือ“ครเู พอ่ื ศษิ ย” และอกี ๒ เลม ทจ่ี ะเผยแพรใ นครง้ั นก้ี ย็ อ มเปน ทอี่ า งองิถึงเชนกัน ดิฉันหวังวาคุณหมอวิจารณจะมีเร่ืองดีๆ ทางการศึกษามาเลา สูก ันฟงอกี หลายเร่ือง เพอื่ การเรียนรรู ว มกันในโอกาสตอไป ขอบคุณคุณปยาภรณ มัณฑะจิตร ที่ชวยใหดิฉันมีความสุขกับการอานรวดเดียวจบและเขียนคํานิยมหนังสือเลมน้ี ดิฉันคิดวาผอู านคงอานอยางสบายใจเชน กัน คนเราถา ไดเ รยี นรูอยางรืน่ เรงิ ชีวิตก็นาจะราบรน่ื จรงิ หรือไม ศาสตราจารยก ิตติคณุ สมุ น อมรววิ ฒั น

คํ า นํ า หนงั สือ “การสรา งการเรยี นรูสศู ตวรรษที่ ๒๑” นี้ เรียบเรยี ง และปรับปรุงจากการถอดความบรรยายพิเศษ โดยศาสตราจารย นายแพทยวิจารณ พานิช ในงานประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อน ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งสสู ถานศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ทีม่ หาวทิ ยาลยั มหาสารคาม มลู นธิ สิ ยามกมั มาจลเหน็ วา การบรรยายครง้ั นจ้ี ะเปน ประโยชน สําหรับครู ไมเฉพาะครูในโครงการเสริมศักยภาพการขับเคลื่อน เศรษฐกิจพอเพียงสูสถานศึกษาเทานั้น แตจะเปนประโยชนตอครู ทุกทานที่มีหัวใจ “เพ่ือศิษย” เพราะทานศาสตราจารย นายแพทย วิจารณ พานิช ช้ีใหเห็นวาเด็กตองมีทักษะอยางไรเพ่ือปรับตัวสู ศตวรรษท่ี ๒๑ ซ่ึงเปน ชว งเวลาที่มีการเปลีย่ นแปลงมากมาย ทําให คนรุนใหมตองปรับตัว ตองมีทักษะท่ีตางจากคนรุนกอน การจัด การศึกษาจึงตองปรับตัว และส่ิงสําคัญท่ีสุด คือ ครูเปนผูมีบทบาท ในการเปล่ียนแปลงนี้อยางมาก นอกจากน้ี ทานไดใหแนวทางวา การเปลี่ยนการเรียนการสอนในหองเรียนจะตองปรับเปล่ียนอยางไร ท้ังวิธีการจัดกระบวนการเรียนรูและระบบความสัมพันธระหวาง ครูกับศิษย ครูกับครู ทั้งน้ี ผูท่ีจะสามารถเปล่ียนการเรียนการสอน ไดตองมุงสูหัวใจการเรียนรู คือ เรียนรูจากการลงมือปฏิบัติ ท้ังครู และศิษย๐6 การสรางการเรียนรสู ูศ ตวรรษที่ ๒๑

คํ า นํ า ๐7 การอานหนังสือเลมน้ีใหเขาใจไดงาย ครูควรจะอานหนังสือประกอบ ดังน้ี หนังสือ “ทักษะแหงอนาคตใหม การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ ๒๑” ซึ่งแปลมาจาก “21st Century Skills” หนังสือ“ครูเพ่ือศิษย สรางหองเรียนกลับทาง” หนังสือ “ครูนอกกรอบกับหอ งเรยี นนอกแบบ” แปลจากหนงั สอื “Teach Like Your Hair’s onFire” ของครูเรฟ เอสควิธ และหนังสือ “การเรียนรูเกิดขึ้นอยา งไร”ท่ีทานศาสตราจารย นายแพทยวิจารณ พานิช เขียนและแสดงขอคิดเห็นจากการอานหนังสือ “How Learning Works” ของHerbert A. Simon มูลนิธิสยามกัมมาจลหวังเปนอยางย่ิงวา หนังสือเลมน้ีจะเปนสวนหนึ่งในการสนับสนุนใหครูไดพัฒนางานของตนเองใหบรรลุเปาหมายของการศึกษาคือ ศิษยเปนคนดี คนเกง สามารถต้งั รบั กบัการเปลย่ี นแปลงในศตวรรษท่ี ๒๑ และสามารถพฒั นางานของตนไดอยางตอเนื่อง อยางที่ทานศาสตราจารย นายแพทยวิจารณ พานิชไดกลาวไววา ส่ิงท่ีทานพูดเปนทฤษฎี ครูตองเปนผูไปสรางความรูจากการปฏบิ ตั เิ อง และนาํ ไปแลกเปลยี่ นเรยี นรกู บั เพอื่ นครเู ปน ชมุ ชนเรียนรูค รูเพื่อศษิ ย (PLC : Professional Learning Community)เพื่อสรา งการเรยี นรรู ว มกนั มลู นธิ สิ ยามกมั มาจล



ส า ร บั ญ คํานิยม ๐๒ ๐๖ คํานํา ๑๑ บทที่ ๑ ๒๗ การเรียนรูสูศ ตวรรษท่ี ๒๑ ๓๕ บทท่ี ๒ ๔๑ เรื่องทีค่ รูตองเขาใจ ๔๕ บทท่ี ๓ ๕๑การทาํ โครงงาน....ฝกผูเ รียนใหเอาความรูมาใช ๕๙ บทที่ ๔ ๖๕ ๕ คาํ ถามหลักในการออกแบบการเรียนรู บทท่ี ๕ครใู นศตวรรษท่ี ๒๑ ตอ ง “กลับทางหอ งเรียน” บทท่ี ๖ “ครฝู ก ” บทบาทใหมของครู บทท่ี ๗ เปล่ยี นวธิ ีคดิ ...ปรบั วิธีสอน บทที่ ๘ ทักษะของครใู นศตวรรษท่ี ๒๑

“ เรียนใหไดทักษะเพื่อนาํ ไปใช โดยเฉพาะทกั ษะในการสรา งแรงบันดาลใจ และทักษะในการเรียนรู อานออกเขยี นได ไมพอ ตองกลอ มเกลาฝกฝนสาํ นึกความเปนคนดี เปน มนุษยท่ีแท ”10 การสรา งการเรียนรูสศู ตวรรษที่ ๒๑

การเรยี นรสู ศู ตวรรษท่ี ๒๑ 11 บทที่ ๑ การเรียนรูส ศู ตวรรษที่ ๒๑ผ มมานงั่ ฟง ในทา ยๆ ของชว งทแ่ี ลว ดว ยความชน่ื ใจทไ่ี ดเ หน็ ความเอาจรงิ เอาจงั ของทา นผบู รหิ ารและครู และเกดิ ครูแกนนําท่ีลงมือทําจริงๆ และมีประสบการณตรงมาแลกเปล่ียนเรียนรใู นเวทนี ้ี สิ่งท่ีสําคัญที่พวกเราคงทราบกันทุกคนแลววาการศึกษาไทยจะดํารงสภาพเหมือนอยางท่ีเปนอยูปจจุบันนี้ไมไดลูกหลานเราจะไมทันโลก จะมีชีวิตที่ดีไมได เพราะฉะน้ันการศกึ ษาจะตอ งเปลย่ี น และทา นทอ่ี ยใู นนคี้ อื แกนนาํ คอื ผทู จ่ี ะมาชว ยกันลงมือทาํ จะนําทฤษฎีวธิ คี ดิ ท้ังหลายมาลงมือทาํ และดูวาไดผลอยางไร แลวมาแลกเปล่ียนเรียนรูกัน นี่คือวิธีการท่ีดีทีส่ ดุ ที่จะสรา งคุณประโยชน สรา งการเปลย่ี นแปลงใหแกระบบการศกึ ษาของบา นเมอื งเรา ผมขอแสดงความชน่ื ชมทา นทง้ั หลายไว ณ ทน่ี ้ี

เรื่องที่ขอใหผมมาพูดก็คือ “บทบาทครูกับการเรียนรูแบบใหม” คือการเรียนรูในศตวรรษท่ี ๒๑ ซึ่งผมไดเรียนแนวความคิดไปแลววามัน จะเหมือนอยางท่ีเราคุนเคยไมได มันจะเหมือนอยางที่เราเคยเรียนมาไม ได นี่คือหลัก มันจะตองเปล่ียนไปเพื่อใหเหมาะสมกับสภาพของสังคม ของโลก ท่ีเปลี่ยนแปลงไป และท่ีสําคัญท่ีสุด เหมาะสมกับลูกศิษยของ เราซ่งึ ไมเ หมือนสมัยเราเปนเดก็ เขามีทั้งจุดท่ดี กี วา สมัยเราเดก็ ๆ และก็มี ขอที่เขาดอยกวา เรา นคี่ อื ความเปนจริง ส่ิงท่เี รียกวา การเรยี นรูในศตวรรษที่ ๒๑ คอื อะไร ผมเปน นักอา น หนังสือแลวไดรับเชิญไปพูดท่ีน่ันที่นี่ โดยไมรูจริง เพราะหลักการเรียนรู บอกวา “รูจริงตองมาจากการลงมือทํา ลงมือปฏิบัติ” ทานทั้งหลาย เปนผูปฏบิ ตั ิจึงควรจะรูจ รงิ ผมไมไ ดป ฏิบตั ิ จงึ ไมร จู รงิ โลกกเ็ ปนอยา งน้ี คนรจู รงิ ไมไดพูด คนไมรูจ ริงพูดจากทฤษฎี เพราะฉะนั้นฟงหไู วห ูนะครบั อยา เพิ่งเชอ่ื ผมตีความวาการเรียนรูสมัยใหมตองปรับจากเดิม เดิมเราจะเนน การเรียนความรูจากชุดความรูที่ชัดเจนพิสูจนไดเปนหลัก ปจจุบันน้ี จะไมใช การเรียนรูจะตองเลยจากความรูชุดน้ันไปสูอีกชุดหนึ่ง ก็คือ ความรูท่ีไมชัดเจน อาจจะไมคอยแมนยําและมีความคลุมเครือเยอะ ตองไปตรงน้ันใหได การศึกษาไมวาประเทศใดตองกาวจากที่เรียกวาส่ิง ท่ีเปนทฤษฎีไปสูการปฏิบัติ ความรูท่ีอยูในการปฏิบัติน้ันเปนความรู ท่ีไมชัดเจนแตปฏิบัติได ทําแลวไดผลหรือบางทีไมไดผล แตเกิดการ เรยี นรู ตรงนคี้ อื จดุ ทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ เพราะฉะนน้ั การเรยี นสมยั ใหมต อ งไมใ ช แคเพ่ือใหไดความรูแตตองไดทักษะหรือ Skills เปน 21st Century Skills เปน ทกั ษะทซ่ี บั ซอ นมาก เพราะฉะนนั้ การเรยี นสมยั ใหม มเี ปา หมาย ท่ีเด็ก ไดทักษะที่ซับซอนชุดหน่ึง เนนคําวา “ซับซอน” ชุดหนึ่ง เพื่อ12 การสรา งการเรียนรูสศู ตวรรษที่ ๒๑

การเรยี นรสู ศู ตวรรษที่ ๒๑ 13ใหเขาไปมีชีวิตอยูในโลกท่ีตอไปจะเปลี่ยนไปอยางไรไมรู เราไมมีวันรูเลยวาโลกตอไปขางหนาจะเปล่ียน อยางผมไมเคยนึกเลยวาในท่ีสุดแลวหอ งประชุมจะเปนอยา งนี้ การนําเสนอเร่ืองตางๆ จะเปนอยางน้ี เราจะมี Power Point มี Multimedia ก็ไมเ คยคิด เราไมเคยคิดวาหองทํางานจะเปน อยา งทเ่ี ราเหน็ นี่คอื โลกทไี่ มช ัดเจน ไมแนนอน ตอไปขางหนาเรากเ็ ดาไมอ อก แตล กู ศษิ ยเ ราจะตอ งไปมชี วี ติ ทเี่ ปลย่ี นแปลง และไมแ นน อนเชนนี้ได นี่คือหัวใจ เพราะฉะนั้นเขาตองมีทักษะที่ซับซอนชุดหน่ึง และถา ถามผมวา ทกั ษะในชวี ติ อะไรสาํ คญั ทส่ี ดุ คาํ ตอบของผมซง่ึ อาจจะผดิ คอืแรงบันดาลใจทจี่ ะเรียนรู ทีจ่ ะสรางเนอ้ื สรา งตัว ท่ีจะทาํ คุณประโยชนนี่คือหัวใจสําคัญท่ีสุดของการเรียนรู นั่นคือทักษะอยางหน่ึง ทักษะของการมีแรงบันดาลใจในตนเอง และถาจะใหดี ก็คือกระตุนแรงบันดาลใจคนอ่นื ท่อี ยโู ดยรอบ กจ็ ะทําใหเกดิ การเปลี่ยนแปลง “การอานออกเขียนได” ท่ีเรียกวา Literacy แหงศตวรรษที่ ๒๑ หมายความวา คําวา “อานออกเขียนได” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกวา Literacy ท่ีเราคุนเคยนไี้ มพอ ตองเลยไปกวาน้นั คือตองมีทกั ษะแหงศตวรรษที่ ๒๑ ทีอ่ ยากจะเนน ย้าํ คอื ทกั ษะแรงบันดาลใจ ทกั ษะการเรียนรู (Learning Skills) และคุณสมบัติความเปนมนุษย ซ่ึงเวทีกอนหนานี้ทานก็พูดวาความเปนคนดี มีนํ้าใจ สําคัญกวาสาระวิชาพดู อยางนี้ไมไ ดแ ปลวา สาระวชิ าไมส ําคญั แตเ ราตอ งเรยี นใหไ ดส าระวชิ าและได ๓ ตวั น้ี ความเปน มนษุ ย ทกั ษะการเรยี นรู และทกั ษะแรงบนั ดาลใจใหได เราตองชวยลูกศิษยเราใหไดส่ิงเหลานี้ ปจจุบันนี้จุดออนของการศึกษาก็คือไมคอยไดทักษะที่สําคัญตอชีวิต ไดแควิชา เพื่อเอาไปตอบขอ สอบ ผลเพียงแคน ้นั ไมพอ ถา เรายังดํารงสภาพอยางนน้ั อยู บานเมอื งเราจะลําบากมาก

ทักษะ ีช ิวตและการ ํท ทกั ษะการเรยี นรูและนวัตกรรมทกั ษะอื่ดแา ลนะสเทาครสโนนโเลทยศี ิวชาแกน แ างาน สรรษที่ ๒๑ ละแนวคดิ สาํ คัญในศตว มาตรฐานและการประเมินผล หลกั สตู รและการสอน การพฒั นาครู สภาพแวดลอมการเรียนรู กรอบความคิดเพื่อการเรียนรู ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยภาคเี พอื่ ทกั ษะแหงศตวรรษท่ี ๒๑ ท่ีบอกวาตองไดทักษะศตวรรษท่ี ๒๑ หมายความวา การเรียนรู เพื่อใหไดวิชาแกนและแนวคิดสําคัญในศตวรรษท่ี ๒๑ (สีเขียวในรูป) ไมเพยี งพอ คือตองใหไดท ้งั สาระวชิ า และไดท ักษะ ๓ กลมุ คอื ทักษะ ชีวิตและการทํางาน ทักษะการเรียนรูและนวัตกรรม และทักษะดาน สารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี ที่บอกวาตองเรียนใหไดทักษะแปลวา อะไร แปลวาการเรียนตองเปนการฝก การฝกแปลวาอะไร คือลงมือทํา สัจธรรมของการเรียนรูสมัยใหมก็คือวาคนเราจะเรียนไดตองลงมือทํา14 การสรางการเรียนรสู ูศ ตวรรษท่ี ๒๑

การเรยี นรูสศู ตวรรษท่ี ๒๑ 15ดวยตนเองเทาน้ัน เพราะฉะน้ันในการเรียนสาระวิชานี้แหละเปนการฝก ลงมอื ทาํ Learning by Doing and Thinking ดวย เพอื่ ที่จะใหเ กดิทักษะ ๓ ดาน คือทักษะชีวิตและการทํางาน ทักษะการเรียนรูและนวัตกรรม และทักษะดานสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี ลูกศิษยของทานพอเร่ิมเขา ป.๖ ม.๑ ม.๒ เร่ิมโตเปนวัยรุน เร่ิมมีความเปนตัวของตัวเองมากขึ้น เขาเสียคนไปตอหนาตอตาเรา น่ันละแสดงใหเห็นวาทักษะชีวิตเขาไมดี เขาไมไดรับการฝกทักษะชีวิต ใหเอาชนะชีวิตตอนวัยรุนได พวกเราเคยเปนวัยรุนทุกคน เรารูวาชีวิตตอนเปนวัยรุนยากลําบากในเรื่องไหน อยางไร แตวงการศึกษาเอาใจใสนอยนค่ี อื ตัวอยา งความสาํ คัญของทกั ษะชวี ติ การเรียนรูสมัยใหมตั้งแตอนุบาลหรือกอนอนุบาลไปจนถึงจบปริญญาเอก จนแก ตองเรียนใหไดที่เรียกวา TransformativeLearning แปลวาตองเรียนใหไดองคประกอบสวนที่เปนผูนําการเปลี่ยนแปลง มีทักษะผูนํา ภาวะผูนํา และหมายถึงวาเปนผูท่ีจะเขาไปรวมกันสรางการเปลี่ยนแปลง (โดยตองเปลี่ยนตัวเองกอน) เพราะโลกสมัยใหมทุกอยา งเปล่ยี นตลอดเวลา เดก็ ตอ งมีชวี ติ อีก ๕๐ - ๖๐ - ๗๐ ปโลกมันจะเปล่ียนไปอยางนึกไมถึงเลยวาจะเปล่ียนไปอยางไร เขาตองเปนสวนหน่ึงของการเปลี่ยนแปลง เขาตองเปนผูหน่ึงที่มีสวนรวมสรางการเปล่ยี นแปลง หากเขาไมท าํ อยา งนน้ั เขาจะถกู เปลี่ยนแปลง ชีวติ เขาจะยากลําบากมาก เพราะเขาจะเปนผูถูกกระทํา น่ีคือหัวใจของทักษะการเรยี นรแู ละการสรางนวัตกรรม สว นทกั ษะทางดา นสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยี ตอนนจี้ ะเหน็ วาICT สําคัญและทักษะทางดานส่ือ เราตองรูวาส่ือในปจจุบันนี้ท่ีดีมีเยอะท่ีหลอกลวงก็เยอะ ก่ึงดีกึ่งช่ัวก็มีเยอะ เปนมายา ในสังคมน้ีเต็มไปดวยมายา เด็กตองมที ักษะความเขาใจขอจาํ กดั ของส่ือได

ทักษะแหงศตวรรษท่ี ๒๑ ตามรูปสามารถแจกแจงออกไดเปน 3Rs + 8Cs และผมเพมิ่ + 2Ls ดว ย คือ Learning กบั Leadership 3Rs + 8Cs + 2Ls • Reading, ‘Riting, ‘Rithmetics + 21st Century Themes • Critical Thinking & Problem Solving (ทกั ษะดานการคดิ อยา งมวี จิ ารณญาณและทกั ษะในการแกป ญ หา) • Creativity & Innovation (ทกั ษะดา นการสรา งสรรค และนวตั กรรม) • Collaboration, Teamwork & Leadership (ทกั ษะดานความรวมมือ การทาํ งานเปนทมี และภาวะผนู ํา) • Cross-cultural Understanding (ทักษะดา นความเขา ใจตา งวฒั นธรรม ตางกระบวนทัศน) • Communication, Information & Media Literacy (2-3 ภาษา) (ทักษะดานการสื่อสารสนเทศ และรเู ทาทนั สื่อ) • Computing & Media Literacy (ทกั ษะดา นคอมพิวเตอร และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร) • Career & Learning Self-reliance (ทกั ษะอาชีพ และทักษะการเรยี นร)ู • Change (ทักษะการเปลย่ี นแปลง) Learning Skills (ทกั ษะการเรยี นร)ู Leadership (ภาวะผนู ํา)16 การสรา งการเรยี นรสู ศู ตวรรษที่ ๒๑

การเรียนรูส ูศ ตวรรษท่ี ๒๑ 17 Learning Skills ตอ งมี ๓ องคประกอบ (๑) Learning คือเรียนสิง่ ใหม (๒) Delearning หรือ Unlearning กค็ อื เลิกเชอ่ื ของเกา เพราะมนั ผิดไปแลว และ (๓) Relearning คือเรียนส่ิงใหม คือตองเปล่ียนชุดความรูเปนโลกสมัยใหมเพราะความรูมันเกิดขึ้นใหมมากมาย และหลายสวนมันผิดหรอื มนั ไมดแี ลว มีของใหมทดี่ กี วา เพราะฉะนั้น Learning Skills ตองประกอบดวย ๓ สวนน้ี ในสไลดดา นซา ยมือ มี 3Rs + 8Cs + 2Ls ผมไดก ลา วถึง 2Ls ไปแลว สําหรบั 3Rs คือ Reading, (W) Riting, (A) Rithmetics ซง่ึ ก็คืออานออก เขยี นได คิดเลขเปน ตามทีพ่ ดู กนั ท่ัวไป แตก ารเรียนรูส มยั ใหมตอ งตีความใหม อานออกเทา นนั้ ไมเพียงพอ ตองใหเ กดิ นิสยั รกั การอาน อานแลวเกดิ สนุ ทรยี ะ เกดิ ความสขุ จบั ใจความเปน มที กั ษะในการอา นหลายๆแบบเขยี นไดก ไ็ มพ อ ตอ งเขยี นสอ่ื ความได ยอ ความเปน รวู ธิ เี ขยี นหลายๆ แบบตามวัตถุประสงคที่แตกตา งกัน สวนคดิ เลขเปน หรอื วชิ าคณิตศาสตรน ัน้ไมใชแ คคดิ เลข แตต อ งเรียนใหไดท ักษะการคดิ แบบนามธรรม (abstractthinking) 8Cs เปนกลุมทักษะที่สําคัญ/จําเปน ที่แจกแจงมาจากทักษะ๓ กลุม (ในรปู หนา ๑๔) แตละ C เปนทักษะเชงิ ซอน และสมั พนั ธหรอืซอนทบั กบั C ตัวอืน่ ดว ย ดงั น้ัน จงึ อาจแจกแจงใหม เปน 5C/4C กไ็ ด จุดทีส่ าํ คญั คือ อยา จดั รายวชิ าเพ่อื สอนทกั ษะเหลาน้แี ตล ะทักษะตองใหนักเรียน/นักศึกษา เรียนและฝกทักษะเหลานี้ผานการเรียนโดยการลงมือปฏิบัติ (Learning by Doing) และคดิ ทบทวน หรือเรียนแบบ Active Learning โดยครู/อาจารย ทําหนาที่ออกแบบกิจกรรม

21st Century Themes• ภาษาและสนุ ทรยี ะทางภาษา• ภาษาโลก เรียนปฏบิ ตั ิ• ศลิ ปะ ใหเ กดิ ทักษะ• เศรษฐศาสตร บรู ณาการ• วทิ ยาศาสตร• ภมู ศิ าสตร• ประวัตศิ าสตร• ความเปน พลเมอื ง และรฐั การอยรู วมกนั กบั ผอู ่ืน18 การสรา งการเรียนรูส ศู ตวรรษท่ี ๒๑

การเรยี นรสู ูศตวรรษที่ ๒๑ 19การเรียนรูเพื่อใหไดฝกและเรียนรูซึมซับทักษะเหลาน้ันหลายๆ ตัวในกิจกรรมเดยี วกนั ในทาํ นองเดยี วกนั “วชิ าแกนและแนวคดิ สาํ คญั ในศตวรรษท่ี ๒๑”เปน ตัวเนือ้ วชิ าทีจ่ ะตองเรยี น โดยภาพรวมๆ ก็เปน อยา งนี้ (ตามในสไลด21st Century Themes) แตว า สิ่งทเ่ี ราตองระวังกค็ ือ อยา คดิ วา อยากใหลกู ศษิ ยเ รยี นรอู ะไรกเ็ ปด วชิ านนั้ อนั นผี้ ดิ เพราะมนั ตอ งเปด เรอื่ ยไป มนั จะแจงยอ ยเรอื่ ยไปจนกระทงั่ วชิ าเยอะมาก แตล กู ศษิ ยไ มค อ ยไดเ รยี นเพราะวาพอแจงวิชาออกมามากๆ และครูอาจารยพยายามเนนใหล ูกศษิ ยร ูวิชาใหได กต็ อ งสอนใหครบ เดก็ ก็ไมไ ดเ รียน เพราะหลักการเรยี นรูส มยั ใหมคือ Teach Less, Learn More สอนใหนอ ยแตใหลกู ศษิ ยเ รียนไดเ ยอะนี่คอื หัวใจของการศกึ ษาสมยั ใหม แตที่เราทําในปจจุบันหลายคร้ัง กระทรวงก็เจตนาดี โรงเรียนก็เจตนาดี ผูบรหิ ารก็เจตนาดี ครกู ็เจตนาดี เปดรายวิชาใหญเลย เดก็ ไมไดเรียนนะครบั เมอื่ เรว็ ๆ นี้ คณุ หมอกฤษดา เรอื งอารรี ชั ต ผจู ดั การ สสส. (สาํ นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา งเสรมิ สขุ ภาพ) เลา ใหฟ ง เรอื่ งลกู ชายเขาอยู ม.๕ไดทุนแลกเปล่ียนไปเรียนท่ีแคนาดา ลกู สงอเี มลมาบอกวา “พอ ทน่ี เี่ รียนอาทิตยหน่ึง ๔ วิชาเอง ผมอยูเมืองไทย ๑๗ วิชา” เขาบอก “๔ วิชาผมไดเรียนเยอะจริงๆ” ผมก็บอก “ไมใชแคลูกคุณหรอก ผมเองเมื่อป๒๕๑๐ - ๒๕๑๑ เมือ่ จบแพทย ผมไปเรยี นตอ ทอี่ เมรกิ า เรยี นอาทติ ยล ะ๑๓ ชัว่ โมง แตกอ นผมเรียนที่ศริ ริ าชอาทติ ยหน่ึง ๓๙ ชว่ั โมง ๓ เทาพอดีแต ๑๓ ช่วั โมงเรยี นรูมากกวา ” การเรียนรูกับการสอนเปน คนละส่งิ นี่คือหลักการทางการศึกษาที่เปนท่ีรูกันทั่วไปในปจจุบัน เพราะฉะน้ันวิชาที่ตองการใหรูเร่ืองเหลาน้ีไมจําเปนจะตองเปนวิชาสอนแยกๆ กัน แตควรจะเปนการเรียนรบู รู ณาการเพอ่ื ใหเกดิ ทักษะ ทเี่ ปน ทกั ษะเชงิ ซอ น

ทักษะทตี่ องการ ไดแ ก • Learning Skills • Critical Thinking, Leadership Skills • Complex Problem-Solving, Innovation • Collaboration & Competition, Sharing Skills • Personal Mastery • Empathy • Communication (รวม Listening) • Life Skills, Intercultural Skills • Business Skills, Etc. สไลดดานบนเปนการทบทวนตัวทักษะท่ีตองการใหเด็กไดฝกฝน เรียนรู ทข่ี อยา้ํ คือทักษะ Personal Mastery มีวินยั ในตน ตัวนแ้ี หละ เด็กทพ่ี อเขา วัยรุน เขาไมม ี เขาถงึ เสียคน ไปตดิ ยา ไปเกเร มั่วสมุ ทางเพศ เพราะไมม วี นิ ยั ในตน อกี อนั หนงึ่ คอื ทกั ษะ Empathy เขา ใจคนอนื่ ทกั ษะ พวกนี้สอนไมได แตเด็กเรียนได เด็กเรียนไดโดยตองมีการลงมือทําอะไร บางอยา งแลว ทาํ ใหเ ขาเขา ใจคนอนื่ การเตรยี มตวั เขา สู AEC ตอ งเรยี นอนั นี้ (Empathy) ดว ย พวกเราอยูอสี านใกลลาว เราเขา ใจคนลาวหรือเปลา ไทยกบั ลาวมปี ระวตั ศิ าสตรส มยั ตน รตั นโกสนิ ทรร ว มกนั หลายเรอ่ื ง แตห าก เราไปถามคนลาววาประวัติศาสตรของเขาเขียนเรื่องเจาอนุวงศอยางไร เราจะพบวาหลายสวนแตกตางจากประวัติศาสตรไทยแบบตรงกันขาม20 การสรางการเรียนรูสูศตวรรษท่ี ๒๑

การเรยี นรูส ูศตวรรษที่ ๒๑ 21เพราะเปน ธรรมดาทปี่ ระวตั ศิ าสตรข องเรากเ็ ขยี นเขา ขา งเรา ประวตั ศิ าสตรของเขากเ็ ขยี นเขา ขา งเขา จะมาเถยี งกนั วา ใครถกู ใครผดิ อยา งนไ้ี มม วี นั ที่จะเปน มติ รประเทศกันได หรือใน ๓ จังหวัดภาคใตก ท็ ํานองเดียวกนั อา นออกเขยี นได หรอื ทเ่ี ราพดู กนั ตดิ ปากวา “รหู นงั สอื ” (Literacy)สามารถตีความวาตองรูเร่ืองอะไรบาง ตามสไลดดานลาง คือในยุคปจจบุ นั ตองมที กั ษะมากกวา 3Rs อยางมากมาย ไดแ ก Media Literacyแปลวา รูเทาทนั สือ่ รูวา ขอ ความในส่อื เช่ือไดแคไ หน รวู าขอความในสอ่ืซอ นอะไรไวเ บอื้ งหลัง Communication Literacy หมายถึงมที ักษะในการสื่อสารหลากหลายแบบ ไดแก การพูด การฟง การเขียน การอานและการส่ือสารผานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และในสมัยน้ีตองส่ือสาร“อา นออกเขียนได” (Literacy) ตีความใหม• Media Literacy• Communication Literacy• Team Literacy, Social Literacy• Networking Literacy• Environment / Earth Literacy• STEM Literacy• Aesthetics Literacy• Civic Literacy• Etc. รู ใชในชวี ติ ประจําวัน รูเทาทนั

ผานทางโซเชียลมีเดียเปนดวย สื่อสารแลวไดผลดีตามประสงค เกิด ความสัมพันธที่ดี รวมทง้ั รเู ทาทนั ไมถกู หลอก Team Literacy หมายถงึ มีทักษะในการทํางานเปน ทมี รจู ักตอรองประนีประนอม ทาํ งานรว มกับ คนที่มคี วามเหน็ หรือความเชือ่ แตกตา งกนั ได Social Literacy หมายถึง มีทักษะทางสังคม เขากับผูอ่ืนท่ีมีปฏิสัมพันธกับตนได ทักษะทางสังคม หมายรวมถงึ ทักษะในการสอ่ื สาร ในการวางตวั วางทา ที และการแสดง ความยอมรบั นบั ถอื สมั มาคารวะ ออ นนอ มถอ มตน Networking Literacy หมายถึงทักษะในการสรางเครือขายเช่ือมโยงรวมมือ ในลักษณะของ ความสมั พันธแ นวราบ Environment / Earth Literacy หมายถงึ ความ เขา ใจและทกั ษะในการปฏบิ ตั ติ อ สง่ิ แวดลอ มและตอ โลก เพอื่ รกั ษาสมดลุ ของสภาพแวดลอม ชวยกันหลีกเลี่ยงการกอมลภาวะ STEM Literacy หมายถึงทักษะดานวิทยาศาสตร เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร และ คณติ ศาสตร โดยทก่ี ารศกึ ษาสมยั ใหม จดั ใหเ รยี น ๔ วชิ านค้ี วบไปดว ยกนั เปน ชดุ Aesthetic Literacy หมายถงึ ทักษะในการชืน่ ชมความงามหรอื ศลิ ปะ ทัง้ ท่มี ีอยูใ นธรรมชาติ และท่มี นุษยส รางสรรคขนึ้ Civic Literacy หมายถงึ ทักษะในการเปนพลเมอื ง รักถนิ่ รกั ชุมชน รกั และจงรักภกั ดตี อ ประเทศ ทกั ษะเหลา นี้ เด็กตองไดรับการปลกู ฝง ตองไมใ ชแคร ู แตต อง รจู กั ใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั และตอ งรเู ทา ทนั ดว ย เพราะในบางกรณจี ะมกี าร แอบแฝงผลประโยชนหรอื เปน มายา ซอนพษิ อยภู ายใน การกลอมเกลาฝกฝนความเปนคนดี เปนเรื่องที่ตองคํานึงถึง แนวคดิ หน่งึ คือเรื่องระดบั ความตองการของมนุษย ทเี่ สนอโดย มาสโลว (Maslow’s Heirarchy of Needs) ระดับของความตอ งการของมนุษย เร่ิมจากความตองการระดับลางท่ีสุด คือเพ่ือการมีชีวิตอยู ที่ตองการ22 การสรางการเรยี นรสู ูศตวรรษท่ี ๒๑

การเรียนรูสูศตวรรษท่ี ๒๑ 23 นับถือตนเอง ตอ งการยอมรับ ยกยอ งนบั ถือ ตอ งการความรักเอาใจใส ตองการความมนั่ คงปลอดภยั ในชวี ิตและทรพั ยสนิตองการพื้นฐานทางกายภาพ เพ่อื ความอยูรอดของชีวิต ระดับความตองการของมนษุ ย (Maslow’s Heirarchy of Needs)

บนั ได ๖ ขัน้ ของการพฒั นาคุณธรรม • ข้นั ที่ ๑ ปฏิบตั ิเพราะความกลัว ไมอ ยากเดอื ดรอน • ขน้ั ที่ ๒ ปฏิบัติเพราะอยากไดร างวัล • ขัน้ ท่ี ๓ ปฏิบตั เิ พราะอยากเอาใจคนบางคน • ข้ันท่ี ๔ ปฏิบตั ิเพราะตองปฏิบัตติ ามกฎ • ข้นั ท่ี ๕ ปฏบิ ตั เิ พราะตอ งการใหต นดดู ี ใหไ ด ชอื่ วา เปน คนดี เปนคนมนี า้ํ ใจ • ข้นั ที่ ๖ ปฏบิ ัตติ ามหลักการ หรืออุดมการณของตนเอง ไมต อ งการใหมีคนยกยอ งชมเชยหรือใหร างวลั Lawrence Kohlberg’s stages of moral development อาหาร อากาศหายใจ นํ้าด่ืมนํ้าใช ที่นอน ขับถาย และความสัมพันธ ทางเพศ ระดับสูงขน้ึ ไปเปนความตองการความปลอดภยั ท้ังทางรา งกาย การมีงานทํา มีครอบครัว ปลอดภัยในทรัพยสิน ขั้นสูงขึ้นไปอีก เปน ความตองการความรัก ความเปนสวนหน่ึงของครอบครัวหรือของสังคม ข้ันสูงข้ึนไปอีก ตองการเปนท่ี ๑ ไดรับการยกยองนับถือ ในหลายครั้ง เราจะหยุดอยูแคเพื่อที่จะไดเปนท่ี ๑ เพ่ือท่ีจะไดรับการชื่นชมยินดี แต จริงๆ แลวเรารูกันวา โดยทฤษฎีเราควรพัฒนาข้ึนไปสูระดับสูงสุดใหได24 การสรางการเรียนรูสูศตวรรษที่ ๒๑

การเรยี นรสู ูศ ตวรรษที่ ๒๑ 25คือ ทําดีโดยไมตองการคําชมเพราะมันเปนความดีในตัวของมันเอง ที่เรยี กวา Self-actualization หรอื มองจากมมุ ของ Lawrence Kohlbergวา ระดับของพัฒนาการทางดานศีลธรรมมี ๖ ระดับ ตามสไลดดานซายมือ ทําอยางไรที่จะเปนมนุษยระดับ ๖ มีระบุวิธปี ฏิบตั ิไวใ นหนังสือของครเู รฟ เอสควิธ ช่อื Teach Like Your Hair’son Fire ท่ีแปลเปนไทยในช่ือ “ครูนอกกรอบกับหองเรียนนอกแบบ”ของ สสค. (สาํ นกั งานสงเสริมสงั คมแหงการเรยี นรแู ละคณุ ภาพเยาวชน)โรงเรียนไหนไมมีหนังสือเลมน้ี รีบไปขอจาก สสค. มาไวที่หองสมุดอยางนอย 1 เลม และขอ VDO มาดูดว ย จะมีเรอ่ื งนี้อยู เดก็ ป.๕ อายุ๑๐ ขวบ สามารถเรียนรูเรื่องพวกน้ีไดเองโดยครูเรฟเปนครูที่ทําหนาท่ีกระตนุ ใหเกดิ การเรยี นรู

“การเรยี นรเู ปน ผลของการกระทํา และความคดิ ของนกั เรยี น อัตราการเรยี นรูจากการฟง เพยี ง ๕%”ครูตองเขา ใจหลกั ๗ ประการของการสอนท่ดี ี26 การสรา งการเรียนรสู ูศตวรรษท่ี ๒๑

เรอ่ื งทคี่ รตู อ งเขา ใจ 27 บทท่ี ๒ เรอื่ งทค่ี รตู อ งเขา ใจท ฤษฎีดานการเรียนรูสมัยใหมที่มาจากหนังสือ How Learning Works หนังสือเลมนี้จะข้ึนตนดวยคําพูดของ Herbert A. Simon ซึ่งเปนผูไดรับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร นอกจากทานเปนนักเศรษฐศาสตรแลวทานเปนนกั จติ วิทยาการเรยี นรูดว ย ทา นบอกวา (และทีท่ านบอกตอนนี้เปนที่เชื่อของท่ัวโลก) “การเรียนรูเปนผลของการกระทําคือการลงมือทําและการคิดของผูท่ีจะเรียนเทาน้ัน ครูชวยไดแตเพียงชวยทําใหเขาทําและก็คิดเพื่อที่จะเรียน ครูไมสามารถทําใหเขาเรียนได” พูดแรงๆ ก็คือวาการถายทอดความรูน้ันเกอื บจะไมเ กิด ใชคาํ วา เกือบจะ... เพราะฉะนนั้ การสอน มานั่งบอกปาวๆ อยา งทผ่ี มทาํ อยนู ้ี ทา นไดป ระโยชนน อ ย เปน วธิ ที ผ่ี ดิหลักการ หากจะใหไดเ รยี นรูจรงิ ผูเรยี นตองเปน ผลู งมอื ทาํ และคดิ โดยการเรียนรเู กดิ จากภายใน

Learning Pyramid แสดงใหเหน็ วา การเรยี นรูแบบ Passive คือฟง Lecture หรอื สอนแบบพูด อัตราการเรยี นรู (Retention Rate) ก็คือ ๕% ในทางตรงกนั ขาม การสอนคนอื่นหรือลงมอื ทํา เอาความรูมาใชหรือลงมือทันที อัตราการเรียนรู คือ ๙๐% การเรียนโดยวิธีเสพหรือรับถา ยทอดความรู ไดผลนอย เกดิ การเรยี นรูน อย การเรยี นรูแ บบสรางความรูดวยตนเองผานการลงมือทําและคิด จะทําใหเกิดการเรียนรูอยางแทจริง ไดเต็มเม็ดเต็มหนวยกวาอยางมากมาย หรือเรียกวาActive Learning หรอื ทางวชิ าการเรยี กวา Constructionism นค่ี อื หลกัเพราะฉะน้ันถาทานตองการใหลูกศิษยของทานเรียนรูอยางแทจริงตองใหเขาไดลงมอื ทาํ และไตรตรองLearning Pyramid Lecture AvReerRateagnteet5i%on Reading OInudtusicdteiv-ienlleeaarrnniningg Audio-visual 10% DemonstrationTraditional Passive  20% เสพ 30% สรา งTAeacmtivien g Discussion Group DInesdiduec-toivuet lleeaarrnniinngg 50% 75% Practice by DoingConstructionism Teach Others/Immediate Use 90% National Training Laboratories, Bethel, Maine 1-800-777-5227 Dale, Edgar, Audio-Visual Methods in Teaching, third edition, Holt Rinehart, Winston, 1969.28 การสรา งการเรียนรูส ูศตวรรษท่ี ๒๑

เรือ่ งทีค่ รูตอ งเขาใจ 29 หลกั ๗ ประการของการสอนทด่ี ี • ความรูเ ดิม (Prior Knowledge) • การจัดระบบความรู (Knowledge Organization) • แรงจูงใจ (Motivation) • รูจริง (Develop Mastery) • ปฏบิ ตั ิ - ปอ นกลับ (Practice & Feedback) • พัฒนาการของนักเรยี น & บรรยากาศ (Student Development & Climate) • ผูก ํากับการเรยี นรขู องตนเอง (Self -directed Learner) หนงั สอื How Learning Works เขาบอกวา เขาสรปุ มาจากผลงานวิจยั หลายพนั เรอื่ งและกไ็ ดห ลัก ๗ ประการของการสอนทด่ี ี ประการที่ ๑ ตองเขาใจเรื่องความรูเดิมของนักเรียน วาโลกสมยั นนี้ กั เรียนแตล ะช้นั ความรเู ดิมจะแตกตา งกนั มาก เด็ก ป.๖ บางคนในวิชา ก. พอลองทดสอบดูพ้ืนความรูอาจจะเทากับเด็ก ป.๔ และเด็กบางคน ป.๖ นี่วิชาเดียวกันทดสอบแลวอาจจะเทาเด็ก ม.๒ พื้นความรูจะหางกันมาก นี่คือความเปนจริงเพราะวาเขาไปหาความรูเองได คนที่ฉลาดและเอาการเอางาน เขาไปหาเรียนรูเอง โลกสมัยนี้เปนอยางนั้นความรูไมไดหายาก ความรูหางาย อยูที่วาใครจะไขวควา แตที่สําคัญ

ยงิ่ กวา นน้ั ในเรอื่ งความรเู ดมิ กค็ อื เดก็ จาํ นวนหนงึ่ ซงึ่ จรงิ ๆ แลว เกอื บทกุ คน มคี วามรูเดิมทผ่ี ดิ ๆ ตดิ ตวั ครูตองเขาใจตรงนตี้ องหาวิธตี รวจสอบใหพ บ และกห็ าทางแก ไมอ ยา งนนั้ เดก็ จะผดิ ไปเรอื่ ยๆ และพอเรยี นชนั้ ตอ ๆ ไป เขากจ็ ะเรยี นไมร เู รอ่ื งและจะเบอ่ื เรยี น นค่ี อื หวั ใจสาํ คญั รายละเอยี ดมมี าก โปรดดูในหนังสือ “การเรียนรูเ กดิ ข้นึ อยางไร” ประการท่ี ๒ คือ การจัดระบบความรู ที่เรียกวา Knowledge Organization มีความสําคัญตอการเรียนรู คนท่ีเรียนหนังสือเกง คนท่ี เราเรียกวาฉลาด เรียนหนังสือดี คือคนที่สามารถจัดระเบียบความรูใน สมองไดดี ทจ่ี ริงความรไู มไ ดอยูในสมองเทา นั้น อยูทั้งตวั แตอยใู นสมอง เปนสว นใหญ ตองจัดระบบความรู ความรไู มไดอยูแบบลมเพลมพดั มัน จะมรี ะบบ คนไหนจัดระบบดีคนนน้ั ก็จะเอาความรูม าใชไ ดท ันทว งทีและ ถูกกาลเทศะ คนไหนที่ไมรูจักวิธีจัดระบบความรู คนนั้นก็จะใชความรู ไดไมดี เรียนหนังสอื ไดไมด ี มวี ธิ กี ารทีค่ รจู ะชว ย ประการที่ ๓ คอื แรงจูงใจ ผมพูดไปแลว Motivation แตทแ่ี รง กวา ลกึ กวา Motivation คอื แรงบนั ดาลใจ (Inspiration) ครจู ะตอ งมี วธิ ี และเอาใจใสทจ่ี ะสรา งแรงจูงใจหรือแรงบันดาลใจใหล กู ศิษย หนังสือ “ครนู อกกรอบกบั หอ งเรียนนอกแบบ” ทผี่ มพดู ถงึ ครูเรฟ เอสควธิ ครทู ี่ สอนเดก็ ดอยโอกาสในอเมรกิ า มีวธิ ีการ ทานควรจะอา น ประการท่ี ๔ คอื การเรยี นทถี่ กู ตอ ง ผเู รยี นตอ งเรยี นจนรจู รงิ ภาษา องั กฤษ เรียกวา Mastery Learning ผมอานแลว ผมสรุปกบั ตวั เอง ถูกผิด ผมไมท ราบวา สภาพทเ่ี ปน อยใู นปจ จบุ นั น้ี เดก็ ไทยเรยี นแลว ได Mastery Learning อยา งมากทสี่ ดุ แค ๒๐% หมายความวา มากกวา ๘๐% ไมบ รรลุ Mastery Learning และเดก็ พวกทไี่ มบ รรลอุ ยา งรนุ แรง พอโตขน้ึ มาหนอ ย เขาจะเริ่มเบื่อเพราะการเรียนจะนาเบ่ือ เปนความทุกขยาก ภาษาฝรั่ง เรยี กวา เปน Punishment เหมอื นถกู ลงโทษ ขมข่นื หองเรียนเปน ชวี ติ30 การสรา งการเรียนรสู ศู ตวรรษท่ี ๒๑

เรอื่ งทคี่ รตู องเขา ใจ 31บัดซบ เขาตอ งไปหาความสขุ อยางอน่ื เพราะมนษุ ยเ ราตอ งการความสขุความสุขของเขาก็อาจจะเปนความสุขช่ัวแลน และชีวิตเขาก็ถูกทําลายไปเรื่อยๆ อนาคตกห็ มด ทั้งหมดนี้เปนผมตคี วาม ไมทราบวาถกู หรอื ผดิ ประการที่ ๕ คอื การสอนโดยการปฏบิ ัติ และปอ นกลับ จากการพูดคุยของครูกอ นชวงเวลาทีผ่ มมาบรรยาย เหน็ ชดั เจนวา ครูที่ดีท้งั หลายจะรวมตวั รว มกนั ออกแบบการเรยี น ดวู า ตอ งการใหเ รยี นรอู ะไร ออกแบบอยางไร ใหเด็กทําอะไร และเพื่อใหไดอะไร และวัดไดอยางไรวาจะไดเพ่อื จะใหเดก็ ลงมือปฏิบัติ แตว า ปฏิบัติเฉยๆ ไมพอ ครูตอ ง Feedbackนักเรียน ศิลปะของการ Feedback สําคัญที่สุดทําใหการเรียนของเด็กสนุก เปนการ Rewarding เรียนแลวเกิดความสุข เกิดความม่ันใจในตวั เอง รวู าตรงไหนตัวทําไดด ี รูวา ตรงไหนตวั จะตอ งปรบั ปรงุ ศิลปะการปอ นกลบั ทเ่ี รยี กวา feedback นสี้ ําคญั อยางยง่ิ ประการที่ ๖ คือ พัฒนาการของนักเรียนและบรรยากาศของการเรียน การเรยี นสมัยใหมเ ด็กตอ งเรียนเปนทมี เพราะโลกสมยั ใหมนนั้Collaboration สาํ คญั กวา Competition ทจี่ รงิ แลว มนั ตอ งมที ง้ั ๒ อยา ง2Cs : Collaboration Skills และ Competition Skills ทักษะของความรว มมอื กบั คนอื่น วธิ สี อนทําอยางไร ตองเรียนแบบฝก และเรยี นเอง กค็ ือเรียนเปนทมี เรียกวา Team Learning นี่คือหลกั การเรยี นท่ีสาํ คญั ท่สี ุดตอ งเรียนรว มกนั เปนกลมุ หลายคน ทนี ้พี อเดก็ ตองเรยี นเปน ทมี ตัวอยา งเชน ในทมี มี ๔ คน มเี ด็กอยคู นหนึ่งจะเปน นาย ก. เขาทมี ไหนบอ นแตกทน่ี น่ั เพราะเดก็ คนนพ้ี ฒั นาการไมด ี พฒั นาการทไี่ มด ที ที่ าํ ใหบ อ นแตกคอือะไร คอื พัฒนาการเชงิ อารมณและเชงิ สังคม ทา นเปนครทู า นตองการใหเดก็ ไดเ รยี นรกู ด่ี า น เกดิ พฒั นาการกดี่ า น ปจ จบุ นั นเ้ี ราตอ งการพฒั นาการทางดา น Intellectual คอื เรยี นรวู ชิ าเปน ตวั หลกั ใหญ ซง่ึ อนั นค้ี อื ตวั ปญ หาเพราะจรงิ ๆ แลว เราตอ งการอกี ๓-๔ ดา น คอื พฒั นาการทางดา นอารมณ

ตําราเขียนหมด พ.ร.บ. เขียน แตเวลาปฏิบัติเราไมทําเพราะเราไมสอบ เพราะฉะน้ันเราก็สอนผูเรียนเนนเฉพาะในสวนท่ีสอบ แตจริงๆ แลว สวนท่ีสําคัญย่ิงกวาวิชา คือพัฒนาการทางอารมณ (Emotional Development) พัฒนาการทางสังคม (Social Development) พัฒนาการทางดานจิตวิญญาณ (Spiritual Development) และ พัฒนาการทางดานรางกาย (Physical Development) อาจจะเตมิ พัฒนาการทางดานสุนทรียะของจิตใจ เห็นความงามของศิลปะ ของ ธรรมชาติ อันนี้เปนทักษะท่ีสําคัญอยางย่ิง หาความสุขงายโดยราคา ไมแ พง น่คี ือการเรยี นท่เี รยี กวาครบทุกดา นสาํ หรบั พฒั นาการของผเู รียน บรรยากาศของการเรียน เมอื่ ไรกต็ ามครไู มเ ปดกวา งทางความคดิ คอยเนนอันน้ีถูกอันนี้ผิด อันน้ีเธอดีอันน้ีเธอช่ัว บรรยากาศเสียหมด บรรยากาศของการเรียนที่สําคัญคือไมมีถูกมีผิด แนนอนวาการกระทํา บางอยางมันก็ยอมไมได เพราะวาทําใหคนอื่นเขาเดือดรอน แตวา บรรยากาศของความคิดท่ีหลากหลาย ฟงซึ่งกันและกัน ในที่สุดแลว เดก็ กจ็ ะไดเ ขา ใจวา เรอ่ื งแบบนเ้ี พอื่ นคดิ อยา งนี้ คดิ ไดห ลายแบบ เพราะ ฉะน้ัน ผมเองมีความเช่ือวา เมื่อไรก็ตามบรรยากาศในโรงเรียนและใน ชั้นเรยี นอบอวลไปดวยวิชา สาระวชิ าท่ีเนน วา อนั น้ถี กู อันน้ผี ิด การเรียนรู ทด่ี ไี มเ กดิ เพราะเดก็ จะไมส ามารถเรยี นอยทู า มกลางสภาพความไมช ดั เจน ไมแ นนอน ที่ผมพดู ใหฟ งตอนตน อนั นคี้ ือความเชือ่ ของผม ประการที่ ๗ คนท่ีจะเรยี นรูไดด ีจะตอ งเปนผทู ่สี ามารถกํากับการ เรียนรูของตนเองได (Self - directed Learner) ครตู อ งฝกอนั นี้ใหเด็ก ซ่ึงจริงๆ ครสู อนไมไ ด แตในกระบวนการครูจะตองสามารถทาํ ใหเ ดก็ เกิด ความสามารถหรือทกั ษะในการกาํ กบั การเรยี นรใู หก ับตวั เอง ท่ีสําคัญคอื ใหเ ดก็ รวู า ตวั เองมวี ธิ กี ารเรยี นอยา งไรและปรบั ปรงุ วธิ กี ารเรยี นของตวั เอง ได มีตัวอยาง เด็กท่ีกํากับการเรียนรูของตัวไมเปน ไมเขาใจการเรียนรู32 การสรา งการเรยี นรสู ศู ตวรรษท่ี ๒๑

เร่ืองทค่ี รูตอ งเขา ใจ 33ของตัว ตัวอยางเด็กจริง มีนักเรียนมาหาอาจารยและบอกวา “อาจารยครับ ผมขยันแคไหน หนังสือนี่นะ ตํารานี่นะผมอานหมดแลว ๓ จบนีข่ ดี เสนแดงกเ็ ยอะ เอาสเี หลืองปายกเ็ ยอะ เต็มไปหมดเลย แตสอบทีไรผมได C ทกุ ที เกือบตกทกุ ที อาจารยสอนอยางไร ออกขอสอบอยางไรตรวจขอสอบอยางไร ผมรูหมดเลยนะ หนังสือเลมนี้” ในที่สุดครูก็ถึงบางออ “ออ ครรู แู ลว ไอน มี่ นั เรยี นโดยทอ งจาํ ” มนั กท็ อ งไดห มดและเวลาออกขอสอบ ครูที่ดีเขาไมออกแบบทองจํา เขาออกขอสอบคิด นักเรียนไมไดฝกคิดเพราะมันมัวแตทองจํา อยางน้ีนักเรียนไมไดฝกความเปนSelf - directed Learner สมัยน้ีไมตอ งทอ งจํา ความจําไมจ าํ เปน เพราะวา เราหาจาก internet ได ตวั เนอื้ ความรหู าไดง า ย เพยี งแตว า หามาไดแ ลวรูหรือเปลาวาอันไหนจริงอันไหนเท็จ ที่คนหาออกมา ไดเท็จก็เยอะผิดก็มาก นี่คือหัวใจของการสอนท่ีดีหรือวาการเรียนรูท่ีดี ๗ อยาง อานเพม่ิ เตมิ ไดจ าก blog (http://www.gotoknow.org/blogs/posts/tag/Ambrose) ซงึ่ มูลนิธิสยามกมั มาจลพมิ พเปนหนังสอื “การเรยี นรูเกิดข้ึนอยางไร” แลว

“การเรียนสมยั ใหม. ..ตองเรยี นเอาความรมู าใช ไมใชเ รียน “ตวั เนื้อความร”ู ... ตอ งใหเ กดิ ทักษะการใชความรู เรยี นโดยใชโ ครงงานใหไ ดผ ล ตอ งทาํ ใหค รบ ๔ องคป ระกอบ หนา ทีส่ าํ คญั ของครคู ือ ”ตง้ั คําถามใหเด็กชว ยกนั ตอบ34 การสรางการเรียนรูสศู ตวรรษที่ ๒๑

การทําโครงงาน...ฝก ผเู รยี นใหเ อาความรูมาใช 35บทที่ ๓ การทําโครงงาน... ฝก ผเู รยี นใหเ อาความรมู าใชก ารเรียนตองเรียนโดยลงมือปฏิบัติ Learning by Doing การเรียนโดยปฏิบัติวิธีหน่ึงท่ีเปน Active Learning ก็คือเรียนโดยทําโครงงาน Project Based Learning (PBL) โดยเรยี นเปนทมี มกี ารฝกคน หาความรู และเวลาคนจะพบความรูหลายชุด จะเอาอันไหนดีและ เอามาใชงานอยางไร ตองเรียนโดยฝกเอาความรูมาใช การเรียนสมัยใหมศตวรรษท่ี ๒๑ ตองเรียนเอาความรู มาใชไมใชเรียนตัวเน้ือความรูเทาน้ัน ตองเลยจากเน้ือ ความรูและเอามาใชใหมันเกิดทักษะในการใชความรู เมอ่ื ทาํ โครงงานแลว โครงงานสาํ เรจ็ เกดิ ผลลพั ธเ ปน อะไร กไ็ ด เปนผลงานออกมา ไมไ ดแปลวาเดก็ จะเรยี นรดู ี

เรียนอยางไร • โดยการลงมือปฏบิ ัติ (Learning by Doing) • ทาํ โครงงาน PBL (Project-Based Learning) • ทาํ เปนทีม (Team Learning) • ฝกฝนหาความรู วิธกี าร เอามาทดลองใชง าน • แลวเขียนรายงานเปนรายคน • นาํ เสนอ (ตอ หนา ช้ันเรยี น ตอชุมชน) เปนทีม • ครชู วนนกั เรียนทาํ AAR (After Action Review)/ Reflection วาไดเรยี นรอู ะไร ความรทู ี่ไดม คี ณุ คา ตอ ชวี ติ อนาคตอยางไร อยากเรยี นอะไรตอ บทบรรณาธิการในวารสาร Science ซ่ึงเปนวารสารที่มีช่ือเสียง มากของอเมริกา ลงบทบรรณาธิการเมื่อประมาณ ๒ ปมาแลว บอกวา ทัว่ โลกทีใ่ หน ักเรียนเรยี นโดยทําโครงงาน เขา ใจผดิ กนั หมดเลยหรืออยา ง นอ ยๆ ๙๐% เขา ใจผดิ คดิ วา โครงงานสาํ เรจ็ แลว เดก็ ทที่ าํ ไดค วามรคู รบถว น ไมจริง อยาเขาใจผิด ผมเคยไปดูโรงเรียนทางอีสาน เด็กทําโครงงาน ผลออกมาดีมาก ไดตัวช้ินผลงานออกมาเปนสิ่งประดิษฐนาช่ืนชมมาก แตพ อถามคาํ ถามวา ทาํ ไมเครอื่ งมนั ทาํ งานได เดก็ ตกมา ตาย เดก็ ไมเ ขา ใจ วา ทาํ ไมส่งิ ประดษิ ฐทําอยา งนนั้ ได คอื เขาตอบคาํ ถาม Why ไมได แตท ํา36 การสรางการเรยี นรสู ศู ตวรรษที่ ๒๑

การทําโครงงาน...ฝกผเู รียนใหเ อาความรมู าใช 37 เรยี นใหไดท ักษะ : ปฏบิ ตั ินาํ • Learning by Doing / Active Learning : PBL (Project - Based Learning) • ครูเปลยี่ นจากครูสอนเปนครูฝก (Coach) หรอื Learning Facilitator • นําเสนอเปน Report และ Presentation อาจเสนอเปน ละคร • ครูชวนนกั เรยี นทํา AAR/Reflection วาไดเ รยี นรอู ะไร อยากเรยี นอะไรตอ เพ่อื อะไร ชวนคิดดา นคุณคาจรยิ ธรรมwhat ทาํ อะไรได แต Why ทาํ ไมมนั เกดิ อยา งน้ี ทาํ ไมทาํ ออกมาอยา งนไี้ ดเด็กตอบไมไ ด แสดงวาไมรจู รงิ เพราะฉะนนั้ การทาํ โครงงานตอ งตามมาดว ยอกี ๓ อยา ง โครงงานนอกจากทาํ ช้นิ งานแลวตอ งมอี ีก ๓ อยาง เด็กจึงจะเรยี นไดดี ๑. เดก็ แตล ะคนตอ งเขยี นรายงานการเรยี นรขู องตนเองระหวา งทําโครงงาน เขยี นนะไมใ ชพ ิมพ ใหเขาเขยี น diary วา ทําอยา งไร ลองอยางไร คิดอยางไร คน อะไร ท้งั หลาย เพอื่ เปนการทบทวน ที่เรยี กวาSelf Reflection

๒. การนําเสนอ (Presentation) เปนทีม อันนี้ทําเปนทีม การเขียนบันทึก การเรียนรูขอแรกทําคนเดียว แตขอ ๒ นี้ทําเปนทีม Presentation นเ้ี ปน การสรปุ ภาพรวม สงั เคราะหภ าพของการเรยี นรู ของตน ซึ่งอาจจะนําเสนอเปนแบบท่ีผมกําลังพูดอยูน้ี แตตองเปนทีม มี ๔ คนกต็ อ งนาํ เสนอทงั้ ๔ คน มบี ทบาททง้ั ๔ คน บางคนอาจจะไมเ สนอ แตมีสวนในการชวยกันทํา อาจจะนําเสนอ Presentation แบบ Power Point อาจจะมี VDO ประกอบ อาจจะทาํ หนงั ส้ัน อาจจะนําเสนอเปน ละคร เปนละครน่ีเปนศิลปะสุดยอดเลย หนังส้ันก็เปนศิลปะ เทากับวา เขานําเสนอเปน Synthesis สงั เคราะหการเรยี นรขู องเขา ๓. ทํา Reflection หรือ AAR (After Action Review) คอื ชวนเด็กทบทวนวาท่ีเราทําโครงงานน้ีเราไดเรียนรูอะไร ทฤษฎีนี้ ท่ี ครูต้ังใจใหเธอทําโครงงานน้ีตองการใหเธอเรียนรูทฤษฎี ก. ข. นี่ จาก ประสบการณที่เธอทําโครงงานน้ี เธอตีความทฤษฎี ก. ข. วาอยางไร อยางน้ีมันทําใหเกิดการเรียนท่ีลึกขึ้น ไดเรียนทฤษฎีโดยการผานการ สมั ผัสของจรงิ กระบวนการน้เี รียกวา Reflection หรือ AAR จะทาํ ให เกดิ การเรียนรูลกึ สรปุ แลว การเรยี นแบบ PBL หรอื โดยทาํ โครงงาน มี ๔ องคป ระกอบ คอื ทาํ แลว ไดช น้ิ งาน เขยี น Diary ทาํ Presentation และ Reflection เด็กจึงจะเรียนรูไดลึก ในกระบวนการท้ังหมด หนาท่ีของครูที่สําคัญ โดยเฉพาะส่ิงสุดทายคือตั้งคําถามเพื่อใหเด็กชวยกันตอบ และสราง บรรยากาศที่จะใหเด็กตอบไมคอยเหมือนกัน เด็กม่ันใจท่ีจะตอบจาก ความคดิ ความรสู กึ ของตน และจะคอ ยๆ เหน็ เองวา ความคดิ มตี า งๆ นานา38 การสรา งการเรยี นรสู ูศ ตวรรษท่ี ๒๑

การทาํ โครงงาน...ฝก ผูเรียนใหเ อาความรูมาใช 39และไดเรียนรูวาความรูที่เช่ือมโยงกับชีวิตจริงเปนอยางไร คือไดเห็นวามันไมชัดเจน ชีวิตจริงมันไมชัดเจน ไดเขาใจจากการลงมือทํา นี่คือการเรียนโดยลงมือทํา ทําโครงงาน ปฏิบัติจริงเพื่อใหเกิดการเรียนรูไดท้ังทักษะและไดความรูทฤษฎี ความรูทฤษฎีไมใชไมสําคัญ สําคัญอยางยงิ่ แตเราตอ งเลยไปสคู วามรปู ฏบิ ตั ิ สรุปวาเรียนใหไดทักษะตองปฏิบัติ ปฏิบัติเปนตัวนําและเรียนเปนทีม และครูไมส อนแตเปน coach และให feedback เปนการทาํหนาท่คี รฝู ก หรอื facilitator

“สิง่ ท่ีตองทาํ สําหรบั ครู ก็คอื ตองตง้ั ๕ คําถาม (กับตนเอง) ”เพือ่ หนจี ากปญ หาทีเ่ ราไปสอนมากเกนิ40 การสรา งการเรียนรสู ศู ตวรรษท่ี ๒๑

๕ คําถามหลกั ในการออกแบบการเรียนรู 41บทที่ ๔ ๕ คาํ ถามหลกั ในการออกแบบการเรียนรูห นังสือ “ทักษะแหงอนาคตใหม การศึกษาเพ่ือ ศตวรรษท่ี ๒๑” เลม น้ี แปลมาจาก 21st Century Skills เขาบอกวานักเรียนในโลกน้ีมันเรียนแลวไมคอย ไดผล เรียนแลวไมคอยรูจริง ตัวปญหาที่ทําใหเด็ก เรียนไมรูจริง สวนใหญแลวเกิดจากครูสอนมากไป ครู สอนมากเกินในหลายกรณี สว นใหญจ ะมาจากเจตนาดี เพราะวาหลักสูตรบอกวาเด็กตองเรียนรูส่ิงตอไปน้ี ครู ก็แปลความวาครูตองสอนสิ่งตอไปนี้ เขาบอกวาเม่ือ เปนอยางนี้นักเรียนตายลูกเดียวก็คือจะเรียนไมรูจริง ไมบ รรลกุ ารเรยี นรทู ค่ี วร เขาบอกวา สงิ่ ทต่ี อ งทาํ สาํ หรบั ครูก็คือตองตั้ง ๕ คําถาม เพื่อหนีจากปญหาที่เราไป สอนมากเกิน

5 คาํ ถามหลกั ในการออกแบบการเรียนรู • ตองการใหนักเรยี น ไดทักษะและความรทู ่ีจาํ เปนอะไรบาง (อาจตรวจสอบเอกสารหลักสูตร และหนังสอื ทักษะแหง อนาคตใหม ฯลฯ) • จดั การเรียนรูอยา งไรใหไดทกั ษะเหลาน้นั • รูไ ดอยา งไรวาได • ทําอยางไรกับนกั เรียนบางคนท่ีทําไมไ ด • ทาํ อยางไรกับนักเรยี นบางคนทเ่ี รียนเกงกา วหนา ไปแลว ปญหาสว นใหญ เกดิ จากสอนมากเกินไป42 การสรางการเรยี นรูสศู ตวรรษท่ี ๒๑

๕ คาํ ถามหลักในการออกแบบการเรยี นรู 43 คาํ ถามท่ี ๑ เปนหัวใจสําคัญ คือจริงๆ แลว เราอยากใหลกู ศิษยของเราไดทักษะและความรูท่ีจําเปนอะไรบาง เนนคําวา “ท่ีจําเปน”ถามคําถามอยางน้ี เพราะเรามีความเชื่อวาถาไดทักษะและความรูท่ีจําเปน สวนที่เหลือใหเด็กเรียนรูเองได เพราะเด็กฉลาด มนุษยเราฉลาด ถึงแมเด็กบางคนหัวทื่อแตก็เรียนรูเองได นี่คือหลัก เพราะฉะน้ันเราไมจําเปนตองสอนทุกเร่ืองแตตองสอนสวนท่ีจําเปนท่ีสุด ซึ่งครูตองมารวมตัวกันแลวมาชวยกันคิด คิดคนเดียวบางทีก็ไมดีเทาที่ควร ตองปรกึ ษากนั คําถามท่ี ๒ คอื วาทาํ อยา งไร จะใหเขาเรียนรอู ยางไรเพ่อื ทีจ่ ะใหไดทักษะท่ีจําเปน เหลาน้ัน ซ่ึงไมม ีสูตรตายตวั ครูตองมาชว ยกันคิด วาจะทาํ อยางไร โรงเรียนไมเ หมือนกนั โรงเรยี นใหญ โรงเรยี นเล็ก โรงเรยี นในเมือง โรงเรยี นบา นนอก ครูตอ งมาชวยกนั คดิ คําถามท่ี ๓ รูไดอยางไรวาลูกศิษยไดทักษะและความรูท่ีจําเปนเหลานั้น นีค่ อื assessment การประเมิน ครตู องประเมนิ แบบ assess-ment ประเมินเพ่ือชวยเหลือเด็ก คําถามท่ี ๔ เดก็ บางคนไมไ ด เรยี นชา ไมเอาใจใส เกเร และกม็ ีเรื่องอืน่ ท่ีเขาสนกุ กวา เราจะทาํ อยา งไร คาํ ถามที่ ๕ สดุ ทา ย ตรงกนั ขา ม เดก็ บางคนยงั ไมจ ดั การเรยี นรเู ลยเขารูหมดแลว ท่ีวาเม่ือกี้ เด็กอยู ป.๖ มีความรูวิชาน้ีเทาเด็ก ม.๒ จะทาํ อยา งไรกบั เขา เพราะเด็กท่เี รยี นเลยไปแลวถาเราไมดแู ลเขาใหดี เขาจะเกเร เพราะเขาจะเบื่อ ตกลงการเบ่อื เปนไดทงั้ เพราะรูแลว และยงั ไมรูถามวา จะทําอยา งไร นี่แหละ ๕ คําถามหลกั ซ่ึงทา นตอ งชว ยกนั ตอบ ในหนงั สอื กจ็ ะมีคําแนะนาํ มากมาย

“ครูใช ICT ในการกลบั ทางหองเรยี น ”เปล่ียนความสัมพนั ธใ นชน้ั เรยี น44 การสรา งการเรียนรูส ูศ ตวรรษที่ ๒๑

ครูในศตวรรษที่ ๒๑ ตอง “กลบั ทางหอ งเรยี น” 45บทที่ ๕ ครใู นศตวรรษท่ี ๒๑ ตอ ง “กลับทางหองเรียน”วิ ธกี ารปฏริ ปู การเรยี นรทู งี่ า ย และขอแนะนาํ ใหเ อามา ใชในการทําหนาที่ครู คือวิธีกลับทางหองเรียน ซึ่งมาจากหนังสือ Flip Your Classroom นี่คือวิธีการท่ีงายที่สุดที่เปนรูปธรรมของการท่ีจะใหเกิดการเรียนรูแหงศตวรรษที่ ๒๑ และการทําหนาท่ีเปนครูท่ีมีคุณคาสูงสงยง่ิ แหง ศตวรรษที่ ๒๑ ครใู นยุคปจ จุบัน ทส่ี อนโดยวิธแี บบท่ีทานท้ังหลายเคยไดรับการสอน และแบบท่ีผมก็เคยไดรับมา ไมไ ดทาํ หนา ทค่ี รแู หงศตวรรษที่ ๒๑ อยา งมีคุณคาครสู มยั ใหมส ามารถทาํ ตวั ใหม คี ณุ คา มากกวา ครสู มยั เกา ท่ีจัดการเรียนรูวิธีการเดิมๆ มาก เพราะเทคโนโลยีมันเปดชอง เพราะองคความรูสมัยใหมเปดชอง และวิธีการหนึ่งที่จะทําใหทานทําหนาที่อันประเสริฐนี้ คือการกลับทาง

กลับทางหอ งเรยี น เรียนวชิ าทบ่ี า น ทําการบา นท่โี รงเรยี น เวลาของครู เพ่อื รูจริง www.classstart.org ดร. จนั ทวรรณ ปย ะวัฒน คณะวทิ ยาการจัดการ มอ.หาดใหญ หองเรียน ซ่ึงก็คือเรียนตัววิชาท่ีเรียกวา Acquire Knowledge ท่ีบาน แลว มาทําการบาน หรือประยุกตความรูท เ่ี รยี ก Apply Knowledge ที่ โรงเรียน เพราะการเรียนสมัยใหมน่ีตองเรียนประยุกตใชความรูเพ่ือให ไดทักษะ เรียนวิชาท่ีบานโดยดู VDO ที่ครูจัดทําหรือจัดหาให ความ ยาวตอนหน่ึง ๑๕ นาที ครูทําส่ือเองก็ไดหรือไปหาท่ีไหนมาใหก็ได เอา ไปแขวนไวบ น internet ใหเด็กเขาไปดเู อง แตถา เด็กไมมี internet ท่ี บานหรือไมมีชองทางที่จะเขาไดก็ทําใสแผน VCD ใหไปดูกันท่ีบาน หา มเกนิ ๑๕ นาที เพอ่ื จะบอกตวั สาระสาํ คญั ๆ อนั นค้ี รกู ต็ อ งฝก นดิ หนอ ย แตไมยาก46 การสรางการเรยี นรูสูศตวรรษท่ี ๒๑

ครใู นศตวรรษท่ี ๒๑ ตอ ง “กลบั ทางหองเรยี น” 47 คนทีเ่ ขียนหนงั สือ Flip Your Classroom เลม น้เี ปน ครูบานนอกในอเมริกา สอนเด็กช้ัน ม.๒ ทานไปดูใน youtube ได ที่ http://www.youtube.com/watch?v=gM95HHI4gLk และ http://www.Cbsnews.com/video/ watch/?id=7401696n ท่ีสําคัญก็คือเวลาท่ีโรงเรยี นนนั้ เปน เวลาทมี่ คี า มากกวา การมาฟง ครสู อน กค็ อื เปน เวลาปฏบิ ตั ิและเรียนรวมกบั เพอื่ น ใครอยากไดหนังสอื “ครูเพือ่ ศิษยสรา งหองเรยี นกลับทาง” โปรดเขา ไปทเ่ี วบ็ ไซตข องมลู นธิ สิ ยามกมั มาจล (http://www.scbfoundation.com/news_publish_detail.php?cat_id=6&nid=850) แลวdownload ไดฟ รี การเรยี นรูยคุ ICT : กลบั ทางการเรยี น • เรียนทฤษฎีทบ่ี าน ทําการบานทโี่ รงเรียน • http://www.youtube.com/watch?v=gM95HHI4gLk • http://www.cbsnews.com/video/watch/?id=7401696n • เพ่อื เรียนการประยกุ ตใชค วามรใู หเกดิ ทักษะทีโ่ รงเรยี น มคี รูเปน ผจู ุดประกาย ยยุ ง สงเสริม และชว ยเหลือเมื่อมปี ญ หา • เรียนรวมกบั เพ่อื น สอนเพ่ือน

สรางหอ งเรียนกลับทาง • เรม่ิ ดวยการฝก นกั เรยี น ใหรวู ิธีดวู ดี ทิ ัศนใ หม ีสมาธิ ใหไ ดสาระ • แนะให “หยดุ ” หรือ “กรอกลับ” ครู มาดใู หม • ฝกวธิ จี ดบันทกึ แบบ Cornell Note • กําหนดใหต ง้ั คําถาม ที่นาสนใจ ๑ คําถาม หลกั ก็คือวา ครูทีอ่ เมริกาผเู ขียนหนังสอื Flip Your Classroom บอกวาท่ีใหเด็กไปดู VDO ที่บาน อยาคิดวาเด็กจะดูเปน เด็กดูไมเปน ครูตองฝกใหนักเรียนรูวิธีดู ในหนังสือน้ีจะบอกเลยวาเวลาดู VDO ให ปด สิ่งท่ีมารบกวนสมาธิ พวกโทรศพั ทมอื ถือ ทีวี วทิ ยุ ระหวา งดกู ใ็ หจด วา สว นสาํ คญั คอื อะไร และเราไมเ ขา ใจตรงไหนและครกู ต็ อ งแนะ วธิ เี รยี น โดยดู VDO นักเรียนสามารถหยุดครูได แตถาครูสอนในชั้น บอกใหครู หยดุ ไมไ ด เรยี นจาก VDO หยดุ และกรอกลบั ไดด ว ย กรอครกู ลบั ได และ ถา ดูรอบหน่ึงไมคอ ยรเู รอ่ื งและอยากดรู อบที่ ๒ ก็ดูไดดวย มาใหค รสู อน รอบ ๒ ครตู อบวาไมไหว นี่คอื ขอ ดี ประเดน็ ก็คือวาเด็กทเี่ รยี นเรว็ กับเด็ก ท่ีเรียนชาก็สามารถใชเวลาตางกัน แลวก็ดูบางจุดที่ตางกัน ในชีวิตจริง บางคร้ังพอแมจะมาดูดวย ก็เลยคุยกับลูกเร่ืองพวกนี้ ก็เลยย่ิงดีหนักข้ึน ไปอีก ทําใหชีวิตท่ีบานเกิดการพูดคุย และเขาบอกวาใหสอนเด็กใหฝก48 การสรางการเรียนรูสศู ตวรรษที่ ๒๑

ครใู นศตวรรษท่ี ๒๑ ตอ ง “กลบั ทางหอ งเรียน” 49วิธีบันทึก วิธีจด จากการดู VDO โดยจดแบบ Cornell Note ใครอยากรวู า Cornell Note เปน อยา งไร คน ดว ย Google ได นั่นหมายความวาเด็กที่จะเรียนไดรูเร่ือง ตองรูจักจดบันทึก มีวิธีจดท่ีดี และทผี่ มประทับใจ คอื ครู ๒ คนน้ที เี่ ขียนหนงั สือ เขาบอกวาตองมีขอตกลงกบั เด็กวา ดเู สร็จตองมีการจด note ดว ยตวั เอง เทา น้นั ไมพ อนักเรียนแตละคนตองคิดคําถามที่นาสนใจมา ๑ เร่ือง สําหรับเอามาแลกเปลย่ี นกบั เพอ่ื นวนั รงุ ขนึ้ ทเ่ี รยี กวา เอามาแลกเปลย่ี นกบั เพอื่ น ทาํ ใหการเรยี นรูนาสนุกวธิ บี ันทึกแบบ Cornell Note แบงหนา กระดาษออกเปน ๓ สว นสว นท่ี ๒ สว นท่ี ๑ สวนท่ี ๒ เปน พนื้ ทีท่ ใ่ี หญท ี่สุด เรยี กวา เรียกวา Cue Column Note-taking Area สาํ หรับบนั ทกึ ประเดน็ สาํ คัญ สาํ หรับจดทกุ อยา งเทา ที่จะจดได จากสว นท่ี ๑ โดยเปน ในชว งทนี่ ั่งเรียนหรือสัมมนาอยู คาํ สาํ คญั (Keywords) หรอื ประเดน็ คําถามกไ็ ด ทง้ั นเี้ พือ่ ประโยชน ๒ ประการ หน่ึงคืองา ยสําหรบั การทบทวน โดยไมต องอา นท้งั หมด และสองเพ่ือใหเ ห็นโครงรา ง ทง้ั หมดของบทเรยี นหรือ สมั มนาสว นที่ ๓ เรียกวา Summary Area สําหรบั ในอนาคต ทม่ี า :ที่เกดิ นกึ ถงึ คาํ ถามใหมๆ มเี นือ้ หาอื่นทีเ่ ก่ียวของหรอื ไปเจอ http://setthasat.com/ความรใู หมๆ กน็ าํ มาเขยี นทนี่ ่ี รวมท้งั อาจใชเ ปนพ้นื ท่ีในการ 2012/03/01/cornell-note-สรุปเนือ้ หาก็ได โดยสวนนี้จะถกู อนญุ าตใหเขียนเมอ่ื เวลา taking/ผานไปนานกวา ๒๔ ชว่ั โมง หรอื ๗ วนั แลว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook