Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

Published by KOSARY, 2023-01-18 08:16:04

Description: การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

Search

Read the Text Version

การพฒั นาบทเรียนผ่านเว็บดว้ ย Google Site ประกอบการเรยี นรายวิชา เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 จดั ทำโดย นายกรกฎ เกษมสินธ์ุ รหสั นกั ศกึ ษา 61101209108 นักศกึ ษาหลกั สูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวตั กรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา เปน็ ส่วนหน่ึงของการศกึ ษาตามหลักสูตรปรญิ ญา สาขาวชิ านวตั กรรมและคอมพิวเตอร์ศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร ปีการศึกษา 2565

ก ประกาศคณุ ูปการ รายงานวิจัยฉบับน้ีสำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณา และความช่วยเหลืออย่างดียิ่ง จากอาจารย์ปิยะนันท์ ปลื้มโชค อาจารย์ท่ีปรึกษางานวิจัย ท่ีได้ให้ความอนุเคราะห์แนะนำ เสนอแนะ และตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่ตลอดมาต้ังแต่ตันจนจบ สำเร็จเรียบร้อย ผู้วิจัยรู้สึกชาบซึ้งในความกรุณา ความเอื้ออาทรและขอกราบขอบพระคุณเป็น อย่างสงู ไว้ ณ ท่ีน้ี ขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วสันต์ ศรีหิรัญ ประธานสาขาวิชานวัตกรรม และคอมพิวเตอร์ศึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปัญญา นาแพงหมื่น อาจารย์ประจำสาขาวิชา นวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา อาจารย์ปิยะนันท์ ปล้ืมโชค อาจารย์ประจำสาขาวิชา นวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ศึกษา อาจารย์ปวีณา อุ่นลี อาจารย์ประจำสาขาวิชานวัตกรรมและ คอมพิวเตอร์ศึกษา อาจารย์ทศพล สิทธิ อาจารย์ประจำสาขาวิชานวัตกรรมและคอมพิวเตอร์ ศึกษา คณะผู้เชี่ยวชาญท่ีกรุณาให้คำแนะนำ เสนอแนะข้อบกพร่องต่าง ๆรวมถึงแนวทางการ แก้ปญั หา เกีย่ วกบั เครือ่ งมือท่ใี ช้ในการวิจัย แก่ผู้วจิ ยั จนสำเร็จลุลว่ งดว้ ยดี ขอขอบคุณ นายณัฐพงศ์ บุณยารมย์ รองผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านข่าพิทยาคม ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม คณะคุณครทู ุกท่านท่ีกรุณาช่วยเหลือ ให้ความ ร่วมมือในกาทดลองใช้เคร่ืองมือและเก็บข้อมูลในการวิจัย ขอบใจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนบ้านข่าพิทยาคม ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ท่ีให้ความร่วมมือใน การทดลองและเกบ็ ข้อมลู เป็นอยา่ งดี ทำใหง้ านวิจัยสำเร็จด้วยดี คุณค่าและประโยชน์ใดอันพึงมีจากการศึกษาค้นคว้าการวิจัยฉบับนี้ ขอมอบเป็น เคร่ืองบูชาชาพระคุณบิดา มารดา และบูรพาจารย์ ที่ให้การศึกษาอบรมสั่งสอนให้สติปัญญาและ คุณธรรมอันเปน็ เครอื่ งชีน้ ำความสำเร็จในชีวติ คณะผจู้ ัดทำ

ข ช่ือเร่ือง การพฒั นาบทเรยี นผา่ นเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรยี น รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นักเรียนช้นั ชื่อผู้วิจัย มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 อาจารย์ท่ีปรึกษา นายกรกฎ เกษมสินธุ์ สถาบนั อาจารย์ปยิ ะนันท์ ปล้มื โชค สาขาวิชา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร ปกี ารศกึ ษา นวตั กรรมและคอมพิวเตอรศ์ ึกษา 2565 บทคัดยอ่ การศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนบ้านข่าพิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษานครพนม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 30 คน ซ่ึงได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการศึกษา คือ บทเรยี นผ่านเว็บดว้ ย Google Site ประกอบการเรียน รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่ม ตัวอยา่ ง คือ นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ผลการศกึ ษาพบว่า 1. บทเรียนผ่านเว็บดว้ ย Google Site ประกอบการเรยี นรายวิชาเทคโนโลยี (การ ออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 มปี ระสทิ ธิภาพเบ้ืองตน้ เทา่ กบั 82.72/86.65 ซึ่งสูงกวา่ เกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 2. บทเรยี นผา่ นเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การ ออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรบั นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 มีประสิทธผิ ลตามเกณฑ์ดัชนี ประสิทธผิ ลเทา่ กบั 78.09 ซ่ึงผา่ นเกณฑ์ทีต่ งั้ ไว้ตงั้ แตร่ ้อยละ 50 ขน้ึ ไป 3. ความรู้ในบทเรยี นผ่านเว็บดว้ ย Google Site ประกอบการเรียนรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 สูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมี นยั สำคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05 4. นักเรียนมคี วามพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรยี นผา่ นเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรยี นรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรับนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 อย่ใู นระดับ = 3.73 , S.D. = 0.13 นักเรยี นมคี วามพึงพอใจในระดบั มาก

ค 4.1 การพัฒนาบทเรียนผา่ นเวบ็ ด้วย Google Site ประกอบการเรยี นรายวชิ า เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ความเหมาะสม อยู่ในระดับ มาก เม่ือพิจารณารายดา้ น พบวา่ มี 10 รายการที่นกั เรยี นมีความพึงพอใจในระดับ มาก 4.2 นักเรยี นมคี วามพงึ พอใจตอ่ การเรยี นดว้ ยบทเรียนผา่ นเว็บดว้ ย Google Site ประกอบการเรยี นรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นักเรยี นช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 อยู่ในระดับ มาก เม่ือพิจารณารายข้อ พบว่า มี 10 รายการที่นักเรยี นมคี วาม พึงพอใจในระดบั มาก

ง สารบัญ บทท่ี หนา้ ประกาศคุณปู การ ก บทคดั ยอ่ ข สารบัญ ง บทท่ี 1 1 บทนำ 1 คำถามของการวิจัย 2 ความมุ่งหมายของการวิจัย 3 ความสำคญั ของการวิจัย 3 สมมติฐานของการวิจยั 4 ขอบเขตของการวิจัย 4 กรอบแนวคิดของการวิจัย 5 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 6 บทท่ี 2 8 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้อง 8 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง 2560) กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 8 คณุ ภาพผเู้ รียน 11 2. บทเรียนคอมพวิ เตอรผ์ า่ นเว็บดว้ ย Google Site 12 3. ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 20 4. ความพงึ พอใจ 26 5. วิจยั ท่ีเกีย่ วข้อง 28 บทที่ 3 31 วิธดี ำเนินการวจิ ัย 31 1. การกำหนดประชากรและกลุ่มตวั อย่าง 31 2. เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย 31 3. การสร้างและหาคุณภาพเครอื่ งมือวิจยั 32 4. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู 34 5. การวเิ คราะหข์ ้อมลู 35 6. สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู 36 บทท่ี 4 39 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 39

จ ตอนท่ี 1 ผลการประเมนิ ความเหมาะสมของการพัฒนาบทเรียนผ่านเวบ็ ด้วย Google site ประกอบการเรยี นรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรบั นักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยผู้เชยี่ วชาญ 39 ตอนท่ี 2 ผลการวิเคราะหป์ ระสทิ ธภิ าพของการพัฒนาบทเรยี นผา่ นเวบ็ ดว้ ย Google site ประกอบการเรยี นรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 1 41 ตอนท่ี 3 ผลการวเิ คราะห์ประสทิ ธผิ ลของการพฒั นาบทเรียนผา่ นเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 42 ตอนที่ 4 ผลกาวิเคราะหค์ วามพึงพอใจของนักเรยี นที่มตี ่อการเรียนดว้ ยบทเรียนผา่ นเวบ็ ด้วย Google site ประกอบการเรยี นรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 42 บทที่ 5 44 สรุปผล อภปิ ราย และขอ้ เสนอแนะ 44 ความม่งุ หมายของการวิจัย 44 ขอบเขตของการวจิ ัย 44 กรอบแนวคิดของการวจิ ยั 46 เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั 46 การเก็บรวบรวมข้อมลู 47 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 48 สรุปผลการวิจัย 49 อภิปรายผลการวิจัย 49 ขอ้ เสนอแนะ 50 บรรณานกุ รม 51 ภาคผนวก 54 ภาคผนวก ก 55 ภาคผนวก ข 61 ภาคผนวก ค 63

1 บทที่ 1 บทนำ ภมู หิ ลัง ในช่วงหลายปีท่ีผ่านมา วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีได้มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นจน สามารถสร้างนวัตกรรม (Innovation) ซ่ึงก็คือ การเรียนรู้ การผลิตและการใช้ประโยชน์จาก ความคิดใหม่ ให้เกิดผลท้ังทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ส่ิงแวดล้อม และวัฒนธรรม เทคโนโลยี ทำให้สังคมโลกท่ีเรียบง่าย กลายเป็นสังคมที่มีการดำรงชีวิตที่สลับซับซ้อนมากข้ึน ก่อให้เกิด กระแสแห่งความไร้พรมแดน หรือกระแสโลกาภิวัตน์ ที่เข้ามาสู่ทุกประเทศอย่างรวดเร็ว จาก ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ อันเป็นการผสมผสาน 4 ศาสตร์ เข้าด้วยกันได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม และข่าวสาร (Electronics , Computer ,Telecommunication and Information หรือเรียกย่อๆ ว่า ECTI ) ทำให้สังคมโลกสามารถสื่อสารกันได้ทุกแห่งทั่วโลก อยา่ งรวดเร็ว สามารถรบั รู้ขา่ วสาร ความเคลอ่ื นไหวต่างๆ ได้พรอ้ มกัน สามารถบรหิ ารจัดการและ ตดั สนิ ใจไดท้ กุ ขณะเวลา การลงทุนคา้ ขาย และธุรกรรมการเงินไดอ้ ย่างรวดเร็ว ตามนโยบายและมาตรฐานการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่กำหนดวิสัยทัศน์และทิศ ทางการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร โดยมุ่งเน้นส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้เรียน ครผู ้สุ อน บุคลากรทางการศึกษาและประชาชนได้ใช้ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยีสารสนเทศ และการ ส่ือสารให้เข้าถึงบริการทางการศึกษาได้เต็มศักยภาพ มีสมรรถนะในการใช้คอมพิวเตอร์และ อินเทอร์เน็ตในการเรียนการสอนและการบริหารจัดการอย่างกว้างขวาง ส่งเสริมรูปแบบการ เรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้อย่างมีจริยธรรม (ไชยยศ เรืองสุวรรณ 2018 : เว็บไซต์) และในการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในเร่ืองของ เทคโนโลยี จึงเป็นส่ิงที่สำคัญและมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีความชำนาญและความ คล่องแคล่วในการใช้โปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง และจะต้องอาศัยการเรียนรู้ การพัฒนาให้มี ความสามารถและมีประสทิ ธิภาพในการทำงานใหม้ ากยงิ่ ขนึ้ ในปัจจุบันบทเรียนคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในการเรียนการสอนมากขึ้น เพราะ รัฐบาลได้ ส่งเสริม สนับสนุนการผลิตและพัฒนาแบบเรียน ส่ือและเทคโนโลยีทางการศึกษาโดย ให้มีการแข่งขัน อย่างเสรี และพัฒนาบุคลากรผู้ผลิตและผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ซ่ึงทำให้ ผู้เรียนมีสิทธิ์ได้รับการ พัฒนาการใช้เทคโนโลยีเพ่ือการศึกษาด้วยตนเองตลอดชีวิต (lifelong learning) เช่น เทคโนโลยีมัลติมีเดีย เทคโนโลยดี ้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร ข้อมูลทำให้สามารถผลิตบทเรียนคอมพิวเตอร์และเผยแพร่บทเรียน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะความสามารถในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ประสิทธิภาพค่อนข้างสูง อีกท้ังมีความ สะดวกสบายในการใช้งาน เพราะในปัจจุบันบทเรียน คอมพิวเตอร์ก็สามารถเผยแพร่ให้มาอยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้เคร่ืองมือในการสร้าง เว็บไซต์มาพัฒนาและปรับปรุงทำให้เกิดเป็นรูปแบบ ของบทเรียนผ่านเครือข่าย และเครือข่าย อินเทอร์เน็ตก็ได้กลายเป็นสังคมการเรียนรู้ออนไลน์ ซึ่งสามารถเข้าใช้งานจากท่ีไหนก็ได้ไม่ได้

2 จำกัดอยู่แต่เฉพาะในห้องเรียนอย่างสมัยก่อน การเรียนการสอน ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นมี มากมายหลายรูปแบบ เช่น การเรียนการศึกษาผ่านเว็บไซต์ (Web-based Education)การ นำเสนอมัลติมีเดียผ่านเว็บไซต์ (Web-based Multimedia Presentation) การเรียนการสอน ผ่านเว็บไซต์ (WBI) เป็นต้น การใช้งานบทเรียนคอมพิวเตอร์ในรูปแบบของสื่อออนไลน์นั้น ผู้ออกแบบสามารถลำดับความสำคัญของเนื้อหาที่จะต้องทำความเข้าใจก่อนเรียนในบทเรียนอื่น ๆ อีกท้ังส่ือการเรียนการสอนผ่านเว็บไซต์ก็จะเพิ่มพูนทักษะในการใช้งานเทคโนโลยี และ เนื้อหา ที่นำเสนอผ่านเครือข่ายอินเตอร์นั้นก็สามารถปรับปรุงได้ตลอดเวลา เพ่ือให้นักศึกษาได้มี ความสามารถที่เพ่ิมขึ้นและสามารถเรียนรู้ก้าวทันในโลกยุคสังคมออนไลน์ (ธนพงศ์ จันทร์สุข, 2557: 23) การจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนผ่านเว็บเป็นวิธีการหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาการ เรียนรู้ของนักเรียน นักเรียนสามารถใช้เวลาใดก็ได้ สถานท่ีใดก็ได้ ข้ึนอยู่กับความพร้อมของ นักเรียน โดยไม่จำกัดการปฏิสัมพันธ์ไว้แต่เพียงในห้องเรียน ผู้สอนสามารถให้ผลย้อนกลับแก่ นักเรียนได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลาเรียน (พัทธพล ฟุ้งจันทึก, 2553 : 2) ซ่ึงการจัดการ เรียนการสอนในปัจจุบันได้นำโปรแกรมสำเร็จรูปโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนการ สอนทางไกลและการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายออนไลน์ (ทิศนา แขมมณี, 2556 : 86) เข้ามา เป็นสื่อช่วยในการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากย่ิงข้ึน Google Site เป็นแอปพลิเคชันออนไลน์ หนึ่งที่ช่วยในการเรียนการสอนของครู โดยสามารถเช่ือมโยงเนื้อหาแหล่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รปู แบบไฟล์ เสียง วิดีทัศน์ ที่นักเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่ายและไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเวลา ใดกส็ ามารถเกดิ การเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองได้ (อิงอร นลิ ประเสริฐ และคณะ, 2557: 33) ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเห็นว่าการนำเอาบทเรยี นผ่านเว็บด้วย Google Site มาเป็นส่ือการสอน จะทำให้เกิดการเรียนรู้ตามความสามารถของผู้เรียน โดยไม่ต้องรอหรือเร่งให้ทันเพ่ือนและถ้า ผู้เรียนไม่เข้าใจในส่วนใดของบทเรียนก็สามารถกลับไปเรียนซ้ำได้ซ่ึงในฐานะท่ีผู้วิจัยการพัฒนา บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site เป็นการยากที่จะให้ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ทันกัน จากเหตุผลดังกล่าวมาจึงทำให้ผู้วิจัยสนใจสร้างและพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ขน้ึ มาเพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าวมาข้างต้นที่จะส่งผลให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน ทัง้ รา่ งกาย สตปิ ัญญา อารมณ์และสังคม คำถามของการวจิ ยั การวจิ ัยครงั้ นี้ ผ้วู ิจัยได้กำหนดคำถามของการวิจยั ไว้ ดังนี้ 1. การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรยี นรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 หรือไม่ อย่างไร

3 2. การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรยี นรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 มีประสิทธผิ ลตามเกณฑ์ดัชนี ประสทิ ธิผลตั้งแต่รอ้ ยละ 50 ข้นึ ไป หรือไม่ อยา่ งไร 3. ความรู้ในรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ของนักเรียน หลังเรียน ด้วยบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและ เทคโนโลยี) สำหรบั นักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 สูงกวา่ กอ่ นเรียน หรือไม่ อยา่ งไร 4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 อยู่ในระดบั ใด ความมุ่งหมายของการวิจัย การวิจยั ครง้ั นี้ ผวู้ ิจยั ได้กำหนดความมุง่ หมายของการวิจยั ไว้ ดงั นี้ 1. เพื่อพัฒ นาและหาประสิทธิภ าพของบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ตามเกณฑ์ 80/80 2. เพ่ือหาประสิทธิผลของบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียน รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตาม เกณฑด์ ชั นีประสิทธผิ ลตั้งแตร่ ้อยละ 50 ขน้ึ ไป 3. เพ่ือเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกับรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที ี่ 1 4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ความสำคญั ของการวิจัย การวิจยั คร้ังนี้ มีความสำคัญตามประเด็นต่าง ๆ ดังน้ี 1. ได้บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีมีประสิทธิภาพและ ประสทิ ธผิ ล สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและ เทคโนโลยี)

4 2. เป็นแนวทางให้กับครูผู้สอนหรือนักวิจัยท่ีสนใจพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ในเนือ้ หาอน่ื หรือระดบั ช้นั อน่ื ต่อไป สมมติฐานของการวจิ ัย การวิจัยครง้ั นี้ ผูว้ จิ ัยไดก้ ำหนดสมมติฐานของการวจิ ัยไว้ ดังน้ี 1. การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรยี นรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. การพัฒนาบทเรยี นผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรยี นรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 มีประสิทธิผลตามเกณฑด์ ัชนี ประสิทธิผลตั้งแตร่ อ้ ยละ 50 ข้นึ ไป 3. ความรู้ในรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ของนักเรียน หลังเรียน ดว้ ยบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและ เทคโนโลย)ี สำหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 1 สงู กว่าก่อนเรียน 4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในระดบั มากขึ้นไป ขอบเขตของการวิจยั การวจิ ัยคร้ังน้ี ผู้วิจยั ได้กำหนดขอบเขตของการวิจยั ดังนี้ 1. ขอบเขตดา้ นประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง 1.1 ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนบ้านข่าพิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 หอ้ งเรยี น รวมทง้ั สน้ิ 58 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านข่าพิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษานครพนม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 256 5 จำนวน 2 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 30 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster random sampling) 2. ขอบเขตด้านตวั แปร 2.1 ตัวแปรอิสระ คือ การเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี

5 2.2 ตวั แปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ประสิทธิภาพของบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Siteประกอบการเรียน รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) 2.2.2 ประสิทธิผลของบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Siteประกอบการเรียน รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี 2.2.3 ความรู้เกี่ยวกับบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Siteประกอบการเรียน รายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี 2.2.4 ความพงึ พอใจต่อการเรยี น 3. ขอบเขตด้านเนือ้ หา บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีขอบข่ายเนื้อหา สาระการเรยี นรู้ ดงั น้ี 3.1 เทคโนโลยกี บั มนุษย์ 3.2 กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม 3.3 ผลงานออกแบบเทคโนโลยี 4. ขอบเขตดา้ นระยะเวลาในการทดลองใช้ ผวู้ ิจัยดำเนินการทดลองใช้บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียน รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึก ษาปีที่ 1 ในภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2565 รวมเวลาทง้ั สนิ้ 20 ชวั่ โมง กรอบแนวคดิ ของการวิจัย การวจิ ยั ครงั้ นี้ ผวู้ จิ ัยได้กำหนดกรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั ดังนี้ ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม การเรียนการสอนด้วยบทเรียน 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Siteป ร ะ ก อ บ ก า ร เรี ย น ร า ย วิ ช า ผา่ นเว็บดว้ ย Google Site เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ประกอบการเรยี นรายวชิ า 2. ประสิทธิผลของบทเรียนผ่านเว็บด้วย เทคโนโลยี (การออกแบบและ Google Siteป ร ะ ก อ บ ก า ร เรี ย น ร า ย วิ ช า เทคโนโลยี เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) 3. ความรเู้ ก่ยี วกบั บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Siteประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การ ออกแบบและเทคโนโลย)ี 4. ความพงึ พอใจต่อการเรียน ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดของการวจิ ัย

6 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ การวิจยั ครง้ั นี้ ผู้วิจยั ไดน้ ิยามศพั ทเ์ ฉพาะ ดงั นี้ 1. บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site หมายถึง การสร้างบทเรียนด้วยโปรแกรมของ Google ท่ีให้บริการสร้างเว็บไซต์ฟรี สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ง่าย นำเสนอเน้ือหา โดยยึด หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยเสนอเนื้อหาวิชา และแบบทดสอบ ในรูป ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพกราฟิก วีดิ ทัศน์ การทำแบบทดสอบออนไลน์วดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพ่ือทดสอบหรือประเมิน ความรู้ ความเขา้ ใจของผูเ้ รียนดว้ ยตนเอง 2. รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) จัดทำขึ้นสำหรับใช้ประกอบการ เรียนการสอน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยดำเนินการจัดทำให้สอดคล้องตามมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่งเสริมทักษะที่จำเป็นสำหรับการ เรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ทั้งทกั ษะด้านการคิดวเิ คราะห์ การคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ การแก้ปัญหา การสื่อสาร การคิดสร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยี และการร่วมมือ เพ่ือให้ผู้เรียนรู้เท่าทันการ เปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม สามารถแข่งขันและอยู่ ร่วมกบั ประชาคมโลกได้ 3. แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบแบบปรนัย รายวิชา เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ท่ีเป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ มี 4 ตัวเลือก ท่ี ผู้วิจยั สร้างขนึ้ จำนวน 30 ขอ้ 4. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ หลังเรยี นรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) 5. ประสิทธิภาพของบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site หมายถึง คำท่ีกำหนดข้ึนเพื่อ ตอ้ งการสร้างบทเรียนผ่านเวบ็ ด้วย Google Site ใหไ้ ด้มาตรฐานตามท่ตี ั้งไว้ สำหรับบทเรยี นผ่าน เว็บดว้ ย Google Site ทผ่ี วู้ ิจยั สรา้ งข้ึนตั้งเกณฑไ์ ว้ 80/80 มีความหมาย ดงั น้ี 80 ตัวแรก E1 หมายถึง คะแนนเฉล่ยี ของนกั เรียนท้ังหมด จากการทำกิจกรรม ระหว่างเรียน ไดค้ ะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 80 ตัวหลัง E2 หมายถึง คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมดท่ีได้จากการทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไดค้ ะแนนไม่ตำ่ กว่าร้อยละ 80 6. แบบสอบถามความพึงพอใจ หมายถึง แบบวัดความรู้สึกพึงพอใจและความคิดเห็น ของนักเรียนท่ีมีต่อการใช้การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียน รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่ีผู้วิจัย สร้างขึน้

7 7. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกท่ีดีหรือทัศนคติที่ดีของนักเรียนที่แสดงถึง ความชอบความพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ซง่ึ วดั โดยแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผู้วิจัยสร้างข้นึ ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะได้รบั 1. ได้บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การ ออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรบั นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 ทีม่ ีประสทิ ธิภาพ 2. ไดส้ ื่อท่มี ปี ระสิทธภิ าพทีน่ ักเรยี นสามารถนำไปศึกษาได้ดว้ ยตนเอง ตามความสะดวก และความสนใจทั้งในเวลาเรียนและนอกเวลา 3. เป็นแนวทางในการพัฒนาการพฒั นาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site กลมุ่ สาระ การเรยี นรู้อ่ืนต่อไป

8 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้อง ในการวิจัยเรื่องการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียน รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ผูว้ ิจัยได้ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ตา่ ง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง ดงั น้ี 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 2. บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ผ่านเว็บด้วย Google Site 3. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 4. ความพงึ พอใจ 5. วิจัยท่เี กย่ี วข้อง 1. หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง 2560) กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากท่ีสุด เพ่ือให้ได้ทั้งกระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบการทดลอง แล้วนำ ผลท่ีไดม้ าจดั ระบบเป็นหลักการ แนวคดิ และองค์ความรู้ การจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ จึงมีเปา้ หมายท่ีสำคัญ ดงั น้ี 1. เพอ่ื ให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎี และกฎทเี่ ป็นพื้นฐานในวชิ าวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อให้เขา้ ใจขอบเขตของธรรมชาตขิ องวิชาวทิ ยาศาสตร์ และข้อจำกัดในการศึกษา วิชาวทิ ยาศาสตร์ 3. เพ่ือใหม้ ที กั ษะท่สี ำคญั ในการศึกษาคน้ คว้าและคิดค้นทางเทคโนโลยี 4. เพ่ือให้ตระหนักถึงความสมั พันธ์ระหว่างวชิ าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ สภาพแวดล้อมในเชงิ ที่มีอิทธิพล และผลกระทบซง่ึ กนั และกนั 5. เพ่ือนำความรู้ ความเขา้ ใจในวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อ สงั คมและการดำรงชวี ิต 6. เพ่ือพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการ จัดการ ทกั ษะในการสือ่ สารและความสามารถในการตดั สินใจ 7. เพ่ือให้เป็นผู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี ย่างสร้างสรรค์

9 เรียนรูอ้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ท่ีเน้นการ เช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับ ระดบั ช้นั โดยกำหนดสาระสำคัญดังนี้ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เก่ียวกับชีวิตในส่ิงแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และววิ ฒั นาการของสิ่งมีชีวติ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลอ่ื นท่ี พลังงาน และคลื่น วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ ภายในระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ เปลย่ี นแปลงลมฟา้ อากาศ และผลตอ่ สง่ิ มชี ีวิตและส่งิ แวดล้อม เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับ เทคโนโลยีเพ่ือการดำรงชีวิตใน สังคมที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อ่ืน ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการ ออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับ การคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แกป้ ัญหาเป็นข้ันตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใชค้ วามร้ดู ้านวิทยาการคอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยี สารสนเทศ และการสอื่ สาร ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวติ จริงได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่าง ส่ิงไม่มีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลงั งานการเปลี่ยนแปลงแทนทใ่ี นระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและ ผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปญั หาสิง่ แวดล้อม รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของส่ิงมชี ีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต การลำเลียงสาร เข้าและออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และ

10 มนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ ทำงานสมั พนั ธก์ นั รวมทั้งนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมสารพันธุกรรมการเปล่ียนแปลงทางพนั ธุกรรมท่ีมผี ลต่อส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายทาง ชีวภาพและววิ ฒั นาการของสงิ่ มีชวี ิต รวมทง้ั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่าง สมบัติของส สารกับโครงสร้างแล ะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภ าค หลั กและธรรมช าติของการ เปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวันผลของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ ลกั ษณะการเคลอื่ นท่ีแบบตา่ ง ๆ ของวตั ถรุ วมท้งั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอน พลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณท์ เี่ กี่ยวขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมท้ังนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะกระบวนการเกิด และวิวัฒนาการ ของเอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อ สิง่ มีชีวิต และการประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ เปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผิวโลกธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ และภูมิอากาศโลก รวมทัง้ ผลต่อส่งิ มชี ีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ใชค้ วามรู้และทกั ษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆเพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิง วิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม แล ะ ส่ิงแวดล้อม มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแกป้ ัญหาท่ีพบในชีวิตจรงิ อย่าง เปน็ ข้นั ตอนและเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารในการเรียนรู้ การทำงาน และ การแก้ปญั หาได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ร้เู ท่าทนั และมจี รยิ ธรรม

11 คุณภาพผเู้ รยี น จบช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 1. เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์ส่ิงมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการ ทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ การดำรงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม การเปล่ียนแปลงของยีนหรือโครโมโซม และตัวอย่างโรคที่เกิดจากการเปล่ียนแปลง ทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบของส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ความหลากหลายทาง ชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์ ขององคป์ ระกอบของระบบนเิ วศและการถ่ายทอดพลงั งานในสิง่ มีชีวิต 2. เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสม หลักการ แยกสาร การเปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปล่ียนสถานะ การเกิดสารละลายและการ เกิดปฏิกิริยาเคมี และสมบัติทางกายภาพและการใชป้ ระโยชน์ของวัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวัสดผุ สม 3. เข้าใจการเคล่ือนท่ี แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง แรงที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน สนามของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์ โน้มถ่วง กฎการอนรุ ักษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลงั งาน สมดุลความร้อน ความสัมพนั ธ์ของปรมิ าณ ทางไฟฟา้ การตอ่ วงจรไฟฟ้าในบ้าน พลงั งานไฟฟ้า และหลกั การเบ้ืองตน้ ของวงจรอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 4. เข้าใจสมบัติของคล่ืน และลักษณะของคลื่นแบบต่าง ๆ แสง การสะท้อน การหักเห ของแสงและทัศนอปุ กรณ์ 5. เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคลอื่ นท่ี ปรากฏของ ดวงอาทิตย์ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม การขึ้นและตกของดวงจันทร์ การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง ประโยชน์ ของเทคโนโลยีอวกาศ และความกา้ วหนา้ ของโครงการสำรวจอวกาศ 6. เข้าใจลักษณะของช้ันบรรยากาศ องคป์ ระกอบและปัจจัยที่มผี ลต่อลมฟ้าอากาศ การ เกิดและผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์ การ เปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเช้ือเพลิงซากดึกดำบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์ ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้นหน้าตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหล่งน้ำผิวดิน แหล่งน้ำ ใตด้ ิน กระบวนการเกดิ และผลกระทบของภัยธรรมชาติ และธรณพี บิ ัตภิ ัย 7. เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีการเปล่ียนแปลง ของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์ วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพ่ือเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบ ต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพ่ือออกแบบและสร้าง ผลงานสำหรับการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการ ออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมท้ังเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์และเคร่ืองมือได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ปลอดภัย รวมทั้งคำนงึ ถึงทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา 8. นำข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นำเสนอข้อมูล และสารสนเทศได้ตามวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะการคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริง

12 และเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพื่อช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อย่างรเู้ ทา่ ทันและรับผดิ ชอบต่อสังคม 9. ต้ังคำถามหรือกำหนดปัญหาที่เช่ือมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทาง วิทยาศาสตร์ที่มีการกำหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐาน ท่ีสามารถนำไปสู่การสำรวจตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสำรวจตรวจสอบโดย ใช้วัสดุและเคร่ืองมือท่ีเหมาะสม เลือกใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีเหมาะสมในการ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ท้ังในเชิงปรมิ าณและคณุ ภาพท่ไี ดผ้ ลเท่ยี งตรงและปลอดภยั 10. วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลท่ีได้จากการสำรวจตรวจสอบจาก พยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตรใ์ นการแปลความหมายและลงข้อสรุป และส่ือสารความคิดความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบหรือใช้เทคโนโลยี สารสนเทศเพอื่ ใหผ้ อู้ นื่ เขา้ ใจไดอ้ ย่างเหมาะสม 11. แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ในส่ิงท่ีจะเรียนรู้มี ความคิดสร้างสรรคเ์ ก่ียวกับเร่อื งทจ่ี ะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เคร่ืองมือและวธิ ีการ ท่ีให้ได้ผลถูกต้องเชื่อถือได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของ ตนเองรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นและยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู้ท่ีค้นพบเม่ือมีข้อมูลและ ประจักษ์พยานใหม่เพมิ่ ข้ึนหรอื โต้แย้งจากเดิม 12. ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวันใช้ ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผ้คู ิดค้น เขา้ ใจผลกระทบทั้งด้านบวกและ ด้านลบของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ต่อสิ่งแวดล้อมและต่อบริบทอื่น ๆ และศึกษาหาความรู้ เพ่มิ เตมิ ทำโครงงานหรอื สร้างชิ้นงานตามความสนใจ 13. แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสมดุลของ ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ 2. บทเรยี นคอมพิวเตอรผ์ ่านเวบ็ ด้วย Google Site 2.1 ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บ คาน (Khan, 1997) ได้ให้คำจำกัดความของการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction)ไว้ว่าเป็นการเรยี นการสอนท่ีอาศัยโปรแกรมไฮเปอร์มีเดียท่ีช่วยในการสอน โดยการ ใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ ตมาสร้างให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี ความหมาย โดยสง่ เสริมและสนบั สนุนการเรียนรอู้ ยา่ งมากมายและสนบั สนนุ การเรยี นรู้ในทุกทาง คลาร์ก (Clark, 1996) ได้ให้คำจำกัดความของการเรียนการสอนผ่านเว็บว่าเป็นการ เรียนการสอนรายบุคคลท่ีนำเสนอโดยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์สาธารณะหรือส่วนบุคคลและ แสดงผลในรูปของการใช้เว็บบราวเซอร์สามารถเข้าถึงข้อมลู ท่ีตดิ ต้ังไว้ได้โดยผ่านเครือขา่ ย

13 รีแลน และกิลลานิ (Relan and Gillani, 1997) ได้ให้คำจำกัดความของเว็บในการ สอนเอาไว้ว่าเป็นการกระทำของคณะหน่ึงในการเตรียมการคิดในกลวิธีการสอนโดยกลุ่ม คอนสตรัคติวิซ่ึมและการเรียนรู้ในสถานการณ์ร่วมมือกัน โดยใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและ ทรัพยากรในเวิลด์ไวดเ์ ว็บ ดริสคอล (Driscoll, 1997) ได้ให้ความหมายของการเรยี นการสอนผ่านเว็บว่า เป็นการ ใช้ทักษะหรือความรู้ต่างๆ ถ่ายโยงไปสู่ท่ีใดท่ีหน่ึงโดยการใช้เวิลด์ไวด์เว็บเป็นช่องทางในการ เผยแพร่สิ่งเหลา่ นั้น แฮนนัม (Hannum, 19100) กล่าวถึงการเรียนการสอนผ่านเว็บว่าเป็นการจัดสภาพ การเรียนการสอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ตหรืออินทราเน็ต บนพื้นฐานของหลักและวิธีการ ออกแบบการเรยี นการสอนอยา่ งมีระบบ พรทิพย์ ชูศรี (2556: 46) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนบนเครือข่าย อินเทอร์เนต็ การเรียนการสอนผา่ นเว็บไว้วา่ การเรียนการสอนบนเครือขา่ ยอินเทอรเ์ น็ต (Online Instruction) เป็น การจัดการเรียนการสอนที่มีสภาพการเรียนที่ต่างไปจากรูปแบบเดิม โดยอาศัยทั้งศักยภาพและความสามารถของอินเทอร์เน็ต ซ่ึงเป็นการเรียนการสอนที่มีเทคโนโลยี สูงสุดในขณะนี้ ให้เข้ามาช่วยเอื้ออำนวยเป็นเครื่องมือและเป็นแหล่งสนับสนุนการเรียนการสอน ให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เช่ือมโยงเครือข่ายท่ีสามารถเรียนรู้ได้ทุกสถานที่ทุกเวลา ซ้ึง ให้มีชื่อเรียกหลายลักษณะ ได้แก่ การทดสอบผ่านเว็บ (Web-based Instruction) การเรียนรู้ ผ่านเว็บ (Web-based Training) การสอน ผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet-based Instruction) การสอนผ่านเวิลด์ไวด์เว็บ (Web-based Instruction) การเรียนรู้ผ่านเวิลด์ไวด์เว็บ (Web Training) การเรียนผา่ นเว็บ (Web-based Leaning) ศรันย์ พรมสวัสดิ์ (2557: 19) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บไว้ว่า การเรียน การสอนผ่านเว็บ หมายถึง บทเรียนผ่าน (Web based instruction) คอื การเรียนการ สอนผ่านระบบเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต ท่ีมีรูปแบบของไฮเปอร์มีเดีย โดยอาศัยประโยชน์ทรัพยากร ของอินเทอร์เน็ต และ เวิลด์ ไวด์ เว็บ ซึ่งรวมทั้งเคร่ืองมือส่ือสารในการสร้างสรรค์กิจกรรม การเรียนทำใหเ้ กิดการเรยี นรู้สามารถเรียนรู้ได้ทกุ ท่ีทุกเวลา นิตยา ม่ันศักดิ์ (2560: 19) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บไว้ว่า บทเรียนท่ีถูกพัฒนาขึ้นมาประกอบด้วยภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว ข้อความ และเสียง โดยผ่านการ เชื่อมโยงผา่ นเครอื ข่ายอินเทอรเ์ นต็ ความเรว็ สงู สรปุ ได้ว่า การเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นการใช้เครื่องมอื หรอื ส่ือทจี่ ัดทำขึ้นในลักษณะสื่อ หลายมิติมาช่วยในการเรียนรู้ โดยใช้เทคโนโลยีของเว็บและเบราเซอร์เป็นตัวจัดการให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด สามารถปรับปรุงพัฒนาเน้ือหาให้ทันสมัยได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลา ซ่ึง ผู้วิจัยจึงสนใจจัดทำบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี

14 (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เพราะเป็นสื่อท่ีนักเรียน สามารถเรยี นรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง ได้ทกุ ที่ทกุ เวลา 2.2 สว่ นประกอบของการเรียนการสอนผ่านเว็บ ประกอบดว้ ย 4 สว่ น ดังน้ี 1. ส่ือสำหรับนำเสนอ (Presentation media) หมายถึง ตัวบทเรียนที่นำเสนอผ่าน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปยังผู้เรียนในลักษณะของส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ ข้อความ (Text), ภาพน่ิง (Still image), กราฟิก (Graphic), ภาพเคลื่อนไหว (Animation), วิดีทัศน์ (Video) และเสียง (Sound) 2. การปฏิสัมพันธ์ (Interactivity) หมายถึง การโต้ตอบที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เรียนกับ บทเรียน 3. การจัดการฐานข้อมูล (Database management) หมายถึง การจัดการเกี่ยวกับ บทเรยี นเร่ิมตง้ั แต่การลงทะเบยี นจนถงึ การประเมินผลการเรียน 4. ส่วนสนับสนุนการเรียนการสอน (Course support) หมายถึง การบริการต่าง ๆ ทม่ี ีอยู่ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพ่ือสนับสนุนการเรียนการสอน จำแนกออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ 4.1 Asynchronous หมายถึง ส่วนสนับสนุนการเรียนการสอนท่ีใช้งานในลักษณะ Off-line สำหรับการติดตอ่ ส่ือสารระหว่างผูเ้ รียนกับบทเรยี น หรือผ้อู ่ืนทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ได้แก่ 1. อเิ ลก็ ทรอนิกสบ์ อรด์ (Electronic board) เช่น BBS, Web board 2. จดหมายอิเล็กทรอนกิ ส์ (E-mail) 4.2 Synchronous หมายถึง ส่วนสนับสนุนการเรียนการสอนที่ใช้งานในลักษณะ On-line สำหรบั การตดิ ต่อส่ือสารระหว่างผู้เรยี นกับบทเรยี นหรือผู้อื่นทเี่ กย่ี วข้อง ไดแ้ ก่ 1. การสนทนาผ่านเครอื ขา่ ย (Internet relay chat) เชน่ Chat room, ICQ 2. การประชุมทางไกลด้วยภาพ (Video conferencing) 3. การบรรยายสด (Live lecture) 4. การติดต่อส่ือสารผ่านเครือข่าย เช่น Internet phone, Net meeting นอกจากน้ียังมีส่วนสนับสนุนการเรยี นการสอน ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือหรือการบริการ ที่มีอยู่บน เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อำนวยความสะดวกในการศึกษาบทเรียน WBI: Web based instruction ได้แก่ เครื่องมือสำหรับค้นหาข้อมูล ได้แก่ Search engine tool ต่าง ๆ และ เครอ่ื งมือสำหรับเขา้ สู่ระบบเครือขา่ ย ได้แก่ Telnet, FTP 2.3 การออกแบบบทเรียนผา่ นเว็บ บทเรียนผ่านเว็บมีการนำเสนอรูปแบบที่หลากหลายเพ่ือให้ผู้เรยี นได้เกิดการเรียนรู้ท่ีง่าย ต่อความเข้าใจ ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจึงจำเป็นต้องมีการออกแบบการเรียนการ สอนตามข้ันตอนต่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้

15 ดิลลอน (Dillon, 1997 : 221-224) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับขั้นตอนในการสร้าง บทเรียนท่ีมีลักษณะเป็นสื่อหลายมิติ (Hypermedia) ซ่ึงหลักการนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ใน การออกแบบและพัฒนาเว็บเพื่อการเรยี นการสอนแนวคดิ ดังกลา่ วมขี ั้นตอนดังน้ี 1. ศึกษาเกี่ยวกับผู้เรียนและเนื้อหาที่จะนำมาพัฒนาเพ่ือกำหนดวัตถุประสงค์ และแนวทางในการจดั กิจกรรมการเรยี น 2. วางแผนเกี่ยวกับการจัดรูปแบบโครงสร้างของเนื้อหาศึกษาคุณลักษณะของ เน้ือหาที่จะนำมาใช้เป็นบทเรียนวา่ ควรจะนำเสนอในลกั ษณะใด 3. ออกแบบโครงสร้างเพ่ือการเข้าถึงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพโดยผู้ออกแบบ ควรศึกษาทำความเข้าใจกบั โครงสร้างของบทเรยี นแบบต่างๆโดยพจิ ารณาจากลกั ษณะผเู้ รยี นและ เน้ือหาว่าโครงสรา้ งลักษณะใดจะเอ้ืออำนวยต่อการเขา้ ถงึ ขอ้ มูลของผ้เู รียนได้ดีท่ีสดุ 4. ทดสอบรูปแบบเพ่ือหาข้อผิดพลาดจากน้ันทำการปรับปรุงแก้ไขและทดสอบ ซำ้ อีกคร้ังจนแนใ่ จว่าเป็นบทเรียนทม่ี ีประสทิ ธภิ าพกอ่ นท่ีจะนำไปใช้งาน วธิ ดี ำเนินการ 5 ขั้นตอนเพื่อการออกแบบและพัฒนาการเรียนการสอนผา่ นเว็บ ทมี่ ปี ระสิทธภิ าพ คอื 1. ทำการวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียนรวมทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของ ผู้เรียน 2. การกำหนดเป้าหมายวตั ถุประสงค์และกิจกรรม 3. ควรเลือกเน้ือหาท่ีจะใช้นำเสนอพร้อมกับหางานวิจัยอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้องและ ช่วยสนบั สนุนเนื้อหา 4. การวางโครงสร้างและจัดเรียงลำดับข้อมูลรวมทั้งกำหนดสารบัญเคร่ืองมือ การเขา้ สู่เนื้อหา (Navigational Aids) โครงรา่ งหนา้ จอและกราฟฟิกประกอบ 5. ดำเนินการสร้างเว็บไซต์โดยอาศัยแผนโครงเร่ืองการออกแบบการเรียนการ สอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีหลายข้ันตอนซ่ึงในการออกแบบนั้นควรศึกษาขั้นตอนการ ออกแบบ ศึกษาเน้ือหา และผู้เรยี น ซึ่งต้องออกแบบให้มีความสัมพันธ์กันจึงจะช่วยให้ได้บทเรียน ทมี่ คี ุณภาพ คาน (Khan, 1997) ได้กล่าวไว้ว่า การออกแบบเว็บท่ีดีมีความสำคัญต่อการเรียนการ สอน เป็นอย่างมากดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจถึงคุณลักษณะ 2 ประการของโปรแกรมการเรียน การสอนผา่ นเวบ็ 1. คุณลักษณะหลัก (Key Features) เป็นคุณลักษณะพื้นฐานของโปรแกรมการเรียน การสอนผ่านเว็บทุกโปรแกรม ตัวอย่างเช่น การสนับสนุนให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับบทเรียน ผูส้ อน หรือผู้เรียนคนอื่น ๆ การนำเสนอบทเรียนในลักษณะของส่ือหลายมิติ (Multimedia) การ นำเสนอบทเรียนระบบเปิด (Open System) กล่าวคือ อนุญาตให้ผู้เรียนสามารถเช่ือมโยงเข้าสู่ เวบ็ เพจอื่น ๆ ที่เก่ียวขอ้ งได้ ผู้เรยี นสามารถสืบค้นขอ้ มูลบนเครือขา่ ยได้ (Online Search) ผู้เรยี น

16 ควรที่จะสามารถเข้าสู่โปรแกรม การสอนผ่านเว็บจากท่ีใดก็ได้ท่ัวโลก รวมทั้งผู้เรียนควรที่จะ สามารถควบคุมการเรยี นของตนเองได้ 2. คุณลักษณะเพ่ิมเติม (Additional Features) เป็นคุณลักษณะประกอบเพ่ิมเติม ซ่ึง ขนึ้ อยู่กับคุณภาพและความยากง่ายของการออกแบบ เพื่อนำมาใช้งานและการนำมาประกอบกับ คณุ ลักษณะหลักของโปรแกรมการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ ตัวอย่างเชน่ ความง่ายในการใชง้ านของ โปรแกรมมีระบบป้องกันการลักลอบข้อมูล รวมท้ังระบบให้ความช่วยเหลือบนเครือข่ายมีความ สะดวกในการแก้ไข ปรับปรงุ โปรแกรม เป็นตน้ โจนส์และฟาร์เควอร์ (Jones and Farquar, 1997) ได้แนะนำหลักการออกแบบ เบื้องต้นทจี่ ะเปน็ จุดเริ่มในการพฒั นาเวบ็ เพอ่ื การเรียนการสอน ดังน้ี 1. ควรมกี ารจดั โครงสร้างหรือจัดระเบียบข้อมูลท่ีชดั เจน การท่ีเนื้อหามีความต่อเน่ืองไป ไม่สิ้นสุดหรือกระจายมากเกินไปอาจทำให้เกิดความสับสนต่อผู้ใช้ได้ ฉะนั้นจึงควรออกแบบให้มี ลกั ษณะท่ีชัดเจนแยกย่อยออกเป็นส่วนต่าง ๆ จัดหมวดหมู่ในเรื่องท่ีสัมพันธ์กัน รวมท้ังอาจมีการ แสดงให้ผใู้ ชเ้ ห็นแผนที่โครงสร้างเพอื่ ป้องกนั ความสับสนได้ 2. กำหนดพ้ืนท่ีสำหรับการเลือก (Selectable Areas) ให้ชัดเจนซึ่งโดยทั่วไปจะมี มาตรฐานท่ีชัดเจนอยู่แล้ว เช่น ลักษณะของไฮเปอร์เท็กซ์ที่เป็นคำสีฟ้าและขีดเส้นใต้ พยายาม หลีกเลี่ยงการออกแบบท่ีขัดแย้งกับมาตรฐานท่ัวไปที่คนส่วนใหญ่ใช้ยกเว้นจะมีความจำเป็นที่ ต้องใชน้ อกจากน้ียังรวมไปถงึ การทำให้ตัวเลือกเกิดการเปล่ียนแปลง ซึ่งปกติเมื่อมีการคลิกคำหรือ ขอ้ ความใด ๆ เม่ือกลับมาท่ีหน้าเดิมคำหรือขอ้ ความนั้น ๆ ก็จะเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีแดงเข้มเพื่อ บอกให้ทราบวา่ ผ้ใู ช้ได้เลอื กสว่ นนั้นไปแลว้ ในการออกแบบจึงควรใช้มาตรฐานเดมิ แบบนี้เช่นกนั 3. กำหนดให้แต่หน้าจอภาพส้ัน ๆ ทั้งนี้จากการวิจัยพบว่าผู้ใช้ไม่ชอบการเลื่อนขึ้นลง (Scroll) (Nielsen, 1996 อ้างถึงใน Jones and Farquar, 1997) อีกทั้งยังเสียเวลาในการ โหลดนานและยุ่งยาก ต่อการพิมพ์ท่ีผู้ใช้ต้องการเน้ือหาเพียงบางส่วน แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ หน้ายาวก็ควรกำหนดเป็นพ้ืนที่แต่ละส่วนของหน้า โดยให้ผู้เรียนสามารถเลือกไปยังจุดต่าง ๆ ได้ ในหน้าเดียวในลกั ษณะของบคุ๊ มาร์ค (Bookmark) 4. ลักษณะการเช่ือมโยงท่ีปรากฏในแต่ละหน้า หากมีทั้งการเชื่อมโยงในหน้าเดียวกัน และการเชื่อมโยงไปยังหน้าอื่น ๆ หรือออกจากหนา้ จอไปยังหน้าจอใหม่จะก่อให้เกิดการสับสนได้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งถ้าผ้เู รียนใช้ปุ่มมาตรฐานที่มีอยู่ในโปรแกรมค้นผ่าน (Web Browser) อาจทำ ใหผ้ ้เู รียนหลงทางได้ ฉะนั้นจงึ ต้องออกแบบใหม้ คี วามแตกต่างและชดั เจน 5. ต้องระวังเร่ืองของตำแหนง่ ในการเช่ือมโยง การที่จำนวนการเชื่อมโยงมากและกระจัด กระจายอยทู่ ั่วไปในหน้าอาจกอ่ ให้เกดิ ความสับสน การออกแบบท่ีดคี วรจัดการเชื่อมโยงไปยังหน้า อื่น ๆ อยูร่ วมกันเป็นสดั สว่ นมลี ำดับก่อนหลังหรอื มีหมายเหตุประกอบ เชน่ จัดรวมไว้ส่วนล่างของ หนา้ จอ เป็นต้น

17 6. ความเหมาะสมของคำท่ีใช้เช่ือมโยง คำท่ีใช้สำหรับการเช่ือมโยงจะต้องเข้าใจง่ายมี ความชัดเจนและไมส่ ้ันจนเกินไป 7. ความสำคัญของข้อมลู ควรอยสู่ ่วนบนของหนา้ จอภาพ หลีกเลี่ยงการใช้กราฟิกด้านบน ของหน้าจอเพราะถงึ แมจ้ ะดดู ีแตผ่ ู้เรยี นจะเสยี เวลาในการไดร้ ับข้อมูลท่ีต้องการ สรุปได้ว่าการเรียนการสอนผ่านเว็บ เป็นการจัดการอย่างจงใจและนำเสนอข้อมูลที่มี เป้าหมาย เพื่อพัฒนาการเรียนรู้โดยเฉพาะ ดังนั้นการออกแบบบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ควรจดั เตรียมบทเรียน กจิ กรรม แบบฝึกหัด และแบบทดสอบ เพื่อให้นักเรียน ได้เรียนรู้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 2.4 ลกั ษณะและประเภทของการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ การเรียนการสอนผ่านเว็บมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปลักษณะของการเรียนการสอนผ่าน เว็บมนี กั การศึกษากลา่ วถึงการแบง่ ประเภทของการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ ไว้ดงั นี้ พ าร์สัน (Parson, 1 9 9 7 ) ได้ แบ่ งป ระเภ ท ของก ารเรียน การส อน ผ่าน เว็บ ออกเปน็ 3 ลกั ษณะ 1. การเรียนการสอนผา่ นเว็บแบบรายวชิ าเดยี ว (Stand-alone courses) เป็นรายวชิ าที่ มีเครื่องมือและแหล่งท่ีเข้าไปถึงและเข้าหาได้โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอย่างมากที่สุด ถ้าไม่มี การสื่อสาร กส็ ามารถที่จะไปผ่านระบบการสื่อสารได้ ลักษณะของการเรียนการสอนผ่านเว็บแบบ น้ีมีลักษณะเป็น แบบวิทยาเขตมีนักศึกษาจำนวนมากเข้ามาใช้จริงแต่จะมีการส่งข้อมูลจาก รายวชิ าทางไกล 2. การเรียนการสอนผ่านเว็บแบบเว็บสนับสนุนรายวิชา (Web supported courses) เป็นรายวิชาที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมที่มีการพบปะระหว่างครูกับนักเรียนและมีแหล่งให้มาก เช่น การกำหนดงานให้ทำบนเว็บ การกำหนดให้อ่าน การสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หรือการมี เว็บที่ สามารถช้ีตำแหน่งบนพ้ืนทข่ี องเว็บไซตโ์ ดยรวมกิจกรรมตา่ ง ๆ เอาไว้ 3. การเรียนการสอนผ่านเว็บ แบบ ศูนย์กลางการศึกษ า (Web pedagogical resources) เป็นชนิดของเว็บไซต์ที่มีวัตถุดิบ เครื่องมือ ซ่ึงสามารถรวบรวมวิชาขนาดใหญ่เข้าไว้ ด้วยกันหรือเป็นแหล่ง สนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษา ซึ่งผู้ท่ีเข้ามาใช้ก็จะมีสื่อให้บริการหลาย รูปแบบอย่างเช่น เป็นข้อความ เป็นภาพกราฟิก การส่ือสารระหว่างบุคคลและการทำ ภาพเคล่ือนไหวต่างเป็นต้น ใจทพิ ย์ ณ สงขลา (2554: 15) ไดก้ ลา่ วถงึ การแบ่งประเภทการใช้เว็บเพ่ือการเรยี นการ สอน 4 ลักษณะ ดงั น้ี 1. เว็บเพ่ือเสริมการสอนรายวิชา การเรียนโดยใช้เว็บเพ่ือการสอนเสริมเป็นการจัดทำ เพ่ือให้เป็นแหล่งข้อมูลหรือสารสนเทศเพ่ิมเติมเสริมจากการเรียนปกติรวมท้ังอาจมีการจัด

18 กิจกรรมการส่ือสาร นอกเวลาการเรียนโดยใช้เว็บเป็นช่องทางการส่ือสารหลักซ่ึงอาจปิดเฉพาะ ให้กบั ผเู้ รียนรายวิชาน้ันหรือ อาจเผยแพรใ่ หก้ บั ผสู้ นใจท่ัวไปเขา้ ศึกษา 2. เว็บเพ่ือการเรียนการสอนในหลักสูตร เว็บเพื่อการเรียนการสอนในหลักสูตร เป็นการ กำหนดรายวิชาประกอบเข้าเป็นหลักสตู รมกี ารจดั เป็นระบบการเรยี นการสอน การติดตามผลการ เรียน การบริหารจัดการ และบริการสารสนเทศให้กับผู้เรียน โดยผู้เรียนจะต้องลงทะเบียนใน หลักสูตรดังกล่าว เว็บในลักษณะนี้มักปรากฏในลักษณะการศึกษาทางไกล ซึ่งอาจกำหนดเป็น โปรแกรมการเรียนการสอน ท้ังหมดผ่านเครือข่ายหรือควบคู่ไปกับการศึกษาจากส่ือสารเรียน หรือการเรียนท่ีผู้เรียนผู้สอนต้องพบปะกันจริง (On line/off line) ในลักษณะผสมผสาน (Blended หรือ Hybrid learning) 3. เว็บเพ่ือการจัดการเรียนแบบดีกรรี ่วม การจัดการเรียนแบบดีกรีร่วมด้วยเว็บเป็นการ พัฒนาเว็บเพ่ือเป็นสื่อกลางระหว่างการเรียนการสอนของสถาบันมากกว่าหน่ึงสถาบันร่วมกัน โดยทั่วไปอาจจัดเป็นหลักสูตรรว่ มกรณีท่ีสถาบันการศึกษามีความชำนาญเฉพาะเรื่องแตกต่างกัน หรือการจัดการเป็น หลักสูตรความร่วมมือระหว่างสถาบันในแต่ละประเทศมีข้อตกลงเร่ืองของ การบริหารจดั การแตกต่างกนั ไปในแต่ละกรณี 4. เว็บท่ีเป็นแหล่งข้อมูล เวบ็ ท่ีเป็นแหล่งข้อมลู สารสนเทศทางการศึกษา หรือบทเรียนท่ี จัดไวเ้ พอ่ื ใหผ้ ้สู นใจทั่วไปเขา้ ไปศกึ ษาอยู่ในลักษณะของแหลง่ ข้อมลู หรอื ฐานข้อมลู 2.5 ประโยชน์ของการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ ประโยชนข์ องการจัดการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ มดี ังนี้ (ใจทิพ ณ สงขลา, 2554: 41) 1. ช่วยตอบสนองความแตกต่างในการเรียนรู้ของบุคคลและสามารถให้สาระได้มากกว่า การใช้เพียงสอื่ ชนดิ เดียว 2. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยหลาย ๆ วิธีการ ทำให้เรียนรู้ได้ดีกว่าและมีความ คงทนในความไดน้ านกวา่ 3. ช่วยสนองความแตกต่างของสไตล์การเรยี นรแู้ ละความชอบของผู้เรยี น 4. ช่วยสร้างแรงจงู ใจกบั ผเู้ รยี น ขอ้ คำนงึ ในการเรียนการสอนบทเรยี นผ่านเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ 1.ความพร้อมของอุปกรณ์และระบบเครือข่าย เน่ืองจากการเรียนการสอนผ่านเว็บเป็น การปรับเน้ือเดิมสู่รูปแบบใหม่ จะเป็นต้องมีเคร่ืองมือ อุปกรณ์ ระบบเครือข่ายที่พร้อมและ สมบูรณ์ เพ่ือให้บทเรียนได้มีคุณภาพ และทันต่อความต้องการของผู้เรียน ผู้เรียนสามารถเลือก เวลาเรยี นได้ทกุ เวลา 2. ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนและผู้สอนต้องมีความรู้และทักษะ ทั้งด้านคอมพิวเตอร์และครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะผู้สอนจำเป็นต้องทักษะอ่ืน ๆ ประกอบ เพอ่ื สร้าง เวบ็ ไซตก์ ารสอนท่ีน่าสนใจใหก้ บั ผู้เรยี น

19 3. ความพร้อมของผู้สอน ผู้สอนจะต้องเปล่ียนบทบาทจากผู้แนะนำ มาเป็นผู้อำนวย ความสะดวกยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้ กระตุ้นกระทำกิจกรรมเตรียมเน้ือหาและแหล่งค้นคว้าที่คุณภาพ รวมทั้งความพร้อมด้านการใช้ คอมพิวเตอร์การผลิต การผลิตบทเรียนผ่านเว็บ และเผยแพร่บทเรียนผ่านด้วยตนเอง มีความ กระตือรอื รน้ ตื่นตวั ใฝ่รู้ มีความ รับผดิ ชอบ กลา้ แสดงความคดิ เหน็ และศึกษาความรู้ใหม่ ๆ 4. ความพร้อมของผู้สอน ผู้สอนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้แนะนำ มาเป็นผู้อำนวย ความสะดวก ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้ กระตุ้นกระทำ กิจกรรมเตรียมเน้ือหาและแหล่งคน้ คว้าท่ีมีคณุ ภาพ รวมท้ังความพรอ้ มด้านการใช้ คอมพิวเตอร์การผลิต บทเรียนผ่านเว็บ และการเผยแพร่บทเรียนผ่านเว็บบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ต 5. เนื้อหาบทเรียนจะต้องเหมาะสมกับผู้เรียนให้มากกว่ากลุ่มที่สุด มีหลากหลายให้ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มท่ีสุด มีหลากหลายให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเลือกเรียนได้ด้วยตนเอง มีกิจกรรม วัตถปุ ระสงค์ท่ีชดั เจน เลอื กใช้ส่ือการสอนท่ีเหมาะกบั ความพร้อมของเทคโนโลยี การลำดบั เน้ือหา ชัดเจนมปี ระสทิ ธิภาพใน การเรียนการสอน สรุปได้ว่า ประโยชน์และข้อดีของการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บได้ว่าการเรียนการ สอนผ่าน เว็บน้ันเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ผู้เรียนและผู้สอนไม่ จำเป็นจัดการสอนในห้องเรียนปกติ สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง สามารถเรียนซ้ำในส่วนท่ี ต้องการเรียนในบทเรียนเดิม และยังสามารถหาความรู้เพ่ิมเติมหามีข้อสงสัยจากครูผู้สอนผ่าน ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือการพูดคุย บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ทันที ซึ่งช่วยให้แก้ไขปัญหา การเรียนของผู้เรียนได้ ผู้สอนสามารถปรับปรุง บทเรียนของตนเองได้ตลอดเวลาเพ่ือให้เกิดการ พฒั นาบทเรียนให้มีความทันสมยั อยูเ่ สมอ 2.6 ความรเู้ กย่ี วกับโปรแกรม Google Site สุกิจ สุวิริยะชัยกุล (2558: 65) Google Sites คือโปรแกรมของ Google ที่ให้บริการ สรา้ ง เว็บไซตฟ์ รี สามารถสร้างเว็บไซตไ์ ด้งา่ ย และสามารถรวบรวมความหลากหลายของขอ้ มูลไว้ ในทเี่ ดียว กนกพร ฉันทนารุ่งภักดิ์ (2553: 48-49) ได้กล่าวว่า Google Site เป็นหน่ึงใน Google Apps for Education ของ Google ท่ีได้พัฒนาข้ึนมาเพ่ือสนับสนับสนุนการเรียนการ สอน 2.7 รจู้ กั กเู กิล้ ไซต์ (Google Site) 1. Google Sites ให้บรกิ ารครงั้ แรกเมอื่ เดือนพฤษภาคม 2551 2. สร้างเว็บไซต์ไดส้ ุดแสนจะง่ายดาย ใช้เวลาไม่กี่นาทกี โ็ ชวผ์ ลงานได้ 3. ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษาเขียนเว็บ (HTML) ให้ปวดหัว แค่ใช้เวิร์ดพิมพ์งานเป็นก็เริ่มได้ เลยแถมเมนูเป็นภาษาไทยอีกต่างหาก

20 4. มีแบบเทมเพลตสำเร็จรปู ให้เลือกมากมาย คล้าย ๆ กับแบบสำเรจ็ เพาเวอรพ์ อยต์ 5. สามารถแชรเ์ วบ็ ได้ 6. เป็นระบบท่ีครอบคลุม เอามาใช้ด้วยกันได้เลย เช่น อีเมล์ (email) ปฏิทิน (Calendar) 7. เอกสาร (Documents) ยทู ูป (YouTube) อลั บ้ัมภาพ (Picasa) แผนที่ (Map) ฯลฯ 8. Free Accountไว้ที่ 100 MB พ้ืนท่ีจัดเก็บ 10 GB* (GB=กิกะไบต์) ขนาดไฟล์ สงู สุด 10 MB (MB=เมกกะไบต์) จำนวนหนา้ เว็บเพจไมจ่ ำกัดการใชง้ าน Google site 3. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น กู๊ด (Good. 1973: 1) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงความรู้หรือทักษะท่ี เกิดจากการเรียนร้ทู ี่ไดเ้ รยี นมาแล้ว โดยไดจ้ ากการทดสอบของครผู ู้สอน ชวาล แพรัตกลุ (2552: 13) ใหค้ วามหมายว่า ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสำเร็จ ในด้านความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของสมอง น่ันคือสัมฤทธิ์ผลทางการเรียน ควรจะประกอบด้วยส่ิงสำคัญอย่างน้อย 3 ส่ิง คือ ความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพของสมองด้าน ตา่ ง ๆ ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้คำจำกัดความผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่า คือคณุ ลักษณะ รวมถึง ความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือ มวล ประสบการณ์ทั้งปวงท่ีบุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของ สมรรถภาพทางสมอง ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจสอบระดับ ความสามารถสมองของบุคคลวา่ เรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมากน้อยเท่าไร ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจากการเรียน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งในโรงเรยี น ท่ีบ้าน และ สิ่งแวดลอ้ มอ่ืน ๆ รวมทั้งความร้สู กึ คา่ นิยม จริยธรรมตา่ ง ๆ กเ็ ป็นผลมาจากการฝึกฝนดว้ ย ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี (2556: 161) กลา่ ววา่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ คอื ระดบั ความรู้ ความสามารถพฤติกรรมหรือลักษณะทางจิตใจท่ีเป็นผลจากการเรียนรู้ของผู้เรียน ซ่ึงผู้เรียนจะ เกิด การเรียนรู้ได้ก็ต่อเม่ือมีการเปล่ียนแปลงปริมาณหรือคุณภาพของความรู้ ความสามารถ พฤติกรรม หรือ ลักษณะทางจิตใจ ถ้าเปลี่ยนไปในทิศทางที่พึงประสงค์ตามจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร หรือจากการจัด กิจกรรมการเรียนที่ผู้สอนจัดข้ึน นอกจากน้ีการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนโดยทั่วไปมักจะใชแ้ บบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิเป็นเครื่องมือในการวดั และประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ของ การเรียนของผู้เรียนตาม เป้าหมายท่ีกำหนดทำให้ผู้สอนได้ทราบพัฒนาการเรียนรู้ ความสามารถ ของผู้เรียนว่ามีความรู้ความสามารถในระดับใดถึงมาตรฐานที่ผู้สอนกำหนดไว้หรือยัง เมื่อนำไป เปรียบเทียบกบั ความรู้ความสามารถกอ่ นได้รบั การพัฒนาแลว้ มคี วามแตกต่างกนั หรือไม่

21 บุญชม ศรีสะอาด (2556: 56) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง แบบทดสอบท่ีใชว้ ดั ความรู้ความสามารถของบุคคลด้านวชิ าการซึ่งเปน็ ผลจากการเรยี นรู้ในเนื้อหา สาระ ตามจุดประสงค์ของวชิ าหรอื เนื้อหาที่สอนนั้น เรืองศิลป์ วรรณสัมผัส (2558: 72) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ผลท่ีเกิดจากกระบวนการ เรียน การสอน โดยเกิดจากความรู้ ความสามารถ ทักษะกระบวนการของผู้เรียนท่ีได้รับจาก กิจกรรมการเรียน การสอน หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสามารถของ สมรรถภาพทางสมอง รสนภา ราสุ (2559: 64) ได้ให้ความหมายไว้วา่ ผลที่เกิดจากการกระทำของบุคคล ซึ่ง เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเนื่องจากได้รับประสบการณ์ โดยการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือจาก การเรียน การสอนในชั้นเรียนและสามารถประเมนิ หรอื วดั ได้จากการทดสอบ สรุปไดว้ ่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นการทดสอบวัดความรู้และประเมินผลสมั ฤทธิ์ของ การเรียนของผู้เรียนตามเป้าหมายท่ีกำหนดทำให้ผู้สอนได้ทราบพัฒนาการเรียนรู้ ความสามารถ ของผู้เรียนว่ามีความรคู้ วามสามารถในระดบั ใดถึงมาตรฐานท่ีผูส้ อนกำหนดไว้หรอื ไม่ ในการสรา้ ง บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและ เทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยการการ ทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน 3.2 ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ศริ ชิ ัย กาญจนวาสี (2556: 163 - 165) ได้จำแนกประเภทของแบบทดสอบดังน้ี 1. จำแนกตามผ้สู ร้าง มี 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1.1 แบบทดสอบมาตรฐาน สร้างขึ้นโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหน่ึง เช่น สำนักทดสอบทางการศึกษา (สทศ.) หรือบริษัทสร้างแบบทดสอบ มักจะออกข้อสอบท่ีมี เนื้อหาสาระ ที่กว้าง ๆ ท่ีสามารถใช้ได้กับหลาย ๆ สถาบัน และโดยทั่วไปจะมีการบริการ ดำเนินการจัดสอบ แปล ผลเปรยี บเทยี บ และรายงานคณุ ภาพของแบบทดสอบ 1.2 แบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างขึ้นใช้ เองมี ลักษณะครอบคลุมเนื้อหาเฉพาะตามหลักสูตรสถานศึกษา การตรวจให้คะแนนจึงมักจะ เปรยี บเทียบกับ เกณฑ์ที่ผู้สอนตั้งไว้ หรอื เปรียบเทยี บเฉพาะกลุ่มท่ีสอบดว้ ยกนั เทา่ น้ัน 2. จำแนกตามการใช้ มี 4 ประเภท ได้แก่ 2.1 แบบทดสอบความพร้อม เป็นแบบทดสอบที่มุ่งวัดพื้นฐานความรู้ หรอื ทักษะ ท่ีจำเป็นต่อการเรยี นร้วู ิชา/บทเรียน/หน่วยการเรยี นรู้ เพ่ือพจิ ารณาว่าผู้เรยี นมีพ้ืนฐาน เพียงพอหรือไม่ ผู้สอนจะได้ปูพื้นฐานหรือทบทวนพื้นฐานท่ีจำเป็นก่อนเริ่มเรียนเนื้อหาในหน่วย การเรยี นน้ัน

22 2.2 แบบทดสอบวินิจฉัย เป็นแบบทดสอบที่มุ่งวัดจุดอ่อน จุดแข็งหรือ วินิจฉัย ปัญหาของผู้สอบ เพ่ือระบุปัญหาของผู้สอบ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการปรับปรุงการเรียนการ สอนและนำมาเปน็ ข้อมูลในการสอนซ่อมเสริม 2.3 แบบทดสอบสมรรถภาพ เป็นแบบทดสอบท่ีมุ่งวัดว่าผู้สอบมี สมรรถนะถึงระดับท่ีเหมาะสมตามเกณฑ์มาตรฐานหรือตัวช้ีวัดหรือยังเป็นเคร่ืองบ่งชี้ระดับ ความสามารถ มักใช้สำหรับการสอบคัดเลือกหรือให้สิทธิบางประการ เช่น การสอบ TOEFL, TOEIC, CU-TEP หรือ การ สอบใบขบั ข่ีรถยนต์ เป็นตน้ 2.4 แบบทดสอบเชิงสำรวจ เป็นแบบทดสอบท่ีมุ่งวัดระดับความรู้เชิง สรุปทั่วไป ของนักเรียนนักศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ เพื่อทดสอบความรู้ทั่วไป เช่น แบบทดสอบ ปลายภาค เป็นต้น 3. จำแนกตามการแปลผล มี 2 ประเภท ได้แก่ 3.1 แบบทดสอบอิงกลุ่ม เป็นแบบทดสอบที่มุ่งวัดผลการเปรียบเทียบ ความแตกตา่ งระหวา่ งความรู้ ความสามารถของผู้สอบ มกั ถกู ใช้เพ่ือทำหนา้ ที่จำแนกระดบั ความรู้ ความสามารถที่แตกต่างกันของผู้เข้าสอบ คะแนนสอบจึงนำไปใช้ในการแปลความหมายโดยการ เปรยี บเทียบความรู้ ความสามารถระหว่างกลุ่มผเู้ ข้าสอบดว้ ยกนั 3.2 แบบทดสอบอิงเกณฑ์ เป็นแบบทดสอบท่ีมุ่งวัดระดับการเรียนรู้ ของผู้เรียน ว่ามีความรู้ความสามารถอะไรบ้าง มักถูกสร้างให้ครอบคลุมทักษะท่ีสำคัญของการ เรียนรู้ที่อยากให้เกิด แก่ผู้เรียน คะแนนสอบจึงมีการแปลผลเทียบกับเกณฑ์ หรือ มาตรฐานท่ี กำหนดไว้ 4. จำแนกตามรูปแบบการตอบ มี 2 ประเภท ได้แก่ 4.1 แบบทดสอบประเภทเสนอคำตอบ ได้แก่ การเขียนความเรียง แบบ ปลายเปิด ความเรียงแบบปลายปิด การตอบส้ัน ๆ การเติมคำ 4.2 แบบทดสอบประเภทเลือกตอบ ได้แก่ แบบถูก-ผิด แบบจับคู่ แบบหลาย ตัวเลอื ก ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556 : 45) ได้จัดประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือแบบทดสอบท่ีครูสร้างขึ้นเอง (Teacher made tests) และ แบบทดสอบ มาตรฐาน (Standardized tests) ซ่ึงท้ัง 2 ประเภทจะถามเนื้อหาเหมือนกัน คือ ถามส่ิงท่ีผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอนซ่ึงจัดกลุ่มพฤติกรรมได้ 6 ประเภท คือ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมิน 1. แบบทดสอบท่ีครูสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบท่ีครูสร้างขึ้นเองเพ่ือใช้ในการ ทดสอบผูเ้ รียนในช้ันเรยี น แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

23 1.1 แบบทดสอบปรนัย (Objective tests) ได้แก่ แบบถูก – ผิด (True-false) แบบจับคู่ (Matching) แบบเติมคำให้สมบูรณ์ (Completion) หรอื แบบคำตอบสั้น (Short answer) และแบบเลือกตอบ (Multiple choice) 1.2 แบบอัตนัย (Essay tests) ได้แก่ แบบจำกัดคำตอบ (Restricted response items) และแบบไม่จำกัดความตอบ หรือ ตอบอย่างเสรี (Extended response items) 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) เป็นแบบทดสอบที่สร้าง โดย ผูเ้ ชี่ยวชาญท่ีมีความรู้ในเนื้อหา และมีทักษะการสรา้ งแบบทดสอบ มีการวเิ คราะหห์ าคณุ ภาพของ แบบทดสอบ มีคำชี้แจงเก่ียวกับการดำเนินการสอบ การให้คะแนนและการแปลผล มีความเป็น ปรนัย (Objective) มีความเที่ยงตรง (Validity) และความเชื่อมั่น (Reliability) แบบทดสอบ ม าต รฐ าน ได้ แ ก่ California Achievement Test, Iowa Test of Basic Skills, stanford achievement test และ the Metropolitan Achievement tests เป็นตน้ 3.3 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน บุญชม ศรีสะอาด (2556: 26 – 36) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเป็นแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ในวิชาต่าง ๆ ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา แบบทดสอบท่ีจะสร้างหรือพัฒนา อาจมุ่งใช้กับประชากรเป้าหมายที่อยู่ในระดับการศึกษา ระดับช้ัน วิชา และสถานท่ีต่าง ๆ กัน เช่น ด้านระดับการศึกษาอาจเป็นระดับอุดมศึกษา ระดับ มัธยมศึกษา ระดับประถมศึกษา ฯลฯ วิชาอาจเป็นสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ฯลฯ สถานท่ีอาจเป็นภาคใดภาคหน่ึงเขตการศึกษา หนึ่ง จังหวดั หน่ึง หรอื แมก้ ระท้ังโรงเรียนใดโรงเรยี นหน่ึง ในดา้ นวชิ าอาจสร้างแบบทดสอบเพ่ือวัด ครอบคลุมหลกั สตู รทั้งหมดของวชิ านั้น หรอื เลือกวัดในเน้ือหา (หรือจดุ ประสงค์) เพียงบางส่วน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอาจจำแนกเป็น 3 แบบ คือ แบบอิงเกณฑ์ แบบ องิ โดเมน แบบวินิจฉยั ดังน้ี 1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิอิงเกณฑ์ เป็นแบบทดสอบท่ีสร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนน เกณฑ์สำหรับใช้ตัดสินวา่ ผสู้ อบมีความรตู้ ามเกณฑท์ ่ีกำหนดไว้หรือไม่ การวัดตรงตามจดุ ประสงค์ เป็นหวั ใจของขอ้ สอบในแบบทดสอบประเภทน้ี 2. แบบทดสอบอิงโดเมน เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนตาม แนวการเรียนเพื่อรอบรู้ ในการเขียนข้อสอบจะต้องกำหนดกลุ่มพฤติกรรมใหญ่และกลุ่ม พฤตกิ รรมย่อย และ เขียนข้อสอบตามกำหนดลักษณะเฉพาะของขอ้ สอบ 3. แบบทดสอบวนิ ิจฉัย

24 เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่อง จุดที่เป็นปัญหาหรืออุปสรรคใน การเรียนเรื่องหน่ึง ๆ ของนกั เรยี นแต่ละคน ท้ังนี้เพื่อทจ่ี ะได้หาทางแกไ้ ขได้ตรงจดุ ย่ิงข้ึน อันจะทำ ให้ สามารถช่วยเหลือนักเรียนท่ีมีปัญหาหรืออุปสรรคในการเรียน บรรลุจุดประสงค์ในการเรียน หรือเกิด การเรียนรไู้ ด้เหมอื นคนอ่ืน ๆ ศิริชัย กาญจนวาสี (2556: 125) ได้ให้ความหมายของการวัดผลสัมฤทธ์ิไว้ว่า คือ กระบวนการ กำหนดตัวเลขให้แก่สิ่งต่าง ๆ อย่างมีกฎเกณฑ์ การวัดจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย องค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ จุดมุ่งหมายของการวัด เคร่ืองมือท่ีใช้วดั การแปรผลและการนำไปใช้ ส่วนการประเมินผล คือ กระบวนการตัดสินคุณค่าของส่ิงต่าง ๆ โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ หรือมาตรฐาน การประเมินผลจึง เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “คุณค่า” ของสิ่งต่าง ๆ การประเมินส่ิงใดก็ ตามจะต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ 1) ผลจากการวัด 2) เกณฑ์ท่ีต้ังไว้ และ 3) การ ตดั สินคุณคา่ 3.4 การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น พิชิต ฤทธ์ิจรูญ (2550: 99-100) ได้กล่าวว่า ข้ันตอนในการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ซ่ึงมีความสอดคลอ้ งกันดงั น้ี 1. วิเคราะห์หลักสูตรและสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร เพ่ือวิเคราะห์เน้ือหาสาระและ พฤตกิ รรมทต่ี ้องการวดั ซ่ึงเปน็ การระบุจำนวนขอ้ สอบและพฤตกิ รรมท่ีต้องการวัด 2. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ผลการเรยี นที่คาดหวังให้เกิดกับผู้เรียนซึ่งผู้สอนจะต้อง กำหนดแนวทางในการจัดการเรยี นการสอนไว้ลว่ งหนา้ และสรา้ งข้อสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ 3. กำหนดชนิดของข้อสอบและศึกษาวิธีการสร้าง โดยการศึกษาตารางวิเคราะห์ หลักสูตร และจุดประสงค์การเรียนรู้ผู้ออกข้อสอบจะต้องพิจารณาและตัดสินใจเลือกใช้ชนิดของ ขอ้ สอบทจ่ี ะใชว้ ัดว่า จะใช้ขอ้ สอบแบบใดใหเ้ หมาะสมกบั นักเรยี น 4. เขียนข้อสอบ ผู้ออกข้อสอบจะต้องออกให้สอดคล้องกับตารางหลักสูตรและ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ โดยอาศยั หลักและการเขยี นขอ้ สอบที่ได้ศกึ ษามาแลว้ ในข้ันที่ 3 5. ตรวจทานข้อสอบ เพื่อความถูกต้องของเนื้อหาตามหลักวิชาในตารางวิเคราะห์ หลักสูตร 6. จัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง โดยมีคำช้ีแจงหรือคำอธิบายวิธีตอบแบบทดสอบ และทำการจดั พิมพใ์ นรปู แบบท่ีเหมาะสม 7. ทดสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ โดยนำแบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างขึ้นนำไปใช้กับกลุ่ม ทดลองทม่ี ีลกั ษณะคล้ายคลงึ กนั กับกลุ่มที่ตอ้ งการนำแบบทดสอบไปใชจ้ ริง แล้วนำผลมาวเิ คราะห์ และปรบั ปรงุ ขอ้ สอบให้มีคณุ ภาพ 8. จัดทำแบบทดสอบฉบับจริง จากผลการวิเคราะห์แบบทดสอบหากพบว่า ข้อใดไม่มี คุณภาพ อาจต้องตัดทิ้งหรือปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพท่ีดีขึ้นและจึงจัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับ จรงิ เพอื่ นำไปใชก้ ับกลุม่ เป้าหมาย

25 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555: 30) ได้กล่าวว่าในการ สรา้ ง แบบทดสอบให้มีคุณภาพ สรปุ เป็นขน้ั ตอนได้ดงั นี้ 1. ศึกษาจุดมุ่งหมายของการวัดประเมินผล สาระการการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัดและเนื้อหาที่ตอ้ งการ 2. วเิ คราะหเ์ นื้อหาและพฤติกรรมท่ีต้องการวดั 3. กำหนดรูปแบบของข้อสอบที่จะใช้ให้มีความสอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ท่ี ต้องการวัด และควรใช้รูปแบบท่ีหลากหลายเพ่ือให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความรู้ความสามารถ อยา่ งมี ประสิทธิภาพ 4. กำหนดจำนวนข้อสอบ ตามเน้ือหาสาระที่ต้องการทดสอบและกำหนดเวลาที่ใช้ใน การทดสอบ 5. สร้างข้อสอบตามที่กำหนด โดยคำนึงถึงเทคนิคของการสร้างข้อสอบและความ สอดคล้องกบั จดุ มุ่งหมายของการวัดประเมินผล 6. ตรวจสอบความถกู ต้องของเน้ือหา ความเท่ียงตรง จากแนวทางการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ สรุปขน้ั ตอนไดด้ ังนี้ 1. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเน้ือหา โดยการทำตารางกำหนด ลักษณะของขอ้ สอบ 2. กำหนดข้อคำถามและวิธีเขียนข้อสอบสมรรถภาพต่าง ๆ มาใช้เป็นหลักในการ เขยี นขอ้ สอบ 3. เขียนข้อสอบผู้รายงานได้ลงมือเขียนข้อสอบโดยใช้ตารางกำหนดลักษณะของ ข้อสอบท่ีจัดทำให้สามารถวัดได้ครอบคลุมทุกหัวข้อของเน้ือหาและจำนวน 45 ข้อ เผื่อการหา คุณภาพและเลือก ไว้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 ข้อ และตรวจทานความถูกต้องของข้อ ทดสอบ 4. นำข้อทดสอบที่สร้างข้ึนไปให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบความถูกต้องแต่ละข้อว่าวัดได้ ตรงเน้ือหา และจุดประสงคท์ ่ีระบุไว้ 5. พิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลองไปใช้โดยมีคำช้ีแจง วิธีทำแบบทดสอบอย่างละเอียด ชัดเจนและวางรปู แบบให้เหมาะสม 6. นำไปทดลองใชว้ เิ คราะหห์ าคุณภาพปรับปรุงก่อนพมิ พเ์ ป็นแบบทดสอบฉบบั จรงิ สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลที่ได้มาจากการเรียนรู้ การทำกิจกรรมต่าง ๆ แล้ว สะสมความรู้ ความเข้าใจออกมาในรูปแบบของการปฏิบัติกิจกรรมการตอบคำถาม หรือการทำ แบบทดสอบ เพ่ือวัดความสำเร็จ ความรู้ความเข้าใจ ทักษะ เป็นการประเมินความรู้และ ความสามารถของผู้เรียนซึ่งรูปแบบการประเมินผลการเรียนรู้มีอยู่หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมี จุดประสงค์และวิธีที่แตกตา่ งกนั

26 3.5 เครอ่ื งมอื วัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ (2553: 146–150) ไดแ้ บ่งเคร่ืองมือวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. แบบทดสอบของครู หมายถงึ ชุดของข้อคำถามท่ีครเู ป็นผู้สรา้ งขึ้น ซึ่งเป็นข้อคำถามท่ี ถามเกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียนได้เรียนในห้องเรียนว่านักเรียนมีความรู้มากน้อยเพียงใดบกพร่อง ตรงไหนจะได้ สอนซ่อมเสรมิ หรอื ดูความพร้อมก่อนท่ีจะสอนเรื่องใหม่ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา หรอื จากครูที่สอนวิชา น้ันแต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้ง จนกระท้ังมีคุณภาพดีพอ จึงสร้างเกณฑ์ปกติของ แบบทดสอบนั้นซ่ึงสามารถใช้เป็นหลักและเปรียบเทียบผลเพ่ือประเมินค่าของการเรียนการสอน ในเรื่องใด ๆ ก็ได้ จะใช้วัดอัตราการพัฒนาของเด็กแต่ละวัยในแต่ละกลุ่มแต่ละภาคก็ได้ จะใช้ สำหรับให้ครู วินิจฉัยผลสัมฤทธิ์ระหว่างวิชาต่าง ๆ ในเด็กแต่ละคนก็ได้ ข้อสอบมาตรฐาน นอกจากจะมีคุณภาพของ แบบทดสอบสูงยังมีมาตรฐานในด้านวิธีดำเนินการสอบ คือ ไม่ว่า โรงเรียนใดหรือส่วนราชการใดจะนำไปใช้ต้องดำเนินการสอบเป็นแบบเดียวกัน แบบทดสอบ มาตรฐานจะมีค่มู ือดำเนินการสอบบอกถงึ วิธีการสอบว่าทำอย่างไรและมียงั มาตรฐานในด้านการ แปลคะแนนอีกด้วย 4. ความพึงพอใจ 4.1 ความหมายของความพึงพอใจ สเตราส์ และเซเลส (Strauss & Sayles, 1960, p. 5-6 อ้างถึงใน ศิวาพรรณ พาณิช เจริญ, 2547, หน้า 45) ได้ให้ความเห็นว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกพอใจในงานท่ีทำเต็มใจ ท่ีจะปฏิบัติงานน้ันให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์กูด (Good, 1973, p. 161 อ้างถึงใน ศิวาพรรณ พาณิชเจริญ, 2547, หน้า 45) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพหรอื ระดับ ความพงึ พอใจที่เป็นผลมาจากความสนใจ และเจตคตขิ องบุคคลทีม่ ตี ่องาน บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์ (2549, หน้า 189) ได้กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นสภาพ ความรู้สึกที่มีความสุข สดช่ืน เป็นภาวะทางอารมณ์เชิงบวกที่บุคคลแสดงออกเมื่อได้รับผลสำเร็จ ทั้งปริมาณและคุณภาพ ตามจุดมุ่งหมาย ตามความต้อง ความพึงพอใจจึงเป็นผลของความ ต้องการท่ีได้รับการตอบสนอง โดยมีการจูงใจ (Motivation) หรือสิ่งจูงใจ (Motivators)เป็นตัว เหตุ กนน ทศานนท์ (2553, หน้า 35) ได้กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกหรือ ทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดส่ิงหนึ่ง อันเกิดจากพ้ืนฐานของการรับรู้ค่านิยม ประสบการณ์ที่แต่ ละบุคคลได้รับและจะเกิดข้ึนก็ต่อเมอ่ื สิง่ นั้นสามารถตอบสนองความต้องการให้แก่บุคคลนั้นได้ ซึ่ง ระดับความพึงพอใจของแต่ละบุคคลยอ่ มมีความแตกตา่ งกันไปดังท่ีกล่าวมาพอจะสรุปได้ว่าความ

27 พึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกพอใจ ชอบใจในการร่วมปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอน และต้อง ดำเนินกิจกรรมน้ัน ๆ จนบรรลุผลสำเร็จในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ความพึงพอใจ เป็นสิ่งสำคัญท่ีจะกระตุ้นให้ผู้เรียนทำงานท่ีได้รับมอบหมาย หรือต้องการปฏิบัติให้บรรลุผลตาม วัตถุประสงค์ครูผู้สอน ซ่ึงในสภาพปัจจุบันเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวก หรือให้คำแนะนำ ปรึกษาจึงต้องคำนึงถึงความพึงพอใจในการเรียนรู้ การทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการ เรียนรู้หรือการปฏบิ ตั ิงาน มแี นวคดิ พ้นื ฐานที่ตา่ งกนั 2 ลักษณะ คือ 1. ความพึงพอใจนำไปสู่การปฏิบัติงานการตอบสนองความต้องการผู้ปฏิบัติงานจนเกิด ความพึงพอใจ จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการเพ่ิมประสิทธิภาพการทำงานท่ีสูงกว่าผู้ไม่ได้รับการ ตอบสนองครูผู้สอนท่ีต้องการให้กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางบรรลุผลสำเรจ็ จึง ตอ้ งคำนึงถงึ การจดั บรรยากาศ และสถานการณร์ วมทัง้ สื่อ อุปกรณ์การเรียนการสอนท่เี อ้ืออำนวย ตอ่ การเรียน เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของผเู้ รยี นให้มีแรงจงู ใจในการทำกิจกรรมจนบรรลุตาม วัตถปุ ระสงค์ของหลกั สตู ร 2. ผลของการปฏิบัติงานนำไปสู่ความพึงพอใจ ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจและ ผลการปฏิบัติงานจะถูกเชื่อมโยงด้วยปัจจัยอื่น ๆ ผลการปฏิบัติงานท่ีดีจะนำไปสู่ผลตอบแทนท่ี เหมาะสม ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การตอบสนองความพึงพอใจผลการปฏิบัติงานย่อมได้รับการ ตอบสนองในรูปของรางวัลหรือผลตอบแทน โดยผ่านการรับรู้เก่ียวกับความยุติธรรมของ ผลตอบแทน ซ่ึงเป็นตัวบ่งชี้ปริมาณของผลตอบแทนที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับ นั่นคือความพึงพอใจใน การปฏิบัติงานจะถูกกำหนดโดยความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนที่เกิดข้ึนจริง และการรับรู้ เก่ยี วกับความยตุ ธิ รรมของผลตอบแทนท่ีรบั รูแ้ ลว้ ความพึงพอใจยอ่ มเกดิ ข้นึ สง่ิ จูงใจท่ใี ช้เป็นเคร่ืองกระตุ้นเพ่อื ใหบ้ คุ คลเกดิ ความพงึ พอใจในการปฏบิ ัติงานดงั นี้ 1. สิ่งจูงใจท่ีเป็นวัตถุ สิ่งเหล่าน้ีได้แก่ เงินทอง ส่ิงของ หรือสภาวะทางกายท่ีมีให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน และสงิ่ จงู ใจท่ไี ม่ใช่วตั ถุ เชน่ อำนาจ เกียรตภิ มู ิ การใชส้ ทิ ธพิ ิเศษมากกวา่ คนอน่ื 2. สภาพทางกายที่พึงปรารถนา หมายถึงการจัดสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งจะเป็นสิ่งท่ีทำ ใหเ้ กิดความสขุ ในการท างาน เชน่ สิง่ อำนวยในสำนักงาน ความพรอ้ มของเครื่อง 3. ผลประโยชน์ทางอุดมคติ หมายถึง การตอบสนองความต้องการในด้านความภูมิใจที่ได้แสดง ฝีมือ การแสดงความจงรกั ภักดีต่อองค์กรของตน 4. ความดึงดูดใจทางสังคม หมายถึง การมีความสัมพันธ์ของบุคคลในหน่วยงานการอยู่ร่วมกัน ความมนั่ คงของสงั คมจะเป็นหลกั ประกนั ของการทำงาน 5. การปรับทัศนคติและสภาพของงานใหเ้ หมาะสมกับบุคคล คือปรับปรุงตำแหนง่ ความเหมาะสม ใหส้ อดคลอ้ งกนั ระหวา่ งงานกบั คน 6. โอกาสการมีส่วนร่วมในการทำงาน เปิดโอกาสให้มีบุคลากรมีส่วนร่วมในการทำงาน จะทำให้ เขาเป็นผมู้ คี วามสำคญั ในหนว่ ยงาน จะทำให้บุคคลมกี ำลังใจในการทำงานมากขึน้

28 จากแนวคิดพ้ืนฐานดังกล่าว เมื่อนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผลตอบแทนภายในหรอื รางวัลภายใน เปน็ ผลด้านความรสู้ ึกของผู้เรียนทเ่ี กดิ แกต่ ัวผ้เู รียนเอง เช่น ความรู้สกึ ต่อความสำเร็จที่เกิดขน้ึ เม่ือสามารถเอาชนะความยุ่งยากตา่ ง ๆ และสามารถดำเนินงาน ภายใต้ความยงุ่ ยากท้ังหลายได้สำเรจ็ ทำให้เกิดความภาคภูมใิ จ ความม่ันใจตลอดจนได้รับการยก ย่องจากบุคคลอ่ืน ส่วนผลตอบแทนภายนอก เป็นรางวัลที่ผู้อ่นื จดั หาให้มากกว่าที่ตนเองให้ตนเอง เช่น การได้รับคำยกย่องชมเชยจากครูผู้สอน พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือแม้แต่การได้คะแนน ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนในระดบั ทีน่ า่ พอใจ 5. วจิ ัยทีเ่ ก่ียวข้อง ลัดดาวรรณ ศรีฉิม (2557: 55) การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ ด้วย โปรแกรม Google Site ตามแนวทฤษฎีสร้างสรรค์ความรู้ เรื่อง หลักการทำโครงงาน คอมพิวเตอร์ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัย พบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ ด้วยโปรแกรม Google Site ตาม แนวทฤษฎีสร้างสรรค์ ความรู้ เรื่อง หลักการทำโครงงาน คอมพิวเตอร์ สำหรับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 มี ประสิทธภิ าพ (E1/E2) เท่ากับ 86.13/87.83 สูง กว่าเกณฑ์ 85/85 ท่ีกำหนดไว้ 2) การเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลัง การเรียนรู้จากบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ ด้วยโปรแกรม Google Site ตามแนวทฤษฎี สร้างสรรค์ความรู้ เร่ือง หลักการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ สำหรับช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 3 กับ เกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 3) การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปี ที่ 3 ทมี่ ตี ่อการเรียนรโู้ ดยใช้ บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ผา่ นเว็บ ด้วยโปรแกรม Google Site ตามแนว ทฤษฎีสรา้ งสรรค์ความรู้ เร่ือง หลักการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ พบว่า นักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษา ปีท่ี 3 จำนวน 40 คน ท่ีเรียนโดย ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บ มีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับ มากทส่ี ุด (������ =4.62, S.D.=0.46) ปาณิสรา สิงหพงษ์ (2560 : 61) การจัดการเรียนรู้ผ่านบทเรียนออนไลน์ด้วย โปรแกรม Google Site เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาโครงงานคอมพิวเตอร์ (ง 31231) ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสายปัญญารังสิต ผลการวิจัย พบว่า 1) การสร้างบทเรียนออนไลน์มี ประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 91.60/88.65 สอดคล้องกับสมมติฐานที่ต้ังไว้ และสูงกว่า เกณฑ์ที่กำหนด ไว้ (80/80) 2) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนหลังการ เรียนรู้จากบทเรียนออนไลน์ด้วยโปรแกรม Google Site รายวิชาโครงงานคอมพิวเตอร์ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสายปัญญารังสิต กับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อย ละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 3) ผล

29 การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการ จัดการเรียนรู้ผ่านบทเรียนออนไลน์ด้วย โปรแกรม Google Site ด้านภาพรวม พบว่า มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก ( x = 4.29, S.D.=0.52) บุญญานี เพชรสีเงิน (2560: บทคัดย่อ) สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บด้วย Google Site รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และแบบสำรวจพึงพอใจของผเู้ รียนท่ี มีต่อบทเรียน คอมพิวเตอร์ผ่านเว็บด้วย Google Site รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่ือสาร สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย ( x ) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ การทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ สถิติทดสอบ Pair sample t-test ผลการวิจัย พบว่า ผลการ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารหลังได้รับ การจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความพึง พอใจของผู้เรียนท่ีมีต่อการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ ผ่านเว็บด้วยGoogle Site รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ในภาพรวมอยูใ่ นระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บด้วย Google Site รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและ การส่ือสาร เวบ็ ไซตม์ คี วามน่าสนใจและน่าเรยี นรู้อยู่ในระดับมากท่ีสุด ( x = 4.60) รองลงมา คือ ส่ือเสริมสร้างความเข้าใจในบทเรียนอยู่ในระดับมาก ( x = 4.40) และมีความ สนุกสนาน ระหว่างในการชมเวบ็ ไซต์อยูใ่ นระดบั มาก ( x = 4.30) ลักษณ์ภา แกว้ คำแจ้ง (2561 : 65) การพฒั นาบทเรียนผ่านเว็บ โดยใช้การเรียนรู้แบบ โครงงานเป็นฐาน เรื่อง การสรา้ งเว็บเพจ ด้วยภาษา HTML สำหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการวิจัย เรื่อง พัฒนาบทเรียนผ่านเว็บ โดยใช้การเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นฐาน เร่ือง การ สร้างเว็บเพจด้วยภาษา HTML สำหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปรากฏ ว่าบทเรียนผ่านเว็บ โดยใช้ การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน เร่ือง การสร้างเว็บเพจด้วยภาษา HTML มีประสิทธิภาพ 90.09/ 92.00 ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานท่ีต้ังไว้ 90/ 90 2) ผล การเปรียบเทียบคะแนนจากการทดสอบ ก่อนและหลังเรียนของนักเรียน ที่เรียนผ่านเว็บ โดยใช้ การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน เรื่อง การสร้าง เว็บเพจด้วยภาษา HTML สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ปรากฏวา่ คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 ซ่ึงเป็นไปตามสมมตฐิ านท่ีต้งั ไว้ ผลการศึกษาความคดิ เห็นของผเู้ รยี น ท่ีมตี อ่ บทเรยี นผ่านเว็บ โดยใช้การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน เรื่อง การสร้างเว็บเพจด้วย ภาษา HTML สำหรับ นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ปรากฏว่า ผเู้ รียนมีทศั นะทางบวกอยู่ในระดับมาก มะลิ จรรยากรณ์ (2563 : 68) การพัฒนาห้องเรยี นดจิ ิทลั ด้วย Google Sites รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือการจัดการอาชีพ รหัสวิชา 30001-2001 ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพ ของห้องเรียนดิจิทัลด้วย Google Sites รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการ จัดการอาชีพ รหัสวชิ า 30001-2001 พบว่า มีประสิทธภิ าพโดยรวม เท่ากับ 82.75/81.11 ซ่ึงผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพที่ต้ังไว้ที่ ระดับ 80/80 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนของ

30 นักศึกษาที่ เรียนโดยใชห้ ้องเรยี นดจิ ทิ ัลด้วย Google Sites มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักศึกษาท่ีเรียนรู้โดย ใช้ห้องเรียนดิจิทัลด้วย Google Site โดยมีค่าเฉลี่ยผล การประเมินรวมทั้งต่อการใช้ ห้องเรียน ดจิ ทิ ลั ดว้ ย Google Site โดยภาพรวม อยรู่ ะดบั มาก คา่ เฉล่ีย 4.40 จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง จะเห็นได้ว่า บทเรียนผ่านเว็บเป็นส่ือท่ี ประกอบด้วย การจัดกิจกรรมท่ีหลากหลาย และการใช้ส่ือหลายรูปแบบ สามารถนำไปใช้ในการ จดั การ เรยี นการสอน เรยี นได้ทุกที่ทุกเวลา นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาบทเรียนได้ ดีกว่าการเรียน แบบปกติ และช่วยส่งเสริมให้นักเรียนสามารถเรียนด้วยตนเองสามารถสนอง ความแตกต่างระหว่าง บุคคลได้เป็นอย่างดี นอกจากน้ียังช่วยแบ่งเบาภาระของครูผู้สอน ช่วย แก้ปัญหาการขาดแคลนสื่อการสอน การเรียนรู้ ช่วยให้นักเรียนรู้ถึงผลกระทบของสื่อในสังคม ปัจจุบัน และมีความรู้เท่าทันส่ือประเภทต่าง ๆ ดังนั้นผู้วิจัยจึงจัดทำาการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บ ด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เพ่ือพัฒนาการเรยี นการสอนในกลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีใหม้ ผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นที่สูงขนึ้

31 บทที่ 3 วธิ ีดำเนินการวจิ ยั การวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชา เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ผู้วิจยั ดำเนินการ ดงั นี้ 1. การกำหนดประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง 2. เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 3. การสร้างและหาคุณภาพเครอื่ งมอื วจิ ยั 4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 5. การวิเคราะห์ขอ้ มูล 6. สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู รายละเอียดในแตล่ ะข้ันตอน มดี งั นี้ 1. การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านข่าพิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้องเรยี น รวมท้งั สนิ้ 58 คน 1. กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนบ้านข่าพิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครพนม ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 256 5 จำนวน 2 ห้องเรียน รวมทั้งส้ิน 30 คน ซ่ึงได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster random sampling) 2. เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย เครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวิจยั ไดแ้ ก่ 1.1 บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชา เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การ ออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เป็นปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ขอ้ โดยตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน 1.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนผ่านเว็บ ด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับ นกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1

32 3. การสรา้ งและหาคุณภาพเครอ่ื งมือวิจัย บทเรยี นผา่ นเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรยี นรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบ และเทคโนโลยี) สำหรับนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ผู้วจิ ัยไดก้ ำหนดสาระการเรียนร้ตู ลอดจนได้ ศึกษาวิธีการสร้างเครอ่ื งมอื และดำเนินการสร้างเครื่องมือดังน้ี 1. การสร้างบทเรียนผ่านเว็บ ไดด้ ำเนินการสร้างดงั นี้ 1.1 ศึกษารายละเอียดของหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง 2560) คู่มือครูสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หนังสือเรียนกลุ่ม สาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพ่ือกำหนดขอบเขตและเนื้อหาของ บทเรยี น รวมทง้ั กำหนดจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1.2 ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างบทเรยี นผ่านเว็บ และเปน็ ประโยชน์ในการสร้างแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน 2. นำจุดประสงค์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัดสาระการเรียนรู้ ท่ีแบ่งเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อรอง หัวข้อย่อยและจำนวนชั่วโมง เสนอต่อผู้เช่ียวชาญด้านส่ือและการวัดและประเมินผล จำนวน 5 ทา่ น 3. สรา้ งพัฒนาบทเรียนผ่านเวบ็ ดว้ ย Google Site ประกอบการเรยี นรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง บทเรียนผา่ นเวบ็ ตามลำดับ ดงั นี้ 1. ศึกษาเอกสารหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง 2560) ศึกษาสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศกึ ษารายละเอียดของหลกั การ คู่มอื ครูสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี หนังสือเรียนกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เพ่ือ กำหนดขอบเขตและเน้ือหาของบทเรียน รวมทง้ั กำหนดจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 2. วิธีการสร้างบทเรียนผ่านเวบ็ จากเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพ่ือเปน็ แนวทางในการ สร้างบทเรียนผ่านเวบ็ 3. ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างบทเรียนผ่านเว็บ และเป็นประโยชน์ในการสร้างแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น 4. วิเคราะหเ์ นอ้ื หาท่ีจะนำมาสร้างบทเรยี นผา่ นเว็บ ซงึ่ มีเน้ือหาท้ังหมด 3 เรอื่ ง คือ 4.1 เทคโนโลยกี ับมนษุ ย์ 4.2 กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม 4.3 ผลงานออกแบบเทคโนโลยี 5. สร้างบทเรียนผ่านเว็บโดยกำหนดเค้าโครงเรื่อฝลงให้สอดคล้องกับเนื้อหา เรียบเรียงลำดับเร่อื งราวก่อนหลัง แบ่งเน้อื หาแต่ละตอนเปน็ ย่อย ๆ โดยเรียงลำดบั เนื้อหาจากงา่ ย ไปหายาก

33 6. การเขียนแผนผังการทำงาน (flowchart) และการนำเสนอเนื้อหาในส่วน ของบทเรียนผ่านเว็บโดยการรแบ่งเน้ือหาออกเป็นตอน ๆ ตามบทเรียนผ่านเว็บ และจัดทำบท ดำเนินเรือ่ ง (storyboard) ของบทเรียนมลั ตมิ เี ดีย ดังนี้ เรมิ่ ตน้ เมนหู ลัก แบบทดสอบก่อนเรยี น = 30 ข้อ เมนูบทเรยี น เทคโนโลยีกบั มนษุ ย์ กระบวนการออกแบบเชิง วิศวกรรม ผลงานออกแบบเทคโนโลยี แบบทดสอบหลงั เรยี น = 30 ข้อ รายงานผลการเรยี น ไม่ จบ ใช่ ภาพท่ี 2 แผนผงั แสดงการทางานของบทเรียนผ่านเวบ็

34 บทเรียนผา่ นเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบ และเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ผู้วิจัยได้ออกแบบให้มีลักษณะเป็นแบบ เสนอเนือ้ หา โดยใชภ้ าพ ภาพกราฟิก บรรยาย ในการนำเสนอเนอ้ื หา 7. สร้างบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การ ออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ตามแผนผังการทำงาน (flowchart) ท่ีกำหนด โดยใช้เคร่ืองมือต่าง ๆ ในการสร้างบทเรียน (authoring system) ได้แก่ โปรแกรม Microsoft Word โปรแกรม Microsoft PowerPoint โปรแกรม Photoshop เว็บ Canva สำหรับสร้างภาพกราฟกิ 8. นำบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การ ออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีสร้างเสร็จแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ท้ัง 5 ทา่ น ตรวจสอบพจิ ารณาตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมในการออกแบบ 4. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผู้วิจัยไดด้ ำเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ตามข้นั ตอนดงั น้ี 1. นกั เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) จำนวน 30 ข้อ จากบทเรียนผ่านเว็บท่ี รวมอยใู่ นการเรียนรู้การใช้งานการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับ นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 แล้วจดบนั ทึกคะแนน ของนักเรียนแต่ละคนไว้ 2. ดำเนินการสอนโดยใช้บทเรียนผ่านเว็บในรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและ เทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แล้วบันทึกคะแนนของนักเรียนท่ีใบงานในแต่ ละหนว่ ยการเรียนรู้ 30 คะแนน และตรวจผลงานของนักเรียนทไี่ ด้จากฝึกปฏิบัตหิ ลงั จากเรยี นจบ ในแต่ละหน่วย 3. นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยใช้แบบทดสอบชุดเดียวกับ แบบทดสอบก่อนเรียน (สลับตัวเลือก) จำกบทเรียนผ่านเว็บ ที่รวมอยู่ในบทเรียนผ่านเว็บใน รายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรบั นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ขนั้ ตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. อธิบายให้นักเรียนทราบและเข้าใจถึงวิธีการใช้ บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 2. ก่อนที่จะเริ่มเรียนบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชา เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 นักเรียนทุกคน จะต้องทำแบบทดสอบก่อนเรียนจำนวน 30 ข้อ ซ่ึงข้อทดสอบน้ีผู้วิจัยได้สร้างไว้ในบทเรียนผ่าน

35 เว็บ เป็นแบบทดสอบสอบปรนัย 4 ตัวเลือกหลังจากทำ แบบทดสอบเสร็จแล้วผู้วิจัยได้บันทึก คะแนนเก็บไวใ้ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล 3. การดำเนินการสอน ผู้วจิ ัยไดด้ ำเนินการสอน ดว้ ยบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยนักเรียนจะเรียน 3 เร่ือง ทั้งหมด 20 ช่ัวโมง โรงเรียนได้กำหนดให้เรียน สัปดาหล์ ะ 1 ชั่วโมง เมื่อนักเรียนเรียนจบแต่ละเร่ือง นักเรยี นตอ้ งทำกิจกรรมทา้ ยบทเรยี นทกุ ครั้ง นักเรียนต้องเรียนด้วยบทเรียนผ่านเว็บท้ังหมดจำนวน 3 เร่ือง ผู้วิจัยเก็บคะแนนไว้เป็นคะแนน ระหว่างเรียน 4. การตรวจใบงานจากการใช้บทเรียนผ่านเว็บ ที่สร้างขึ้น มีใบงานในแต่ละเรื่อง 3 ใบ งาน รวมคะแนน 70 คะแนน 5. รวบรวมคะแนนระหว่างเรียนของนักเรยี นแต่ละคน คะแนนเต็มท้ังหมด 70 คะแนน เพอื่ ใช้คำนวณหาประสิทธภิ าพของกระบวนการ (E1) 6. เม่ือทำการสอนครบแล้วให้นักเรยี นทำแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 30 ขอ้ ซึ่งเป็น แบบทดสอบชุดเดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียน สลับตัวเลือกในแต่ละข้อ แล้วจดบันทึกคะแนน ส่วนนี้ไว้ คำนวณหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) 7. นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจ จากแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผวู้ ิจยั สร้าง ขน้ึ จำนวน 15 คำถามซง่ึ แบบสอบถามไดผ้ ่านการหาค่า (IOC) และประเมินความเหมาะสม 8. นำผลทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียน ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียนและ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนมาวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อรายงานผลการพัฒนาการเรียน การสอนของนักเรียน โดยใช้บทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชา เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรับนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ตอ่ ไป 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ผ้วู จิ ยั ดำเนนิ การวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ตามเกณฑ์ 80 / 80 2. วิเคราะห์ ห าป ระสิท ธิผลของบ ท เรียน ผ่าน เว็บ ด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ตามเกณฑ์ดัชนีประสทิ ธิผล ตงั้ แต่รอ้ ยละ 50 ขึน้ ไป 3. วิเคราะห์เปรียบเทียบความรู้ทางการเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติ t-test ชนดิ dependent Samples

36 4. วิเคราะห์เปรียบเทียบความสามารถบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ของนักเรียนกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถติ ิ t-test ชนิด dependent Samples 5. วิเคราะห์ความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนผ่านเว็บที่สร้างขึ้น โดยการ เปรียบเทยี บค่าเฉลย่ี กบั เกณฑ์การแปลความหมาย ดังน้ี ค่าเฉลยี่ ระดบั ความพึงพอใจ 1.00 - 1.50 นอ้ ยที่สุด 1.51 - 2.50 น้อย 2.51 - 3.50 ปานกลาง 3.51 – 4.50 มาก 4.51 - 5.00 มากท่ีสุด 6. สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถติ ิพืน้ ฐาน สถิติพนื้ ฐาน ไดแ้ ก่ คา่ เฉลี่ย รอ้ ยละ และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 2. สถติ ติ รวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมือวิจัย สถิติตรวจสอบคณุ ภาพเครอื่ งมอื วิจยั ไดแ้ ก่ 2.1 คา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง IOC ซง่ึ มีสตู รดงั น้ี โดยที่ IOC แทน ดัชนีความสอดคลอ้ ง แทน ผลรวมคะแนนการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผเู้ ชีย่ วชาญ 2.2 คา่ ความยากรายข้อของแบบทดสอบ ซึ่งมีสูตรดังนี้ โดยที่ p แทน คา่ ดัชนีความยากรายข้อของข้อสอบข้อหน่งึ ๆ RH แทน จำนวนผสู้ อบในกล่มุ สงู ทตี่ อบขอ้ สอบข้อน้ันถกู RL แทน จำนวนผสู้ อบในกลุ่มตำ่ ทีต่ อบข้อสอบขอ้ นัน้ ถูก NH แทน จำนวนผสู้ อบทง้ั หมดในกลุ่มสงู NL แทน จำนวนผู้สอบทงั้ หมดในกล่มุ ต่ำ และ NH = NL

37 2.3 ค่าอำนาจจำแนกรายขอ้ ของแบบทดสอบ ซงึ่ มีสูตรดังน้ี หรือ โดยท่ี r แทน คา่ ดชั นคี วามยากรายขอ้ ของข้อสอบข้อหน่ึง ๆ 2.4 คา่ ความเช่อื มน่ั ของแบบทดสอบ ซ่ึงมสี ูตรดงั นี้ โดยท่ี KR20 แทน ค่าความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบทัง้ ฉบบั k แทน จำนวนขอ้ สอบทงั้ หมดของแบบทดสอบฉบบั น้ัน pi แทน ค่าดชั นีความยากของข้อสอบขอ้ ท่ี i โดยท่ี i =1,2,3,...,k qi แทน คา่ ทคี่ ำนวณได้จากสตู ร qi = 1-pi แทน คา่ ความแปรปรวนของคะแนนรวมของแบบทดสอบ 3. สถติ ิตรวจสอบสมมตฐิ าน สถิตติ รวจสอบสมมติฐาน ไดแ้ ก่ 3.1 ประสิทธิภาพของนวตั กรรม E1/E2 ซึง่ มีสตู รดงั นี้ โดยท่ี E1 คือ ประสทิ ธิภาพของกระบวนการทีจ่ ัดไวใ้ นชดุ การสอนคิดเปน็ ร้อยละจาก การทำแบบฝกึ หดั และหรือประกอบด้วยกิจกรรมการเรยี นระหวา่ งเรยี น ∑X คอื คะแนนจากการทำแบบฝึกหัดและหรือการประกอบกจิ กรรมการเรียน ระหวา่ งเรยี น A คอื คะแนนเตม็ ของแบบฝกึ หดั และหรอื กิจกรรมการเรียน N คอื จำนวนผู้เรยี น E2 คือ ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์ (พฤติกรรมทีเ่ ปลี่ยนในตวั ผู้เรยี นหลังการ เรยี นดว้ ยชดุ การเรยี นการสอน) คิดเป็นอตั ราสว่ นจากการทำแบบทดสอบหลัง เรียนและหรอื ประกอบกิจกรรมหลงั เรียน

38 ∑F คือ คะแนนรวมของผู้เรยี นจากการทำแบบทดสอบหลงั เรียนและหรือการ ประกอบกจิ กรรมหลงั เรียน B คอื คะแนนเตม็ ของการสอบหลังเรยี นและหรือกิจกรรมหลงั เรียน N คอื จำนวนผู้เรียน 3.2 คา่ ดัชนีประสทิ ธผิ ลของนวตั กรรม ซ่งึ มสี ูตร ดังนี้ โดยที่ X ̅ post คือ คะแนนทดสอบหลงั เรยี น X ̅ pree คือ คะแนนทดสอบก่อนเรียน Total คอื คะแนนสูงสุดทน่ี ักเรยี นจะสามารถทำได้ 3.3 การทดสอบค่าเฉลี่ยโดยใช้ t-test ชนิด dependent Samples ซึ่งมีสูตร ดังนี้ โดยที่ t แทน ค่าสถิตทิ ี่ใช้ในการพิจารณาใน t – distribution D แทน ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่ N แทน จำนวนค่ขู องคะแนนหรอื จำนวนนกั เรยี น D แทน ผลรวมทง้ั หมดของผลต่างของคะแนนกอ่ นและหลงั การ ทดลอง  D2 แทน ผลรวมของกำลงั สองของผลตา่ งของคะแนนกอ่ นและ หลังการทดลอง

39 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู การวิจัยเร่ือง การพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียน รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ผู้วิจัยได้ นำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลตามลำดบั ดงั นี้ ตอนท่ี 1 ผลการประเมินความเหมาะสมของการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับ นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โดยผู้เช่ยี วชาญ ตอนท่ี 2 ผลการวเิ คราะหป์ ระสิทธิภาพของการพัฒนาบทเรยี นผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิผลของการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ตอนที่ 4 ผลกาวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอ่ การเรียนด้วยบทเรียนผ่าน เว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 รายละเอยี ดผลการวเิ คราะห์ข้อมูลแตล่ ะตอนมดี ังนี้ ตอนท่ี 1 ผลการประเมนิ ความเหมาะสมของการพฒั นาบทเรียนผา่ นเวบ็ ด้วย Google site ประกอบการเรยี นรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรับนักเรยี นช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โดยผเู้ ชยี่ วชาญ ผลการประเมินความเหมาะสมของการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โดยผ้เู ช่ยี วชาญจำนวน 5 ท่าน ปรากฏดงั ตาราง 1 ตาราง 1 ผลการประเมินความเหมาะสมของการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับ นักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 รายการประเมนิ X S.D. ระดบั ความเหมาะสม 1. ด้านคำแนะนำการใช้ชุดฝกึ 4.10 0.80 มาก 1.1 บทเรยี นผ่านเวบ็ มคี ำแนะนำในการใช้งาน 1.2 บทเรยี นผา่ นเวบ็ มีรายละเอยี ดทเี่ ขา้ ใจงา่ ย 3.50 0.79 ปานกลาง

40 รายการประเมิน X S.D. ระดบั ความเหมาะสม 1.3 บทเรยี นผ่านเว็บมีรปู เลม่ ท่ีนา่ สนใจ ชวนใหต้ ดิ ตาม 4.03 0.89 มาก 1.4 บทเรียนผ่านเวบ็ มีใบความรู้ 4.17 0.79 มาก รวมดา้ นคำแนะนำการใช้บทเรียนผา่ นเว็บ 3.95 0.05 มากท่สี ุด 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 มีความชัดเจนเนือ้ หาไมซ่ ับซ้อน 4.20 0.84 มาก 2.2 มคี วามถูกตอ้ งและครอบคลุมเนอ้ื หา 4.30 0.79 มาก 2.3 ระบพุ ฤติกรรมทีต่ ้องการวัดได้อยา่ งชดั เจน 4.20 0.84 มาก รวมด้านจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 4.23 0.03 มากทส่ี ุด 3. ขอบข่ายเนื้อหา 4.20 0.88 มาก 3.1 เนอ้ื หามีความนา่ สนใจในการเรยี นรู้ 3.2 เนื้อหาครอบคลมุ กับสงิ่ ทน่ี กั เรียนสมควรทจี่ ะรู้ 4.40 0.85 มาก 3.3 เน้อื หาในแต่ละชดุ มีกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ย่ี ากง่าย 4.23 0.81 มาก พอเหมาะกบั ความสามรถของนักเรียน 3.4 เน้ือหาในแต่ละชดุ กิจกรรมการเรียนรู้อ่านแล้ว เข้าใจ 4.27 0.82 มาก งา่ ยไมซ่ ับซ้อน รวมดา้ นขอบข่ายเนื้อหา 4.27 0.03 มากทส่ี ดุ 4. ระยะเวลาท่ีใช้ในการจัดการเรียนรู้ 4.27 0.82 มาก 4.1 ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการจัดกจิ กรรมมีความเหมาะสม 4.2 มีการกำหนดขั้นตอนอยา่ งชดั เจน 4.23 0.81 มาก รวมด้านระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ 4.25 0.01 มากทส่ี ุด 5. การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ 5.1 ใชว้ ธิ กี ารวดั ผล ประเมินผลโดยเน้นตามสภาพจริงที่ 4.27 0.74 มาก เกิดจากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมต่าง ๆ 5.2 ใช้วธิ กี ารวดั และประเมนิ ทีห่ ลากหลาย 4.30 0.79 มาก 5.3 วธิ ีการประเมินช่วยให้นักเรียนเข้าใจถึงระดับความรู้ 4.10 0.88 มาก ความสามารถของนักเรยี นแต่ละคนได้ดีข้นึ รวมด้านการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ 4.22 0.07 มากทส่ี ดุ รวมทุกดา้ น 4.18 0.02 มาก จากตาราง 1 พบว่า โดยภาพรวมทุกด้านการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น

41 มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ความเหมาะสมอยู่ในระดบั มาก เมอ่ื พิจารณารายด้าน พบว่า มี 15 รายการที่ นกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจในระดับมาก มี 1 รายการทนี่ กั เรียนมคี วามพงึ พอใจระดับปานกลาง ตอนท่ี 2 ผลการวิเคราะหป์ ระสทิ ธภิ าพของการพฒั นาบทเรยี นผา่ นเวบ็ ดว้ ย Google site ประกอบการเรียนรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรับนกั เรยี นชั้น มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ตามเกณฑ์ 80/80 ปรากฏดังตาราง 2 ตาราง 2 ผลการวเิ คราะห์ประสิทธิภาพของการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ตามเกณฑ์ 80/80 ช่วงการวดั ผล คะแนนเต็ม n X S.D. รอ้ ยละ ประสิทธิภาพ E1/E2 82.72/86.65 ระหว่างเรียน 30 ครง้ั ที่ 1 5 4.13 0.77 82.60 -ความรู้ 5 4.13 0.81 82.60 -ความสามารถ 30 ครั้งท่ี 2 5 4.17 0.79 83.40 -ความรู้ 5 4.07 0.90 81.40 -ความสามารถ 30 คร้ังที่ 3 5 4.10 0.84 82.00 -ความรู้ 5 4.23 0.81 84.60 -ความสามารถ 30 ครัง้ ท่ี 4 5 4.13 0.77 82.60 -ความรู้ 5 4.13 0.77 82.60 -ความสามารถ 30 ครั้งท่ี 5 5 4.10 0.84 82.00 -ความรู้ 5 4.17 0.83 83.40 -ความสามารถ 50 30 41.36 2.13 82.72 รวมระหว่างเรยี น 20 30 17.33 1.45 86.65 หลังเรียน

42 จากตาราง 2 พบว่า ประสิทธภิ าพของการพัฒนาบทเรียนผ่านเวบ็ ดว้ ย Google site ประกอบการเรียนรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 เท่ากบั 82.72/86.65 ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑ์ทีต่ ั้งไวท้ ่ี 80/80 ตอนท่ี 3 ผลการวิเคราะห์ประสทิ ธผิ ลของการพัฒนาบทเรียนผ่านเวบ็ ดว้ ย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรบั นกั เรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิผลของการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ตามเกณฑด์ ชั นีประสิทธิผลตง้ั แตร่ ้อยละ 50 ปรากฏดงั ตาราง 3 ตาราง 3 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิผลของการพัฒนาบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ตามเกณฑด์ ัชนีประสทิ ธผิ ลตั้งแต่รอ้ ยละ 50 ชว่ งการวัดผล คะแนนเต็ม n X S.D. ร้อยละดัชนปี ระสิทธิผล 78.09 กอ่ นเรยี น 20 30 15.63 2.13 หลงั เรียน 20 30 17.33 1.45 จากตาราง 3 พบวา่ ประสิทธผิ ลของการพฒั นาบทเรียนผ่านเวบ็ ดว้ ย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 มีค่าดัชนปี ระสทิ ธิผลเท่ากบั 78.09 ซึง่ ผา่ นเกณฑ์ทต่ี ง้ั ไวท้ ่ตี ง้ั แต่ร้อยละ 50 ตอนที่ 4 ผลกาวิเคราะหค์ วามพงึ พอใจของนกั เรียนที่มตี ่อการเรยี นด้วยบทเรยี นผ่านเวบ็ ด้วย Google site ประกอบการเรยี นรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิเคราะห์ความพงึ พอใจของนักเรียนทีม่ ตี ่อการเรยี นด้วยบทเรยี นผ่านเว็บดว้ ย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 ปรากฏดังตาราง 4

43 ตาราง 4 ผลการวิเคราะหค์ วามพึงพอใจของนกั เรยี นท่มี ตี ่อการเรียนดว้ ยบทเรยี นผ่านเว็บดว้ ย Google site ประกอบการเรียนรายวชิ าเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1 รายการสอบถาม X S.D. ระดับความพึงพอใจ 1. บทเรยี นมีขอ้ แนะนำในการปฏิบัติอย่างชดั เจน 3.70 1.32 มาก 2. มีความน่าสนใจ ดึงดดู ใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจมากยง่ิ ข้นึ 3.93 0.92 มาก 3. เนือ้ หามีความถูกต้องและแม่นยำ 3.73 1.14 มาก 4. จัดแบง่ เนอื้ หาได้เหมาะสม 3.60 1.22 มาก 5. ใช้ภาษาท่ีส่อื ความหมายไดช้ ัดเจน 3.70 1.32 มาก 6. ลำดบั บทเรียน นกั เรยี นสามารถเรียนรูไ้ ด้ 4.07 1.05 มาก 7. บทเรยี นมีรปู แบบทหี่ ลากหลาย 3.70 1.32 มาก 8. กิจกรรมมคี วามเหมาะสมกับนกั เรยี น 3.50 1.17 มาก 9. นกั เรียนได้รบั ความร้จู ากบทเรียนผ่านเว็บ 3.57 1.22 มาก 10. นักเรยี นสามารถนำความรู้ไปใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ได้ 3.77 1.17 มาก โดยรวม 3.73 0.13 มาก จากตาราง 6 พบวา่ โดยภาพรวมนกั เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรยี นด้วยบทเรยี น ผา่ นเว็บด้วย Google site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลย)ี สำหรบั นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 อยู่ในระดับ มาก เมอ่ื พิจารณารายข้อ พบวา่ มี 10 รายการทีน่ ักเรยี นมคี วามพึงพอใจในระดบั มาก

44 บทที่ 5 สรปุ ผล อภปิ ราย และข้อเสนอแนะ การวิจัยเร่ือง การพฒั นาบทเรียนผ่านเวบ็ ดว้ ย Google site ประกอบการเรยี น รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรบั นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วจิ ัยได้ นำเสนอการดำเนินการวจิ ัยโดยสรุปผลการวจิ ยั อภปิ รายผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ ดังน้ี 1. ความมงุ่ หมายของการวจิ ัย 2. ขอบเขตของการวจิ ัย 3. เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย 4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 5. การวิเคราะหข์ ้อมลู 6. สรปุ ผลการวจิ ัย 7. อภิปรายผลการวิจยั 8. ขอ้ เสนอแนะ ความมุ่งหมายของการวิจัย การวิจยั ครง้ั นี้ ผู้วิจัยไดก้ ำหนดความมุ่งหมายของการวจิ ัยไว้ ดังนี้ 1. เพ่ือพัฒนาและหาประสทิ ธิภาพของบทเรยี นผ่านเว็บดว้ ย Google Site ประกอบการ เรยี นรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ตาม เกณฑ์ 80/80 2. เพ่ือหาประสิทธิผลของบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียน รายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตาม เกณฑ์ดชั นีประสทิ ธผิ ลตัง้ แต่รอ้ ยละ 50 ขึ้นไป 3. เพ่ือเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกับรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับ นักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยบทเรียนผ่านเว็บด้วย Google Site ประกอบการเรียนรายวิชาเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 ขอบเขตของการวจิ ัย การวจิ ัยคร้ังน้ี ผวู้ ิจยั ไดก้ ำหนดขอบเขตของการวิจยั ดงั นี้ 1. ขอบเขตด้านประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง