Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ilovepdf_merged (1)

ilovepdf_merged (1)

Published by krakarndee2543, 2021-11-02 14:38:15

Description: ilovepdf_merged (1)

Search

Read the Text Version

คำนำ หนังสือเล่มนี้จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหนังสือประกอบการเรียนการสอน วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อการดำรงชีวิตของพืช โดยดำเนินการจัด ทำให้สอดคล้องตามกรอบของหลักสูตรทุกประการ หนังสือประกอบการเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยเนื้อหา ทั้งหมดผู้จัดทำได้ส่งเสริมกระบวนการคิด การสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา การสร้างองค์ความ รู้ใหม่ การตัดสินใจ การนำไปใช้ในชีวิต พร้อมทั้งคำถามชวนคิด เกร็ดความรู้รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ เรียนมีจิตวิทยาศาสตร์ คุณธรรม ค่านิยมที่ถูกต้องเหมาะสม คณะผู้จัดทำจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาและเป็นสื่อ ประกอบการเรียนการสอนแก่ผู้เรียนในวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การดำรงชีวิตของพืช ไม่มากก็น้อย เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามมาตรฐานตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หากมีข้อ บกพร่องหรือข้อผิดพลาดประการใดโปรดกรุณาแจ้งคณะผู้จัดทำ เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นใน โอกาสต่อไป ขอขอบพระคุณอาจารย์ผู้ให้ความรู้และคำแนะนำ ในการสร้างหนังสือแบบเรียน วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฉบับนี้ ตลอดจนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำไว้ ณ โอกาสนี้ คณะผู้จัดทำ

สารบัญ หน้ า 1หน่ วยการเรียนรู้ที่ การดำรงชีวิตของพืช บทที่ 1 การสังเคราะห์ด้วยแสง 1 กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 2 ปัจจัยที่สำคัญต่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 3 คำถามท้ายบท 4 บทที่ 2 การลำเลียงสารในพืช การลำเลียงน้ำและธาตุอาหาร 3 การลำเลียงอาหาร 4 คำถามท้ายบท 3 บทที่ 3 การเจริญเติบโตของพืช คำถามท้ายบท 4 บทที่ 4 การลำเลียงสารในพืช การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศของพืช 3 การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืช 4 คำถามท้ายบท 6 บทที่ 5 เทคโนโลยีชีวภาพของพืช การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 7 เทคโนโลยีการดัดแปรพันธุกรรมของพืช 8 คำถามท้ายบท 10 บรรณานุกรม

บรรณานุกรม

มูฮัมหมัด พาเทล ป ร ะ วั ติ ก า ร ทำ ง า น นั ก วิ เ ค ร า ะ ห์ ร ะ บ บ นักวิเคราะห์ระบบ ส รุ ป ข้ อ มู ล ส่ ว น ตั ว โดว์บลูมส์ คอมปานี | มิถุนายน 2561 - ปัจจุบัน ฉันเป็นนักวิเคราะห์ระบบที่มุ่งเน้น - ศึกษาระบบปฏิบัติงานของลูกค้า เรื่องผลลัพธ์ มีทักษะในการสื่อสาร - ตีความข้อกำหนดทางธุรกิจเป็นการออกแบบเพื่ อการใช้งาน เป็นเยี่ยม รวมถึงมีความเข้าใจใน - ฝึกอบรมซอฟต์แวร์คอมพิ วเตอร์อันหลากหลายให้กับ ระบบดิจิทัลและกระบวนการซัพพลาย พนักงานและผู้ใช้งาน เชนเป็นอย่างดี นักวิเคราะห์ข้อมูลอาวุโส ทั ก ษ ะ สำ คั ญ มูนส์เคป สตูดิโอ | เมษายน 2560 - พฤษภาคม 2561 การพั ฒนาซอฟต์แวร์ขั้นพื้ นฐาน - รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้กรอบงานอันหลากหลาย การจัดทำเอกสารโครงการ - แก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์ การวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ - ประยุกต์ใช้เทคนิคเชิงสถิติในการวินิจฉัยปัญหาด้านธุรกิจ การแก้ไขปัญหา การทดสอบคุณภาพ แนวคิดการออกแบบ ป ร ะ วั ติ ก า ร ศึ ก ษ า การวิจัยและฝึกอบรมผู้ใช้งาน สถาบันโคอูริ ร า ย ล ะ เ อี ย ด ติ ด ต่ อ ปริญญาโท | ก.พ. 2561 - ม.ค. 2562 ที่อยู่สำนักงาน: 123 ถนนเลี่ยงเมือง อำเภอ เมือง จังหวัดขอนแก่น 50410 ประเทศไทย ประกาศนียบัติสาขาวิศวกรรมกระบวนการธุรกิจ อีเมล: [email protected] - เรียนรู้เชิงลึกถึงวิธีปรับใช้ระบบและกระบวนการ แฟ้มผลงาน: www.deesite.co.th ทางธุรกิจให้เหมาะสมโดยใช้ระบบเทคโนโลยี ลิงกต์อิน: @deesite มหาวิทยาลัยเฟรย์ฟอร์ด ปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ | มิถุนายน 2554 - มิถุนายน 2558 ปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิ วเตอร์ - สาขาย่อยระบบวิสาหกิจ - ผู้ประสานงานโครงการ สถาบันคอมพิ วเตอร์เฟรย์ฟอร์ด - ได้รับทุนการศึกษามูลนิธิจีเอชที บุ ค ค ล อ้ า ง อิ ง ใ น ก า ร ทำ ง า น ชานเต ลาชบรู๊ก ประธานบริษัทเอลีคอน อีเมล: [email protected] คาร์โล หยาง หัวหน้าฝ่ายประสานงานสถาบันโคอูริ อีเมล: [email protected]

5. เทคโนโลยีชีวภาพของพืช เทคโนโลยีชีวภาพ คือ การนำเอาความรู้ทางด้า นวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับสิ่งมีชีวิต หรือชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิต หรือผลผลิตของสิ่งมีชีวิต เพื่อให้เป็นประโยชน์ และเพียงพอต่อความ ต้องการของมนุษย์ ซึ่งมีการขยายพันธุ์พืช การปรับปรุงพันธ์ุพืช และการดัดแปรพันธุกรรมของ พืชได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพมากขึ้น

5.1 การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (PLANT TISSUE CULTURE) เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่จำเป็น ต่อการเจริญเติบโตของพืชมาใช้ในการเพิ่มจำนวนโดยการพูดมาเพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ ใช้ อาหารสังเคราะห์ ซึ่งอาหารสังเคราะห์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดดังนี้ อาหารชนิดแข็ง มีลักษณะคล้ายวุ้นประกอบด้วยธาตุอาหารในสัดส่วนที่เหมาะสมกับพืช เมื่อเพาะเลี้ยงไประยะหนึ่ง เนื้อเยื่อพืชจะเจริญเป็นต้นใหม่เรียกว่า แคลลัส ซึ่งเจริญต่อไปเป็นราก ลำต้น และใบ เป็นต้น ภาพที่ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชบนอาหารแข็ง

อาหารชนิดเหลว มีลักษณะเป็นของเหลวประกอบด้วยธาตุอาหารในสัดส่วนที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของ พืช โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยอาหารชนิดนี้ จะต้องเขย่าขวดตลอดเวลาด้วยเครื่องเขย่าสาร ภาพที่ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในอาหารเหลว

ประโยชน์ของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชมีดังนี้ 1. ใช้ขยายพันธุ์พืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น กล้วยไม้ มะพร้าวกะทิ เป็นต้น 2. นำมาใช้ร่วมกับการดัดแปรพันธุวิศวกรรมพืช เพื่อให้พืชมีลักษณะตามที่ต้องการ เช่น ทนต่อดินเค็มหรือดินเปรี้ยว ทนต่อสภาพอากาศร้อนหรือหนาว ทนต่อสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทนต่อโรค และสารพิษต่างๆ ที่เกิดจากเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส เป็นต้น 3. มีส่วนช่วยในการศึกษาทางชีวเคมีและสรีรวิทยาของพืช 4. เพื่อสกัดสารจากต้นพืชมาผลิตสารเคมีและยาที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ 5. สามารถขยายพันธุ์พืชที่ต้องการได้จำนวนมาก 6. สามารถขยายพันธุ์พืชได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงฤดูกาล 7. สามารถขยายพันธุ์พืชพื้นเมืองที่มีอยู่เดิม พันธุ์พืชที่หายาก และพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ได้ จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าขั้นตอนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้องทำในห้องปฏิบัติการที่ ปราศจากเชื้อโรค และมีอุปกรณ์ที่เพียงพอ ซึ่งขั้นตอนในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อยังจำเป็นต้อง อาศัยผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ และมีประสบการณ์มากพอ ดังนั้นวิธีนี้จึงมีค่าใช้จ่ายค่อนข้าง สูง จะเห็นว่าการขยายพันธุ์พืชมีทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยี ชีวภาพในการขยายพันธุ์พืช ซึ่งพืชที่ได้จะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนั้น ในการเลือกวิธีที่จะยายพันธ์ุ พืชควรพิจารณาจากลักษณะของพืชที่ต้องการ ขั้นตอน และงบประมาณ หรือปัจจัยที่ใช้ในการขยาย พันธุ์พืช

5.2 เทคโนโลยีการดัดแปรพันธุกรรมของพืช การดัดแปรพันธุกรรมของพืชทำได้โดยการตัดต่อ ยีนจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมาแทรกลงในดีเอ็นเอ ของพืชเพื่อให้พืชแสดงลักษณะที่ต้องการออกมา เช่น การตัดต่อยีนต้านแมลงศัตรูพืชจากแบคทีเรียมา ใส่ในพืช ซึ่งเรียกสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการถ่ายยีนว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม เช่น มะละกอ (ต้านทาน โรค) ฝ้าย ข้าว (ทนต่อดินเค็ม) มะเขือเทศ (ชะลอการสุก) ข้าวโพด ถั่วเหลือง (ทนต่อแมลงศัตรูพืช และยาปราบวัชพืช) เป็นต้น ภาพที่ ฝ้าย GMOGS สามารถผลิต ภาพที่ มะละกอ GMOS สามารถ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ใช้ฆ่าหนอนได้ ต้านทานโรคได้ ภาพที่ ถั่วเหลือง GMOS สามารถทนทาน ภาพที่ มะเขือเทศ GMOS ต่อสารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืชหนึ่งได้ สามารชะลอการสุกได้

ประโยชน์ของพืช GMOS คือ ให้ผลผลิตตรงตามความต้องการ สามารถควบคุมปริมาณผลผลิต ของพืชได้ ทำให้พืชมีผลิตผลสม่ำเสมอตลอดปี จึงไม่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล และสามารถปรับปรุงพันธุ์พืชให้ ต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืชได้ แต่อย่างไรก็ตาม พืช GMOS มีลักษณะพันธ์ุที่ผิดแปลกไปจาก ธรรมชาติ ความปลอดภัยต่อการบริโภค จึงลดลงเนื่องจากสารจากสิ่งมีชีวิตที่นำมาตัดต่ออาจเป็นสาร ก่อภูมิแพ้หรือมะเร็ง ดังนั้น ในปัจจุบันพืช GMOS ไม่ได้รับการยอมรับ และถูกต่อต้านจากคนบางกลุ่ม ในหลายประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยมีแหล่งที่ค้นคว้าวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ คือ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและ เทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ศช.หรือ BIOTEC) สังกัดสำนักงานพัฒนากระทรวงวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี (สวทช.)

3. การเจริญเติบโตของพืช สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนต้องมีการเจริญเติบโตพืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถ ผลิตอาหารได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อเป็นแหล่งพลังงานให้แก่พืช นอกจากนี้เพื่อต้องการธาตุอาหารที่จำเป็นหลายชนิดสำหรับการเจริญเติบโต และการดำรงชีวิต

การเจริญเติบโตของพืช หมายถึง การที่พืชมีการเพิ่มจำนวนและขยาย ขนาดของเซลล์ จากนั้นเซลล์จะเปลี่ยนแปลงลักษณะใดเพื่อทำหน้าที่เฉพาะ ซึ่งการเจริญเติบโตของพืชมี 3 กระบวนการ ดังนี้ 1. การแบ่งเซลล์ ทำให้มีจำนวนเซลล์ เพิ่มมากขึ้น โดยเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่จะมี ลักษณะไม่ต่างจากเซลล์เดิม แต่มีขนาด เล็กกว่า 2. การเพิ่มขนาดของเซลล์ ทำให้เซลล์มี ขนาดใหญ่ขึ้น 3. การเปลี่ยนรูปร่างของเซลล์ เพื่อไปทำหน้าที่เฉพาะต่าง ๆ เช่น เนื้อเยื่อลำเลียง เป็นต้น

ตัวอย่างการเจริญเติบโตของต้นถั่ว ภาพที่ การเจริญเติบโตของต้นถั่ว การเจริญเติบโตของต้นถั่วเริ่มจากไซโกต ที่อยู่ภายในเมล็ดมีการแบ่งเซลล์ เพื่อเพิ่ม จำนวนเซลล์ไปเป็นเอ็มบริโอ และขยายขนาดใหญ่ขึ้น จนกระทั่งเอ็มบริโองอกจากเมล็ด แล้วเจริญเป็นต้นอ่อน จากนั้นเซลล์ที่อยู่ภายในต้นอ่อนจะแบ่งเซลล์ และพัฒนา เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและรูปร่างของเซลล์ให้เหมาะสมกับหน้าที่ในแต่ละโครงสร้างนั้น ๆ เช่น ใบที่ใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง เป็นต้น เกร็ดความรู้ การเจริญเติบโตของพืชมี 2 ขั้นตอนดังนี้ 1. การเจริญเติบโตขั้นแรก ทำให้พืชเจริญยืดยาวออกด้านบนและด้านล่าง ซึ่งพบได้ในส่วนของ ราก ทั้งพืชใบเลี้ยงคู่และพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด ส่วนลำต้นจะพบเฉพาะในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น ข้าว ข้าวโพดเป็นต้น 2. เจริญเติบโตขั้นที่สอง ทำให้พืชเจริญออกทางด้านข้าง พบได้ในส่วนของรากและลำต้น ทั้งพืช ใบเลี้ยงคู่ เช่น ถั่ว มะม่วง เป็นต้น และพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิด เช่น ไผ่ ปาล์ม เป็นต้น

ภาพที่ น้ำสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช น้ำเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช เนื่องจากน้ำจะละลายธาตุอาหาร ต่างๆที่อยู่ในดิน ทำให้รากพืชดูดซึมธาตุอาหารในรูปของสารละลายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้น้ำมีส่วนช่วยควบคุมอุณหภูมิภายในต้นพืช และช่วยรักษาสมดุลของต้นพืชทำให้พืชไม่ เหี่ยวเฉา ภาพที่ ปุ๋ยมีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช นอกจากนี้พืชยังต้องพูดการธาตุอาหารหลายชนิดซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต แต่ เนื่องจากในดินมีปริมาณธาตุอาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต จึงจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยหรือสารที่มี ธาตุอาหารที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยปุ๋ยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นปุ๋ยที่ได้มาจากการเน่าเปื่อยของซากสิ่งมีชีวิต ได้แก่ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ตาราง ข้อดี - ข้อเสียของปุ๋ยอินทรีย์ 2. ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เป็นปุ๋ยที่ได้มาจากการสังเคราะห์แร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แอมโมเนีย เป็นต้น แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ปุ๋ยเดี่ยวหรือปุ๋ยที่มีธาตุอาหารหลักของ พืช และปุ๋ยผสมที่ได้จากการทำปุ๋ยหลายๆชนิดมารวมกัน ตารางข้อดี - ข้อเสียของปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์

ธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณมาก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. ธาตุอาหารหลัก หรือธาตุปุ๋ย - เป็นธาตุอาหารที่พืชต้องการใช้ปริมาณมาก ธาตุไนโตรเจน ( N ) ช่วยสร้างความเจริญของผล และช่วยให้ใบของพืชมีสีเขียว หากพืชขาดธาตุไนโตรเจน ลำต้นและราก จะแคระแกร็น ใบมีขนาดเล็ก โดยมีสีเหลืองซีด เริ่มจากใบล่างก่อน ถ้าขาดมาก ๆ จะเหลืองซีดไป ทั้งต้นและอาจทำให้ตายได้ ธาตุฟอสฟอรัส( P ) ช่วยสร้างความเจริญของดอก และเมล็ด ช่วยในการสังเคราะห์ด้วยแสง ทำให้รากเจริญเติบโต ได้เร็ว และทำให้ลำต้นแข็งแรง พืชขาดธาตุฟอสฟอรัส ลำต้นจะแคระแกร็น ใบเล็ก เหลือง ลำต้น เล็กลง ใบล่างเริ่มมีสีม่วงตามแผ่นใบ ทำให้ดอก ผลและรากไม่เจริญ เป็นต้น ธาตุโพแทสเซียม ( K ) ช่วยเ สริมสร้างเปลือกและลำต้นให้แข็งแรง ช่วยในการสร้างแป้งและน้ำตาล ช่วยให้ พืชมีความต้านทาน โรคได้ดียิ่งขึ้น หากพืชขาดธาตุโพแทสเซียม ส่วนปลายใบแก่ของพืชจะไหม้ และส่วนใบจะโค้งลงหรือม้วนจากปลายใบ นอกจากนี้ใบอ่อนจะมีจุดประสีแดงหรือเหลือง ระหว่างเส้นใบ คุณภาพของดอกและผลลดลง

2.ธาตุอาหารรอง - เป็นธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณที่น้อยกว่า ธาตุแคลเซียม ( CA ) ช่วยในการแบ่งเซลล์ การผสมเกสร การงอกของเมล็ด หากพืชขาดธาตุโพแทสเซียม จะทำให้ใบอ่อน บิดเบี้ยว ขอบใบม้วนลง ไม่เรียบ ขาดและแห้ง ยอดอ่อนตาย ธาตุแมกนีเซียม ( MG ) เป็นองค์ประกอบสำคัญของสารคลอโรฟิลล์ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างอาหาร และโปรตีนของพืช หากพืชขาดธาตุแมกนีเซียม ระหว่างเส้น ใบแก่จะมีสีเหลือง แต่เส้นใบยังคงมีสีเขียวปกติ ใบร่วงเร็ว การเจริญเติบโตของพืชจะช้าลง ปริมาณและคุณภาพของดอกและผลต่ำลง ธาตุกำมะถัน ( S ) เป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโน โปรตีน และวิตามิน หากพืชขาดธาตุกำมะถัน ใบจะเล็กลง มีสีเหลืองซีดเริ่มจากใบยอดก่อน ส่วนใบล่างยังคงปกติ ถ้าอาการรุนแรงใบล่างก็จะมีอาการเหมือนกับ ใบยอด นอกจากนี้พืชยังต้องการธาตุอาหารเสริม แต่ต้องการในปริมาณน้อย เช่น เหล็ก ( Fe ) แมงกานีส ( Mn ) โบรอน ( B ) โมลิบดีนัม ( Mo ) ทองแดง ( Cu ) สังกะสี (Zn ) คลอรีน (CI )

อาการขาดธาตุอาหารพืช

อาการขาดธาตุอาหารพืช

2 การลำเลียงสารในพืช การลำเลียงสารเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างหนึ่งของสิ่งมี ชีวิตทุกชนิด โดยสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีวิธีการลำเลียงสารที่แตกต่างกัน พืชจำเป็นต้องมีระบบลำเลียงไว้ใช้ในการลำเลียงน้ำและลำเลียงอาหาร ไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช โดยพืชจะอาศัยเนื้อเยื้อที่ทำหน้าที่เฉพาะใน การลำเลียงสาร เรียกว่า เนื้อเยื่อลำเลียง

1. บีกเกอร์ 7. คีมคีบ ทักษะกระบวนการทาง 2. ต้นผักบุ้ง 8. หลอดหยด วิทยาศาสตร์ - การสังเกต 3. กระจกนาฬิกา 9. หลอดทดลอง จิตวิทยาศาสตร์ 4.ถุงพลาสติกสีขาวขุ่น 10. ตะเกียงแอลกอฮอล์ - ความสนใจใฝ่รู้ 5. ถุงพลาสติกใส 11. สารละลายไอโอดีน - ความรับผิดชอบ 6. ถุงพลาสติกสีด า 12. สารละลายแอลกอฮอล์ - ความรอบคอบ - การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่าง สร้างสรรค์ 1. นำต้นผักบุ้งไปไว้ในห้องมืดเป็นเวลา 1 คืน แล้วนาถุงพลาสติกใส ถุงพลาสติกสีขาวขุ่น และถุงพลาสติก สีดำชนิดละ 1 ถุงคุมที่ใบของต้นผักบุ้งอย่างน้อย 1 ใบ ผูกปากถุงให้สนิท จากนั้นนาต้นผักบุ้งไปวางไว้ที่กลาง แจ้งเป็นเวลา 3 ชั่วโมง 2. เด็ดใบผักบุ้งที่อยู่ในถุงแต่ละใบมาเขียนหมายเลข 1 2 และ 3 กำกับไว้บนใบผักบุ้งที่คลุมด้วย ถุงพลาสติก ถุงพลาสติกใส สีขาวขุ่น และถุงพลาสติกสีดาตามลาดับ จากนั้นนำแต่ละใบมาสกัดสารคลอโรฟิลล์ิ โดยนำไปต้ม เป็นเวลา 1 นาที 3. คีบไปผักบุ้งต้มสุกไปลงในหลอดทดลอง ใบละ 1 หลอด จากนั้นเติมแอลกอฮอล์ลงไปในหลอดทดลอง ให้ท่วม แล้วนำหลอดทดลองไปแช่น้าร้อนประมาณ 2 นาที จนกระทั่งใบซีด สังเกตสีของแอลกอฮอล์ใน หลอดทดลอง แล้วคีบใบผักบุ้ง มาจุ่มลงในน้ำเย็น 4. แผ่ใบผักบุ้งบนกระจกนาฬิกา แล้วหยดสารละลายไอโอดีนบนใบผักบุ้ง สังเกตและบันทึกผล 1. เพราะเหตุใดจึงต้องเก็บต้นผักบุ้งไว้ในห้องมืดเป็นเวลา 1 คืน 2. เพราะเหตุใดจึงต้องสกัดคลอโรฟิลล์ออกจากใบผักบุ้ง ก่อนนาไปทดสอบด้วยสารละลายไอโอดีน 3. เมื่อทดสอบด้วยสารละลายไอโอดีนกับใบผักบุ้งทั้ง 3 ใบ ให้ผลต่างกันหรือไม่ อย่างไร จากกิจกรรมพบว่าเมื่อหยดสารละลายไอโอดีน ลงบนใบผักบุ้งที่คลุมด้วยพลาสติกใส และถุงพลาสติกสีขาวขุ่น ซึ่งได้รับแสง ปริมาณน้อยกว่า สารละลายไอโอดีนจะเปลี่ยนเป็น สีน้าเงินเข้ม แสดงว่ามีแป้งเกิดขึ้น แต่เมื่อหยดสารละลาย ไอโอดีนลงบนใบ ผักบุ้ง ที่คลุมด้วยถุงพลาสติกสีด า ซึ่งไม่ได้รับแสง สารละลายไอโอดีนไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง แสดงว่า ไม่มีแป้งเกิดขึ้นกับใบที่ ไม่ได้รับแสง ดังนั้น แสงจึงเป็นปัจจัยสาคัญในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง

คำ ถ า ม ช ว น คิ ด ส่วนใดของพืชที่มนุษย์นำ มาใช้ขยายพันธ์ุ 4.การสืบพันธุ์ของพืช การสืบพันธุ์เป็นสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิต เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์พืชดอกทุกชนิด สามารถสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศได้ และบางชนิด สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ซึ่งการสืบพันธุ์ของพืช แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

เกร็ดความรู้ กล้วย กล้วยเป็นพืชดอกที่มีส่วนของลำต้นที่เกิดจากกาบซ้อนทับกัน มีใบเป็นใบเดี่ยว ออกดอกที่ปลายลำต้น เรียกว่า ปลี ซึ่งมี ลักษณะยาวเป็นงวง มีลูกเป็นหวี ซึ่งรวมเรียกว่า เครือ ดอก เครือกล้วย ผลของกล้วยจะเหมือนว่าไม่มีเมล็ด เนื่องจาก ใบประดับ เสรเพศเมียจะเป็นหมัน เมล็ดจะไม่มีการพัฒนา ปลี จึงเหี่ยวและเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาล ภาพที่ 5. การแพร่พันธุ์ของเมล็ด เมื่อถึงเวลาที่พืชจะขยายพันธุ์ผลจะแตกออก ทำให้เมล็ดกระจายไปยังที่ต่าง ๆ ㆍดังนี้การกระจายเมล็ดของพืชมีหลายวิธี ดังนี้ ลมพาไป โดยเมล็ดจะมีลักษณะเบา ทำให้สามารถลอยไปที่ไกล ๆ ได้ เช่น หญ้า สน เป็นต้น เมื่อผลแตกออก เมล็ดที่อยู่ภายในจะกระเด็นไปไกลจากตันเดิม เช่น ต้อยติ่ง ถั่วลันเตา ฝืน เป็นตัน ㆍ สัตว์บางชนิด เมื่อกินผลเข้าไปจะขับถ่ายเมล็ดแล้วเจริญเป็นต้นในที่ต่าง ๆ เช่น มะเขือเทศ ลูกโพธิ์ เป็นต้น ㆍเมล็ดบางชนิดมีตะขอเกี่ยวไปกับขนสัตว์ เช่น หญ้าบุ้ง เป็นต้น หรือมีสายเหนียว ๆ ติดไปกับขนสัตว์หรือ เสื้อผ้าของคน เช่น หญ้าเจ้าชู้ ผักโขมหิน เป็นต้น ภาพที่ ผักโขมหิน

4.1 การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศของพืช การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของพืช (asexual reproduction) เป็นการขยายพันธุ์ของพืชที่ไม่ได้ มานาน การปฏิสนธิระหว่างสเปิร์มกับเซลล์ไข่ แต่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ราก ล้าต้น ใบ มีการ เจริญเติบโตและ พัฒนาขึ้นมาเป็นพืชต้นใหม่ที่มีลักษณะคล้ายกับต้นเดิม ซึ่งมนุษย์นำความรู้เรื่องการ สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ มาใช้ในการขยายพันธุ์พืช ดังนี้ 1. การปักชำ (cutting) คือ การนำส่วนต่าง ๆ ของพืชพันธุ์ดีมาตัด และปักชำในวัสดุเพาะชำให้งอก ราก ออกมากลายเป็นต้นใหม่ การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้สามารถนำไปใช้ได้กับไม้ผล ไม้ดอก ไม้ประดับ เช่น ชมพู่ กุหลาบ ชบา มะลิ เป็นต้น ขั้นตอนการขยายพันธ์ุพืชด้วยวิธีปักชำ นำกิ่งจากพืชพันธุ์ดีมาตัดเป็นท่อน ๆ ให้ยาว นำกิ่งไปปักชำให้เอียง 40-70 องศา และปักให้ลึก ประมาณ 10-20 เซนติเมตร ประมาณ 1 ใน 3 ของกิ่งลงในกระบะเพาะชำ นำกิ่งไปปักชำให้เอียง 40-70 องศา และปักให้ลึก ประมาณ 1 ใน 3 ของกิ่งลงในกระบะเพาะชำ

2. การตอนกิ่ง (layering) คือ การทำให้กิ่งหรือต้นพืชเกิดรากขณะติดอยู่กับต้นแม่ ทำให้พืชต้นใหม่ มีลักษณะเหมือนกับต้นแม่ทุกประการ โดยกิ่งที่จะนำมาตอนต้องเป็นกิ่งที่มีลักษณะกึ่งก่อนกึ่งแก่ มีความ แข็งแรงสมบูรณ์ซึ่งการขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้สามารถนำไปใช้ได้กับไม้พุ่ม ไม้ยืนต้น ไม้ประดับ เช่น ลำไย ลิ้นจี่ ละมุด ส้มโอ ส้มเขียวหวาน กระท้อน กุหลาบ มะลิ เป็นต้น ขั้นตอนการขยายพันธ์ุพืชด้วยวิธีการตอนกิ่ง เตรียมถุงตอน ควันกิ่งแนวขวาง 2 รอย ลอกเปลือก ขูดเนื้อเยื่อ ใช้ถุงตอนหุ้มบริเวณ การเกิดรากของกิ่งตอน ที่ลอกและมัดให้แน่น

3. การติดตา (budding) คือ การเชื่อมประสานส่วนของต้นพืชให้เจริญเป็นพืชต้นเดียวกัน วิธีนี้ช่วยเปลี่ยน ยอดต้นพืชที่มีลักษณะไม่ดีให้เป็นพันธุ์ดีได้ และช่วยสร้างมูลค่าให้กับพันธุ์ไม้ ทำให้ พืชผลิตผลผลิตที่หลากหลายใน ต้นเดียว ซึ่งพืชที่นำมาขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ ได้แก่ มะม่วง ส้ม พุทรา กุหลาบ เป็นต้น ขั้นตอนการขยายพันธ์ุพืชด้วยวิธีการติดตา ใช้มีดกรีดต้นตอให้เป็นรอยแผลมีลักษณะเหมือน เฉือนแผ่นตาจากพืชที่ต้องการขยายพันธุ์ รูปตัว T นำแผ่นตาสอดเข้าไปที่รอยแผลของต้นตอ ใช้พลาสติกพันรอยแผลให้แน่นโดยตาโผล่

4. การทาบกิ่ง (approach grating) คือ การนำต้นพืช 2 ต้น มาทำให้กลาย เป็นต้นเดียวกัน โดยต้นของพืชพันธุ์ดีจะทำหน้าที่เป็นลำตัน ส่วนพืชอีกต้นหนึ่งจะทำหน้าที่ เป็นระบบราก วิธีนี้จะทำให้ได้พันธุ์พืชที่ดีกว่าเดิม ซึ่งพืชที่นิยมนำมาขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ ได้แก่ มะม่วง มะขาม ขนุน ทุเรียน เป็นต้น ขั้นตอนการขยายพันธ์ุพืชด้วยวิธีการทาบกิ่ง เฉือนต้นตอให้เป็นรอยแผลรูปโล่ เฉือนกิ่งพันธุ์ดีให้เป็นรอยแผลเหมือนกับต้นตอ นำต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีประกบกัน โดยให้ ใช้พลาสติกพันรอบรอยแผลให้แน่น รอยแผลประกบกันสนิท

เกร็ดความรู้ การขยายพันธุ์พืชด้วยโครงสร้างพิเศษ 1. โครงสร้างพิเศษจากลำต้น เช่น - ไหล หรือสโตลอน เป็นต้นใหม่ของพืชที่งอกยาวออกมาจากต้นเดิม และ ทอดยาวไปตามพื้นดิน เช่น ผักบุ้ง สตรอว์เบอร์รี บัวบก ว่านบางชนิด ผักแว่น เป็นต้น ภาพที่ ไหล หรือสโตลไอหนล - เหง้า เป็นต้นใหม่ของพืชที่งอกออกมาแล้วทอดยาว ไปใต้ดิน พบในพืชหลายชนิด เช่น ขิง ข่า เป็นต้น ภาพที่ เหง้า - หัว เป็นลำต้นใต้ดินทำหน้าที่สะสมอาหาร มีลักษณะต่าง ๆ ได้แก่ หัวแบบทิวเบอร์ หัวแบบบัลบ์ หัวที่เกิดจากเหง้า ภาพที่ คอร์ม 2. โครงสร้างพิเศษจากราก เช่น หัวมันเทศ รักเร่ บีโกเนีย เป็นต้น 3. โครงสร้างพิเศษจากใบ พืชบางชนิดมีขอบใบที่สามารถแตกตาใหม่ และงอกเป็นพืชต้น ต้นตายใบเป็น ต้นเศรษฐีพันล้าน เป็นต้น

4.2 การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืช การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืช (sexual reproduction) เป็นการสืบพันธุ์ที่เกิด จากการปฏิสนธิระหว่าง สเปิร์มกับเซลล์ไข่ภายในดอก ซึ่งเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของพืช โดยพืชต้นใหม่จะมีลักษณะที่หลากหลาย หรือแตกต่างไปจากต้นพ่อและต้นแม่ 1. โครงสร้างของดอก ดอกประกอบไปด้วย 4 ส่วนหลัก ดังนี้ อยู่ชั้นนอกสุด มักมีสีเขียว อยู่ชั้นถัดเข้ามาจากกลีบเลี้ยง ทำหน้าที่ป้องกันอันตราย มักมีสีสันต่าง ๆ สำหรับล่อแมลง

2. ประเภทของดอก การแบ่งประเภทของดอกสามารถแบ่งได้เป็นหลายรูป แบบโดยขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง ดังนี้ 1) แบ่งตามองค์ประกอบของดอก ได้ 2 ประเภท ดังนี้ ㆍ ดอกสมบูรณ์ (complete flower) คือ ดอกที่มีองค์ประกอบครบทั้ง 4 ส่วน เช่น ชบา เป็นต้น ㆍ ดอกไม่สมบูรณ์ (incomplete flower) คือ ดอกที่มีองค์ประกอบไม่ครบทั้ง 4 ส่วน เช่น ฟักทอง ข้าวโพด เป็นต้น ㆍ 2) แบ่งตามองค์ประกอบของเซลล์สืบพันธุ์ ได้ 2 ประเภท ดังนี้ ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) คือ ดอกที่มีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียอยู่ภายในดอกเดียวกัน ㆍเช่น ชบา มะเขือ กุหลาบ เป็นต้น ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) คือ ดอกที่มีเกสรเพศผู้หรือเกสรเพศเมียอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ฟักทอง แตงกวา เป็นต้น 3. การถ่ายเรณู เมื่อพืชดอกเจริญเติบโตเต็มที่ อับเรณูจะแตกออก แล้วเรณูที่อยู่ภายในจะ กระจายไปยังที่ต่าง ๆ โดยอาศัยพาหะในการถ่ายเรณู เช่น แมลง สัตว์ ลม เป็นตัน พาเรณูจากอับเรณูไป ตกลงบนยอดของเกสรเพศเมียเรียกว่า การถ่ายเรณู (Pollination) ซึ่งเกี่ยวข้องกับลักษณะ และ โครงสร้างของดอก ดังนี้ สีสันของกลีบดอกจะช่วยดึงดูดความสนใจ และล่อแมลงให้มาช่วยถ่ายเรณู ดอกไม้บางชนิด มีกลีบดอกที่มีสีสันไม่สะดุดตา แต่กลับมีกลิ่นที่ดึงดูดความสนใจของแมลง เรณูของดอกไม้บางชนิดมีลักษณะเอื้อต่อการถ่ายเรณู โดยมีผิวเหนียวหรือมีขน เพื่อช่วยให้ ติดไปกับสัตว์หรือแมลงได้ง่าย นอกจากนี้ตำแหน่งของเกสรเพศผู้ซึ่งมีก้านชูอับเรณูให้อยู่สูงกว่าหรือใกล้ กับเกสรเพศเมีย เมื่ออับเรณูแตกออก เรณูจะสามารถตกลงบนยอดเกสรเพศเมียได้ง่ายขึ้น ภาพ ดอกที่มีตำแหน่งของเกสรเพศผู้สูงกว่าเกสรเพศเมีย (ดอกซ้าย) หรือดอกที่มีเกสรเพศผู้ใกล้กับเกสรเพศเมีย (ดอกขวา) ช่วยเอื้อต่อการถ่ายเรณู

จะเห็นว่าสัตว์และแมลงบางชนิด เช่น นก ค้างดาว ผีเสื้อ ผึ้ง เป็นต้น เป็นพาหะที่มีบทบาท สำคัญอย่างหนึ่งต่อการผสมพันธุ์ของพืชดอก ดังนั้น เราจึงไม่ควรทำลายชีวิตสัตว์หรือแมลงเหล่านี้ เกร็ดความรู้ ประเภทของการถ่ายเรณู การถ่ายเรณูของพืชดอกมี 2 ประเภท ดังนี้ 1. การถ่ายเรณูภายในดอกเดียวกัน หรือคนละดอกในต้นเดียวกัน โดยการถ่ายเรณูลักษณะนี้จะทำให้รุ่นลูกมีสมบัติทางพันธุกรรม เหมือนรุ่นเดิม 2. การถ่ายเรณูคนละต้น โดยการถ่ายเรณูลักษณะนี้ จะทำให้รุ่นลูกที่เกิดใหม่มีความหลากหลายทางพันธุกรรม 4. กระบวนการสืบพันธุ์ของพืชดอก เมื่อเรณู (pollen) ไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย เรณูจะงอกหลอด เรียกว่า หลอดเรณู (pollen tube) ไปตามก้านเกสรเพศเมียเข้าไปในรังไข่ (ovary) จากนั้นเรณูจะแบ่งเซลล์ออก เป็นสเปิร์ม 2 เซลล์ ให้เคลื่อนไปตามหลอดเรณู โดยสเปิร์ม ตัวหนึ่งจะไปผสมกับเซลล์ไข่ และสเปิร์มอีกตัวจะไป ผสมกับโพลาร์นิวเคลียส เรียกการผสมแบบนี้ว่า การปฏิสนธิซ้อน (double fertilization) โดยเซลล์ไข่ที่ได้รับการ ผสมจะกลายเป็นไซโกต(zygote) แล้วเจริญเป็นเอ็มบริโอ (embryo) ส่วนโพลาร์นิวเคลียสที่ได้รับการผสม จะเจริญเป็นเอนโดสเปิร์ม (endosperm) เมื่อเกิดการปฏิสนธิแล้ว โครงสร้างของดอกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยส่วนของกลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้จะหลุดออก มีเพียงแค่เกสรเพศเมียเท่านั้นที่พัฒนาต่อไป เมื่อไข่ได้รับการผสม ออวุลภายในรังไข่จะ พัฒนาเป็นเมล็ด (sced) ทำหน้าที่แพร่พันธุ์ ส่วนรังไข่ (ovary) จะพัฒนากลายเป็นผล (fruit) ทำหน้าที่ห่อหุ้มเมล็ด ภาพที่ การปฏิสนธิซ้อน ภาพที่ การพัฒนาของเกสรเพศเมียไปเป็นผล

เมล็ดพืชทุกชนิดมีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมือนกัน ดังนี้ 1. เอ็มบริโอ (embryo) คือ ต้นอ่อนภายในเมล็ด เจริญมาจากไซโกต ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้ - เอพิคอทิล (epicoty!) อยู่เหนือใบเลี้ยง - ใบเลี้ยง (coxyledon) ในพืชใบเลี้ยงคู่มี 2 ใบ ส่วนในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีเพียง 1 ใบ - ไฮโพคอทิล (hypocoty) อยู่ใต้ใบเลี้ยง - แรดิเดิล (radicle) อยู่ใต้ใฮโพคอทิล ในพืชใบเลี้ยงคู่จะเจริญไปเป็นรากแก้ว ส่วนในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะมีรากแก้ว อยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้นจะเจริญเป็นรากฝอย 2. เอนโดสเปีร์ม (endosperm) คือ อาหารสะสมของต้นอ่อน ส่วนมากจะเป็นแป้ง โปรตีน และไขมัน 3. เปลือกหุ้มเมล็ด (seed coat หรือ testa) คือ ส่วนที่อยู่นอกสุด ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้กับส่วนที่อยู่ภายใน ภาพที่ โครงสร้างของเมล็ดพืช 6. การงอกของเมล็ด เมล็ดที่กระจายออกไปยังที่ต่าง ๆ จะอยู่ในสภาพพักตัวเพื่อปรับสภาพให้เข้ากับสภาพแวดล้อมซึ่ง เมื่อเมล็ดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเมล็ดก็จะงอกมาเป็นต้นอ่อน โดยปัจจัยภายการงอกของเมล็ด มีดังนี้ ㆍน้ำหรือความชื้น ทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดอ่อนตัว ช่วยให้รากและต้นอ่อนงอกออก ㆍแก๊สออกซิเจน ช่วยกระตุ้นการงอกของเมล็ด ㆍอุณหภูมิ มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ และปฏิกิริยาทางชีวเคมีในเมล็ดพืชซึ่งเอนไซม์ จะทำงานได้ดีในอุณหภูมิ ที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม พืชต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการงอกที่แตกต่างกัน เช่น พืชเขตหนาว พืชเขตร้อน เป็นต้น นอกจากนี้เมล็ดพืชสามารถปรับตัวให้เข้ากับช่วงอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดในรอบวัน กล่าวคือ ถ้าอุณหภูมิในตอนกลางคืนและ กลางวันแตกต่างมาก เมล็ดพืชจะงอกได้ดีกว่าอุณหภูมิที่สม่ำเสมอตลอดเวลา เช่น หญ้า เป็นต้น

ต้นอ่อนจะงอกออกจากเมล็ด โดยดึงเอาพลังงานจากอาหารสะสมภายในเมล็ด ซึ่งการงอกของเมล็ด (seed germination) ㆍมี 2 แบบ ดังนี้ การงอกของเมล็ดชูใบเลี้ยงขึ้นมาเหนือดิน (epigeal germination) ส่วนของต้นอ่อนจะมีใบเลี้ยง (cotyledon) ㆍโผล่พ้นขึ้นมาเหนือดิน เช่น การงอกของเมล็ดถั่วเขียว ดาวเรือง มะขาม เป็นต้น การงอกของเมล็ดที่ฝังใบเลี้ยงไว้ใต้ดิน (hypogeal germination) ส่วนของต้นอ่อนจะมีใบเลี้ยง (colyledon) อยู่ใต้ดิน เช่น การงอกของเมล็ดถั่วลันเตา ข้าวโพด ขนุน หญ้า เป็นต้น ภาพที่ การงอกของเมล็ดโดยชูใบเลี้ยงขึ้นมาเหนือดิน ภาพที่ การงอกขอเมล็ดที่ฝังใบเลี้ยงไว้ใต้นดิน ต้นอ่อนของพืชจะเจริญเติบโตขึ้น โดยพัฒนาส่วนประกอบต่าง ๆ ซึ่งส่วนที่อยู่เหนือใบเลี้ยงจะเจริญต่อไปเป็น ส่วนของลำต้น ดอก และใบ ทำให้พืชสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อผลิตอาหารได้จากใบที่แท้จริง โดยไม่จำเป็นต้อง อาศัยเอนโดสเปิร์มหรือใบเลี้ยง รวมไปถึงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในพืชจะพัฒนาไปเป็นท่อลำเลียง ทำให้พืชสามารถดำรงชีวิต และขยายพันธุ์ต่อไปได้

บทนำ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าเป้าหมาย ระดับโลก เป็นชุดของ 17 เป้าหมายที่ผสมผสานและสัมพันธ์กันเพื่อยุติความยากจน ปกป้องโลก และรับรองว่ามนุษยชาติจะมีสันติภาพและอยู่ดีกินดีภายในปี 2573 การรายงานเรื่อง SDG สำคัญต่อการสื่อสารคำมั่นสัญญาขององค์กรแก่ผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียเพื่อสนับสนุนเป้าหมายระดับโลก; เรียกร้องภาระหน้าที่และ ความรับผิดชอบที่จะดำเนินการสิ่งที่จำเป็น; และตรวจวัดความคืบหน้าตาม ช่ วงเวลา รายงานความคืบหน้า SDG จัดทำขึ้นสำหรับผู้ชมที่หลากหลาย ดังนั้นมันดีที่สุด ที่จะปรับมันให้สอดคล้องกัน อย่างแรกระบุผู้อ่านเป้าหมายของคุณ ต่อไปคุณ สามารถย้ายจุดสนใจของคุณไปยังสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทราบ ตัวอย่างเช่น แผนการดำเนินงานของคุณเป็นประโยชน์ต่อผู้รับผลประโยชน์ของคุณ ผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียภายในอาจต้องการรายละเอียดอย่างไทม์ไลน์หรืองบประมาณ ขณะที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกจะสนใจในผลกระทบจริงและความก้าวหน้าที่ เกิดขึ้นมากกว่า รายงานความคืบหน้า SDG ของคุณสามารถเริ่มต้นด้วยการทบทวนโดยย่อของ แนวร่วมของกรมของคุณเพื่อเป้าหมายระดับโลก มันอาจครอบคลุมถึงคำชี้แจง เหตุผลและความรับผิดชอบทางสังคมสำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับ SDG การสร้างรายงานความคืบหน้า SDG ที่ดีหมายถึงการโปร่งใสต่อผู้ชมของคุณ สนับสนุนข้อเรียกร้องของคุณด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทำให้ประโยคของคุณกระชับ เมื่อจำเป็น แต่ลงรายละเอียดเมื่อมันพูดถึงหลักฐานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ จดจำไว้ว่า: รายงานนี้เป็นการผสมผสานของความเข้าใจว่าภารกิจของคุณ สอดคล้องกับความพยายามด้านความยั่งยืนระดับโลกอย่างไรและการสื่อสาร เรื่องนั้นอย่างชั ดเจนกับคนทั่วโลก กรมหรือหน่วยงาน — รายงานความคืบหน้า SDG 2563

ข้อความจาก ผู้นำของเรา ส่วนนี้เป็นโอกาสที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารระดับสูงกำลังนำและให้ทิศทางแก่ความพยายาม ด้านความยั่งยืนของกรมของคุณอย่างไร คำแถลงที่น่าเชื่อถือ จริงใจ และขับเคลื่อนด้วยภารกิจจากประธานกรรมการ หรือหัวหน้ากรม ส่งสัญญาณคำมั่นสัญญาและกำหนดบรรยากาศสำหรับส่วนที่เหลือของรายงาน มันอาจ ครอบคลุมถึงภาพรวมของวิสัยทัศน์ ทิศทาง และกลยุทธ์ที่องค์กรมุ่งมั่นจะนำมาใช้ เพื่อช่วย สร้างความแตกต่างเรื่อง SDG ตามกำหนดเวลาทั่วโลกในปี 2573 ข้อความนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของบริษัทเกี่ยวกับผลกระทบและความรับผิดชอบของมัน ต่อผู้คนและโลก ที่สำคัญมันยังสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจของผู้ชมในองค์กร ดึงดูดความสนใจของ ผู้อ่านของคุณโดยเน้น หนึ่งในประเด็นสำคัญ ของคุณในพื้นที่ส่วนนี้ กรมหรือหน่วยงาน — รายงานความคืบหน้า SDG 2563

ตรวจวัด ความคืบหน้า ส่วนนี้เป็นโอกาสที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารระดับสูงกำลังนำและให้ทิศทางแก่ความพยายามด้าน ความยั่งยืนของกรมของคุณอย่างไร คำแถลงที่น่าเชื่อถือ จริงใจ และขับเคลื่อนด้วยภารกิจจากประธานกรรมการ หรือหัวหน้ากรม ส่งสัญญาณคำมั่นสัญญาและกำหนดบรรยากาศสำหรับส่วนที่เหลือของรายงาน มันอาจ ครอบคลุมถึงภาพรวมของวิสัยทัศน์ ทิศทาง และกลยุทธ์ที่องค์กรมุ่งมั่นจะนำมาใช้ เพื่อช่วยสร้าง ความแตกต่างเรื่อง SDG ตามกำหนดเวลาทั่วโลกในปี 2573 ข้อความนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของบริษัทเกี่ยวกับผลกระทบและความรับผิดชอบของมันต่อ ผู้คนและโลก ที่สำคัญมันยังสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจของผู้ชมในองค์กรอีกด้วย ตั ว ชี้วัด ห ลั ก กิจกรรม / โครงการ ข้อมูล / ผลลัพธ์ ตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน เพิ่มรายละเอียด ผลที่คุณได้รับจาก หลักของคุณอยู่ที่นี่ เล็กน้อยที่อธิบาย โครงการของคุณมี กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง อะไรบ้าง? เขียนพวกมันตรงนี้ ตัวชี้ วัดผลการดำเนินงาน เพิ่มรายละเอียด หลักของคุณอยู่ที่นี่ เล็กน้อยที่อธิบาย ผลที่คุณได้รับจาก กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง โครงการของคุณมี อะไรบ้าง? ตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน เพิ่มรายละเอียด เขียนพวกมันตรงนี้ หลักของคุณอยู่ที่นี่ เล็กน้อยที่อธิบาย กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ผลที่คุณได้รับจาก โครงการของคุณมี อะไรบ้าง? เขียนพวกมันตรงนี้ กรมหรือหน่วยงาน — รายงานความคืบหน้า SDG 2563

ขั้นตอนถัดไป คุณจะดำเนินการอย่างไรต่อไป? รายงานเรื่องความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงการมองย้อนหลังเท่านั้น แต่ยัง เป็นการมองไปข้างหน้าอีกด้วย รายงานความคืบหน้า SDG นี้เป็นงานระหว่างดำเนินการที่ต่อเนื่อง - วิธี สำหรับกรมของคุณเพื่อติดตามผลกระทบและการปรับปรุงของมันตามช่วงเวลา ส่วนนี้สรุปกลยุทธ์ของคุณ สำหรับการดำเนินงานที่ทำดีอยู่แล้วจนถึงทุกวันนี้ต่อไป 01 — การกระทำหรือข้อผูกมัด เพื่อช่วยเสนอภาพรวมแก่ผู้ชมของคุณ ส่วนนี้สามารถประกอบด้วยคำบรรยาย โดยย่อของเป้าหมาย ความเกี่ยวข้องของมันต่อภาคหรืออุตสาหกรรมของคุณ และเป้าประสงค์ย่อยจำเพาะที่องค์กรของคุณกำลังรับมือ 02 — การกระทำหรือข้อผูกมัด เพื่อช่วยเสนอภาพรวมแก่ผู้ชมของคุณ ส่วนนี้สามารถประกอบด้วยคำบรรยาย โดยย่อของเป้าหมาย ความเกี่ยวข้องของมันต่อภาคหรืออุตสาหกรรมของคุณ และเป้าประสงค์ย่อยจำเพาะที่องค์กรของคุณกำลังรับมือ 03 — การกระทำหรือข้อผูกมัด เพื่อช่วยเสนอภาพรวมแก่ผู้ชมของคุณ ส่วนนี้สามารถประกอบด้วยคำบรรยาย โดยย่อของเป้าหมาย ความเกี่ยวข้องของมันต่อภาคหรืออุตสาหกรรมของคุณ และเป้าประสงค์ย่อยจำเพาะที่องค์กรของคุณกำลังรับมือ กรมหรือหน่วยงาน — รายงานความคืบหน้า SDG 2563

ธันวาคม 2562 รายงาน การตลาดสิ้นปี ออดบอล อิเมจิง สตูดิโอ รายงานโดย: เคที จอห์นสัน กรรมการฝ่ายการตลาดระดับจูเนียร์ อนุมัติโดย: มากาเรต บราวน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด

2.1 การลำเลียงน้ำและธาตุอาหาร ท่อไซเล็ม (xylem) มีหน้าที่ลำเลียงน้ำและธาตุอาหาร เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง และกระบวนการอื่น ๆ ท่อไซเล็มมีลักษณะเป็นท่อกลวงยาวตั้งแต่รากจนถึงใบ ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ ไม่มีชีวิต บางเซลล์เมื่อเจริญเต็มที่ นิวเคลียสจะสลายไป ทำให้ภายในเซลล์กลวงซึ่งเหมาะแก่การลำเลียง น้ำและธาตุอาหารจากรากไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช นอกจากนี้ผนังเซลล์ยังมีช่องว่าง เรียกว่า พิธ (pith) ซึ่งทำให้เซลล์สามารถรับน้ำไปยังเซลล์ด้านข้างได้ โครงสร้างของท่อไซเลม น้ำและธาตุอาหาร น้ำจะแพร่เข้าสู่เซลล์ขนรากของพืชด้วยกระบวนการออสโมซิส ส่วนธาตุอาหารซึ่งอยู่ในรูปของสารละลายจะแพร่เข้าสู่เซลล์ขนรากของ พืชด้วยกระบวนการแพร่แบบแอกทีฟทรานสปอร์ต เกร็ดความรู้ ประเภทของการคายน้ำ พืชส่วนใหญ่จะอาศัยกระบวนการแพร่ของน้ำออกทางปากใบในรูปแบบของไอน้ำ หากในวันที่อากาศมีความชื้นมาก อุณหภูมิต่ำ และลมสงบ พืชจะคายน้ำในรูปแบบของหยดน้ำ เรียกว่า ไฮดาโทด บอกทางบริเวณรูเปิดเลขตามขอบใบ เรียก กระบวนการคายน้ำ กัตเตชัน นอกจากนี้พืชสามารถคายน้ำในรูปแบบของไอน้ำ ออกทางตำแหน่งอื่น ๆ ได้ เช่น บริเวณรอยแตก ของลำต้น และบริเวณผิวใบที่มีสารคิวตินเคลือบอยู่ เป็นต้น ซึ่งเป็นรูปแบบการคายน้ำที่เกิดขึ้นกับพื้นค่อนข้างน้อย

การคายน้ำของพืชทำให้เกิดแรงดึงจากการคายน้ำ ส่งผลให้น้ำออสโมซิสเข้าสู่ราก มากขึ้น ซึ่งอัตราการคายน้ำของพืชจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ 1. ความชื้น ถ้าความชื้นสูง อัตราการคายน้ำของพืชจะต่ำ 2. ความเข้มของแสง ถ้าความเข้มของแสงมากปากใบจะเปิดกว้าง อัตราการคายน้ำของพืชจะสูง 3. อุณหภูมิ เมื่ออุณหภูมิสูง อัตราการคายน้ำของพืชจะสูง 4. กระแสลม ส่งผลให้ไอ้น้ำบริเวณโดยรอบปากใบมีปริมาณลดลง หรือ บริเวณนั้นมีความชื้นต่ำลง ซึ่งทำให้พืชมี อัตราการคายน้ำสูงขึ้น

2.2 การลำเลียงอาหาร ภาพที่ พืชลำเลียงอาหารที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วย แสงไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช โดยใช้เนื้อเยื่อลำเลียง เรียกว่า โฟลเอ็ม ประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิดคือ เซลล์ตะแกรง และคอมพาเนียนเซลล์ ซึ่งเป็นกลุ่ม ของเซลล์ที่มีชีวิต โดยเซลล์ตะแกรงเป็นเซลล์ที่มี ลักษณะเป็นแท่งยาว แต่ไม่มีนิวเคลียส หัวและท้าย เป็นรูพรุน ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารส่วน คอมพาเนียนเซลล์เป็นเซลล์ที่มีนิวเคลียส และอยู่ ใกล้เซลล์ตะแกรง ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของ เซลล์ตะแกรง พืชจะลำเลียงอาหารในรูปของ น้ำตาลซูโครส โดยน้ำตาลซูโครสที่ผลิตขึ้น มาจากใบจะแพร่เข้าสู่โฟลเอ็ม ด้วยกระ บวนการแพร่แบบใช้พลังงาน โดยน้ำจาก ท่อไซเล็มจะออสโมซิสเข้าสู่ท่อโฟลเอ็ม ทำให้เกิดแรงดันภายในท่อโฟลเอ็ม ส่งผล ให้พืชลำเลียงน้ำตาลซูโครสเรียกเซลล์เป้า หมายได้ เรียกกระบวนการนี้ว่า ทรานส์โลเคชั่น ภาพที่

เมื่อพืชสังเคราะห์ด้วยแสงจะได้น้ำตาลกลูโคสและสารชนิดอื่น ๆ กระบวนการ เปลี่ยนแปลงน้ำตาลกลูโคส มี 2 ลักษณะดังนี้ 1. เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เมื่อพืชเกิดการหายใจระดับเซลล์ น้ำตาลกลูโคสซึ่งเป็นอาหารของพืชส่วนหนึ่งจะรวมกับแก๊สออกซิเจนที่พืชหายใจเข้าไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีได้สารใหม่ คือ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และพลังงาน 2. อาหารที่ลำเลียงไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช จะถูกนำไปใช้ในการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้ เกิดการเจริญเติบโตของพืช สรุปได้ว่า อาหารที่พืชลำเลียงทางโฟลเอ็มจะนำไปใช้ประโยชน์ ดังนี้ 1. เปลี่ยนเป็น พลังงาน เพื่อนำไป 2. นำไปสร้างส่วนต่าง ๆ ของพืชที่ ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการดำรง กำลังเจริญเติบโต เช่น บริเวณปลาย ชีวิตและการเจริญเติบโต ยอด ปลายราก ปลายกิ่งดอกและผล 3. นำไปสะสมในรูปของแป้ง เช่น รากของ มันเทศ มันสําปะหลัง กระชาย และลำต้นของ แห้ว เผือก และมันฝรั่ง

จะเห็นว่า ระบบการลำเลียงในพืช มีกลไกการทำงานที่สัมพันธ์กัน เมื่อรากพืชดูดซับน้ำ และธาตุอาหารจากดินแล้ว พืชจะลำเลียงต่อไปยังลำต้นโดยใช้ ไซเล็มในการลำเลียงน้ำและ ธาตุอาหารต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง น้ำที่พืชดูดซับมาถ้าใช้ไม่หมดพืชจะ คายออกทางปากใบเพื่อเป็นการลดอุณหภูมิภายในใบและทำให้เกิดแรงดึงน้ำในไซเลมอาหาร ที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงที่บริเวณใบจะถูกลำเลียงไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช เพื่อใช้ใน กิจกรรมการเจริญเติบโตและการดำรงชีวิตของพืชต่อไป ส่วนที่เหลือจะเก็บสะสมไว้ในรูปแบบ ของแป้งและน้ำตาล ต า ร า ง ที่ 2 . 1 ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ร ะ ห ว่ า ง ไ ซ เ ล็ ม แ ล ะ โ ฟ ล เ อ็ ม เกร็ดความรู้ พืชบางชนิดไม่มีเนื้อเยื่อลำเลียง เช่น มอส พืชเหล่านี้มีขนาดเล็ก ไม่มีราก ลำต้นและใบ เนื่องจากไม่มีเนื้อเยื่อ ลำเลียงอยู่ภายใน แต่มีโครงสร้างอย่างอื่น ๆ ที่ทำหน้าที่คล้ายราก ลำต้นและใบ มักพบในบริเวณที่มีความชื้นสูง

เกร็ดความรู้ อาหารสะสมของพืช อาหารที่พืชสร้างขึ้นจะสะสมไว้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แป้ง น้ำตาล ไขมัน โปรตีน เป็นต้น จะถูกนำมาใช้เป็นอาหารของมนุษย์ สัตว์ เพื่อจะลำเลียงอาหารไปเก็บไว้ในส่วนต่าง ๆ ของพืช ดังนี้ เกร็ดความรู้ ส่วนของผลที่สะสมอาหาร ได้แก่ 1. ผลไม้ชนิดต่าง ๆ เช่น กล้วย 2. ส่วนของเมล็ดที่สะสมอาหาร เช่น ข้าว ข้าวโพด เป็นต้น เงาะ เป็นต้น 1 3. ส่วนของรากที่สะสมอาหาร 4. ส่วนของลำต้นที่สะสมอาหาร เช่น ผักกาดหัว มันเทศ เป็นต้น เช่น อ้อย เป็นต้น 5. ส่วนของลำต้นใต้ดินที่สะสมอาหาร เช่น เผือก มันฝรั่ง เป็นต้น

เกร็ดความรู้ ท่อไซเล็มและท่อโฟลเอ็มอยู่รวมกัน โครงสร้างของระบบลำเลียงในพืช และเรียงตัวไม่เป็น ซึ่งเป็นระเบียบ ซึ่งอยู่กระจัดกระจายทั่วลำต้น ลำต้น เกร็ดความรู้ ราก ท่อไซเล็มเรียงตัวรอบพิธ ส่วนท่อโฟลเอ็ม จะแทรกตัวระหว่างท่อไซเล็ม ภาพ ระบบลำเลียงในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว

เกร็ดความรู้ ท่อไซเล็มและท่อโฟลเอ็มอยู่ด้วยกัน และเรียง โครงสร้างของระบบลำเลียงในพืช ตัวอย่างเป็นระเบียบ มีท่อโฟลเอ็มอยู่ด้านนอก ส่วนท่อไซเล็ม อยู่ด้านใน และมีเนื้อเยื่อแคมเบียม ลำต้น เกร็ดความรู้ ราก ภาพ ระบบลำเลียงในพืชใบเลี้ยงคู่ ท่อไซเล็มเรียงตัวเป็น 3-5 แฉก ออกมาจาก กึ่งกลางราก ส่วนท่อโฟลเอ็มจะแทรกตัวอยู่ ระหว่างแฉกของท่อไซเล็ม ภาพ ระบบลำเลียงในพืชใบเลี้ยงคู่

ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1. แผ่นสไลด์ - การสังเกต 2. ใบวา่ นกาบ 3. กระจกปิดสไลด์ จิตวทิ ยาศาสตร์ 4.กลอ้ งจลุ ทรรศน์ - ความสนใจใฝ่รู้ - ความรับผดิ ชอบ - ความรอบคอบ - การทางานรว่ มกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ 1. สังเกตแลว้ บันทกึ ลกั ษณะผิวใบดา้ นบนและผิวใบด้านลา่ งของใบว่านกาบหอย 2. นาใบใน ขอ้ 1 มาฉกี แฉลบ ใหเ้ นอื้ เย่ือผิวใบดา้ นลา่ งลอกออกเป็นแผ่นบางติดอยู่กบั รอยฉกี ตดั เนอ้ื เย่ือผวิ ด้านลา่ ง เป็นชิ้นเล็กๆนาไปวางบนแผ่นสไลด์ หยดน้าลงบนแผ่นสไลด์แลว้ ปดิ ดว้ ยกระจกปดิ สไลด์ 3. นาไปสอ่ งดดู ้วยกล้องจุลทรรศนก์ าลงั ขยายตา่ และกาลังขยายสงู ตามลาดับแล้ววาดภาพเซลลท์ เ่ี หน็ 4.ควรดูเนอ้ื เยือ่ ผิวใบดา้ นบนเขาโดยปฏบิ ัตติ ามข้อ 1-3 1. ลักษณะของผวิ ใบด้านบนและอธิบายด้านลา่ งแตกตา่ งกันหรือไม่ อย่างไร 2. ลักษณะของผิวใบดา้ นบนและผวิ ใบด้านล่าง แม่ศึกษาดว้ ยกล้องจุลทรรศน์แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร 3. จากการสอ่ งดูในเย่อื ผิวใบ พบเซลล์ทมี่ ีลักษณะแตกตา่ งกันของเซลลห์ รอื ไม่ อย่างไร และเซลล์นีพ้ บ มากทบี่ รเิ วณใดระหว่างผวิ ใบดา้ นบนกบั ผิวใบด้านลา่ ง จากกิจกรรม พบว่า ลักษณะผวิ ใบดา้ นบนมีสีเขียว เปน็ มนั สว่ นผิวใบด้านลา่ งมสี มี ว่ ง แสดงใหเ้ หน็ ว่า บรเิ วณท่ี เกิดการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของใบวา่ นกาบหอย คือ ส่วนผิวใบดา้ นบนทีม่ ีสีเขยี ว และมไี ขเคลือบอยู่ เพ่ือป้องกนั การ ระเหยของนา้ ทาให้มองเห็นใบมีลกั ษณะเปน็ มนั แม่น้าพริกใบทง้ั สองไดม้ าศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบวา่ ผวิ ใบท้ังสอง ด้านมีเซลลเ์ รยี งตัวกนั เป็นแผ่น มีลักษณะเซลล์คล้ายกนั แต่บางเซลล์ที่มลี กั ษณะคลา้ ยเมลด็ ถั่วประกบกันเปน็ คู่ เรยี กว่า เซลล์คุม และมีช่องว่างอยู่ตรงกลางเซลลค์ ุม เรยี กเซลลค์ มุ กับช่องวา่ งระหว่างเซลล์คุมวา่ ปากใบ ซึ่งพบว่าบริเวณผิวใบ ด้านลา่ ง

ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ต้นกระสัง 6. มดี โกน - การสังเกต 2. หลอดหยด 7. แว่นขยาย 3. สผี สมอาหาร 8. แผน่ สไลด์ จติ วิทยาศาสตร์ 4. แท่งแก้วคนสาร 9. กระจกปดิ สไลด์ 5. บีกเกอร์ขนาด 250 ml 10. กล้องจลุ ทรรศ์ - ความสนใจใฝ่รู้ - ความรบั ผดิ ชอบ - ความรอบคอบ - การทา้ งานร่วมกบั ผอู้ ่นื ไดอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ 1. ใสน่ ้าลงในบีกเกอรข์ นาด 250 ml ประมาณ 3 ส่วน 4 ของบีกเกอร์ มะยมสผี สมอาหารสีแดงลงไป 20 หยด แล้วคนสารใหเ้ ข้ากัน 2. น้าตน้ จะสัง่ ที่มรี ากติดอยู่ มาสังเกตและบันทึกลกั ษณะของราก ลา้ ต้น และใบ 3. แชร์ตน้ กระสังจากข้อ 2 ลงในบกี เกอร์ข้อ 1 จนกระท่ังเหตสุ ขี นึ ไปยังบรเิ วณต่างๆของต้น 4. น้าตน้ กระสังขนึ จากน้าสี สังเกตและบนั ทกึ การเปลี่ยนแปลงของต้นกระสัง จากนนั ใช้มดี โกนแบ่งลา้ ตน้ ออกเปน็ 2 ท่อน แลว้ ปฏบิ ัตดิ งั นี ทอ่ นท่ี 1 ใช้มดี โกนตดั ตามแนวยาว แลว้ ใช้แวน่ ขยายสอ่ งดบู รเิ วณท่ตี ดิ สี สงั เกตและบันทึกผล ท่อนที่ 2 ใช้มดี โกนตดั ตามแนวขวางใหม้ คี วามบางทีส่ ุด แล้วนา้ ไปวางบนหยดนา้ บนสไลด์ ปดิ ด้วยกระจกปิดสไลด์ น้าไป สง่ เรณูดว้ ยกล้องจุลทรรศนก์ ้าลังขยายต้่า สังเกตส่วนท่ตี ดิ สี วาดภาพ และบนั ทึกผล 1. นา้ สมี ลี า้ ดบั การเคลอ่ื นทจี่ ากบรเิ วณใดไปยงั บริเวณใดของตน้ กระสัง 2. สว่ นของลา้ ตน้ ท่ีติดสีคืออะไร มหี นา้ ที่อย่างไร 3. ส่วนของลา้ ต้นทต่ี ดั ตามแนวยาว และตัดตามแนวขวางมีการตดิ สอี ยา่ งไร จากกจิ กรรม พบวา่ น้าสีจะเคลอื่ นทีจ่ ากสว่ นของรากและล้าต้น กง่ิ ก้าน และยอดของตน้ กระสังตามล้าดับ เมื่อ นา้ ส่วนล้าต้นมาตดั ตามแนวยาวแลว้ สอ่ งดูดว้ ยแวน่ ขยาย พบว่า บริเวณที่ตดิ สจี ะมีลกั ษณะเป็นเสน้ เล็กๆต่อเน่ืองกัน แต่ เมอ่ื นา้ สวนน้าตน้ มาตดั ตามแนวขวางใหบ้ างท่ีสดุ แลว้ ส่งดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบว่า จะเห็นสีเปน็ จุดตดิ เนือเยอ่ื เฉพาะ บางส่วนของลา้ ตน้ แสดงให้เห็นวา่ พืชมีการล้าเลยี งนา้ ผา่ นเซลลข์ นรากขนึ ไปยงั ส่วนตา่ งๆของพืชโดยมเี นือเย่ือลา้ เลียงที่ทา้ หน้าทีเ่ ฉพาะ

2.1 การลำเลียงน้ำและธาตุอาหาร ท่อไซเล็ม (xylem) มีหน้าที่ลำเลียงน้ำและธาตุอาหาร เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วย แสง และกระบวนการอื่น ๆ ท่อไซเล็มมีลักษณะเป็นท่อกลวงยาวตั้งแต่รากจนถึงใบ ประกอบด้วย กลุ่มเซลล์ไม่มีชีวิต บางเซลล์เมื่อเจริญเต็มที่ นิวเคลียสจะสลายไป ทำให้ภายในเซลล์กลวงซึ่ง เหมาะแก่การลำเลียงน้ำและธาตุอาหารจากรากไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช นอกจากนี้ผนังเซลล์ยังมี ช่องว่าง เรียกว่า พิธ (pith) ซึ่งทำให้เซลล์สามารถรับน้ำไปยังเซลล์ด้านข้างได้ โครงสร้างของท่อไซเลม น้ำและธาตุอาหาร น้ำจะแพร่เข้าสู่เซลล์ขนรากของพืชด้วยกระบวนการออสโมซิส ส่วนธาตุอาหาร ซึ่งอยู่ในรูปของสารละลายจะแพร่เข้าสู่เซลล์ขนรากของพืชด้วยกระบวนการแพร่แบบ แอกทีฟทรานสปอร์ต เกร็ดความรู้ ประเภทของการคายน้ำ พืชส่วนใหญ่จะอาศัยกระบวนการแพร่ของน้ำออกทางปากใบในรูปแบบของไอน้ำ หากในวันที่อากาศมี ความชื้นมาก อุณหภูมิต่ำ และลมสงบ พืชจะคายน้ำในรูปแบบของหยดน้ำ เรียกว่า ไฮดาโทด บอกทางบริเวณรูเปิด เลขตามขอบใบ เรียกกระบวนการคายน้ำ กัตเตชัน นอกจากนี้พืชสามารถคายน้ำในรูปแบบของไอน้ำ ออกทาง ตำแหน่งอื่น ๆ ได้ เช่น บริเวณรอยแตกของลำต้น และบริเวณผิวใบที่มีสารคิวตินเคลือบอยู่ เป็นต้น ซึ่งเป็นรูปแบบ การคายน้ำที่เกิดขึ้นกับพื้นค่อนข้างน้อย

การคายน้ำของพืชทำให้เกิดแรงดึงจากการคายน้ำ ส่งผลให้น้ำออสโมซิส เข้าสู่รากมากขึ้น ซึ่งอัตราการคายน้ำของพืชจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ 1. ความชื้น ถ้าความชื้นสูง อัตราการคายน้ำของพืชจะต่ำ 2. ความเข้มของแสง ถ้าความเข้มของแสงมากปากใบจะเปิด กว้าง อัตราการคายน้ำของพืชจะสูง 3. อุณหภูมิ เมื่ออุณหภูมิสูง อัตราการคายน้ำของพืชจะสูง 4. กระแสลม ส่งผลให้ไอ้น้ำบริเวณโดยรอบปากใบมีปริมาณ ลดลง หรือบริเวณนั้นมีความชื้นต่ำลง ซึ่งทำให้พืชมี อัตราการคายน้ำสูงขึ้น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook