Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2562_2

2562_2

Published by lunda, 2019-03-13 06:34:52

Description: 2562-2

Keywords: 2562-2

Search

Read the Text Version

ผลการใช้การเรยี นรู้แบบโครงงานสะเต็มเพอ่ื ส่งเสรมิ ทกั ษะศตวรรษท่ี 21 ในนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาล กมลรัตน์ เทอรเ์ นอร์ นวพร มามาก ณฐั นิชา ศรีละมยั ละเอยี ด แจ่มจันทร์ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี สถาบันพระบรมราชชนก สานกั งานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2561 งานวิจยั น้ีเปน็ ลิขสทิ ธข์ิ องวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี

ผลการใช้การเรยี นรู้แบบโครงงานสะเต็มเพอ่ื ส่งเสรมิ ทักษะศตวรรษท่ี 21 ในนกั ศกึ ษาวิทยาลัยพยาบาล กมลรัตน์ เทอร์เนอร์ นวพร มามาก ณฐั นิชา ศรีละมัย ละเอียด แจ่มจันทร์ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี สถาบันพระบรมราชชนก สานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2561 งานวิจยั น้ีเปน็ ลิขสทิ ธข์ิ องวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี

Effects of the STEM Project-Based Learning to Enhance the 21st Century Skills of College Nursing Students Kamolrat Turner Navaporn Mamark Nutnicha Srilamai Laiad Jamjan Boromarajonani College of Nursing, Chonburi Praboromarajchanok Institute Ministry of Public Health 2018 This study is copyright protected by Boromarajonani College of Nursing, Chonburi.

กิตตกิ รรมประกาศ งานวิจัยฉบับน้ีสาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีจากความร่วมมือร่วมใจของทีมอาจารย์ผู้สอนวิชาการศึกษา อิสระของวทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี คณะผู้วิจัยขอขอบคุณทีมอาจารย์ผู้สอนทุกคนที่ทุ่มเทเวลาและ ตั้งใจในการนาการเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็มไปใช้ โดยเฉพาะดร.เพ็ญพรรณ พิทักษ์สงครามอาจารย์ผู้ ประสานงานรายวิชา ขอขอบคุณคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและการเรียนการสอนของวิทยาลัยพยาบาลบรม ราชชนนีชลบุรี ที่ให้การสนับสนุนและข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ตั้งแต่การออกแบบ มคอ. และวิธีการเรียนท่ี ใชโ้ ครงการสะเต็ม ขอขอบคุณนักศึกษาทุกคนที่ยินดีร่วมเป็นกลุ่มตัวอย่างตลอดช่วงเวลาของการศึกษา โดยไม่มี ผู้ใดถอนตัวจากการศึกษา ขอบคุณบุคลากรสายสนับสนุนทุกคนท่ีอานวยความสะดวกในเร่ืองต่างๆ ในการ ดาเนินการวิจัย ทาให้คณะผู้วิจัยสามารถทางานได้อย่างคล่องตัว รวมถึงบรรณารักษ์ที่เอื้ออานวยในการค้นคว้า หาขอ้ มูลในการจดั ทาวจิ ยั คร้งั นี้ ขอขอบคุณสมาชิกในครอบครัวของคณะผู้วิจัยทุกคนที่ให้การสนับสนุน และคอยเป็นกาลังใจมา ตลอด ท้ายนี้คณะผู้วิจัยขอน้อมราลึกถึงอานาจบารมีของคุณพระศรีรัตนตรัย และส่ิงศักด์ิสิทธิ์ท้ังหลายท่ีอยู่ใน สากลโลก อันเป็นท่ีพึ่งให้ผู้เขียนมีสติปัญญาในการจัดทาวิจัยให้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี คณะผู้วิจัยขอให้เป็น กตเวทิตาแด่บิดา มารดา ครอบครัวของคณะผู้วิจัย ตลอดจนผู้เขียนหนังสือ และบทความต่าง ๆ ที่ให้ความรู้แก่ คณะผูว้ จิ ัยจนสามารถใหว้ ิจัยฉบบั นี้สาเรจ็ ไดด้ ว้ ยดี กมลรัตน์ เทอร์เนอร์และคณะ เมษายน 2561

ข ผลการใช้การเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็มเพ่ือส่งเสริมทักษะศตวรรษที่ 21 ในนักศกึ ษาวทิ ยาลัยพยาบาล ชอ่ื ผู้วิจยั กมลรตั น์ เทอรเ์ นอร์ นวพร มามาก ณัฐนชิ า ศรีละมยั ละเอยี ด แจ่มจันทร์ บทคดั ย่อ การวจิ ัยครั้งนเ้ี ป็นการวจิ ัยกึง่ ทดลอง แบบกลมุ่ เดยี ววัดผลกอ่ นและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการใช้การเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็ม (STEM Project-Based Learning) ต่อทักษะ ศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาพยาบาลท่ีประเมินตามกรอบแนวคิดของ Trilling และ Fadel (2009) ได้แก่ ทกั ษะ 3Rs คอื Reading (อ่านออก) (W) Riting (เขียนได้) และ (A) Rithemetics (คิดเลขเป็น) และทักษะ 7Cs ได้แก่ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical thinking and Problem solving) ด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity & Innovation) ด้านความเข้าใจความต่าง วัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding) ด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผนู้ า (Collaboration, Teamwork & Leadership) ดา้ นการส่ือสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communication, Information & Medial Literacy) ด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร (Computing and ICT literacy) และด้านอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career & learning self-reliance) ประชากร คอื นักศกึ ษาพยาบาลศาสตร์ ช้ันปีท่ี 3 ท่ีกาลังศึกษาอยู่ ในวิทยาลัยพยาบาลบรม ราชชนนี ชลบรุ ี ในภาคการศกึ ษาท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2559 จานวน 114 คน ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการศึกษา อิสระ กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้ประชากรนักศึกษาพยาบาล ศาสตรช์ ั้นปีที่ 3 ท่ียินดเี ขา้ รว่ มโครงการ เครือ่ งมือวิจัยประกอบด้วยเครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการทดลองคือ แผนการ จัดการเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็มและประมวลรายวิชา และเครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามทักษะศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาล มีค่าความเช่ือมั่นเท่ากับ .95 วิเคราะห์ข้อมูลโดย ใช้สถิตพิ รรณนาและ paired t-test ผลการวจิ ยั พบว่า นกั ศึกษามีทักษะศตวรรษที่ 21 ภาพรวมทั้ง 8 ด้าน หลังการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงานสะเต็มมากกวา่ ก่อนการเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (t=7.028, p < .001) ทักษะศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษา เม่ือวิเคราะห์รายด้านพบว่า หลังการเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็ม ทักษะท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงขึ้น 3 ลาดับแรก 4 ทักษะ ได้แก่ 1) การคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม 2) การอ่านออก เขียนได้ และคณิตศาสตร์ 3) มี 2 ทักษะ คือ ความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ และความร่วมมือ การทางานเป็นทีมและ ภาวะผู้นา ผลการวจิ ยั นี้แสดงใหเ้ ห็นวา่ การใช้การเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็มมีประสิทธิผล ช่วยให้นักศึกษา มีทักษะศตวรรษที่ 21 เพิ่มขึ้น ดังน้ันควรนาการเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็มน้ีไปใช้ในการจัดการศึกษาวิชา การศึกษาอสิ ระในปกี ารศกึ ษาตอ่ ไป และขยายผลไปทดลองใชใ้ นในรายวิชาต่างๆ เพ่ือพัฒนาทักษะศตวรรษ ที่ 21 ของนักศกึ ษาพยาบาล คาสาคญั : การเรียนรู้แบบโครงงานสะเตม็ , ทกั ษะศตวรรษที่ 21, นักศกึ ษาพยาบาล

ค EffectsoftheSTEMProject-BasedLearningtoEnhancethe 21stCenturySkillsofCollegeNursingStudents Researchers: Kamolrat Turner Navaporn Mamark Nutnicha Srilamai Laiad Jamjan Abstract This one-group pretest-posttest quasi-experimental study aimed at investigating effects of the use of STEM Project-Based (SPB) Learning on 21st century skills of college nursing students. The 21st century skills were assessed following Trilling & Fadel’s framework composed of 3Rs: Reading, (W) Riting, and (A) Rithemetics and 7Cs: Critical thinking and Problem solving, Creativity & Innovation, Cross-cultural Understanding, Collaboration, Teamwork & Leadership, Communication, Information & Medial Literacy, Computing and ICT literacy, and Career & learning self-reliance. A purposive sampling technique was used to recruit a sample of 114 students of Boromarajonani College of Nursing, Chon Buri who were studying in the 3rd year of academic year 2016. All participants enrolled in a course of Independent study. Research tools contained the instrument for implementation, including the program of SPB learning and the course syllabus, and the instrument for data collection using a self-administered questionnaire of self-evaluation about the 21st century skills. The reliability of the questionnaire was .95. Descriptive statistics and paired t-test were employed to analyze the data. The results revealed that after completion of the intervention, the participants had mean scores of the 21st century skills significantly higher (p < .001) than those before the intervention both for a total 21st century skill and all subscale scores. These findings indicate the effectiveness of the use of SPB learning for increasing 21st century skills of the nursing students. It is recommended that nursing instructors apply the SPB learning for the Independent study course in following academic year. The utilization should be also expanded to other courses to enhance the 21st century skills of the nursing students. Key words: STEM project-based (SPB) learning, 21st century skills, nursing students

สารบญั ง กติ ตกิ รรมประกาศ หน้า บทคดั ย่อภาษาไทย ก บทคัดยอ่ ภาษาองั กฤษ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ง สารบญั ภาพ ฉ บทท่ี1 บทนา ช ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา 1 วัตถปุ ระสงค์การวิจยั 3 สมมตฐิ านการวิจยั 3 คาถามการวิจยั 3 ขอบเขตของการวิจัย 3 นยิ ามศพั ท์ทใี่ ช้ในการวิจยั 4 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั 4 บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม 6 การจัดการเรยี นการสอนในระดับอุดมศึกษา 16 การจัดการเรียนการสอนแบบสะเต็ม 20 การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน 24 ทกั ษะศตวรรษท่ี 21 งานวิจยั ที่เกยี่ วข้อง 28 งานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วข้องกับการจดั การเรียนรตู้ ามแนวคิดสะเตม็ ศกึ ษา 31 งานวิจยั ท่เี กย่ี วข้องกบั การจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน 33 งานวจิ ัยที่เกี่ยวขอ้ งกบั ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 39 บทท่ี 3 วิธดี าเนนิ การวจิ ัย 39 ระเบยี บวิธีวจิ ัย 40 ประชากร 41 เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั 42 การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ 42 การพิทักษ์สิทธขิ องกลุ่มตัวอย่าง 44 เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูล

จ สารบญั (ต่อ) หน้า บทท่ี 45 บทที่ 4 ผลการวิจยั ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 45 ส่วนที่ 1 ข้อมูลสว่ นบคุ คลของกลุม่ ตวั อยา่ ง 46 สว่ นท่ี 2 การเปรียบเทยี บทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 56 บทท่ี 5 สรุปและอภิปรายผล 56 สรุปผลการวิจยั 56 อภิปรายผล 62 บรรณานุกรม 70 ภาคผนวก 71 ภาคผนวก ก คู่มือการเรยี นรูแ้ บบโครงงานสะเต็ม ภาคผนวก ข แบบสอบถามทักษะแหง่ ศตวรรษที่21ของนักศกึ ษาพยาบาล 73 ภาคผนวก ค รายงานการประชุมคณะกรรมการบรหิ ารหลกั สตู รและการเรยี น 74 การสอน 77 ภาคผนวก ง ประวัติผู้วจิ ัย ภาคผนวก จ ตัวอยา่ งรูปภาพกจิ กรรมการเรียนการสอน

ฉ สารบญั ตาราง ตารางที่ หน้า 1 แผนการจัดการเรยี นรู้และวธิ กี ารเรียน 43 2 ค่าความถ่ี และร้อยละ ของข้อมูลสว่ นบุคคลของกลมุ่ ตัวอย่าง 45 3 เปรียบเทียบทกั ษะศตวรรษที่ 21 ของกลมุ่ ตวั อย่างก่อนและหลังการทดลอง โดย 46 ใช้ paired t-test ทงั้ คะแนนรวมและรายด้าน 47 4 เปรยี บเทียบทักษะศตวรรษท่ี 21 ในด้านทักษะ 3 R อ่านออก เขียนได้ และคดิ เลข เปน็ ของกลมุ่ ตัวอย่างก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้ paired t-test รายข้อ 48 5 เปรยี บเทียบทกั ษะศตวรรษที่ 21 ในด้านทกั ษะการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณและ 49 ทกั ษะในการแก้ปัญหาของกลุ่มตัวอยา่ งก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้ paired t-test รายข้อ 50 6 เปรียบเทยี บทักษะศตวรรษท่ี 21 ในดา้ นทักษะการคดิ สร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรม ของกลุม่ ตวั อย่างก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้ paired t-test รายข้อ 51 7 เปรยี บเทยี บทกั ษะศตวรรษที่ 21 ในดา้ นทักษะความเข้าใจตา่ งวัฒนธรรม ตา่ ง กระบวนทศั น์ ของกลมุ่ ตวั อย่างก่อนและหลงั การทดลอง โดยใช้ paired t-test 52 รายขอ้ 8 เปรียบเทยี บทกั ษะศตวรรษท่ี 21 ในดา้ นทกั ษะดา้ นความรว่ มมอื , การทางานเป็น 53 ทีมและภาวะผนู้ า ของกลุ่มตัวอยา่ งก่อนและหลงั การทดลอง โดยใช้ paired t- 54 test รายข้อ 9 เปรยี บเทยี บทักษะศตวรรษที่ 21 ในดา้ นทกั ษะดา้ นการสอ่ื สาร การร้เู ทา่ ทัน สารสนเทศและการรู้เท่าทนั สื่อ ของกลมุ่ ตัวอย่างก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้ paired t-test รายขอ้ 10 เปรยี บเทยี บทักษะศตวรรษท่ี 21 ในดา้ นทักษะด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสาร ของกลมุ่ ตวั อยา่ งกอ่ นและหลังการทดลอง โดยใช้ paired t-test รายขอ้ 11 เปรยี บเทียบทกั ษะศตวรรษท่ี 21 ในด้านทักษะอาชีพและการเรียนรู้ ของกลุ่ม ตวั อย่างก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้ paired t-test รายขอ้

สารบญั ภาพ ช ภาพท่ี หน้า 1 กรอบแนวคิดการวิจยั 5 2 ภาพแสดงขนั้ ตอนการเรียนรู้รปู แบบสะเต็มศกึ ษา 6 ขัน้ ตอน ตามกระบวนการ 18 ออกแบบเชงิ วิศวกรรม 21 3 ภาพแสดงขัน้ ตอนการจดั การเรยี นรู้แบบโครงงาน ของสานักงานเลขาธกิ ารสภา 22 การศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 25 4 ภาพแสดงข้ันการจดั การเรยี นรู้ตาม โมเดลจกั รยานแหง่ การเรียนรู้แบบโครงงาน 5 ภาพแสดงกรอบแนวความคดิ เพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

บทที่ 1 บทนำ ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา การพัฒนานักศึกษาให้เกิดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 เป็นแนวคิดหนึ่งที่ใช้ในการจัดการ เรียนการสอนในปัจจุบัน นโยบาย STEM Education (Science Technology Engineering and Mathematics Education) เป็นแนวคิดหนึ่งที่ถูกนามาใช้ในการจัดการศึกษา และได้ถูกนามาต้ังเป็น ประเด็นในการประชุมโต๊ะกลมไทย-สหรัฐ ครั้งที่ 7 ในประเทศไทย ในหัวข้อสะเต็มศึกษา: วัฒนธรรมการ เรียนรู้สาหรับกาลังคนในศตวรรษ 21 (STEM Education: Learning Culture of the 21st Workforce) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพ่ือส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ โดยเน้นความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และ เพื่อเตรียมความพร้อมกาลังคนในศตวรรษที่ 21 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2559) มีการเสนอแนวทางการ ปฏิรูปเพื่อการพัฒนาสะเต็มศึกษาในประเด็นสาคัญประเด็นหน่ึง คือการปรับปรุงการจัดการศึกษาให้มีการ เช่ือมโยงใน 5 มิติ คือ หลักสูตร ตารา การจัดการเรียนการสอนและการสร้างกระบวนการเรียนรู้ การ พัฒนาครู และการวัดและการประเมนิ ผล (ธีระเกยี รติ เจรญิ เศรษฐศลิ ป์, 2559) STEM Education เป็นแนวทางการจัดการศึกษาท่ีบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเน้นการนาความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา และพัฒนากระบวนการหรือ วเิ คราะห์ขอ้ ค้นพบใหม่ที่เปน็ ประโยชน์ต่อการดาเนนิ ชีวติ และการทางาน โดยมีการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมหรือ โครงงานทีม่ ุ่งแกไ้ ขปัญหาท่พี บเหน็ ในชีวิตจรงิ เพ่ือสรา้ งเสริมประสบการณ์ ทักษะชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ นาไปสู่การสร้างนวัตกรรม โดยการพัฒนาผู้สอนให้สามารถสอนในแนวสะเต็มศึกษา และการปรับการ ประเมินผลการเรียนการสอนที่รวมทักษะทางสะเต็ม (มนตรี จุฬาวัฒนทล, 2556) ในขณะที่ผู้เรียนท่ีมี ประสบการณก์ ารทาโครงงานสะเต็ม จะมีความพร้อมในการใช้องค์ความรู้ ในภาคการผลิตและการบริการ ท่ีสาคัญต่ออนาคตของประเทศ เช่น การเกษตร อุตสาหกรรม การพลังงาน การจัดการส่ิงแวดล้อม การ บริการสุขภาพ เป็นตน้ (STEM Education, 2018) STEM Education เร่ิมต้นจากประเทศสหรัฐอเมริกา สาเหตุเนื่องจากประเทศประสบปัญหาผล การทดสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) ท่ีต่ากว่าหลายประเทศ และ ส่งผลต่อขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม ดังนั้นรัฐบาลจึงมีนโยบายส่งเสริม การศกึ ษาโดยพัฒนา STEM Education เพ่ือช่วยยกระดับผลการทดสอบ PISA ให้สูงขึ้น และเป็นแนวทาง หน่งึ ในการสง่ เสริมทักษะที่จาเป็นสาหรับผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 (พรทิพย์ ศิริภัทราชัย, 2556) สาหรับการ จัดการศึกษาสาขาพยาบาลศาสตร์ มีพื้นฐานการจัดการศึกษาที่สัมพันธ์กับสะเต็มศึกษา เพราะใช้วิธีการ เรยี นรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ การพยาบาลใช้ทักษะเฉพาะใน การรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล แก้ปัญหา และตัดสินใจ ทั้งการดูแลผู้ป่วยในคลินิกและการดูแลสุขภาพ ผู้รับบรกิ ารในชุมชน ดังนน้ั การนาแนวคิดสะเต็มศึกษาเชิงสหศาสตร์มาใช้พัฒนาให้เป็นการพยาบาลสะเต็ม (STEM/Nursing) เป็นโอกาสของการเรียนรู้ตลอดชีวิต (STEM Nursing Initiative, 2018) ซ่ึงเป็นหัวใจ สาคญั ของการพฒั นานกั ศึกษาใหเ้ กิดทักษะการเรยี นรศู้ ตวรรษท่ี 21 ในขณะทปี่ ระเทศไทยได้เล็งเห็นความสาคัญของการพัฒนา STEM Education ในการจัดการเรียน การสอน เนื่องจาก “ความรู้ความสามารถของเยาวชนไทยยังด้อยกว่านานาชาติ” และ “ประเทศไทยมีขีด

2 ความสามารถด้านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ด้อยกว่าหลายประเทศ” (มนตรี จุฬาวัฒนทล, 2556) และ เพ่ือเตรียมความพร้อมของกาลังคนในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ดังน้ันสะ เตม็ ศึกษาในการพยาบาลจึงเป็นวิธใี หม่ท่ถี กู นามาพัฒนาในการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ คณิตศาสตร์ ที่เน้นความรู้ท่ีจาเป็นและทันสมัย และการฝึกปฏิบัติในการคิดแก้ปัญหา การค้นคว้าหาข้อมูล และการทดลองทดสอบได้ เพอ่ื นาไปสคู่ วามร้ใู หมห่ รือความจริงใหม่ โดยมีการบรู ณาการระหว่างวิชาแล้วทา โครงงาน เพ่ือสร้างผลงานหรือนวัตกรรมท่ีใช้ในการพยาบาล เมื่อมีการปรับหลักสูตร อาจารย์ก็ต้องปรับ วธิ ีการสอน เนื้อหาสาระและสอนการคิด และการปฏิบัติบนพื้นฐานของวิทยาสาตร์สุขภาพ การประเมินผล การเรียนก็ต้องประเมินทั้งสาระความรู้และทักษะในการคิดวิเคราะห์ และการปฏิบัติแบบนักวิทยาศาสตร์ ให้สอดคล้องกับสถานะของผู้เรียน และสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา นอกจากนี้ยังเตรียมผู้เรียนหลัง สาเรจ็ การศึกษาเพือ่ เปน็ พยาบาลวิชาชพี ท่ดี ใี นอนาคต แนวคิดทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 โดย Trilling and Fadel (2009) ได้อธิบายองค์ประกอบการ เรียนรู้เป็น 3Rs x 7Cs โดย 3Rs คือ Reading (อ่านออก) (W)Riting (เขียนได้) และ (A)Rithemetics (คิดเลขเป็น) 7Cs ได้แก่ ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) ทกั ษะดา้ นความเขา้ ใจความต่างทางวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding) ทักษะ ด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันส่ือ (Communications, Information, and Media Literacy) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT Literacy) และทักษะอาชีพและทักษะการเรยี นรู้ (Career and Learning Skills) ทั้งน้ีจากแนวทางปฏิรูปการศึกษา ในมิติด้านการจัดการเรียนการสอนและการสร้างกระบวนการ เรียนรู้ ในปีการศึกษา 2558 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรีได้นาแนวคิดทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 มาใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอนรายวชิ าการศึกษาอิสระ โดยใช้วิธีการเรียนแบบโครงงาน (Project based learning) เมื่อสิ้นสุดภาคการศึกษามีรายงานผลการดาเนินการของรายวิชา (มคอ.5) คือ 1) การประเมิน ทักษะศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาในภาพรวมพบว่าเพ่ิมมากข้ึน 2) การประเมินจากความคิดเห็นของ นักศกึ ษาพบว่ากระบวนการเรียนการสอนที่ใชโ้ ครงงานเหมาะสมกับรายวิชาการศึกษาอิสระ แต่ในการสร้าง นวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพยังขาดแนวทางที่ชัดเจน ทาให้ต้องใช้เวลามาก และ 3) อาจารย์ผู้ร่วมสอนให้ ข้อเสนอแนะว่าควรพัฒนา Project Based Learning ให้สอดคล้องกับกระบวนการสร้างนวัตกรรม นอกจากนคี้ ณะกรรมการบรหิ ารหลักสูตรและการเรียนการสอน เสนอแนะให้ผู้รับผิดชอบวิชาและอาจารย์ผู้ รว่ มสอนแสวงหาแนวทางพฒั นารายวิชาตามประเดน็ ดังกล่าว (วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีชลบุรี, 2559) ดังน้ันในปีการศึกษา 2559 คณะผู้วิจัยจึงนา STEM Education มาใช้ร่วมกับโครงงาน โดยสร้างวิธีการ เรียนแบบโครงงานสะเต็ม (STEM Project Based Learning) เพื่อช่วยให้มีแนวทางชัดเจนและเป็นระบบ มากขน้ึ ในกระบวนการคดิ และสรา้ งนวตั กรรม ทั้งน้ีในกระบวนการเรียนการสอน จะทาให้นักศึกษาพยาบาล ได้พฒั นาทักษะศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงเป็นทกั ษะสาคญั ในการปฏิบัตงิ านต่อไป

3 วตั ถุประสงค์การวจิ ัย เพื่อศึกษาผลของการใช้การเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็มต่อทักษะศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา พยาบาล โดยการเปรียบเทียบทักษะศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังการใช้การเรียนรู้ แบบโครงงานสะเต็ม สมมตุ ิฐานการวจิ ยั ทักษะศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาลหลังการใช้การเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็ม สูงกวา่ ก่อน การใช้การเรียนร้แู บบโครงงานสะเต็ม คาถามการวจิ ัย การใชก้ ารเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็มมีผลต่อทักษะศตวรรษท่ี 21 ของนกั ศกึ ษาพยาบาลหรือไม่ ขอบเขตของการวจิ ยั การศกึ ษาคร้ังนีเ้ ปน็ การวจิ ยั แบบก่งึ ทดลองกลมุ่ เดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์ เพอ่ื ศกึ ษาผลของการใชก้ ารเรียนรูแ้ บบโครงงานสะเต็มตอ่ ทักษะศตวรรษที่ 21 ของนกั ศกึ ษาพยาบาล ประชากรท่ใี ช้ในการวจิ ัย คือนกั ศกึ ษาหลกั สูตรพยาบาลศาสตรบัณทิตช้ันปีท่ี 3 ท่ีกาลังศึกษาอยู่ใน วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนชี ลบุรี ภาคการศกึ ษาที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2559 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงโดยใช้ประชากรนักศึกษาพยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณทิตช้ันปีท่ี 3 ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีชลบุรี ภาค การศึกษาท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2559 และลงทะเบยี นเรยี นวิชาการศึกษาอิสระ จานวน 114 คน ตัวแปรท่ีใชใ้ นการศกึ ษา ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็ม ประกอบด้วย วิทยาศาสตร์ (Science: S) เทคโนโลยี (Technology: T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineer: E) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics: M) โดย ใช้ขั้นตอนการเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็ม 6 ข้ันตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ระบุปัญหาในชีวิตจริง/นวัตกรรมท่ี ต้องการพัฒนา ข้ันท่ี 2 รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้อง ขั้นท่ี 3 ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา ข้ันท่ี 4 วางแผนและดาเนินการแก้ปัญหา ขั้นที่ 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุง และขั้นที่ 6 นาเสนอวิธีการ แก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหา หรือผลการพัฒนานวัตกรรม นาไปบรรจุในแผนการสอน 5 แผน ท่ี ประกอบดว้ ย การใหน้ ักศึกษาสืบคน้ ปัญหาผู้ป่วยทีพ่ บในสถานบริการสุขภาพหรือในชุมชน จากนั้นนาเสนอ ประเด็นปัญหา ให้นักศึกษาเสนอเค้าโครง โครงงานสะเต็มในการพัฒนานวัตกรรม ออกแบบนวัตกรรมการ พยาบาล บูรณาการความรู้จากศาสตร์ต่างๆ ท่ีศึกษามา จากนั้นดาเนินการนานวัตกรรมไปทดลองใช้ ประเมนิ ผล และนาเสนอผลงาน ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะศตวรรษท่ี 21 ประกอบด้วย ทักษะ 3Rs x 7Cs โดย 3Rs คือ Reading (อ่านออก) (W) Riting (เขียนได้) และ (A) Rithemetics (คิดเลขเป็น) 7Cs ได้แก่ทักษะ 1) ด้านการคิด อย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical thinking and Problem solving) 2) ด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity & Innovation) 3) ด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding) 4) ด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork & Leadership) 5) ด้านการส่ือสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันส่ือ (Communication, Information & Medial Literacy) 6) ด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ

4 และการสื่อสาร (Computing and ICT literacy) 7) ด้านอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career & learning self-reliance) ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีท่ี 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี จานวน 114 คน ประเมินโดยแบบสอบถามทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ทสี่ รา้ งขึน้ โดยกมลรตั น์ เทอร์เนอร์ และคณะ (2558) นิยามศัพท์ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั กำรเรียนรู้แบบโครงงำนสะเตม็ หมายถึง การเรียนรผู้ า่ นโครงงาน โดยนาหลักการสอนแบบบูรณา การข้ามกลุ่มสาระวิชา (Interdisciplinary Integration) ระหว่างศาสตร์สาขาต่างๆได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science: S) เทคโนโลยี (Technology: T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineer: E) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics: M) มาผสมผสานกันอยา่ งลงตัว เพ่ือให้ผู้เรียนมีการศึกษาค้นคว้า และนาความรู้จากหลาย แขนงวิชามาใช้ในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยมีการเรียนรู้และทางานเป็นทีม เพื่อให้เกิดทักษะต่างๆ ซึ่งนาไปสู่การคิดสร้างสรรค์ และการพัฒนาส่ิงประดิษฐ์หรือนวัตกรรม ดังรายละเอียดตัวแปรอิสระท่ีกล่าว ขา้ งตน้ ทักษะศตวรรษท่ี 21 หมายถึง ทักษะ 3Rs x 7Cs โดย 3Rs คือ การอ่าน การเขียน และ คณิตศาสตร์ และ 7Cs ได้แก่ทักษะ 1) ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา 2) ด้านการ สร้างสรรค์และนวัตกรรม 3) ด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ 4) ด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา 5) ด้านการส่ือสาร สารสนเทศและรู้เท่าทันส่ือ 6) ด้านคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร 7) ด้านอาชพี และทกั ษะการเรยี นรู้ กรอบแนวคดิ การวจิ ยั STEM Education เป็นแนวคิดในการจัดการศึกษาท่ี Roberts (Roberts, 2011) กล่าวว่า สอดคลอ้ งกับการพัฒนาทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ซึง่ เปน็ ยคุ ทมี่ คี วามต้องการนวัตกรรม และเทคโนโลยีในการ ทางานทุกสาขา การนาศาสตร์สาขาต่างๆได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ มาผสมผสานกบั การเรียนแบบโครงงาน ผ่านกระบวนการคิด ศึกษาค้นคว้า รวบรวม คัดเลือก และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนามาสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่หรือนวัตกรรม โดยการทางานเป็นทีมของ นักศึกษาใน 6 ข้ันตอนเป็นการพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา โดยเฉพาะการพัฒนาในด้าน ความคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) การส่ือสาร (communication) และนวตั กรรม (innovation) ดงั กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ดังสรปุ ในภาพท่ี 1

5 กำรเรยี นรูแ้ บบโครงงำนสะเตม็ 6 ข้นั ตอน ทักษะศตวรรษท่ี 21 ในนกั ศึกษำ 1. ระบุปัญหาในชวี ิตจรงิ /นวัตกรรมที่ตอ้ งการ 3 Rs: อ่านออก เขยี นได้ และคดิ เลขเป็น พัฒนา 7Cs: 2. รวบรวมขอ้ มูลและแนวคดิ ที่เกย่ี วข้อง - การคดิ อย่างมีวิจารณญาณและทกั ษะในการแก้ปัญหา 3. ออกแบบวิธกี ารแก้ปัญหา (Science + Math - การคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม & Technology) - ความเขา้ ใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทศั น์ 4. วางแผนและดาเนนิ การแกป้ ญั หา - ความรว่ มมือ, การทางานเป็นทมี และภาวะผนู้ า (Engineering) - การสอ่ื สาร การรเู้ ทา่ ทันสารสนเทศและการรู้เท่าทนั สอ่ื 5. ทดสอบ ประเมินผล และปรบั ปรุง - คอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร (Engineering) อาชพี และการเรียนรู้ 6. นาเสนอวธิ ีการแก้ปัญหา ผลการแกป้ ญั หา หรอื ผลการพฒั นานวัตกรรม ภำพท่ี 1 กรอบแนวคิดกำรวิจัย

6 บทท่ี 2 ทบทวนวรรณกรรม การวจิ ยั ครัง้ นีเ้ ป็นการวิจยั ก่ึงทดลอง (Quasi – experimental research) มวี ตั ถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของการใช้การเรียนรู้แบบโครงงานสะเตม็ ต่อทกั ษะศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาพยาบาลโดยผู้วจิ ยั ไดศ้ ึกษาตารา เอกสาร และงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง เพือ่ เป็นแนวทางในการวิจยั โดยจาแนกสาระสาคญั ท่ี เกย่ี วขอ้ งแตล่ ะเรื่องดังนี้ 1. การจดั การเรยี นการเรียนการสอนในระดบั อุดมศึกษา (Higher education) 2. การจัดการเรยี นการสอนแบบสะเต็ม (STEM Education) 3. การจดั การเรยี นรแู้ บบโครงงาน (Project-based learning) 4. กรอบแนวคดิ ของทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 (21ST Century Skills) 5. งานวจิ ัยทเี่ ก่ียวข้อง ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ใ น ร ะ ดั บ อุ ด ม ศึ ก ษ า แนวคิดหลกั การ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับ 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 22 ได้กาหนดหลักการจัดการศึกษา โดยยึดหลักว่า “ผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถเรยี นรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาท่ีดี ต้องสง่ เสริมให้ผูเ้ รยี นสามารถพัฒนาอยา่ งเป็นธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ” ขณะท่ี มาตรา 24: กาหนด วา่ “กระบวนการจดั การเรียนรู้ ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัด ของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ สถานการณ์ และการประยุกตค์ วามรูม้ าใชเ้ พอ่ื ป้องกนั และแก้ไขปญั หา ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่ รู้อย่างต่อเน่ือง ผสมผสานสาระ ความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน... ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่ือการเรียน และอานวยความสะดวกเพ่ือให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้” โดยมีจุดมุ่งหมายของการ อุดมศึกษา คือ การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ท่ีมีคุณภาพท่ีมีทั้งความรู้ระดับสูง มีคุณธรรม และเป็นผู้มีความ รับผดิ ชอบตอ่ สงั คม โดยพฒั นาการเรยี นรทู้ างวิชาการเฉพาะด้าน การพัฒนาทักษะท่ีเกิดจากการปฏิบัติจริง การเรียนรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชุมชน และสภาพความก้าวหน้าและการเปล่ียนแปลงในระดับสากล (สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, 2548)

7 นอกจากนี้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ยัง กล่าวอีกว่า ลักษณะผู้เรียนท่ีพึงประสงค์ คือ ผู้เรียนเป็นคนดี คนเก่ง และเป็นคนท่ีมีความสุข ความสุข (สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2548) มีรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. คนดี คือ คนที่ดาเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีจิตใจท่ีดีงาม มีคุณธรรม จริยธรรม มี คุณลักษณะพึงประสงค์ท้ังด้านจิตใจพฤติกรรมท่ีแสดงออก สามารถดารงชีวิตร่วมกับผู้อ่ืนอย่างมีสันติ โดย ลักษณะเฉพาะของผู้เรียนที่พึงประสงค์ที่เป็นคนดีในการจัดการระดับอุดมศึกษาน้ันจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม วินัย ความรับผิดชอบและความเป็นผู้นา มีความเป็นประชาธิปไตย ตระหนักในคุณค่าทรัพยากร ศลิ ปวัฒนธรรมและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ 2. คนเก่ง คือ คนที่มีสมรรถภาพสูงในการดาเนินชีวิตโดยมีความสามารถด้านใดด้านหนึ่ง หรือรอบด้าน หรือมีความสามารถเฉพาะทาง โดยสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพทันสมัย ทัน เหตุการณ์ มีความเป็นไทย สามารถคิด และมีทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยลักษณะเฉพาะของผู้เรียนท่ี พึงประสงค์ท่ีเปน็ คนเก่งในการจดั การระดบั อุดมศึกษานน้ั จะต้องมีความรู้ ทักษะ (ด้านวิชาการ วิชาชีพ วิชา ชวี ติ ) และมีความสามารถระดับสากล เรียนรู้ (ใฝ่รู้) ตลอดชีวิต มีสติปัญญา และวิจารณญาณ มีวิธีคิดอย่าง เป็นระบบและสามารถแก้ไขปัญหาได้ มีจิตสานึกและภาคภูมิใจในความเป็นไทย สามารถใช้ภูมิปัญญาไทย ในการพฒั นาประเทศ มีจิตสานึกและศักยภาพในการสร้างงาน 3. คนท่ีมคี วามสุข คือ คนที่มสี ขุ ภาพดีท้ังกายและจิต รา่ เรงิ แจ่มใส รา่ งกายแข็งแรง จิตใจ เขม้ แขง็ มคี วามรกั ต่อสรรพสิ่ง มีความสขุ ในการเรียนรู้ การทางาน และการดาเนินชวี ิตประจาวนั สอดคล้องกับเรณุมาศ มาอนุ่ (2559) กลา่ ววา่ การจดั การศกึ ษาในระดับอุดมศกึ ษาที่เป็นการจดั การศึกษาเพือ่ พฒั นากาลงั คนทม่ี ีความรู้ความสามารถเฉพาะทางจงึ ต้องเปน็ กระบวนการทต่ี ้องดาเนนิ การ อย่างเปน็ ระบบต่อเน่อื ง มบี ุคคลและหนว่ ยงานที่รบั ผิดชอบเขา้ มามสี ่วนร่วม ตามกรอบคุณวฒุ ิแห่งชาติ (National Qualification Framework: NQF) ที่หมายถงึ กรอบแนวทางการเชื่อมโยงผลลัพธก์ ารเรียนรู้ ของ ระดบั คุณวุฒกิ ารศึกษาตามเกณฑม์ าตรฐานการเรียนรู้ในแตล่ ะระดับและประเภทการศึกษากบั ระดบั การปฏิบตั ิงานตามมาตรฐานอาชพี เพอ่ื ให้เกดิ ระบบการพัฒนากาลังคนระดับชาติ ท่ีเปน็ เอกภาพ (สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560, หนา้ 7) สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2548) ยงั กล่าวอีกว่า การพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษท่ี 22 ท่ี กาหนดวา่ การจดั การเรยี นการสอนน้ันผสู้ อนควรมกี ารออกแบบหรอื การปรับวธิ กี ารเรียนการสอนที่ไม่เนน้ ท่ี เน้อื หาหรือสาระความรเู้ ปน็ หลัก แต่เปน็ การเนน้ ให้ผู้เรยี นฝึกทักษะของการเรียนรตู้ ่อเน่ืองตลอด สง่ ผลให้ ในปัจจุบันนกั การศกึ ษาจงึ สนใจท่ีจะจดั การศึกษาเพ่อื เนน้ ไปยงั ประเดน็ ทวี่ า่ ผู้เรียนเม่ือเรียนแลว้ ได้รู้อะไร และสามารถทาอะไรไดบ้ า้ ง จึงทาใหม้ ีการเปล่ยี นแปลงรูปแบบการสอนที่เพ่ิมความยดื หย่นุ และศักยภาพใน การผสมผสานความรู้เดิมกับประสบการณ์ในรูปแบบใหม่และแตกต่างกนั ออกไปจนเกดิ กระบวนการเรียนได้

8 ดว้ ยตนเอง ถอื เป็นการเรียนรู้ที่เน้นผูเ้ รยี นเปน็ ศูนย์กลางหรือการจดั การเรียนรทู้ เ่ี นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั ซง่ึ มี หลักการดังนี้ 2.หลักการจดั การเรียนการสอน ที่ตอ้ งมงุ่ ประโยชนส์ ูงสุดแก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็ม ตามศักยภาพ ให้ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนสามารถนา วิธกี ารเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตจรงิ ได้ และทกุ ฝ่ายต้องมีสว่ นร่วมในทกุ ขนั้ ตอนเพ่อื พัฒนาผู้เรยี น 2.หลักการจัดการเรยี นรู้ท่ีผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ 2.2 หลักการมีส่วนร่วม ต้องถือว่าทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ นับตงั้ แต่การวางแผน การเตรียมการ การหาข้อมูล การจดั การ การดาเนนิ การ ตลอดจนการประเมนิ ผล 2.2 หลักการประชาธิปไตย การเรียนรู้ในแนวน้ีควรยึดหลักประชาธิปไตยเป็น สาคัญด้วย ผสู้ อนต้องเปิดใจกว้าง ใหม้ องเห็นความสาคญั ของผู้เรียน ถือวา่ ผู้เรยี นมคี วามสาคัญทีส่ ุด 2.3 หลักกระบวนการเรียนท่ีมีความสุข ต้องจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเรียนอย่างมี ชวี ิตชวี า มคี วามสุข สนุกสนานจากการเรียน ไมเ่ บื่อหนา่ ยในการเรยี น 2.4 หลกั การเรียนรูอ้ ย่างมีความหมาย ทุกกระบวนการรู้จะต้องเน้นให้ผู้เรียนรู้สึก ว่ามีความหมาย มคี ณุ ค่าตอ่ ชวี ติ จริง สามารถนาไปใช้ดาเนินชวี ิตไดอ้ ย่างมีคณุ ค่า 2.5 หลักการสร้างองค์ความรู้เอง ต้องสร้างองค์ความรู้สึกใหม่ให้แก่ผู้เรียนว่า ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ความรู้ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นได้โดยทาและปฏิบัติเอง โดยผู้สอน เป็นเพียงผ้อู านวยความสะดวก การจดั การเรียนการสอน การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนเพ่ือใหส้ อดคล้องกับการเรยี นรใู้ นสตวรรษที่ 21 จงึ ต้องเนน้ การ เสริมสรา้ งและพัฒนาทกั ษะศตวรรษท่ี 21 ให้มคี วามโดดเด่นในทกุ ด้าน เช่น การคดิ วเิ คราะห์ การเรียนรู้ วธิ กี ารแก้ปญั หา มีความคดิ สร้างสรรค์ มที กั ษะในการสอ่ื สาร ทกั ษะแห่งความร่วมมือ ทักษะดา้ นสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนตอ้ งเร่ิมตน้ ท่รี ะบบการศึกษา เพ่ือให้ก้าวขา้ มสาระวิชาไปสกู่ ารเรียนรู้ ทกั ษะเพื่อการดารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21 (เบญจวรรณ ถนอมชยธวัช, ผ่องศรี วาณิชย์ศุภวงศ์, วฒุ ชิ ยั เนียม เทศ และณัฐวทิ ย์ พจนตนั ติ, 2559). สอดคลอ้ งกบั García (2015) ได้อธิบาย หลักการที่เป็นจุดเน้นทางด้านการศึกษาในรูปแบบใหม่ ที่ ประกอบไปดว้ ย 1. การใช้เทคโนโลยี ที่สัมพันธ์กับการต้องการในการพัฒนาข้อมูลข่าวสาร และการรอบรู้ในการ ตดิ ต่อสื่อสาร 2. วิธีการของการคิด ประกอบด้วย ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม การคิดอย่างมี วิจารณญาณ การคิดแกไ้ ขปัญหา และการตัดสนิ ใจ

9 3. วธิ ีการใหม่ในการทางานผ่านการตดิ ตอ่ สื่อสารและความร่วมมือ 4. วิธีการใช้ชวี ติ ในโลกปจั จุบนั เชน่ การเป็นพลเมอื งของทอ้ งถิน่ และระดับโลก การใช้ชีวิตและการ ทางาน ความรับผิดชอบของบุคคลและสงั คม รวมทั้งความตระหนักทางวฒั นธรรมและความสามารถ ณัจยา หนุนภักดี (2559) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนควรต้องบูรณาการในเชิงสหวิทยากร (interdisciplinary) ยึดโครงงานเป็นฐาน (Project-Based) และขับเคล่ือนด้วยการวิจัย (Research- driven) ท่ีมีความเชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนท้ังท้องถ่ิน/ชุมชน ประเทศ และโลก หลักสูตรจะไม่ยึดตาราเป็น ตัวขับเคล่ือน (Textbook-driven) หรือแบบแยกส่วน (Fragmented) แต่จะเป็นหลักสูตรท่ีมีการเรียนรู้ ด้วยวิธีการสอนท่ีหลากหลาย ซึ่ง Partnership for 21st century Skills (2011) ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อการ ดาเนินการด้านหลกั สูตรไว้ดงั นี้ 2.การออกแบบหลักสูตรจะต้องเน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาความรู้ความ เข้าใจอย่างแท้จริง ทั้งนี้หลักสูตรและวิธีการเรียนการสอนจะต้องกาหนดว่าทักษะแห่งศตวรรษที่ เป็น22 ผลลัพธ์แห่งการเรียนรูน้ น้ั 2.หลักสูตรจะเป็นปัจจัยนาเข้าที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษท่ี 22 การ ออกแบบหลกั สูตรจะถูกถ่ายทอดมาสู่การออกแบบรายวิชา และนามาสู่การกาหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ และวิธีการเรียนการสอน ซึ่งทักษะแห่งศตวรรษที่ 22 จะเป็นหน่วยของการประเมินผลการเรียนรู้ด้วย วธิ ีการท่ีหลากหลาย 3.การจัดประชุมสัมมนาเพือ่ ทาความเข้าใจต่อหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้ที่ เกี่ยวข้องได้ทาความเข้าใจท่ีตรงกันต่อทักษะแห่งศตวรรษที่ 22 รวมทั้งส่งเสริมสมรรถนะต่อการออกแบบ การเรยี นรู้ท่ีพฒั นาทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 22 4.การประเมินผลการเรียนรู้ต้องหลากหลายไม่ใช่ประเมินจากแบบทดสอบท่ีเน้นท่องจา ดังน้ันควรกาหนดวิธีการประเมินท่ีสามารถประเมินการแสดงออกไว้ เช่น การนาเสนอหน้าช้ัน การจัดทา รายงาน 5. กาหนดไวใ้ ห้ชัดเจนถงึ วิธกี ารประเมินและปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรและวิธีการเรียนการ สอนเพือ่ พัฒนาทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 22 6. ความร่วมมือของการพัฒนาหลักสูตรและวิธีการจัดการเรียนการสอนเป็นสิ่งท่ีสาคัญ ทั้งน้ีต้องมีความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการ สอนน้ันมคี วามครอบคลมุ และตรงตามวตั ถุประสงค์ของหลกั สูตรมากทส่ี ุด ในขณะท่ี วิจารณ์ พานิช (2556) กล่าวถึงการสอนที่ดีในการสร้างการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยหลกั 7 ประการ คอื 1. ต้องเข้าใจความรู้เดิมของผู้เรียน เพราะในปัจจุบันการเข้าถึงความรู้ทาได้ง่าย ความ เจริญของเทคโนโลยสี ารสนเทศทาให้ผู้คนค้นหาความรไู้ ดโ้ ดยง่าย ซ่ึงความรู้ท่ีแต่ละคนได้มานั้นอาจจะมีทงั้

10 ที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง ผ้สู อนจงึ ต้องประเมนิ และหาวธิ จี ัดการกับความรู้ท่ีไม่ถูกต้องก่อน ไม่อย่างน้ันเด็ก“ จะผดิ ไปเรื่อยๆ และพอเรยี นชนั้ ตอ่ ๆ ไปเขากจ็ ะเรียนไมร่ เู้ ร่อื งและจะเบ่ือเรยี น น่คี ือหัวใจสาคัญ” 2. การจัดระบบความรู้ ท่ี (knowledge organization) เป็นสิ่งที่มีความสาคัญต่อการ เรียนรู้ของผู้เรียน เพราะการจัดระเบียบความรู้ในสมองจะช่วยให้สามารถนาความรู้มาใช้ได้ทันท่วงทีและ ถกู กาลเทศะ คนท่สี ามารถจดั ระบบความรู้ในสมองได้ดีจึงเรียนหนังสือได้ดี สามารถเช่ือมโยงความรู้ท่ีมีอยู่ กับบริบทเพื่อการใช้งานไดอ้ ย่างเหมาะสมทันทว่ งที 3. แรงจูงใจ แรงบันดาลใจ (inspiration) เปน็ อีกเร่อื งหน่ึงทสี่ าคญั มาก ทจ่ี ะทาให้ผ้เู รยี น อยากเรียนรู้ อยากเป็นและอยากทา ดังนั้นครูท่ดี จี ะต้องมีวิธี และมคี วามเอาใจใส่ท่จี ะสรา้ งแรงจงู ใจหรือ แรงบันดาลใจให้ผูเ้ รยี น 4. การเรยี นทถ่ี กู ตอ้ ง ผู้เรียนจะต้องเรียนจนร้จู ริง (Mastery learning) 5. การสอนโดยการปฏบิ ัติ และปอ้ นกลบั ในการออกแบบการเรียนนั้นจะต้องรู้ว่าต้องการ ใหเ้ กิดการเรียนรู้อะไร ออกแบบอยา่ งไร ให้ผเู้ รยี นทาอะไร เพ่ือให้ได้อะไร และวัดได้อย่างไร ให้ผู้เรียนลง มือปฏิบัติ แลว้ ครตู อ้ งให้ข้อมูลป้อนกลบั (feedback) แก่ผเู้ รยี น ศิลปะของการให้ข้อมูลป้อนกลบั สาคัญ มากเพราะจะทาใหก้ ารเรียนสนุก เป็นการใหร้ างวลั (rewarding) อยา่ งหน่งึ เรียนแลว้ เกดิ ความสขุ เกดิ ความม่นั ใจในตัวเอง รู้วา่ อะไรที่ทาได้ดี รู้วา่ อะไรท่จี ะตอ้ งปรับปรุง 6. พัฒนาการของผู้เรียนและบรรยากาศของการเรยี น การเรียนในปจั จบุ นั ต้องเรยี นเป็น ทมี เพราะโลกปัจจบุ ันนัน้ ความรว่ มมอื (collaboration) สาคญั กว่าการแขง่ ขนั (competition) ทกั ษะ ของความรว่ มมือกบั ผู้อน่ื ตอ้ งใหผ้ ู้เรียนได้ฝกึ ปฏิบตั ทิ าจริงตัง้ แต่ตอนเรยี น คอื ตอ้ งให้เรียนรเู้ ป็นทมี (team learning) นคี่ อื หลักการเรยี นทีส่ าคัญทส่ี ดุ บรรยากาศของการเรียนทีส่ าคญั คือไม่มีการตัดสนิ วา่ ถกู หรือผดิ เพื่อส่งเสรมิ บรรยากาศของความคิดที่หลากหลาย ฟงั ซึ่งกนั และกัน ผลลัพธส์ ดุ ทา้ ยผู้เรียนจะเขา้ ใจวา่ เรื่อง แบบน้เี พ่ือนคิดอยา่ งน้ี คิดได้หลายแบบ เพราะฉะนัน้ ถ้าบรรยากาศในโรงเรียนและในชัน้ เรียนเนน้ เฉพาะ เน้อื หาสาระวชิ า เน้นเร่อื งถูกผดิ การเรียนรูท้ ด่ี จี ะไม่เกดิ เพราะผู้เรยี นจะไมส่ ามารถเรียนอย่ทู า่ มกลาง สภาพความไม่ชดั เจนไม่แน่นอน 7. ความสามารถในการกากบั การเรยี นรู้ของตนเองได้ (self - directed learner) ทกั ษะน้ี ไมส่ ามารถเกิดขึน้ ไดจ้ ากการสอน แตต่ ้องจัดกระบวนการเรยี นร้ใู ห้ผู้เรียนไดฝ้ กึ ปฏิบตั ิ ท้ังนีค้ รูจะต้องรู้ว่า ผู้เรยี นมวี ิธีการเรยี นอย่างไรและปรับปรุงวธิ กี ารเรยี นใหเ้ หมาะสม ดิเรก วรรณเศียร (2559) กลา่ วว่า การจัดการเรียนการสอนจะเน้นให้ผู้เรียนทากิจกรรมแบบมีส่วน ร่วมที่ช่วยสง่ ผลให้เกดิ การเรยี นรู้ เชน่ การอภปิ ราย ระดมความคิด สร้างโครงงาน ทาโครงการ ผลิตผลงาน แสดงบทบาทสมมติ การแก้ปัญหา ใช้การวิจัย เป็นต้น สอดคล้องกับ ณัจยา หนุนภักดี (2559) แนะนาว่า ผ้สู อนตอ้ งมที กั ษะในการจดั การเรยี นรู้ มเี จตคตติ ่อวชิ าชพี ครูท่ีดี มีแรงจงู ใจ ใฝส่ ัมฤทธ์ิสูง มที ักษะและ

11 คุณลักษณะ ท่ีรองรับเข้าถึงเพื่อสร้างนวัตกรรมบริหารจัดการช้ันเรียนแนวใหม่ โดยจะต้องเปลี่ยนแปลง ตนเองจาก “ผู้ฝึก” ไปเป็น “ผู้สอน” (Coach) หรือ “ผู้อานวยความสะดวกในการเรียนรู้” (Facilitator) ใหผ้ ู้เรียนไดเ้ รียนรู้จากการปฏิบตั ิในอนั ท่ีจะพฒั นาผ้เู รยี นทเี่ ป็นเยาวชนยุคใหมไ่ ด้อยา่ งตอ่ เนื่องและย่ังยืน ยึด หลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด โดย กระบวนการจัดการเรยี นรตู้ อ้ งส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศกั ยภาพ นอกจากน้ี สุตาภัทร จันทร์ประเสริฐ, ศิริรัตน์ สัยวุฒิ, พรเทพ แก้วเช้ือ, ศิรินยา แตงอ่อน และวรรณวิมล บุญญพงษ์ (2562) กล่าวว่า เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าไปทั้งทางวัสดุ อุปกรณ์ และวิธี ใหมๆ่ ให้ผ้เู รียนได้มีความรคู้ วามเขา้ ใจ และทักษะในการใชเ้ ทคโนโลยี ดังนั้นผู้สอนสามารถนาเทคโนโลยีมา ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมือในการเรียนรู้ ผสู้ อนสามารถใช้วิธีการท่ีหลากหลาย เพ่ือใช้ในการจัดการเรียนการสอน เช่น การบนั ทกึ วดี ิโอให้นักศกึ ษาไปดูเปน็ การบ้าน แล้วผู้สอนใช้ชั้นเรียนสาหรับช้ีแนะผู้เรียนให้เข้าใจแก่นเนื้อหา งานหลักของครูผู้สอนในห้องเรียนคือการสอนเม่ือผู้เรียนไม่เข้าใจ มากกว่าที่จะเป็นการบอกเล่าเนื้อหาการ เรียนเพียงอย่างเดียว การสอนด้วยวิธีนี้ทาให้สามารถนาการจัดการเรียนรู้ตามความแตกต่างของผู้เรียน (Differentiate Instruction) และการเรียนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) มาใช้ใน ช้นั เรยี นไดด้ ้วย สอดคล้องกับ สวุ ณี อ่งึ วรากร (2558) ทก่ี ลา่ วว่า ผู้สอนต้องเป็นผู้ท่ีมีความสามารถวิเคราะห์ผู้เรียน ไดท้ ั้งรปู แบบการเรียน สติปัญญา จุดอ่อนจุดแข็งในตัวผู้เรียน ผู้สอนจึงต้องพัฒนาตนเองให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถเชิงบูรณาการ สามารถทาแผนเชิงยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติในชั้นเรียน เพ่ือให้ครูสามารถ จดั การเรยี นการสอนโดยใช้วธิ ีการสอนท่ีหลากหลายและมีความรู้ความสามารถเชิงลึกในการแก้ปัญหา การ มที กั ษะการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ ผบู้ ริหารควรสรา้ งครูต้นแบบสาหรบั เปน็ ตัวอยา่ งในการพัฒนาวิชาชีพครู การจัดการเรียนการสอนนั้นผู้สอนควรต้องตั้งเป้าหมายในการจัดการเรียนการสอนท่ีจะให้ผู้เรียนเกิดการ เรยี นร้มู ากกวา่ ให้ใช้วิธีการบรรยาย ผสู้ อนควรต้องสร้างความสมบูรณ์แบบในมิติการสอนด้วยเทคนิควิธีการ สอนท่ีหลากหลาย การเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี ครอบคลุมวิธีการเรียนรู้หลากหลาย รูปแบบผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ผ่านส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์ทุกประเภท เช่น อินเทอร์เนต็ (Internet) อนิ ทราเน็ต (Intranet) เอ็กซ์ทราเน็ต (Extranet) การถ่ายทอดผ่านดาวเทียม (Satellite Broadcast) เทปบันทึกเสียงและวิดีทัศน์ (Audio/Video Tape) และซดี ีรอม (CD- ROM) เป็นต้น บปุ ผชาติ ทัฬหิกรณ์ (2552) อธิบายว่า เทคโนโลยีท่ีครูผู้สอนสามารถนามาใช้ในการเรียนการสอน เพอ่ื ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดมีหลากหลาย ครูผู้สอนสามารถเลือกใช้ได้ตามความถนัด หรอื ความสนใจ ดงั น้ี 2. การใช้วีดีทัศน์ การใช้ภาพและเสียง ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะ เนอื้ หา ทเ่ี ป็นนามธรรม การใชว้ ดิ ที ศั นม์ ที งั้ ภาพยนตร์ แอนนิเมช่นั วีดีโอคลิป โปรแกรมกราฟฟกิ ซึ่งแหลง่

12 ท่ีสามารถหาวีดีทัศน์เหล่าน้ี คือ อินเทอร์เนต ซีดี ดีวีดี ท่ีมาพร้อมกับหนังสือเรียน (Textbook) ภาพยนตร์ สารคดี เว็บไซต์ต่าง ๆ ท้ังน้ี วีดีทัศน์จะทาหน้าที่เป็นเพียงสื่อหรือแหล่งการเรียนรู้ของครูเท่านั้น โดยไม่ สามารถนามาทดแทนการสอนได้ ครูต้องสร้างบริบท (Context) หรืออรรถบท (Theme) ของบทเรียนโดย ใชว้ ิดที ัศน์เปน็ สอื่ การเรยี นรูจ้ ึงจะมคี วามหมายสาหรับผู้เรยี น 2.เพลงและเสียง เพลงเป็นสื่อท่ีเข้าถึงผู้เรียนได้ดี ท้ังน้ีมีท้ังแบบมีเพลงสาเร็จที่ครูผู้สอน สามารถนามาใช้ในการเรยี นการสอนได้เลย หรือให้ผู้เรียนมีส่วนประพันธ์ทานองหรือคาร้องท่ีสอดคล้องกับ เนื้อหาทีเ่ รียน ก็เปน็ เทคนคิ ที่กระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนรูไ้ ดด้ ี 3.โปรแกรมประยุกต์ (Application Program) ครูผู้สอนสามารถใช้โปรแกรมประยุกต์ใน การส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนได้มากมาย โดยอาจจะเริ่มต้นจากการใช้โปรแกรมประจาเครื่อง เช่น Microsoft Word Excel และ Power Point ไปจนถึงโปรแกรมเฉพาะหรือโปรแกรมกราฟฟิค ท้ังนี้ขึ้นอยู่ กับทักษะของครูว่าคุ้นเคยอยู่กับโปรแกรมใด ท้ังนี้ครูผู้สอนยังสามารถสร้างภาพยนตร์สั้นได้เอง โดยใช้ โปรแกรมตดั ต่อภาพยนตร์ เช่น Movie Maker หรือ Ulead โดยในปจั จบุ ันกล้องถา่ ยรปู หรือโทรศัพท์มือถือ สามารถถ่ายทาคลิปสั้น ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ทางการเรียน นอกจากน้ียังมีโปรแกรมชนิด Freeware ท่ีไม่ สงวนลิขสิทธิ์การใช้งาน ท่ีครูผู้สอนสามารถดาวน์โหลดเพ่ือใช้เป็นสื่อในการเรียนได้อีกหลากหลาย เช่น Kahoot 4.เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) เทคโนโลยีการสื่อสารใน ปจั จุบัน ก้าวหน้าไปมาก และสามารถดาวน์โหลดหรืออัพโหลดเพ่ือแลกเปลี่ยนเน้ือหา (Content) ทั้ง ภาพ เสียง ข้อความ วีดีโอ ทั้งแบบ Synchronize และ Asynchronize เทคโนโลยีส่ือสารท่ีเป็นท่ีนิยม คือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Online Social Network) การใช้เครื่องมือค้นหาบนเว็บ (Search Engine) การ โต้ตอบผ่านกระดานสนทนา (Web Board) การเขียนบล็อก (Blog) การโต้ตอบโดยใช้วีดิทัศน์ เช่น Youtube รวมไปถึงสื่อเน้ือหาอิเล็กโทรนิกส์ (Electronic Content) ต่าง ๆ ท่ีสามารถเข้าถึงได้ผ่าน อนิ เทอรเ์ น็ต เชน่ เวบ็ ไซต์ ดงั นัน้ ผสู้ อนจึงเป็นกลไกท่ีสาคญั ในการพฒั นาคณุ ภาพการจัดเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาให้มี ประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามที่ต้องการ อาจารย์ผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจพ้ืนฐานเก่ียวกับ ธรรมชาติของการจัดการเรยี นการสอนในระดับอุดมศึกษาท่ีมีลักษณะเฉพาะท่ีแตกต่างจากการจัดการเรียน การสอนในระดับอื่น ๆ ท้ังนี้เพ่ือให้การเช่ือมโยงไปสู่การจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาที่มี ประสทิ ธิภาพ อาจารยจ์ ะต้องมีความเข้าใจจุดมุ่งหมายของการศึกษาระดับอุดมศึกษา ธรรมชาติของผู้เรียน หรือลักษณะเฉพาะของผู้เรียน หลักสูตรในระดับอุดมศึกษาท่ีเชื่อมโยงไปสู่วิธีการจัดการเรียนการสอน (เรณมุ าศ มาอ่นุ , 2559)

13 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การประเมนิ การเรยี นร้ทู ่เี นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคัญ มจี ุดม่งุ หมายสาคญั เพอื่ สง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นเกิดการ พฒั นาและเรียนรู้ก้าวหนา้ สงู สดุ เปน็ คนเก่ง คนดี และมีความสุขได้เตม็ ตามศักยภาพ การประเมนิ จึงตอ้ ง ดาเนนิ การให้สอดคล้องเหมาะสมกบั รปู แบบการเรียนรู้ทม่ี ีความถนดั ความสนใจที่แตกต่างกันออกไป รปู แบบการประเมนิ ต้องเป็นรูปแบบที่เอื้ออานวยและเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ลือกและแสดงความรู้ รวมทั้ง ความรสู้ กึ ทผี่ ้เู รียนมีและพฤติกรรมปฏิบัติได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้อาจารย์ผู้สอนจะได้อาศัยข้อมลู และ หลักฐานเหลา่ น้สี ะทอ้ นภาพที่เป็นจริงของผเู้ รียนเพ่ือเป็นแนวทางปรบั ปรุงวิธกี ารของอาจารย์ผู้สอน และ วเิ คราะห์วินจิ ฉัยผเู้ รยี นเพื่อปรบั ปรงุ พฒั นาผูเ้ รียนให้บรรลุตามเป้าหมายของการจดั การเรียนการสอนทใ่ี ห้ ผู้เรียนเป็นคนดี มคี วามสขุ และเกง่ ตามศักยภาพที่ควรจะเป็นของผเู้ รียนแต่ละคน (สานกั งานคณะกรรมการ การศกึ ษาแห่งชาติ , 2545) García (2015) กลา่ วว่า การประเมินผลการสอนการสอนในทกั ษะสตวรรษที่ 21 มวี ธิ ีการปฏบิ ตั ทิ ่ี หลากหลาย รว่ มกับการยกตัวอย่างท่ีมปี ะโยชน์ การอธิบายถงึ วิธีการและการปฏิบตั ทิ ีแ่ ม่นยา และการมี เครอ่ื งมือในการประเมนิ ในการปฏบิ ตั ิ เชน่ การใช้ตารางประเมนิ ผล การประยุกต์ใชโ้ ปรแกรมการ ประเมินผล ซึ่งเป็นประโยชน์อยา่ งย่ิง เพ่ือเป็นแนวทางเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งมากทั้งสาหรบั ผใู้ ชเ้ บ้ืองตน้ และผู้ ทม่ี ีประสบการณ์ นอกจากน้ี สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2545) ไดก้ าหนดขอ้ ตกลงเบื้องต้นของการ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ดังนี้ ขอ้ ตกลงเบอื้ งตน้ เกยี่ วกบั การจัดการศกึ ษา 2.ผู้เรียนโดยนสิ ยั แลว้ มีความอยากรู้อยากเห็น มีความสามารถในการเรียนรู้ มคี วาม กระตือรอื รน้ ทจ่ี ะเรียนร้แู ละเปน็ ผ้เู รียนที่เชือ่ ถือได้ 2.การจัดกจิ กรรมเรียนรู้เพื่อเสรมิ สร้างประสบการณท์ ีด่ จี ะกระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรยี นรู้ เป็นคนเกง่ คนดแี ละมคี วามสุข และสามารถกากับของตนเองได้ 3.ผเู้ รียนสามารถสรรคส์ ร้างความรูข้ ้นึ ไดจ้ ากการมปี ฏิสัมพันธก์ ับบคุ คลอ่ืน และไดร้ ับสือ่ วสั ดุอปุ กรณท์ ี่มคี วามหมายในสถานการณ์ที่เป็นจริง 4.ผู้เรยี นมพี ัฒนาการด้านสติปญั ญา รา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ในระดับและอัตรา ทแี่ ตกต่างกัน 5.ผูเ้ รียนควรได้รับการพัฒนาพร้อมกนั โดยรวมทุกดา้ น ขอ้ ตกลงเบอ้ื งต้นเก่ยี วกบั การเรยี นการสอน 2.อาจารย์ผสู้ อนจะต้องได้รับการฝึกอบรมทักษะการสอนเป็นพิเศษ

14 2.การเรียนการสอนตอ้ งเปน็ การสอนท่เี น้นตอบสนองผูเ้ รยี นเปน็ สาคัญมากกว่าเน้นทักษะ การท่องจาเน้ือหาสาระตามหลกั สตู ร 3.การเรยี นการสอนเน้นการส่งเสรมิ เป็นรายบุคคลและเปน็ กลมุ่ เลก็ 4.การเรียนการสอนตอ้ งครอบคลมุ และตอบสนองต่อการค้นคว้าวิจยั ท่เี กดิ ขึน้ ใหม่ และ ความรู้ใหมๆ่ เกย่ี วกบั การเจริญงอกงาม พฒั นาการและการเรยี นรู้ของผ้เู รยี น 5.การเรยี นการสอนต้องครอบคลมุ และตอบสนองต่อขอบขา่ ยการเรยี นรทู้ ่ีขยายมากขนึ้ อยา่ งไม่จบสนิ้ ในทุกสาขาวิชา 6.การเรียนการสอนต้องยอมรับความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมและรูปแบบหรือวิธีการ เรยี นรู้ที่แตกต่างกนั ของผ้เู รยี น 7.การเรียนการสอนและการประเมินจะต้องดาเนินควบคู่ต่อเน่ืองกันไปด้วยกัน และ กลมกลนื เปน็ ส่งิ เดยี วกนั ขอ้ ตกลงเบ้อื งตน้ เกีย่ วกบั การประเมินการเรยี นรู้ 2.การประเมินด้วยการเปรียบเทียบผลงานระหว่างกันในกลุ่มท้ังหมดเป็นส่ิงที่เกือบไม่มี คณุ คา่ ใดๆ 2.การประเมินเรยี นรู้ท่เี นน้ ผู้เรียนรู้เป็นสาคัญมิใช่การสะท้อนปริมาณความรู้ท่ีมีอยู่แต่เป็น สะทอ้ นปฏิสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลกบั ส่ิงแวดล้อมและความสามารถทเี่ กิดขนึ้ 3.การประเมินการเรยี นรู้ทเ่ี นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั เป็นการประเมินสภาพจริงท่ีมีรากฐานทาง วทิ ยาศาสตรใ์ นการใหข้ อ้ มูลทางด้านการพฒั นาการความคดิ และจิตวทิ ยา 4.การประเมินการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญในการประเมินสภาพจริงที่ให้ข้อมูล สารสนเทศทีเ่ ทีย่ งตรงเก่ยี วกับผเู้ รียนรวมทงั้ กระบวนการทางการเรียนรู้ 5.การประเมินการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญเป็นการประเมินสภาพจริงต้องพิจารณา ถึงสตปิ ัญญาท่แี ตกตา่ งกนั ลีลาการเรียนรทู้ ่ีแตกตา่ งกันและสภาพการเรยี นรูท้ ่ีแตกตา่ งกัน และสะท้อนความ เข้าใจไดถ้ ูกต้องทสี่ ดุ จากความแตกต่างของมนุษย์ 6.การประเมนิ การเรยี นรูท้ ่ีเนน้ ผู้เรียนเป็นสาคญั เปน็ การประเมนิ สภาพจรงิ ทมี่ ีรากฐานจาก ความรดู้ า้ นการเจรญิ งอกงามและพัฒนาการของผ้เู รยี นทีส่ ามารถทานายการปฏิบัติในอนาคตไดเ้ ท่ยี งตรง 7.รูปแบบการประเมินเชิงคุณภาพสามารถให้ข้อมูลเก่ียวกับผู้เรียนได้อย่างเป็นปรนัยและ เชื่อถือได้ 8.การประเมินท่เี หมาะสมกบั พัฒนาการไดม้ าจากการพฒั นาหลกั สูตรได้อย่างเหมาะสมกับ พฒั นาการ และในทางกลับกันหลกั สูตรมีความเหมาะสมกบั พฒั นาการของผเู้ รียนจะได้มาจากการประเมินที่ เหมาะสมกับกับพฒั นาการ

15 9.การประเมินการเรียนรทู้ เี่ นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคัญเป็นการประเมินสภาพจริง ตอ้ งเปิดโอกาส ให้ผเู้ รยี นและผูส้ อนสะทอ้ นความคดิ เห็นตอ่ เป้าหมายและวิธกี ารท่นี าไปสเู้ ป้าหมายนัน้ ได้ การประเมินการเรยี นรูท้ เี่ น้นผู้เรยี นเป็นสาคญั มลี ักษณะสาคัญของการประเมนิ 2.เป็นการประเมินสภาพจรงิ ทม่ี ่งุ รวบรวมสารสนเทศของพฒั นาการและการเรียน 2.เป็นการประเมินสภาพจริงท่ีมุ่งเน้นพฒั นาการท่เี กิดข้นึ อย่างเดน่ ชดั 3.เป็นการประเมินสภาพจริงที่เป็นผลพวงมาจากการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้น ผู้เรียนเปน็ สาคญั 4.เป็นการประเมินสภาพจริงที่สอดคล้องกบั ชวี ติ จรงิ 5.เป็นการประเมินสภาพจริงท่ีอาศยั การปฏบิ ตั ิ 6.เป็นการประเมินสภาพจรงิ ที่สอดคลอ้ งกลมกลืนกบั การเรียนการสอน 7.เป็นการประเมินสภาพจริงที่เน้นการเรยี นรอู้ ย่างมจี ดุ หมาย 8.เปน็ การประเมนิ สภาพจริงที่ตอ้ งดาเนนิ ควบคไู่ ปกับทกุ สภาพแวดล้อม 9.เป็นการประเมินสภาพจริงที่สามารถให้ภาพเร่ืองราวการเรียนรู้ และความสามารถของ ผู้เรยี นทัว่ ไปและกว้างขวาง 10.เป็นการประเมินสภาพจริงท่ีต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างผู้ปกครอง ครู และ นักเรยี น รวมท้งั บคุ คลในวิชาชพี อ่ืนๆ ตามความเป็นจริง สมชาย รัตนทองคา (2554) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอน ควรมีการตรวจสอบคุณภาพของ ผู้เรียน ผู้สอน และกระบวนการสอนเป็นระยะๆ (Formative evaluation) เพื่อพิจารณาตรวจสอบว่า ผู้เรียนมีคุณสมบัติหรือเกิดพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ตรงตามวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนตรงตามท่ี กาหนดไว้หรือไม่ กระบวนการวัดและประเมินผลน้ีจะพยายามทาให้ได้ข้อมูลจากการจัดการเรียนการสอน เพอ่ื นามาใชว้ เิ คราะห์ และตัดสนิ ใจว่า การสอนดังกล่าวนั้นบรรลุผลหรือไม่ (Summative evaluation) นา ผลการตดั สนิ ใจเพ่ือประโยชนใ์ นการจดั ลาดบั เลอ่ื นชน้ั เรยี นและพัฒนาปรับปรุงการเรียนการสอนคร้ังต่อไป ซ่งึ มลี กั ษณะการประเมินผลทางการศึกษาท่นี ิยมใช้มี 2 ลักษณะ ดงั นี้ 2) ประเมินผลเพื่อการพัฒนา (Formative evaluation) เป็นการประเมินผลระหว่างการจัดการ เรยี นการสอน นยิ มใชเ้ พ่อื ตรวจสอบการเรยี นรู้และความก้าวหนา้ ของผเู้ รยี นหรือปรบั ปรุงคุณภาพการเรียน การสอน มกั ใชแ้ บบทดสอบ การสงั เกต การซกั ถาม หรอื เคร่ืองมือวัดอื่นๆ ที่เหมาะสม ระยะเวลามักทาเมื่อ สนิ้ สุดการเรยี นการสอนเรือ่ งหน่งึ ๆ 2) การประเมินผลสรุป (Summative evaluation) เป็นการประเมินผลเม่ือสิ้นสุดการเรียนการ สอนแล้ว มวี ตั ถุประสงคเ์ พือ่ ประเมนิ ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ ของผ้เู รียนมักทาปลายภาคการศึกษา และตัดสิน ผลการเรียน โดยมเี กณฑต์ ดั สนิ ทช่ี ัดเจน เชน่ การตัดสินแบบอิงกลมุ่ (เกรด A, B, C, D, F) การตดั สินแบบ

16 อิงเกณฑ์ (60 เปอร์เซ็นต์ สอบผ่าน) เป็นต้น โดยจะต้องกาหนดเป้าหมายหรือสิ่งท่ีจะวัดให้ชัดเจนว่าจะ ประเมินอะไรและประเมินอย่างไร จากนั้นจึงเลือกใช้เคร่ืองมือและเทคนิคท่ีสอดคล้องกับส่ิงที่จะประเมิน หากไมม่ ีเครอ่ื งมอื ที่เป็นมาตรฐาน มักนิยมสร้างขึ้นเองอย่างมีหลักการ และขั้นตอนสุดท้ายคือการนาวิธีการ และเคร่ืองมือไปประเมินอย่างไม่มีอคติและยุติธรรม ผู้วัดควรตระหนักว่าการวัดผลจะมีความคาดเคลื่อน หรือขอ้ ผิดพลาดเสมอ จะเหน็ ไดว้ า่ การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 มีการใช้กระบวนการที่หลากกลาย เพื่อให้นักศึกษา เกิดกระบวนการของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิดอย่างเป็นระบบ โดยผ่านกระบวนการในรูปแบบ ใหม่ ที่ประกอบด้วย การใช้เทคโนโลยีที่หลากหลาย การกากับติดตามเพ่ือให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้ของ ตนเองได้ และการสร้างใหเ้ กดิ ทางานเปน็ ทีม รวมไปถงึ ประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือให้เกิดผลลัพธ์ท่ี เห็นเป็นรูปธรรม และเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนอื่ งแกน่ กั ศกึ ษา การจัดการเรียนการสอนแบบสะเต็ม (STEM EDUCATION) ความหมายและลักษณะ สะเต็มศึกษา (STEM Education) หมายถงึ แนวทางการจัดการศึกษาทบี่ รู ณาการ 4 สาขาวชิ าที่ สาคญั เขา้ ดว้ ยกัน ประกอบด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ โดยเนน้ การนา ความรู้ไปใช้แก้ปญั หาในชวี ติ ประจาวัน รวมทั้งการพัฒนากระบวนการหรอื ผลผลิตใหม่ เพ่ือใหเ้ กดิ การ สร้างสรรคส์ ิ่งใหมๆ่ ท่สี ามารถนาไปใช้แก้ปัญหาได้ในโลกแห่งความเป็นจรงิ ในสถานการณป์ ัจจบุ นั (มนตรี จฬุ าวัฒนฑล, 2556; สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย,ี 2556; อภิสทิ ธิ์ ธงชยั และคณะ, 2555; Breiner et al., 2012; และ Lantz, 2009) ในขณะที่ รักษพล ธนานวุ งศ์ (2556) ได้ใหค้ วามหมายของสะเต็มไว้วา่ การเรียนรู้เน้ือหาและทักษะ ด้านวิชาวิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) ล้วนแต่เป็นวิชาหลักท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีความรู้ความสามารถท่ีจะ ดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในโลกแห่งศตวรรษท่ี 21 ท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความเป็นโลกาภิ- วัตน์ ตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของความรู้ และเต็มไปด้วยเทคโนโลยี อีกท้ังวิชาท้ัง 4 วิชาน้ีมีความสาคัญอย่างมาก กบั การเพม่ิ ขดี ความสามารถในการแข่งขนั ทางเศรษฐกจิ และการพฒั นาคณุ ภาพชวี ิต Dejarnette (2012); Breiner, Harkness, Johnson, & Koehler, (2012) และ พรทิพย์ ศิริภัทธา ชัย (2556) มแี นวคิดท่สี อดคลอ้ งกนั กลา่ วคอื เน้นการสง่ เสรมิ และการพัฒนาทักษะสาคัญในโลกยุคโลกา- ภิวัตน์หรือทักษะที่จาเป็นสาหรับศตวรรษท่ี 21 โดยให้ความหมายของสะเต็มศึกษาว่า คือการสอนแบบ บูรณาการข้ามกลุ่มสาระวิชา (Interdisciplinary Integration) ระหว่าง ศาสตร์สาขาต่างๆได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science: S) เทคโนโลยี (Technology: T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineer: E) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics: M) โดยนาจุดเด่นของธรรมชาติ ตลอดจนวิธีการสอนของแต่ละสาขาวิชามา ผสมผสานกนั อย่างลงตัว เพ่ือให้ผู้เรียนนาความรู้ทุกแขนงมาใช้ในการแก้ปัญหา การค้นคว้าและการพัฒนา สิ่งตา่ งๆในสถานการณ์โลกปจั จุบนั ซง่ึ ต้องอาศยั การจดั การเรียนรูท้ ีค่ รผู ู้สอนหลายสาขารว่ มมือกัน เพราะ

17 ในการทางานจริงหรือในชีวิตประจาวันนั้นต้องใช้ความรู้หลายด้านในการทางาน ไม่ได้แยกใช้ความรู้เป็น สว่ นๆ ดังน้ัน สะเต็มศึกษา (STEM: Science Technology Engineering and Mathematics Education) จึงหมายถึง การเรียนการสอนแบบบูรณาการ โดยการบรู ณาการความรู้จากศาสตร์ท้ัง 4 วิชาท่ี ได้จากการนาจุดเด่นของธรรมชาติในแต่ละศาสตร์มารวมให้เป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science: S) เทคโนโลยี (Technology: T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineer: E) และคณิตศาสตร์ (Mathematics: M) ตลอดจนนาวิธีการสอนของแต่ละสาขาวิชามาผสมผสานกันเพื่อให้ผู้เรียนนาความรู้มา ใช้ในการแก้ปัญหา การค้นคว้าและการพัฒนาส่ิงต่างๆ ก่อให้เกิดทักษะท่ีจาเป็นสาหรับศตวรรษท่ี 21 และ เกดิ การเรียนรูอ้ ยา่ งต่อเน่ือง ทฤษฎีการเรียนรู้ท่ีสนับสนุนแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษาคือ ทฤษฎีคอน สตรัคติวิสต์ (constructivist theory) หรือ คอนสตรัคติวิซึม (constructivism ) เป็นทฤษฎีท่ีให้ ความสาคัญกบั ตวั ผ้เู รียน เช่อื วา่ ผ้เู รยี นสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง แนวความคิดของทฤษฎีนี้คือ การ เรียนรู้ที่ดีเกิดจากการสร้างพลังความรู้ในตนเองและด้วยตนเองของผู้เรียน หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้าง ความคิดและนาความคิดของตนเอง ไปสร้างสรรค์ชิ้นงานโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะทาให้ เห็นความคิดน้ันเป็นรูปธรรมท่ีชัดเจน ความรู้ท่ีผู้เรียนสร้างข้ึนในตนเองน้ี จะมีความหมายต่อผู้เรียน จะอยู่ คงทน ผูเ้ รยี นจะไม่ลืมง่าย และจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจความคิดของตนได้ดี และยังจะเป็นฐานให้ ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ต่อไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยครูมีบทบาทในการจัดบริบทการเรียนรู้ ต้ัง คาถามท่ีท้าทายความสามารถ กระตุ้นสนับสนุน ให้ผู้เรียนเกิดการสร้างความรู้ และให้ความช่วยเหลือ ผู้เรียนในทกุ ๆ ด้าน (ทิศนา แขมมณ,ี 2554; กมลฉตั ร กล่อมอม่ิ , 2559; อนชุ า โสมาบตุ ร, 2556) องค์ประกอบของ STEM สะเต็มศึกษาเป็นการเช่ือมโยงวิชาการกับโลกแห่งความเป็นจริง ดังน้ันสะเต็มศึกษาจึงต้องปรับ วิธีการเรียนการสอนที่ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 2) หลักสูตรจะต้องเน้นการบูรณาการระหว่าง วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรม (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) เป็นสะเต็ม (STEM) นอกจากสาระความรู้แล้ว หลักสูตรยังต้องเน้นทักษะการคิดและการ ประยุกต์ใช้แก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรมเพ่ือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 2) การพัฒนาอาจารย์ให้ สามารถสอนในแนวสะเต็มศึกษา และ 3) ปรับการประเมินผลการเรียนท่ีสอดคล้องกับสาระและทักษะทาง สะเต็มด้วย เพ่ือนาความรูท้ ไ่ี ด้ ไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ ในอนาคต (มนตรี จฬุ าวฒั นฑล, 2556) ในขณะท่ี อภิสิทธิ์ ธงไชย และคณะ (2555) อธิบายว่า STEM ประกอบด้วย 1) วิทยาศาสตร์ (S) เน้นเกี่ยวกับความเข้าใจใน ธรรมชาติ โดยใช้วิธีการสอนวิทยาศาสตร์ด้วยกระบวนการสืบเสาะ (Inquiry- based Science Teaching) และกิจกรรมการสอนแบบแก้ปัญหา (Scientific Problem-based Activities) 2) เทคโนโลยี (T) เป็นวิชาที่เก่ียวกับกระบวนการ แก้ปัญหา ปรับปรุง พัฒนาส่ิงต่างๆ หรือ กระบวนการต่างๆ เพ่ือตอบสนองความต้องการของคนเราโดยผ่านกระบวนการทางานทางเทคโนโลยีท่ี เรียกว่า Engineering Design หรือ Design Process ซ่ึงคล้ายกับกระบวนการสืบเสาะ 3) วิศวกรรมศาสตร์ (E) เปน็ วิชาทีว่ ่าดว้ ยการคิด สร้างสรรค์ พฒั นานวัตกรรมต่างๆให้กบั ผเู้ รียน โดยใช้ ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี และ 4) คณิตศาสตร์ (M) เป็นวิชาที่มิได้หมายถึงการนับ จานวนเท่าน้ัน แต่เกี่ยวกับองค์ประกอบอ่ืนที่สาคัญ ประการแรกคือ กระบวนการคิดคณิตศาสตร์

18 (Mathematical Thinking) ซ่ึงได้แก่การเปรียบเทียบ การจาแนก/จัดกลุ่มการ จัดแบบรูป และการบอก รูปร่างและคุณสมบัติ ประการท่ีสอง ภาษาคณิตศาสตร์ ผู้เรียนจะสามารถถ่ายทอดความคิดหรือ ความ เข้าใจความคิดรวบยอด (Concept) ทางคณิตศาสตร์ได้ โดยใช้ภาษาคณิตศาสตร์ในการสื่อสาร เช่น มากกว่า น้อยกว่า เล็กกว่า ใหญ่กว่า ฯลฯ ประการสุดท้าย คือการส่งเสริมการคิด คณิตศาสตร์ข้ันสูง (Higher-Level Math Thinking) จากกจิ กรรมการเลน่ ของเดก็ หรอื การทากิจกรรมในชวี ติ ประจาวัน กระทรวงศึกษาธิการ (2559) โดยคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนสะเต็ม ศึกษาในสถานศึกษา ได้กาหนดนิยามของ \"สะเต็มศึกษา\" ว่า เป็นแนวทางการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้และสามารถบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และ คณิตศาสตร์ ไปใชใ้ นการเช่ือมโยงและแก้ปัญหาในชีวิตจริง รวมท้ังการพัฒนากระบวนการหรือผลผลิตใหม่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษท่ี 22 และได้กาหนดขั้นตอนการเรียนรู้ของกิจกรรม รปู แบบสะเตม็ ศึกษาไว้ 6 ขน้ั ตอน ตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2559 & ศนู ยส์ ะเตม็ ศกึ ษาแห่งชาติ, 2558) ได้แก่ ขั้นท่ี 2 ระบุปญั หาในชีวติ จริง/นวตั กรรมที่ต้องการพัฒนา ข้ันท่ี 2 รวบรวมข้อมูลและแนวคิดท่ีเกี่ยวข้อง ข้ันที่ 3 ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา ขั้นที่ 4 วางแผนและดาเนินการ แก้ปัญหา ข้ันท่ี 5 ทดสอบ ประเมนิ ผล และปรับปรงุ และขน้ั ที่ 6 นาเสนอวธิ กี ารแกป้ ญั หา ผลการแก้ปัญหา หรือผลการพฒั นานวตั กรรม ซงึ่ เข้าได้กับกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม ดังแสดงในภาพที่ 2 ภาพที่ 2 ข้ันตอนการเรียนรู้รูปแบบสะเต็มศึกษา6 ขนั้ ตอน ตามกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม ทม่ี า: ศูนยส์ ะเต็มศกึ ษาแห่งชาติ: คูม่ อื หลักสตู รอบรมครูสะเตม็ ศึกษา http://www.Stemed thailand.org/ wp-content/uploads/2015/03/newIntro-to-STEM.pdf.pdf

19 ขนั้ ตอนการเรยี นรู้ตามรปู แบบสะเต็มศึกษา 6 ในขนั้ ตอนน้ีสามารถสลับไปมาหรือย้อนกลบั ขน้ั ตอน ได้ รายละเอียดของแต่ละขน้ั มีดังต่อไปนี้ (ศนู ย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติ, 2558) ขั้นท่ี 2 ระบุปญั หาในชีวิตจริง/นวตั กรรมท่ตี ้องการพฒั นา การระบุปัญหา (Problem Identification) ขั้นตอนนี้เริ่มต้นจากการที่ผู้แก้ปัญหาตระหนักถึงสิ่ง ที่เป็นปัญหา และจาเป็นต้องหาวิธีการหรือสร้างส่ิงประดิษฐ์ (Innovation) เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งใน ขั้นตอนของการระบุปัญหา ผู้แก้ปัญหาต้องพิจารณาปัญหา และคานึงถึงกิจกรรมย่อยที่เกิดขึ้น เพื่อ ประกอบเป็นวิธีการในการแก้ปัญหาในภาพใหญ่ด้วย ข้ันที่ 2 รวบรวมข้อมูลและแนวคิดท่ีเก่ียวข้อง รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (Related Information Search) หลังจากผู้ แก้ปัญหา ทาความเข้าใจปัญหาและสามารถระบุปัญหาย่อยได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการรวบรวมข้อมูล และแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา คือ (1) การรวบรวมข้อมูล โดยการสืบค้นว่าเคยมีใครหาวิธี แก้ปัญหาดังกล่าวนี้แล้วหรือไม่ และหากมีเขาแก้ปัญหากันอย่างไรบ้าง และมีข้อเสนอแนะใดบ้าง (2) การ ค้นหาแนวคิด โดยหาแนวคิดหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อ การประยุกต์ในการแก้ปัญหาท่ีเกี่ยวข้อง ในขั้นตอนนี้ ผู้แก้ปัญหาควรพิจารณาแนวคิดหรือความรู้ทั้งหมด ท่ีสามารถ ใช้แก้ปัญหาและจดบันทึกแนวคิดไว้เป็นทางเลือก และหลังจากการรวบรวมแนวคิดได้แล้ว จึง ประเมินแนวคิด พิจารณาถึงความเป็นไปได้ ความคุ้มทุน ข้อดีและจุดอ่อน และความเหมาะสมกับปัญหา ดังกล่าว แล้วจึงเลือกแนวคิดหรือวิธีการที่เหมาะสมท่ีสุดในการแก้ปัญหา ข้ันที่ 3 ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (Solution Design) หลังจากเลือกแนวคิดท่ีเหมาะสมในการแก้ปัญหา แล้ว ข้ันตอนต่อไป คือ การนาความรู้ท่ีได้รวบรวมมาประยุกต์เพ่ือการออกแบบวิธีการ องค์ประกอบของ วิธีการหรือ ผลผลิต ท้ังนี้ ผู้แก้ปัญหาต้องอ้างอิงถึงความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีที่ รวบรวมได้ ประเมนิ ตัดสนิ ใจ เลือกและใชค้ วามรู้ท่ีได้มาในการสร้างเค้าโครงของวธิ กี ารแก้ปญั หา ขั้นท่ี 4 วางแผนและดาเนนิ การแกป้ ัญหา วางแผนและดาเนินการแก้ปัญหา (Planning and Development) หลังจากท่ีได้ออกแบบวิธีการ และ กาหนดเค้าโครงของวิธีการแก้ปัญหาแล้ว ข้ันตอนต่อไปคือการพัฒนาต้นแบบ (Prototype) ของสิ่งที่ ได้ออกแบบไว้ ในขั้นตอนน้ีผู้แก้ปัญหาต้องกาหนดข้ันตอนย่อยรวมท้ังกาหนดเป้าหมายและระยะเวลาใน การดาเนินการแตล่ ะข้ันตอนย่อยใหช้ ัดเจน ขัน้ ที่ 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรบั ปรงุ ทดสอบ ประเมินผลและปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (Testing, Evaluation and Design Improvement) เป็นข้ันตอนทดสอบและประเมนิ การใช้งานต้นแบบเพื่อแก้ปัญหา ผลที่ได้จากการ ทดสอบและ ประเมินอาจถูกนามาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา มากขน้ึ การทดสอบและการประเมนิ ผลสามารถเกดิ ขึ้นได้หลายครัง้ ในกระบวนการแก้ปญั หา ขั้นที่ 6 นาเสนอวธิ ีการแกป้ ญั หา ผลการแกป้ ญั หา หรอื ผลการพฒั นานวัตกรรม นาเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือช้ินงาน (Presentation) หลังจากการพัฒนา ปรับปรุง ทดสอบและประเมินวิธีการแก้ปัญหาหรือผลลัพธ์จนมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการ และการ นาเสนอขอ้ มลู ที่เข้าใจง่ายและนา่ สนใจสสู่ าธารณชน การสอนแบบสะเต็มจึงเป็นการสอนที่เป็นการบูรณาการ เน้นการคิดสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์ และการทางานเป็นทีม โดยใช้กระบวนการแก้ไขปัญหา ที่สามารถถ่ายทอดความคิด หรือสามารถเข้าใจ

20 ความคิดรวบยอดอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การระบุปัญหาจนถึงการนาเสนอผลลัพธ์ โดยผู้สอนต้องออกแบบ การสอนหรือกลยุทธท์ หี่ ลากหลาย ท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและก้าวทันเทคโนโลยี ในปจั จุบัน ซ่ึงเปน็ ไปตามข้นั ตอนการเรยี นรู้แบบสะเต็มศกึ ษาทั้ง 6 ขนั้ ตอน การจดั การเรียนรแู้ บบโครงงาน (Project-based learning) ความหมายและลักษณะ การเรียนรูแ้ บบโครงงาน มีแนวคิดสอดคล้องกับ John Dewey นักปฏิรูปการศึกษาของโลก เรื่อง “learning by doing” ซึ่งได้กล่าวว่า “Education is a process of living and not a preparation for future living.” (Dewey John, 1897: 79 cite in Jack Hassard, 2012 & cite in Douladeli Efstratia, 2014) เป็นการเนน้ การจัดการเรยี นรู้ทใี่ ห้ผู้เรียนได้รับประสบการณช์ ีวิตขณะท่ีเรยี นซึง่ การจัดการ เรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐานน้ันเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เนื่องจากผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติเพื่อฝึกทักษะต่างๆ ด้วยตนเองทุกขั้นตอน โดยมีผู้สอนเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ ซ่ึงโครงงานเป็นกิจกรรมที่สามารถจัด ได้ในทุกระดับการศึกษา การนาโครงงานมาเป็นกิจกรรมหนึ่งของการเรียนการสอน อาจเป็นการทางาน เดยี่ ว หรอื ทางานเป็นกลมุ่ ก็ได้ โดยเร่ิมกับโครงงานท่ีมีขนาดเล็กและไม่ซับซ้อนเกินไป โดยมีหลักการสาคัญ ในการทาโครงงานคือ เน้นความสนใจของผู้เรียนจริง ผู้เรียนคิดเอง ทาเอง แก้ปัญหาด้วยตนเอง เร่ิมต้ังแต่ คิดหาปญั หาทผี่ เู้ รยี นสนใจ วางแผน แก้ปญั หา คน้ คว้าหาข้อมลู ลงมอื ปฏบิ ัติ รวบรวมข้อมูล บันทึกผล แปล ผล สรุปผล และนาเสนอเพ่ือเผยแพร่แก่ผู้อ่ืน การทาโครงงานสามารถนาไปใช้ได้กับทุกรายวิชา (ลัดดา ภู่ เกียรต,ิ 2552: 21-22) การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการจัดประสบการณ์ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาเร่ืองใด เรื่องหน่ึงอย่างลุ่มลึก ให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่ศึกษา โดยให้ผู้เรียนได้สังเกตอย่างใกล้ชิดจาก แหล่งความรู้ เพ่ือค้นพบคาตอบในการจัดกิจกรรมตามวิธีการของผู้เรียนด้วยตนเอง เมื่อพบคาตอบก็นา ความรู้ท่ีได้มาเสนอในรูปแบบต่าง ๆ โดยนาเสนอต่อเพ่ือน ครู ผู้ปกครอง ทาให้เกิดความภาคภูมิใจใน ความสาเร็จนั้น (วัฒนา มัคคสมัน, 2551: 24) การเรียนการสอนแบบโครงงานจึงเป็นการปรับเปลี่ยน กระบวนการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองตามแนวคิดการเรียนท่ีให้ผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง โดยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิด โดยเร่ิมต้นที่ปัญหา และใช้กระบวนการทาโครงงานมาสร้าง ความร้หู รอื แก้ปัญหาน้ัน (สุวฒั น์ นิยมไทย, 2554) สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ผ่านการทางาน ตามหลักแนวคิดผู้เรียน เป็นศนู ยก์ ลาง ผเู้ รยี นได้เรียนรผู้ ่านการกระทากจิ กรรมโครงงานร่วมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของโครงงาน ทาใหผ้ เู้ รียนมีการชว่ ยเหลอื กัน แก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมาย ผู้เรียนได้ฝึกการแก้ปัญหาที่ เน้นกระบวนการคิด วางแผนการทางาน เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา อันนาไปสู่การคิดวิเคราะห์ การสืบค้น ขอ้ มลู ลงมอื ปฏบิ ัติ รวบรวมขอ้ มูล บนั ทึกผล แปลผล สรุปผล โดยมผี ู้สอนหรือผู้เช่ียวชาญให้คาปรึกษาและ กระตุ้นความคิดผู้เรียน จนเสร็จสิ้นโครงงาน ตลอดจนการนาเสนอผลงานซึ่งทาให้เกิดความภาคภูมิใจใน ความสาเรจ็ นนั้

21 ก ร ะ บ ว น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แ บ บ โ ค ร ง ง า น กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานแบ่งเป็น 3 ระยะ (สานักงานเลขาธิการสภา การศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2550) คือ ระยะที่1 การเริ่มต้นโครงงาน เป็นระยะที่ผู้สอนต้องสังเกต สร้างความสนใจ ให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียน เลือกเร่ืองที่จะศึกษาร่วมกัน ระยะท่ี2 การพัฒนาโครงงาน เป็นขั้นท่ีผู้เรียนกาหนดหัวข้อคาถาม หรือประเด็นปัญหา แลว้ ตัง้ สมสตุ ฐิ านเพอื่ ตอบคาถามเหล่านั้น ระยะที่ 3 ขั้นสรุป เป็นระยะที่ผู้สอน และผู้เรียนแบ่งปันประสบการณ์ การทางานและ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสาเร็จโดยผ้เู รยี นเขียนรายงานเป็นรูปแบบงานวิจัยเล็กๆ แล้วนาเสนอแผงโครงงาน ให้ ผู้สนใจได้รับรู้ สรุปและนาไปใชไ้ ด้ แ น ว คิ ด ข้ั น ต อ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แ บ บ โ ค ร ง ง า น แนวคิดท่ี 1 ข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานของสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงได้นาเสนอข้ันตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ไว้ 4 ขั้นตอน ดังน้ี (สานักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2550) ภาพ 3 ขัน้ ตอนการจดั การเรียนรแู้ บบโครงงาน สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ทมี่ า https://candmbsri.files.wordpress.com/2025/04/screen-shot-2558-04-07-at-22-04-24.png 1. ข้ันนาเสนอ หมายถึง ขั้นที่ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ กาหนดสถานการณ์ ศึกษา สถานการณ์ เล่นเกม ดูรูปภาพ หรือผู้สอนใช้เทคนิคการตั้งคาถามเก่ียวกับสาระการเรียนรู้ท่ีกาหนดใน แผนการจัดการเรียนรู้แต่ละแผน เช่น สาระการเรียนรู้ตามหลักสุตรและสาระการเรียนรู้ท่ีเป็นข้ันตอนของ โครงงานเพื่อใชเ้ ปน็ แนวทางในการวางแผนการเรยี นรู้ 2. ข้ันวางแผน หมายถงึ ขัน้ ทีผ่ ู้เรยี นรว่ มกนั วางแผน โดยการระดมความคดิ อภิปรายหารือข้อสรุป ของกล่มุ เพ่อื ใชเ้ ป็นแนวทางในการปฏิบตั ิ 3. ข้ันปฏิบัติ หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม เขียนสรุปรายงานผลท่ีเกิดข้ึนจากการวางแผน ร่วมกัน

22 4. ข้ันประเมินผล หมายถึง ข้ันการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดยให้บรรลุจุดประสงค์การ เรียนรทู้ ีก่ าหนดไว้ในแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยมผี ู้สอน ผเู้ รียนและเพื่อนรว่ มกนั ประเมนิ แนวคดิ ท่ี 2 ขั้นการจดั การเรยี นรูต้ าม โมเดลจกั รยานแหง่ การเรียนร้แู บบโครงงาน ของวิจารณ์ พาณชิ (2555) มาจากแนวคดิ ท่ีมีความเช่อื ว่า หากต้องการใหก้ ารเรยี นรู้มีพลงั และฝังในตวั ผู้เรียนได้ ตอ้ งเปน็ การ เรยี นรู้ท่เี รียนโดยการลงมือทาเปน็ โครงการ (Project) รว่ มมอื กันทาเปน็ ทีม และทากับปัญหาท่มี ีอยูใ่ นชีวติ จรงิ ซึ่งส่วนของวงล้อ แต่ละชิ้น ได้แก่ Define, Plan, Do, Review และ Presentation ภาพ 4 โมเดล จกั รยานแหง่ การเรียนรูแ้ บบโครงงาน ท่ีมา https://candmbsri.files.wordpress.com/2015/04/screen-shot-2558-04-07-at-12-04-33.png 1. Define คอื ข้ันตอนการทาใหส้ มาชิกของทีมงาน รว่ มท้ังผสู้ อนมคี วามชดั เจนร่วมกนั วา่ คาถาม ปัญหา ประเดน็ ความทา้ ทายของโครงการคืออะไร และเพื่อใหเ้ กดิ การเรยี นรู้อะไร 2. Plan คือ การวางแผนการทางานในโครงการ ผสู้ อนต้องวางแผน ทาหน้าที่โค้ช รวมท้ังเตรียม เครอื่ งอานวยความสะดวกในการทาโครงการของผู้เรยี น และทส่ี าคญั เตรยี มคาถามไว้ถามทีมงานเพ่ือ กระต้นุ ให้คดิ ถึงประเด็นสาคัญบางประเด็นที่ผู้เรียนมองขา้ ม โดยถือหลักว่า ผู้สอนต้องไม่เขา้ ไปช่วยเหลอื จน ทมี งานขาดโอกาสคดิ เองแก้ปัญหาเอง ผู้เรียนที่เป็นทีมงานก็ตอ้ งวางแผนงาน แบง่ หนา้ ที่รบั ผิดชอบ การ ประชมุ พบปะระหวา่ งทมี งาน การแลกเปล่ียนข้อค้นพบแลกเปล่ยี นคาถาม แลกเปลีย่ นวิธกี าร ย่งิ ทาความ เข้าใจรว่ มกนั ไว้ชัดเจนเพียงใด งานในขัน้ Do กจ็ ะสะดวกเลื่อนไหลดเี พียงนั้น 3. Do คอื การลงมือทา มักจะพบปัญหาทไ่ี ม่คาดคิดเสมอ ผู้เรียนจงึ จะไดเ้ รียนรู้ทักษะในการ แกป้ ญั หา การประสานงาน การทางานรว่ มกันเปน็ ทีม การจดั การความขัดแย้ง ทักษะในการทางานภายใต้ ทรพั ยากรจากัด ทักษะในการคน้ หาความรเู้ พ่มิ เติม ทักษะในการทางานในสภาพที่ทมี งานมคี วามแตกตา่ ง หลากหลาย ทักษะการทางานในสภาพกดดนั ทักษะในการบนั ทกึ ผลงาน ทักษะในการวิเคราะห์ผล และ แลกเปลี่ยนขอ้ วเิ คราะห์กบั เพื่อนรว่ มทมี เป็นต้น ในข้นั ตอน Do น้ี ผู้สอนจะได้มีโอกาสสงั เกตทาความรูจ้ ัก และเข้าใจศิษยเ์ ป็นรายคน และเรียนรู้การทาหนา้ ทกี่ ารเป็นโค้ชดว้ ย 4. Review คือ การท่ีทมี ผู้เรียนจะทบทวนการเรยี นรู้ ที่ไม่ใชแ่ ค่ทบทวนวา่ โครงการได้ผลตาม ความมงุ่ หมายหรือไม่ แตจ่ ะต้องเนน้ ทบทวนวา่ งานหรอื กิจกรรม หรอื พฤติกรรมแต่ละข้ันตอนได้ใหบ้ ทเรยี น อะไรบ้าง เอาทงั้ ขน้ั ตอนท่ีเปน็ ความสาเรจ็ และความลม้ เหลวมาทาความเขา้ ใจ และกาหนดวธิ ที างานใหม่ท่ี ถูกต้องเหมาะสมรวมท้ังเอาเหตกุ ารณ์ระทึกใจ หรอื เหตุการณ์ที่ภาคภูมใิ จ ประทับใจ มาแลกเปล่ียนเรยี นรู้

23 กัน ขัน้ ตอนนีเ้ ป็นการเรยี นรู้แบบทบทวนไตรต่ รอง (reflection) หรอื ในภาษา KM เรียกวา่ AAR (After Action Review) 5. Presentation คอื การนาเสนอโครงการต่อช้ันเรยี น เป็นขั้นตอนทีใ่ ห้การเรยี นรู้ทกั ษะอกี ชุด หนงึ่ ตอ่ เนอ่ื งกบั ขน้ั ตอน Review เป็นขั้นตอนท่ีทาให้เกิดการทบทวนข้ันตอนของงานและการเรยี นร้ทู ี่ เกิดขึน้ อยา่ งเข้มขน้ แลว้ เอามานาเสนอในรปู แบบทเี่ ร้าใจ ใหอ้ ารมณ์และให้ความรู้ (ปัญญา) ทมี งานของ ผู้เรยี นอาจสรา้ งนวัตกรรมในการนาเสนอกไ็ ด้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนาเสนอเป็นการรายงานหนา้ ช้ัน มี เพาเวอร์พอยท์ (PowerPoint) ประกอบ หรือจดั ทาวีดิทัศน์นาเสนอ หรือนาเสนอเป็นละคร เปน็ ตน้ แนวคิดท่ี 3 ขั้นตอนการจดั การเรียนรูแ้ บบโครงงาน 7 ขัน้ ตอน (ลัดดา ภูเ่ กียรติ, 2552) กลา่ วถงึ ในการทาโครงงานผู้สอนจะต้องเป็นพเ่ี ล้ียงใหค้ าแนะนาชว่ ยเหลือและฝึกทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตรเ์ ปน็ การปูพ้นื ฐาน ซง่ึ ประกอบด้วยข้นั ตอน 7 ขนั้ ดงั น้ี ขั้นที่ 1 การหาหัวข้อและการเลือกหวั เรื่องที่จะทาโครงงาน หัวขอ้ เรือ่ งต้องเป็นหวั ข้อท่ผี เู้ รียน สนใจจรงิ ๆ ในระยะแรกจึงไม่ควรกาหนดเปน็ รายวชิ าแต่เป็นเรื่องอะไรกไ็ ดท้ ่ผี ู้เรียนสนใจอยากค้นคว้าหา คาตอบ ผู้สอนจะต้องพจิ ารณาข้อมูลต่างๆ ประกอบเสียกอ่ นว่ามขี ้อมลู ตลอดจนแหล่งเรียนรเู้ พยี งพอ หรือไม่ในการทาโครงงานนน้ั ข้ันท่ี 2 การวางแผนในการทาโครงงาน ผเู้ รยี นตอ้ งคิดวางแผนลว่ งหน้าว่าจะทาอย่างไรชว่ งเวลา ใด จากการเขยี นเคา้ โครงงานนาเสนอผู้สอน โดยท่วั ไปจะเป็นการตอบคาถามว่าจะทาอะไร ทาไมต้องทา ใครบ้างเป็นผ้กู ระทา กระทาเมือ่ ใด ทาทไี่ หน และจะทาอย่างไร ดงั น้ันรายละเอียดในการทาโครงงานจะเปน็ เค้าโครงของส่งิ ท่ีคาดหวังว่าจะต้องปฏบิ ัติ กาหนดวิธีทางาน เพอื่ ให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์และรายละเอียดใน การทางานท่ีจะช่วยใหก้ ารปฏิบตั ิลลุ ว่ งไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ ขนั้ ท่ี 3 การลงมือทาโครงงาน เป็นการปฏบิ ัติการตามแผนทว่ี างไว้ ขัน้ ที่ 4 การบันทึกผลการปฏิบัตงิ าน เมื่อได้ข้อมลู จากการบันทึกแล้วผเู้ รียนจะต้องแปลผล และ สรปุ ผลการทดลองพร้อมทงั้ อภปิ รายผลของการศกึ ษาค้นควา้ หากไม่ตรงตามสมมตฐิ านทีต่ ั้งไวจ้ ะตอ้ งบอก ขอ้ บกพร่องทีเ่ กดิ ขึน้ ได้ ข้นั ท่ี 5 การเขียนรายงาน เป็นการเสนอผลจากการศึกษาค้นควา้ ในรูปแบบของรายงานเพ่อื ให้ ผ้อู นื่ ไดท้ ราบและเขา้ ใจถึงแนวคิด วธิ กี ารศึกษาค้นคว้าและสงิ่ ทีท่ าการศึกษาว่ามีผลเป็นอยา่ งไรดว้ ยการใช้ ภาษาทีอ่ ่านเข้าใจง่าย ชดั เจน ส้นั ตรงไปตรงมา และครอบคลุมหัวขอ้ ต่างๆ ทเ่ี กย่ี วข้องกับโครงงาน ข้นั ที่ 6 การนาเสนอโครงงาน หลงั จากทไ่ี ด้ศกึ ษาและหาวิธกี ารในการแก้ปัญหาไดผ้ ลออกมาแล้วจะต้องนาความรทู้ ี่ได้มาเผยแพร่ให้ผู้อื่น ไดร้ บั ทราบในรปู ของรายงานหรือเอกสาร หรอื รายงานปากเปล่าดว้ ยสอ่ื เพาวเ์ วอร์พอยต์ (Power Point) หรือ นทิ รรศการเปน็ ตน้ ขนั้ ที่ 7 การประเมินผลโครงงาน ควรประเมนิ ให้ครบทงั้ 3 ด้าน ไดแ้ ก่ ด้านการเตรยี มการ ดาเนินงาน ด้านการดาเนินงาน และด้านผลของโครงการ จะเห็นได้ว่าบทบาทของผู้สอน ในการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานนั้นมีความสาคัญมาก สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2550) ได้เสนอแนะในเรื่องบทบาทของผู้สอนไว้ ดังนี้ คือ 1. จัดให้มี การปฐมนิเทศการจดั การเรียนรู้ด้วยโครงงาน เพื่อให้รู้ถึงหลักการ วัตถุประสงค์ ประโยชน์ ปัจจัยสาคัญใน การทาโครงงาน ปัญหาอุปสรรคต่างๆอันอาจจะเกิดข้ึน 2. ให้คาปรึกษาในการดาเนินงานของผู้เรียนทุก ข้ันตอน 3. ติดตาม สอบถามความก้าวหน้า ดูแลการทาโครงงานของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด 4. สังเกต และ ประเมินการทากิจกรรมของผู้เรียน และ5. สรุปการทางาน และเสนอแนะการทางานของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม

24 โดยรวม การเรียนรู้แบบโครงงานจึงเป็นวิธีการเรียนรู้ท่ีสร้างสรรค์ โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โครงงาน ล้วนเกิดจากความสนใจใคร่รู้ของผู้เรียนที่อยากจะศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติเก่ียวกับสิ่งท่ีผู้เรียนสนใจ โดยใช้ทักษะ กระบวนการศึกษาอย่างเป็นระบบและมีขั้นตอนต่อเนื่อง มีการวางแผนในการศึกษา แล้วลง มือปฏิบัติตามแผนงานท่ีวางไว้ จนได้ข้อสรุปหรือผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ของโครงงาน โดยมีผู้สอน หรอื ผู้เชย่ี วชาญเปน็ ท่ปี รกึ ษาของโครงการ ทักษะศตวรรษที่ 21 ความหมายของทกั ษะศตวรรษท่ี 21 ศตวรรษท่ี 21 (21st) หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ.2001 – ค.ศ.2100 หรือ พ.ศ.2544 – พ.ศ. 2643 (ทรูปลูกปัญญา, 2561) ซึ่งนักวิชาการได้ให้ความหมายของทักษะในศตวรรษที่ 21 ไว้หลากหลาย เช่น หมายถึง ความสามารถพเิ ศษที่เด็กจะต้องพัฒนาเพ่ือให้สามารถเตรียมตัวไว้สาหรับความท้าทายในการ ทางานและการดารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21 (Pearson Education, Inc., 2009) หมายถึง “ทักษะท่ีสาคัญท่ี นกั เรียนพึงมเี พอื่ ให้ประสบความสาเรจ็ ในการเรยี น การทางาน และการดารงชีวิต” (Partnership for 21st Century Skills, 2011) หมายถงึ “ทักษะการดารงชีวติ ทค่ี นในศตวรรษท่ี 21 ทุกคนจะต้องเรียนรู้ ต้ังแต่ชั้น อนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัยและตลอดชีวิต เพื่อเผชิญกับการเปล่ียนแปลงท่ีรวดเร็ว รุนแรง พลิกผัน และ คาดไมถ่ ึงได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ” (วจิ ารณ์ พานชิ , 2555) ดังนั้นทักษะในศตวรรษที่ 21 จึงหมายถึง ความสามารถและทักษะท่ีสาคัญท่ีต้องมีในตัวบุคคล เพือ่ ให้ประสบความสาเร็จในการเรียน การทางาน สามารถปรับตัว และดารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21 ได้อย่าง มปี ระสทิ ธิภาพ พรอ้ มตอ่ การเรยี นร้ตู ลอดชีวติ เพอื่ เผชญิ กบั การเปลยี่ นแปลงที่รวดเร็ว แนวคิดเกย่ี วกับทักษะในศตวรรษท่ี 21 ภาคีเพ่ือทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century Skills, 2011) ได้นาเสนอ กรอบแนวความคิดเพือ่ การเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21 ทาใหม้ ีการตื่นตัวเป็นอย่างมากในวงการศึกษาทั้งในและ ต่างประเทศ การเสนอแนวความคิดเก่ียวกับทักษะท่ีจาเป็นในศตวรรษที่ 21 ส่งผลให้กระบวนทัศน์ทาง การศึกษาเปลี่ยนแปลงไป มีการนาเสนอความคิดอย่างเป็นองค์รวม และเป็นระบบเพื่อใช้เป็นฐานในการ ปรับความคิดและฟ้ืนฟูการศึกษา และจัดทากรอบความคิดรวบยอด ท่ีเรียกว่า Rainbow Model (ตัวแบบ ประกายรุ้ง) ซ่ึงประกอบด้วยส่วนท่ี1 เป็นด้านผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียน ได้แก่ ทักษะต่างๆ ที่เกิดจากการบูร ณาการความรู้วิชาแกน และเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ เช่น ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ทักษะ ด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีมและภาวะผู้นา ทักษะด้านการสื่อสาร ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีสารสนเทศ ทกั ษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ เปน็ ตน้ และส่วนท2ี่ เป็นระบบสนับสนุนการศึกษา ของศตวรรษที่21 ซง่ึ เป็นปัจจยั สนับสนุนทีจ่ ะทาใหผ้ เู้ รียนเกดิ ประสทิ ธิภาพสงู สดุ ทางการเรยี นรู้ดังภาพท่ี 3

25 ภาพที่ 5 กรอบแนวความคดิ เพ่อื การเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 ทมี่ า: http://www.p21.org/our-work/p21-framework การจัดการศึกษาจึงมุ่งยกระดับเน้นให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง เช่น การคิด สร้างสรรค์ การคิดแก้ปัญหา การคิดแบบวิจารณญาณ ฯลฯ การศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงต้องเตรียมผลิต บัณฑิตท่ีพร้อมต่อการเรียนรู้ (learning person) และเตรียมบัณฑิตที่มีความรู้เพื่อออกไปทางาน (knowledge worker) เพ่ือให้สามารถเผชิญต่อการเปล่ียนแปลงที่รวดเร็ว รุนแรง พลิกผัน และคาดไม่ถึง บัณฑิตตอ้ งใช้ทักษะศตวรรษท่ี21 ในการปรบั ตัวเพื่อใช้ในการดารงชีวิตในสังคมแห่งความเปล่ียนแปลง (พร ทพิ ย์ ศริ ิภทั ราชยั , 2556; วจิ ารณ์ พานิช, 2556) องคป์ ระกอบทกั ษะแหง่ ศตวรรษท2่ี 1 ยทุ ธศาสตรใ์ นการจดั การเรยี นรเู้ พอื่ การดารงชีวติ ในสังคมแห่งความเปลี่ยนแปลง เน้นท่ีองค์ความรู้ ทกั ษะ ความเช่ียวชาญ และสมรรถนะทีเ่ กิดกบั ผเู้ รียน การเรียนร้ตู ลอดชวี ติ เป็นกุญแจที่สาคัญ ซึ่งTrilling & Fadel (2009) ได้เสนอแนวคิดทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ประกอบด้วยการเรียนรู้3Rs x 7Cs โดย 3Rs คือ Reading (การอ่าน) (W)Riting (การเขียน) และ (A)Rithemetics (คิดเลขเป็น) ส่วน 7Cs ได้แก่ ทักษะด้าน การคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ และการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะด้านการ สร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity & Innovation) ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่าง กระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding) ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีมและภาวะ ผู้นา(Collaboration, Teamwork & Leadership) ทักษะด้านการส่ือสาร สารสนเทศและรู้เท่าทันส่ือ (Communication, Information & Medial Literacy) ทักษะดา้ นคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (Computing and ICT literacy) และทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career & learning self- reliance) โดยมรี ายละเอยี ดของแตล่ ะทกั ษะดงั ตอ่ ไปน้ี ทักษะ 3Rs ได้แก่ Reading (อ่านออก), (W)Riting(เขียนได้), และ (A)Rithemetics (คิดเลขเป็น) หมายถึง ความสามารถทางด้านการอ่านภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ได้ถูกต้องตามอักขระ อ่านแล้วเข้าใจ เน้ือหา และตีความเรื่องท่ีอ่านได้ตรงประเด็น มีความสามารถในการเขียนได้ดี และถูกต้องต ามหลัก ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ สื่อสารได้ตรงประเด็น มีความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์พื้นฐานและ สามารถประยกุ ต์ใชห้ ลักทางคณติ ศาสตรแ์ ละสถติ ใิ นการพยาบาลได้

26 ทักษะ 7Cs ประกอบด้วยทักษะด้านต่างๆ คือ ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการ แก้ปัญหา (Critical thinking and Problem solving) หมายถึง ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ คิด อย่างเป็นระบบและใช้เหตุผลในการตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ทักษะด้านการคิด สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม (Creativity & Innovation) หมายถึง ความสามารถในการคิดริเร่มิ สร้างสรรค์ คิด เชิงบวก เพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้ และนวัตกรรมในการพัฒนางาน ทักษะด้านความเข้าใจต่าง วฒั นธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural Understanding) หมายถึงความเข้าใจในความแตกต่างของ บุคคลและยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะ ผู้นา (Collaboration, Teamwork & Leadership) หมายถึงความสามารถในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การ ทางานเป็นทีม การแสดงภาวะผู้นาเพ่ือบรรลุสู่ความสาเร็จตามเป้าหมาย ทักษะด้านการสื่อสาร การรู้เท่า ทันสารสนเทศ และการรู้เท่าทันสื่อ (Communication, Information & Medial Literacy) หมายถึง ความสามารถในการเข้าถึง ค้นหา วิเคราะห์ ประเมนิ และถา่ ยทอดขอ้ มลู ข่าวสาร ความสามารถในการใช้สื่อ สารสนเทศต่างๆ ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT literacy) หมายถึง ความสามารถทางด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career & learning self-reliance) หมายถึง ความสามารถในการ ปรับตัว ความยืดหยุ่น ความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตนเองและสังคม การเป็นแบบอย่างท่ีดี และ แนวทางในการบรรลเุ ปา้ หมายไดด้ ว้ ยตนเอง และมกี ารเรียนรดู้ ้วยตนเองตลอดชวี ิต ทักษะ3Rs และทักษะ 7Cs เป็นทักษะพ้ืนฐานท่ีสาคัญในการพัฒนาผู้เรียน เป็นแนวทางการ พัฒนาการเรียนการสอนในทุกๆหลักสูตร ให้สามารถเชื่อมโยงความรู้ไปสู่การปฏิบัติ ให้ผู้เรียนเกิดการคิด วเิ คราะห์ การคดิ เชิงวพิ ากษ์ และการคิดเชงิ สรา้ งสรรค์ สามารถนาส่ิงท่ีได้เรียนรู้ไปเช่ือมโยงเข้ากับชีวิตและ สงั คม พฒั นาบณั ฑิตเพื่อการเปลี่ยนผ่าน และสามารถปรบั ตัวเผชิญตอ่ การเปลย่ี นแปลงได้ ปจั จยั ท่เี กี่ยวข้องกับทักษะศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดทักษะศตวรรษที่ 21 ประกอบไปด้วยปัจจัยที่สาคัญ ดังน้ี (จรสั ศรี เพช็ รคง, 2558) 1. ปัจจัยด้านผู้สอน ได้แก่ คุณภาพการสอนของผู้สอน รวมถึง การจัดการเรียนการสอน พฤตกิ รรมการสอนของอาจารย์ มีความสาคัญอย่างมาก โดยคาจากัดความของ คุณภาพการสอนของผู้สอน กลา่ วคือ คณุ ภาพการสอนของอาจารย์ หมายถึง เทคนคิ ในการสอนของผู้สอนท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดผลลัพธ์ การเรียนรู้ตามหลักสูตรกาหนด ประกอบด้วย ความสามารถในการออกแบบหลักสูตรและเนื้อหาในการ สอน การกระตนุ้ ใหเ้ กดิ กระบวนการเรยี นร้ทู หี่ ลากหลาย เช่น การศึกษาอิสระ (Independent study) การ เรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน (Project-based learning) การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning) และการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experimentation) เป็นต้น และผู้สอนต้องใช้การให้ข้อมูล ป้อนกลบั (Feed back) และการประเมนิ ผลการเรียนร้ทู มี่ ปี ระสิทธภิ าพ รวมถึงการปรับสภาพแวดล้อมการ เรียนรทู้ เ่ี หมาะสมและเอือ้ ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน (Henard, F; and Roseveare, D., 2012) คุณภาพการ สอนของผสู้ อนเป็นปัจจัยที่สาคัญต่อคุณภาพของผลผลิตทางการศึกษา ดังน้ันการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ ของผ้สู อนสาคัญต่อการสร้างบัณฑติ ที่มีความพร้อมท้ังทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และจิตใจ หลอ่ หลอมใหเ้ ปน็ บัณฑิตทีม่ ีคุณภาพ ทาหน้าทเ่ี ป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง ซึ่ง สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการของสงั คมยุคศตวรรษท่ี 21

27 2. ปจั จัยด้านตวั ผเู้ รียน ได้แก่ 2.1 พฤติกรรมการเรยี น เปน็ การกระทาส่ิงใด ๆ กต็ าม โดยการแสดงออกผา่ นทางกริยา อาการ และปฏิบัติตน เป็นการตอบสนอง ปฏิกิริยา หรือวิธีการและเทคนิคในการเรียนของผู้เรียนท่ี เก่ียวข้องกับการศึกษาเล่าเรียน ซ่ึงมีจัดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ เจตคติ ให้บรรลุจุดประสงค์ (พิศทุ ธ์ิ บัวเปรมและสชุ ิรา นวลกาแหง, 2555) 2.2 แรงจงู ใจในการเรียนรู้ คอื ศกั ยภาพหรือพลังที่มอี ยใู่ นแตล่ ะบุคคลทจี่ ะผลักดนั ใหบ้ คุ คล แสดงพฤติกรรมเพือ่ บรรลเุ ป้าหมายในการเรียนรู้หรือสอดคล้องกับความต้องการของตนเอง ซึ่งแรงจูงใจจะ เป็นกลไกที่ไปกระตุ้นพลังของร่างกายให้เกิดการกระทาและเป็นแรงผลักดันให้ร่างกายมีพลัง เกิดความ กระตือรือร้นท่ีจะกระทาอย่างมีทิศทางและมีเป้าหมายชัดเจน (กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์, 2552) ดังน้ันการ สร้างแรงจูงใจในการเรียนจึงเป็นสิ่งสาคัญของการจัดการเรียนการสอน ทาให้การเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพ สมั ฤทธ์ิผล 2.3การเรียนรูแ้ บบนาตนเอง หมายถึง การที่ผเู้ รียนเปน็ ผู้ริเริ่มการเรียนด้วยตนเอง เปน็ การ เรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนรู้ มีวิธีการเลือกและแสวงหาความรู้ มี กระบวนการเรียนรู้ ได้แก่ การกาหนดเป้าหมายการเรียน การวางแผนการเรียน การค้นหาและเลือกแหล่ง เรียนรู้ รวมถึงการมที ักษะการตดั สินใจ การทางานร่วมกับผู้อื่น ซ่ึงการเรียนรู้แบบนาตนเองประกอบด้วย 2 มิติ คือ มิติของกระบวนการ (Process) และมิติของผลผลิต (Product) (จรัสศรี เพ็ชรคง, 2558) โดยการ เรยี นรูแ้ บบนาตนเองมคี วามสาคัญยิ่งตอ่ การเรียนยุคศตวรรษที่ 21 เพราะการจัดการศึกษาเป็นกระบวนการ จดั การศึกษาทม่ี ุ่งเนน้ ผู้เรยี นใหร้ ้จู กั การเรยี นรู้ แสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเองในรปู แบบและวิธีการที่หลากหลาย และรักท่จี ะเรยี นรตู้ อ่ เน่ืองตลอดชีวิต 2.4 สัมพนั ธภาพในกลุ่มเพอื่ น หมายถงึ การที่ผเู้ รียนและเพอ่ื นทม่ี ีปฏิบตั ติ ่อกันในทางทด่ี ี ซ่งึ แสดงออกโดยการพดู คยุ การให้คาแนะนาปรึกษา การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ และข้อมูลท่ี เปน็ ประโยชนต์ อ่ กนั อย่างจรงิ ใจ ยอมรับฟังซ่ึงกันและกนั ช่วยเหลือเกื้อกลู กนั ช่ืนชมใหก้ าลังใจมีความรักผูก ผนั กนั ไว้วางใจกัน เห็นอกเห็นใจ เข้าใจ ให้การยอมรับและยกย่อง ให้อภัย สนิทสนมกลมเกลียวกัน (เรวดี นามทองดี, 2554) ซึ่งอิทธิผลท่ีมีผลต่อวัยเรียนเป็นอย่างมากคือเพื่อน ซ่ึงการมีสัมพันธภาพระหว่างเพ่ือน น้ันมีความสัมพันธ์ทางบวกกับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิของผู้เรียนมากท่ีสุด (ฤทัยรัตน์ ชิดมงคลและเปรมฤดี บริบาล, 2554) 3. ปจั จยั ด้านสิง่ แวดล้อม ได้แก่ 3.1 สภาพแวดลอ้ มท่เี ออื้ ตอ่ การเรียนรู้ หมายถึง องค์ประกอบต่างๆ ภายในสถานศึกษาให้เอื้อ ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เช่น สภาพห้องเรียน สื่อ อุปกรณ์ การเรียนการสอนต่าง ๆ ควรมีการจัดสิ่งแวดล้อมท่ีช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ซง่ึ มีผลอยา่ งยิ่งตอ่ การเรยี นรู้ท้ังทางตรงและทางออ้ ม (อารียา สตารัตน์, 2556) 3.2 บรรยากาศในการเรียนรู้ หมายถึง สภาพการจัดการเรียนการสอน บรรยากาศทั้งใน ห้องเรียนและนอกหอ้ งเรยี น ท่สี ง่ ผลต่อการรบั รู้หรือการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยบรรยากาศท่ีดี จะส่งเสริมให้ ผูเ้ รยี นมสี ขุ ภาพจติ ดี มีความตัง้ ใจ ใช้เวลาในการเรียนเต็มท่ี ในทางกลับกันบรรยากาศที่ไม่ดีจะเป็นอุปสรรค ต่อการเรียนรู้ ทาให้ผู้เรียนไม่สนใจ ไม่ต้ังใจเรียน ดังนั้นการสร้างบรรยากาศที่ดีในการเรียนจึงเป็นส่ว น สาคัญอย่างหน่ึงทจ่ี ะนาผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้อย่างเตม็ ศกั ยภาพ จินตนา ศิริธัญญารัตน์ (2556) ศึกษาเร่ือง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่ บรู ณาการกลยุทธ์การพฒั นาทกั ษะการคิดข้ันสูง เพ่ือส่งเสรมิ ทักษะการคดิ ขัน้ สูงศตวรรษที่ 21 และจิต

28 วิทยาศาตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา โดยรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่บูรณาการกลยุทธ์ การพัฒนาการคิดข้ันสูงเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดข้ันสูงในศตวรรษท่ี 21 และจิตวิทยาศาตร์ของนักเรียน ระดบั มัธยมศึกษา มชี อ่ื ว่า PIAEIED Model มอี งค์ประกอบคอื หลักการวัตถุประสงค์ การบวนการเรียนการ สอน และเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ กระบวนการเรียนการสอนมี 7 ขนั้ ตอน ประกอบด้วย 1. ข้ันเตรียมความพร้อมด้านความรู้และทักษะที่จาเป็น (Preparing Essential Knowledge and Skills) 2) ขั้นรวมกันต้ังคาถามเพ่ือการสืบเสาะและการแก้ปัญหา (Identifying Enquiry Question and Problem Solving) 3) ขั้นร่วมกันวิเคราะห์เจาะลึกความรู้และแนวทางการแก้ปัญหา (Analyzing and Examining Deeper Knowledge and Solutions) 4) ข้ันประเมินแนวทางการแก้ปัญหาและระบุวิธีการแก้ปัญหา (Evaluation and Identifying Solution Methodology) 5) ขน้ั ดาเนินการสบื เสาะและแก้ปญั หา (Investigating and Problem Solving) 6) ขั้นขยายความรู้ (Extending of New Knowledge) 7) ขน้ั การพฒั นาและเผยแพร่ (Developing and Distributing the Results) จะเห็นได้ว่าการศึกษาการจัดการสอนรูปแบบของศตวรรษที่ 21 เป็นปัจจัยสนับสนุนที่จะทาให้ ผู้เรียนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ที่ผู้เรียนควรมีทักษะต่างๆ ท้ัง 3Rs และ 7Cs เพ่ือให้เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ทั้งต่อระบบ ต่ออาจารย์ผู้สอน และต่อนักศึกษา และ สามารถพฒั นารปู แบบใหด้ ยี ง่ิ ขนึ้ ไดต้ ่อไป งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้องกับการจัดการเรยี นรู้ตามแนวคิดสะเตม็ ศกึ ษา การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา (STEM Education) ผู้วิจัยได้ทบทวน และศึกษา งานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ งกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคดิ สะเตม็ ศึกษา ดังน้ี Shields (2006: 2-15) ศึกษาผลของโครงการ Engineering is Elementary ในโรงเรียนระดับ ประถมศึกษาของนวิ เจอรซ่ีจานวน 12 โรงเรยี นโดยให้ครจู ดั การเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ในหัวข้อ ลมและ นา้ ให้กับนักเรยี นในระดบั เกรด 3-5 จานวน 450 คน พบว่า นักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหา และมี ความกระตือรือร้นในการเรียนเพ่ิมมากข้ึนจากการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ท่ีเน้นกระบวนการ ออกแบบทางวิศวกรรม และมีความรู้สึกเชิงบวกกับการเรียนทางด้านวิศวกรรม ด้านครูผู้สอนทาให้เกิด ความรู้สกึ ท้าทายและมีความสนใจท่ีจะสอนวิทยาศาสตร์โดยเน้นกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม วรรณา รงุ ลักษมีศรี (2551) ศกึ ษาผลการเรียนการสอนท่เี น้นกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรมที่ มีตอ่ ความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ขั้นผสมผสานของ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนสาธิตพบว่า นักเรียนกลุ่มที่เรียนวิทยาศาสตร์โดยการจัดการเรียน การสอนทเ่ี น้นกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม มคี ะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงวิทยาศาสตร์

29 และคะแนนทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้นั ผสมผสานเฉลีย่ สูงกว่ากลุ่มที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบทั่วไป อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 และนกั เรยี นมีความสนใจเรยี นคณติ ศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ มากขึ้น ปรียานุชและอุทิศ (2553) ศกึ ษาผลการจดั การเรียนร้โู ดยใช้ปัญหาเป็นฐานเชื่อมโยงกับแนวคิดของ สะเต็มศึกษาต่อการคิดไตร่ตรอง การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการคิดไตร่ตรองของผู้เรียนท่ีได้รับการ จัดการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐานเชื่อมโยงกับแนวคิดของสะเต็มศึกษา และศึกษาความพึงพอใจของ ผู้เรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเช่ือมโยงกับแนวคิดของสะเต็มศึกษา โดยใช้การวิจัย แบบกึ่งทดลอง กลุ่มตวั อย่างเป็นนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย จังหวัดนครพนม ประจาภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2559 จานวน 71 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการ จัดการเรยี นรู้ แบบทดสอบวดั การคดิ ไตร่ตรองก่อนเรียนและหลังเรียน และ แบบสอบถามวัดความพึงพอใจ ทาการวเิ คราะห์ข้อมลู โดยใช้สถติ พิ ้นื ฐานการทดสอบที (t-test) และ ANCOVA ผลการวิจัยพบว่านักเรียนที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเชื่อมโยงกับแนวคิดของสะเต็มศึกษามีการคิดไตร่ตรองหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน และสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสาคัญท่ีระดับ .05 และนกั เรยี นมคี วามพึงพอใจตอ่ การจัดการเรียนรโู้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐานเช่ือมโยงกับแนวคิดของสะเต็มศึกษา อยู่ในระดบั มาก ศิริลักษณ์ ชาวลุ่มบัว และสุนีย์ เหมะประสิทธ์ิ (2558) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการ แบบ STEM รายวิชาวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม เร่ือง อ้อย สาหรับมัธยมศึกษาช้ันปีท่ี 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การพฒั นาหลักสตู รบรู ณาการแบบ STEM รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์เพ่มิ เตมิ เรอ่ื ง อ้อย สาหรบั มัธยมศึกษาช้ันปี ที่ 3 2) ศึกษาคุณภาพของหลักสูตรจากการประเมินความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและจากผลการทดลองใช้ หลักสูตรทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ด้านความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ด้านความตระหนักต่อสิ่งแวดล้อม และด้านความคิดเห็นของครูท่ีมีต่อหลักสูตร ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pretest-Posttest Design ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการแบบ STEM รายวิชาวิทยาศาสตร์เพ่ิมเติมที่พัฒนาข้ึน สอดคล้องอยู่ในระดับมาก ผลการทดลองใช้หลักสูตร พบว่า ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียนหลงั ทดลองใช้หลักสูตรบูรณาการสูงกว่าก่อนทดลองใช้หลักสูตรอย่างมี นัยสาคัญท่ีระดับ .01 ส่วนด้านความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ด้านความตระหนักต่อ สิ่งแวดล้อมของนักเรียนหลังทดลองใช้หลักสูตรสูงกว่าก่อนการทดลองใช้หลักสูตรอย่างมีนัยสาคัญที่ระดับ .05 นอกจากน้คี รมู ีความคิดเห็นเชิงบวกต่อหลกั สูตรบรู ณาการในทุกด้าน Ntemngwa, และ Oliver (2018) ศกึ ษาการใช้บทเรียนสะเต็มแบบบูรณาการภายในหลักสูตร ที่มี การมงุ่ เนน้ ด้านวิทยาศาสตรเ์ พียงเรอ่ื งเดียว และพัฒนาทฤษฎีการสอนโดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน การสอนที่ ได้รับการกาหนดแนวความคิดโดยผู้บริหารและครูของโรงเรียนเพ่ือให้นักเรียนวิทยาศาสตร์ระดับ มัธยมศึกษาได้มีการสอนในช้ันเรียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งหลักสูตรวิทยาศาสตร์ได้รับการแก้ไขเพ่ือรวม กิจกรรมสะเต็มแบบบูรณาการ โดยศึกษาลักษณะของการให้คาแนะนาโดยการเผชิญหน้าระหว่างครูและ การรับรู้ของนักเรียน และครูเกี่ยวกับการสอนสะเต็มแบบบูรณาการ ด้วยวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิง คุณภาพ จากการสัมภาษณ์และการสังเกตจากช้ันเรียน และวิเคราะห์โดยใช้วิธีการเชิงทฤษฎีโดยเฉพาะ วิธกี ารเปรียบเทยี บแบบคงที่ ผลการศกึ ษาพบว่า ครูต้องการการสนับสนุนจากครผู ูเ้ ชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี

30 เพ่ือทจ่ี ะประสบความสาเร็จในการสอบแบบสะเต็มแบบบูรณาการ นอกจากนี้พบว่า ครูไม่ได้มีการปรับปรุง หลักสูตรวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ แต่เลือกกิจกรรมสะเต็มแบบบูรณาการเพ่ือให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และ เปา้ หมายของหลักสูตรวิทยาศาสตรโ์ ดยรวม ในขณะท่ี Çevik และ Özgünay (2018) สารวจมุมมองของครวู ิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยสี ารสนเทศ ท่ีทางานในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาและผูบ้ รหิ ารของโรงเรียน ซึ่งครเู หลา่ นกี้ าลงั ทางาน เกย่ี วกับ STEM งานวิจยั นีเ้ ปน็ แบบผสมผสานเชงิ ปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพ เพื่อให้ไดค้ วามเหน็ ของครู เก่ยี วกบั การศกึ ษาแบบ STEM โดยตรง การวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพถกู นามาใช้ในการทาความเข้าใจมุมมองของ ผบู้ รหิ ารเกีย่ วกบั การศึกษา STEM อยา่ งละเอยี ด กลุ่มตัวอย่างทที่ าการศึกษาประกอบด้วยผ้สู อนภาคสนาม 136 คนที่ทางานในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนตน้ และโรงเรียนเอกชนรวม 21 แห่ง และผู้บริหารโรงเรยี น 45 คน ท่ที างานในโรงเรยี นเหล่าน้ี ผลการวิจัยพบวา่ ในมุมมองของครูช้ีวา่ ผลกระทบของ STEM ตอ่ นักเรียนสูง กว่าผลกระทบต่อหลักสูตร และครใู นแตล่ ะกลุ่มย่อยของการวิจยั เชงิ ปริมาณ ท่ีดาเนนิ การกับครผู สู้ อน ไม่ พบความสัมพันธร์ ะหว่างตัวแปรเหลา่ นี้กับตวั แปรเพศและสาขา ในทานองเดยี วกันผู้บริหารระบุว่า STEM มี ประสทิ ธภิ าพมากข้นึ ในนักเรียน ครูไม่พร้อมท่ีจะสอน STEM พวกเขาจาเปน็ ตอ้ งฝึกตัวเองเพ่ือใช้ STEM ใน หลักสตู รและหลักสตู รควรเตรียมบนพืน้ ฐานของ STEM นัสรินทร บือซา (2557) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา (STEM Education) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา ความสามารถในการแก้ปัญหาและความพึงพอใจต่อการจัดการ เรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี5 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี5/1 กาลัง ศึกษาในภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา2557 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร อาเภอเมือง จังหวัด ปตั ตานี จานวน 1 ห้องเรียน นักเรียน 39 คน โดยใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา 18 ช่ัวโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาท่ีมี ข้ันตอน การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เรื่อง การสืบพันธ์ุของพืชดอกและการเจริญเติบโต แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา แบบวัดความสามารถในการแกปญหา แบบวัดความพึงพอใจต่อการ จดั การเรยี นรู้ แบบบนั ทึกภาคสนามและแบบสัมภาษณ์ ซ่ึงดาเนินการทดลองแบบกลุ่มทดลองหนึ่งกลุ่ม วัด ผลกอ่ นและหลงั การทดลอง (One group Pretest-Posttest Design) วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉล่ีย สวน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test dependent group ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดสะเต็มศึกษามีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนชีววิทยา ความสามารถในการแก้ปัญหา หลังเรียนสูงกว่า กอ่ นเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ริ ะดบั .01 และ นักเรียนมคี วามพงึ พอใจต่อการจดั การเรียนรูตามแนวคิด สะเต็มศึกษา (STEM Education) อยู่ในระดบั มาก จากงานวจิ ยั ที่เก่ียวข้องกับการจดั การเรยี นรูตามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษา (STEM Education) เ ห็ น ไ ด้ อย่างชัดเจนถึงผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เพิ่มมากขึ้นในผู้เรียนซ่ึงเกิดจากการใช้กระบวนการออกแบบทาง วิศวกรรม สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2559) ได้รวบรวมงานวิจัย และจัดทารายงานการวิจัย เพ่ือ จดั ทาข้อเสนอนโยบายการส่งเสริมการจัดการศึกษาด้านสะเต็มศึกษาของประเทศไทย ศึกษาข้อมูลเอกสาร และ งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องท้ังของไทยและต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ประเทศจีน และเกาหลีใต้ ซึ่งการพัฒนาสะเต็มศึกษาของประเทศเหล่าน้ีมีความเหมือนและ แตกต่างกันตามบริบทและจุดเน้นของแต่ละประเทศ เพื่อจัดทาข้อเสนอนโยบายการส่งเสริมการจัด

31 การศึกษาด้านสะเต็มศึกษาของประเทศไทย สะเต็มจึงเป็นความหมายของ “องค์ความรู้ทักษะท่ีจาเป็นใน การดาเนนิ ชีวติ และการทางานที่เกิดจากการบูรณาการศาสตร์ทั้งส่ีเข้าด้วยกัน”สะเต็มศึกษาจึงมีความสาคัญ ต่อประเทศในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นประชากรท่ีมีคุณภาพ มีทักษะการคิด การเรียนรู้ มี ความสามารถในการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ต่างๆ ในการแก้ปัญหา และมีความคิดสร้างสรรค์ท่ีจะสร้าง นวัตกรรมต่างๆ สะเต็มศึกษาจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมท่ีจะนาพาประเทศออกจากกับดักประเทศรายได้ ปานกลาง สะเต็มศกึ ษาเปน็ การพฒั นาโครงสรา้ งพ้ืนฐานทางด้านทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ส่งเสริมและ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และเป็นการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศในมิติต่างๆ ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาภายใต้แนวคิดสะเต็มศึกษา จึงเป็นทางออกท่ีจะช่วย พฒั นาประเทศอยา่ งมั่นคง มง่ั ค่ังและย่งั ยืน ง า น วิ จั ย ที่ เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แ บ บ โ ค ร ง ง า น ดุสิต ขาวเหลือง (2554) ศึกษาเร่ืองผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานของนิสิตระดับ ปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กลุ่มตัวอย่างเป็น นิสติ สาขาวิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่มีผลการเรียนสูงและ ผลการเรยี นต่าจานวน 70 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม โดยใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง เลอื กหอ้ งทผ่ี วู้ จิ ยั ได้รบั มอบหมายใหท้ าการสอนเป็นกลมุ่ ทดลอง เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน และกลุ่มควบคุมเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบปกติ ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีการ ทดสอบหลังเรยี นด้วยแบบทดสอบวัดระดับทักษะการคิด การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ความ เบย่ี งเบนมาตรฐาน การทดสอบคา่ ที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า คะแนน ทกั ษะการคดิ ของนิสติ ทีเ่ รยี นดว้ ยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานกับนิสิตท่ีเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ แบบปกติแตกตา่ งกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และนิสิตกลุ่มท่ีมีผลการเรียนสูงกับนิสิตกลุ่มที่มี ผลการเรียนต่ามีคะแนนของระดับทักษะการคิดแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ พบว่าคะแนนความสามารถในการทาโครงงานของนิสิตที่เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานกับ นิสิตท่ีเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบปกติแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนิสิตมี ความคิดเห็นต่อกระบวนการทาโครงงานในภาพรวมอยู่ในระดับดี เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า มีความ คิดเห็นอยู่ในระดับดีมากโดยเรียงลาดับ จากคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยห้าอันดับแรกได้แก่ กระบวนการทาโครงงานช่วยให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการทางานมากข้ึน ช่วยเพ่ิมทักษะในการสืบค้น ข้อมูล สามารถนาความรู้และประสบการณ์จากการเรียนไปประยุกต์ใช้ในการทางานได้ ส่งเสริมและ สนบั สนนุ ใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ด้วยตนเอง และเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียน ไดเ้ ลือกประเดน็ ศกึ ษาเนื้อหาที่ตนเอง สนใจ ส่วนอันดับสุดท้ายอยู่ในระดับดี ได้แก่ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีการใช้ทรัพยากรช่วยสนับสนุนการ เรยี นทหี่ ลากหลาย สิทธิพล อาจอินทร์ และธีรชัย เนตรถนอมศักดิ์ (2554) ศึกษาเร่ือง การจัดการเรียนรู้โดยใช้ โครงการเป็นฐานในรายวิชาการพัฒนาหลักสูตร สาหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตร 5 ปี รูปแบบ การวจิ ยั เปน็ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ัติการ (Action Research) กลุ่มเป้าหมายเป็นนักศกึ ษาช้ันปีที่ 4 สาขาวิชาการ สอนภาษาญ่ีปุ่น และ ศิลปศึกษา ตามหลักสูตร 5 ปี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จานวน 53 คน ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงการเป็นฐานใน รายวิชาการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย การวางแผนและจัดทา โครงการศึกษาดา้ นหลักสูตร การไปศึกษาดงู านท่ีสถานศึกษา การเก็บ

32 รวบรวมข้อมูลการศึกษาดูงาน และการเขียนรายงานผลโครงการศึกษาดูงาน รวมทั้งการนาเสนอผล การศึกษาดูงาน การจัดกระบวนการเรียนรู้ดังกล่าว ส่งผลให้นักศึกษา มีความรู้ ความเข้าใจใน กระบวนการพัฒนาหลกั สตู รของสถานศกึ ษา ไดท้ ราบปัญหาและอุปสรรคในการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา พร้อมท้ังแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งทราบแนวทางในการนาหลักสูตรไปใช้ และการประเมิน หลักสูตร 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาท่ีเรียนโดยใช้โครงการเป็นฐานมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 24.72 คิดเป็นร้อยละ 82.40 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ที่กาหนดไว้ร้อยละ 80 และมีจานวนนักศึกษาท่ีผ่านเกณฑ์ที่กาหนด ไว้ จานวน 41 คน คิดเป็นร้อยละ 77.36 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ร้อยละ 75 และ 3) นักศึกษา มีความ พงึ พอใจต่อการจัดการเรียนร้โู ดยใชโ้ ครงการเป็นฐาน ในภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก ปิญาดา ฤกษ์อนันต์. (2554). การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการ เขียนภาษาอังกฤษ ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒปทุมวัน. เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน แบบทดสอบความสามารถในการเขียน ภาษาอังกฤษ แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนภาษาอังกฤษดว้ ยโครงงาน และแบบบันทึกการเรียนรู้ สถิตทื ่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูลได้แก่ คา่ เฉลย่ี คา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน และการทดสอบที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานสามารถพัฒนาความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียน ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรยี นสาธติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน สูงขึ้นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และพบว่าการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานมีผลต่อความพึงพอใจของนักเรียนในการเรียน ภาษาอังกฤษดว้ ยโครงงานอยใู่ นระดับสงู กฤษณา อุดมโภชน์ ภาณวุ ัฒน์ ภักดีวงศ์ และสภุ าพร พงศภ์ ิญโญโอภาส (2556) ศกึ ษาเรอื่ ง ผลของ การสอนแบบโครงงานท่ีมีต่อทักษะการแสวงหาความรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวังเจ้าวิทยาคม อ.วัง เจ้า จ.ตาก สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 38 สุโขทัย-ตาก จานวน 30 คน เครื่องมือที่ ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบโครงงาน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนและ 3) แบบประเมินทักษะการแสวงหาความรู้ วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยสถิติพ้ืนฐานและการ ทดสอบคา่ ที ผลการวจิ ัยพบว่านกั เรียนที่ได้รับการสอนแบบโครงงาน มีคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลัง เรียนสูงกว่ากอ่ นเรียน อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05 และมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และพบว่านักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอน แบบโครงงาน มที กั ษะการแสวงหาความรู้ หลงั เรยี นสงู กว่าเกณฑ์ อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติที่ระดบั .05 ประกายมาศ บุญสมปอง และสุเทพ อ่วมเจริญ (2558) ศึกษาเรื่อง การศึกษากระบวนการเรียนรู้ แบบโครงงานเร่ือง ความปลอดภัยในชีวิตของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี2 เป็นการวิจัยเชิงทดลอง แบบ กลมุ่ เดียวสอบก่อนและสอบหลัง (One Group Pretest-Posttest Design) โดย กล่มุ ตวั อย่าง เป็นนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านไทรทอง จานวน 32 คน ท่ีเรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster sampling ) เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจดั การเรยี นรู้สาระสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา เร่ืองความปลอดภยั ในชีวติ 2) แบบประเมินกระบวนการ ทาโครงงาน 3) แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ เร่ือง ความปลอดภัยในชีวิต 4) แบบสอบถามความคิดเห็น ของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานการ วิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหา ค่าเฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent ผลการวิจัยพบว่า ผลการเรียนรู้เร่ืองความปลอดภัยในชีวิตหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศกึ ษากระบวนการทาโครงงาน เรื่อง ความปลอดภัยในชีวิตของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า

33 ความสามารถในการทาโครงงานของนักเรียนโดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง ผลการศึกษาความคิดเห็น ของนักเรียนท่ีมีต่อการทาโครงงาน พบว่าความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อการทาโครงงาน อยู่ในระดับเห็น ด้วยมากทีส่ ดุ (mean=4.31, S.D.=0.11) ดลนภา หงษท์ อง, พิมพิมล วงศไ์ ชยา, สมศรี สัจจะสกลุ รตั น์ และยทุ ธการ ประพากรณ (2557) ศึกษาผลของการจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน ในรายวชิ ากายวภิ าคศาสตร์และสรรี วิทยา ใน นักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนพี ะเยา กลุม่ เป้าหมายคอื นักศึกษา พยาบาลศาสตรบัณฑติ ชัน้ ปีท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2556 จานวน 106 คน ของวทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พะเยา ผลการวจิ ยั พบวา่ กระบวนการจดั การเรียนรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐานในรายวชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละ สรีรวิทยา ประกอบไปดว้ ย 4 ระยะ คือ ระยะเร่ิมต้นโครงงาน, ระยะวางแผนโครงงาน, ระยะดาเนิน โครงงาน และ ระยะสรปุ โครงงาน ผลการจดั การ เรยี นรแู้ บบโครงงานประสบผลสาเรจ็ เป็นอยา่ งดโี ดยพบวา่ นกั ศึกษาสามารถผลติ โครงงานส่อื การเรียนการสอนในรายวิชาได้ ทั้งสิน้ 10 โครงงาน มีการพัฒนาของ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน โดยนักศึกษามีคะแนนเกรดเฉล่ียในรายวิชาเท่ากับ 2.67 ซึง่ สูง กว่าเกณฑท์ ่ีกาหนด ไว้ (2.50) นักศึกษามีความพึงพอใจอยูใ่ นระดับมาก อกี ทั้งยังไดผ้ ลสาเร็จสืบเนื่อง คือ ผลงานโครงงานสือ่ การสอนของนักศึกษาได้รบั รางวัลระดับยอดเยยี่ ม และ ดเี ดน่ จากการนาเสนอผลงานนวัตกรรม ในการ ประชมุ วิชาการระดบั ชาติ และการไดร้ บั รางวัลชนะเลศิ จากการแขง่ ขนั ตอบปัญหาวชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละ สรีรวิทยา จากวทิ ยาลัยเครอื ขา่ ยภาคเหนือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน มีความเหมาะสมกบั การจดั การเรียนการสอนในรายวชิ ากายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา ดงั นน้ั ควรนาไปทดลองใชจ้ ดั การเรียน การสอนในรายวชิ าอื่นๆ ต่อไป วรรณรตั น์ ลาวงั และสุวรรณา จันทร์ประเสรฐิ . (2561). การใชเ้ ทคนิคการเรยี นรู้แบบโครงการเป็น ฐานเพื่อการเสริมสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนิสิตพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการ พยาบาลเวชปฏิบัติชุมชน กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการ พยาบาลเวชปฏิบัติชุมชน คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ท่ีลงทะเบียนเรียนรายวิชา 101505 การพยาบาลเวชปฏิบตั ิชุมชน 2 ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จานวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยเป็นแผนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน และแบบสอบถาม ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนิสิตพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต ท่ีให้ผู้เรียนเป็นผู้ประเมินตนเอง วิเคราะห์ ข้อมูลเปรยี บเทียบทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ระหวา่ งก่อนและหลังการเรียนโดยการทดสอบด้วย สถิติวิลคอก ซนั ผลการวิจยั พบว่ากล่มุ ตัวอยา่ งท่เี ข้าร่วมการจัดการเรยี นการสอนโดยเทคนคิ การเรยี นรูแ้ บบโครงการเป็น ฐานมีคะแนนเฉลี่ยทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .005 การวิจัยน้ีเสนอแนะว่า การพัฒนาพยาบาลเวชปฏิบัติชุมชนให้มีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ผู้สอนต้อง เปลยี่ นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นเฉพาะการบรรยายมาเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ี เนน้ การเรียนรู้ตามปญั หาและความสนใจของผู้เรยี นโดยใช้เทคนคิ การเรยี นรู้แบบโครงการเป็นฐาน งานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้องกับทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 จินตนา ศิริธัญญารัตน์ (2556) ศึกษาเร่ือง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่ บรู ณาการกลยุทธ์การพฒั นาทักษะการคิดข้ันสูง เพ่อื ส่งเสรมิ ทักษะการคิดข้นั สูงศตวรรษที่ 21 และจิตวิทยา ศาตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา โดยรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่บูรณาการกลยุทธ์การ พัฒนาการคิดข้ันสูงเพ่ือส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 และจิตวิทยาศาตร์ของนักเรียนระดับ

34 มัธยมศกึ ษา มีช่ือว่า PIAEIED Model มีองค์ประกอบคือ หลักการวัตถุประสงค์ การบวนการเรียนการสอน และเงื่อนไขการนารูปแบบไปใช้ กระบวนการเรียนการสอนมี 7 ข้ันตอน คือ 1) ขั้นเตรียมความพร้อมด้าน ความรู้และทักษะที่จาเป็น (Preparing Essential Knowledge and Skills) 2) ข้ันรวมกันต้ังคาถามเพื่อ การสืบเสาะและการแก้ปัญหา (Identifying Enquiry Question and Problem Solving) 3) ข้ันร่วมกัน วิเคราะห์เจาะลึกความรู้และแนวทางการแก้ปัญหา (Analyzing and Examining Deeper Knowledge and Solutions) 4) ข้ันประเมินแนวทางการแก้ปัญหาและระบุวิธีการแก้ปัญหา (Evaluation and Identifying Solution Methodology) 5) ข้ันดาเนินการสืบเสาะและแก้ปัญหา (Investigating and Problem Solving) 6) ข้ันขยายความรู้ (Extending of New Knowledge) 7) ข้ันการพัฒนาและเผยแพร่ (Developing and Distributing the Results) โดยท่ีรูปแบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ (PIAEIED Model) ท่ีพัฒนาขึ้นน้ีมีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.86/84.14 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ท่ีกาหนดไว้ พบว่า ภายหลงั การจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน (PIAEIED Model) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ในการเรยี นวิทยาศาสตร์ และจติ วิทยาศาสตร์ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และมี ผลต่อทักษะการคิดข้ันสูงในศตวรรษที่ 21 ด้านการคิดเชิงวิพากษ์และจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียน โดยใช้รูปแบบการสอน (PIAEIED Model) มีพัฒนาการสูงขึ้นในช่วงเวลาระหว่างเรียน ด้านการคิด แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์อยู่ในระดับดี ความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อการใช้รูปแบบการเรียนการสอน (PIAEIED Model) ภาพรวมอยูใ่ นระดับเหน็ ดว้ ยมากทีส่ ดุ ทิพย์ระวี รักษ์ศรี (2556) ศึกษาเร่ือง การศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของบัณฑิตไทยใน ศตวรรษท่ี 21 และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบัณฑิต ของนักศึกษาคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีสมรรถนะของบัณฑิตไทยใน ศตวรรษท่ี 21 โดยเฉล่ียอยู่ในระดับมาก คือ ด้านบุคลิกอุปนิสัย ด้านทักษะ ด้านความรู้ และด้านการคิด ตามลาดับ และมีลักษณะที่พึงประสงค์ในบัณฑิต คณะครุศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉล่ียอยู่ในระดับมาก คือลักษณะทั่วไป และคุณลักษณะเด่น ตามลาดับ และผลการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาใน ภาควิชาต่างกนั มสี มรรถนะของบณั ฑิตไทยในศตวรรษท่ี 21 และคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของบัณฑิตคณะ ครศุ าสตรอ์ ตุ สาหกรรมและเทคโนโลยี แตกต่างกนั อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .05 และแนวทางในการ พัฒนาสมรรถนะของบัณฑิตไทยในศตวรรษที่ 21 และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบัณฑิต คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ประกอบด้วย ขบวนการในการพัฒนาสมรรถนะของบัณฑิตไทยในศตวรรษที่ 21 และกิจกรรมในการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของบัณฑิต คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและ เทคโนโลยี ได้แก่ โครงการสหกิจศึกษา การฝึกปฏิบัติงานในสถานศึกษา โครงการบริการวิชาการแก่สังคม ในภาควิชาต่างๆ กิจกรรมส่งเสริมความรู้และการเรียนการสอนแบบบูรณาการ การส่งเสริมการเรียนการ สอนภาษาอังกฤษ กิจกรรมอ่นื ๆทพ่ี ฒั นานักศึกษา กมลรัตน์ และคณะ (2558) ศกึ ษาเร่ืองทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ของนกั ศึกษาพยาบาล ในวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ช้ันปีที่ 1 ถึง 4 จานวน 517 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ท่ีคณะผู้วิจัยพัฒนาข้ึน ประกอบด้วย การเรียนรู้ 3R x 7C โดย 3R คือ การอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์ และ 7C ได้แก่ทักษะ1) ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการ แกป้ ญั หา 2) ด้านการสร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรม 3) ด้านความเขา้ ใจความตา่ งวฒั นธรรมต่างกระบวนทัศน์ 4)

35 ดา้ นความร่วมมือ การทางานเปน็ ทีม และภาวะผู้นา 5) ดา้ นการสื่อสาร สารสนเทศและรู้เท่าทันส่ือ 6) ด้าน คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร 7) ด้านอาชีพและทักษะการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และทดสอบความ แตกต่างรายคขู่ อง Scheffe ผลการวจิ ัยพบวา่ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 โดยรวม ของนักศึกษาพยาบาล อยู่ ในระดบั ดที กุ ชั้นปียกเว้นชน้ั ปที ี่ 1 อยู่ในระดับปานกลาง ทักษะด้านการอ่านและด้านการเขียน เป็นด้านท่ีมี ค่าเฉลี่ยคะแนนต่าที่สุด ในทุกช้ันปี (x= 3.07-3.54, SD = 0.45-0.64) โดยเฉพาะการอ่านและเขียน ภาษาองั กฤษพบวา่ ต่ากวา่ ขอ้ อ่ืนๆ ด้านท่ีมีค่าเฉล่ียคะแนนสูงกว่าด้านอื่นๆ ได้แก่ด้านความเข้าใจความต่าง วัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ ด้านอาชีพและทักษะการเรียนรู้ และด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (x= 3.99-4.35, SD = 0.53-0.63; x= 4.05-4.28, SD = 0.41-0.49; และx= 4.21-4.31, SD = 0.47-0.57 ตามลาดบั ) ผลการทดสอบความแตกต่างพบว่าทักษะโดยรวมของนักศึกษาใน แตล่ ะช้นั ปีมีความแตกต่างกนั โดยนกั ศกึ ษาชัน้ ปที ี่ 4 มที กั ษะสงู กว่าชั้นปี ที่ 3, 2, และ 1 ตามลาดับ ดังนั้น จงึ ควรพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพื่อสง่ เสริมทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 อยา่ งเปน็ ระบบ เอกชัย พุทธสอน (2556) ศึกษาเร่ืองแนวโน้มการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 สาหรับนักศึกษาผู้ใหญ่ ผลการวิเคราะห์พบว่าทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สาหรับนักศึกษาผู้ใหญ่ ประกอบด้วย 1. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม คือ มีความสามารถในการแสวงหาความรู้ เรียนรู้ได้ด้วย ตนเอง และเป็นบคุ คลแหง่ การเรียนรู้ตลอดชวี ติ 2. ทักษะสารสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี คือมีทักษะความรู้ การ ใช้ และการจดั การส่ือ และเทคโนโลยีสารสนเทศให้เท่าทัน และ 3. ทักษะชวี ิตและการทางาน คือมีทักษะใน การปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทของสังคม และสภาพแวดล้อมในการทางานท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วได้ ผลการศึกษายังพบว่า แนวโนม้ การเสรมิ สรา้ งทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สาหรับนักศึกษา ผู้ใหญ่ ได้แก่ 1. แนวโน้มด้านหลักการและนโยบาย คือ เน้นการเรียนรู้อยู่บนพ้ืนฐานของการศึกษาผู้ใหญ่ ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อการเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2. แนวโน้มด้านคุณลักษณะ ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะสารสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี และทักษะชีวิตและการทางาน 3. แนวโน้มด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ คือ การส่งเสริมรูปแบบการ เรียนรู้ด้วยตนเอง การปฏิบัติจริง การสร้างประสบการณ์เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 4. แนวโน้มด้าน การสนับสนุนและส่งเสริม คือ การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้จากทุกภาคส่วนในสังคม ซึ่งผลการประเมิ น แนวโน้มการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สาหรับนักศึกษาผู้ใหญ่พบว่า ในแต่ละ องค์ประกอบผทู้ รงคณุ วฒุ มิ คี วามคิดเหน็ ในภาพรวมอยู่ในระดับดี จรูญ พานิชย์ผลินไชย และ สุพรทิพย์ ธนภัทรโชติวัต (2559) มีการศึกษา เรื่อง การศึกษา สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนิสิตระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร โดยมสี มรรถนะการจดั การเรียนรู้ใน 7 ดา้ น คือ 1) การออกแบบการเรียนรู้ 2) การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ 3) การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ผู้เรียนยุคใหม่ 4) การพัฒนาสภาพแวดล้อม และแหล่งการเรียนรู้ยุคใหม่ 5) การพัฒนาและใช้ส่ือนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา 6) การพัฒนา เครือข่ายการเรียนรู้ และ7) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ พบว่า นิสิตมีสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ใน ศตวรรษท่ี 21 ในด้านการออกแบบการเรียนรู้ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ด้าน การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ผู้เรียนยุคใหม่ด้านการพัฒนาสภาพแวดล้อมและแหล่งการเรียนรู้ยุคใหม่ ด้าน การพัฒนาและใช้สื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาด้านการพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ และด้าน

36 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้โดยทุกสมรรถนะมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณานิสิตที่มีเพศ ต่างกัน พบว่ามีสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ไม่แตกต่างกัน ส่วนนิสิตท่ีเรียนสาขาวิชาเอก ตา่ งกันมสี มรรถนะการจัดการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21 ไม่แตกต่างกนั ภาคภูมิ พู่สกุลสถาพร (2559) มีการศึกษา เรื่อง แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนที่สนับสนุน ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 กรณีศึกษา โครงการอบรมการใช้ภาพถ่ายเพ่ือผลิตเป็นส่ือการเรียนการ สอนใน สถาบันการอาชีวศึกษา พบว่า แนวทางในการพัฒนาอาจารย์ผู้สอน โดยการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี21 อาจารย์ผู้สอนต้องผสมผสาน ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ระหว่างทักษะแห่งศตวรรษที่21 กับมาตรฐานทาง วิชาการ โดยมีแนวทางในการปฏิบัติในแต่ละประเด็นดังนี้ 1) การสร้างชุมชนการเรียนรู้ระหว่างอาจารย์ ผู้สอนเพ่ือใหเ้ กิดการบูรณาการ และการพัฒนาวิธีการสอนร่วมกันโดยอาจารย์ผู้สอนในแต่ละสาขาวิชาควร เขา้ มามีส่วนในการปรับปรุงเทคนคิ การสอน ตวั อยา่ งท่ีสามารถอธิบายได้ เช่น เม่ืออาจารย์ผู้สอนต้องการใช้ ภาพถ่ายเข้ามาบูรณาการ กับนวัตกรรมการเรียนการสอน อาจารย์ผู้สอนแต่ละสาขาวิชา อาจช่วยกัน วิเคราะห์ภาพว่าภาพแต่ละภาพสามารถอธิบายเข้ากับหลักสูตรใดได้บ้างและมีความเช่ือมโยงกันในแต่ละ สาขาอย่างไร ส่ิงเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และเกิดทักษะในการคิดมากขึ้น 2) การกาหนดนโยบาย ระดับสถานศึกษา ด้านการพัฒนาอาจารย์ผู้สอนท่ีมีความชัดเจนในการปฏิบัติ ซึ่งสานักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษา มีนโยบายที่ให้ความสาคัญกับการพัฒนาอาจารย์ผู้สอนผ่านการอบรมโดยใช้โครงการต่างๆ เป็นตวั ขบั เคลือ่ น โดยโครงการถา่ ยภาพเพอ่ื พฒั นาส่ือการสอนถือว่าเป็นโครงการหนึ่งในการพัฒนาอาจารย์ ผู้สอนให้มีความรู้ด้านการถ่ายภาพและการนาภาพถ่ายไปบูรณาการร่วมกับนวัตกรรมการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี21 3) การพัฒนาอาจารย์ผู้สอนให้สามารถดึง เทคโนโลยที ีม่ ีอยใู่ นปจั จบุ ัน มาใช้ประโยชน์ในการสร้างให้ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การ กาหนดแนวทางการใช้ภาพถ่ายเพอื่ บรู ณาการเขา้ กบั นวตั กรรมการเรียนการสอนเพอ่ื สรา้ งผูเ้ รียนในศตวรรษ ที่ 21 สามารถดาเนินการให้เป็นรูปธรรมได้โดยดาเนินการผ่านยุทธศาสตร์ท่ีมีความชัดเจนของสถานศึกษา และการประยกุ ต์เทคนิคการใช้ภาพถ่ายเข้ากับหลักสูตรการเรียนรู้ การพัฒนาผ่านอาจารย์ผู้สอน ตลอดจน การพัฒนาผ่านตัวผู้เรียน โดยภาพถ่ายท่ีนามาใช้จะต้องช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ ทักษะด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ทกั ษะชวี ติ และการทางาน ซ่งึ เป็นทักษะทีส่ าคญั ในศตวรรษท่ี21 พัชรินทร์ วรรณทวี ( 2551) มีการศึกษาเร่ือง ผลการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการโดยใช้ การเรียนรู้จากประสบการณจ์ รงิ ในรายวิชา หลกั การและเทคนิคทางการพยาบาล ผลการวิจัยพบว่า ผลการ จัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการโดยใช้กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ด้านผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนมีความคิดเห็นที่ดีต่อการเรียนการสอนแบบบูรณาการสามารถวิเคราะห์ความต้องการ วางแผนและ ปฏิบัติการพยาบาลข้ันพ้ืนฐานในห้องปฏิบัติการและในสถานการณ์จริงได้ ตรงกับความต้องการของบุคคล ด้านการจัดกระบวนการเรียนการสอนพบว่า เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยเสริมสร้างให้ผู้เรียนสามารถ จัดการกับตนเอง การทางานอยา่ งเปน็ ระบบ และมีการเตรียมตัวก่อนเรียน ตระหนักถึงความสาคัญของการ ปฏบิ ัติทักษะทางการพยาบาลขั้นพื้นฐานท่ีถูกต้อง มีความขยัน อดทน มีความซื่อสัตย์ มีความกระตือรือร้น ต่อการค้นคว้า ฝึกความรับผิดชอบต่อตนเอง มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้และการสะท้อนคิด ความภูมิใจใน ตนเองและมีความเอ้ืออาทร ส่วนด้านการวัดประเมินผลพบว่า เป็นการประเมินตามสภาพจริงด้วยการ ประเมินทักษะการปฏิบัติการพยาบาลที่สามารถวัดความสามารถของผู้เรียนไ ด้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง มาก และผ้เู รยี นมคี วามใฝร่ ู้เพ่มิ ขนึ้ จากก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากผลการวิจัยคร้ังน้ี มีข้อเสนอแนะการจัดการเรียนการสอนควรให้มีการเรียนการสอนในรายวิชาประเมินภาวะสุขภาพให้แล้ว

37 เสร็จก่อนจะจัดการเรียนการสอนในรายวิชาน้ี ห้องปฏิบัติการควรมีสภาพท่ีใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงใน หอผู้ป่วย และน่าจะมีการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการโดยใช้การใช้การเรียนรู้จากสภาพจริงใน รายวชิ านแ้ี ละมีการนารปู แบบไปปรบั ใช้ในการจัดการเรียนการสอนวชิ าอ่ืนต่อไป สุภมาส อดิการกุล, จีรวรรณ์ อุคคกิมาพันธุ์ และบุญสืบ โสโสม (2554) ศึกษาเรื่อง กระบวนการพัฒนาวิธีการสอนรายวิชาวิจัยทางการพยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต: กรณีศึกษา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พระพุทธบาท ผลการวิจัยระยะวิเคราะห์สถานการณ์ พบว่า วิธีการสอนท่ี พฒั นาการเรียนรู้ของนักศึกษาให้ดีขึ้นนั้น ใช้วิธีการสอนที่ผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลปะ โดยการแบ่งกลุ่ม นักศึกษาเพื่อรับผิดชอบทาวิจัย กลุ่มละ 8-9 คนโดยขั้นตอนการสอนแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรก กาหนดให้นักศึกษาค้นหาคาถามการวิจัยจากปรากฏการณ์จริงทางการพยาบาล (nursing phenomena) ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากสภาพการณ์จริง จากน้ันให้นักศึกษาเปรียบเทียบปัญหาจากสถานการณ์จริงที่ศึกษา กบั วรรณกรรม (literature reviews) เพื่อสรปุ คาถามการวิจัย จากน้ันให้นกั ศึกษาค้นหาความถนัดของกลุ่ม เพ่ือนาไปสูก่ ารเลือกคาถามการวิจัย ระยะท่ีสองเป็นระยะที่ให้ความรู้ด้านเน้ือหาในชั้นเรียน อาจารย์ผู้สอน เป็นพ่ีเลีย้ งสะท้อนคิดผลงานวิจยั ทีน่ ักศึกษาดาเนินการศึกษาที่เป็นรายกลุ่ม และสะท้อนคิดในภาพรวมของ ชั้นเรียน ผลลัพธ์ของการสอนพบว่า นักศึกษาพยาบาลรับรู้ต่อการเรียนการสอนมีทั้งทางบวก และทางลบ โดยทางบวกนั้นนักศึกษารับรู้ว่านักศึกษาสามารถคิดได้อย่างเป็นระบบ มีการคิดที่ใช้เหตุผล และมีความ ภาคภูมิใจต่อความสามารถในการทางานเป็นทีม ส่วนการรับรู้ทางลบ ได้แก่ ความเบ่ือหน่ายต่อการเรียน เนื่องจากเรียนเนื้อหาไม่ต่อเน่ือง เวลาท่ีจัดให้เรียนมีน้อย รู้สึกไม่ประสบผลสาเร็จในการเรียนเนื่องจาก ทางานไม่ทันเวลา และขาดฐานข้อมูลเพื่อการสืบค้น ผลการศึกษาน้ีสรุปได้ว่าวิธีการเรียนรู้จากสภาพจริง โดยอาจารย์ผู้สอนเป็นพ่ีเลี้ยงสะท้อนคิดในแต่ละระยะของการวิจัยที่นักศึกษาเรียนรู้นั้นสามารถนาไปสู่การ คิดอย่างเป็นระบบ และการคิดอย่างมีเหตุผลได้ ข้อเสนอแนะในการพัฒนาวิธีการสอนต่อไปคือ ควร ปรับปรุงเน้ือหาการสอนให้ส้ัน กระชับ และต่อเนื่อง อาจารย์ต้องเป็นพี่เลี้ยงโดยมีส่วนร่วมทางานกับ นกั ศกึ ษาเพ่ือให้นกั ศึกษาสามารถทางานวิจยั ไดส้ าเร็จ กนกวรรณ นาคปลัด, กัลยาณีเจริญช่าง นุชมี และจินตนา กสินันท์ (2557) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียหลังจากการเรียนผ่านไป 2 สัปดาห์ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และ 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ มัลติมีเดียหลังเรียนและหลังจากการเรียนผ่านไป 2 สัปดาห์ไม่แตกต่างกัน และนักเรียนมี ความพงึ พอใจตอ่ บทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลตมิ เี ดยี ในระดับมากทสี่ ดุ (4.80±0.46) สุดเฉลิม ศัสตราพฤกษ์ (2560) ได้ทาการศึกษาเชิงพรรณนาและอรรถาธิบายเพื่อศึกษาระดับ ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม และศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อระดับทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม และเพ่ือ ศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ ในการจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 แบบห้องเรียนกลับ ดา้ น ผลการศกึ ษาพบวา่ ระดับทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมในการจัดการเรียนการสอนในศตวรรษท่ี 21 แบบหอ้ งเรียนกลับดา้ น อยู่ในระดับมาก คือ ด้านการรว่ มมือและในสว่ นของปัจจัยท่มี ผี ลต่อระดับทักษะการ เรยี นรแู้ ละนวัตกรรม คอื ปัจจยั การเตรยี มความพรอ้ ม มคี วามสัมพันธ์และมีอิทธิพลทางบวก สาหรับปัญหา อปุ สรรคการจัดการเรียนการสอนในศตวรรษท่ี 21 แบบห้องเรียนกลับด้าน พบว่า การศึกษาด้วยตนเองทา

38 ให้ได้รับความรู้ท่ีไม่เพียงพอต่อการศึกษา ซึ่งผู้วิจัยได้ให้ข้อเสนอแนะว่าหากจัดการเรียนการสอนแบบ หอ้ งเรียนกลับด้านควรมกี ารสง่ เสริมความพร้อมในดา้ นเทคโนโลยีและแหลง่ การศึกษาเรียนรู้ รุ่งนภา จันทรา และ อติญาณ์ ศรเกษตริน (2560) ศึกษาทักษะการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาล ในศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานีกลุ่มตัวอย่างจานวน 244 คนเพือ่ ประเมนิ ระดบั ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี21 7ด้าน ของนักศกึ ษาพยาบาล ทีป่ ระกอบด้วย 2) ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา 2) ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม 3) ทกั ษะด้านความเขา้ ใจความต่างวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ 4) ทกั ษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผนู้ า 5) ทักษะดา้ นการสอ่ื สาร สารสนเทศ และรู้เท่าทนั สื่อ 6) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี สารสนเทศ และการส่ือสาร และ 7) ทักษะด้านอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ พบว่า ทักษะการเรียนรู้ใน ศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาอยู่ในระดับสูง (M=3.99, SD=0.39) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านท่ีมี ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านทักษะด้านความเข้าใจ ความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (M=4.24, SD=0.48) รองลงมา คือ ทักษะด้านอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (M=4.22, SD=0.47) ด้านที่มีค่าเฉล่ียต่าสุด คือ ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (M=3.82, SD=0.48) และได้เสนอให้อาจารย์ผู้สอนนาผล การศึกษาไปวางแผนจัดการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่21 ให้ผู้เรียนอยู่ใน สังคมไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้ว่า การจัดการเรียนการเรียนการสอนใน ระดับอุดมศึกษา (Higher education) การจัดการเรียนการสอนแบบสะเต็ม (STEM Education) การ จัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-based learning) และกรอบแนวคิดของทักษะแห่งศตวรรษ ท่ี 21 (21ST Century Skills) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะศตวรรษที่ 21 สนับสนุนซึ่งกันและกัน และจาก การศึกษาวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษารูปแบบการเรียนการสอนแบบสะต็มศึกษาท่ีเก่ีย วข้องกับการพัฒนา ทักษะศตวรรณที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาล ยังมีการศึกษาเป็นส่วนน้อย ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการใช้ รูปแบบสะเตม็ ศึกษา เพื่อพัฒนาทกั ษะของนักศึกษาพยาบาลให้สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ใหก้ บั ผู้เรียนได้อย่างเป็นรูปธรรม

บทท่ี 3 วิธดี ำเนนิ กำรวิจยั การดาเนินการวิจัยคร้ังน้ีเพ่ือศึกษาผลของการใช้การเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็ม (STEM Project- Based Learning) ต่อทักษะศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาลได้แก่ทักษะ 3Rs คือ Reading (อ่านออก) (W)Riting (เขียนได้) และ (A)Rithemetics (คิดเลขเป็น) และทักษะ 7Cs คือด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการแก้ปัญหา (Critical thinking and Problem solving) ด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity & Innovation) ด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding) ด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork & Leadership) ด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communication, Information & Medial Literacy) ด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT literacy) และด้านอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career & learning self-reliance) โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยก่ึง ทดลอง (Quasi – experimental research) และเปรียบเทียบทักษะศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาล กอ่ นและหลังการเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็ม ระเบียบวิธีวจิ ัย การวิจัยคร้ังน้ี เป็นการวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi – experimental research) ) ศึกษาแบบหน่ึงกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง (One – group pretest – posttest design) โดยการเปรียบเทียบทักษะ ศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังการใช้การเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็ม ดาเนินการทดลอง ตามแบบแผนการวิจัย One Group Pretest - Posttest Design (Fitz-Gibbon, 1978) ที่กลุ่มตัวอย่าง ไดร้ บั การประเมินทกั ษะศตวรรษที่ 21 (pretest) ก่อนการได้รับการเรียนรู้แบบโครงงานสะเต็ม ตามแผนการ สอน จานวน 5 แผน โดยแผนที่ 1 เปน็ การให้นักศึกษาสืบคน้ ปญั หาผู้ป่วยท่ีพบในสถานบริการสุขภาพหรือใน ชุมชน (6 ชม.) จากนั้นนาเสนอประเด็นปัญหา (3 ชม.) แผนท่ี 2 ให้นักศึกษาเสนอเค้าโครง โครงงานสะเต็ม ในการพัฒนานวัตกรรม (3 ชม.) แผนท่ี 3 ให้นักศึกษาออกแบบนวัตกรรมการพยาบาล จากการบูรณาการ ความรู้จากศาสตร์ต่างๆ ท่ีศึกษามา (15 ชม.) จากน้ันดาเนินการตามแผนที่ 4 ให้นักศึกษานานวัตกรรมไป ทดลองใช้และประเมินผล (12 ชม.) และแผนท่ี 5 ใหน้ กั ศกึ ษานาเสนอผลงาน (6 ชม.) รวมเป็นเวลาท้ังส้ิน 15 สัปดาห์ และประเมินทักษะศตวรรษที่ 21 (posttest) หลังจากส้ินสุดภาคการศึกษา 2 สัปดาห์ (เมื่อ ประเมินผลรายวิชาและใหค้ ะแนนแลว้ ) ประชำกร ประชำกร คือนักศกึ ษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 ทีก่ าลังศึกษาอยู่ ในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี ในภาคการศึกษาที่ 1 ปกี ารศึกษา 2559 จานวน 114 คน ทลี่ งทะเบียนเรียนวิชาการศกึ ษาอสิ ระ กลุ่มตัวอย่ำง คัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้ประชากรนักศึกษาพยาบาล ศาสตร์ช้ันปที ่ี 3 ท่ยี ินดีเข้ารว่ มโครงการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook