Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอน งาน

เอกสารประกอบการสอน งาน

Published by janyakunpatee.poy, 2020-06-13 22:20:47

Description: เอกสารประกอบการสอน งาน

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน จดั ทาโดย ครจู รรยา คณุ ภาที 1 งาน (Work) งาน (work) จะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเมื่อมีแรงกระทำให้วัตถุเกิดกำรเคลื่อนที่ไปตำมแนวแรง กำรออกแรง กระทำจะมำกหรือน้อยขึ้นอยู่กับมวลของวัตถุ ถ้ำวตั ถมุ ีมวลมำก ก็ต้องออกแรงกระทำมำก และถำ้ ออกแรงจน ทำใหว้ ัตถุเคลอ่ื นท่ีไปไดเ้ ป็นระยะทำงไกลๆ จะเกดิ งำนมำกด้วย ทิศทำงของแนวแรงนน้ั เดก็ ในภำพน้ีกำลงั ผลกั ตใู้ บหนึ่งให้เคลื่อนที่ เมอ่ื ตู้ ได้เคล่ือนที่ไปตำมแนวแรง ก็แสดงว่ำเด็กกำลังทำงำน และกำรที่เด็กคนน้ีสำมำรถทำงำนได้ ก็เพรำะเขำมี พลังงำน ย่ิงเขำออกแรงมำกข้ึนหรือเคลื่อนตู้ไปได้ ระยะทำงท่ีไกลขึ้น เด็กคนนี้ก็จะทำงำนได้มำกข้ึน กล่ำว ได้ว่ำ แรงผลักทำให้เกิดงำนข้ึน และค่ำของงำนได้จำก ผลคูณของแรงกับระยะทำงที่วัตถุเคลื่อนท่ีได้ตำม ดังนนั้ งาน = แรง x ระยะทางที่วัตถเุ คล่ือนที่ไดต้ ามทิศทางของแนวแรง (นิวตนั – เมตร) (นิวตัน) (เมตร) หรือ จลู (J) สหรลุปา!ย!!คงนำชน่วจยกะรัเถกทิดี่ตขิด้ึนหเลม่มือมีแรงกระทำต่อวัตถุ แล้ววัตถุเคลื่อนที่ได้ระยะทำงไป ตำมแนวแรงนั้น ในกรณีท่ีออกแรงกระทำต่อวัตถุ แล้ววัตถุนั้นไม่เคล่ือนที่หรือ เคลื่อนทไี่ ปในทศิ ทำงทต่ี งั้ ฉำกกบั แนวแรงทกี่ ระทำตอ่ วตั ถุ จะไม่มงี ำนเกดิ ขึ้น

2 ตัวอย่างท่ี 1 ไมค์ผลักก้อนหินให้เคล่ือนที่ไปตำมพ้ืนด้วยแรง 20 นิวตัน ก้อนหินเคล่ือนท่ีไปตำมแนว แรงเปน็ ระยะทำง 3 เมตร มีงำนเกดิ ขึ้นเทำ่ ไร วิธที า ………………………………………………………………………………….............. …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… ตัวอย่างที่ 2 วินัยออกแรงยกกล่องด้วยแรง 30 นิวตัน แล้วเดินขึ้นบันได 5 ข้ัน แต่ละขั้นสูง 20 เซนตเิ มตรงำนทว่ี ินยั ทำจำกกำรยกกลอ่ งขึ้นบนั ไดมคี ่ำเทำ่ ใด วิธีทา …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………

3 ตัวอย่างท่ี 3 กล่องใบหนึ่งมวล 1 กิโลกรัม วำงอยู่บนพื้นท่ีมีควำมฝืดที่มีสัมประสิทธ์ิควำมเสียดทำน เท่ำกับ 0.5 ถำ้ ออกแรงดึงขนำด 100 นวิ ตัน แล้วทำให้กลอ่ งเคล่อื นท่ไี ดร้ ะยะกระจดั 2 เมตร จงหำ ก. งำนของแรงดงึ ข. งำนของแรงเสียดทำน วธิ ที า ………………………………………………………………………………………...… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… ก. หางานของแรงดึง …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… ข. หางานของแรงเสียดทาน …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… **ข้อสังเกต……………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………..…………….. ………………………………………………………………………………..…………….

4 ฝกึ การวิเคราะห์ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั งาน ภาพท่ีกาหนดให้ เกิด ไม่เกดิ เหตุผล 1. งาน งาน  2.  3.  4.  5.  6. 

ภาพที่กาหนดให้ เกดิ ไม่เกิด 5 งาน งาน เหตุผล 7.  8.  9.  10. 

6 พลงั งาน (Energy) พลังงาน คือ ควำมสำมำรถ ทำงำนได้ สิ่งใดที่มีกำรเปลี่ยนแปลง หรือมีกำรเคลื่อนท่ี สิ่งน้ันย่อมมี พลังงำน พลังงำนมีหลำยรูปแบบ ได้แก่ พลังงำนควำมร้อน พลังงำน แสง พลังงำนเสียง พลังงำนกล พลังงำนไฟฟำ้ พลังงำนเคมี เปน็ ตน้ มนุษย์รู้จักนำพลังงำนต่ำงๆ มำใช้ประโยชน์ในกำรดำรงชีวิตมำ ต้ังแต่สมัยโบรำณ ในปัจจุบันมนุษย์ สำมำรถนำพลังงำนจำกธรรมชำติมำ ใช้ประโยชน์ไดม้ ำกขึน้

7 รปู ของพลังงาน พลังงำนกล คอื ควำมสำมำรถทว่ี ตั ถทุ ำงำนได้ แบง่ เปน็ 2 ประเภท คอื 1. พลังงานจลน์ (Kinetic Energy) คือ พลังงำนท่ีเกิดกับ วัตถุท่ีกำลังเคล่ือนที่ เช่น น้ำไหล คนเดิน รถกำลังแล่น นกกำลังบิน เป็นต้น วัตถุที่เคลื่อนท่ีด้วยควำมเร็วสูง จะมี พลังงำนจลน์มำกกว่ำวัตถุท่ีเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วต่ำ แต่ ถ้ำวัตถุเคล่ือนที่ด้วยควำมเร็วเท่ำกันวัตถุท่ีมีมวลมำกกว่ำ จะมีพลังงำนจลน์มำกกว่ำ จึงกล่ำวได้ว่ำ “วัตถุที่กำลัง เคล่ือนที่ล้วนมีพลังงำนจลน์ทั้งส้ิน ปริมำณพลังงำนจลน์ ในวัตถุจะมีมำกหรือน้อยข้ึนอยู่กับมวลและควำมเร็วของ วตั ถุน้นั ” กำรหำคำ่ พลังงำนจลน์ สำมำรถคำนวณไดจ้ ำกสตู รตอ่ ไปนี้ เมอื่ K.E. = พลงั งำนจลน์ มีหน่วยเปน็ จลู (J) m= มวลของวตั ถุ มีหน่วยเปน็ กโิ ลกรัม (kg) v= อตั รำเร็วของวัตถุ มีหนว่ ยเปน็ เมตรตอ่ วินำที (m/s) ตวั อยา่ งที่ 1 นกั วิ่งคนหนึ่งมมี วล 80 kg ว่งิ ด้วยควำมเรว็ 10 m/s นกั วง่ิ คนนม้ี ีพลงั งำนจลน์เทำ่ ไร วธิ ที า ……………………………………………………. ……………………………………………………. ……………………………………………………. ……………………………………………………. …………………………………………………….

8 ตัวอยา่ งท่ี 2 รถยนต์คันหนง่ึ มมี วล 900 kg แลน่ ด้วยควำมเร็ว 8 m/s จะมีพลังงำนจลน์เท่ำไร วิธที า ……………………………………………………. ……………………………………………………. ……………………………………………………. ……………………………………………………. ……………………………………………………. 2. พลังงานศักย์ (Potential Energy) คือ พลังงำนท่ีวัตถุมีอยู่ หรือสะสมอยู่ และพร้อมที่จะทำงำนได้ มี 2 ชนิด คือ 1) พลังงานศักย์โน้มถ่วง (Gravitational Potential Energy) คือ พลังงำนท่ีวัตถุมีอยู่ในระดับควำมสูง ตำ่ งๆ เช่น กอ้ นหินทอ่ี ย่นู ่ิงบนหน้ำผำจะมีพลงั งำนศักย์ โน้มถ่วง หรือน้ำที่ขังไว้ในเข่ือนจะมีพลังงำนศักย์โน้ม ถว่ งสะสมอยู่เชน่ กัน เรำสำมำรถหำค่ำพลงั งำนศักย์โน้มถว่ งได้จำกงำนท่ีวัตถุทำ ไดใ้ นกำรเปลย่ี นตำแหนง่ จำกที่อยูเ่ ดมิ มำยังตำแหนง่ อำ้ งอิง โดยใชส้ ูตรดังน้ี P.E. = mgh เมื่อ P.E. = พลังงำนศกั ย์ มหี นว่ ยเป็นจูล (J) m = มวลของวัตถุ มหี นว่ ยเป็นกิโลกรมั (kg) g = ควำมเรง่ เนื่องจำกแรงโนม้ ถว่ งของโลก มีคำ่ เท่ำกบั 9.8 เมตรต่อวนิ ำที2 (m/s2)

9 ตัวอย่างที่ 3 กอ้ นหนิ ก้อนหน่ึงมมี วล 200 kg วำงอยู่บนหน้ำผำสงู 50 m จงหำพลังงำนศักยโ์ นม้ ถว่ ง ของกอ้ นหินกอ้ นน้ี วธิ ที า ……………………………………………………. ……………………………………………………. ……………………………………………………. ……………………………………………………. ……………………………………………………. ตวั อย่างที่ 4 มะม่วงผลหน่งึ มีมวล 0.3 kg อยู่สูงจำกพนื้ ดนิ 5 m จงหำพลงั งำนศักย์โนม้ ถ่วงของมะมว่ ง ผลน้ี วธิ ที า ……………………………………………………. ……………………………………………………. ……………………………………………………. ……………………………………………………. …………………………………………………….

10 2) พลังงานศักย์ยืดหย่นุ (Elastic Potential Energy) ลำน คือพลงั งำนท่วี ัตถุมีอยู่เน่ืองจำกวัตถุมีกำรยดื หยุ่น เชน่ พลังงำนท่ีเกบ็ อยู่ในคันธนู หนงั สต๊กิ นำฬกิ ำ สปรงิ ฟองนำ้ หรือยำงรดั ที่ถกู กดเอำไว้ เมอื่ ปลอ่ ยมือออกกจ็ ะทำงำนได้ ตวั อยา่ งเครือ่ งใชแ้ ละอุปกรณต์ า่ งๆทม่ี ีพลงั งานศกั ยย์ ดื หยุ่น

11 กฎการอนุรกั ษ์พลงั งาน กฎการอนรุ กั ษพ์ ลังงาน กล่ำววำ่ \"พลังงำนไม่สำมำรถสร้ำงขน้ึ มำใหม่ หรือทำให้สูญหำยไปได้ แตพ่ ลังงำน สำมำรถเกิดกำรถ่ำยโอนระหว่ำงพลังงำนดว้ ยกนั ได้ หรือกำรเปล่ยี นรปู พลังงำนไดน้ ัน่ เอง\" ในกำรนำพลังงำนไป ใช้ประโยชน์จงึ ตอ้ งคำนึงถึงหลกั กำรเปลยี่ นรูปของพลงั งำนอยำ่ งคุ้มค่ำ ตวั อยำ่ งกำรเปลีย่ นรปู พลังงำน เชน่ กำรเปลยี่ นรปู ของพลังงำนจำกแสงอำทิตย์ กำรเปลีย่ นรูปพลังงำนไฟฟำ้ เปน็ ต้น ตวั อยา่ งท่ี 4 กล่องใบหนง่ึ มมี วล 12 kg ถูกโยนลงมำจำกยอดตกึ สูง 30 m เมอื่ กล่องใบนก้ี ระทบพนื้ จะ มีควำมเร็วเทำ่ ไร วิธที า ………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………..

12 ทดสอบความรู้ความเข้าใจเกีย่ วกบั รปู ของพลังงานและกฎการอนรุ ักษพ์ ลงั งาน 1. รถยนต์คันหนึ่งมีมวล 1,000 กิโลกรัม แล่นด้วยอัตรำเร็ว 8 เมตรต่อวินำที เม่ือเบรกจะทำให้รถหยุดใน ระยะทำง 10 เมตร จงหำแรงเฉล่ยี ท่ีกระทำโดยเบรก วิธที ำ งำนที่ทำ = พลงั งำนที่เปล่ยี นแปลง งำนที่ทำ = ……………………………………………. พลงั งำนทเ่ี ปลี่ยนแปลง = ……………………………………………. ดังนัน้ …………………………………. = ……………………………………………. ………………………………………… = ……………………………………………. ………………………………………… = ……………………………………………. ………………………………………… = ……………………………………………. 2. เม่ือเรำไขลำนนำฬิกำปลุก สปริงจะเก็บสะสม……………………………….และเม่ือนำฬิกำเริ่มเดิน พลังงำนใน สปริงจะเปล่ียนเป็น……………………………….อย่ำงช้ำๆ และไปขับเคล่ือนฟันเฟืองของนำฬิกำ ขณะที่ นำฬิกำปลกุ ดงั จะมกี ำรเปลีย่ นพลงั งำน………………….…ในสปรงิ เป็น……………… ในคันเคำะไปเคำะกระด่ิง ทำให้เกิด………………ซงึ่ เป็นพลังงำนอีกรูปหนึง่ 3. เขื่อนกักเก็บน้ำไว้ แสดงว่ำเข่อื นสะสมพลงั งำน………………………………………………………… 4. นำฬิกำแบบลูกตุ้มจะมีกำรแกว่งลูกตุ้มกลับไปกลับมำ พลังงำนของมันเปล่ียนอย่ำงคงตัว จำก พลังงำน………………………..เป็นพลังงำน…………………..กลับไปกลับมำ และพลังงำนนี้ยังเปลี่ยนเป็น พลังงำน…………………….ทีละนอ้ ยจำกกำรเสยี ดสรี ะหวำ่ งอำกำศกับลูกตุ้ม 5. เม่ือเปิดโทรทัศน์เป็นกำรเปลี่ยนพลังงำน……………เป็นพลังงำน…………… และพลังงำน…………. ส่วนกำรรดี ผำ้ ดว้ ยเตำรดี ไฟฟ้ำเป็นกำรเปลีย่ นพลงั งำน…………………เปน็ พลังงำน…………………. 6. ถำ้ นักกีฬำกระโดดน้ำในภำพใชพ้ ลงั งำนเคมีจำกอำหำรในร่ำงกำย 6,500 จูล ในขณะที่เขำยนื บนกระดำนกระโดดน้ำ เขำจะมพี ลังงำน ………..……เทำ่ กบั …..…….จลู แตไ่ ม่มพี ลงั งำน……………… เมือ่ เขำกระโดดลงมำ พลงั งำน……………………..........ของเขำ จะเปล่ียนเป็นพลังงำน………….……..เท่ำกบั ……………….จูล

13 ประโยชนข์ องพลังงาน มนุษย์ได้นำพลังงำนจำกแหล่งต่ำงๆมำใช้ประโยชน์มำกมำย โดยท่ัวไปแหล่งพลังงำนสำมำรถจำแนก ประเภทได้ 2 ประเภท คือ 1. พลังงานส้ินเปลือง เป็นแหล่งพลังงำนที่ไม่สำมำรถนำมำใช้ได้อีก เมื่อนำมำใช้แล้วจะหมดสิ้นไปเรื่อยๆ ต้องใช้เวลำนำนนับล้ำนๆ ปี จึงจะสำมำรถเกิดขึ้นอีก เช่น น้ำมันดิบ ก๊ำซธรรมชำติ ถ่ำนหิน หิน น้ำมนั เปน็ ตน้ 2. พลังงานหมุนเวียน เป็นแหล่งพลังงำนที่สำมำรถนำมำใช้ได้เร่ือย ๆ เช่น แสงอำทิตย์ ลม น้ำ เช้ือเพลิง ชวี มวล (เช่น ฟนื แกลบ ชำนออ้ ย และมลู สตั ว์) เปน็ ต้น และทว่ี ำ่ ใชไ้ ม่หมดกเ็ พรำะสำมำรถหำมำทดแทนได้ เช่น ปลกู ปำ่ เอำไมม้ ำทำฟืน หรอื ปลอ่ ยน้ำจำกเข่ือนมำป่ันไฟ แล้วไหลลงทะเล กลำยเป็นไอ และเป็นฝนตก ลงมำสู่โลกอกี หรอื แสงอำทติ ยท์ ี่ได้รบั จำกดวงอำทิตยอ์ ยำ่ งไม่มวี นั หมดสน้ิ เป็นต้น ประโยชน์ของแหล่งพลังงาน ชนิดต่างๆ 1. นา้ มันดบิ (Crude) เมือ่ นำมำกล่ันจะได้เชอื้ เพลิงต่ำงๆ ดงั นี้ เช้ือเพลิงท่ีกลน่ั ได้จากนา้ มนั ดิบ ประโยชน์ทีไ่ ดจ้ ากเช้ืเพลิง กำ๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลว หรือแอลพีจี สำหรับหุงต้มในครัว และใชก้ ับรถบำงคัน รวมท้งั ในโรงงำนบำงชนดิ น้ำมันเบนซิน ใชก้ บั รถยนตส์ ว่ นบคุ คล รถจักรยำนยนต์ นำ้ มนั ก๊ำด ใช้จุดตะเกียงใหแ้ สงสวำ่ ง และใช้ในโรงงำน นำ้ มนั เครือ่ งบิน ใชก้ บั เคร่อื งบินใบพดั เครื่องบนิ ไอพ่น นำ้ มันดเี ซล (โซลำ่ ) ใช้กับรถประจำทำง รถไฟ รถบรรทกุ รถกระบะ นำ้ มันเตำ ใชส้ ำหรับเตำเผำหรอื ต้มน้ำในหม้ออัดไอน้ำ ปั่นไฟ หรือใชก้ บั เรือ ยำงมะตอย ใชท้ ำถนน เคลือบท่อ เคลือบโลหะเพ่อื กนั สนมิ

14 2. ก๊าซธรรมชาติ ก๊ำซธรรมชำติมีสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนเป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกับน้ำมันดิบเพรำะเกิด จำกกำรสะสมและทับถมกนั ของซำกพชื ซำกสตั ว์สะสมเปน็ เวลำนำน กำ๊ ซธรรมชำติประกอบดว้ ยก๊ำซหลำย ชนดิ เรำสำมำรถใชป้ ระโยชนจ์ ำกกำ๊ ซธรรมชำติได้ใน 2 ลักษณะใหญๆ่ คือ 1) ใช้เป็นเช้ือเพลิง เรำสำมำรถใช้ก๊ำซธรรมชำติได้โดยตรง ด้วยกำรใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิต กระแสไฟฟ้ำ หรอื ในโรงงำนอุตสำหกรรม เชน่ อตุ สำหกรรมเซรำมิค อุตสำหกรรมสุขภัณฑ์ 2) นำไปผ่ำนกระบวนกำรแยกในโรงแยกก๊ำซ เพรำะในตัวเน้ือก๊ำซธรรมชำติ มีสำรประกอบที่เป็น ประโยชน์อยู่มำกมำย เมื่อนำมำผ่ำนกระบวนกำรแยกท่ีโรงแยกก๊ำซแล้ว ก็จะได้ผลิตภัณฑ์ต่ำงๆ มำใชป้ ระโยชนไ์ ดด้ ังนี้  ก๊าซมีเทน (C1) : ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้ำ ในโรงงำนอุตสำหกรรม และ นำไปอัดใส่ถังด้วยควำมดันสูง เรียกว่ำก๊ำซธรรมชำติอัด สำมำรถใช้เป็นเช้ือเพลิงในรถยนต์ รู้จกั กนั ในชอื่ ว่ำ \"ก๊ำซธรรมชำติสำหรบั ยำนยนต์\" (Natural Gas for Vehicles : NGV)  ก๊าซอีเทน (C2) : ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสำหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น สำมำรถนำไปใช้ผลิตเม็ด พลำสติก เส้นใยพลำสตกิ ชนดิ ตำ่ งๆ เพือ่ นำไปใช้แปรรูปต่อไป  ก๊าซโพรเพน (C3) และก๊าซบิวเทน (C4) : ก๊ำซโพรเพนใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสำหกรรม ปิโตรเคมีขั้นต้นไดเ้ ช่นเดยี วกนั และหำกนำเอำกำ๊ ซโพรเพนกบั กำ๊ ซบวิ เทนมำผสมกนั อดั ใส่ถัง เป็นก๊ำซปิโตรเลียมเหลว(Liquefied Petroleum Gas - LPG) หรือที่เรียกว่ำก๊ำซหุงต้ม สำมำรถนำไปใชเ้ ปน็ เชือ้ เพลิงในครัวเรือน และเป็นเชือ้ เพลิงสำหรับรถยนตไ์ ด้ 3. ถ่านหิน (Coal) เป็นเช้ือเพลิงจำกซำกดึกดำบรรพ์ ซ่ึงเกิดจำกกำรทับถมของซำกพืชและซำกสัตว์เป็น เวลำนบั ลำ้ นปี ใช้ในโรงไฟฟำ้ ใชใ้ นอตุ สำหกรรมเหล็กกล้ำ ใชเ้ ปน็ เช้ือเพลิงให้ควำมอบอุ่นและทำน้ำร้อนใน บ้ำนเรือน 4. พลังงานลม มนุษย์รู้จักใช้พลังงำนลมมำนำนหลำยพันปีแล้ว เช่น แล่น เรือใบ สูบน้ำ ปัจจุบันมีกำรใช้พลังงำนลมมำกขึ้น โดยนำมำใช้ผลิต กระแสไฟฟ้ำ แตม่ ขี ้อเสียคือ ต้องใชแ้ รงลมมำก และตอ้ งมีลมตลอดเวลำ 5. พลังงานน้า น้ำในแหล่งนำ้ จะสะสมพลังงำนอยู่ในรูปของพลังงำนศักย์ และสำมำรถเปลี่ยนรูปเป็นพลังงำน จลน์ได้ ดงั นี้ 1) เมื่อน้าไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่า เช่น น้ำที่ถูกกักเก็บไว้ใน เข่ือน ย่ิงระดับน้ำสูงมำกขึ้นเท่ำใด พลังงำนศักย์ของน้ำก็ จะย่ิงมีมำกข้ึนเท่ำน้ัน ดังน้ัน เม่ือเปลี่ยนรูปเป็นพลังงำน จลน์ จึงมีพลังงำนมำกจนสำมำรถนำไปผลติ กระแสไฟฟ้ำได้

15 2) เม่ือน้าเกิดการเคล่ือนท่ี เช่น น้ำขึ้นน้ำลง คล่ืนน้ำ จะเปลี่ยนรูป เป็นพลังงำนจลน์ แล้วนำไปใช้กับเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำเพ่ือผลิต กระแสไฟฟำ้ ได้ 6. พลังงานแสงอาทิตย์ พืชใช้พลังงำนแสงอำทิตย์ในกำรสังเครำะห์ด้วยแสงเพื่อสร้ำงอำหำร เก็บสะสม พลังงำนในรูปพลังงำนเคมีเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงำนในกำรเจริญเติบโตของพืช ส่วนมนุษย์ใช้พลั งงำน แสงอำทิตย์ในกำรใหค้ วำมอบอุ่น และในกำรมองเห็น นอกจำกนี้ยังใช้พลังงำนแสงอำทิตย์ในกำรผลิตเซลล์ แสงอำทติ ย์ และเตำสงอำทติ ย์อกี ด้วย 1) การผลติ กระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เซลล์สุริยะหรือเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar) คือ สิ่งประดิษฐ์ที่ เปล่ียนพลังงำนจำกแสงอำทิตย์เป็นพลังงำนไฟฟ้ำ ในปัจจุบันมีกำรนำ เซลล์สรุ ิยะมำใช้งำนกนั อย่ำงกว้ำงขวำง เช่น ใชก้ ับเคร่อื งคดิ เลข นำฬกิ ำ ขอ้ มือ ไฟแสงสว่ำง และอปุ กรณไ์ ฟฟำ้ อน่ื ๆ 7. พลังงานความร้อนใต้พิภพ ภำยในโลกของเรำได้เก็บสะสมพลังงำน ควำมร้อนขนำดใหญ่เอำไว้ จะเห็นได้จำกกำรเกิดน้ำพุร้อน และภูเขำไฟ ระเบดิ ในหลำยประเทศ เช่น อติ ำลี ไอซแ์ ลนด์ ญป่ี ุน่ และนิวซีแลนด์ ได้ นำพลงั งำนควำมรอ้ นใตพ้ ิภพมำผลติ กระแสไฟฟ้ำ

16 8. เช้ือเพลิงชีวมวล ได้แก่ ไม้ฟืน แกลบ กำกอ้อย เศษไม้ เศษ หญ้ำ เศษเหลือทิ้งจำกกำรเกษตร มูลสัตว์ และของเสียจำก โรงงำนอุตสำหกรรมท่ีนำมำหมักเพ่ือผลิตเป็นแก๊สชีวภำพ เช้ือเพลิงชีวมวลใช้เป็นเช้อื เพลิงสำหรับหุงต้มในครัวเรอื น เหมะ สำหรับชนบทท่ีอย่หู ำ่ งไกล 9. พลังงานนิวเคลียร์ เป็นพลังงำนที่สะสมอยู่ในนิวเคลียสของ อะตอม โดยจะยึดโปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียสของ อะตอมเข้ำด้วยกัน นักวิทยำศำสตร์ได้นำธำตุยูเรเนียมมำทำ ให้แตกตัวออกจำกกัน จะได้ควำมร้อนมหำศำล ซึ่งสำมำรถ นำมำผลิตกระแสไฟฟ้ำได้ เรียกว่ำ โรงไฟฟ้าพลังงาน นวิ เคลยี ร์ หรอื โรงไฟฟ้าปรมาณู


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook