Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

Published by Jintana Deenang, 2021-03-28 07:07:46

Description: นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

Search

Read the Text Version

1 นวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษา (Innovation and Information Technology in Education) เทคโนโลยที างการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศพั ท์ เทคโน (วธิ ีการ) + โลยี (วทิ ยา) หมายถึง ศาสตร์ ท่ีวา่ ดว้ ยวธิ ีการทางการศึกษาครอบคลุมระบบการนาวธิ ีการมาปรับปรุง ประสิทธิภาพของการศึกษาใหส้ ูงข้ึนเทคโนโลยที างการศึกษาครอบคลุมองคป์ ระกอบ 3 ประการ คือ วสั ดุ อุปกรณ์ และวธิ ีการ สภาเทคโนโลยที างการศึกษานานาชาติไดใ้ หค้ าจากดั ความของ เทคโนโลยี ทางการศึกษา วา่ เป็นการ พฒั นาและประยกุ ตร์ ะบบเทคนิคและอุปกรณ์ ใหส้ ามารถนามาใชใ้ นสถานการณ์ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เพ่อื สร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้ของคนใหด้ ียงิ่ ข้ึน ดร.เปรื่อง กมุ ุท ไดก้ ล่าวถึงความหมายของ เทคโนโลยกี ารศึกษา วา่ เป็นการขยายขอบข่ายของการใช้ ส่ือการสอนใหก้ วา้ งขวางข้ึนท้งั ในดา้ นบุคคล วสั ดุเครื่องมือ สถานท่ี และกิจกรรมต่างๆในกระบวนการ เรียนการสอน Edgar Dale กล่าววา่ เทคโนโลยที างการศึกษาไมใ่ ช่เคร่ืองมือ แตเ่ ป็นแผนการหรือวธิ ีการทางาน อยา่ งเป็นระบบ ใหบ้ รรลุผลตามแผนการ นอกจากน้ี เทคโนโลยที างการศึกษา เป็นการขยายแนวคิดเก่ียวกบั โสตทศั นศึกษาใหก้ วา้ งขวางยงิ่ ข้ึน ท้งั น้ีเนื่องจากโสตทศั นศึกษาหมายถึง การศึกษาเก่ียวกบั การใชต้ าดูหูฟัง ดงั น้นั อุปกรณ์ในสมยั ก่อนมกั เนน้ การใชป้ ระสาทสมั ผสั ดา้ นการฟังและการดูเป็ น หลกั จึงใชค้ าวา่ โสตทศั นอุปกรณ์ เทคโนโลยที างการ ศึกษามีความหมายท่ีกวา้ งกวา่ ซ่ึงอาจจะพจิ ารณาจากความคิด รวบยอดของเทคโนโลยไี ด้เป็ น 2 ประการ คอื 1. ความคิดรวบยอดทางวทิ ยาศาสตร์กายภาพ ตามความคิดรวบยอดน้ี เทคโนโลยที างการศึกษา หมายถึง การประยกุ ตว์ ทิ ยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ โทรทศั น์ ฯลฯ มาใชส้ าหรับการเรียนรู้ของนกั เรียนเป็ นส่วนใหญก่ ารใชเ้ ครื่องมือเหล่าน้ีมกั คานึงถึงเฉพาะการ ควบคุมใหเ้ ครื่องทางาน มกั ไมค่ านึงถึงจิตวทิ ยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเร่ืองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล และการเลือกส่ือใหต้ รงกบั เน้ือหาวชิ า ความหมายของเทคโนโลยที างการศึกษา ตามความคิดรวบยอดน้ี ทาใหบ้ ทบาทของเทคโนโลยี ทางการศึกษาแคบลงไป คือมีเพยี งวสั ดุ และอุปกรณ์เท่าน้นั ไมร่ วมวธิ ีการ หรือปฏิกิริยาสัมพนั ธ์อ่ืน ๆ เขา้ ไปดว้ ย ซ่ึงตามความหมายน้ีก็คือ \"โสตทศั นศึกษา\" นน่ั เอง

2 2. ความคิดรวบยอดทางพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการนาวธิ ีการทางจิตวทิ ยา มนุษยวทิ ยา กระบวนการกลุ่ม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร เครื่องยนตก์ ลไก การรับรู้มาใชค้ วบคู่กบั ผลิต กรรมทางวทิ ยาศาสตร์และวิศวกรรม เพอื่ ใหผ้ เู้ รียน เปล่ียนพฤติกรรมการเรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ยง่ิ ข้ึนมิใช่เพยี งการใชเ้ ครื่องมืออุปกรณ์เทา่ น้นั แตร่ วมถึงวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์เขา้ ไปดว้ ย มิใช่ วสั ดุ หรืออุปกรณ์ แต่เพียงอยา่ งเดียว เป้ าหมายของเทคโนโลยกี ารศึกษา 1. การ ขยายพสิ ัยของทรัพยากรของการเรียนรู้ กล่าวคือ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ มิไดห้ มายถึง แตเ่ พียงตารา ครู และอุปกรณ์การสอน ท่ีโรงเรียนมีอยเู่ ท่าน้นั แนวคิดทางเทคโนโลยที างการศึกษา ตอ้ งการให้ผเู้ รียนมีโอกาสเรียนจากแหล่งความรู้ท่ีกวา้ งขวางออกไปอีก แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ครอบคลุมถึงเรื่องตา่ งๆ เช่น 1.1 คน คนเป็ นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สาคญั ซ่ึงไดแ้ ก่ ครู และวทิ ยากรอ่ืน ซ่ึงอยนู่ อก โรงเรียน เช่น เกษตรกร ตารวจ บุรุษไปรษณีย์ เป็นตน้ 1.2 วสั ดุและเครื่องมือ ไดแ้ ก่ โสตทศั นวสั ดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ วทิ ยุ โทรทศั น์ เคร่ือง วดิ ีโอเทป ของจริงของจาลองส่ิงพมิ พ์ รวมไปถึงการใชส้ ่ือมวลชนตา่ งๆ 1.3 เทคนิค-วธิ ีการ แตเ่ ดิมน้นั การเรียนการสอนส่วนมาก ใชว้ ธิ ีใหค้ รูเป็นคนบอกเน้ือหา แก่ ผเู้ รียนปัจจุบนั น้นั เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองไดม้ ากท่ีสุด ครูเป็นเพยี ง ผวู้ างแผน แนะแนวทางเทา่ น้นั 1.4 สถานที่ อนั ไดแ้ ก่ โรงเรียน หอ้ งปฏิบตั ิการทดลอง โรงฝึกงาน ไร่นา ฟาร์ม ท่ีทาการรัฐบาล ภเู ขา แม่น้า ทะเล หรือสถานท่ีใด ๆ ท่ีช่วยเพ่มิ ประสบการณ์ที่ดีแก่ผเู้ รียนได้ 2. การ เนน้ การเรียนรู้แบบเอกตั บุคคล ถึงแมน้ กั เรียนจะลน้ ช้นั และกระจดั กระจาย ยากแก่การจดั การศึกษาตามความแตกต่างระหวา่ งบุคคลได้ นกั การศึกษาและนกั จิตวทิ ยาไดพ้ ยายามคิด หาวธิ ีนาเอา ระบบการเรียนแบบตวั ต่อตวั มาใช้ แต่แทนที่จะใชค้ รูสอนนกั เรียนทีละคน เขาก็คิด ‘แบบเรียนโปรแกรม’ ซ่ึง ทาหนา้ ที่สอน ซ่ึงเหมือนกบั ครูมาสอน นกั เรียนจะเรียนดว้ ยตนเอง จากแบบเรียนดว้ ยตนเองในรูป แบบเรียนเป็นเล่ม หรือเครื่องสอนหรือส่ือประสมหลายๆ อยา่ ง จะเรียนชา้ หรือเร็วกท็ าไดต้ าม ความสามารถของผเู้ รียนแต่ละคน 3. การ ใชว้ ธิ ีวเิ คราะห์ระบบในการศึกษา การใชว้ ธิ ีระบบ ในการปฏิบตั ิหรือแกป้ ัญหา เป็ นวธิ ีการท่ี เป็นวทิ ยาศาสตร์ ที่เชื่อถือไดว้ า่ จะสามารถแกป้ ัญหา หรือช่วยใหง้ านบรรลุเป้ าหมายได้ เน่ืองจาก กระบวนการของวธิ ีระบบ เป็ นการวเิ คราะห์องคป์ ระกอบของงานหรือของระบบ อยา่ งมีเหตุผล หาทาง ใหส้ ่วนต่าง ๆ ของระบบทางาน ประสานสัมพนั ธ์กนั อยา่ งมีประสิทธิภาพ

3 4. พฒั นา เครื่องมือ-วสั ดุอุปกรณ์ทางการศึกษา วสั ดุและเครื่องมือตา่ ง ๆ ท่ีใชใ้ นการศึกษา หรือการ เรียนการสอนปัจจุบนั จะตอ้ งมีการพฒั นา ใหม้ ีศกั ยภาพ หรือขีดความสามารถในการทางานใหส้ ูง ยงิ่ ข้ึนไปอีก เทคโนโลยกี ารศึกษา เป็นการประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ิ่งประดิษฐห์ รือใชร้ ่วมกบั กระบวนการทาง จิตวทิ ยา และอื่น ๆ เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเปล่ียนพฤติกรรมการเรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ การใชเ้ ทคโนโลยมี ิได้ หมายความวา่ จะมีประสิทธิภาพคงท่ีเสมอไป ประสิทธิภาพของเทคโนโลยใี ด ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเปลี่ยนแปลงสถานท่ี เปล่ียนแปลงเวลา เปลี่ยนบุคคลที่ใชแ้ ละบุคคลที่ถูกนาไปใช้ เปล่ียนแปลง สถานที่แวดลอ้ ม ก็อาจจะทาใหป้ ระสิทธิภาพของเทคโนโลยนี ้นั เปลี่ยนแปลงไปได้ ในกรณีที่เป็นการ เปล่ียนแปลงที่จะเป็นการเพม่ิ ประสิทธิภาพใหส้ ูงข้ึน เทคโนโลยนี ้นั ก็จะยงั คงใชต้ อ่ ไปแตเ่ ม่ือ ประสิทธิภาพลดลง เทคโนโลยนี ้นั ๆ จึงตอ้ งมีการปรับปรุงจุดบกพร่องบางส่วน หรือนาเอาวธิ ีการใหม่ ๆ มาใช้ ซ่ึงวธิ ีการท่ีไดร้ ับการปรับปรุงใหมห่ รือวธิ ีการใหม่ท่ีนามาใชเ้ รียกวา่ นวตั กรรม (Innovation) การคิดสร้างสรรคห์ รือกรรมวธิ ีใหม่ๆ ซ่ึงตา่ งไปจากท่ีเคยปฏิบตั ิมาใชแ้ กป้ ัญหาในการปฏิบตั ิงาน ตา่ งๆ ดว้ ยจุดมุ่งหมายท่ีจะเปล่ียนแปลงปรับปรุงวธิ ีการทางานใหม้ ีประสิทธิภาพสูงข้ึน เรา เรียกวา่ “นวตั กรรม” นวตั กรรมตรงกบั คาวา่ “innovation” ในภาษาองั กฤษ ซ่ึงแปลวา่ To renew หรือ to modify หรือ “ทาข้ึนมาใหม่” ดงั น้นั คนเราจึงควรมีนวตั กรรม คือ ตอ้ งรู้จกั สร้างสรรค์ ตอ้ งมีความพร้อมท่ีจะกา้ วไปขา้ งหนา้ เพอ่ื ปรับตวั ใหท้ นั กบั ความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบนั ในการ พฒั นาการเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพ และเพอ่ื ใหเ้ กิดประสิทธิผลในบ้นั ปลายน้นั จาเป็นอยา่ งยง่ิ ที่ ครู-อาจารย์ จะตอ้ งพยายามคน้ ควา้ วธิ ีการใหม่ๆ ท่ีคิดคน้ ข้ึนในรูปแบบตา่ งๆ ซ่ึงเรียกวา่ “นวตั กรรม การศึกษา” นนั่ เอง ฉะน้นั คาวา่ นวตั กรรมการศึกษา จึงหมายถึง การนาส่ิงใหม่ๆ แนวความคิดวธิ ีการ หรือการกระทาใหมๆ่ ซ่ึงไดผ้ า่ นการทดลอง วจิ ยั หรืออยรู่ ะหวา่ งการทดลอง หรือ อาจเป็นส่ิงท่ีเคยใชแ้ ลว้ มาปรับปรุงใหม่มาใชใ้ นการศึกษาเพือ่ ปรับปรุง หรือเพม่ิ ประสิทธิภาพ ใหด้ ี ยง่ิ ข้ึน ในการจดั กระบวนการเรียนการสอน โดยนานวตั กรรมการศึกษามาประยกุ ตใ์ ช้ จะช่วยส่งเสริมให้ ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง สามารถเรียนรู้ไดท้ ุกเวลาตาม ความตอ้ งการ นวตั กรรมการเรียนรู้ จะ เกิดข้ึนไดต้ อ้ งอาศยั วถิ ีคิด ที่ออกนอกกรอบเดิม พอสมควร คือ จะตอ้ ง ออกนอก “ร่อง” หรือ ช่องทาง เดิมๆที่เคยชิน เรียกไดว้ า่ จะตอ้ งปรับเปลี่ยนแนวคิด หรือ กระบวน ทศั นท์ ี่มีอยเู่ ดิมเกี่ยวกบั การเรียนรู้เสีย ใหม่ จากท่ีเคยเขา้ ใจวา่ การเรียนรู้ คือ การศึกษาเพยี งเพื่อให้ ไดร้ ู้น้นั มาเป็นการเรียนรู้ที่นามาใชพ้ ฒั นา งาน พฒั นา ชีวิต และพฒั นา สงั คมประเทศชาติ ซ่ึงเป็น ความรู้ท่ีแนบแน่นอยกู่ บั งาน เก่ียวพนั อยกู่ บั ปัญหา เป็นความรู้ที่มีบริบท การเรียนรู้ตามกระบวนทศั น์ใหมน่ ้ีจึงมกั เร่ิมตน้ ดว้ ยการพฒั นาตวั โจทย์ ข้ึนมาก่อน โดยใชป้ ัญหาหรือสิ่งที่เกิดข้ึนในชีวติ ประจาวนั เป็นหลกั เรียกไดว้ า่ มีความตอ้ งการที่จะแกไ้ ข

4 ปัญหาหรือพฒั นาสิ่งต่างๆใหด้ ีข้ึนจึงเป็ นแรงผลกั ดนั ท่ีทาใหเ้ กิดการเรียนรู้น้ีข้ึน มีวธิ ีการอยา่ งไรท่ีจะทา ใหผ้ เู้ รียน สามารถเรียนรู้ไดเ้ อง สามารถคิดเอง ทาเอง และแกป้ ัญหาเองได้ โดยครูเป็นเพยี งผชู้ ้ีแนะ คอยใหค้ าแนะนาในการเรียนรู้ ท่ีถูกตอ้ งและเหมาะสมในการทานวตั กรรมใหป้ ระสบผลสาเร็จ0ได้ น้นั ตอ้ งเริ่มจากการใหค้ ามน่ั ร่วมกนั ระหวา่ งคนเกี่ยวขอ้ งในการทานวตั กรรม โดยทุกคนท่ีเก่ียวขอ้ ง จะตอ้ งมีความต้งั ใจท่ีจะพฒั นาสินคา้ และตราสินคา้ เพือ่ ใหเ้ กิดความมน่ั คงร่วมกนั การปรับเปลี่ยนรกระ บวนทศั น์ถือวา่ เป็นสิ่งที่สาคญั ยง่ิ สาหรับสร้างนวตั กรรมการเรียนรู้ แต่ก็ไมไ่ ดห้ มายความวา่ เพยี งแค่ ปรับเปล่ียนกระบวนทศั นห์ รือวถิ ีคิดแลว้ นวตั กรรมการเรียนรู้จะเกิดข้ึนไดเ้ องโดยปริยายจาเป็นจะตอ้ ง อาศยั ปัจจยั และองประกอบอื่นๆ มาสนบั สนุนจึงจะประสบผลสาเร็จ ในบทความน้ีจะขอหยบิ ยก 3 องคป์ ระกอบหลกั ที่ถือวา่ จาเป็นต่อการสร้างนวตั กรรม การเรียนรู้ให้เกิดข้ึนซ่ึงไดแ้ ก่1) เวลา 2)โอกาส หรือเวที และ 3)ไมตรี องคป์ ระกอบแรก คือเรื่องขอเวลาพดู ง่ายๆและตรงท่ีสุดก็คือถา้ ไม่มีเวลา การเรียน ก็ไม่เกิด หรือเกิดไดย้ าก เวลาเป็นปัจจยั ที่สาคญั ยงิ่ สาหรับการเรียนรู้ องคก์ ร ชุมชน หรือครอบครัวใดท่ี มวั แตย่ งุ่ ตกอยใู่ นสภาพที่เรียนวา่ โงหวั ไมข่ ้ึน จะทาใหห้ มดโอกาสท่ีจะเรียนรู้ส่ิงใหม่ๆ และไมม่ ีเวลา สาหรับใชค้ ิดสร้างสรรคไ์ ดเ้ ลย องคป์ ระกอบตวั ตอ่ ไปที่จะช่วยสนบั สนุนและสร้างนวตั กรรมการ เรียนรู้ไดก้ ค็ ือ โอกาส หรือเวทีท่ีจะไดแ้ ลกเปล่ียนเรียนรู้กนั วธิ ีการแลกเปล่ียนอาจจดั เวทีการเรียนรู้ท่ี มีรูปแบบที่หลากหลาย คือมีท้งั เวทีที่จดั ข้ึนอยา่ งเป็ นทางการ เช่นการจดั ประชุมสมั มนาในรูปแบบ ตา่ งๆ เป็นตน้ และเวทีในรูปแบบที่อาจจะไม่เป็ นทางการมากนกั คืออาจจะจดั ในลกั ษณะที่เป็นการร่วม ตวั ของคนท่ีสนใจ ไม่มีการบงั คบั และองคป์ ระกอบที่สาม ที่จาเป็นสาหรับสร้างนวตั กรรมการเรียนรู้ คือ ไมตรี คือตอ้ งมีน้าใจใหแ้ ก่กนั การแลกเปลี่ยนเรียนรู้คงจะไมเ่ กิดข้ึนอยา่ งแน่นอน ถา้ ตา่ งฝ่ ายต่าง ไม่ยน่ื น้าใจอนั ดีแก่กนั นวตั กรรมการเรียนรู้จะเกิดข้ึนไดจ้ ึงจาเป็ นตอ้ งอาศยั ใจท่ีเปิ ดกวาง ตอ้ งเป็นใจ ที่วา่ ง วา่ งพอที่จะรับส่ิงใหม่ๆ ท่ีหลงั่ ไหลเขา้ มาโดยไม่ยดึ ติดอยกู่ บั ส่ิงเก่าๆจะตอ้ งพฒั นาใหค้ นมี ความสามารถที่จะละทิง้ ส่ิงเก่าๆได้ ดว้ ยใจที่ไม่มีอคติ ตอ้ งมองทุกส่ิงทุกอยา่ งท่ีเห็นในลกั ษณะที่ใหม่ หมด สดเสมอใหเ้ ป็ นความรู้สึกเหมือนกบั เป็นสิ่งท่ีกาลงั เกิดข้ึนเป็ นคร้ังแรก ไมซ่ ้ากบั สิ่งท่ีไดเ้ กิดไป แลว้ ในอดีต เป็นความรู้สึกตื่น ตอ้ งการ แบง่ ปัน และกระตือรือร้นท่ีจะเรียนรู้อยู่ ตลอดเวลา แนวความคิดพ้ืนฐานที่ทาใหเ้ กิดนวตั กรรมการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ 1) แนวความคิดเรื่องความ แตกตา่ งระหวา่ งบุคคล (Individual differences) จากท่ีเราไดเ้ คยศึกษาทางดา้ นจิตวทิ ยาเก่ียวกบั มนุษย์ น้นั พบวา่ มีความแตกตา่ งกนั ท้งั ดา้ นกายภาพได้ แก่ร่างกายและดา้ นสติปัญญา ความคิด และความรู้สึก การรับรู้และการเรียนรู้ส่ิงตา่ งๆ ดงั น้นั ในการจดั การเรียนการสอนจึงควรจดั ใหส้ อดคลอ้ งกบั ผเู้ รียน เช่น ความถนดั ความสนใจ ความสามารถของแตล่ ะคน อตั ราการเรียนเร็วชา้ ของแต่ละคน เช่นผเู้ รียนท่ีเรียนรู้ ไดเ้ ร็วจะไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ต่อไป โดยไมต่ อ้ งเสียเวลา ส่วนผเู้ รียนชา้ ก็สามารถเรียนไดต้ ามอตั ราการเรียนรู้ ของตนโดยไมเ่ กิดปมดอ้ ย นอกจากน้ียงั สามารถตอบนสนองท้งั ดา้ นรูปแบบของแตล่ ะคน ซ่ึงแนวคิด เกี่ยวกบั ความแตกต่างระหวา่ งบุคคลน้ี เป็นผลใหเ้ กิดนวตั กรรมการศึกษา ไดแ้ ก่ บทเรียนโปรแกรม หรือ

5 บทเรียนสาเร็จรูป เคร่ืองช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดการสอนรายบุคคล เป็นตน้ แนวความคิด อยา่ งที่ 2) ไดแ้ ก่แนวความคิดพ้ืนฐานในเรื่องความพร้อม (Readiness) แต่เดิมเคยมีความเชื่อวา่ ผเู้ รียนจะ เร่ิมเรียนไดต้ อ้ งมีความพร้อมโดยเป็นไปตามลาดบั ข้นั ตอนของพฒั นาการ ปัจจุบนั ทางดา้ นจิตวทิ ยาการ เรียนรู้ไดศ้ ึกษาพบวา่ ความพร้อมทางการเรียนเป็นส่ิงท่ีสามารถจดั ข้ึนไดโ้ ดยการจดั บทเรียนลาดบั เน้ือหา จากง่ายไปยาก และเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั ความสามารถของผเู้ รียนกจ็ ะทาให้ เกิดการเรียนรู้ท่ีดี นวตั กรรมการศึกษาท่ีเช่ือมกบั แนวคิดน้ีไดแ้ ก่ ศูนยก์ ารเรียนรู้ ชุดการสอน แนวคิดตวั ต่อไปท่ีจะส่งเสริมการเรียนรู้ แนวคิดท่ี 3) คือ แนวคิดพ้ืนฐานในเรื่อง การเวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมจะ ระบุไวแ้ น่นอน ตายตวั เป็ นภาคเรียน แนวคิดในเร่ืองการใชเ้ วลาเพื่อการศึกษาน้ี เพ่อื ใหส้ มั พนั ธ์และมี ความเหมาะสมกบั ลกั ษณะของรายวชิ าแตล่ ะวชิ า ซ่ึงจะใชเ้ วลาไม่เทา่ กนั เพือ่ เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดใ้ ช้ เวลาในการศึกษาตามความสามารถและความจาเป็นของแตล่ ะคนนวตั กรรมท่ีตอบสนองการเรียนรู้น้ี ไดแ้ ก่ ตารางเรียนแบบยดื หยุน่ มหาวทิ ยาลยั เปิ ด เป็นตน้ และแนวคิดพ้นื ฐานที่ทาใหเ้ กิดนวตั กรรมการ เรียนรู้ อยา่ งที่ 4) แนวคิดพ้ืนฐานจากผลอนั เนื่องมาจากการขยายตวั ทางวชิ าการและอตั ราการเพมิ่ ของ ประชากร ซ่ึงผลกระทบดงั กล่าว ทาใหค้ วามตอ้ งการทางดา้ นการศึกษาเพ่ิมข้ึนตลอดจนความจาเป็ นที่ ตอ้ งศึกษา เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ ม และการดารงชีวติ อีกท้งั การศึกษาในระบบน้นั ไม่สามารถ จดั ใหไ้ ดอยา่ งเพียงพอ เป็นผลที่ก่อใหเ้ กิดนวตั กรรมการศึกษา ไดแ้ ก่ มหาวทิ ยาลยั เปิ ด (open university) การเรียนทางวทิ ยโุ ทรทศั น์ การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสาเร็จรูป และชุดการเรียนนวตั กรรมสื่อ การเรียนการสอนแบบตามคุณลกั ษณะได้ 4 ประเภทคือ 1. ส่ือประเภทวสั ดุ ไดแ้ ก่ สไลด์ แผน่ ใส เอกสารตาราสารเคมี ส่ิงพมิ พต์ ่างๆ และคูม่ ือการฝึก ปฏิบตั ิ 2. ส่ือประเภทอุปกรณ์ ไดแ้ ก่ ของจริง หุ่นจาลอง เครื่องเล่นเทปเสียง เครื่องเล่นวดี ี ทศั น์ เครื่องฉายแผน่ ใส อุปกรณ์และเครื่องมือในหอ้ งปฏิบตั ิการ 3. ส่ือประเภทเทคนิคและวธิ ีการ ไดแ้ ก่ การสาธิต การอภิปรายกลุ่ม การฝึกปฏิบตั ิการ ฝึกงาน การจดั นิทรรศการ และสถานการณ์จาลอง 4. ส่ือประเภทคอมพวิ เตอร์ ไดแ้ ก่ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (cai) การนาเสนอดว้ ยคอมพิวเตอร์ (computer presentation) การใช้ internet และ internet เพ่ือการส่ือสารและการ ใช้ www ( world wide web ) ในปัจจุบนั นวตั กรรมมีรูปแบบหลากหลายมากมาย เพ่อื ใหเ้ ราสามารถนามาปรับใชใ้ หเ้ หมาะสม

6 กบั สภาพของบริบทแต่ละสถานที่ ผเู้ รียน และปัจจยั อื่นๆดว้ ยซ่ึงสามารถเลือกใชต้ ามประเภทของ นวตั กรรม ดงั น้ี 1. บทเรียนสาเร็จรูป 2. ชุดการสอน 3. แผน่ ภาพโปร่งใส 4. เอกสารประกอบการสอน 5. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 6. วดี ีทศั น์ 7. สไลด์ 8. เกมส์ 9. ส่ือประเภทอุปกรณ์ 10. มลั ติมีเดีย 11. Internet 12. e-learning ดงั น้นั ในการพฒั นาการศึกษา เราจะมีวธิ ีการอยา่ งไรที่จะสร้างนวตั กรรมการเรียนรู้ใหค้ นสนใจ และ ใคร่ที่จะเรียนรู้อยตู่ ลอดเวลา เพราะนวตั กรรมการเรียนการสอน ตอ่ ไปน่าจะมีแนวโนม้ ในทางที่ดี ข้ึน เพราะปัจจุบนั มีการปฏิรูปการศึกษาที่เนน้ ผเู้ รียนเป็ นสาคญั ซ้ึงตอ้ งมีการจดั การเรียนการสอนที่ เนน้ ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ตามสภาพจริง เรียนรู้จากประสบการณ์ผเู้ รียนจึงจะทาใหเ้ กิดการเรียนรู้อยา่ ง เตม็ ศกั ยภาพ ทาใหเ้ กิดการเรียนรู้อยา่ งมีความหมายมีความสนใจกระตือรือร้นและเกิดความอยากรู้ อยากเห็น ส่ิงเหล่าน้ีจะเกิดข้ึนไดต้ อ้ งอาศยั องประกอบท่ีสาคญั ดงั น้ี ครูผสู้ อน ตอ้ งมีความรู้เกี่ยวกบั นวตั กรรมประเภท Multimedia สามารถจดั ทาส่ือนวตั กรรมออกมาใชใ้ นการเรียนการสอน เพื่อให้ ผเู้ รียนสามารถพฒั นาตนเองไดต้ ามศกั ยภาพอยา่ งเตม็ ที่และเตม็ ความสามารถ ผเู้ รียนจะตอ้ งสน ใฝ่ เรียนรู้ในเรื่องขอการใชน้ วตั กรรมในรูปแบบของไอทีใหม้ ากข้ึน เพอ่ื จะไดเ้ กิดความคุน้ เคยแลว้ สามารถ ใชส้ ่ือไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และสถานศึกษาตอ้ งจดั ทาส่ืออุปกรณ์เทคโนโลยที างดา้ นคอมพวิ เตอร์ ให้ พร้อมเพื่อสนองตอ่ ความตอ้ งการของผเู้ รียนและทาใหก้ ารจดั กระบวนการเรียนการสอนมีความ สมบรู ณ์ ซ้ึงจงส่งผลใหเ้ กิดประสิทธิภาพสูงสุดในการนานวตั กรรมการเรียนรู้ไปพฒั นาการศึกษาใหม้ ี ความเจริญ กา้ วหนา้ ตอ่ ไป

7 ทอมสั ฮิวซ์ (อา้ งในบุญเก้ือ ควรหาเวช, 2542:13) ใหค้ วามหมายของคาวา่ นวตั กรรมวา่ \"เป็นการนา วธิ ีการใหม่ ๆ มาปฏิบตั ิหลงั จากไดผ้ า่ นการทดลองหรือไดร้ ับการพฒั นามาเป็นข้นั ๆ แลว้ โดยเร่ิมมา ต้งั แตก่ ารคิดคน้ (Invention) การพฒั นา (Development) ซ่ึงอาจจะเป็นรูปของโครงการทดลองปฏิบตั ิ ก่อน (Pilot Project) แลว้ จึงนามาปฏิบตั ิจริง ซ่ึงมีความแตกตา่ งไปจากการปฏิบตั ิเดิมท่ีเคยปฏิบตั ิมา\" มอตนั (อา้ งในบุญเก้ือ ควรหาเวช, 2542:13) กล่าววา่ \"นวตั กรรม หมายถึง การทาใหใ้ หมข่ ้ึนอีกคร้ัง (Renewal) ซ่ึงหมายถึงการปรับปรุงของเก่าและพฒั นาศกั ยภาพของบุคลากรตลอดจนหน่วยงานหรือ องคก์ ารน้นั ๆ นวตั กรรมไม่ใช่การขจดั หรือลม้ ลา้ งส่ิงเก่าใหห้ มดไป แตเ่ ป็นการปรับปรุงแตง่ และพฒั นา เพ่อื ความอยรู่ อดของระบบ\" ไชยยศ เรืองสุวรรณ (อา้ งในบุญเก้ือ ควรหาเวช, 2542:13) กล่าววา่ \"นวตั กรรม หมายถึงวธิ ีการปฏิบตั ิ ใหม่ ๆ ที่แปลกไปจากเดิม โดยอาจจะไดม้ าจากการคิดคน้ พบวธิ ีการใหม่ ๆ ข้ึนมาหรือมีการปรับปรุงของ เก่าใหเ้ หมาะสมและสิ่งท้งั หลายปลายทางอยา่ งมีประสิทธิภาพข้ึน\" ดงั น้นั จึงอาจกล่าวไดโ้ ดยสรุปวา่ \"นวตั กรรม เป็นการปรับปรุงดดั แปลงวธิ ีการเดิม หรือนาเอาวธิ ีการ ใหมม่ าใชใ้ นกระบวนการดาเนินงานใดๆ แลว้ ทาใหป้ ระสิทธิภาพสูงข้ึนกวา่ เดิม\" นวตั กรรม แบ่งออกเป็ น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 มีการประดิษฐค์ ิดคน้ (Innovation) หรือเป็ นการปรุงแต่งของเก่าใหเ้ หมาะสมกบั กาลสมยั ระยะที่ 2 พฒั นาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจดั ทาอยใู่ นลกั ษณะของ โครงการทดลองปฏิบตั ิก่อน (Pilot Project) ระยะท่ี 3 การนาเอาไปปฏิบตั ิในสถานการณ์ทว่ั ไป ซ่ึงจดั วา่ เป็นนวตั กรรมข้นั สมบูรณ์ ความสาคญั ของนวตั กรรมการศึกษา นวตั กรรมมีความสาคญั ต่อการศึกษาหลายประการ ท้งั น้ีเนื่องจากในโลกยคุ โลกาภิวตั น์ Globalization มี การเปล่ียนแปลงในทุกดา้ นอยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง ความกา้ วหนา้ ท้งั ดา้ นเทคโนโลยแี ละ สารสนเทศ การศึกษาจึงจาเป็ นตอ้ งมีการพฒั นาเปล่ียนแปลงจากระบบการศึกษาท่ีมีอยเู่ ดิม เพอื่ ให้ ทนั สมยั ต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสภาพสงั คมท่ีเปล่ียนแปลงไป อีกท้งั เพอื่ แกไ้ ขปัญหา ทางดา้ นการศึกษาบางอยา่ งท่ีเกิดข้ึนอยา่ งมี ประสิทธิภาพเช่นเดียวกนั การ เปลี่ยนแปลงทางดา้ นการศึกษาจึงจาเป็ นตอ้ งมีการศึกษาเกี่ยวกบั นวตั กรรมการ ศึกษาท่ีจะนามาใช้ เพอื่ แกไ้ ขปัญหาทางดา้ นการศึกษาในบางเร่ือง เช่น ปัญหาท่ีเก่ียวเน่ืองกบั จานวนผเู้ รียนท่ีมากข้ึนการ พฒั นาหลกั สูตรใหท้ นั สมยั การผลิตและพฒั นาสื่อใหม่ ๆ ข้ึนมาเพ่อื ตอบสนองการเรียนรู้ของมนุษยใ์ ห้ เพิ่มมากข้ึนดว้ ยระยะเวลาท่ีส้นั ลง การใชน้ วตั กรรมมาประยกุ ตใ์ นระบบการบริหารจดั การดา้ นการศึกษา กม็ ีส่วนช่วยให้ การใชท้ รัพยากรการเรียนรู้เป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ เช่น เกิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง

8 ทฤษฎีการเรียนรู้ที่นามาใชใ้ นดา้ นการ ศึกษา ต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั อาจสรุปไดเ้ ป็น 3 กลุ่มคือ 1. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม พฤติกรรมนิยม ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม พฤติกรรมนิยม(Behaviorism) นกั คิดในกลุ่มน้ีมองธรรมชาติของมนุษยใ์ นลกั ษณะ ท่ีเป็นกลาง คือ ไมด่ ี – ไมเ่ ลว การกระทาต่างของมนุษยเ์ กิดจากอิทธิพลของส่ิงแวดลอ้ ม ภายนอก พฤติกรรมของมนุษยเ์ กิดจากการตอบสนองตอ่ สิ่งเร้า(stimulus response) การเรียนรู้เกิดจาก การเชื่อมโยง ระหวา่ งส่ิงเร้าและการตอบสนอง กลุ่มพฤติกรรมนิยมใหค้ วามสนใจกบั ” พฤติกรรม” มากเพราะพฤติกรรมเป็ นส่ิงท่ีเห็นไดช้ ดั สามารถวดั และทดสอบได้ ทฤษฎีน้ีจึงมีการกาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนการสอนเป็นจุด ประสงคก์ ารเรียนการสอนเป็นจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรมที่สังเกตุเห็นได้ และถือวา่ พ้นื ฐานของการเรียนรู้ จะมี 3 ลกั ษณะ คือ 1. การเรียนรู้ในเรื่องท่ีซบั ซอ้ นสามารถจาแนกออกมาเรียนรู้เป็นส่วนยอ่ ยได้ 2. ผเู้ รียนเรียนรู้จากการรับรู้และประสบการณ์ 3. ความรู้คือ การสะสมขอ้ เทจ็ จริง และทกั ษะต่างๆ 2.2 ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคิดพทุ ธิปัญญา ตามทฤษฎีน้ีเช่ือวา่ ความจริง (Truth) หรือความรู้มีอยจู่ ริงในโลกหรือในจกั รวาล ถา้ เราพบสิ่งใดสิ่ง หน่ึงเรากจ็ ะพบไปเร่ือยๆ ทฤษฎีน้ีจึงถือวา่ การเรียนรู้เป็นกระบวนการของจิตท่ีตอ้ งมีการรับรู้จากการ กระทา มีการแปลความ ตีความ การใหเ้ หตุผลจนเกิดรู้สานึก และสะสมเป็นความรู้ในท่ีสุด ทฤษฎี Constructivism มีหลกั การที่สาคญั วา่ ในการเรียนรู้ผเู้ รียนจะตอ้ งเป็ นผกู้ ระทา (active) และสร้าง ความรู้ ซ่ึงจิตวทิ ยา Constructivists มีความเห็นในเรื่องการเรียนรู้หรือการสร้างความรู้แบง่ ออกเป็ น 2 ทฤษฎี คือ Cognitive Constructivism หมายถึงทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยมที่มีรากฐานมาจากทฤษฎีพฒั นาการ ของพอี า เจต์ ทฤษฎีน้ีถือวา่ ผเู้ ขียนเป็นผกู้ ระทา (active) และเป็นผสู้ ร้างความรู้ข้ึนในใจเอง ปฏิสมั พนั ธ์ ทางสังคมมีบทบาทในการก่อใหเ้ กิดความไมส่ มดุลทางพุทธิปัญญาข้ึน เป็นเหตุใหผ้ เู้ รียนปรับความเขา้ ใจ เดิมที่มีอยใู่ หเ้ ขา้ กบั ขอ้ มลู ข่าวสาร ใหมจ่ นกระทง่ั เกิดความสมดุลทางพุทธิปัญญา หรือเกิดความรู้ใหม่ข้ึน Social Constructivism เป็นทฤษฎีที่มีพ้ืนฐานมาจากทฤษฎีพฒั นาการของวกิ ็อทสก้ี ซ่ึงถือวา่ ผเู้ รียนสร้าง ความรู้ดว้ ยการมีปฏิสัมพนั ธ์ทางสังคมกบั ผอู้ ่ืน (ผใู้ หญห่ รือเพื่อน) ในขณะที่ผเู้ รียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม หรืองานในสภาวะสงั คม (Social Context) ซ่ึงเป็นตวั แปรท่ีสาคญั และขาดไม่ได้ ปฏิสัมพนั ธ์ทางสงั คมทา ใหผ้ เู้ รียนสร้างความรู้ดว้ ยการเปล่ียนแปรความเขา้ ใจ เดิมใหถ้ ูกตอ้ งหรือซบั ซอ้ นกวา้ งขวางข้ึน

9 ตามแนวความคิดน้ีการเรียนรู้จะมีลกั ษณะสาคญั 4 ประการ คือ 1. ผเู้ รียนตอ้ งมีส่วนร่วมในการเรียน 2. ผลป้ อนกลบั (Feedback) ตอ้ งเกิดข้ึนทนั ที เช่น ครูตอ้ ง บอกวา่ ตอบถูกหรือตอบผดิ 3. แตล่ ะข้นั ตอนของการเรียนรู้ตอ้ งส้ันไม่ต่อเนื่องยดื ยาว 4. การเรียนรู้ (การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม) ตอ้ งมีการใหร้ างวลั และเสริมแรง หลกั การตามแนวคิดน้ีคือที่มาของการเรียน การสอนแบบสืบหาความรู้ (Enquiry) ที่ถือวา่ ผเู้ รียนไม่มี ความรู้มาก่อนผเู้ รียนจะเกิดความรู้ไดต้ อ้ งดาเนินการ สืบหาจนไดค้ วามรู้น้นั จุดเนน้ ของการการเรียนการ สอนตามแนวคิดของกลุ่มปัญญา นิยม 2.3 ทฤษฎีการเรียนรู้คอนสตรัคติวสิ ต์ ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ (Constructivist Theory) หรือ คอนสตรัคติวซิ ึม (Constructivism) เป็น ทฤษฎีการเรียนรู้ดว้ ยการกระทาของตนเอง (Theory of Active Knowing) ซ่ึงมีแนวคิดหลกั วา่ บุคคล เรียนรู้โดยอาศยั ปฏิสัมพนั ธ์กบั ส่ิงแวดลอ้ มดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ กนั โดยอาศยั ประสบการณ์เดิม โครงสร้าง ทางปัญญาท่ีมีอยู่ และแรงจงู ใจภายในเป็นพ้นื ฐานมากกวา่ โดยอาศยั แต่เพียงรับขอ้ มูลจากสิ่งแวดลอ้ ม หรือรับการสอนจากภายนอกเท่าน้นั และความขดั แยง้ ทางสติปัญญา (Cognitive Conflict) ท่ีเกิดจากการที่ บุคคลเผชิญกบั สถานการณ์ที่เป็นปัญหาซ่ึงไม่สามารถแกห้ รือ อธิบายไดด้ ว้ ยโครงสร้างทางปัญญาท่ีมีอยู่ หรือจากการมีปฏิสัมพนั ธ์กบั ผอู้ ่ืนจะเป็ นแรงจงู ใจให้เกิดการไตร่ตรอง (Reflection) ซ่ึงนาไปสู่โครงสร้าง ใหมท่ างปัญญา (Cognitive Restrucring) ท่ีสามารถคลี่คลายสถานการณ์ปัญหา ที่เป็ นปัญหาหรือขจดั ความขดั แยง้ ทางปัญญาได้ จุดมุ่งหมายของเทคโนโลยกี ารศึกษา 1. การขยายพิสัยของทรัพยากรของการเรียนรู้ กล่าวคือ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้มิได้ หมายถึงเพยี งตารา ครู และอุปกรณ์การสอน แต่ตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนมีโอกาสเรียนจากแหล่งความรู้ท่ี กวา้ งขวางออกไปอีก เช่น คนวทิ ยากร วสั ดุเครื่องมือ เช่นวทิ ยุ โทรทศั น์ เทคนิค - วธิ ีการ สถานที่ต่างๆ เช่น โรงเรียน หอ้ งปฏิบตั ิการทดลอง เป็นตน้ 2. การเนน้ การเรียนรู้แบบเอกตั บุคคล ถึงแมน้ กั เรียนจะลน้ ช้นั และกระจดั กระจาย ยากแก่ การจดั การศึกษาตามความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลได้ นกั การศึกษาและนกั จิตวทิ ยาไดพ้ ยายามคิด หาวธิ ี นาเอาระบบการเรียนแบบตวั ตอ่ ตวั มาใช้ แต่แทนท่ีจะใชค้ รูสอนนกั เรียนทีละคน เขาก็คิด ‘แบบเรียน โปรแกรม’ ซ่ึงทาหนา้ ท่ีสอน ซ่ึงเหมือนกบั ครูมาสอน นกั เรียนจะเรียนดว้ ยตนเอง จากแบบเรียนดว้ ย ตนเองในรูปแบบเรียนเป็ นเล่ม หรือเครื่องสอนหรือส่ือประสมหลายๆ อยา่ ง จะเรียนชา้ หรือเร็วกท็ าได้ ตามความสามารถของผเู้ รียนแต่ละคน

10 3. การใชว้ ธิ ีวเิ คราะห์ระบบในการศึกษา การใชว้ ธิ ีระบบ ในการปฏิบตั ิหรือแกป้ ัญหา เป็ น วธิ ีการท่ีเป็นวทิ ยาศาสตร์ ท่ีเชื่อถือไดว้ า่ จะสามารถแกป้ ัญหา หรือช่วยใหง้ านบรรลุเป้ าหมายได้ เน่ืองจาก กระบวนการของวธิ ีระบบ เป็ นการวเิ คราะห์องคป์ ระกอบของงานหรือของระบบ อยา่ งมีเหตุผล หาทาง ใหส้ ่วนต่าง ๆ ของระบบทางาน ประสานสัมพนั ธ์กนั อยา่ งมีประสิทธิภาพ 4. พฒั นาเครื่องมือ-วสั ดุอุปกรณ์ทางการศึกษา วสั ดุและเคร่ืองมือต่าง ๆ ท่ีใชใ้ นการศึกษา หรือการเรียนการสอนปัจจุบนั จะตอ้ งมีการพฒั นา ใหม้ ีศกั ยภาพ หรือขีดความสามารถในการทางานให้ สูงยง่ิ ข้ึนไปอีก แนวคดิ พนื้ ฐานของนวตั กรรมทางการศึกษา ปัจจยั สาคญั ท่ีมีอิทธิพลอยา่ งมาก ต่อวธิ ีการศึกษา ไดแ้ ก่แนวความคิดพ้นื ฐานทางการศึกษาที่ เปลี่ยนแปลงไป อนั มีผลทาใหเ้ กิดนวตั กรรมการศึกษาท่ีสาคญั ๆ พอจะสรุปได4้ ประการ คือ 1. ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล (Individual Different) การ จดั การศึกษาของไทยไดใ้ หค้ วามสาคญั ในเรื่องความแตกต่างระหวา่ งบุคคลเอาไว้ อยา่ งชดั เจนซ่ึงจะเห็นไดจ้ ากแผนการศึกษาของชาติ ใหม้ ุ่งจดั การศึกษาตามความถนดั ความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็ นเกณฑ์ ตวั อยา่ งท่ีเห็นไดช้ ดั เจน ไดแ้ ก่ การจดั ระบบหอ้ งเรียนโดยใชอ้ ายเุ ป็นเกณฑบ์ า้ ง ใชค้ วามสามารถเป็นเกณฑบ์ า้ ง นวตั กรรมที่ เกิดข้ึนเพื่อสนองแนวความคิดพ้ืนฐานน้ี เช่น - การเรียนแบบไมแ่ บ่งช้นั (Non-Graded School) - แบบเรียนสาเร็จรูป (Programmed Text Book) - เครื่องสอน (Teaching Machine) - การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching) - การจดั โรงเรียนในโรงเรียน (School within School) - เครื่องคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) 2. ความพร้อม (Readiness) เดิมที เดียวเช่ือกนั วา่ เด็กจะเร่ิมเรียนไดก้ ็ตอ้ งมีความพร้อมซ่ึงเป็นพฒั นาการ ตามธรรมชาติ แตใ่ นปัจจุบนั การวจิ ยั ทางดา้ นจิตวทิ ยาการเรียนรู้ ช้ีใหเ้ ห็นวา่ ความพร้อมในการเรียนเป็น สิ่งที่สร้างข้ึนได้ ถา้ หากสามารถจดั บทเรียน ใหพ้ อเหมาะกบั ระดบั ความสามารถของเด็กแตล่ ะคน วชิ าท่ี เคยเชื่อกนั วา่ ยาก และไมเ่ หมาะสมสาหรับเดก็ เล็กก็สามารถนามาใหศ้ ึกษาได้ นวตั กรรมท่ีตอบสนอง แนวความคิดพ้ืนฐานน้ีไดแ้ ก่ ศนู ยก์ ารเรียน การจดั โรงเรียนในโรงเรียน นวตั กรรมท่ีสนองแนวความคิด พ้นื ฐานดา้ นน้ี เช่น - ศูนยก์ ารเรียน (Learning Center) - การจดั โรงเรียนในโรงเรียน (School within School) - การปรับปรุงการสอนสามช้นั (Instructional Development in 3 Phases)

11 3. การ ใชเ้ วลาเพ่ือการศึกษา แตเ่ ดิมมาการจดั เวลาเพ่ือการสอน หรือตารางสอนมกั จะจดั โดยอาศยั ความ สะดวกเป็นเกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชวั่ โมง เท่ากนั ทุกวชิ า ทุกวนั นอกจากน้นั ก็ยงั จดั เวลาเรียนเอาไว้ แน่นอนเป็ นภาคเรียน เป็ นปี ในปัจจุบนั ไดม้ ีความคิดในการจดั เป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพนั ธ์กบั ลกั ษณะ ของแต่ ละวชิ าซ่ึงจะใชเ้ วลาไมเ่ ท่ากนั บางวชิ าอาจใชช้ ่วงส้ันๆ แตส่ อนบ่อยคร้ัง การเรียนก็ไมจ่ ากดั อยแู่ ต่ เฉพาะในโรงเรียนเท่าน้นั นวตั กรรมที่สนองแนวความคิดพ้นื ฐานดา้ นน้ี เช่น - การจดั ตารางสอนแบบยดื หยนุ่ (Flexible Scheduling) - มหาวทิ ยาลยั เปิ ด (Open University) - แบบเรียนสาเร็จรูป (Programmed Text Book) - การเรียนทางไปรษณีย์ 4. ประสิทธิภาพ ในการเรียน การขยายตวั ทางวชิ าการ และการเปลี่ยนแปลงของสงั คม ทาใหม้ ีส่ิงต่างๆ ที่ คนจะตอ้ งเรียนรู้เพม่ิ ข้ึนมาก แตก่ ารจดั ระบบการศึกษาในปัจจุบนั ยงั ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึง จาเป็นตอ้ ง แสวงหาวธิ ีการใหม่ท่ีมีประสิทธิภาพสูงข้ึน ท้งั ในดา้ นปัจจยั เกี่ยวกบั ตวั ผเู้ รียน และปัจจยั ภายนอก นวตั กรรมในดา้ นน้ีที่เกิดข้ึน เช่น - มหาวทิ ยาลยั เปิ ด - การเรียนทางวทิ ยุ การเรียนทางโทรทศั น์ - การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสาเร็จรูป - ชุดการเรียน เกณฑ์ในการพจิ ารณานวตั กรรม เพ่อื ท่ีจะสามารถแยกแยะไดว้ า่ วธิ ีการท่ีนามาใชใ้ นกระบวนการใด ๆ น้นั จะเรียกวา่ เทคโนโลยี และนวตั กรรม ศาสตราจารย์ ดร.ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2526:37 ไดก้ ล่าวถึง) เกณฑข์ องนวตั กรรมไวว้ า่ ประกอบดว้ ยลกั ษณะ 4 ประการคือ 1) เป็นวธิ ีการใหมท่ ้งั หมดหรือเกิดจากการปรับปรุงเปล่ียนแปลงวธิ ีการเดิม 2) มีการนาเอาระบบ (System) พิจารณาองคป์ ระกอบของกระบวนการดาเนินการ น้นั ๆ 3) มีการวจิ ยั หรืออยรู่ ะหวา่ งการวจิ ยั วา่ ทาใหก้ ระบวนการดาเนินงานน้นั ๆ มี ประสิทธิภาพ สูงข้ึนกวา่ เดิม 4) ยงั ไม่เป็นส่วนหน่ึงของระบบในปัจจุบนั กล่าวคือหากวธิ ีการน้นั ๆ ไดร้ ับการนาเอา ไปใช้ อยา่ งกวา้ งขวางโดยทว่ั ไปแลว้ และวธิ ีการน้นั มีประสิทธิภาพก็จะถือวา่ วธิ ีการน้นั ๆ นบั เป็นเทคโนโลยี

12 การปฏเิ สธนวตั กรรม เมื่อ มีผคู้ น้ คิดหานวตั กรรมมาใชไ้ มว่ า่ ในวงการใดก็ตาม มกั จะไดร้ ับการตอ่ ตา้ นหรือ การปฏิเสธ ตวั อยา่ งเช่นการปฏิวตั ิอุตสาหกรรมในยโุ รป ลทั ธิการปกครอง หรือวธิ ีการสอนใหม่ ๆ เน่ืองมาจากสาเหตุ หลายประการดว้ ยกนั ดงั น้ี 1) ความ เคยชินกบั วธิ ีการเดิม ๆ เน่ืองจากบุคคลมีความเคยชินกบั วธิ ีการเดิม ๆ ที่ ตนเองเคยใช้ และพึงพอใจในประสิทธิภาพของวธิ ีการน้นั ๆ บุคคลผนู้ ้นั กม็ กั ท่ีจะยนื ยนั ในการใชว้ ธิ ีการน้นั ๆ ต่อไป โดยยากที่จะเปล่ียนแปลง 2) ความ ไม่แน่ใจในประสิทธิภาพของนวตั กรรม แมบ้ ุคคลผนู้ ้นั จะทราบข่าวสารของ นวตั กรรม น้นั ๆ ในแง่ของประสิทธิภาพวา่ สามารถนาไปใชแ้ กป้ ัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดีก็ตาม การ ท่ีตนเองมิไดเ้ ป็ นผทู้ ดลองใชน้ วตั กรรมน้นั ๆ ก็ยอ่ มทาใหไ้ มแ่ น่ใจวา่ นวตั กรรมน้นั ๆ มีประสิทธิภาพจริง หรือไม่ 3) ความ รู้ของบุคคลต่อนวตั กรรม เน่ืองจากนวตั กรรมเป็ นส่ิงที่โดยมากแลว้ บุคคลส่วนมากมี ความรู้ไม่เพยี งพอแก่ การท่ีจะเขา้ ใจในนวตั กรรมน้นั ๆ ทาใหม้ ีความรู้สึกทอ้ ถอยที่จะเขา้ ใจในนวตั กรรม น้นั ๆ ทาใหม้ ีความรู้สึกทอ้ ถอยท่ีจะแสวงหานวตั กรรมมาใช้ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอนเป็ นตวั อยา่ งหน่ึงของ นวตั กรรมท่ีนาเอาเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการเรียนการสอน ผทู้ ่ีมีความรู้พ้ืนฐานทาง คอมพวิ เตอร์ไมพ่ อเพยี งก็จะรู้สึกทอ้ ถอยและปฏิเสธ ในการท่ีจะนานวตั กรรมน้ีมาใชใ้ นการเรียนการสอน ในช้นั ของตน 4) ขอ้ จากดั ทางดา้ นงบประมาณ โดยทวั่ ไปแลว้ นวตั กรรมมกั จะตอ้ งนาเอาเทคโนโลยี สมยั ใหม่ มาใชใ้ นการพฒั นานวตั กรรม ดงั น้นั คา่ ใชจ้ า่ ยของนวตั กรรมจึงดูวา่ มีราคาแพง ในสภาพเศรษฐกิจ โดยทวั่ ไป จึงไม่สามารถที่จะรองรับต่อคา่ ใชจ้ า่ ยของนวตั กรรมน้นั ๆ แมจ้ ะมองเห็นวา่ จะช่วยใหก้ าร ดาเนินการ โดยเฉพาะการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพสูงข้ึนจริง ดงั น้นั จะเป็นไดว้ า่ ปัญหาดา้ น งบประมาณเป็นส่วนหน่ึงที่ทาใหเ้ กิดการปฏิเส ธนวตั กรรม การยอมรับนวตั กรรม ดงั กล่าวมาแลว้ วา่ บุคคลจะปฏิเสธนวตั กรรมเนื่องดว้ ยสาเหตุหลกั 4 ประการคือ ความเคยชินกบั วธิ ีการ เดิม ๆ ความไม่แน่ใจในประสิทธิภาพของนวตั กรรมความรู้ของบุคคลวา่ นวตั กรรมและขอ้ จากดั ทางดา้ น งบประมาณ ดงั น้นั ในการท่ีจะกระตุน้ ใหบ้ ุคคลยอมรับนวตั กรรมน้นั ๆ ตอ้ งแกไ้ ขปัญหาหลกั ท้งั 4 ประการดงั ที่ไดก้ ล่าวมาแลว้

13 เอเวอร์เรต เอม็ โรเจอร์ (Everretle M.Rogers อา้ งในณรงค์ สมพงษ,์ 2530:6) กล่าวถึงกระบวนการ ยอมรับนวตั กรรมวา่ แบ่งออกเป็น 5 ข้นั ตอนคือ 1) ข้นั ตื่นตวั (Awareness) ในข้นั น้ีเป็นข้นั ของการที่ผรู้ ับไดร้ ับรู้ข่าวสารเกี่ยวกบั นวตั กรรมน้นั ๆ 2) ข้นั สนใจ (Interest) เป็นข้นั ท่ีผรู้ ับนวตั กรรมเกิดความสนใจวา่ จะสามารถแกไ้ ขปัญหาที่กาลงั ประสบอยไู่ ดห้ รือไม่ กจ็ ะเริ่มหาขอ้ มูล 3) ข้นั ไตร่ตรอง (Evaluation) ผรู้ ับจะนาขอ้ มูลท่ีไดม้ าพิจารณาวา่ จะสามารถนามาใชแ้ กป้ ัญหา ของตนไดจ้ ริงหรือไม่ 4) ข้นั ทดลอง (Trial) เม่ือพิจารณาไตร่ตรองแลว้ มองเห็นวา่ มีความเป็นไปไดท้ ี่จะช่วยแกไ้ ข ปัญหาของตนได้ ผรู้ ับก็จะนาเอานวตั กรรมดงั กล่าวมาทดลองใช้ 5) ข้นั ยอมรับ (Adoption) เมื่อ ทดลองใชน้ วตั กรรมดงั กล่าว แลว้ หากไดผ้ ลเป็นท่ีพอใจ นวตั กรรมดงั กล่าวกจ็ ะเป็ นที่ยอมรับนามาใชเ้ ป็ นการถาวรหรือจนกวา่ จะเห็นวา่ ดอ้ ยประสิทธิภาพ หาก ไม่เกิดประสิทธิภาพนวตั กรรมดงั กล่าวกจ็ ะไมไ่ ดร้ ับการยอมรับจากบุคคลน้นั อีกต่อไป เม่ือพจิ ารณา กระบวนการยอมรับนวตั กรรมของโรเจอร์แลว้ เปรียบเทียบกบั สาเหตุหลกั 4 ประการของการปฏิเสธ นวตั กรรมจะเห็นไดว้ า่ สาเหตุหลกั 3 ประการแรก คือ ความเคยชินกบั วธิ ีการเดิม ๆ ความไม่แน่ใจใน ประสิทธิภาพของนวตั กรรม และความรู้ของบุคคลต่อนวตั กรรม จะสอดคลอ้ งกบั กระบวนการยอมรับ นวตั กรรม คือ จะทาอยา่ งไรจึงจะใหบ้ ุคคลน้นั ๆ มีความรู้ในนวตั กรรม ซ่ึงเป็ นข้นั ต่ืนตวั (Awareness) เกิดความสนใจ (Interest) ศึกษาหาขอ้ มลู นาเอาขอ้ มูลมาไตร่ตรอง (Evaluation) แลว้ จึงนาเอาไปทดลอง (Trail) ก่อนท่ีจะถึงข้ึนสุดทา้ ยก็คือข้นั ของการยอมรับ (Adoption) ใน ส่วนของปัญหาหลกั ขอ้ สุดทา้ ยกค็ ือ ขอ้ จากดั ทางดา้ นงบประมาณน้นั เป็นการสอนแบบร่วมมือประสานใจ ที่อาศยั กระบวนการเป็น องคป์ ระกอบหลกั เนน้ การสอนแบบร่วมมือประสานใจ (Cooperative Learning) การสอนแบบมุง่ ประสบการณ์ภาษา หรือการเรียนรู้แบบคน้ พบ ก็คงจะแกไ้ ขปัญหาหลกั ขอ้ สุดทา้ ยได้ นวตั กรรมท่ีนามาใชท้ ้งั ที่ผา่ นมาแลว้ และท่ีจะมีในอนาคตมีหลายประเภทข้ึนอยู่ กบั การ ประยกุ ตใ์ ชน้ วตั กรรมในดา้ นต่างๆ ในที่น้ีจะขอกล่าวคือ นวตั กรรม 5 ประเภท คือ 1. นวตั กรรมทางดา้ นหลกั สูตร 2. นวตั กรรมการเรียนการสอน 3.นวตั กรรมสื่อการสอน 4. นวตั กรรมการประเมินผล 5. นวตั กรรมการบริหารจดั การ

14 นวตั กรรมทางด้านหลกั สูตร นวตั กรรมทางดา้ นหลกั สูตร เป็นการใชว้ ธิ ีการใหม่ๆ ในการพฒั นาหลกั สูตรใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถิ่นและตอบสนองความตอ้ ง การสอนบุคคลใหม้ ากข้ึน เนื่องจากหลกั สูตรจะตอ้ งมี การเปลี่ยนแปลงอยเู่ สมอเพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความ กา้ วหนา้ ทางดา้ นเทคโนโลยเี ศรษฐกิจและสงั คมของ ประเทศและของโลก นอกจากน้ีการพฒั นาหลกั สูตรยงั มีความจาเป็นท่ีจะตอ้ งอยบู่ นฐานของแนวคิด ทฤษฎี และปรัชญาทางการจดั การสมั มนาอีกดว้ ย การพฒั นาหลกั สูตรตามหลกั การและวธิ ีการดงั กล่าว ตอ้ งอาศยั แนวคิดและวธิ ีการ ใหม่ๆ ที่เป็นนวตั กรรมการศึกษาเขา้ มาช่วยเหลือจดั การใหเ้ ป็นไปในทิศทาง ที่ตอ้ งการ นวตั กรรม หรือ นวกรรม มาจากคาวา่ นว ซ่ึงแปลวา่ ใหม่ และคาวา่ กรรม ซ่ึงแปลวา่ การ กระทา ดงั น้นั นวตั กรรม หรือนวกรรม จึงหมายความถึงการกระทาใหม่ๆและส่ิงใหม่ๆที่ เกิดข้ึน ท้งั น้ี สาลี ทองธิว ( 2545) อธิบายตอ่ ไปดว้ ยวา่ การกระทาใหมๆ่ หรือส่ิงใหม่ๆท่ีวา่ น้ีอาจจะเป็น ส่ิงของ ความคิด สื่อ หลกั การ ปรัชญา วธิ ีการฯลฯ ที่เกิดข้ึนมา และอาจจะเป็ นสิ่งใหมท่ ี่ไมเ่ คยปรากฏมา ก่อน หรืออาจจะเป็ นส่ิงที่เคยมีมาก่อน เลิกใชห้ รือลืมกนั ไปแลว้ แตก่ ลบั ถูกนามาใชใ้ หม่ในบริบทใหมก่ ็ ได้ ที่สาคญั คืออาจเป็ นสิ่งท่ีใชก้ นั อยปู่ กติในสงั คมหน่ึงแต่เม่ือนามาใชใ้ นอีกสงั คมหน่ึงก็กลายเป็น นวตั กรรมของสงั คมน้นั ได้ ดงั น้นั คาวา่ นวตั กรรมจึงมีความหมายมากกวา่ แคเ่ ป็นส่ิงใหม่ท่ีถูกสร้างข้ึน แต่ หมายรวมไปถึงการนาส่ิงใหมน่ ้ีไปใชใ้ นบริบทการใชห้ น่ึงๆอีกดว้ ย นวตั กรรมดา้ นหลกั สูตรจึงหมายถึงหลกั สูตรใหม่ กระบวนการใหม่ๆท่ีใชใ้ นการพฒั นาหลกั สูตร กรอบ แนวคิดใหม่ๆในการวเิ คราะห์หลกั สูตร กรอบการประเมินใหมๆ่ ที่ใชใ้ นการประเมินหลกั สูตร กระบวน ทศั น์ใหมๆ่ ท่ีใชใ้ นการมองปัญหาหลกั สูตร ซ่ึงการกระทาใหม่ๆที่กล่าวมาท้งั หมดตอ้ งมีความแตกต่างไป จากกระบวนการ วธิ ีการที่ใชก้ นั โดยทวั่ ไป นน่ั คือนวตั กรรมดา้ นหลกั สูตรหมายความถึงหลกั สูตรใหมท่ ่ี พฒั นาข้ึนภายใตก้ ระบวนทศั นแ์ ละกรอบแนวคิดในการพฒั นาหลกั สูตรใหม่ซ่ึงทาให้ตอ้ งมีการ เปล่ียนแปลงสาระเน้ือหา รูปแบบการสอนและการบริหารจดั การหลกั สูตร จดั ทาภายใตโ้ ครงสร้างเวลา เรียนใหม่ มีเป้ าหมายหรือจุดเนน้ ท่ีแตกต่างไปจากเดิม ตลอดจนการวดั และประเมินประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของผเู้ รียนใหม่ท้งั หมด และที่สาคญั คือมีการนาหลกั สูตรใหม่ที่เกิดข้ึนน้ีไปใชใ้ นบริบทการ เรียนการสอนจริง องค์ประกอบของนวตั กรรมด้านหลกั สูตร ปรัชญา แนวคิดและหลกั การพ้นื ฐานสาหรับการออกแบบนวตั กรรม ซ่ึงเป็นตวั บ่งบอกหรือกาหนด ทิศทางของเป้ าหมายของนวตั กรรมที่กาลงั จะสร้างเป้ าหมาย และ วตั ถุประสงคใ์ นรายละเอียด สาระ เน้ือหา กระบวนทศั น์ ประสบการณ์ ทกั ษะ ฯลฯ ที่ตอ้ งการส่ือสารผา่ นนวตั กรรม

15 ลกั ษณะเฉพาะของนวตั กรรมหลกั สูตร ซ่ึงไดแ้ ก่โครงสร้างเวลาเรียน การจดั การเรียนรู้ การบริหารจดั การ หลกั สูตร (คุณสมบตั ิและขอบข่ายอานาจและความรับผดิ ชอบของบุคลากรท่ีเก่ียวขอ้ งท้งั หมด กรอบ ความสมั พนั ธ์ของบุคลากรท้งั หมด แนวการดาเนินการหลกั สูตรซ่ึงครอบคลุมการประมาณ การงบประมาณท่ีจาเป็ น วสั ดุอุปกรณ์ อตั ราบุคลากร สถานที่) ขอบขา่ ยและเกณฑก์ ารประเมินหลกั สูตร ตลอดจนการติดตามผลกระทบของหลกั สูตรต่อผเู้ รียนและต่อ สังคม แบบประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนวตั กรรม ซ่ึงครอบคลุมแบบวดั ผลการเรียนรู้ แบบ ประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคแ์ ละสมรรถนะท่ีตอ้ งการใหเ้ กิดในตวั ผเู้ รียน รวมถึงแบบประเมินหรือ แนวทางการประเมินผลกระทบของนวตั กรรมที่มีต่อสังคมท้งั ในส่วนท่ีเป็นผลกระทบท่ีต้งั ใจและไม่ ต้งั ใจใหเ้ กิดข้ึน เป้ าหมายของนวตั กรรมด้านหลกั สูตรและการสอน เป้ าหมายของนวตั กรรมดา้ นหลกั สูตรและการสอนมีความหมายเป็นสองนยั ดว้ ยกนั นยั แรก หมายความถึงการกระทาใหม่ๆ หรือแนวคิดใหม่ๆดา้ นหลกั สูตรและการสอนที่สามารถนาไปสู่การ ปรับเปล่ียนโครงสร้างของระบบสังคมเดิม เป็นนวตั กรรมที่เตรียมคนสาหรับสงั คมที่เปล่ียนไปจาก เดิม อาทิเช่นเปลี่ยนจากสังคมระบบทุนนิยมหรือเอียงไปทางทุนนิยมไปเป็นสงั คมแนวเศรษฐกิจพอเพียง หรือ เปล่ียนไปเป็นสังคมในแนวสงั คมนิยม ฯลฯ นยั ท่ีสองหมายความถึงการกระทาใหม่ๆ หรือ ส่ิงประดิษฐใ์ หม่ๆท่ีพฒั นาข้ึนเพือ่ ใชเ้ ป็ นเครื่องมือของนกั การศึกษา หรือผมู้ ีอานาจในระบบสงั คมเดิมเพ่อื คงไวซ้ ่ึงโครงสร้างทางสังคมเดิม เป็นนวตั กรรมท่ีเป็นเคร่ืองมือสาหรับการแกป้ ัญหาที่จุดใดจุดหน่ึงของ โครงสร้างสงั คมเดิมเพ่ือทาใหจ้ ุดน้นั ๆทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพมากข้ึน สร้างความมนั่ คงแขง็ แรง ใหก้ บั สังคมเดิมในบริบทเดิมและคงเป้ าหมายเดิมของสังคมไว้ สรุปไดว้ า่ เป้ าหมายของนวตั กรรมดา้ นหลกั สูตรและการสอน มีสองนยั ดว้ ยกนั ดงั น้ี เป้ าหมายเพ่ือพฒั นาหลกั สูตรและการสอนที่สามารถปรับปรุงสิ่งท่ีมีอยเู่ ดิมใหส้ ามารถทางาน แกป้ ัญหาท่ี มีอยใู่ นระบบเพื่อทาใหบ้ รรลุเป้ าหมายเดิมไดด้ ีข้ึน, หรือ เป้ าหมายเพ่ือเปล่ียนแปลงสิ่งที่มีอยเู่ ดิมเพื่อสร้างสิ่งใหมท่ ี่ทาใหบ้ รรลุเป้ าหมายใหม่ ทาใหเ้ กิดการ เปลี่ยนแปลงข้ึนในสงั คม

16 นวตั กรรมด้านหลกั สูตรกบั ความคดิ สร้างสรรค์ ในขณะท่ีความคิดสร้างสรรคห์ มายถึงการสร้างสิ่งใหมๆ่ เกิดความคิดใหม่ๆ สร้างวธิ ีการหรือการ กระทาใหม่ๆข้ึน นวตั กรรมดา้ นหลกั สูตรหมายถึง หลกั สูตรที่เกิดจากความคิดใหมๆ่ วธิ ีการหรือการ กระทาใหม่ๆ ท่ีไดถ้ ูกนาไปใชใ้ นสถานการณ์จริงภายใตเ้ ง่ือนไขหรือบริบทเฉพาะแบบใดแบบหน่ึง กล่าว โดยสรุปคือหลกั สูตรท่ีพฒั นาหรือสร้างข้ึนจากความคิดสร้างสรรค์ แต่ยงั ไม่ไดม้ ีนาไปใชห้ รือคานึงถึง บริบทของการนาไปใชอ้ ยา่ งจริงจงั ยงั ไมอ่ าจเรียกไดว้ า่ เป็ นนวตั กรรมดา้ นหลกั สูตร เป็ นเพยี งความคิด สร้างสรรคด์ า้ นหลกั สูตรเท่าน้นั อยา่ งไรกต็ าม ความคดิ สร้างสรรค์คือข้นั แรกสุดของนวตั กรรมด้าน หลกั สูตร ตวั อยา่ งที่เป็ นรูปธรรมสาหรับความแตกตา่ งและรอยเชื่อมตอ่ ระหวา่ งคาวา่ ความคิดสร้างสรรคก์ บั คาวา่ นวตั กรรมหลกั สูตร เช่นในบริบทขององคก์ รหรือหน่วยงานหน่ึง คาวา่ นวตั กรรมหลกั สูตรจะครอบคลุม กระบวนการต้งั แตก่ ารท่ีคนในองคก์ รน้นั สร้างความคิดใหมๆ่ ข้ึนมา แลว้ แปลงความคิดน้นั ไปสู่การ ปรับเปลี่ยนการบริหารจดั การหลกั สูตรที่มีประโยชนแ์ ละใชไ้ ดใ้ นบริบทองคก์ รน้นั ในกรณีน้ีเห็นไดว้ า่ ความคิดสร้างสรรคเ์ ป็ นข้นั แรกของกระบวนการสร้างนวตั กรรมหลกั สูตรในองคก์ รเช่นในกรณีการสร้าง ระบบการจดั การความรู้ -KMS ในสาขาวชิ าประถมศึกษา ระบบการบริหารเวลาและบุคลากรดา้ น หลกั สูตรแบบใหม่ท่ีคณาจารยใ์ นสาขาวชิ าประถมศึกษาใช้ อาทิเช่นการบูรณาการงานวจิ ยั ท้งั ในและ ต่างประเทศกบั การสอนเขา้ ดว้ ยกนั การติดต่อส่ือสาร-การจดั การเรียนรู้ระหวา่ งกนั และระหวา่ งคณาจารย์ กบั นิสิตผา่ นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การบูรณาการการพฒั นาคณาจารยเ์ ขา้ กบั การพฒั นาการ เรียนรู้ และการสร้างองคค์ วามรู้ท่ีเป็นนวตั กรรมจากงานวิจยั และประสบการณ์การทางานวชิ าการ ระบบ การบริหารจดั การหลกั สูตรจึงเป็นนวตั กรรมที่เกิดจากการนาความคิดสร้างสรรคเ์ ฉพาะในบริบท สาขาวชิ าประถมศึกษามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนต์ ่อการบริหารจดั การและการพฒั นาองคก์ รสาขาวชิ า ประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั อยา่ งไรกต็ ามในเรื่องนวตั กรรมและความคิดสร้างสรรคใ์ นองคก์ รน้ี Teresa M. Amabile;R. Coti; H. Coon; J. Laxenby, and M. Herron (1996) และ Teresa M. Amabile (1995) อธิบายวา่ แมว้ า่ ความคิด สร้างสรรคจ์ ะเป็นข้นั แรกและเป็นข้นั ที่จาเป็นท่ีสุดสาหรับนวตั กรรมในองคก์ ร แต่ไม่ไดห้ มายความวา่ เม่ือมีความคิดสร้างสรรคเ์ กิดข้ึนแลว้ จะนาไปสู่การสร้างนวตั กรรมไดเ้ สมอไป เน่ืองจากในการสร้าง นวตั กรรมในองคก์ รไดน้ ้นั ตอ้ งประกอบดว้ ยเง่ือนไขสาคญั อีกอยา่ งนอ้ ยสามประการ คือคนในองค์กรที่ จะช่วยกนั สร้างนวตั กรรมน้ันจะต้องมคี วามรู้ลกึ ในเรื่องทกี่ าลงั จะทา (ในทน่ี ีค้ อื ระบบเครือข่าย คอมพวิ เตอร์ ฯลฯ) จะต้องมีความสามารถในการคิดแบบหลากหลาย สามารถใช้สมองซีกขวาและ ส่วน frontal lobe ได้ และจะต้องมีแรงกระตุ้นทเี่ กดิ จากภายใน (intrinsic motivation)

17 ในเร่ืองการสร้างนวตั กรรมในระดบั องคก์ รเช่นตวั อยา่ งในกรณีของสาขาวชิ าประถมศึกษาน้ี Joseph Schumpeter เสนอแนะวธิ ีการไวอ้ ยา่ งน่าสนใจวา่ ในหลายๆกรณีจาเป็นตอ้ งใชว้ ธิ ีการที่เรียกวา่ creative destruction หรือวธิ ีการท่ีทาใหร้ ะบบท่ีเป็นอยเู่ ดิมถูกทาลายลงเพ่อื เปิ ดโอกาสใหว้ ธิ ีการใหม่ๆไดเ้ ขา้ มา ดาเนินการ เช่นในกรณีการเลิกใชแ้ ผน่ ฟิ ลม์ ในกลอ้ งถ่ายรูปและใชร้ ะบบดิจิทอลแทน การเลิกใชน้ าฬิกา ฟันเฟื องและใชน้ าฬิกาดิจิทอล การเลิกใชม้ ว้ นเทปเสียง (cassette tape ) และใช้ compact disk แทนเป็ น ตน้ สาหรับกรณีนวตั กรรมการบริหารหลกั สูตรของสาขาวชิ าประถมศึกษาน้นั คณาจารยท์ ดลองเลิกการ สอนแบบแยกรายวชิ าที่มีเน้ือหาสาระซ้าซอ้ นกนั และนาการผนวกรายวชิ าเหล่าน้นั เขา้ ดว้ ยกนั มาใชแ้ ทน เพื่อสร้างความแขง็ แกร่งทางวชิ าการและการวจิ ยั ใหก้ บั ท้งั ผเู้ รียนและผสู้ อน คุณสมบตั ขิ องนวตั กรรมด้านหลกั สูตรกบั การยอมรับของสังคม นวตั กรรมดา้ นหลกั สูตรอาจเป็ นที่ยอมรับหรือไมย่ อมรับในข้นั การนาไปใช้ และแมเ้ ม่ือมีการยอมรับ นาไปใชก้ อ็ าจจะเกิดข้ึนไดช้ า้ หรือเร็ว ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั หลายอยา่ งของตวั นวตั กรรมหลกั สูตรที่ พฒั นาข้ึน ถา้ ค่าใชจ้ า่ ยในการจดั ทา และการใชน้ วตั กรรมหลกั สูตรน้นั ไม่แพงเกินไปกจ็ ะไดร้ ับการยอมรับง่ายและ เร็ว และมีการนาไปใชอ้ ยา่ งแพร่หลายได้ ท้งั น้ีหมายถึงค่าใชจ้ า่ ยในการดาเนินการใชน้ วตั กรรมหลกั สูตร น้นั ดว้ ย ความสะดวกในการดาเนินการหลกั สูตร เช่นในกรณีนวตั กรรมการสร้างระบบจดั การความรู้ท่ีอาศยั ความ พร้อมของคณาจารยด์ า้ นการวจิ ยั และการสอน และความพร้อมของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ในคณะครุ ศาสตร์ในการดาเนินการเรียนรู้ ทาใหก้ ารดาเนินการหลกั สูตรในระบบการจดั การความรู้เป็นไปไดอ้ ยา่ ง สะดวกนวตั กรรมการสร้างระบบจดั การความรู้จึงเป็ นไปอยา่ งราบรื่นและมีประสิทธิภาพ การยอมรับ นาไปใชจ้ ะเกิดไดเ้ ร็วไปดว้ ย นวตั กรรมหลกั สูตรท่ีสร้างบนฐานกระบวนทศั น์ วถิ ีการทางาน และบริบทความพร้อมตลอดจนสภาพ ปัญหาที่แตกตา่ งจากผใู้ ชม้ กั ไม่ไดร้ ับความสนใจ และส่วนใหญม่ กั ถูกต่อตา้ นจากสงั คมผใู้ ช้ เช่นหลกั สูตร ท่ีเนน้ คะแนนผลสมั ฤทธ์ิของผเู้ รียนเป็นหลกั จะถูกตอ่ ตา้ นจากกลุ่มครูท่ีมองวา่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนกั เรียนเป็ นเพยี งส่วนหน่ึงของเป้ าหมายของการศึกษา โดยที่เป้ าหมายของการศึกษาน่าจะตอ้ งมอง ใหค้ รอบคลุมความเป็นคนดีของสงั คมและคนมีแนวโนม้ ที่จะสร้างสรรคส์ ังคมต่อไปดว้ ย ดงั น้นั การสร้าง นวตั กรรมหลกั สูตรโดยไม่วิเคราะห์สภาพปัญหาและเป้ าหมายของสังคมหน่ึงๆจึงอาจนาไปสู่การต่อตา้ น นวตั กรรมหลกั สูตรน้นั ได้ ผลกระทบที่พึงปรารถนาและผลกระทบที่ไม่พงึ ปรารถนา พิจารณาในสองระดบั คือระดบั สังคม และ ระดบั บุคคล ซ่ึงนวตั กรรมหลกั สูตรแบบหน่ึงอาจมีผลกระทบท่ีพึงปรารถนาในระดบั บุคคล แตม่ ี

18 ผลกระทบท่ีไมพ่ งึ ปรารถนาในระดบั สงั คมกไ็ ด้ เช่นนวตั กรรมหลกั สูตรท่ีมีประสิทธิภาพทาใหผ้ เู้ รียน บรรลุผลสัมฤทธ์ิระดบั ชาติท่ีสูงมากซ่ึงเป็นที่พึงปรารถนาของโรงเรียนและนกั เรียน แต่ในขณะเดียวกนั อาจไมเ่ ป็นที่พงึ ปรารถนาในระดบั สังคมและระดบั ชาติเนื่องจากนกั เรียนท่ีมีผลสมั ฤทธ์ิทางวชิ าการสูง มากทุกรายวชิ ามีความเครียดสูง มีความคิดท่ีจะกา้ วหนา้ โดยไมค่ านึงถึงคนรอบขา้ งและสังคม ส่วนรวม นวตั กรรมหลกั สูตรที่เป็นท่ีพึงปรารถนาของผใู้ ชร้ ะดบั บุคคลอาจเป็นท่ียอมรับในระดบั ตน้ ๆ แต่อาจชา้ ลงจนถึงตอ้ งเลิกใชถ้ า้ ไมเ่ ป็นท่ีพงึ ปรารถนาในระดบั สังคม อ้างองิ สาลี ทองธิว. (2545) การเผยแพร่นวตั กรรมทางการศึกษาสาหรับผบู้ ริหารและครูยคุ ปฏิรูป การศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2545 รองศาสตราจารย์ ดร.สาลี ทองธิว ความจาเป็ นในการนาเทคโนโลยมี าใช้ทางการศึกษา ปัญหาการศึกษาของไทย สมยั น้ีการศึกษาเป็นส่ิงท่ี “สาคญั ” มากในชีวติ หากผใู้ ดไม่ไดร้ ับการศึกษา ผนู้ ้นั กอ็ าจจะ กลายเป็นคนที่สังคมไม่ยอมรับ แตเ่ มื่อเราลองมองลึกลงไป ผทู้ ่ีไดร้ ับการศึกษาบางคน ถึงแมว้ า่ จะจบ การศึกษาในระดบั อุดมศึกษา แตค่ ุณภาพน้นั กลบั ต่าลงจากสมยั ก่อนมาก การศึกษาไทยในปัจจุบนั น้นั มี ปัญหามากมายหลายดา้ นจากหลายๆสาเหตุ ทาใหผ้ ทู้ ี่ไดร้ ับการศึกษาบางคน มีคุณภาพท่ีไมด่ ีพอ 10 ปัญหาการศึกษาไทย 1. นกั เรียนเสพยาเสพติด 2. ความตระหนกั ในบทบาทและหนา้ ท่ีความรับผดิ ชอบของบุคลากรทางการศึกษา 3. เงินกยู้ มื , ทุนการศึกษา ไม่มีเพียงพอกบั กบั จานวนคนที่ตอ้ งการ

19 4. นกั ศึกษา,นกั เรียน ขาดคุณภาพ 5. วฒั นธรรม และ จริยธรรม เส่ือมโทรม 6. การแตง่ ต้งั โยกยา้ ยผบู้ ริหารของกระทรวงศึกษาไม่โปร่งใส 7. หลกั สูตรการเรียนการสอนลา้ สมยั 8. สถานศึกษาขาดปัจจยั สนบั สนุน ดา้ นบุคลากร และงบประมาณที่เหมาะสม 9. การแตง่ กายและขาดระเบียบวนิ ยั 10. การปฏิรูปการศึกษาล่าชา้ และ ไมม่ ีแนวทาง จากปัญหาและสาเหตุเหล่าน้ี เราอาจจะต้งั คาถามถามตวั เองวา่ ควรใหโ้ อกาสเหล่าน้ีกบั นกั เรียนของ เราหรือไม่ และถึงเวลาหรือยงั ที่เราจะหาวธิ ีการสอนวธิ ีอ่ืนๆเขา้ มาเสริมการเรียนการสอน เพอ่ื ตอบสนอง ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลมากข้ึน ทาใหผ้ เู้ รียนเรียนอยา่ งมีชีวติ ชีวาและมีความสุขในการเรียน มี บรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี ผเู้ รียนไดฝ้ ึกคิด ฝึกปฏิบตั ิ ฝึกเผชิญปัญหาและหาทางแกไ้ ขดว้ ยตนเองมากข้ึน เม่ือสาเร็จการศึกษาออกมาก็จะเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพสมบูรณ์ท้งั ร่าง กายจิตใจและสติปัญญา นอกจากน้นั ยงั ฝึกให้เขาพร้อมที่จะไปอยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสุข ไมว่ า่ สงั คมจะเปล่ียนไปอยา่ งใดก็ ตาม เขากจ็ ะรู้จกั การแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง นวตั กรรมทางด้านหลกั สูตรในประเทศไทย ไดแ้ ก่ การพฒั นาหลกั สูตรดงั ต่อไปน้ี 1. หลกั สูตรบรู ณาการ เป็นการบูรณาการส่วนประกอบของหลกั สูตรเขา้ ดว้ ยกนั ทางดา้ น วทิ ยาการในสาขา ตา่ งๆ การศึกษาทางดา้ นจริยธรรมและสังคม โดยมุง่ ใหผ้ เู้ รียนเป็นคนดีสามารถใช้ ประโยชน์จากองคค์ วามรู้ในสาขาต่างๆ ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมอยา่ งมีจริยธรรม 2. หลกั สูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพฒั นาหลกั สูตรเพอื่ การศึกษาตามอตั ภาพ เพื่อ ตอบสนองแนวความคิดในการจดั การศึกษารายบุคคล ซ่ึงจะตอ้ งออกแบบระบบเพื่อรองรับความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยดี า้ นต่างๆ 3.หลกั สูตรกิจกรรมและประสบการณ์ เป็นหลกั สูตรท่ีมุ่งเนน้ กระบวนการในการจดั กิจกรรม และประสบการณ์ใหก้ บั ผเู้ รียนเพอื่ นาไปสู่ความ สาเร็จ เช่น กิจกรรมท่ีส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมใน บทเรียน ประสบการณ์การเรียนรู้จากการสืบคน้ ดว้ ยตนเอง เป็นตน้ 4. หลกั สูตรทอ้ งถ่ิน เป็ นการพฒั นาหลกั สูตรที่ตอ้ งการกระจายการบริหารจดั การออกสู่ ทอ้ งถ่ิน เพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ศิลปวฒั นธรรมส่ิงแวดลอ้ มและความเป็นอยขู่ องประชาชนท่ีมีอยใู่ นแต่ละ ทอ้ งถิ่น แทนที่หลกั สูตรในแบบเดิมท่ีใชว้ ธิ ีการรวมศนู ยก์ ารพฒั นาอยใู่ นส่วนกลาง

20 นวตั กรรมการเรียนการสอน เป็น การใชว้ ธิ ีระบบในการปรับปรุงและคิดคน้ พฒั นาวธิ ีสอนแบบใหม่ๆ ท่ีสามารถตอบสนองการเรียน รายบุคคล การสอนแบบผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้แบบแกป้ ัญหา การ พฒั นาวธิ ีสอนจาเป็นตอ้ งอาศยั วธิ ีการและเทคโนโลยใี หมๆ่ เขา้ มาจดั การและสนบั สนุนการเรียนการสอน ตวั อยา่ งนวตั กรรมท่ีใชใ้ นการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ การสอนแบบศูนยก์ ารเรียน การใชก้ ระบวนการกลุ่ม สมั พนั ธ์ การสอนแบบเรียนรู้ร่วมกนั และการเรียนผา่ นเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต การวจิ ยั ใน ช้นั เรียน ฯลฯ เทคนิคการสอนแบบ CIPPA การเรียนการสอนโดยยดึ ผู้เรียนเป็ นศูนย์กลาง:โมเดลซิปปา ในปัจจุบนั แนวการจดั การเรียนการสอนโดยยดึ นกั เรียนเป็นศูนยก์ ลางไดเ้ ขา้ มามีบทบาทในการจดั การศึกษาท้งั ในประเทศและในต่างประเทศ แนวความคิดในการจดั การศึกษาน้ีใหค้ วามสาคญั กบั การ เรียนรู้โดยการกระทา(Learning by Doing)ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้ดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิในกิจกรรมที่ หลากหลาย มีส่วนร่วมและเรียนรู้ร่วมกนั เป็นกลุ่ม เพื่อส่งเสริมความรู้ ความสามารถ และศกั ยภาพของ ผเู้ รียนโมเดลซิปปา(CIPPA MODEL) เป็นการเรียนการสอนท่ีเป็ นแนวคิดหลกั ท่ีเป็นพ้ืนฐานในการ จดั การเรียนการสอนโดยยดึ นกั เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง ซ่ึงการจดั การเรียนการสอนโดยยดึ นกั เรียนเป็น ศนู ยก์ ลางซิปปาน้ีพฒั นาข้ึนโดย รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี อาจารยป์ ระจาภาควชิ า ประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เป็นนกั การศึกษาผมู้ ีประสบการณ์สอนและการ นิเทศการสอน ไดก้ ล่าววา่ แนวคิดในการสอนโดยยดึ ผเู้ รียนเป็นศูนยก์ ลางในการศึกษาไทยมีมานานแลว้ แต่ยงั ไมเ่ กิดผลในการปฏิบตั ิท่ีเป็นน่าพอใจ ครูจานวนมาก ขาดความรู้ความเขา้ ใจ และขาดแนวทางท่ี ชดั เจนในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ดว้ ยเหตุผลน้ี ทิศนา แขมมณี จึงไดเ้ สนอแนวคิดและ แนวทางในการนาไปปฏิบตั ิจริงอยา่ งเป็ นรูปธรรม โดยใหค้ วามสาคญั กบั การใหผ้ เู้ รียนเป็นจุด สนใจ (Center of attention) หรือเป็นผมู้ ีบทบาทสาคญั กล่าวคือ ผเู้ รียนมีส่วนร่วมในการจดั กิจกรรมการ เรียนรู้ หากผเู้ รียนมีส่วนร่วมในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีจดั ข้ึนมาก ผเู้ รียนก็จะเป็ นผมู้ ีบทบาทในการ เรียนรู้มาก และควรจะเกิดการเรียนรู้ท่ีดีข้ึนตามมา แนวคิดการจดั การเรียนรู้ท่ีมีคุณภาพใหผ้ เู้ รียนมีส่วน เรียนร่วมอยา่ งผกู พนั ทิศนา แขมมณี (2543) ไดเ้ สนอไวด้ งั น้ี กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีดีควรช่วยใหผ้ เู้ รียน ไดม้ ีส่วนร่วมทางดา้ นร่างกาย คือ กิจกรรมท่ีช่วยใหผ้ เู้ รียนไดม้ ี โอกาสเคล่ือนไหวร่างกายเพื่อช่วยใหป้ ระสาทรับรู้ของผเู้ รียนต่ืนตวั พร้อมท่ีจะรับขอ้ มลู สิ่งตา่ งๆท่ีจะ เกิดข้ึน ตามความเหมาะสมกบั วยั และระดบั ความสนใจของผเู้ รียน

21 การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงาน แนวคดิ การสอนแบบโครงงานเป็นการเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียน เรียนรู้เร่ืองใดเร่ืองหน่ึงตาม ความสนใจของผเู้ รียนอยา่ งลุ่มลึก โดยผา่ นกระบวนการหลกั คือ กระบวนการแกป้ ัญหา ผเู้ รียนจะเป็นผู้ ลงมือปฏิบตั ิเพื่อคน้ หาคาตอบดว้ ยตนเอง จึงเป็นการเรียนรู้จากการไดม้ ีประสบการณ์ตรงจากแหล่ง เรียนรู้ ความหมาย การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงาน คือ การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนที่จดั ประสบการณ์ใหแ้ ก่นกั เรียนเหมือนกบั การทางานในชีวติ จริง วตั ถุประสงค์ การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงานมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อใหน้ กั เรียน 1. มีประสบการณ์โดยตรง 2. ไดท้ าการทดลองและพิสูจน์ส่ิงต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง 3. รู้จกั การทางานอยา่ งมีระบบ มีข้นั ตอน 4. ฝึกการเป็นผนู้ าและผตู้ ามท่ีดี 5. ไดเ้ รียนรู้วธิ ีการแกป้ ัญหา 6. ไดร้ ู้จกั วธิ ีการต่าง ๆ ในการแกป้ ัญหา 7. ฝึกวเิ คราะห์ และประเมินตนเอง ประเภทของโครงงาน 1. โครงงานแบบสารวจ 2. โครงงานแบบทดลอง 3. โครงงานสิ่งประดิษฐ์ 4. โครงงานทฤษฎี รูปแบบการจัดทาโครงงาน 1. ชื่อโครงงาน 2. คณะทางาน 3. ท่ีปรึกษา 4. แนวคิด / ที่มา / ความสาคญั 5. วตั ถุประสงค์ / จุดมุง่ หมาย

22 6. ข้นั ตอนการดาเนินงาน / วธิ ีการศึกษา 7. แหล่ง / สถานศึกษา (ถา้ มี) 8. วสั ดุ อุปกรณ์ 9. งบประมาณ 10. ระยะเวลาการดาเนินงาน 11. ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ ับ ข้นั ตอนในการสอนทาโครงงาน การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงานมี 4 ข้นั ตอน คือ 1. กาหนดความมุ่งหมายและลกั ษณะโครงงานโดยตวั นกั เรียนเอง 2. วางแผนหรือวางโครงงาน นกั เรียนตอ้ งช่วยกนั วางแผนวา่ จะทาอะไร ใชว้ ธิ ีการหรือกิจกรรมใด จึงจะ บรรลุจุดมุง่ หมาย 3. ข้นั ดาเนินการ ลงมือทากิจกรรมหรือแกป้ ัญหา 4. ประเมินผล โดยประเมินวา่ กิจกรรมหรือโครงงานน้นั บรรลุผลตามความมุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ หรือไม่ มีขอ้ บกพร่อง และควรแกไ้ ขใหด้ ีข้ึนอยา่ งไร วธิ ีการทาโครงงาน 1. ประชุมปรึกษาหารือ เพื่อหาขอ้ สรุปเกี่ยวกบั หวั ขอ้ ของโครงงาน จากสิ่งต่อไปน้ี - การสงั เกต หรือตามท่ีสงสยั - ความรู้ในวิชาตา่ ง ๆ - จากปัญหาใกลต้ วั หรือการเล่น - คาบอกเล่าของผใู้ หญ่ หรือผรู้ ู้ 2. เขียนหลกั การ เหตุผล ที่มาของโครงงาน 3. ต้งั วตั ถุประสงคข์ องการทาโครงงาน 4. กาหนดวธิ ีการศึกษา เช่น การสารวจ การทดลอง เป็นตน้ 5. นาผลการศึกษามาอภิปรายกลุ่ม 6. สรุปผลการศึกษา โดยการอภิปรายกลุ่ม 7. ปรับปรุงชื่อโครงงาน ใหค้ รอบคลุม น่าสนใจ

23 การประเมินผลการทาโครงงาน ครูผสู้ อนจะเป็นผปู้ ระเมินการทาโครงงานของนกั เรียนแตล่ ะ กลุ่ม โดยใชแ้ บบประเมินแผนผงั โครงงานพจิ ารณาตามรายละเอียดดงั น้ี 1. ช่ือเร่ืองแสดงถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 2. ช่ือเรื่องมีความสัมพนั ธ์กบั เน้ือหาคาถามมีการกระตุน้ ใหน้ กั เรียนเกิดความคิด 3. สมมติฐานมีการแสดงถึงพ้ืนฐานความรู้เดิม 4. วธิ ีการ เครื่องมือท่ีใชใ้ นการศึกษา เหมาะสมสอดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมายและเน้ือหา 5. แหล่งศึกษาสามารถคน้ ควา้ คาตอบได้ 6. วธิ ีการนาเสนอชดั เจน เหมาะสมกบั เน้ือหาและเวลา การสอนให้นักศึกษาเป็ นศูนย์กลาง (Student Centered Learning) โดยคานิยามที่ยอมรับกนั โดยทวั่ ไป เป็นการเรียนการสอนตามความตอ้ งการของนกั ศึกษา ซ่ึงแต่ ละคนมีความตอ้ งการแตกตา่ งกนั จึงอาจเป็นเรื่องท่ีทาไม่ไดง้ ่ายนกั โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ในหอ้ งเรียนขนาด ใหญ่ การวจิ ยั พบวา่ การสอนวธิ ีน้ีทาใหน้ กั ศึกษาสนใจเรียนมากข้ึน เพราะเป็นเรื่องที่เขาตอ้ งการเรียน เป็ น ประโยชนต์ ่ออนาคตของเขา ทาใหม้ ีแรงจงู ใจใหเ้ รียนรู้ โดยครูเป็นผปู้ ระสานความรู้เพื่อใหน้ กั เรียนไปถึง จุดหมาย ครูจะตอ้ งมองวา่ เราสอนใคร เพอ่ื ให้เขาทาอะไร และ จะสอนอย่างไร หากรู้พ้นื ฐานนกั เรียน (สอน ใคร) ก็จะสามารถจดั กระบวนการสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั พ้ืนฐานเขาได้ และการสอนตอ้ งใหเ้ ขาตระหนกั ในประโยชน์ (เพ่อื อะไร) จากน้นั จึงดาเนินการสอน (อยา่ งไร) ใหส้ อดคลอ้ งและไดป้ ระโยชนส์ ูงสุด ซ่ึง วธิ ีการสอนแบบใหผ้ เู้ รียนเป็ นศูนยก์ ลาง น่าจะเป็นวธิ ีที่มีประสิทธิภาพมากวธิ ีหน่ึง\\ วธิ ีการเสนอแนะในการสอนแบบนักศึกษาเป็ นศูนย์กลาง 1. อาจารยแ์ จกเคา้ โครงรายวชิ าใหน้ กั ศึกษา โดยอาจารยไ์ มส่ อน แต่แนะแนวทางใหน้ กั ศึกษาคิด และ แกป้ ัญหา นกั ศึกษาจะตอ้ งอ่านหนงั สือมาก่อน นกั ศึกษาเป็นผอู้ อกแบบเน้ือหา กาหนดเน้ือหา เอง ซ่ึงการวดั ผล จะตอ้ งใช้ ขอ้ สอบท่ีมีมาตรฐานเดียวกนั ซ่ึงเป็นเร่ืองยากพอสมควร 2. การเรียนแบบโครงงาน โดยในวชิ าน้นั นกั ศึกษาจะตอ้ งทาโครงงานยอ่ ย 4 โครงการ ใชเ้ วลาโครงการ ละ 2สปั ดาห์ นกั ศึกษาจะตอ้ งต้งั ปัญหาในแต่ละโครงการแลว้ เช่ือมตอ่ โครงการกบั ทฤษฎีท่ีอาจารย์ เสนอแนะไว้ แตก่ ่อนปิ ดรายวิชาอาจารยต์ อ้ งสรุปและเสริมเพ่ิมเติมเพ่อื ใหค้ รอบคลุมเน้ือหาและ วตั ถุประสงคข์ องรายวชิ า

24 ประเด็นเสนอแนะปลกี ย่อย 1. ครูตอ้ งเก่งมากจึงจะเป็นผปู้ ระสานวชิ าการอนั หลากหลายได้ 2. น่าจะปฏิรูปมหาวทิ ยาลยั ใหเ้ ป็น Student Centered Service เสียดว้ ย คือใหน้ กั ศึกษาบริการตนเองใน เรื่องตา่ งๆ ซ่ึงจะฝึกใหน้ กั ศึกษารู้จกั รับผดิ ชอบมากข้ึน 3. วธิ ีน้ีสามารถทาไดใ้ นการเรียนการสอนระดบั บณั ฑิตศึกษา แต่หากเป็ นระดบั ปริญญาตรีมหาวทิ ยาลยั จะตอ้ งควบคุมขนาดช้นั เรียน และกาหนดทิศทางในการจดั การเรียนการสอนใหช้ ดั เจน 4. ความยากคือการตรวจงาน การประเมิน วธิ ีที่น่าทดลองคือ ใหเ้ ดก็ ตรวจงานกนั เอง 5. น่าจะมีช้นั เรียนทดลองวิธีน้ี อาจารยท์ ่านใดตอ้ งการทดลองโปรดแจง้ รองอธิการบดีฝ่ ายวชิ าการ 6. อาจทดลองใหน้ กั ศึกษามีส่วนร่วมในการกาหนดเน้ือหาวชิ าสัก 10 - 20 % 7. พอทาไดใ้ นช้นั ปี ท่ี 3 – 4 เน่ืองจากนกั ศึกษามีความรู้พ้ืนฐานท่ีจะบูรณาการไดแ้ ลว้ ส่วนในช้นั ปี ท่ี 1 – 2 น้นั อาจทาไม่ได้ 8. สาหรับหอ้ งเรียนขนาดใหญ่ รศ.ดร.ทวชิ ทดลองใชว้ ธิ ีแบ่งกลุ่มทาการบา้ นและตรวจการบา้ นกนั เอง โดยการสลบั กลุ่ม โดยเฉลยใหเ้ ฉพาะหลกั การ นบั วา่ เป็นการเรียนแบบนเป็ นศนู ยก์ ลางในระดบั หน่ึง และอีกรูปแบบหน่ึง นวตั กรรมสื่อการสอน เน่ือง จากมีความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ คอมพวิ เตอร์เครือขา่ ยและเทคโนโลยโทรคมนาคม ทาใหน้ กั การศึกษาพยายามนาศกั ยภาพของเทคโนโลยเี หล่าน้ีมาใชใ้ นการผลิตส่ือการ เรียนการสอน ใหมๆ่ จานวนมากมาย ท้งั การเรียนดว้ ยตนเองการเรียนเป็ นกลุ่มและการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสื่อท่ี ใชเ้ พอื่ สนบั สนุนการฝึกอบรม ผา่ นเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ตวั อยา่ ง นวตั กรรมสื่อการสอน ไดแ้ ก่ - คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) - มลั ติมีเดีย (Multimedia) - การประชุมทางไกล (Teleconference) การส่ือสารกบั การเรียนการสอน ในระบบการเรียน การสอน หากพิจารณากระบวนการเรียนการสอนแลว้ จะมีลกั ษณะเป็นกระบวนการ ของการส่ือสาร หลายประการ ท้งั ทางดา้ นองคป์ ระกอบและกระบวนการ นนั่ คือ ครูจะทาหนา้ ท่ีเป็นผสู้ ่ง สารโดยมีผเู้ รียนเป็นผรู้ ับสารซ่ึงตอ้ งอาศยั ส่ือ เป็น ตวั กลาง และประสิทธิภาพของการเรียนการสอนน้นั วดั ได้ โดยคุณภาพและปริมาณของการเปล่ียนแปลงในพฤติกรรมของผเู้ รียน

25 ในระบบการเรียนการสอนจะ ประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ๆ คือ จุดมุง่ หมาย ครูวธิ ีการสอน สื่อ การสอนและผเู้ รียนซ่ึงแต่ละองคป์ ระกอบเหล่าน้ี จะตอ้ งมีความสาคญั เท่าเทียมกนั และสัมพนั ธ์กนั อยา่ ง ใกลช้ ิดจึงจะทาใหก้ าร เรียนการสอนมีประสิทธิภาพการทดสอบประสิทธิภาพ อาศยั ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เช่นเดียวกบั ขบวนการของการสื่อสาร ซ่ึงตอ้ งอาศยั ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั จากผรู้ ับเป็นเคร่ืองตรวจสอบวา่ การ ถ่ายทอดความคิด หรือการสื่อสารของผสู้ ่งสารน้นั ไดผ้ ลแลว้ หรือยงั และถา้ ยงั ไมไ่ ดผ้ ลดีจะตอ้ งวเิ คราะห์ ระบบเพ่ือปรับปรุงแกไ้ ขจนแน่ใจวา่ ไดผ้ ล จึงใชส้ ่ือสารต่อไป ดงั น้นั ในการเรียนการสอนที่มี ประสิทธิภาพครูผสู้ อนจะตอ้ งมีความเขา้ ใจและใช้ หลกั การและกระบวนการของการส่ือสารใหเ้ กิด ประโยชน์ดว้ ยคือจะตอ้ งมีการกาหนด จุดมุง่ หมายในการสอนที่ชดั เจน สามารถวดั ผลและประเมินผลได้ ทนั ทีมีการ เลือกและจดั ลาดบั ประสบการณ์ท่ีจะช่วยใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจไดถ้ ูกตอ้ งและรวดเร็ว โดยตอ้ ง คานึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคลและความเหมาะสมกบั สภาพการณ์และวตั ถุ ประสงคค์ รูควรสามารถ เลือกและใชส้ ่ือกลางในกระบวนการเรียนการสอนใหไ้ ดผ้ ลดี สาหรับส่ือกลางในการเรียนการสอนอาจ แบง่ ประเภทออกเป็ น 3 ลกั ษณะ คือ 1. วสั ดุ (Material or Software) ไดแ้ ก่ วสั ดุท่ีทาหนา้ ที่เกบ็ ความรู้ในลกั ษณะของภาพเสียงและอกั ษรใน รูปแบบตา่ ง ๆ ที่ผเู้ รียนสามารถใชเ้ ป็นแหล่งหาประสบการณ์ หรือศึกษาไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริงและกวา้ งขวาง แบง่ ออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ 1.1 วสั ดุที่เสนอความรู้ไดจ้ ากตวั มนั เอง ไดแ้ ก่ หนงั สือเรียนหรือตารา ของจริงหุ่นจาลอง รูปภาพ แผนภมู ิ แผนที่ ป้ ายนิเทศเป็นตน้ 1.2 วสั ดุที่ตอ้ งอาศยั สื่อประเภทเครื่องกลไกเป็นตวั นาเสนอความรู้ ไดแ้ ก่ ฟิ ลม์ ภาพยนตร์ แผน่ สไลด์ เส้น เทปบนั ทึกเสียง แผน่ ซีดี โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ รายการวิทยุ รายการโทรทศั น์ เป็ นตน้ 2. เคร่ือง มือหรืออุปกรณ์ (Device or Hardware) ไดแ้ ก่ สื่อท่ีเป็นตวั กลางหรือทางผา่ น ของความรู้ ซ่ึงสามารถทาใหค้ วามรู้ที่ส่งผา่ นมีการเคลื่อนไหว หรือไปสู่นกั เรียนจานวนมากหรือไปได้ ไกล ๆ รวดเร็ว ไดแ้ ก่ เคร่ืองฉายภาพยนตร์ เคร่ืองบนั ทึกเสียง เครื่องรับวทิ ยุ เคร่ืองรับโทรทศั น์ เคร่ือง คอมพวิ เตอร์ และเคร่ืองฉายภาพน่ิงท้งั หลาย เป็นตน้ 3. เทคนิค หรือวธิ ีการตา่ ง ๆ (Technique or Method) ไดแ้ ก่ ประสบการณ์ตา่ ง ๆ เช่น การสาธิต การแสดง บทบาท การแสดงละครและหุ่น การศึกษานอกสถานท่ี การจดั แสดงและนิทรรศการ ตลอดจนเทคนิคใน การเสนอบทเรียนดว้ ยสื่อประเภทวสั ดุและเคร่ืองมือ เป็นตน้ และเพ่อื ใหค้ รูสามารถเลือกและใชส้ ื่อใน การสอนใหไ้ ดผ้ ลดีขอเสนอหลกั เกณฑใ์ นการพิจารณา เลือกและใชส้ ื่อดงั น้ี 1. การ เลือกส่ือการเรียนการสอน 1.1 เลือกสื่อการเรียนการสอนและประสบการณ์ที่สอดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมายของการเรียน การสอนการ เรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพน้นั จาเป็ นตอ้ งกาหนดจุดมุ่งหมาย ในรูปของพฤติกรรม ซ่ึงครอบคลุม ลกั ษณะพฤติกรรมท้งั 3ประเภท คือ พุทธิพิสัย (Cognitive) ทกั ษะพิสัย(Phychromoter) จิตพสิ ยั

26 (Affective) ท้งั น้ี เพราะจุดมุ่งหมายของการสอนแตกต่างกนั ยอ่ มใหป้ ระสบการณ์การเรียนรู้ตา่ งกนั ดงั น้นั การเลือกสื่อการเรียนและประสบการณ์ในการเรียนการสอน จึงตอ้ งใหส้ อดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมาย ดงั กล่าวโดยพยายามเลือกสื่อการเรียนการสอน ที่ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีส่วนร่วมในการเรียนการสอน อยา่ งจริงจงั และใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั เพ่ือใหเ้ ขาไดม้ ีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมข้นั สุดทา้ ยไปตาม จุดมุ่งหมายท่ีตอ้ ง การ 1.2 เลือกส่ือการเรียนการสอนและประสบการณ์ท่ีสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะการตอบสนองและ พฤติกรรม ข้นั สุดทา้ ยของผเู้ รียนท่ีคาดหวงั จะใหเ้ กิดข้ึน พฤติกรรมของผเู้ รียนจะเกิดข้ึนได้ ถา้ ผเู้ รียนมีความพึงพอใจ ในกิจกรรมและประสบการณ์ที่ไดร้ ับความพงึ พอใจยอ่ ม ก่อใหเ้ กิดการเรียนรู้ไดด้ ี ดงั น้นั การเลือกสื่อการ เรียนและประสบการณ์การเรียนการสอน จึงควรเลือกส่ือการเรียนการสอนที่จะช่วยให้ผเู้ รียนเกิดความ พอใจ มีการตอบสนองและเปล่ียนแปลงพฤติกรรมท่ีคาดหวงั 1.3 เลือกส่ือการเรียนการสอนและประสบการณ์การเรียนการสอนท่ีเหมาะสมกบั ความ สามารถและ ประสบการณ์เดิมของแต่ละคนวสั ดุและประสบการณ์ที่จดั ใหแ้ ก่ผเู้ รียน ควรง่ายและอยใู่ นขอบเขต ความสามารถของผเู้ รียนแต่ละคนสื่อการเรียนการสอนน้นั จะตอ้ งช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถรับประสบการณ์ ใหมไ่ ดเ้ ป็นอยา่ งดี และไมจ่ าเป็นตอ้ งใชก้ บั ผเู้ รียนท้งั ช้นั เหมือนกนั หมด เพราะส่ือการเรียนการสอน และ ประสบการณ์บางอยา่ งอาจไม่เหมาะสมกบั ผเู้ รียนบางคน ดงั น้นั การเลือกสื่อการเรียนการสอนจึง จาเป็นตอ้ งคานึงถึงความแตกตา่ งระหวา่ ง บุคคลดว้ ยเช่นเดียวกนั กบั การเลือก วธิ ีสอนซ่ึงไมม่ ีวธิ ีสอนวธิ ี ใดวธิ ีหน่ึงที่เหมาะกบั ผเู้ รียนทุกคน หรือกบั บทเรียนทุกบทเรียนครูควรเลือกวธิ ีท่ีเหมาะสมอาจเร่ิมดว้ ย การนาเขา้ สู่บทเรียนใหค้ วามรู้ใหม่ และจดั กิจกรรมท่ีจะช่วยฝึกฝนในทกั ษะใหม่ ๆ ครูควรกาหนดคาถาม หรือแบบฝึกหดั แก่เดก็ แตกต่างกนั ไปตามความแตกตา่ งระหวา่ ง บุคคลผา่ นวธิ ีสอนที่แตกต่างกนั 1.4 เลือกรูปแบบของสื่อ รูปแบบของสื่อเป็ นการแสดงออกทางกายภาพของส่ือท่ีปรากฏใหเ้ ห็น เช่น ภาพ พลิก (ภาพนิ่ง และขอ้ ความ) สไลด์ (ภาพน่ิงที่ฉายกบั เคร่ืองฉาย)โสตวสั ดุ (เสียง และดนตรี) ภาพยนตร์ (ภาพเคลื่อนไหวบนจอ) วิดีทศั น์ (ภาพเคล่ือนไหวบนจอโทรทศั น)์ และคอมพิวเตอร์มลั ติมีเดีย(กราฟิ ก ขอ้ ความและภาพเคล่ือนไหวบนจอ)ซ่ึงส่ือแต่ ละรูปแบบมีความแตกต่างกนั และมีขอ้ จากดั ในการบนั ทึก และเสนอขอ้ มลู ตา่ งกนั ครู ควรเลือกรูปแบบของสื่อที่สามารถสนองต่อภารกิจท่ีผเู้ รียนตอ้ งมีเพื่อให้ บรรลุ เป้ าหมายสุดทา้ ยในการเรียนโดยพจิ ารณาดว้ ยวา่ จะหาส่ือน้นั ไดเ้ หมาะสมกบั จุดมุง่ หมายและความ แตกต่างของบุคคลดว้ ย การเลือกรูปแบบของส่ือยงั ตอ้ งคานึงถึงขนาดของกลุ่มผเู้ รียนดว้ ย เช่นกลุ่มใหญ/่ กลุ่มเลก็ หรือเรียนดว้ ยตนเองเป็นรายบุคคลเป็ นตน้ 1.5 เลือกสื่อการเรียนการสอนที่พอจะหาไดแ้ ละอานวยความสะดวกในการใชก้ ารเลือกส่ือ การเรียนการ สอนมาใชใ้ นการเรียนการสอนจะตอ้ งคานึงถึงความสะดวกในการนาสื่อ น้นั มาใชด้ ว้ ยและไม่จาเป็นตอ้ ง ใชส้ ่ือที่มีราคาแพงเสมอไป ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั วา่ จะหาสื่อการเรียนการสอนชนิดใดไดบ้ า้ งที่สอดคลอ้ งกบั จุดมุง่ หมาย เพอ่ื ช่วยใหเ้ กิดการเรียนรู้ไดม้ ากที่สุด

27 2. การใชส้ ื่อการเรียนการสอน ส่ือที่ใชใ้ นการเรียนการสอนเป็ นแต่เพียงเคร่ืองมือหรือตวั กลางท่ีช่วยผอ่ น แรงผอ่ นระยะเวลาของครู และผเู้ รียน ใหไ้ ดร้ ับประโยชน์เป็นอยา่ งมาก แตก่ ารท่ีผเู้ รียนจะไดร้ ับประโยชน์จากการเรียนการสอนมาก นอ้ ยเพียงใดน้นั ก็มิใช่อยทู่ ่ีลกั ษณะชนิดและคุณภาพของสื่อการเรียนการสอนแต่เพยี งอยา่ งเดียว ความ จริงอยทู่ ่ีครูและผใู้ ชม้ ีความสามารถในการเลือกและใชเ้ ป็ นส่วนใหญ่ดว้ ย ดงั น้นั ครูจะตอ้ งมีการวาง แผนการใชส้ ื่อการเรียนการสอนท่ีเหมาะสมโดยคานึงถึง จุดมุง่ หมายเน้ือหาวชิ าจานวนผเู้ รียนลกั ษณะ การตอบสนองท่ีคาดหวงั จากผเู้ รียน รวมท้งั การวดั ผลและประเมินผลดว้ ยขอ้ แนะนาต่อไปน้ีเป็นระบบ การวางแผนการใช้ ส่ือเพื่อช่วยใหเ้ กิดการเรียนรู้ท่ีเรียกวา่ ASSURE model ซ่ึงมีข้นั ตอน ดงั น้ี 2.1 วเิ คราะห์ผเู้ รียน (Analyze learners)โดยพจิ ารณาเกี่ยวกบั 2.1.1 คุณลกั ษณะทวั่ ไป เช่น อายุ ระดบั ช้นั เรียน อาชีพ หรือตาแหน่งหนา้ ที่ตลอดจนวฒั นธรรม 2.1.2 ลกั ษณะเฉพาะทีน่ าสู่ความสามารถในการปรับตวั และความคิดสร้างสรรคซ์ ่ึงการ ทดสอบ ก่อนการเรียนจะช่วยใหท้ ราบถึงระดบั ความพร้อมหรือประสบการณ์เบ้ืองตน้ ที่ผนู้ ้นั มี และเน้ือหาและ ทกั ษะท่ีตอ้ งฝึกฝน 2.1.3 รูปแบบการเรียนรู้ ซ่ึงเก่ียวขอ้ งกบั ลกั ษณะจิตวทิ ยาการเรียนรู้โดยพจิ ารณาเก่ียวกบั ความ ตอ้ งการ ความสนใจความแตกต่างในการรับรู้ 2.2 กาหนดจุดมุ่งหมายหรือ พฤติกรรมสุดทา้ ยที่หวงั จะใหผ้ เู้ รียนมี (State objectives)การกาหนด จุดมุง่ หมายควรกาหนดใหเ้ ฉพาะเจาะจงมากที่สุด ท้งั น้ีเพ่ือใหผ้ เู้ รียนไดท้ ราบวา่ เม่ือเสร็จสิ้นการเรียนเขา จะตอ้ งทาอะไร บา้ ง จุดมุ่งหมายทางการเรียนการสอนทวั่ ไปแยกออกเป็นหมวดหมู่ตามลกั ษณะ พฤติกรรม 3ประเภท คือ 2.2.1 พทุ ธิพสิ ัย (Cognitive domain)หมายถึง การเรียนรู้เกี่ยวกบั ขอ้ เทจ็ จริง หลกั เกณฑแ์ ละ ความคิดรวบยอด 2.2.2 จิตพิสยั (Affective domain)หมายถึง การเรียนรู้เก่ียวกบั ทศั นคติความเขา้ ใจ และค่านิยม 2.2.3 ทกั ษะพิสัย (Psychomotordomain) หมายถึง การเรียนจากการกระทาที่แสดงออกทางดา้ น ร่างกายและเคลื่อนไหวทางดา้ นร่างกาย เช่น การเรียนวา่ ยน้า การเรียนขบั รถการอา่ นออกเสียง การใช้ ทา่ ทางและการเล่นกีฬา เป็นตน้ 4.) วธิ ีระบบและการวเิ คราะห์ระบบ 4.1 ความหมายของระบบ ระบบ คือ ภาพส่วนรวมของโครงสร้างหรือของขบวนการอยา่ งหน่ึงท่ีมี การจดั ระเบียบความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง องคป์ ระกอบตา่ ง ๆท่ีรวมกนั อยใู่ นโครงการหรือขบวนการน้นั ๆ 4.2 ลกั ษณะสาคญั ของวธิ ีระบบ 1. เป็น การทางานร่วมกนั เป็ นคณะของบุคคลที่เกี่ยวขอ้ งในระบบน้นั ๆ 2. เป็นการแกป้ ัญหาโดยการใชว้ ธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์

28 3. เป็นการใชท้ รัพยากรท่ีมีอยอู่ ยา่ งเหมาะสม 4. เป็นการแกป้ ัญหาใหญ่ โดยแบง่ ออกเป็ นปัญหายอ่ ย ๆ เพ่ือสะดวกในการแกป้ ัญหา อนั จะเป็นผลให้ แกป้ ัญหา ใหญไ่ ดส้ าเร็จ 5. มุ่งใชก้ ารทดลองใหเ้ ห็นจริง 6. เลือกแกป้ ัญหาท่ีพอจะแกไ้ ขไดแ้ ละเป็นปัญหาเร่งด่วน ก่อน 4.3 การวเิ คราะห์ระบบ (System Analysis) การกระทาหลงั จากผลท่ีได้ ออกมาแลว้ เป็นการปรับปรุงระบบการทางานใหม้ ีประสิทธิภาพข้ึน ขอ้ มูลที่ ไดจ้ ากการประเมินผลและมามาใชแ้ กไ้ ขขอ้ บกพร่องในส่วนตา่ ง ๆ หรือ การดูขอ้ มูลยอ้ นกบั ( Feedback ) ดงั น้นั การนาขอ้ มลู ยอ้ นกลบั มาใชใ้ นการวเิ คราะห์ระบบจึง เป็นส่วนสาคญั ของวธิ ีระบบ ( System Approach) ซ่ึง จะขาดองคป์ ระกอบน้ีไมไ่ ด้ มิฉะน้นั จะไมก่ ่อใหเ้ กิดการแกป้ ัญหาไดต้ รงเป้ าหมาย และการปรับปรุงที่มี ประสิทธิภาพ ข้นั ตอนของการ วเิ คราะห์ระบบ ประกอบดว้ ย 8 ข้นั ตอนดงั น้ี คือ ข้นั ท่ี 1 ข้นั ต้งั ปัญหาหรือกาหนดปัญหา ในข้นั น้ีตอ้ งศึกษาใหถ้ ่องแทเ้ สียก่อนวา่ อะไรคือปัญหา ที่ควร แกไ้ ข ข้นั ที่ 2 ข้นั กาหนดเป้ าหมายหรือวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื การแกไ้ ขปัญหาน้นั ๆ วา่ จะใหไ้ ดผ้ ลในทางใด มี ปริมาณและ คุณภาพเพยี งใดซ่ึงการกาหนดวตั ถุประสงคน์ ้ีควรคานึงถึง ความสามารถในการปฏิบตั ิและ ออกมาในรูปการกระทา ข้นั ท่ี 3 ข้นั สร้างเคร่ืองมืดวดั ผล การสร้างเครื่องมือน้ีจะสร้างหลงั จากกาหนดวตั ถุประสงคแ์ ลว้ และ ตอ้ งสร้างก่อนการทดลองเพ่ือจะไดใ้ ชเ้ ครื่องมือน้ี วดั ผลไดต้ รงตามเวลาและเป็นไปทุกระยะ ข้นั ที่ 4 คน้ หาและเลือกวธิ ีการตา่ งๆ ท่ีจะใชด้ าเนินการไปสู่เป้ าหมายท่ีวางไว้ ควรมอง ดว้ ยใจ กวา้ งขวางและเป็นธรรม หลาย ๆแง่ หลาย ๆ มุม พจิ ารณาขอ้ ดีขอ้ เสียตอลดจนขอ้ จากดั ตา่ ง ๆ ข้นั ที่ 5 เลือกเอาวธิ ีที่ดีที่สุดจาก ข้นั ท่ี 4 เพอ่ื นาไปทดลองในข้นั ตอ่ ไป ข้นั ที่ 6 ข้นั การทาอง เม่ือเลือกวธิ ีการใดแลว้ ก็ลงมือปฏิบตั ิตามวธิ ีการน้นั การทดลองน้ีควรกระทากบั กลุ่มเลก็ ๆ ก่อน ถา้ ไดผ้ ลดีจึงค่อยขยายการปฏิบตั ิงาน ใหก้ วา้ ง ขวางออกไป จะไดไ้ ม่เสียแรงงาน เวลา และเงินทองมากเกินไป ข้นั ที่ 7 ข้นั การวดั ผลและประเมินผล เม่ือทาการทดลองแลว้ กน็ าเอาเคร่ืองมือวดั ผลที่สร้างไวใ้ นข้นั ที่ 3 มาวดั ผลเพ่ือนาผลไปประเมินดู วา่ ปฏิบตั ิงานสาเร็จตามเป้ าหมายเพียงใด ยงั มีส่ิง ใดขาดตก บกพร่อง จะไดน้ าไปปรับปรุงแกไ้ ข ข้นั ท่ี 8 ข้นั การปรับปรุงและขยาย การปฏิบตั ิงาน จากการวดั ผลและประเมินผลในข้นั ท่ี 7ก็ จะทาให้ เราทราบวา่ การดาเนินงานตามวธิ ีการที่แลว้ มาน้นั ไดผ้ ลตามวตั ถุประสงค์ หรือไม่ เพยี งใด จะไดน้ ามา แกไ้ ข ปรับปรุงจนกวา่ จะไดผ้ ลดีจึงจะขยายการปฏิบตั ิ หรือ ยดึ ถือเป็ นแบบอยา่ งต่อไป

29 4.4 วธิ ีระบบกบั วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ระบบ เป็นกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ที่ใชใ้ นการ วางแผนและดาเนินการต่าง ๆ เพ่ือใหบ้ รรลุผลตามจุดมุง่ หมายที่กาหนดไว้ วธิ ีระบบ ( System Approach) มีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั 4 ประการ คือ 1. ขอ้ มูลวตั ถุ ดิบหรือตวั ป้ อน ( Input ) 2. กระบวนการ ( Process) 3. ผลผลิต ( Output ) 4. การตรวจผลยอ้ นกลบั ( Feedback) 1. สิ่งที่ป้ อนเขา้ ไป ( Input ) หมายถึง ส่ิงตา่ งๆ ท่ีจาเป็นตอ้ งใชใ้ นกระบวนการหรือโครงการตา่ งๆ เช่น ในระบบการเรียนการสอนในช้นั เรียน อาจไดแ้ ก่ ครู นกั เรียน ช้นั เรียน หลกั สูตร ตารางสอน วธิ ีการสอน เป็ นตน้ ถา้ ในเร่ืองระบบหายใจ อาจไดแ้ ก่ จมูก ปอด กระบงั ลม อากาศ เป็นตน้ 2. กระบวนการหรือการดาเนินงาน ( Process) หมายถึง การนาเอาส่ิงที่ป้ อนเขา้ ไป มาจดั กระทาให้ เกิดผลบรรลุตามวตั ถุประสงคท์ ี่ตอ้ งการ เช่น การสอนของครู หรือการใหน้ กั เรียนทากิจกรรม เป็นตน้ 3. ผลผลิต หรือการประเมินผล (Output) หมายถึง ผลท่ีไดจ้ ากการกระทาในข้นั ที่สอง ไดแ้ ก่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียน หรือผลงานของนกั เรียน เป็ นตน้ 4. การวเิ คราะห์ระบบ เป็ นวธิ ีการนาเอาผลที่ได้ ซ่ึงเรียกวา่ ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั (Feed Back) จากผลผลิต หรือการประเมินผลมาพจิ ารณาปรับปรุงระบบใหม้ ี ประสิทธิภาพยง่ิ ข้ึน วธิ ี ระบบที่ดี ตอ้ งเป็นการจดั สรรทรัพยากรที่มีอยมู่ าใชอ้ ยา่ งประหยดั และเหมาะสมกบั สภาพแวด ลอ้ มและสถานการณ์ เพือ่ ใหก้ ารทางานเป็ นไปอยา่ งมี ประสิทธิภาพ และบรรลุเป้ าหมายท่ีวางไว้ ถา้ ระบบใดมีผลผลิตท้งั ในดา้ นปริมาณและคุณภาพมากกวา่ ขอ้ มลู หรือวตั ถุดิบที่ป้ อนเขา้ ไป กถ็ ือไดว้ า่ เป็น ระบบท่ีมีคุณภาพ ในทางตรงขา้ มถา้ ระบบใดมีผลผลิตที่ต่ากวา่ ขอ้ มลู หรือวตั ถุดิบที่ไปใชก้ ถ็ ือ วา่ ระบบ น้นั มีประสิทธิภาพต่า 4.5 วธิ ีระบบกบั เทคโนโลยกี ารศึกษา เทคโนโลยกี ารศึกษา คือการนาวธิ ีระบบเขา้ มาใช้ โดยมี ข้นั ตอนกวา้ งๆ ที่สาคญั 5 ประการ คือ - การวเิ คราะห์และการทาความเขา้ ใจปัญหา, วเิ คราะห์ปัญหา - การเลือกหรือการออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหา, เลือก, ออกแบบแนวทาง - การพฒั นาวธิ ีการแกป้ ัญหา, พฒั นา, วธิ ีการ - การทดสอบ ประเมินและปรับปรุงวธิ ีการ, ทดสอบและประเมินผล - การนาไปใชแ้ ละการควบคุมกากบั , นาไปใช,้ ควบคุม

30 4.6 ระบบการสอน ระบบการเรียนการสอน คือ การจดั องคป์ ระกอบของการเรียนการสอนใหม้ ีความสัมพนั ธ์กนั เพือ่ สะดวกตอ่ การนา ไปสู้จุดหมายปลายทางของการเรียนการสอนท่ีไดก้ าหนดไว้ ประกอบดว้ ยข้นั ตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การประเมินความจา 2. การเลือกทางแกป้ ัญหา 3. การต้งั จุดมุ่งหมายของการสอน 4. การวเิ คราะห์งานและเน้ือหาท่ีจาเป็ นตอ้ ผลสัมฤทธ์ิตามจุดมุง่ หมาย 5. การเลือกยทุ ธศาสตร์การสอน 6. การลาดบั ข้นั ตอนการสอน 7. การเลือกส่ือ 8. การจดั หรือกาหนดแหล่งทรัพยากรจนกวา่ จะเกิดประสิทธิภาพ 9. การเดินตามวฏั จกั รของกระบวนการท้งั หมดซ้าอีก ส่ือการเรียนการสอน 1.) ความหมายและประเภทของสื่อการเรียนรู้ 1.1 ความหมายของสื่อการเรียนรู้ ส่ือการเรียนรู้ เป็นเคร่ืองมือของการเรียนรู้ ท่ีทาใหผ้ เู้ รียนสามารถเรียนรู้ดว้ ยตนเองเป็นส่ิงสาคญั เนื่องจากในยคุ ปัจจุบนั ขอ้ มูล ข่าวสาร ความรู้ การใชเ้ ทคโนโลยแี ละการสื่อสารทาให้ผเู้ รียนจาเป็นตอ้ ง พฒั นาตนเองใหส้ ามารถ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆดว้ ยตนเอง ตลอดจนพฒั นาศกั ยภาพการคิด ไดแ้ ก่ การคิดอยา่ ง สร้างสรรค์ การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ และการคิดอยา่ งอยา่ งมีเหตุผล นอกจากน้ีควรเป็ นสิ่งที่ช่วยกระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนแสวงหา ความรู้ดว้ ยตนเอง สื่อการเรียนรู้ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอยา่ งรอบตวั ผเู้ รียนที่ช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ เช่นคน สตั ว์ สิ่งของ ธรรมชาติ รวมถึงเหตุการณ์ หรือ แนวความคิด โดยมุ่งเนน้ ส่งเสริมการคน้ ควา้ หรือ การแสวงหา ความรู้ดว้ ยตนเอง ช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งต่อเน่ืองตลอดชีวิต (กรมวชิ าการ,2545:คูม่ ือการ จดั การเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาตา่ งประเทศ) ส่ือการเรียน รู้ เป็นเครื่องมือที่ใชใ้ นการเรียนรู้ของผเู้ รียน อาจทาหนา้ ทท่ี ดงั ต่อไปน้ี - ถ่ายทอดความรู้ ความเขา้ ใจ ความรู้สึก เพม่ิ พนู ทกั ษะและประสบการณ์ - สร้างสถานการณ์การเรียนรู้ใหแ้ ก่ผเู้ รียน - กระตุน้ ให้เกิดศกั ยภาพทางความคิด ไดแ้ ก่ คิดไตร่ตรอง คิดสร้างสรรค์ คิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ - กระตุน้ ให้เป็นผแู้ สวงหาความรู้และมีทกั ษะในการสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง

31 จากท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ อาจสรุปไดว้ า่ สื่อการเรียนรู้ หมายถึง ทุกส่ิงทุกอยา่ งรอบตวั ผเู้ รียนที่ช่วยให้ ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ เช่น วสั ดุ อุปกรณ์ วธิ ีการ ตลอดจน คน สตั ว์ สิ่งของ ธรรมชาติ รวมถึงเหตุการณ์ หรือ แนวความคิด อาจอยใู่ นลกั ษณะที่ถ่ายทอด ความรู้ ความเขา้ ใจ ความรู้สึก เพ่ิมพนู ทกั ษะและ ประสบการณ์ หรือเป็ นเคร่ืองมือที่กระตุน้ ใหเ้ กิดศกั ยภาพทางความคิด (Cognitive tools) ตลอดจนสิ่งที่ กระตุน้ ใหเ้ ป็ นผแู้ สวงหาความรู้และมีทกั ษะในการสร้างความรู้ ดว้ ยตนเอง เพื่อมุ่งส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมี โอกาสเรียนรู้ดว้ ยตนเอง คุณลกั ษณะของสื่อการเรียนรู้ - ช่วยส่งเสริมการสร้างความรู้ของผเู้ รียน - ช่วยส่งเสริมการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง - มุ่งเนน้ การพฒั นาการคิดของผเู้ รียน - เป็นส่ือที่หลากหลาย ไดแ้ ก่ วสั ดุ อุปกรณ์ วธิ ีการ ตลอดจน ส่ิงท่ีมีตามธรรมชาติ - เป็นสื่อที่อยตู่ ามแหล่งความรู้ในระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ - ช่วยพฒั นาการร่วมทางานเป็นทีม 1.2 ประเภทของส่ือการเรียนรู้ ไดจ้ าแนกประเภทของส่ือการเรียนรู้ ไวด้ งั น้ี ส่ือ สิ่งพมิ พ์ คือ “สิ่งที่พิมพข์ ้ึน ไม่วา่ จะเป็นแผน่ กระดาษหรือวตั ถุใด ๆ ดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ อนั เกิด เป็นชิ้นงานที่มีลกั ษณะเหมือน ตน้ ฉบบั ข้ึนหลายสาเนาในปริมาณมากเพอื่ เป็นสิ่งที่ทาการติดต่อ หรือชกั นาใหบ้ ุคคลอ่ืนไดเ้ ห็นหรือทราบ ขอ้ ความตา่ ง ๆ” ประเภทของสื่อสิ่งพมิ พ์ สื่อส่ิงพมิ พป์ ระเภทหนงั สือ - หนงั สือสารคดี ตารา แบบเรียน เป็นส่ือสิ่งพมิ พท์ ่ีแสดงเน้ือหาวชิ าการในศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ เพ่ือสื่อใหผ้ อู้ ่าน เขา้ ใจความหมาย ดว้ ยความรู้ที่เป็นจริง จึงเป็นสื่อสิ่งพิมพท์ ี่เนน้ ความรู้อยา่ งถูกตอ้ ง - หนงั สือบนั เทิงคดี เป็นสื่อสิ่งพมิ พท์ ่ีผลิตข้ึนโดยใชเ้ ร่ืองราวสมมติ เพอื่ ใหผ้ อู้ ่านไดร้ ับควา เพลิดเพลิน สนุกสนาน มกั มีขนาดเล็ก เรียกวา่ หนงั สือฉบบั กระเป๋ า หรือ Pocket Book ได้ สื่อส่ิงพิมพ์ เพื่อเผยแพร่ขา่ วสาร - หนงั สือพิมพ์ (Newspapers) เป็นส่ือส่ิงพมิ พท์ ่ีผลิตข้ึนโดยนาเสนอเรื่องราว ขา่ วสารภาพและ ความคิดเห็น ในลกั ษณะของแผน่ พิมพ์ แผน่ ใหญ่ ท่ีใชว้ ธิ ีการพบั รวมกนั ซ่ึงสื่อส่ิงพมิ พช์ นิดน้ี ไดพ้ มิ พ์ ออกเผยแพร่ท้งั ลกั ษณะ หนงั สือพมิ พร์ ายวนั , รายสัปดาห์ และรายเดือน - วารสาร, นิตยสาร เป็นสื่อส่ิงพิมพท์ ่ีผลิตข้ึนโดยนาเสนอสาระ ข่าว ความบนั เทิง ท่ีมีรูปแบบ การนาเสนอ ที่โดดเด่น สะดุดตา และสร้างความสนใจใหก้ บั ผอู้ ่าน ท้งั น้ีการผลิตน้นั มีการ กาหนด ระยะเวลาการออกเผยแพร่ท่ีแน่นอน ท้งั ลกั ษณะวารสาร, นิตยสารรายปักษ์ (15 วนั ) และ รายเดือน

32 - จุลสาร เป็นส่ือสิ่งพมิ พท์ ี่ผลิตข้ึนแบบไมม่ ุ่งหวงั ผลกาไร เป็นแบบใหเ้ ปล่าโดยใหผ้ อู้ ่านไดศ้ ึกษา หาความรู้ มีกาหนดการออกเผยแพร่เป็นคร้ัง ๆ หรือลาดบั ตา่ ง ๆ ในวาระพิเศษ - ส่ิงพิมพโ์ ฆษณา - โบร์ชวั ร์ (Brochure) เป็นสื่อสิ่งพิมพท์ ี่มีลกั ษณะเป็นสมุดเล่มเลก็ ๆ เยบ็ ติดกนั เป็นเล่ม จานวน 8 หนา้ เป็ น อยา่ งนอ้ ย มีปกหนา้ และปกหลงั ซ่ึงในการแสดงเน้ือหาจะเก่ียวกบั โฆษณาสินคา้ - ใบปลิว (Leaflet, Handbill) เป็นสื่อส่ิงพิมพใ์ บเดียว ท่ีเนน้ การประกาศหรือโฆษณา มกั มีขนาด A4 เพือ่ ง่ายในการแจกจา่ ย ลกั ษณะการแสดงเน้ือหาเป็นขอ้ ความที่ผอู้ ่าน อา่ นแลว้ เขา้ ใจง่าย - แผน่ พบั (Folder) เป็ นส่ือส่ิงพมิ พท์ ่ีผลิตโดยเนน้ การนาเสนอเน้ือหา ซ่ึงเน้ือหาท่ีนาเสนอน้นั เป็น เน้ือหา ที่สรุปใจความสาคญั ลกั ษณะมีการพบั เป็นรูปเล่มตา่ ง ๆ - ใบปิ ด (Poster) เป็นสื่อส่ิงพิมพโ์ ฆษณา โดยใชป้ ิ ดตามสถานที่ตา่ ง ๆ มีขนาดใหญ่เป็ นพเิ ศษ ซ่ึง เนน้ การนาเสนออยา่ งโดดเด่น ดึงดูดความสนใจ ส่ิงพิมพเ์ พ่ือการบรรจุภณั ฑ์ เป็นส่ือส่ิงพมิ พท์ ี่ใชใ้ นการห่อหุม้ ผลิตภณั ฑก์ ารคา้ ต่าง ๆ แยกเป็นสิ่งพมิ พห์ ลกั ไดแ้ ก่ สิ่งพิมพท์ ่ีใช้ ปิ ดรอบขวด หรือ กระป๋ องผลิตภณั ฑก์ ารคา้ ส่ิงพมิ พร์ อง ไดแ้ ก่ สิ่งพิมพท์ ่ีเป็นกล่องบรรจุ หรือลงั สิ่งพมิ พม์ ีค่า เป็นสื่อส่ิงพิมพท์ ่ีเนน้ การนาไปใชเ้ ป็ นหลกั ฐานสาคญั ต่าง ๆ ซ่ึงเป็นกาหนดตาม กฎหมาย เช่น ธนาณตั ิ, บตั รเครดิต, เช็คธนาคาร, ตวั๋ แลกเงิน, หนงั สือเดินทาง, โฉนด เป็นตน้ ส่ิง พมิ พล์ กั ษณะพิเศษ เป็นส่ือสิ่งพมิ พม์ ีการผลิตข้ึนตามลกั ษณะพิเศษแลว้ แตก่ ารใชง้ าน ไดแ้ ก่ นามบตั ร, บตั รอวยพร, ปฎิทิน,บตั รเชิญ,ใบส่งของ,ใบเสร็จรับเงิน,ส่ิงพิมพบ์ นแกว้ ,สิ่งพิมพบ์ นผา้ เป็น ตน้ ส่ิงพิมพอ์ ิเล็กทรอนิกส์ เป็นสื่อสิ่งพมิ พท์ ี่ผลิตข้ึนเพื่อใชง้ านในคอมพวิ เตอร์ หรือระบบเครือข่าย อินเตอร์เน็ต ไดแ้ ก่ Document Formats, E-book for Palm/PDA เป็นตน้ บทบาทของส่ือสิ่งพมิ พ์ สื่อส่ิงพมิ พม์ ีบทบาท ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. บทบาทของส่ือสิ่งพมิ พใ์ นงานส่ือมวลชน ส่ือส่ิงพมิ พม์ ีความสาคญั ในดา้ นการนาเสนอขอ้ มลู ขา่ วสาร สาระ และความบนั เทิง ซ่ึงเมื่องานส่ือมวลชนตอ้ งเผยแพร่ จึงตอ้ งผลิตส่ือสิ่งพมิ พ์ เช่น หนงั สือพิมพ,์ วารสาร, นิตยสาร เป็นตน้ 2. บทบาทของส่ือสิ่งพิมพใ์ นสถานศึกษา สื่อส่ิงพมิ พถ์ ูกนาไปใชใ้ นสถานศึกษาโดยทว่ั ไป ซ่ึงทา ใหผ้ เู้ รียน ผสู้ อนเขา้ ใจในเน้ือหามากข้ึน เช่น หนงั สือ ตารา แบบเรียน แบบฝึกหดั สามารถพฒั นาไดเ้ ป็น เน้ือหาในระบบ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ 3. บทบาทของส่ือส่ิงพมิ พใ์ นงานดา้ นธุรกิจ สื่อสิ่งพิมพท์ ี่ถูกนาไปใชใ้ นงานธุรกิจประเภทต่าง ๆ เช่น งานโฆษณา ไดแ้ ก่ การผลิต หวั จดหมาย/ซองจดหมาย, ใบเสร็จรับเงิน/ใบส่งของ, โฆษณาหนา้ เดียว, นามบตั ร เป็นตน้

33 4. บทบาทของส่ือส่ิงพิมพใ์ นงานธนาคารงานดา้ นการธนาคาร ซ่ึงรวมถึง งานการเงิน และงานที่ เก่ียวกบั หลกั ฐานทางกฎหมาย ไดน้ าสื่อส่ิงพมิ พห์ ลาย ๆ ประเภทมาใชใ้ นการดาเนินงาน เช่น ใบนาฝาก , ใบถอน, ธนบตั ร, เช็คธนาคาร, ตวั๋ แลกเงิน และหนงั สือเดินทาง 5. บทบาทของสื่อส่ิงพมิ พใ์ นหา้ งสรรพสินคา้ และร้านคา้ ปลีก ส่ือส่ิงพิมพท์ ี่ทางหา้ งสรรพสินคา้ หรือร้านคา้ ปลีกใชใ้ นการดาเนินธุรกิจ ไดแ้ ก่ ใบปิ ดโฆษณาต่าง ๆ ใบปลิว, แผน่ พบั , จุลสาร 2.)หลกั การเลือกสื่อการสอน การเลือกสื่อการ สอนเพ่ือนามาใชป้ ระกอบการสอนเพอื่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้อยา่ งมี ประสิทธิภาพ น้นั เป็นสิ่งสาคญั ยง่ิ โดยในการเลือกส่ือ ผสู้ อนจะตอ้ งต้งั วตั ถุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมในการเรียนให้ แน่นอนเสียก่อน เพ่อื ใชว้ ตั ถุประสงคน์ ้นั เป็นตวั ช้ีนาในการเลือกสื่อการสอนท่ีเหมาะสม นอกจากน้ียงั มี หลกั การอ่ืน ๆ เพอ่ื ประกอบการพิจารณา คือ 1. สื่อ น้นั ตอ้ งสมั พนั ธ์กบั เน้ือหาบทเรียนและจุดมุง่ หมายท่ีจะสอน 2. เลือกสื่อท่ีมีเน้ือหาถูกตอ้ ง ทนั สมยั น่าสนใจ และเป็ นส่ือที่ส่งผลตอ่ การเรียนรู้มากท่ีสุด 3. เป็นส่ือที่เหมาะกบั วยั ระดบั ช้นั ความรู้ และประสบการณ์ของผเู้ รียน 4. ส่ือน้นั ควรสะดวกในการใช้ วธิ ีใชไ้ ม่ยงุ่ ยากซบั ซอ้ นเกินไป 5. เป็นสื่อท่ีมีคุณภาพเทคนิคการผลิตท่ีดี มีความชดั เจนเป็นจริง 6. มีราคาไมแ่ พงเกินไป หรือถา้ จะผลิตควรคุม้ กบั เวลาและการลงทุน 3.) หลกั และข้นั ตอนการใชแ้ ละการประเมินสื่อการเรียนการสอน 3.1 หลกั การใชส้ ื่อการสอน การที่ผสู้ อนจะนา ส่ือการสอนมาใชใ้ นการเรียนการสอน เพือ่ จดั ประสบการณ์ใหผ้ เู้ รียนเกิดการ เรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพตามวตั ถุประสงคน์ ้นั มีหลกั การท่ีผสู้ อนควรมี ความเขา้ ใจในการใช้ ส่ือการ สอน ซ่ึงแบ่งหลกั การออกเป็ น 4 ข้นั ตอนตามช่วง เวลาของการใชส้ ่ือการสอนดงั น้ี 1. การวางแผน (Planning) การใชส้ ่ือการสอนตอ้ งมี การวางแผน โดยในข้นั ของการ วางแผนคือการพิจารณาวา่ จะเลือกใช้ ส่ือใดในการเรียนการสอน ซ่ึงรายละเอียดของการเลือก ใชส้ ื่อการสอนไดก้ ล่าวไวใ้ นหวั ขอ้ หลกั การ เลือกใชส้ ื่อการสอน อยา่ งไรกต็ ามการวางแผนเป็น ข้นั ตอนแรก และเป็นข้นั ตอนที่มีความสาคญั มาก ผใู้ ช้ ส่ือการสอนควรเลือกใชส้ ่ือการสอนโดยพจิ ารณาจากปัจจยั ท่ีขอ้ งเก่ียวใหค้ รบถว้ น หากการวางแผน ผดิ พลาด ก็จะทาใหก้ ารใชส้ ่ือการสอนลม้ เหลวต้งั แต่ยงั ไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิการใชส้ ื่อการสอนเลย 2. การเตรียมการ (Preparation)

34 เม่ือไดว้ างแผนเลือกใช้ สื่อการสอนแลว้ ข้นั ต่อมาคือการเตรียมการ สิ่งต่างๆ เพอื่ ใหก้ ารใชส้ ื่อการสอน เป็นไปอยา่ งมี ประสิทธิภาพและตรงตามวตั ถุประสงค์ กอ่ นใชส้ ่ือการสอน ผใู้ ชค้ วรเตรียมความพร้อมใน ส่ิงต่างๆ ดงั น้ี 2.1 การเตรียม ความพร้อมของผสู้ อน เพอ่ื ใหภ้ าพของผสู้ อนในการใชส้ ่ือการสอนเป็ นไปอยา่ ง ดีและราบรื่น เป็นที่ ประทบั ใจต่อ ผเู้ รียน และสาคญั ท่ีสุด การสร้างความมน่ั ใจให้แก่ผสู้ อน ดงั น้นั ผสู้ อนควรมีการเตรียมพร้อมในการใชส้ ื่อการสอน เช่น การ เตรียม บทบรรยายประกอบส่ือ การจดั ลาดบั การใชส้ ื่อ การตรวจเช็คสภาพ หรือทดลองส่ือก่อนการใช้ งานจริง 2.2 การเตรียมความพร้อมใหผ้ เู้ รียน ก่อนใชส้ ื่อการสอน ผสู้ อนควร ทาความเขา้ ใจกบั ผเู้ รียนถึง กิจกรรมการเรียน และลกั ษณะการใชส้ ่ือการสอน ท้งั น้ีเพ่อื ใหผ้ เู้ รียนทราบบทบาทของตน และ เตรียมตวั ที่จะมีส่วนร่วมกบั กิจกรรมและการสอน 3.2 ข้นั ตอนการใชส้ ื่อการสอน ข้นั ตอนการใชส้ ่ือการเรียนการสอน มีข้นั ตอนที่ สาคญั อยู่ 4 ข้นั ตอนคือ 1. ทดลองใช้ ก่อนนาส่ือการเรียน การสอนใดมาใชจ้ าเป็นอยา่ งยง่ิ ท่ีตอ้ งมีการตรวจสอบและ ทดลองใชด้ ูวา่ มีปัญหาหรือไม่ ถา้ มีจะไดแ้ กไ้ ขปรับปรุงไดท้ นั คุณลกั ษณะของส่ือ วธิ ีการนาเสนอส่ือ 2. เตรียมสภาพแวดลอ้ ม การท่ีจะใชส้ ื่อการเรียนการสอนจา เป็นที่ตอ้ งมีการเตรียมสถานที่ ส่ิง อานวยความสะดวก แสง การระบายอากาศ และอื่นๆใหเ้ หมาะสมกบั การใชส้ ื่อการสอนแตล่ ะชนิด 3. เตรียมผเู้ รียน ผเู้ รียนจะเกิดการเรียนรู้จากการใชส้ ่ือการเรียน การสอนไดด้ ีน้นั จะตอ้ งมีการ เตรียมผเู้ รียนให้ พร้อมที่จะเรียนเร่ืองน้นั โดยการแนะนาสิ่งที่จะนาเสนอ อาจจะเป็ นเร่ืองยอ่ ส่ิงท่ี เกี่ยวขอ้ งกบั เรื่องน้นั การเร้าความสนใจ หรือเนน้ จุด ท่ีตอ้ งใหค้ วามสนใจเป็ นพเิ ศษ ปัจจยั เหล่าน้ีจะทา ใหผ้ เู้ รียนมีเป้ าหมายในการฟังหรือดูส่ิงท่ีผสู้ อนนาเสนออนั จะนาไปสู่การเรียน รู้ที่ดีได้ 4. การนาเสนอ ผสู้ อนที่ทาหนา้ ที่ผเู้ สนอส่ือการเรียน การสอนน้นั จะตอ้ งใชเ้ ทคนิคการ นาเสนอ ที่เรียก วา่ AV Showmanship ซ่ึงควรปฏิบตั ิดงั น้ี 4.1 ตอ้ งทาตวั เป็ นตวั กลางท่ีจะทาใหก้ ารนาเสนอคร้ังน้นั ประสบความสาเร็จ โดยการทาตวั ใหเ้ ป็น ธรรมชาติ หลีกเล่ียงทา่ ทางท่ีไม่เหมาะสมท่ีติดเป็ นนิสัย เช่น หกั นิ้ว บิดขอ้ มือ กดปากกา พดู เสียง เออ้ ....อา้ เพราะจะทาใหผ้ เู้ รียนสนใจทา่ ทางเหล่าน้ีแทน 4.2 ทา่ ทางการยนื ตอ้ ง ยนื หนั หนา้ ใหผ้ เู้ รียน ถา้ ยนื เฉียงก็ตอ้ งหนั หนา้ หาผเู้ รียนไม่ควรหนั ขา้ งหรือหนั หลงั ใหผ้ เู้ รียน 4.3 ขณะท่ีบรรยายนาเสนอสื่อการเรียนการสอนตอ้ งสอดแทรกอารมณ์ขนั บา้ ง 4.4 ประเมินความสนใจของผเู้ รียน โดยใชก้ ารกวาดสายตามองผเู้ รียนให้ทวั่ ท้งั ช้นั ซ่ึงเป็น การแสดงความสนใจผเู้ รียน และวเิ คราะห์สีหนา้ ทา่ ทางของผเู้ รียนไปพร้อมกนั

35 4.5 อยา่ ใชเ้ วลาเตรียมสื่อนานเกินไป จะทาใหผ้ เู้ รียนเกิดความเบื่อหน่าย 4.6 นาเสนอให้ ถูกวธิ ีตามท่ีไดม้ ีการทดลองใชม้ าก่อน แลว้ 3.3 การประเมินสื่อการสอน การประเมิน ผลส่ือการเรียนการสอน หมายถึง การนาผลจากการวดั ผลส่ือการเรียนการสอน มาตีความหมาย (Interretation) และตดั สินคุณคา่ (Value Judgement) เพอ่ื ท่ีจะรู้วา่ สื่อน้นั ทาหนา้ ท่ีตามที่ วตั ถุประสงคก์ าหนดไวไ้ ดแ้ คไ่ หน มีคุณภาพดีหรือไมด่ ีเพียงใด มีลกั ษณะถูกตอ้ งตรงตามที่ตอ้ งการ หรือไม่ ประการใด จะเห็นวา่ การประเมินผลสื่อการเรียนการสอน กระทาไดโ้ ดยการพจิ ารณาขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการ วดั ผลส่ือน้นั เทียบกบั วตั ถุประสงค์ ท่ีกาหนดไว้ ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการวดั ผลส่ือจึงมีความสาคญั การวดั ผลจึง ตอ้ งกระทาอยา่ งมีหลกั การเหตุผลและเป็นระบบเพ่ือท่ีจะไดข้ อ้ มูล ที่เท่ียงตรง สามารถบอกศกั ยภาพของ สื่อไดถ้ ูกตอ้ งตรงตามความเป็นจริงเพ่ือประโยชนข์ องการ ประเมินผลส่ืออยา่ งเท่ียงตรงต่อไป การวดั ผลสื่อการเรียนการสอน หมายถึง การกาหนดตวั เลขหรือสัญลกั ษณ์อยา่ งมีกฎเกณฑ์ ใหก้ บั ส่ือการเรียนการสอน เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวดั และประเมินผลส่ือการเรียนการสอนมีหลายรูปแบบ ผกู้ ระทาการวดั และประเมินผลอาจเลือกใชต้ ามความเหมาะสม ท่ีนิยมกนั มากไดแ้ ก่ แบบทดสอบ แบบสงั เกต แบบ ตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็นตน้ การวดั และการประเมินส่ือการเรียนการสอน ในท่ีน้ี จะกล่าวถึงการวดั และการประเมินผลส่ือการเรียนการสอนที่มีข้นั ตอนการตรวจสอบ ที่พถิ ีพิถนั เพ่ือใหไ้ ดส้ ื่อท่ีมีคุณภาพอยา่ งแทจ้ ริง ในเบ้ืองแรก การตรวจสอบแบ่งออกไดเ้ ป็นสองส่วนใหญ่ คือ การตรวจสอบโครงสร้างภายในส่ือ (Structural) และการตรวจสอบคุณภาพส่ือ (Qualitative) ดงั จะได้ กล่าวถึงรายละเอียดการตรวจสอบท้งั สองส่วนตามลาดบั ต่อไปน้ี ข้นั 1 การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ (Structural basis) 1.ลกั ษณะสื่อ ปัจจยั หลกั ท่ีมีผลตอ่ การผลิตสื่อใหม้ ีลกั ษณะต่างๆ คือ ลกั ษณะเฉพาะตามประเภทของส่ือ การ ออกแบบ เทคนิควธิ ี และความงาม ดงั น้นั ในการตรวจสอบลกั ษณะสื่อ ผตู้ รวจสอบจะมุ่งตรวจสอบท้งั สี่ ประเดน็ ขา้ งตน้ เป็นหลกั 1.1 ลกั ษณะเฉพาะตามประเภทของส่ือ สื่อแตล่ ะประเภทมีลกั ษณะและคุณสมบตั ิเฉพาะ สื่อการเรียนการสอนบางประเภทจะทา หนา้ ที่เพียงใหส้ าระขอ้ มลู บางประเภทจะใหท้ ้งั สาระและกาหนดใหผ้ เู้ รียนตอบสนองดว้ ยในสื่อบาง ประเภท เช่น ส่ือสาหรับการศึกษารายบุคคล สื่อที่เสนอเน้ือหาสาระขอ้ มูลอาจจะเสนอไดห้ ลายรูปแบบ

36 ซ่ึงอาจจะใหค้ วามเป็ นรูปธรรมหรือนามธรรมมากนอ้ ยแตกตา่ งกนั ท่ีเป็นรูปธรรมมากท่ีสุดคือของจริง ซ่ึง เปิ ดโอกาสใหบ้ ุคคลใชป้ ระสาทสมั ผสั ไดม้ ากช่องรับสัมผสั กวา่ ส่ืออ่ืน ที่มีความเป็ นรูปแบบรองลงมา ไดแ้ ก่ ของตวั อยา่ ง ของจาลอง เป็นตน้ สื่อบางชนิด ใหส้ าระเป็นรายละเอียดมาก บางชนิดใหน้ อ้ ย บาง ชนิดใหแ้ ต่หวั ขอ้ เช่น แผน่ โปร่งใส ส่ือบางประเภทส่ือสารดว้ ยการดู บางประเภทส่ือสารทางเสียง หรือ บางประเภทสื่อสารดว้ ยการสมั ผสั ดมกล่ิน หรือลิ้มรส เช่น การส่ือสารดว้ ยภาพ ซ่ึงมีหลายชนิด ต้งั แต่ส่ือ ประเภทกราฟิ กอยา่ งง่ายไปจนถึงภาพเหมือนจริง ส่ือประเภทกราฟิ กน้นั ตอ้ งเสนอความคิดหลกั เพียง ความคิดเดียว ภาพกม็ ีหลายชนิด ภาพ ๒ มิติ หรือภาพ ๓ มิติ ภาพอาจจะอยนู่ ิ่งหรือเคลื่อนไหวเร็ว บาง ชนิดเป็นลายเส้น รายละเอียดนอ้ ย เช่น ภาพการ์ตูน ซ่ึงตา่ งจากภาพเหมือนจริงที่ใหร้ ายละเอียดมาก เป็น ตน้ รูปแบบของการเสนอภาพน้นั อาจจะเสนอภาพหลายภาพพร้อมกนั (Simultaneous Images หรือ Multi-Images) หรืออาจจะเสนอภาพท่ีละภาพต่อเนื่องกนั (Sequential Images) เหล่าน้ีเป็นตน้ ลกั ษณะท่ี แตกต่างกนั น้ียอ่ มใหค้ ุณค่าแตกต่างกนั จะเห็นวา่ ในปัจจุบนั ส่ือแต่ละประเภทมีความหลากหลายใน รูปแบบ ส่วนหน่ึงเน่ืองจากความเจริญกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยแี ละวธิ ีการสอน การประยกุ ตใ์ ช้ เทคโนโลยใี หมแ่ ละทฤษฎีการเรียนการสอนท่ีนามาเนน้ ใหม่ เช่น การประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎีจิตวทิ ยาพทุ ธิ ปัญญา (Cognitive Psychology) ในการเรียนการสอน ทาใหส้ ่ือการเรียนการสอนแต่ละประเภทมีมาก รูปแบบอนั นามาซ่ึงประโยชนต์ อ่ การ ส่ือสาร เช่น บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI) ซ่ึงแต่เดิมได้ ประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎีจิตวทิ ยาพฤติกรรมในการสร้างบทเรียน (Behavioral Psychology) CAI น้นั มีลกั ษณะ เป็นบทเรียนสาเร็จรูป แตใ่ นปัจจุบนั การประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎีจิตวทิ ยาพุทธิปัญญา (Cognitive Psychology) ทาใหเ้ กิด CAI ในลกั ษณะของเกมส์ (Games) สถานการณ์จาลอง (Simulation) และโปรแกรม ปัญญาประดิษฐต์ า่ งๆ (Artificial Intelligence) แต่อยา่ งไรกต็ ามถึงแมส้ ื่อการเรียนการสอนจะมีรูปแบบที่ หลากหลาย ส่ือที่ผลิตก็จะตอ้ งคงลกั ษณะเฉพาะตามประเภทสื่อไวไ้ ด้ ดงั น้นั ในการตรวจสอบสื่อ ผตู้ รวจสอบจะตอ้ งพจิ ารณาความถูกตอ้ งของลกั ษณะสื่อ ท้งั แตล่ ะ องคป์ ระกอบและโดยส่วนรวมในอนั ที่จะนาไปสู่การทางานที่สมบูรณ์ตาม ศกั ยภาพของส่ือแตล่ ะ ประเภท และตามวตั ถุประสงคข์ องการผลิตสื่อ การวางแผนการใช้ส่ือการสอน การวางแผนการใชส้ ่ือการสอนอยา่ งมีระบบและสอดคลอ้ งกบั ระบบการสอนที่ออกแบบไว้ โดยทว่ั ไปจะมีองคป์ ระกอบสาคญั คือ 1) การเลือก 2) การเตรียม

37 3) การนาเสนอ 4) การติดตามผล มีผขู้ ยายความใหเ้ ห็นรายละเอียด จาแนกไดเ้ ป็ น 6 ข้นั คือ 4.1 การวเิ คราะห์ ผเู้ รียน วางแผนการ ใชส้ ื่อการสอนอยา่ งมีระบบคือ การวิเคราะห์ผเู้ รียน ซ่ึงจะตอ้ งพิจารณาใหส้ อดคลอ้ ง กบั เน้ือหา และวธิ ีสอน และสารวจความพร้อมของผเู้ รียนวา่ มีความพร้อมท่ีจะเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากนอ้ ยเพียงใด 4. 2 การกาหนดจุดประสงคก์ ารเรียน การ กาหนดจุดประสงคก์ ารเรียน ตอ้ งคานึงถึงลกั ษณะของจุดมุง่ หมายการเรียนการสอนที่ดี ซ่ึงจะ มีองคป์ ระกอบสาคญั อยู่ 3 ประการ คือ 1) วธิ ีการปฏิบตั ิ (Performance) 2) เงื่อนไข (Condition) และ 3) เกณฑ์ (Criteria) 4.3 การเลือก ดดั แปลง หรือออกแบบส่ือ การออกแบบสื่อการสอน เป็นข้นั ตอนท่ีมีความสาคญั ต่อสมั ฤทธ์ิผลของแผนการสอนที่วางไว้ ความน่าสนใจและความ เขา้ ใจในบทเรียนเป็ นผลมาจากประเภท ลกั ษณะ และความเหมาะสมของส่ือท่ีใช้ การออกแบบสื่อการสอน คือ การวางแผนสร้างสรรคส์ ่ือการสอนหรือการปรับปรุงสื่อการสอนใหม้ ี ประสิทธิภาพ และมีสภาพท่ีดี โดยอาศยั หลกั การทางศิลปะ รู้จกั เลือกส่ือและวธิ ีการทา เพอื่ ใหส้ ่ือน้นั มี ความสวยงาม มีประโยชนแ์ ละมีความเหมาะสมกบั สภาพการเรียนการสอน 4.4 การ ใชส้ ื่อ การใชส้ ื่อการสอน เพือ่ ใหม้ ีประสิทธิภาพ ควรปฏิบตั ิตามข้นั ตอน ดงั น้ี ข้นั ตอนท่ี 1 ข้นั เลือกสื่อการเรียนการสอนมีแนวทางดงั น้ี 1.1 ความสมั พนั ธ์กบั หลกั สูตร/เน้ือหาวชิ า โดยพจิ ารณาจากความสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ และผเู้ รียน เหมาะกบั เวลา สถานท่ีและน่าสนใจ 1.2 ความสมั พนั ธ์กบั คุณภาพทางเทคนิค โดยคานึงถึงความทนั สมยั ราคา ความปลอดภยั 1.3 ความสัมพนั ธ์กบั ครูผใู้ ช้ โดยเนน้ ในเร่ือง ความรู้จกั ทกั ษะ การใชค้ วาม เขา้ ใจสื่อที่ใชเ้ ป็น อยา่ งดี ข้นั ตอนที่ 2 ข้นั เตรียมการใชส้ ่ือการสอน 2.1 เตรียมครูผสู้ อน 2.2 เตรียมผเู้ รียน 2.3 เตรียมสถานท่ี 2.4 เตรียมส่ือ

38 ข้นั ตอนท่ี 3 ข้นั แสดงส่ือการสอนในช้นั เรียน โดยดาเนินการในดา้ น 3.1 ใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วม 3.2 ใชใ้ นเวลาท่ีเหมาะสม 3.3 สังเกตการตอบสนองของผเุ้ รียน ข้นั ตอนที่ 4 ข้นั ติดตามผล 4.1 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั จากการใชส้ ื่อ 4.2 ผลการใชส้ ื่อ เพอ่ื ปรับปรุงและพฒั นา 4.5 การกาหนดการตอบสนองจากผเู้ รียน ( Require Learner Response ) การ ใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในการเรียน โดยเปิ ดโอกาสใหม้ ีการตอบสนอง ซ่ึงการตอบสนองของ ผเู้ รียนจะมากหรือนอ้ ยเพยี งใดข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะของสื่อท่ี นามาใช้ วา่ เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมมาก อยา่ งไร นอกจากน้ีผเู้ รียนสามารถมีการตอบสนองโดยเปิ ดเผย ( overt respone ) โดยการพดู หรือเขียน และการตอบสนองภายในตวั ผเู้ รียน ( covert response ) โดยการท่องจาหรือคิดในใจ และเมื่อผเู้ รียนมีการ ตอบสนองผสู้ อนควรใหก้ ารเสริมแรงทนั ที เพ่ือใหผ้ เู้ รียนทราบวา่ ตนมีความเขา้ ใจและเกิดการเรียนรู้ท่ี ถูกตอ้ งหรือไม่ การเรียนการสอนโดยการใหท้ าแบบฝึกหดั การตอบคาถาม การอภิปราย หรือการใช้ บทเรียนแบบโปรแกรม เป็นการเปิ ดโอการใหผ้ เู้ รียนมีการตอบสนองและไดร้ ับการเสริมแรงระหวา่ การ เรียนไดเ้ ป็นอยา่ งดี 4.6 การประเมินผล การประเมินสามารถทาได้ ใน 3 ลกั ษณะ คือ 1. การประเมินกระบวนการสอน เพือ่ แระเมินวา่ บรรลุวตั ถุประสงคท์ ่ีไดต้ ้งั ไวห้ รือไม่ ท้งั ดา้ น ผสู้ อน ส่ือการสอน และวธิ ีการสอน ซ่ึงการประเมินจะทาไดท้ ้งั ในระยะก่อน ระหวา่ งและหลงั การสอน 2. ประเมินความสาเร็จของผเู้ รียน ข้ึนกบั วตั ถุประสงคท์ ่ีต้งั ไวว้ า่ มีเกณฑเ์ ทา่ ใด การวดั ผลอาจทาได้ ดว้ ยการทดสอบ การสอบปากเปล่า หรือดูจากผลงานของผเู้ รียน สิ่งสาคญั ที่จะทราบไดว้ า่ ผเู้ รียนมี สมั ฤทธิผลทางการเรียนมากนอ้ ยเทา่ ใด คือ สงั เกตจากการปฎิบตั ิและการแสดงออกของผเู้ รียน 2. การประเมินสื่อและวธิ ีการสอน โดยการใหผ้ เู้ รียนมีการอภิปรายและวจิ ารณ์การใชส้ ่ือและเทคนิค วธิ ีการสอนวา่ เหมาะสมมากนอ้ ยเพยี งใด ปัจจยั พนื้ ฐานของการออกแบบส่ือ การสอน 1.เป้ าหมายของการเรียนการสอน เป็นสิ่งท่ีกาหนดพฤติกรรมข้นั สุดทา้ ยของผเู้ รียนวา่ จะมีลกั ษณะ เช่นไร โดยทวั่ ไปนิยมกาหนดพฤติกรรมท่ีเป็นเป้ าหมายของการเรียนการสอนไวเ้ ป็ น 3 ลกั ษณะ คือ

39 1.1 พฤติกรรมดา้ นพทุ ธิพิสัย (Cognitive Domain)เป็นพฤติกรรมท่ีแสดงวา่ ไดเ้ กิดปัญญาความรู้ใน เน้ือหาวชิ าน้นั ๆ แลว้ สามารถท่ีจะบอก อธิบาย วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ หรือแกป้ ัญหาเกี่ยวกบั เน้ือหาความรู้ น้นั ได้ 1.2 พฤติกรรมดา้ นทกั ษะพสิ ัย (Pyschomotor Domain) เป็นพฤติกรรมดา้ นทกั ษะของร่างกายในการ เคลื่อนไหว ลงมือทางาน หรือความวอ่ งไวในการแกป้ ัญหา 1.3 พฤติกรรมดา้ นเจตตพสิ ัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมท่ีแสดงถึงความรู้สึกดา้ นอารมณ์ที่ มีตอ่ ส่ิงที่เรียน รู้และสภาพแวดลอ้ ม ในการเรียนการสอนคร้ัง หน่ึง ๆ ยอ่ มประกอบดว้ ยพฤติกรรมที่เป็ นเป้ าหมายหลายประการดว้ ยกนั สื่อการสอนท่ีจะนามาใช้ หากจะตอ้ งสนองตอ่ ทุกพฤติกรรมแลว้ ยอ่ มมีลกั ษณะสบั สนหรือซบั ซอ้ น ใน การออกแบบสื่อการสอน จึงตอ้ งพิจารณาเลือกเฉพาะพฤติกรรมท่ีเป็นจุดเด่นของการเรียนการสอนน้นั มา เป็นพ้ืนฐานของการพจิ ารณาส่ือ 2. ลกั ษณะของผเู้ รียน เน้ือหาและรายละเอียดของสื่อชนิดหน่ึง ๆ ยอ่ มแปรตามอายุ และความรู้ พ้นื ฐานของผเู้ รียน แต่โดยสภาพความเป็นจริงแลว้ ผเู้ รียนแต่ละคนยอ่ มมีความแตกต่างกนั หากจะนามา เป็นเกณฑใ์ นการพิจารณาส่ือยอ่ มทาไมไ่ ด้ ในทางปฏิบตั ิจึงใชล้ กั ษณะของผเู้ รียนในกลุ่มหลกั เป็น พ้ืนฐานของการพิจารณาสื่อก่อน หากจาเป็นจึงค่อยพิจารณาสื่อเฉพาะสาหรับผเู้ รียนในกลุ่มพิเศษตอ่ ไป ความรู้พนื้ ฐานในการผลติ และใช้สื่อการเรียนการสอน 1.) ความรู้พ้ืนฐานการผลิตสื่อ 1.1 การวเิ คราะห์ เป็นการวเิ คราะห์สภาพปัญหา และความตอ้ งการของกลุ่มเป้ าหมายเพ่ือใหผ้ สู้ ร้าง สามารถออกแบบส่ือไดส้ อด คลอ้ งเหมาะสมกบั กลุ่มเป้ าหมาย โดยคานึงถึงลกั ษณะทวั่ ไป และ ลกั ษณะเฉพาะของกลุ่มเป้ าหมายลกั ษณะทวั่ ไป ไดแ้ ก่ อายุ ระดบั ความรู้ สังคม เศรษฐกิจ และวฒั นธรรม ของกลุ่มเป้ าหมาย ถึงแมว้ า่ ลกั ษณะทว่ั ไปของกลุ่มเป้ าหมายจะไม่เกี่ยวขอ้ งกบั เน้ือหาก็ตามแต่ เป็นส่ิงที่ ช่วยใหต้ ดั สินระดบั ของเน้ือหา และเลือกตวั อยา่ งของเน้ือหาใหเ้ หมาะสมกบั กลุ่มเป้ าหมายซ่ึง สาหรับ ลกั ษณะเฉพาะซ่ึงไดแ้ ก่ ทกั ษะท่ีมีมาก่อน ทกั ษะการเรียน ทกั ษะในการเรียน และทกั ษะคติของ กลุ่มเป้ าหมาย จะมีผลโดยตรงตอ่ เน้ือหา และวธิ ีการนาเสนอเน้ือหา 1.2 การออกแบบ องคป์ ระกอบที่สาคญั ในการเรียนการสอน คือสิ่งที่นาไปประกอบการเรียนการ สอน ดงั น้นั ลกั ษณะการออกแบบท่ีดี คือ 1.2.1 ควรเป็ นการออกแบบท่ีเหมาะสมกบั ความมุ่งหมายของการนาไปใช้ 1.2.2 ควรเป็ นการออกแบบท่ีมีลกั ษณะง่ายตอ่ การทาความเขา้ ใจ การนาไปใชง้ านและ กระบวนการผลิต 1.2.3 ควรมีสดั ส่วน ท่ีดีและเหมาะสมสภาพการใชง้ านของสื่อ

40 1.2.4 ควรมีความกลมกลืนของส่วนประกอบ ตลอดจนสอดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มของการ ใชแ้ ละการผลิตส่ือชนิดน้นั 1.3 การสร้าง ข้นั ตอนการดาเนินการใหเ้ ป็นผล หมายถึงการนาส่งท่ีแทจ้ ริงของการสอน ไมว่ า่ จะเป็นรูปแบบช้นั เรียน หรือหอ้ งทดลอง หรือรูปแบบใชค้ อมพิวเตอร์เป็นฐานกต็ าม จุดมุ่งหมายของ ข้นั ตอนน้ีคือการนาส่ง การสอนอยา่ งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ข้นั ตอนน้ีจะตอ้ งใหก้ ารส่งเสริม ความเขา้ ใจของผเู้ รียนในสารปัจจยั ต่างๆ, สนบั สนุนการเรียนรอบรู้ของผเู้ รียนในวตั ถุประสงคต์ า่ งๆและ เป็นหลกั ประกนั ในการถ่ายโอนความรู้ของผเู้ รียนจากสภาพแวดลอ้ มการเรียนไปยงั การงานได้ 1.4 การประเมินผล ข้นั ตอนน้ีวดั ผลประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการสอน การประเมินผล เกิดข้ึนตลอดกระบวนการออกแบบการสอนท้งั หมด กล่าวคือ ภายในข้นั ตอนต่างๆ และระหวา่ งข้นั ตอน ต่างๆ และภายหลงั การดาเนินการใหเ้ ป็ นผลแลว้ การประเมินผล อาจจะเป็นการประเมินผลเพื่อ พฒั นา (Formative evaluation) หรือการประเมินผลรวม (Summative evaluation) ความหมาย \" Visual literacy \" Visual literacy เป็นความสามารถในการเรียนรู้ท่ีจะแปลความหมาย ตีความ ขอ้ มลู ขา่ วสารจากภาพ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งตลอดจนสามารถสร้างภาพ หรือเขียนภาพน้นั ข้ึนไดเ้ องดว้ ย 1.คุณค่าของรูปภาพท่ีมีต่อการเรียน 1. ช่วยแสดงคาพดู ซ่ึงเป็นนามธรรมใหเ้ ป็นรูปอธรรมมากข้ึน 2. จาลองสิ่งที่เป็นจริงมาศึกษารายละเอียดได้ 3. นาส่ิงท่ีอยไู่ กลหรือสิ่งที่ไม่สามารถนามาใชใ้ นช้นั เรียนมาศึกษาได้ 4. ส่ิงเร้าความสนใจและเปลี่ยนเจตคติของผดู้ ูได้ 5. เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนศึกษาในช่วงเวลาท่ีแต่ละคนตอ้ งการ สาระสาคญั ในการสื่อความหมายหรือสื่อสารน้นั เป็นการส่งสาร ถ่ายทอด หรือแสดงสัญญาณ ตา่ งๆจากผทู้ ่ีจะตอ้ งการจะส่งขา่ วสารไปยงั ผรู้ ับสาร แตก่ ารสื่อสารโดยการใช้ ภาษาน้นั ข้ึนอยกู่ บั ผรู้ ับสาร และผสู้ ่งสารจะมีพ้นื ฐาน ประสบการณ์เดิม ความเขา้ ใจ หรือมโนคติ ตรงกนั หรือไม่ และการส่ือสารที่ใช้ ภาษาน้นั จะไมป่ ระสบความสาเร็จเลยถา้ มีความแตกตา่ งกนั ทาง ดา้ นตา่ งๆ เช่น ภาษา ช่วงอายุ

41 ประสบการณ์ วฒั นธรรมและความแตกตา่ งทางดา้ นสังคม ฯลฯ องคป์ ระกอบสาคญั ประการแรก ท่ีจะ เป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยในการส่ือสาร ไดแ้ ก่ \" รูปภาพ \" เพราะวา่ รูปภาพสามารถช่วยทาใหค้ วามหมายของ ภาษาเขียน หรือภาษาพดู ซ่ึงเป็นส่ิงที่เป็นนามธรรม เป็ นรูปธรรม ภาษาเป็ นสญั ลกั ษณ์ที่ถูกกาหนดข้ึนมา ใชแ้ ทนสิ่งต่างๆ และภาพก็สิ่งกาหนดใหใ้ ชแ้ ทนสิ่งของที่ตอ้ งการแสดง หากใชภ้ าษาเพยี งอยา่ งเดียวอาจ ก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจผดิ ได้ รูปภาพจะช่วยใหผ้ สู้ ่งสารสามารถส่ือความหมายไดต้ รงกบั วตั ถุประสงคข์ อง ผสู้ ่ง ถา้ หากผรู้ ับสามารถดูภาพประกอบไปดว้ ย 2.3 วสั ดุกราฟฟิ ก วสั ดุกราฟิ ก หมายถึง ทศั น วสั ดุอยา่ งหน่ึงท่ีนามาใชใ้ นการสื่อความหมายเพ่ือแสดงสญั ลกั ษณ์ หรือความ หมายของสิ่งใดส่ิงหน่ึงท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ขอ้ เทจ็ จริง แนวคิด และเสริมความเขา้ ใจโดยอาศยั ส่วนประกอบที่เป็ นรูป ภาพ สัญลกั ษณ์ แผนภาพ ฯลฯ วสั ดุกราฟิ กจดั วา่ เป็นส่ือราคาถูก (Low Cost Media) และครูผสู้ อนสามารถผลิตไดด้ ว้ ยตนเอง หลกั ของการ ออกแบบวสั ดุกราฟฟิ ก 1. ตรงกบั จุดมุง่ หมายรายวชิ า 2. การออกแบบโดยการคานึงถึง ประโยชน์ที่จะนาไปใชง้ านโดยมุง่ ที่จะไดร้ ับจากการใชว้ สั ดุ กราฟิ กเพื่อการ ส่ือความหมายสาคญั 3. การออกแบบ วสั ดุกราฟิ กควรมีลกั ษณะง่าย ๆ ส่วนประกอบต่าง ๆ ไมจ่ าเป็นตอ้ งแสดง รายละเอียดมากเกินไป และ ขบวนการผลิตไมย่ งุ่ ยากซบั ซอ้ น 4. คานึงถึงความประหยดั ท้งั เงินงบประมาณและเวลาในการจดั ทา 5. มีสัด ส่วนดี องคป์ ระกอบท้งั หมดกลมกลืน เช่น รูปแบบ พ้นื ผวิ เส้น สี เป็นตน้ 6. มีโครงสร้างท่ีเหมาะสม กลมกลืนกบั วฒั นธรรม สงั คม และมีความถูกตอ้ ง ตามสภาพท่ีเป็น จริง วสั ดุกราฟฟิ กชนิดตา่ งๆ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน หมายถึง วถิ ีทางของการสอนรายบุคคลโดยอาศยั ความสามารถของเครื่องคอมพวิ เตอร์ ท่ีจะ จดั หาประสบการณ์ที่มีความสมั พนั ธ์กนั มีการแสดงเน้ือหาตามลาดบั ท่ี ต่างกนั ดว้ ยบทเรียนโปรแกรมที่ เตรียมไวอ้ ยา่ งเหมาะสม

42 ประเภทคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน 1. บทเรียน (Tutorial) เป็นโปรแกรมท่ีสร้างข้ึนมาในลกั ษณะของบทเรียนโปรแกรม ที่เสนอ เน้ือหาความรู้เป็นส่วนยอ่ ย ๆเลียนแบบการสอนของครู 2. ฝึกทกั ษะและปฏิบตั ิ (Drill and Practice) ส่วนใหญใ่ ชเ้ สริมการสอน ลกั ษณะที่นิยมกนั มาก คือ การจบั คู่ ถูก-ผดิ เลือกขอ้ ถูกจากตวั เลือก 3. จาลองแบบ (Simulation) นิยมใชก้ บั บทเรียนที่ไม่สามารถทาใหเ้ ห็นจริงได้ 4. เกมทางการศึกษา (Educational Game) 5. การสาธิต (Demonstration) นิยมใชใ้ นวชิ าคณิตศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์ 6. การทดสอบ (Testing) เป็นการวดั ผลสมั ฤทธ์ิของผเู้ รียน 7. การไตถ่ าม (Inquiry) ใชเ้ พ่ือการคน้ หาขอ้ เทจ็ จริง ความคิดรวบยอด 8. การแกป้ ัญหา (Problem Solving) เนน้ การใหฝ้ ึกการคิดการตดั สินใจ 9. แบบรวมวธิ ีต่าง ๆ เขา้ ดว้ ย (Combination) ประยกุ ตเ์ อาวธิ ีสอนหลายแบบมารวมกนั ตาม วตั ถุประสงคท์ ี่ตอ้ งการ ประโยชน์ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน 1. ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนสามารถเรียนไดต้ ามเอกตั ภาพ 2. ผเู้ รียนมีโอกาสเรียนซ้าไดห้ ลายคร้ังเท่าที่ตอ้ งการ 3. ผเู้ รียนมีโอกาสโตต้ อบกบั คอมพิวเตอร์และสามารถควบคุมการเรียนไดเ้ อง 4. มีภาพ ภาพเคล่ือนไหว สี เสียง ทาใหผ้ เู้ รียนไมเ่ บื่อหน่ายการเรียน 5. ตวั ผเู้ รียนเป็ นศูนยก์ ลางการเรียนรู้ 6. ช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถเรียนไดต้ ามข้นั ตอนจากง่ายไปยาก หรือเลือกบทเรียน ได้ 7. ฝึกใหผ้ เู้ รียนคิดอยา่ งมีเหตุผล ลกั ษณะ ของคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน คอมพวิ เตอร์ช่วยสอนเป็นการเรียนการสอนแบบ รายบุคคลท่ีนาเอาหลกั การของบทเรียน โปรแกรมและเคร่ืองช่วยสอนมาผสมผสานกนั โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีจะตอบสนองในเรื่องความแตกต่าง ระหวา่ งบุคคลของผเู้ รียน เพื่อใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคท์ างการศึกษาเป็นรายบุคคล คอมพวิ เตอร์ช่วยสอนมีลกั ษณะการเรียนท่ีเป็ นข้นั เป็นตอน ดงั น้ี 1. ข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน 2. ข้นั การเสนอเน้ือหา 3. ข้นั คาถามและคาตอบ

43 4. ข้นั การตรวจคาตอบ 5. ข้นั ของการปิ ดบทเรียน ลกั ษณะของการพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนที่ดี มีดงั น้ี 1. สร้างข้ึนตามจุดประสงคข์ องการสอน 2. เหมาะสมกบั ลกั ษณะของผเู้ รียน 3. มีปฏิสัมพนั ธ์กบั ผเู้ รียนใหม้ ากที่สุด 4. มีลกั ษณะเป็นการสอนรายบุคคล 5. คานึงถึงความสนใจของผเู้ รียน 6. สร้างความรู้สึกในทางบวกกบั ผเู้ รียน 7. จดั ทาบทเรียนใหส้ ามารถแสดงผลยอ้ นกลบั ไปยงั ผเู้ รียนใหม้ าก ๆ 8. เหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มทางการเรียนการสอน 9. มีวธิ ีการประเมินผลการปฏิบตั ิงานของผเู้ รียนอยา่ งเหมาะสม 10.ใชส้ มรรถนะของเคร่ืองคอมพวิ เตอร์อยา่ งเต็มท่ี และหลีกเลี่ยงขอ้ จากดั บางอยา่ ง ของเครื่องคอมพวิ เตอร์อยบู่ นพ้นื ฐานของการออกแบบการสอนคลา้ ยกบั การผลิตสื่อ ชนิดอ่ืน ๆ ควรมีการประเมินผลทุกแง่ทุกมุม สื่อการสอนผ่านเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยสี ารสนเทศไดเ้ ขา้ มามีบทบาทต่อการเรียนการสอนมาก ข้ึนเป็นลาดบั ระบบสื่อสาร โทรคมนาคมทาใหเ้ กิดระบบการเรียน การสอนทางไกล (Tele-education) ทาใหผ้ เู้ รียนและผสู้ อนอยตู่ ่าง ที่กนั สามารถโตต้ อบกนั ไดด้ ว้ ยระบบวดิ ีโอคอนเฟอเรนซ์ ทาใหค้ รูและนกั เรียนไม่ตอ้ งเดินทางมาหากนั เทคโนโลยเี ครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต ทาใหก้ ารเช่ือมตอ่ ระหวา่ ง ครูกบั นกั เรียนดีข้ึน นกั เรียนสามารถส่งการบา้ นผา่ นทางอินเทอร์เน็ต ครูสามารถตรวจการบา้ นและใหค้ ะแนนไดท้ นั ที อีกท้งั ยงั สามารถช้ีแนะดว้ ยจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ (E-Mail) มีการสร้างอิเล็กทรอนิกส์บอร์ด (Electronic Bulletin Board) เพ่อื ใชใ้ น การติดประกาศข่าวสารตา่ ง ๆ เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์จึง เป็นตวั เช่ือมระบบการเรียนการสอน ท้งั แบบครูเป็ นจุดศูนยก์ ลางและนกั เรียน เป็นจุดศูนยก์ ลางเขา้ ดว้ ยกนั หลาย ๆ มหาวทิ ยาลยั จึงสร้างเครือขา่ ยหลกั ของมหาวทิ ยาลยั และเชื่อมตอ่ กบั อินเทอร์เน็ต และเรียกเครือข่ายน้ีวา่ \"แคมปัสเน็ตเวริ ์ค\" ภาย ในแคมปัสเน็ตเวริ ์ค ครูสามารถนาเอาเอกสาร คาสอน ตาราใส่ในสถานีบริการหรือเซิร์ฟเวอร์บน เครือขา่ ย เอกสารคาสอนเกบ็ อยู่ ในรูปแบบเอกสารไฮเปอร์เทก็ ซ์ที่เรียกวา่ \"โฮมเพจของระบบ เวลิ ดไ์ วดเ์ วบ็ \" (WWW) และรู้จกั กนั ดีบนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต เอกสารเหล่าน้ีจึงเก็บในรูปแบบท่ีเรียกดู ผา่ นบราวเซอร์ (Browser) เพื่อใหค้ รูนามาใชส้ อนในหอ้ งเรียนได้ และเมื่อสอนเสร็จ นกั เรียนสามารถ

44 เรียกดู เพ่ือศึกษาภายหลงั ลกั ษณะของเอกสารคาสอนเหล่าน้ีเรียกวา่ \"โฮมเพจประจาวชิ า\"ดว้ ยวธิ ีน้ีทาให้ นกั เรียนสามารถเรียกมาดูจากที่ใดกไ็ ด้ และเรียกดูเวลาใดก็ได้ หากมีขอ้ สงสัยก็สามารถส่งคาถามผา่ น เครือข่ายดว้ ย อีเมลห์ รือติดต่อกบั เพ่ือนฝงู เพอื่ อภิปรายปัญหา หากตอ้ งการเอกสารอ่ืนประกอบ กส็ ามารถ เชื่อมต่อไปยงั มหาวทิ ยาลยั ในตา่ งประเทศ เพ่ือขอดูโฮมเพจประจาวชิ าของมหาวทิ ยาลยั อื่นไดท้ วั่ โลก การ เรียนการสอนจึงมีลกั ษณะไร้พรมแดน ทาใหส้ ืบคน้ หาขอ้ มูลขา่ วสาร ในสถานท่ีห่างไกลได้ ความหมายของ การศึกษาทางไกล การศึกษาทางไกล (distance education) หรือ การเรียน ทางไกล(distance learning) หมาย ถึง ระบบ การศึกษาท่ีผเู้ รียนและผสู้ อนอยไู่ กลกนั ท้งั สถานท่ีและเวลา แตส่ ามารถทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ไดโ้ ดยใช้ เทคโนโลยี เป็นตวั เช่ือมโยงการเรียนการสอน ท้งั ส่ือสอนใน ลกั ษณะของส่ือประสม โดยการใชส้ ่ือ ตา่ งๆ ร่วมกนั เช่น ตาราเรียน เทปเสียง แผน ภูมิ กราฟ ภาพกราฟิ ก หรือโดยใชอ้ ุปกรณ์โทรคมนาคม และส่ือมวลชนประเภทวทิ ยแุ ละ โทรทศั น์เขา้ มาช่วยในการแพร่กระจายการศึกษาไปยงั ผทู้ ่ีปรารถนาจะ เรียนรู้ไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางทวั่ ทุกทอ้ งถ่ิน การศึกษาน้ีมีท้งั ในระดบั ตน้ จนถึงระดบั สูงข้นั ปริญญา การศึกษาทางไกลเป็นการศึกษาวธิ ีหน่ึงในการศึกษา ท้งั ในระบบและนอกระบบโรงเรียน ท่ี อาศยั สื่อสิ่งพิมพ์ ส่ือ อิเล็กทรอนิกส์ และสื่อบุคคล รวมท้งั ระบบโทรคมนาคมรูปแบบตา่ งๆเป็นหลกั ใน การ เรียนการสอน เพื่อใหผ้ เู้ รียนสามารถเรียนรู้ไดด้ ว้ ย ตนเองจากส่ือเหล่าน้ี หรือการมีปฏิสมั พนั ธ์ โตต้ อบ กบั ผสู้ อนตามเวลานดั หมาย และอาจมีการสอนเสริมโดยการ พบกนั ควบคู่ไปดว้ ยเพ่อื ใหผ้ เู้ รียน สามารถซกั ถามปัญหาจากผสู้ อนเสริม โดยท่ีการศึกษาน้ีอาจจะอยใู่ นรูปแบบของการศึกษา อิสระ การศึกษารายบุคคล หรือรูปแบบ ของมหาวทิ ยาลยั เปิ ดกไ็ ด้ ลกั ษณะสาคญั ของการศึกษาทาง ไกล ระบบ การศึกษาทางไกล มีลกั ษณะของการจดั การศึกษาที่ตา่ งไปจากระบบ การเรียนการสอน โดยปกติซ่ึงอาจจะสรุปลกั ษณะที่สาคญั ของระบบการศึกษาทางไกลได้ ดงั น้ี 1.ผเู้ รียนผสู้ อนไม่อยปู่ ระจนั หนา้ กนั เนื่องจากผเู้ รียนไม่สามารถมาเขา้ ช้นั เรียน โดยปกติได้ ดงั น้นั ผู้ เรียนจะเรียนดว้ ยตนเองท่ีบา้ นโดยอาจมาพบผสู้ อนในบางเวลา 2.เนน้ ผเู้ รียนเป็นจุดศูนยก์ ลางของการเรียน ผเู้ รียนเป็นผเู้ ลือกวชิ าและกาหนดเวลาเรียนและ กิจกรรมการเรียนของตนเอง 3.สื่อการสอนเป็นส่ือหลกั ในกระบวนการเรียน การสอนผสู้ อนจะเป็ นส่ือหลกั ในการศึกษา ทางไกลสื่อหลกั จะเป็นส่ือส่ิงพมิ พ์ วทิ ยโุ ทรทศั น์ วทิ ยกุ ระจายเสียง ฯลฯ เป็นสื่อหลกั

45 หลกั การของการศึกษาทางไกล การศึกษาทางไกลเป็นระบบการศึกษาที่ยดึ หลกั ในเร่ืองต่างๆดงั น้ี - การศึกษาตลอดชีวติ ซ่ึงถือเสมือนวา่ การศึกษาเป็นปัจจยั ท่ีหา้ ของการดาเนิน ชีวติ จึงสมควร ใชก้ ารศึกษาเป็นปัจจยั ในการพฒั นาคุณภาพชีวติ โดยไม่จาเป็นตอ้ ง แยกชีวติ การเรียนออกจากชีวติ การ ทางานการศึกษาจึง น่าจะเป็ นกระบวนการท่ีสอดแทรกอยไู่ ดใ้ นวถิ ีการดาเนินชีวติ ปกติ ผสู้ นใจเรียน สามารถ เม่ือไรก็ไดโ้ ดยคานึงถึงความพร้อม ความถนดั ความตอ้ งการและความสนใจ โดยไม่ จาเป็น ตอ้ ง เรียนเพอ่ื เป็ นอาชีพการงาน รวมถึงการท่ีทุกคนทุกเพศ ทุกวยั สามารถมีการเรียนรู้ไดท้ ุก เวลา - การใหโ้ อกาสเท่าเทียม กนั ในการศึกษา เป็นทางเลือกไปสู่ทางออกไปสู่อุดมคติ ในการ แกป้ ัญหาเรื่องเสมอภาคทางการ ศึกษา เป็นการกระจายและขยายโอกาสใหผ้ ทู้ ่ีตอ้ งละทิง้ การศึกษาก่อน จบหลกั สูตรหรือผู้ ไมม่ ีโอกาสเล่าเรียน ตลอดจนผทู้ ี่ตอ้ งการศึกษาหาความรู้เพ่มิ ไดโ้ อกาสศึกษา ตอ่ นอกจากน้ียงั เป็ นการแกป้ ัญหาครูผู้ สอนในวชิ าท่ีไมส่ ามารถหาผเู้ ช่ียวชาญในวชิ าน้นั ๆได้ เพือ่ ให้ ผเู้ รียนในที่ห่างไกลสามารถไดร้ ับความรู้ไดอ้ ยา่ งเท่าเทียมกบั ผเู้ รียน ท่ีอยใู่ นเมือง - ส่งเสริมการศึกษามวลชน เป็น การใหก้ ารศึกษาแก่มวลชนในระดบั ต่างๆ โดยการใชส้ ่ือ มวลชนและสื่ออื่นๆ รวมท้งั อุปกรณ์โทรคมนาคมประเภท ตา่ งๆร่วมกนั รู้ในสื่อประสม จากหลกั การดงั กล่าวน้ี การ ศึกษาทางไกลจึงเป็นการศึกษาระบบเปิ ดเตม็ รูปแบบ มี การเรียน ท้งั ในระบบและนอกระบบโรงเรียนควบคูก่ นั ไป เป็น การจดั การสอนที่พยายามใหถ้ ึงตวั ผเู้ รียนมาก ที่สุด เป็น ระบบการเรียนการสอนที่เอ้ืออานวยใหผ้ เู้ รียนและผสู้ อนจะอยไู่ กลกนั ก็ตาม แตก่ ส็ ามารถ กระทากิจกรรมการเรียนร่วมกนั ไดโ้ ดยอาศยั ส่ือ การสอนหลายประเภท เช่น ตารา เรียน ส่ิงพมิ พ์ เทป บนั ทึก เสียง สื่อมวลชนและอุปกรณ์โทรคมนาคมประเภทตา่ งๆเป็น การใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้ดว้ ยตนเองมาก ที่สุด และมีการพบกลุ่มหรือการสอนเสริมเป็นคร้ัง คราวเพอื่ ทบทวนบทเรียน และซกั ถามบทเรียนท่ี สงสยั จาก ผทู้ บทวนหรือครูประจากลุ่ม ส่ือในการศึกษาทางไกล การเลือกหรือจดั สื่อเพื่อใชใ้ นการศึกษาทางไกลไม่วา่ จะเป็นส่ือชนิดใดกต็ าม จะตอ้ งคานึงถึง หลกั จิตวทิ ยาท่ีวา่ ถา้ ผเู้ รียนมีปฏิสัมพนั ธ์กบั ผเู้ รียนตลอดเวลานานๆเขา้ จะเกิดความเบื่อหน่ายยง่ิ ถา้ ส่ือ ชนิดเดียวกนั หรือเป็ นส่ือทางวชิ าการท่ียงุ่ ยากซบั ซอ้ นทาใหไ้ มส่ นุก แลว้ ผเู้ รียนก็ยง่ิ ทอ้ ถอยหมดกาลงั ใจ ในการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง ดงั น้นั สื่อที่ใชจ้ ึงควรเป็ นส่ือที่มีการ เสริมแรงใหก้ าลงั ใจและใหผ้ เู้ รียนสามารถ ทราบถึงความกา้ วหนา้ ของตนเองเป็น ระยะๆ การใชส้ ่ือในการเรียนแบบน้ีจึงอยใู่ นลกั ษณะ ส่ือประสม โดยมีส่ือใดสื่อหน่ึงเป็ นส่ือหลกั และมีสื่อชนิดอื่นเป็ นสื่อเสริม ท้งั น้ีเพราะสื่อแตล่ ะอยา่ งกม็ ีท้งั ขอ้ ดีและ ขอ้ จากดั ในตวั เอง การศึกษาจากสื่อเพียงชนิดเดียวอาจจะทาใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับความรู้ไม่ สมบรู ณ์เทา่ ที่ควร

46 จึงตอ้ งอาศยั สื่อชนิดอ่ืนประกอบเพือ่ เสริมความรู้ ส่ือท่ีใชใ้ นการศึกษาทางไกลสามารถจาแนกออกได้ ดงั น้ี สื่อหลกั คือ สื่อท่ีบรรจุรายละเอียดเน้ือหาบทเรียนตามประมวลคาสอนแต่ ละวชิ าใน หลกั สูตร โดยอาจอยใู่ นรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ รายการโทรทศั น์การสอน รายการ วทิ ยกุ ารสอนหรือวทิ ยุ โรงเรียน บทเรียนซีเอไอ และบทเรียนบนเวบ็ ผเู้ รียนตอ้ ง ศึกษาจากส่ือหลกั ใหค้ รบตามหลกั สูตรของ วชิ าจึงสามารถเรียนรู้เน้ือหาไดอ้ ยา่ ง ครบถว้ น สื่อเสริม คือ สื่อท่ีจะเก็บตก ตอ่ เติมความรู้ใหแ้ ก่ผเู้ รียนให้เขา้ ใจในเน้ือหาบทเรียน กระจา่ ง สมบูรณ์ข้ึน หรือหากในกรณีผเู้ รียนศึกษาจาก ส่ือหลกั แลว้ ยงั ไมจ่ ุใจพอ หรือยงั ไมเ่ ขา้ ใจได้ ชดั เจนมี ปัญหาอยกู่ ส็ ามารถศึกษาเพ่มิ เติมจากส่ือเสริมได้ ส่ือประเภทน้ีจะอยใู่ นรูปแบบ ของเทปสรุป บทเรียน วทิ ยุ เอกสาร เสริม การสอนเสริม การพบ กลุ่ม หรือเวบ็ ไซตต์ ่างๆ เป็น ตน้ การเลือกใชส้ ื่อหลกั อาจจดั ไดห้ ลายแนว คือ - แนวท่ียดึ สิ่งพิมพเ์ ป็นหลกั ในลกั ษณะหนงั สือตาราเรียน หนงั สือ แบบฝึกหดั เอกสาร คา บรรยาย ฯลฯ - แนวที่ยดึ โทรทศั นเ์ ป็ น หลกั ในลกั ษณะรายการโทรทศั น์การสอนส่งไปยงั ผเู้ รียน โดย การแพร่สญั ญาณกวา้ งและวงแคบ โดยใชก้ ารส่งสญั ญาณ ผา่ นดาวเทียม คลื่นไมโครเวฟเคเบิล ทีวี รวมถึงการใชแ้ ถบวดี ีทศั นห์ รือแผน่ วซี ีดีนาเสนอบทเรียนตาม หลกั สูตรการสอน - แนวที่ยดึ วทิ ยเุ ป็น หลกั ในลกั ษณะรายการวทิ ยกุ ารสอนและวทิ ยโุ รงเรียน - แนวที่ยดึ คอมพิวเตอร์เป็นหลกั ในลกั ษณะรายการใชเ้ วบ็ เป็ นพ้ืนฐาน (wed- based instruction; WBI) หรือทว่ั ไปวา่ “การสอนบนเวบ็ ” บนอินเทอร์เน็ต เมื่อมีการ สอนในแนวใดเป็นหลกั ตอ้ งมีการใชส้ ื่อเสริมใหแ้ ก่ผู้ เรียนเป็นลกั ษณะ “สื่อ ประสม” (multimedia) ที่ มีบูรณาการของสื่อแตล่ ะประเภทเพื่อช่วยเพิ่มความรู้ เช่น เมื่อใชส้ ื่อโทรทศั น์ เป็นหลกั แลว้ ควรเสริมดว้ ยส่ิงพมิ พ์ เทปเสียงสรุป บทเรียนซีไอเอ และการสอนเสริม เพ่อื ช่วยใหผ้ ู้ เรียนไดร้ ับความรู้ในแต่ละหวั ขอ้ การเรียน นอกจากการใชส้ ่ือประสมดงั กล่าวแลว้ สื่อสาคญั อีกอยา่ งหน่ึงในระบบการศึกษาทางไกล ไดแ้ ก่ “ส่ือบุคคล” ซ่ึงอาจเป็ นผนู้ ากลุ่ม ผทู้ บทวน บทเรียน หรือผสู้ อนเสริม เป็น การเปิ ดโอกาสให้ ผเู้ รียนไดพ้ บปะวทิ ยากรที่มีความรู้ความชานาญในทอ้ งถ่ิน หรือเป็นการท่ีผเู้ รียนรวมกลุ่มกนั การสอน เสริม ทบทวนเน้ือหาบทเรียน อภิปรายปัญหา ในบทเรียนหรือการทางาน ตลอดจนรับการแนะแนว การศึกษา และอาชีพ การใชส้ ื่อบุคคลสามารถใชไ้ ดโ้ ดยการท่ีผู้ เรียนติดต่อกบั บุคคลเหล่าน้นั หรือแมแ้ ต่ กบั ผสู้ อน เองโดยทางไปรษณียห์ รือโทรศพั ท์ เพ่อื ซกั ถามปัญหา หรือทบทวนบทเรียนหรืออาจเป็นการ ติดต่อกนั เองระหวา่ งผเู้ รียนก็ได้ รวมท้งั การใชอ้ ินเทอร์เน็ตเพื่อส่งอีเมลไ์ ปถามผเู้ ชี่ยว ชาญในเร่ือง ต่างๆ เฉพาะทางที่อยทู่ วั่ โลกเพ่อื ให้ ไดค้ วามรู้เชิงลึกในเร่ืองท่ีขอ้ งใจหรือตอ้ งการศึกษาอยา่ งลึกซ้ึงใน

47 เร่ือง น้นั ๆในระยะหลงั ต่อมามีการใชส้ ่ือหลากหลายชนิดประกอบกนั ในการถ่ายถอดความรู้ หรือวา่ ใชส้ ื่อ ประสม โดยใชส้ ่ือใดสื่อหน่ึงเป็นส่ือ หลกั แลว้ ใชส้ ื่ออื่นเป็นส่ือใหค้ วามรู้เสริมเรียกวา่ “ส่ือเสริม” ดว้ ย การใชส้ ่ือตา่ งๆใหม้ ีความกา้ วหนา้ ทนั สมยั ประกอบกบั ไดม้ ีการคน้ ควา้ ในการใชส้ ื่อต่างๆในการเรียน การสอนท้งั ในประเทศและต่างประเทศ พบวา่ มีการใชส้ ื่อประสมกนั มาก ดงั ท่ี วจิ ิตร ศรีสะอา้ น (2529:3) กล่าววา่ “สื่อแตล่ ะประเภทตา่ งมีจุดเด่นจุดดอ้ ย จะ ใชส้ ่ือหน่ึงเพียงอยา่ งเดียวไม่บงั เกิด ประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์ การใชช้ ้นั เรียนเป็ นส่ือการสอนโดยมีการพบปะระหวา่ งผเู้ รียนผสู้ อน เป็น ประจา เป็นวธิ ีท่ีมีประสิทธิภาพมากแตท่ าได้ จากดั และอาจไม่อาจเหมาะกบั คนบางชวั่ อายุ เอกสาร สิ่งพิมพแ์ มจ้ ะมิใช่เป็นของใหม่แตย่ งั สามารถใช้ เป็นสื่อหลกั ไดโ้ ดยเฉพาะผเู้ รียนท่ีอ่านออกเขียนได้ สื่อ ประเภทวทิ ยกุ ระจายเสียงและวทิ ยโุ ทรทศั น์อาจเร้าความ สนใจผเู้ รียนไดด้ ี แตเ่ ป็นส่ือที่ผเู้ รียนตอ้ งเพง่ ความสนใจสูง และตอ้ งติดตามใหท้ นั มิฉะน้นั บทเรียนก็ อาจผา่ นไป นอกเสียจากมีการบนั ทึกรายการแต่ ก็อาจมี คา่ ใชจ้ า่ ยสูง ในการศึกษาระบบเปิ ดจึงหนั มาเนน้ การ ใช้ “ส่ือประสม” แทนที่จะใชส้ ื่อ เฉพาะ อยา่ ง หน่ึงอยา่ งใดแต่เพียงอยา่ งเดียว กล่าวคือ ไดม้ ีการประยกุ ตเ์ อาสื่อดา้ นไปรษณีย์ วทิ ยุ กระจายเสียง วทิ ยโุ ทรทศั น์ และ การสอนเสริมมาจดั เป็ นระบบสื่อประสมโดยถือสื่อใดสื่อหน่ึงเป็น แกนกลางและใช้ สื่ออ่ืนๆเป็นส่ือประกอบท้งั น้ีเพ่ือใหก้ ารเรียนการสอนน่าสนใจและมี ประสิทธิภาพดี ยง่ิ ข้ึนจึงอาจกล่าวไดว้ า่ “ส่ือประสม” ช่วย เสริมสร้างประสิทธิภาพของการศึกษาทางไกลเป็นอเนก ประการ” ดว้ ยสาเหตุ ดงั กล่าว จึงไดม้ ีการใชส้ ่ือประสมในการศึกษาทางไกล กนั มากข้ึน โดยเฉพาะในปัจจุบนั สถานศึกษาหรือหน่วยงานผู้ จดั การศึกษาโดยวธิ ีทางไกลบางแห่งใชส้ ื่อประสม 2-3 ชนิด เช่น ใชส้ ่ือ สิ่งพมิ พเ์ ป็นหลกั และใช้ วทิ ยกุ ระจายเสียงและการพบกลุ่มเป็นสื่อเสริม บาง แห่งใชส้ ่ือหลายชนิด ประสมกนั เช่น ใช้ สื่อสิ่งพมิ พเ์ ป็นหลกั แลว้ ใชเ้ ทปเสียง รายการวทิ ยุ และการสอนเสริมเป็นส่ือ เสริม บางแห่งใชค้ อมพวิ เตอร์เป็นส่ือหลกั ใชส้ ่ือสิ่งพมิ พ์ การพบกลุ่มเป็นสื่อเสริม เป็นตน้ ขอ้ ดีของการศึกษาทางไกล ดงั กล่าวแลว้ วา่ มีการจดั การศึกษา ทางไกลสาหรับการศึกษาในระบบ และการศึกษานอกระบบ ดงั น้นั จึงอาจกล่าวไดว้ า่ การศึกษาทาง ไกลมีขอ้ ดีหรือมีประโยชนต์ ่อ การศึกษาตา่ งในแง่มุม ดงั น้ี 1) ผู้ เรียนไดเ้ รียนกบั ผสู้ อนที่มีความเชี่ยวชาญในเน้ือหาน้นั ๆ 2) สามารถบนั ทึกคาบรรยายหรือการสอนส่งผา่ นคอมพิวเตอร์ หรือโทรทศั น์ไปยงั ผเู้ รียนได้ โดยสะดวก 3) ผเู้ รียนท่ีอยใู่ นการ ศึกษานอกระบบ ไม่จาเป็ นตอ้ งเดินทางมายงั สถานศึกษาเหมือนปกติ และ ยงั สามารถทางานในสถานประกอบของตนเองได้ 4) ตอบสนองความตอ้ งการใน การแสวงหาความรู้เพอ่ื พฒั นาคน และพฒั นางานในวชิ าชีพของ บุคคลได้ โดยไมต่ อ้ งเขา้ รับการศึกษาในสถานศึกษาในระบบปกติ

48 บทสรุป การนาเอาการเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นการ สอนทางไกล เพื่อการพฒั นาสงั คม เศรษฐกิจ และการศึกษา จะประสบผลมากข้ึนถา้ ผนู้ ามาใชเ้ ขา้ ใจแนวคิด หลกั การ ตลอดจนมีการวางแผนและ เตรียมการไวเ้ ป็นอยา่ งดี โดยคานึงถึงการสร้างปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งครูกบั ผเู้ รียนใหม้ ากจะทาใหก้ ารเรียน การสอนน่าสนใจมากยง่ิ ข้ึนดว้ ย การใชส้ ่ือและอุปกรณ์การสื่อสารอยา่ งหลากหลาย ทาใหเ้ กิด สภาวะการณ์ของสงั คมและเศรษฐกิจในปัจจุบนั โดยท้งั หมดน้ีจะทาใหบ้ รรลุเป้ าหมายอยา่ งหน่ึงที่สาคญั คือ ความสามารถในการกระจายโอกาสทางการศึกษาและยกระดบั คุณภาพของการศึกษาไปตม บริเวณที่ ดอ้ ยพฒั นากวา่ เช่น ตามตา่ งจงั หวดั อีกท้งั เป็นระบบที่เอ้ืออานวยความสะดวกใหก้ บั ผเู้ รียนหลายประเภท ที่ตอ้ งการ ท่ีจะเรียนรู้ จึงกลายเป็นทางลดั หรือทางด่วนไปสู่การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของประชาชน เพ่ือลด ช่องวา่ งระหวา่ งสังคมเม่ือและสงั คมตา่ งจงั หวดั ท้งั หมดก็เพือ่ มิใหเ้ กิดความเลื่อมล้ากนั ทางสังคมนนั่ เอง ดาวเทยี มเพอ่ื การศึกษา ความเป็ นมา แนวคิดของการสื่อสารผา่ นดาวเทียมเกิดจากจินตนาการของนกั เขียน นวนิยายชาวองั กฤษช่ือ อา เทอร์ ซี. คลาก ท่ีไดเ้ ขียนบทความเก่ียวกบั ข่ายงานท่ี“ถ่ายทอดมาจากนอกโลก” พฒั นาการของการส่ือ สารผา่ นดาวเทียมไดร้ ับการกระตุน้ ข้ึนในช่วง พ.ศ. 2503-2512 เม่ือองคก์ ารนาซา ไดพ้ ยายามส่งคนไปลง บนดวงจนั ทร์จึงจาเป็ นตอ้ งสร้างข่ายงานโทรคมนาคมเพ่อื ติดต่อยานอวกาศและถ่ายทอดขอ้ มูลระหวา่ ง โลกและหว้ งอวกาศจึงทาให้สหรัฐอเมริกา จดั ต้งั องคก์ รเอกชนคอมแซตข้ึนเพอ่ื การสร้างข่ายงาน และ ประจวบกบั ระยะเวลาน้นั ดว้ ยความร่วมมือขององคก์ ารสหประชาชาติ ท่ีประชุมของรัฐบาลประเทศ ต่างๆ ไดร้ ่วมกนั จดั ต้งั องคก์ ารดาวเทียมเพือ่ การโทรคมนาคมระหวา่ งประเทศ หรือเรียกวา่ “อินเทลแซต” ข้ึน เพือ่ ทาหนา้ ที่จดั การและดาเนินการโทรคมนาคมระหวา่ งประเทศผา่ นดาวเทียมเพื่อ การพาณิชยแ์ ละ ในปี พ.ศ.2508ไดม้ ีการส่งดาวเทียมชุด อินเทลแซตข้ึนไปในอวกาศเป็นคร้ังแรก การใช้ดาวเทยี มเพอื่ การศึกษา นบั ต้งั แตค่ วามสาเร็จของสหรัฐอเมริกาใน การส่งดาวเทียมเอทีเอส-6 ซ่ึงเป็นดาวเทียมดวงที่ ส่งเพอื่ ประโยชนด์ า้ น การศึกษาโดยเฉพาะเพือ่ ยกระดบั การศึกษาเขา้ สู่ยคุ อวกาศ เป็นการส่งเสริม การศึกษาใหเ้ ขา้ ถึงประชาชนไดท้ วั่ ทุกทอ้ งถิ่นทวั่ ประเทศ เร่ิมต้งั แต่ พ.ศ. 2517 ปัจจุบนั สามารถนาเอาดาว เทียมแพร่สญั ญาณโดยตรงมาใชใ้ นลกั ษณะการรับตรงจากดาวเทียม เรียกวา่ “ระบบดีทีเอช” สามารถรับ สัญญาณจากดาว เทียมไดโ้ ดยตรงโดยไม่ตอ้ งผา่ นสถานีรับดาวเทียมเพื่อการศึกษาใน ระบบโรงเรียน เป็นการใชส้ ่งสัญญาณผา่ นดาวเทียมเพื่อส่งรายการวทิ ยุ หรือโทรทศั น์ เป็นการสอนแทนครู หรือเสนอการสอนในวชิ าที่ขาดแคลนครู โดยจะเป็ นการสอนในระบบการส่ือสารทางเดียวและการ

49 ส่ือสารสองทางจะเป็นการใช้ เทคโนโลยโี ทรคมนาคมประเภทต่างๆ ร่วมกบั อุปกรณ์การประชุมทางไกล ดว้ ยภาพและเสียง การศึกษาในปัจจุบนั จึงไดช้ ่ือวา่ “โทรคมนาคมเพอื่ การศึกษา” ส่วนหอ้ งเรียนจะ เรียกวา่ “หอ้ ง เรียนทางไกล” , “หอ้ งเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์” หรือ “หอ้ งเรียนทางโทรทศั น์” ซ่ึงมีการรับ สัญญาณตรงจากดาวเทียมโดยการท่ีมีจานรับสัญญาณดาว เทียมของสถาบนั เองเป็นการรับในรูปแบบของ ดีบีทีวี ซ่ึงเป็นการนาเอาระบบรับตรงจากดาวเทียม (ดีทีเอช) มาใชก้ บั โทรทศั น์ ดาวเทยี มเพอ่ื การศึกษาใน ระบบโรงเรียน เป็นการใชส้ ่งสญั ญาณผา่ นดาวเทียมเพือ่ ส่งรายการวทิ ยหุ รือโทรทศั น์ เป็ นการสอนแทนครู หรือเสนอการสอนในวชิ าท่ีขาดแคลนครู โดยจะเป็ นการสอนในระบบการสื่อสารทางเดียวและการ ส่ือสารสองทางจะเป็นการใช้ เทคโนโลยโี ทรคมนาคมประเภทตา่ งๆ ร่วมกบั อุปกรณ์การประชุมทางไกล ดว้ ยภาพและเสียง การศึกษาในปัจจุบนั จึงไดช้ ื่อวา่ “โทรคมนาคมเพอ่ื การศึกษา” ส่วนหอ้ งเรียนจะ เรียกวา่ “หอ้ ง เรียนทางไกล” , “หอ้ งเรียนอิเลก็ ทรอนิกส์” หรือ “หอ้ งเรียนทางโทรทศั น์” ซ่ึงมีการรับ สญั ญาณตรงจากดาวเทียมโดยการที่มีจานรับสัญญาณดาว เทียมของสถาบนั เองเป็นการรับในรูปแบบของ ดีบีทีวี ซ่ึงเป็นการนาเอาระบบรับตรงจากดาวเทียม (ดีทีเอช) มาใชก้ บั โทรทศั น์ ดาวเทยี มเพอื่ การศึกษานอกระบบ โรงเรียน โดยการท่ีผสู้ อนหรือวทิ ยากรจะอยใู่ น สถาบนั การศึกษาหรือศนู ยก์ ลางของการสอน ผเู้ รียน จะอยรู่ วมกนั ในสถานท่ีอีกแห่งหน่ึง แตก่ ส็ ามารถทาการเรียนการสอน ฝึกอบรม โดยอาจใชร้ ะบบดีบีทีวี หรือเป็นการต่อสายเคเบิลจากสถานีรับสญั ญาณดาวเทียมและใชร้ ่วมกบั เคร่ืองรับ โทรทศั น์ คอมพวิ เตอร์ โทรศพั ท์ ลาโพง ในลกั ษณะการประชุมทางไกลโดยวดี ีทศั น์ เพ่ือใหท้ ้งั สองฝ่ ายไดร้ ่วมอภิปราย ปรึกษาหารือหรือถามปัญหาขดั ขอ้ งใจได้ การใช้สัญญาณผ่านดาวเทยี มในงานห้องสมุด หอ้ งสมุดเป็ นศูนยก์ ลางในการถ่ายทอด ขอ้ มูลและสารสนเทศจึงไดช้ ่ือวา่ “ทา่ หอ้ ง สมุด” หรือ “ท่าโทรคมนาคม” หมายถึง การใชห้ อ้ งสมุดเพ่ือเป็นศูนยก์ ลางของการส่ือสารโทรคมนาคม ในการรับและส่ง สารสนเทศในรูปแบบของเสียง ภาพ และตวั อกั ษร โดยใชก้ ารส่งสญั ญาณผา่ นดาวเทียม มายงั สถานีรับภาคพ้ืนดินและทางสถานีรับจะส่ง สญั ญาณผา่ นเส้นใยนาแสงหรือทางคลื่นไมโครเวฟทาง ภาคพ้ืนดินไปยงั หอ้ งสมุดทา่ โทรคมนาคมหอ้ งสมุดจะทาหนา้ ท่ี ดงั น้ี

50 1. เป็นฐานขอ้ มูลเพ่ือส่งขอ้ มลู และขา่ วสารไปยงั ประเทศ ต่างๆ 2. เป็นแหล่งรวบรวมเอกสารเพอ่ื การคน้ ควา้ 3. เป็นศนู ยก์ ลางในการติดต่อคน้ ควา้ และรับ-ส่งเอกสารระหวา่ งประเทศ 4. เป็นศูนยก์ ลางในการติดต่อของหน่วยงานท้งั ภาครัฐและเอกชนในการแลกเปลี่ยนขา่ ว สาร การใชป้ ระโยชน์จากดาวเทียม เพือ่ การศึกษา การใชป้ ระโยชน์จากดาวเทียมเพือ่ การศึกษา (Satellite Application for Education) ซ่ึง บรรยายโดย Prof. Dr.KONDO Kimio จาก สถาบนั การศึกษาสื่อผสมแห่งชาติ (National Institute of Multimedia Education) สาระสาคญั พอสรุปความไดว้ า่ การร่วมมือกนั ในกิจกรรมเชิงสงั คมก่อใหเ้ กิดการ รวมตวั และระดมสมองเพ่ือช่วย เหลือกนั มีการปฏิสัมพนั ธ์กนั ถึงแมจ้ ะมีความคิดเห็นที่แตกต่างอนั ก่อใหเ้ กิด ความเขา้ ใจและร่วมมือช่วยเหลือกนั โดยเฉพาะในดา้ นการศึกษา เช่น สถาบนั การศึกษาแห่ง หน่ึงอาจจะขาดผบู้ รรยายท่ีเชี่ยวชาญในสาขาวชิ าใดวชิ า หน่ึงซ่ึงกไ็ มเ่ ป็นอุปสรรคอีกต่อไป เพราะการ ร่วมมือช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั โดยสถาบนั การศึกษาอีกแห่งหน่ึงซ่ึงมี ผบู้ รรยายที่เช่ียวชาญในสาขาวชิ า น้นั โดยเฉพาะไดเ้ ขา้ มาเก้ือหนุนโดยใชร้ ะบบ การประชุมผา่ นทางวดี ิทศั นก์ ล่าวอีกนยั หน่ึงกค็ ือ สถาบนั การศึกษาแห่งหน่ึง ซ่ึงไมม่ ีผบู้ รรยายที่เชี่ยวชาญประจาอยโู่ ดยเฉพาะก็สามารถท่ีจะเปิ ดหลกั สูตร สาขาวชิ าน้นั ๆไดโ้ ดยอาศยั ความร่วมมือช่วยเหลือกนั ระหวา่ งสถาบนั กบั สถาบนั โดย ใชเ้ ทคโนโลยจี าก ดาวเทียมเขา้ มาช่วยอนั ก่อให้เกิดการปฏิสัมพนั ธ์กนั จริง ๆ ระหวา่ งผสู้ อนกบั ผเู้ รียน มีการแสดงออกทางสี หนา้ ภาษา กายและมีเสียงโตต้ อบกนั เสมือนไดม้ ีการเรียนการสอนแบบตวั ตอ่ ตวั ในห้องเรียน และเป็น เหตุใหเ้ กิดมหาวทิ ยาลยั เสมือนจริง (Virtual University) โดย ผา่ นระบบความร่วมมือช่วยเหลือกนั การจดั การศึกษาทางไกล ผา่ นดาวเทียมมีประโยชน์ ดงั น้ี 1. เพื่อการศึกษาในระบบโรงเรียนต้งั แตช่ ้นั ประถมศึกษาไปจนถึงระดบั อุดมศึกษา 2. เพอ่ื ขยายโอกาสทางการศึกษาแก่ผทู้ ี่อาศยั ในทอ้ งถ่ินห่างไกล 3. เป็นการส่งเสริมการศึกษาระบบเปิ ดใน ระดบั อุดมศึกษา 4. เพื่อ การฝึกหดั ทางดา้ นอาชีพและเทคนิคการทางานตา่ งๆ 5. เพ่ือการศึกษาผใู้ หญ่โดยสามารถเรียนไดด้ ว้ ยตนเอง 6. เป็นพฒั นาการของการจดั การดา้ นการ ศึกษา คอมพวิ เตอร์ทางการศึกษา พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานพทุ ธศกั ราช 2525 ได้ ใหค้ วามหมายของ \"คอมพวิ เตอร์\" ไวว้ า่ \" เครื่อง อิเล็กทรอนิกส์แบบอตั โนมตั ิทาหนา้ ท่ีเสมือนสมองกลใชส้ าหรับแกป้ ัญหาตา่ งๆท่ี ง่ายและซบั ซอ้ น โดยวธิ ีทางคณิตศาสตร์\"คอมพวิ เตอร์จึงเป็นเคร่ืองมือ อิเล็กทรอนิกส์ท่ีถูกสร้างข้ึนเพ่ือใชง้ านแทนมนุษย์ ในดา้ นการคานวณและสามารถ จาขอ้ มูลท้งั ตวั เลขและตวั อกั ษรไดเ้ พ่ือการเรียกใชง้ านคร้ังต่อไป รวมท้งั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook