คาํ ในภาษาไทย จําแนกได 7 ชนดิ คอื 1. คํานาม 2. คาํ สรรพนาม 3. คํากริยา 4. คาํ วเิ ศษณ 5. คําบพุ บท 6. คําสนั ธาน 7. คาํ อุทาน
คอื คําที่ใชเรียกชือ่ คน สัตว สง่ิ ของ สถานที่ รวมทง้ั ส่ิงที่มีชีวิต และไมม ชี วี ิต ท้งั ทีเ่ ปน รูปธรรม และนามธรรม เชน เดก็ พอ แม นก ชา งบาน โรงเรยี น ความดี ความรัก คาํ นามแบงเปน 5 ชนิด ดงั น้ี 1. สามมานยนาม คอื คาํ นามที่ใชเ รยี กช่ือท่ัวไปไมช ี้เฉพาะเจาะจง เชน พอ แม นก รถ ขนม ทหาร ตํารวจ ครู คน ประเทศ รฐั บาล 2. วิสามานยนาม คือ นามที่เปนชอ่ื เฉพาะของคน สัตว ส่ิงของ สถานที่ เชน ครูสมศรี ประเทศไทย วนั จันทร จังหวดั ฉะเชงิ เทรา โรงเรียนวัดประชาบํารงุ กิจ 3. ลักษณะนาม คอื คํานามที่ใชบ อกลักษณะของนามหรือกรยิ า เพอ่ื บอกขนาด รปู รางสณั ฐาน ปรมิ าณ เชน ตัว ดา ม เมด็ หลัง 4. สมุหนาม คือ คาํ นามทีบ่ อกหมวดหมขู องนามทั่วไปและนาม เฉพาะ เพือ่ บอกถึงลกั ษณะที่รวมกันเปน หมู เปนพวก เชน ฝูง โขลง กอง กลมุ คณะ 5. อาการนาม คอื คํานามทีบ่ อกกิริยาอาการหรอื ความปรากฏ เปนตาง ซ่ึงมคี าํ \"การ\" \"ความ\"นาํ หนา
คือ คําท่ีใชแทนคํานามทผี่ พู ดู หรือผูเขียนไดก ลาวแลว หรอื เปนทีเ่ ขา ใจกนั ระหวางผฟู ง และผพู ูด เพ่ือไมต อง กลา วคํานามซ้ํา คาํ สรรพนามแบงเปน 6 ชนดิ ดังน้ี 1. บุรษุ สรรพนาม คอื คาํ สรรพนามท่ีใชแ ทนในการพดู จา 2. ประพนั ธสรรพนาม คือ คําสรรพนามท่ีใชแทนคํานามหรอื คาํ สรรพนามท่อี ยูขางหนา และประโยค ทาํ หนา ทเี่ ชอื่ มประโยค 2 ประโยคใหมคี วามสมั พนั ธกัน ไดแ ก คาํ ที่ ซึง่ อนั ผู 3. วิภาคสรรพนาม คือ คาํ สรรพนามที่ใชแทนคํานามเพื่อแบง พวกหรือรวมพวก ไดแก คาํ บา ง ตาง กัน 4. นยิ มสรรพนาม คือ คําสรรพนามที่ใชแทนคํานามท่ีแสดงความ ชี้เฉพาะเจาะจง ไดแก คาํ น่ี นนั่ โนน 5. อนิยมสรรพนาม คือ คําสรรพนามที่ใชแ ทนคํานามทีบ่ อกความ ไมเ จาะจง ไดแ ก คํา ใคร อะไร ไหน อยา งไร อะไร ๆ ผูใด ๆ ใด ๆ ซ่งึ ไมใชค าํ ถาม 6. ปฤจฉาสรรพนาม คอื คําสรรพนามที่ใชแ ทนคํานามท่มี ีความ หมายเปน คําถาม ไดแก คํา อะไร ใคร อยา งไร ทําไม ผูใด
คือคําทีเ่ ปลงออกมาเพ่อื แสดงอารมณ ความรูส กึ ของผูพ ดู ซ่งึ อาจเปลงออกมาในขณะทตี่ กใจ ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ คําอทุ านสว นมากไมม ีความหมายตรงตามถอยคํา แตจ ะมี ความหมายเนน ความรสู กึ และอารมณของผูพ ูดเปนสําคัญ คําอทุ านแบง ออกเปน 2 จําพวก ดังน้ี 1. อุทานบอกอาการ เชน โอย อา ว วาย โอย โอย ตายจรงิ คุณพระชวย โอโฮ 2. อทุ านเสริมบท เชน อาบน้าํ อาบทา , ไปวัด ไปวา, ผา ผอน, เส้อื แสง
คอื คาํ ท่ีใชขยายคาํ นาม คําสรรพนาม คาํ กรยิ า และคาํ วิเศษณ เพ่ือใหไดค วามชดั เจนยงิ่ ขึ้น คาํ วิเศษณแ บง เปน 10 ชนดิ ดงั น้ี 1. ลักษณวิเศษณ คอื คาํ วเิ ศษณบอกลกั ษณะ ชนดิ สี ขนาด สัณฐาน รส กลิ่น เสยี ง ความรูสกึ ไดแ ก คาํ ใหญ เล็ก เร็ว ชา หอม เหม็น เปรย้ี ว หวาน ดี ช่ัว รอ น เย็น 2. กาลวเิ ศษณ คือ คําวิเศษณทบ่ี อกเวลาในอดีต ปจ จุบนั อนาคต เชา สาย บา ย เย็น 3. สถานวเิ ศษณ คือ คําวิเศษณท ่บี อกสถานท่ี ระยะทาง ไดแ ก คาํ ใกล ไกล บน ลา ง เหนือ ใต ซา ย ขวา หนา หลงั 4. ประมาณวิเศษณ คอื คาํ วิเศษณท บ่ี อกจํานวนหรือปรมิ าณ ไดแ ก คํา มาก นอย หนึง่ สอง หลาย ทงั้ หมด 5. นยิ มวิเศษณ คือ คําวิเศษณทบี่ อกความช้เี ฉพาะ ชอกกําหนด แนนอน ไดแ ก คํา นี่ นนั่ โนน นั้น โนน เหลา น้ี เฉพาะ แนนอน จริง 6. ปอนยิ มสรรพนาม คอื คําวเิ ศษณท่แี สดงความไมชเ้ี ฉพาะ ไม แนนอนไดแก คาํ อะไร ทาํ ไม อยางไร ไย เชนไร ฉนั ใด ก่ี 7. ปฤจฉาวิเศษณ คือ คําวิเศษณทีบ่ อกเนอื้ ความเปนคําถามหรอื ความสงสัย ไดแกคาํ อะไร ไหน ทาํ ไม อยา งไร 8. ประตชิ ญาวเิ ศษณ คอื คาํ วิเศษณท ่ีใชในการเรยี กขานและโตต อบ กัน ไดแ ก คํา คะ ขา ครบั ขอรับ จา จะ พระพุทธเจา ขา 9. ประตเิ ษธวิเศษณ คือ คําวิเศษณท ี่บอกความปฏเิ สธ ไดแก คํา ไม ไมใช ไมได หามิได บ 10. ประพันธวเิ ศษ คือ คําวเิ ศษณท ป่ี ระกอบคาํ กริยาหรอื คาํ วิเศษณ เพื่อทาํ หนาทีเ่ ชือ่ มประโยค ใหมคี วามเกยี่ วขอ งกนั ไดแก คําท่ี ซึง่ อนั อยางท่ี ชนิดที่ ทว่ี า วา เพราะเหตุวา
คอื คําท่ที าํ หนาท่ีเช่ือมโยงคาํ หนึ่งหรอื กลมุ คาํ หนง่ึ ให สมั พันธก ับคาํ อ่นื หรือกลุม คําอืน่ เพือ่ แสดงความหมาย ตา ง ๆ เชน ความเปนเจา ของ ลักษณะ เหตผุ ล เวลา สถานที่ ประมาณ ความตองการ เปรยี บเทียบ ฯลฯ ไดแก คาํ ใน แก แต ตอ สาํ หรับ โดย ดวย ของ แหง ใกล คําบพุ บทแบง เปน 2 พวก คอื 1. คําบุพบทที่เชอ่ื มโยงกบั บทอื่น 2. คาํ บพุ บทที่ไมเชอื่ มโยงกบั บทอื่น สวนมากจะอยตู น ประโยค ใชเ ปน การทกั ทาย มกั ใชในคาํ ประพนั ธ
คือ คาํ ท่ที ําหนา ท่ีเช่ือมคาํ กบั คาํ ประโยคกับประโยค ขอความกบั ขอความ หรอื ความใหสละสลวย ไดแก คาํ และ หรือ แต เพราะ คาํ สนั ธานทําหนา ท่ีได 4 ลักษณะ ดงั นี้ 1. ใชเช่ือมคาํ กับคํา เชน ฉนั และเธอชอบเรยี นวิชาภาษาไทย, เธอ ชอบมะลิหรือกหุ ลาบ 2. ใชเ ชือ่ มขอความ เชน คนเราตอ งการอาหาร เสื้อผา เครอื่ งนงุ หม ทอ่ี ยอู าศัย และยารกั ษาโรคดว ยเหตุน้ี เราจงึ จําเปน ตองประกอบ อาชีพเพ่อื ใหไดเงินมาซ้อื สิง่ จาํ เปนเหลานี้ 3. ใชเชอื่ มประโยคกับประโยค เชน แมช อบปลูกไมด อกแตพอ ชอบ ปลูกไมประดบั , นองไปโรงเรยี นไมไดเพราะไมสบาย 4.เชือ่ มความใหส ละสลวย เชน เขาก็เปน คนจริงคนหน่งึ เหมอื นกัน, คนเราก็ตอ งมีผิดพลาดบา งเปน ธรรมดา คาํ สนั ธานมี 4 ชนิด คอื 1. คาํ สนั ธานเชื่อมใจความทคี่ ลอยตามกนั ไดแก คํา กับ, และ, ทัง้ …และ, ท้ัง…ก,็ ครัน้ …ก,็ ครน้ั …จึง, พอ…ก็ 2. คําสันธานเชื่อมใจความทขี่ ัดแยงกนั ไดแ ก คํา แต, แตทวา , ถึง…ก็, กวา…ก็ 3. คาํ สนั ธานเชอ่ื มใจความที่ใหเ ลือกเอาอยา งใดอยางหนึ่ง ไดแ ก คํา หรือ, หรอื ไมก,็ มิฉะน้นั , ไมเ ชน น้ัน, ไม…ก็ 4. คําสนั ธานเชือ่ มใจความท่เี ปน เหตุเปนผลกนั ไดแก จงึ , เพราะ, เพราะวา, เพราะ…..จงึ , ฉะนัน้ …จึง
คําแสดงอาการ การกระทาํ หรอื บอกสภาพของคาํ นาม หรือคาํ สรรพนาม เพือ่ ใหไดค วาม เชนคําวา กนิ เดนิ นงั่ นอน เลน จับ เขียน อาน เปน คือ ถูก คลาย คาํ กริยาแบงเปน 5 ชนดิ 1. อกรรมกรยิ า คอื คาํ กริยาท่ีไมตองมกี รรมมารับก็ไดค วามสมบูรณ เขาใจได 2. สกรรมกรยิ า คอื คาํ กรยิ าท่ตี องมีกรรมมารบั เพราะคํากริยาน้ี ไมมคี วามสมบูรณในตวั เอง 3. วิกตรรถกรยิ า คอื คํากรยิ าที่ไมม ีความหมายในตัวเอง ใชตาม ลําพงั แลวไมไดความ ตอ งมีคาํ อื่นมาประกอบจึงจะไดความ คํากรยิ า พวกน้ีคอื เปน เหมือน คลาย เทา คือ 4. กรยิ านุเคราะห คือ คํากรยิ าท่ที ําหนา ทีช่ วยคาํ กริยาสําคัญใน ประโยคใหมคี วามหมายชดั เจนขึ้น ไดแกคําวา จง กําลัง จะ ยอม คง ยัง ถกู นะ เถอะ เทอญ ฯลฯ 5. กริยาสภาวมาลา คือ คํากรยิ าท่ที าํ หนา ท่เี ปน คํานามจะเปน ประธาน กรรม หรอื บทขยายของประโยคก็ได
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: