Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักเรียนรู้แต่ครูเห็น

นักเรียนรู้แต่ครูเห็น

Description: หนังสือเกษียณครูแดง

Search

Read the Text Version

ความนา จากประสบการณ์การสอนวิทยาศาสตร(์ โดยเฉพาะวชิ าฟิสกิ ส์)มานาน กว่า 30 ปี และโดยลกั ษณะสว่ นตัวท่ีเป็นคนชอบอ่าน ชอบศกึ ษาเรือ่ งราวต่าง ๆ ทัง้ โดยการอ่านจากหนังสือ ค้นควา้ จากอินเทอร์เน็ต และการเขา้ ร่วมปฏบิ ัตธิ รรม โดยการวปิ ัสสนากรรมฐาน ทาให้ไดพ้ บ ได้รู้ และได้เห็นเรื่องราวตา่ ง ๆ ท่ีไม่มี ในแบบเรยี นที่ใช้ในการเรียนการสอน ซง่ึ ปัจจุบันเรยี กว่า การจัดกจิ กรรมการ เรียนรู้ บางเรื่องราว กส็ ามารถสอดแทรกเข้าไปในเนื้อหาวิชาทีส่ อนอย่ไู ด้ แต่บาง เรื่องก็ไม่รวู้ า่ จะสอดแทรกเข้าไปในตอนไหนอยา่ งไร และดว้ ยความเป็นห่วงวา่ เมื่อไมไ่ ดเ้ ป็นครูแล้ว ความรู้ต่าง ๆ เหล่านี้กค็ งจะหายไปพรอ้ ม ๆ กบั ตัวครทู ี่ออก จากราชการไปตามกาลเวลา จงึ ทาให้เกดิ หนังสือ “นกั เรยี น รู้ แตค่ รู เห็น” เล่มนี้ ขึน้ ขอขอบพระคณุ พ่อ-แม่ ทีผ่ ลักดนั ชีวิตให้มาเปน็ ครู ขอขอบพระคุณ คุณครูทุกท่านทสี่ งั่ สอนมาจนกระทงั่ มีใจรักในวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ขอขอบพระ คณุ พระวปิ ัสสนาจารย์ทกุ รูปทชี่ ่วยชี้แนะจนมีโอกาสไดศ้ ึกษาพระไตรปิฎกมากกวา่ ชาวพุทธท่ัวไป และขอขอบพระคุณทกุ ทา่ นที่สนใจอา่ นหนงั สือแลม่ น้จี นจบ ดว้ ยรกั -จากใจ “ครแู ดง”

 ทกุ ทา่ นคือ นกั วิทยาศาสตรใ์ นดวงใจของครูแดง 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว พระราชบดิ าของวชิ าวิทยาศาสตร์ไทย ทรงคานวณการเกิดสุริยปุ ราคาที่ ต.หว้ากอ จ.ประจวบครี ีขนั ธไ์ ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง กาลเิ ลโอ กาลเิ ลอี บิดาของวิชาวทิ ยาศาสตร์ ผทู้ าใหท้ ุกคนรวู้ ่าวทิ ยาศาสตร์ต้องพิสูจนแ์ ละทดลองให้เห็นจรงิ ได้ เซอรไ์ อแซค นวิ ตนั กฎการเคลื่อนท่ี 3 ข้อ ของท่านอธบิ ายปรากฏการณเ์ คล่ือนที่ไดท้ วั่ จักรวาล อัลเบิร์ต ไอสไตน์ เจ้าของทฤษฎสี ัมพทั ธภาพ และสมการท่ีดงั ทีส่ ุด E = mc2 ทพ.สม สจุ รี า ทนั ตแพทยท์ ่มี ดี ีกรีมหาบัณฑิตทางจติ วทิ ยาการให้คาปรกึ ษา และฝึกปฏบิ ัตธิ รรม จนมีความรูล้ ึกซงึ้ เปน็ ผเู้ ขียนหนังสอื ไอนส์ ไตน์พบ พระพุทธเจ้าเหน็ และ หนงั สือวชิ าการทางฟิสกิ สอ์ ีกมากมาย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เป็นวศิ วกรชาวไทยออกแบบระบบลงจอดของยานอวกาศไวก้ิงให้กบั องคก์ ารนา ซาปัจจบุ นั เป็นผู้บรหิ ารสงู สดุ โรงเรียนสตั ยาไส ท่ใี ช้หลักการสอนแบบนีโอฮิว แมนนสิ

4 กำเนดิ จกั วำล ว่ากนั ดว้ ยเรอ่ื งใหญ่สดุ ๆ กันกอ่ นเลยดีกวา่ ครบั ทฤษฎี “บิกแบง” (Big Bang Theory) เป็นทฤษฎีทางดาราศาสตร์ท่ีกล่าวถงึ ประวัตศิ าสตร์ความเป็นมาของ จกั รวาล ปัจจุบันเปน็ ทฤษฎที ่ีเปน็ ทเ่ี ชื่อถือและยอมรบั มากทสี่ ุด ทฤษฎบี กิ แบง เกดิ ขน้ึ จากการสงั เกตของนกั ดาราศาสตรท์ ่วี ่า ขณะนจ้ี กั รวาลกาลงั ขยายตวั ดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้ากาลงั ว่งิ ห่างออกจากกนั ทุกที เม่ือยอ้ นกลบั ไปสู่อดีต ดวงดาวตา่ ง ๆ จะอย่ใู กล้กนั มากกว่านี้ และเมื่อนักดาราศาสตรค์ านวณอัตรา 1

ความเร็วของการขยายตัวทาใหท้ ราบถงึ อายขุ องจกั รวาลและการคล่ีคลายตวั ของ จกั รวาล รวมทง้ั สร้างทฤษฎกี ารกาเนดิ จักรวาลขึ้นอีกดว้ ย ตามทฤษฎีนี้ จกั รวาล กาเนิดขนึ้ เมอ่ื ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านปที ี่แลว้ กอ่ นการเกิดของจักรวาล ไม่มมี วล สาร ช่องวา่ ง หรือกาลเวลา จักรวาลเป็นเพียงจุดทีเ่ ลก็ ยิ่งกวา่ อะตอมเทา่ น้ัน และ ดว้ ยเหตุใดยงั ไม่ปรากฏแน่ชัด จกั รวาลท่ีเล็กทส่ี ดุ น้ไี ด้ระเบดิ ออกอยา่ งรุนแรง และรวดเร็วในเวลาเพียงเศษเสี้ยววนิ าที (Inflationary period) แรงระเบิด ก่อใหเ้ กิดหมอกธาตุซ่งึ แสงไม่สามารถทะลุผ่านได้ (Plasma period) ต่อมา จักรวาลท่กี าลังขยายตัวเร่ิมเย็นลง หมอกธาตเุ ริ่มรวมตัวกันเปน็ อะตอม จกั รวาล เร่ิมโปร่งแสง ในทางทฤษฎีแลว้ พืน้ ท่บี างแห่งจะมมี วลหนาแน่นกว่า ร้อนกว่า และเปล่งแสงออกมามากกวา่ ซึ่งต่อมาพ้นื ทเ่ี หล่านีไ้ ดก้ ่อตัวเป็นกลุ่มหมอกควัน อนั ใหญ่โตมโหฬาร และภายใตก้ ฎของแรงโนม้ ถ่วง กลุ่มหมอกควันอนั มหึมาน้ี ได้ค่อยๆ แตกออก จนเปน็ โครงสรา้ งของ “กาแลกซ”ี (Galaxy) ดวงดาวต่าง ๆ ได้ ก่อตวั ขึน้ ในกาแลกซี และจักรวาลขยายตัวออกอย่างต่อเนื่องจนถึงปจั จุบนั นักดาราศาสตรค์ านวณว่าจักรวาลวา่ ประกอบไปดว้ ยกาแลกซีประมาณ ๑ ลา้ นลา้ นกาแลกซี และแต่ละกาแลกซีมีดาวฤกษ์อยา่ งเช่นดวงอาทิตย์อย่ปู ระมาณ ๑ ลา้ นลา้ นดวง และสรุ ยิ จักรวาลของเราอยู่ปลายขอบของกาแลกซีท่เี รียกวา่ “ทาง ชา้ งเผอื ก” (Milky Galaxy) และกาแลกซที างช้างเผอื กก็อย่ปู ลายขอบของจกั รวาล ใหญ่ทงั้ หมด เราจึงมไิ ดเ้ ป็นศนู ย์กลางของจกั รวาลเลย ไมว่ ่าจะในความหมายใด ที่มา : http://www.baanjomyut.com/library/bigbang/03.html

จากการศกึ ษาพระไตรปิฎก ....... ครพู บว่าเรือ่ งราวของจกั รวาลน้ี พระพุทธเจา้ ของเราได้เคยกล่าวไวด้ ังน้ี ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึง่ มีกาหนดเท่ากบั โอกาสท่ีพระจันทร์พระอาทิตย์ โคจร ท่วั ทศิ สวา่ งไสวร่งุ โรจน์ โลกมีอยู่พนั จกั รวาลก่อน ในโลกพนั จักรวาลน้ัน มีพระจันทร์พันดวง มีอาทติ ย์พนั ดวง มีขุนเขาสเิ นรุพันหน่ึง มชี มพูทวปี พนั หนง่ึ มอี ปรโคยานทวปี พันหนึง่ มีอตุ ตรกุรุทวปี พนั หน่ึง มีปุพพวเิ ทหทวีปพนั หนึ่ง มี มหาสมทุ รส่พี ัน มีทา้ วมหาราชสีพ่ ัน มีเทวโลกชน้ั จาตุมหาราชิกาพันหนงึ่ มเี ท วโลกชน้ั ดาวดงึ สพ์ นั หนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพนั หน่งึ มีเทวโลกชัน้ ดสุ ติ พันหน่งึ มีเทวโลกชนั้ นมิ มานรดพี ันหนงึ่ มเี ทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวสั ตีพนั หนึ่ง มพี รหม โลกพนั หนึ่ง ดกู รอานนท์ น้ีเรยี กว่าโลกธาตอุ ย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคณู โดย สว่ นพนั แห่งโลกธาตอุ ยา่ งเลก็ ซึง่ มีพันจักรวาลนน้ั นเ้ี รยี กว่าโลกธาตอุ ย่างกลางมี ล้านจักรวาล โลกคณู โดยส่วนพันแหง่ โลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนน้ั น้ี เรยี กว่าโลกธาตอุ ย่างใหญป่ ระมาณแสนโกฏจิ กั รวาล ดกู รอานนท์ตถาคตมุ่ง หมายอยู่ พงึ ทาโลกธาตุอย่างใหญป่ ระมาณแสนโกฏิจักรวาลใหร้ แู้ จ้งไดด้ ้วยเสยี ง หรือทาให้ร้แู จง้ ไดเ้ ท่าที่มุง่ หมาย ฯ

ข้าแต่พระองคผ์ ู้เจริญ ก็พระผมู้ ีพระภาคพงึ ทาโลกธาตอุ ย่างใหญ่ประมาณ แสนโกฏจิ กั รวาล ใหร้ ู้แจง้ ด้วยพระสุรเสียง หรือทาใหร้ ู้แจ้งได้เท่าทพี่ ระองคท์ รงมงุ่ หมายอย่างไร ฯ ดกู รอานนท์ พระตถาคตในโลกน้ี พงึ แผร่ ศั มไี ปทั่วโลกธาตอุ ย่างใหญ่ ประมาณแสนโกฏจิ กั รวาล เมือ่ ใด หม่สู ัตวพ์ ึงจาแสงสวา่ งน้ันได้ เมอ่ื น้ันพระตถาคต พงึ เปลง่ พระสุรเสียงใหส้ ตั ว์เหลา่ นน้ั ได้ยนิ พระตถาคตพึงทาให้โลกธาตุอยา่ งใหญ่ ประมาณแสนโกฏจิ กั รวาลใหร้ แู้ จง้ ได้ด้วยพระสุรเสยี ง หรือพงึ ทาให้รู้แจง้ ได้เทา่ ที่ พระองคท์ รงมงุ่ หมาย ดว้ ยอาการเชน่ น้ีแล ฯ ทมี่ า : พระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๐ สุตตันตปิฎกท่ี ๑๒ องั คุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนบิ าต

แอมเพโดคลีส (พ.ศ. 53 – 113) ดิน นา ลม ไฟ ผู้เสนอแนวคดิ ว่า สรรพสง่ิ ทั้งหลาย ในธรรมชาติประกอบด้วยอนุภาคมลู ฐาน 4 ชนิด คอื ดนิ น้า ลม ไฟ ในอัตราส่วนต่าง ๆ และเปน็ สง่ิ ทีม่ อี ยอู่ ย่างต่อเน่ือง ไม่มีการ เปลีย่ นแปลง ซึง่ แนวคดิ นี้เป็นท่ียอมรับของ อรสิ โตเติล และไดน้ าไปขยายผลต่อไป อริสโตเติล ( พ.ศ. 159 – 221) ผคู้ ิดค้นทฤษฎีมากมาย และ มหี ลายทฤษฎที เ่ี ปลี่ยนมุมมองของ ความเชื่อดงั เดมิ จากหน้ามือเปน็ หลัง มือเลยทเี ดยี ว อาทเิ ชน่ การเสนอ ทฤษฎวี า่ โลกเปน็ ศูนยก์ ลางของ จกั รวาล (Geocentrism) กล่าวคือ โลกเปน็ จุดศูนยก์ ลางของเอกภพ มี ดาวเคราะห์ ดวงอาทติ ย์โคจรอยู่รอบ โลก เป็นต้น

ในด้านดาราศาสตร์ อริสโตเติลได้แนวความคิดจากเพลโต ผ้เู ปน็ อาจารย์ สว่ นเพลโตเองเปน็ ศิษย์ของโสเครตสิ (Socrates) ซงึ ทัง้ สามทา่ นถอื ว่า เปน็ เจ้า ปรชั ญาในกรีก อรสิ โตเตลิ เขียนตาราไว้มากมาย เขาพยายามสร้างตาราท่ีรวบรวม สรรพวิทยาการซึ่งเรยี กกันในปจั จุบันว่า “สารานกุ รม” นนั่ เอง ตาราเล่มสาคัญคือ ตรรกวิทยา จรรยาการเมือง ธรรมชาตวิ ทิ ยา และเรื่องวิญญาณ อรสิ โตเติลยืนยนั วา่ ธาตุตอ้ งมีอย่เู สมอ และความคดิ ทจี่ ะละเลยหรอื ละทิ้งการมอี ยูจ่ รงิ ของธาตุเป็น ความคิดทีผ่ ดิ อริสโตเติลยอมรับว่ามีธาตุทั้งส่ี คอื ดนิ น้า ลม และไฟ ก่อนจะเสนอธาตุอี เธอร์ เปน็ ส่วนประกอบของทอ้ งฟา้ ที่เขากล่าวเช่นนกี้ เ็ พราะเช่ือคาพดู ของ ปิทาโกรสั (Pythagoras) ทว่ี า่ ส่ิงทอ่ี ยบู่ นพน้ื ดินเปลย่ี นแปลงอยู่เสมอ แตท่ อ้ งฟา้ และจักรวาลไม่เปลยี่ นแปลง ธาตุทง้ั หา้ พยายามจะกลับไปอยทู่ เ่ี ดิมของมนั เช่น ไฟกต็ อ้ งอยบู่ นท้องฟา้ มันจึงพยายามลกุ ลามสูงขึน้ เสมอสว่ นธาตุดินอยู่ดา้ นลา่ ง จึงเอาแตห่ ล่นสพู่ ื้นดินอยู่รา่ ไป ยง่ิ ใหญ่หรือย่งิ หนกั มากเท่าใดก็ย่ิงตกเรว็ เท่านัน้ อรสิ โตเติลไดค้ ิดทฤษฎวี ่า “ถา้ ลูกกลมสองลูกประกอบกนั ขึ้นดว้ ยวัตถชุ าติ อย่างเดียวกัน แมล้ ูกหนงึ่ ใหญแ่ ละอีกลูกหนง่ึ เลก็ ถ้าหากท้ิงลงสพู่ ้ืนดินพรอ้ มกนั ลกู ใหญ่จะถึงกอ่ นเสมอ และถา้ ใหญถ่ ึงสบิ เท่าก็จะลงพืน้ ไว้สิบเทา่ เชน่ กนั ” ตอ่ มากาลเิ ลโอนกั วิทยาศาสตร์ร่นุ หลงั ไดห้ กั ลา้ งทฤษฎีของอริสโตเติล และ พสิ ูจนว์ า่ ไมเ่ ปน็ ความจรงิ เพราะลกู ใหญ่กบั ลกู เล็กถงึ พร้อมกนั เสมอ นไ่ี ม่ใช่ ทฤษฎเี ดียวเท่านั้นยงั มอี กี หลายทฤษฎีเชน่ กัน 6

พระพทุ ธเจา้ (กอ่ นพทุ ธศกั ราช 80 ปี) พระพุทธเจ้าตรสั รกู้ าร เกิดดบั ของจกั รวาลว่า “จกั รวาล นัน้ จะพนิ าศไปดว้ ย นา้ ลม และ ไฟบรรลยั กลั ป์ เม่อื จักรวาลถูก ทาลายไปแลว้ จกั รวาลกจ็ ะเกิด ขึ้นมาใหมอ่ กี วนเช่นนไ้ี ปเรื่อย ๆ อยา่ งทไี่ ม่มจี ดุ เรม่ิ ต้น และ จดุ สิน้ สุด” อจนิ ไตย ท่มี า : พระสพั พัญญุตญาณเหนอื จกั รวาล เจตสิก อจินไตย แปลว่าสิง่ ที่ไมพ่ งึ คิด คอื ไม่อาจรูไ้ ด้ดว้ ยการคิด แลถา้ ขืนคดิ ให้ ร้ใู หไ้ ด้กจ็ ะกลายเป็นผ้มู สี ่วนแห่งความเครียดเป็นบ้าเสียสติไป อจินไตยมี 4 อยา่ งคือ

๑. พทุ ธวิสยั คอื ความรคู้ วามสามารถของพระพทุ ธเจา้ น้ันเป็นสิ่งท่เี ราไมส่ ามารถ ที่จะหยั่งถึง เขา้ ใจได้วา่ ทาไมพระพทุ ธเจา้ จึงทรงรู้ ทรงเห็น ทรงมีความสามารถ มากมายก่ายกอง ผิดจากมนษุ ย์คนธรรมดาสามัญ ๒. ฌานวสิ ัย คือเร่อื งของฌานสมาบัติ เช่นทาไมคนเราบางคนถงึ เข้าฌานน่ังอยู่ เฉยๆ ไดเ้ ปน็ วนั ๆ โดยที่ไม่ต้องกนิ ขา้ วไมต่ ้องหลับไม่ต้องนอน สิง่ น้ีเปน็ เร่ือง ของผปู้ ฏบิ ตั เิ ท่านัน้ จะรู้ จะเข้าใจได้ ถา้ คนทไี่ ม่เคยประพฤติปฏบิ ัติมาน่ังคิด นอน คดิ ยงั ไงก็ไมส่ ามารถเขา้ ใจได้ ๓. กรรมวสิ ัย เร่อื งของกรรมนี้เป็นเร่ืองท่ีเหนือวสิ ยั ของมนษุ ยป์ ุถุชนคนธรรมดา จะเขา้ ใจไดว้ า่ เม่ือทากรรมอันหนึ่งอันใดไวแ้ ล้ว ผลที่จะตามมาน้นั จะเป็นอยา่ งไร สงิ่ เหล่านีไ้ มส่ ามารถจะรูไ้ ด้จากความนกึ คดิ ของเราเอง แต่เป็นส่งิ ทจี่ ะรู้ได้จาก การประพฤติปฏิบตั ิธรรมเท่านน้ั ๔. โลกวสิ ยั คือเรื่องของความเปน็ มาของโลกนี้ วา่ โลกนเี้ ป็นมาอยา่ งไร เกิด ขน้ึ มาไดอ้ ย่างไร มใี ครเป็นคนสร้างมาหรือเปล่า หรือไมม่ ีคนสร้าง เร่อื งอยา่ งน้ี เปน็ เรอื่ งท่ีเหนือวิสยั ของมนุษยท์ ีจ่ ะสามารถร้เู หน็ ได้

ขนำดของอะตอม คาวา่ \"อะตอม\" เป็นคาซ่งึ มาจากภาษากรกี แปลว่าสิง่ ท่เี ลก็ ทสี่ ุด ซึง่ นักปราชญ์ชาวกรกี โบราณทชี่ ือ่ ลูซิพปสุ (Leucippus) และดิโมคริตุส (Democritus) ใชส้ าหรบั เรยี กหนว่ ยทเี่ ลก็ ท่ีสุดของสสาร ท่ีไมส่ ามารถแบง่ แยก ต่อไปได้อกี โดยเขาไดพ้ ยายามศกึ ษาเก่ยี วกับวัตถุที่มีขนาดเลก็ (ฟิสิกสร์ ะดบั จลุ ภาค, microscopic) และมีแนวคิดเก่ยี วกับโครงสร้างของสสารวา่ สสารท้ังหลายประกอบด้วยอนุภาคทีเ่ ล็กทสี่ ดุ จะไมส่ ามารถมองเหน็ ได้ และจะ ไม่สามารถแบง่ แยกให้เล็กลงกวา่ น้ันไดอ้ กี แต่ในสมัยน้ันก็ยงั ไมม่ ีการ ทดลอง เพื่อพิสจู น์และสนับสนนุ แนวความคิดดังกล่าว ต่อมา วทิ ยาศาสตรไ์ ด้เจริญก้าวหนา้ ข้นึ และนกั วทิ ยาศาสตร์กพ็ ยายามทาการ ทดลอง ค้นหาคาตอบเก่ยี วกับเรอื่ งน้ใี นรปู แบบตา่ งๆตลอดมา จนกระทง่ั เกิดทฤษฎี อะตอมข้ึนมาในปี ค.ศ.1808 จากแนวความคิดของจอห์น ดาลตัน 9

(John Dalton) ผู้เสนอสมมติฐานเกีย่ วกบั แบบจาลองอะตอม และเป็นทีย่ อมรับ และสนบั สนนุ จากนักวิทยาศาสตรใ์ นสมัยนน้ั โดยทฤษฎอี ะตอมของดาลตันได้ กล่าวไว้วา่ 1. สสารประกอบด้วยอะตอม ซึง่ เปน็ หน่วยท่ีเลก็ ทีส่ ุด แบ่งแยกตอ่ ไปอกี ไม่ได้ และไม่สามารถสรา้ งขนึ้ หรือทาลายให้สญู หายไป 2. ธาตุเดียวกันประกอบดว้ ยอะตอมชนดิ เดยี วกัน มีมวลและคุณสมบัติเหมือนกัน แต่จะแตกตา่ งจากธาตุอ่ืน 3. สารประกอบเกดิ จากการรวมตัวของอะตอมของธาตุตัง้ แต่ 2 ชนดิ ขน้ึ ไปด้วย สัดสว่ นทคี่ งที่ 4. อะตอมของธาตแุ ตล่ ะชนดิ จะมรี ูปรา่ งและน้าหนกั เฉพาะตัว 5. นา้ หนกั ของธาตุที่รวมกนั กค็ อื นา้ หนกั ของอะตอมทั้งหลายของธาตุ ท่รี วมกัน ปีเตอร์ ฮกิ ส์ เป็นผูต้ ง้ั สมมติฐานเร่ืองการมีอยขู่ องอนภุ าคฮิกส์ เมือ่ 50 ปที แ่ี ล้ว 10

เมื่อวันท่ี 4 กรกฎาคมท่ผี า่ นมา เวบ็ ไซตเ์ ดอะเทเลกราฟของอังกฤษ รายงานว่า นกั วิทยาศาสตรจ์ ากศูนยว์ ิจยั เซิรน์ ในสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยการคน้ พบท่ียงิ่ ใหญ่ คร้ังหนง่ึ ในวงการวทิ ยาศาสตร์ เม่ือมีการค้นพบอนภุ าคใหมท่ ี่มลี กั ษณะตรงกบั อนภุ าคฮิกส์ หรืออนุภาคพระเจ้า ซึง่ เช่อื วา่ เปน็ ตน้ กาเนดิ ของจักรวาล รายงานระบวุ ่า อนภุ าคฮิกส์ เป็นอนภุ าคทีน่ ักวทิ ยาศาสตร์พยายามค้นหากันมา นานกวา่ 50 ปี นับต้งั แต่ปี 2503 ท่ีศาสตราจารย์ปีเตอร์ ฮิกส์ ศาสตราจารยก์ ิตติคณุ จากมหาวิทยาลัยเอดนิ เบอระในอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎอี นุภาคนี้ข้ึนมา โดยระบุว่า อนุภาคน้ี ซ่ึงตอ่ มามันไดร้ ับการตงั้ ช่ือตามนามสกลุ ของเขาว่าอนุภาค \"ฮิกส์\" เปน็ อนภุ าคต้นกาเนิดของทกุ สรรพส่ิงในจกั รวาลและเชอ่ื มโยงกับอนุภาคอ่ืน ๆ ท่ี กระจัดกระจายอยู่ในห้วงจักรวาล โดยมันจะเคลื่อนตัวไปจับกบั อนภุ าคอ่ืน ๆ ใหม้ ี การเกาะกลุม่ กนั จนเกดิ เปน็ มวลสาร ย่ิงจบั กลุม่ กันมากเทา่ ไรก็ย่ิงมีมวลขนาดใหญ่ มากเทา่ นน้ั ซงึ่ ถึงแมว้ า่ ทฤษฎนี จี้ ะเป็นเพียงสมมตฐิ านท่ียังไม่มกี ารพิสูจน์วา่ มอี ยู่จริง แต่ฮกิ สก์ ็เช่ืออยา่ งยง่ิ ว่าอนุภาคฮกิ ส์จะต้องมีอยู่จรงิ และจะปรากฏให้ไดเ้ หน็ ในการ ทดลองสกั วันหนึง่ หลังจากมกี ารค้นหาอนภุ าคฮิกส์ และทดลองเก่ียวกับจุดกาเนิดจักรวาลมา นานหลายปี ในทีส่ ุดองค์การวิจยั นิวเคลยี รย์ ุโรป หรือเซริ ์น (CERN) ซงึ่ ต้ังอยูใ่ น ประเทศสวติ เซอร์แลนด์ กไ็ ด้คน้ พบอนภุ าคซ่งึ มลี ักษณะตรงกบั อนภุ าคฮกิ ส์เปน็ อย่างมาก และไดเ้ ปิดเผยการคน้ พบน้ีออกมาในทส่ี ดุ ซ่ึงนับวา่ เป็นขา่ วใหญ่ ในวงการวทิ ยาศาสตร์ฟิสิกส์โลกเลยทเี ดียว 11

ในขณะท่นี ักวทิ ยาศาสตร์ กาลงั พยายามค้นหาอนุภาคทเ่ี ล็กทส่ี ุดใน จกั รวาล แตพ่ ระพุทธเจา้ ไดต้ รัสไว้ก่อนแล้วเมอื่ สองพันห้าร้อยกว่าปวี ่า ส่งิ ท่เี ล็ก ท่สี ดุ ในจักรวาลคอื ปรมาณู ซ่ึงขนาดของปรมาณู พระองค์ทรงแสดงไว้โดยการ แบง่ เมลด็ ขา้ วเปลือกให้เลก็ ลงไปเรือ่ ง ๆ ตามลาดบั จนถงึ ระดับของปรมาณู ดังน้ี 1 เมล็ดขา้ วเปลือก เท่ากับ 7 อูกา 1 อูกา เท่ากับ 7 ลกิ ขา 1 ลกิ ขา เทา่ กับ 36 รณเรณู 1 รณเรณู เทา่ กับ 36 ตชั ชารี 1 ตชั ชารี เท่ากบั 36 อณู 1 อณู เทา่ กบั 36 ปรมาณู จะเห็นได้ว่า ในเมลด็ ข้าวเปลอื ก 1 เมลด็ ประกอบดว้ ยปรมาณูอยถู่ งึ 82,301,184 ปรมาณู ท่านคิดว่า 1 ปรมาณู มีขนาดเล็กเท่าใด และใช่ อนภุ าคฮิกส์ หรือ อนุภาคพระเจ้า ทีน่ กั วิทยาศาสตร์ กาลงั พยายามค้นหากนั อยู่ จาก : พระสัพพญั ญตุ ญาณเหนอื จักรวาล เจตสกิ

ประวตั กิ ำรศกึ ษำเซลล์ จุลทปรี คร.ศศน. 1ท์ 6่มี 6ีค5ุณรภอาเบพิรด์ตี แฮลกุ ะไนดัก้สว่อิทงยดาไูศ1มา3ส้คตอรร์ช์กาทวเี่ ฉองัือกนฤบษางไๆดป้แรละะดไิษด้พฐก์บลชอ้ อ่ งงเล็กๆ จานวนมาก จึงเรียกช่องเลก็ ๆ น้ีว่า เซลล์ (cell) เซลล์ท่ฮี ุกพบนน้ั เป็นเซลล์ท่ตี าย แล้ว การท่คี งเปน็ ช่องอยไู่ ดก้ ็เนอ่ื งจากการมีผนงั เซลลน์ น่ั เอง ปี ค.ศ. 1824 ดวิ โทเชท์ ได้ศกึ ษาเนอื้ เยือ่ พชื และเนื้อเย่ือสัตว์ พบว่า ประกอบดว้ ยเซลลเ์ ช่นกนั แต่มลี ักษณะท่แี ตกตา่ งกนั อยู่บ้าง ปี ค.ศ. 1831 รอเบริ ์ต บราวน์ นักพฤษศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ศกึ ษาเซลลข์ น และเซลลอ์ ่ืนๆ ของพืช พบว่ามีกอ้ นกลมขนาดเลก็ อยู่ตรงกลาง จึงใหช้ อ่ื กอ้ นกลม น้ีว่า นิวเคลยี ส (nucleus) ปี ค.ศ. 1838 มตั ทิอัส ยาคบ ชไลเดน นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันได้ศกึ ษา เนอื้ เยอ่ื พชื ต่างๆ และสรุปว่าเนอ้ื เยื่อทกุ ชนดิ ประกอบด้วยเซลล์

ปี ค.ศ. 1839 เทโอดอร์ ชวันน์ นักสตั ววิทยาชาวเยอรมัน ได้ศึกษาเนอ้ื เยื่อ สัตว์ตา่ งๆ แล้วสรุปว่าเนอ้ื เยอื่ สตั ว์ทุกชนิดประกอบข้ึนด้วยเซลล์ ดงั นน้ั ในปี เดียวกนั นี้ ชวันน์และชไลเดน จึงได้ร่วมกันตงั้ ทฤษฎเี ซลล์ (cell theory) ซง่ึ มี ใจความสาคญั ว่า “สงิ่ มชี วี ิตทงั หลายประกอบขึนดว้ ยเซลล์ และเซลลค์ อื หนว่ ย พนื ฐานของส่ิงมชี วี ติ ทกุ ชนดิ ” ทฤษฎเี ซลลใ์ นปัจจุบนั ครอบคลุมถึงใจความสาคัญ 3 ประการ คือ 1. ส่งิ มีชวี ติ ท้งั หลายอาจมีเพียงเซลลเ์ ดียว หรือหลายเซลล์ ซ่งึ ภายในมสี าร พนั ธุกรรมและมีกระบวนการเมทาบอลซิ ึม ทาใหส้ ิ่งมชี ีวติ ดารงชีวิตอยูไ่ ด้ 2. เซลล์เป็นหนว่ ยพน้ื ฐานทเ่ี ล็กทสี่ ุดของสิ่งมชี วี ติ ทีม่ กี ารจัดระบบการทางาน ภายในโครงสร้างของเซลล์ 3. เซลล์มีกาเนดิ มาจากเซลลแ์ รกเรม่ิ เซลลเ์ กดิ จากการแบ่งตัวของเซลลเ์ ดิม แม้วา่ ชวี ิตแรกเรมิ่ จะมวี ิวัฒนาการมาจากส่ิงไมม่ ชี วี ิต แต่นักชีววิทยายังคงถือว่า การเพมิ่ ขึน้ ของจานวนเซลล์เป็นผลสืบเน่ืองมาจากเซลลร์ ุ่นก่อน ขนาดและรปู รา่ งของเซลล์ เซลลส์ ว่ นใหญม่ ีขนาดเลก็ และไมส่ ามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปลา่ ตอ้ งใช้กลอ้ ง จลุ ทรรศนส์ ่อง แต่ก็มีเซลล์บางชนิดที่มีขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นได้อย่าง ชดั เจน เช่น เซลล์ไข่ รปู ร่างของเซลลแ์ ต่ละชนิดจะแตกตา่ งกันไปตามชนิด หน้าท่ี และตาแหนง่ ที่ อยขู่ องเซลล์ ดังน้ันจงึ พบเซลล์ท่มี ีรูปร่างไม่แน่นอน เชน่ เซลล์อะมีบา เซลลเ์ ม็ด เลอื ดขาวบางชนิด ทมี่ า : http://school.obec.go.th/saneh/cell/cell/indexk1.htm 14

ทา่ นจะเช่ือหรือไมก่ ต็ าม จากการศกึ ษาพระไตรปิฎก พบว่า เร่ืองราวของ เซลลน์ ั้น พระพุทธเจ้าของเราเคยกล่าวไว้ว่า พระพทุ ธเจา้ ทรงตรัสวา่ ใหน้ าเสน้ ผมของมนุษยม์ าเส้นหนึ่ง แล้วผ่า ออกเป็นแปดส่วน ถือเอาส่วนเดยี วจุ่มลงในน้ามันงาแล้วยกขน้ึ น้ามันงาจะ หยดท้ิงจนเหลือหยาดสดุ ทา้ ยทตี่ ิดอยูท่ ่ีปลายผม น้ามนั งาหยาดสดุ ทา้ ยน้ี เรยี กวา่ “กลละ” (อ่านวา่ กะ ละ ละ) และทรงตรสั ถึงการเกิดของมนุษย์ในครรภ์ของมารดาได้น้ัน จะต้องมี องคป์ ระกอบครบ 3 ประการ คือ (1) มารดามีระดู หมายถึง มกี ารตกไข่ในครรภม์ ารดา (2) บิดาอยรู่ ่วมกัน หมายถึง จะต้องมกี ารปฏิสนธิ (3) มสี ัตว์มาเกิด หมายถึง มจี ิตมาปฏสิ นธิ ด้วยอานาจของกรรม พระพุทธเจ้าตรัสวา่ “รปู น้ีเป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัพพทุ ะ จากอัพ พทุ ะเป็นเปสิ จากเปสเิ ป็นฆนะ จากฆนะเกิดเปน็ ปุ่ม 5 ปุ่ม(ปญั จสาขา) ต่อจากนั้น มีผม ขน เลบ็ (เป็นต้น)เกดิ ข้ึน มารดาของสัตว์ในครรภบ์ ริโภคขา้ วน้าโภชนาอย่าง ใด สตั ว์ผ้อู ย่ใู นครรภ์มารดา ก็ยงั อตั ภาพใหเ้ ป็นไปด้วยอาหาร อย่างนนั้ ในครรภ์น้นั ฯ พระไตรปิฏก เล่มที่ 15 พระสตุ ตนั ตปิฏก เล่มท่ี 7 สงั ยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค 15

มคี าอธิบายเพมิ่ เตมิ ถึงววิ ัฒนาการและการเจรญิ เติบโตดงั นี้ สัปดาห์ที่ 1 คือ กลละ เปน็ นา้ ใส สัปดาห์ที่ 2 คือ อพั พทุ ะ ขุ่น ค่อย ๆ ขุ่นข้ึน สปั ดาห์ที่ 3 คอื เปสิ เป็นสีแดงออ่ น สัปดาห์ที่ 4 คอื ฆนะ เปน็ ก้อนค่อย ๆ แขง็ ขึ้น สปั ดาห์ที่ 5 คือ ปัญจสาขา มปี ุ่มเกิดข้ึน 5 ป่มุ เป็นศรี ษะ 1 ปมุ่ เป็นแขน 2 ปุ่ม เปน็ ขา 2 ปุ่ม สัปดาห์ท่ี 6 – 10 คือ ปรปิ าก เรม่ิ ขยายตัว เจริญเตบิ โตข้นึ สัปดาห์ท่ี 11 คอื จกฺขาทิ เริ่มปรากฏตา หู จมกู ลนิ้ จนมีอวัยวะครบทกุ อยา่ งเหมอื นมนุษย์ สปั ดาหท์ ี่ 38 มารดาจะเจบ็ ท้อง และคลอดทารกนอ้ ยออกมาเป็นมนษุ ย์ โดยบรบิ ูรณ์ จากหนังสือ พระสพั พัญญุตญาณ เหนอื จักรวาล เลม่ 2 เจตสกิ หนา้ 31 - 32

วา่ ดว้ ยการยดื หดของกาลเวลา “Put your hand on a hot stove for a minute and it seems like an hour. Sit with pretty girl for an hour, and it seems like a minute. That is relativevity.” “วางมือบนเตาร้อนเพียงหนง่ึ นาที รสู้ กึ ราวกับนานเป็นชวั่ โมง นงั่ กับ สาวงามนานหน่งึ ชวั่ โมง กลับรู้สึกเหมือนแค่หน่งึ นาที นแี่ หละสมั พัทธ ภาพ” นีค้ ือคาท่ีอัลเบิร์ต ไอนส์ ไตน์ใชใ้ นการอธิบาย เมือ่ มผี ้บู อกให้เขาสรปุ ทฤษฎสี ัมพัทธภาพทเ่ี ขาเป็นผคู้ ้นพบให้ฟงั ดูงา่ ย ๆ ไอนส์ ไตนไ์ ด้แสดงทฤษฎีของเขา ดว้ ยส่งิ ที่เราเรยี กกนั ว่า การทดลอง ทางความคดิ 17

การทดลองทางความคิดทโ่ี ด่งดงั ทสี่ ดุ คือเร่ืองของฝาแฝด เช่น คุณมีแฝด อยู่ 2 คนบนโลก ส่งคนหน่ึงขึ้นจรวดไปนอกโลกทีเ่ รง่ ความเรว็ เกือบเทา่ กับ ความเรว็ แสง เวลาของเขาก็จะช้าลง และเมือ่ ใหส้ องมาพบกนั อีกคร้ัง แฝดใน จรวดจะมีความอ่อนวยั กว่าแฝดบนโลก เวลาท่วั เอกภพเดินไปไมเ่ ท่ากัน มัน ขึ้นอยูก่ ับความเร็ว ย่งิ เคลอ่ื นไหวเร็ว เวลากจ็ ะยงิ่ ช้าลง ไม่ก่เี ดอื นหลังการตีพิมพท์ ฤษฎสี มั พัทธภาพออกมา ไอนส์ ไตนก์ ็สรา้ ง ผลงานช้นิ สาคัญของเขาต่อไปอีก นับเป็นสมการที่โด่งดังทส่ี ุด เท่าที่เคยมีการ คน้ พบมา น่ีคือสมการทโี่ ดง่ ดังทีส่ ดุ ไอนส์ ไตนใ์ ช้ทฤษฎีสัมพัทภาพ (Theory of Relativity) แสดงใหเ้ ราเหน็ ว่า เมื่อคณุ ใช้ความเรว็ เท่ากับแสง เวลาจะหมุนชา้ ลง พื้นท่จี ะหดตัว แล้วคุณ จะตัวหนักขนึ้ ย่งิ ไปเรว็ ตัวกจ็ ะยง่ิ หนัก พลงั งานจากการเคล่อื นไหวทาใหต้ วั คุณหนกั ขน้ึ ไอนส์ ไตนจ์ นิ ตนาการถึงไฟฉายที่ฉายลาแสงออกมา เขารู้แน่วา่ มพี ลงั งานออกมา จากไฟฉายมากเทา่ ไร แต่เขาแสดงใหเ้ ห็นวา่ ไฟฉายนั้นจะมีนา้ หนกั นอ้ ยลง ไฟฉายจะมี นา้ หนักนอ้ ยลงเม่อื ฉายแสงออกมา ดงั น้ัน พลงั งาน (E) ของแสงจงึ มาจาก มวล (m) ของ กระบอกไฟฉาย และสดั ส่วนเท่ากับ c2 นน่ั คือสง่ิ ทเี่ กิดขนึ้ สมการของเขายังใหเ้ บาะแสถึงพลงั งานมหาศาลทมี่ อี ยใู่ นสสาร แมจ้ ะเลก็ นอ้ ยเพียงเท่าน้ี เชน่ ถา้ เราโยนลกู บอลใสอ่ ีกคนหนึ่ง ยงิ่ โยนเรว็ มันกจ็ ะยิง่ มีพลงั มาก การค้นพบของ ไอน์สไตนเ์ ปน็ กา้ วใหญ่สาหรับนกั วทิ ยาศาสตร์ เปน็ ภาคแรกทเ่ี ราได้เหน็ อานาจของอะตอม ขณะทน่ี กั วทิ ยาศาสตรพ์ ยายามยอ่ ยมนั ลงไป และการคน้ พบเรอ่ื งตอ่ ไปนั้น ก็ทาให้วงการ วทิ ยาศาสตรต์ อ้ งพลิกผันอีกครงั้ หนึ่ง 18

เรือ่ งของเวลาในทางพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ บ่งออกเป็นดังน้ี กปั หมายถงึ อายุขัยของมนษุ ย์ เชน่ ในสมยั พุทธกาล 100 ปี สมยั ปัจจุบนั 75 ปี สมยั ท่ีจักรวาลเริ่มตัง้ ขนึ้ มนุษยม์ อี ายุยนื ถึง อสงขัยปี ตอ่ มามนษุ ย์เกิดกิเลสครอบงา จึงมีการเบียดเบียนกันมากข้ึน อายุของมนษุ ย์จงึ ลดนอ้ ยลงเร่อื ง ๆ หนงึ่ อสงไขยปี เป็นยุคท่มี นุษย์มีคุณธรรมอยูก่ ันอย่างสันตสิ ขุ ไมเ่ บยี ดเบียน กนั ไม่มีภัยสงคราม อายขุ องมนษุ ยจ์ ะยาวนานถึงหนึ่งอสงไขปี ซ่งึ เท่ากับการเตมิ เลข ศูนย์ 140 ตวั ต่อท้ายเลข 1 ในพระพุทธศาสนา สวรรคม์ ี 6 ชัน้ เรยี งตามลาดับดังน้ี สวรรคช์ นั ท่ี 1 จาตุมหาราชิกาภูมิ เทวดาบนสวรรคช์ น้ั จาตุมหาราชกิ า มีอายขุ ยั 500 ปีทิพย์ หรือเท่ากับ 9 ล้านปี มนุษย์ ( 1 วนั ในสวรรค์ชนั้ นิมมานรดีเทา่ กับ 50 ปบี นโลกมนุษย์) สวรรค์ชันท่ี 2 ดาวดงึ สาภูมิ เทวดาบนสวรรคช์ ้นั ดาวดงึ ส์ มีอายุขยั 1,000 ปที พิ ย์ หรือเท่ากับ 36 ล้านปมี นุษย์ ( 1 วนั ในสวรรค์ช้ันนิมมานรดีเทา่ กับ 100 ปีบนโลกมนษุ ย์) สวรรค์ชันที่ 3 ยามาภูมิ เทวดาบนสวรรคช์ ้ันยามา มีอายุขยั 2,000 ปที พิ ย์ หรอื เทา่ กับ 144 ล้านปีมนษุ ย์ ( 1 วันในสวรรคช์ ้นั นิมมานรดีเท่ากับ 200 ปีบนโลกมนุษย)์ 19

สวรรค์ชนั ที่ 4 ดสุ ิตาภูมิ เทวดาบนสวรรค์ชนั้ ดสุ ติ มอี ายุขัย 4,000 ปีทพิ ย์ หรือเทา่ กับ 576 ลา้ นปีมนุษย์ ( 1 วนั ในสวรรคช์ นั้ นิมมานรดเี ท่ากับ 400 ปีบนโลกมนุษย)์ สวรรค์ชนั ที่ 5 นมิ มานรดภี มู ิ เทวดาบนสวรรคช์ น้ั นิมมานรดี มีอายุขัย 8,000 ปที ิพย์ หรือเทา่ กับ 2,304 ลา้ นปี มนษุ ย์ ( 1 วันในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีเทา่ กับ 800 ปีบนโลกมนุษย์) สวรรค์ชนั ที่ 6 ปรนมิ มิตสวตั ตีภูมิ เทวดาบนสวรรค์ชน้ั ปรนิมมติ สวตั ตีภูมิ มอี ายขุ ยั 16,000 ปีทิพย์ หรอื เท่ากับ 9,216 ล้านปมี นษุ ย์ ( 1 วนั ในสวรรค์ช้ันนมิ มานรดเี ท่ากบั 1,600 ปบี นโลกมนษุ ย)์ จาก : พระสพั พัญญตุ ญาณเหนอื จกั รวาล เจตสิก 20

รถไฟของไอน์สไตน์ สมมติวา่ มีรถไฟขบวนหนง่ึ ยาว 5,400,000 กิโลเมตร เคลื่อนทดี่ ้วย ความเรว็ 240,000 กโิ ลเมตรต่อวนิ าที ไปตามทางสายหนึง่ รถไฟนีม้ หี ลอดไฟฟา้ อย่กู ลางขบวน และมีประตูอัตโนมัตทิ ห่ี ัวและทา้ ยขบวน ประตูน้ีจะเปดิ ทันทที ี่ แสงเดินทางมาถึง ถามว่าคนบนรถไฟ และคนบนชานชลาจะเหน็ อะไรบ้าง ถ้าเรา เปิดไฟหลอดนั้น ตามหลกั การแล้ว แสงเดินทางดว้ ยความเรว็ เทา่ กันทกุ ทศิ ทุกทาง คอื 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ดังนนั้ แสงจงึ ใชเ้ วลาในการเดินทางไปถงึ หัวขบวน และทา้ ยขบวนเทา่ กนั คือ เวลาท่ใี ช้ = ระยะทาง = คร่ึงความยาวรถไฟ อัตราเร็ว อัตราเร็วแสง = 2,700,000 = 9 วนิ าที 300,000 เม่อื ดทู ีช่ านชลา แสงยงั คงเคลือ่ นทีด่ ้วยความเรว็ เทา่ เดิม คือ 300,000 กโิ ลเมตรต่อวนิ าที แต่ท้ายขบวนรถวงิ่ เขา้ หาลาแสง ดังนั้น เวลาที่แสงใช้ในการเดินทางถงึ ทา้ ยขบวน = 2,700,000 300,000  240,000 = 5 วนิ าที 21

และในทางตรงกันข้าม แสงจะเคลื่อนท่ไี ลต่ ามหวั รถไฟ ดังน้นั เวลาทแี่ สงใชใ้ นการเดินทางถงึ หวั ขบวน = 2,700,000 300,000  240,000 = 45 วนิ าที นั่นคือ คนบนชานชลาสถานี จะเหน็ วา่ ประตทู ้ายขบวนรถไฟจะเปิดกอ่ น ประตทู หี่ วั ขบวนถึง 40 วนิ าที เหตุการณเ์ ดยี วกัน แตค่ นบนรถ กับคนทชี่ านชลา กลบั เหน็ ไมต่ รงกันน้ี ขัดแย้งกับความรสู้ ึกหรือไม่ เหตุการณอ์ ยา่ งน้ีจะเกิดเฉพาะในกรณที ี่มีการเคลื่อนทด่ี ว้ นอัตราเรว็ สูง มาก ๆ เท่านัน้ ครับ เพราะไอน์สไตน์บอกวา่ เมอ่ื วัตถุเคลอื่ นทีด่ ้วยความเร็ว(สูง มาก) เวลาของวัตถนุ ้นั จะหดสนั้ ลง เช่นในกรณีตัวอยา่ ง รถไฟเคล่ือนท่ดี ้วย อัตราเร็ว 240,000 กิโลเมตรต่อชวั่ โมง คิดเปน็ 0.8 เท่าของอตั ราเร็วแสงเชยี วนะ ครับ B CDA ขบวนรถไฟของไอน์สไตน์ 22

ทนี ลี้ องมาดูวา่ ทาไมจึงเกดิ เหตกุ ารณ์เช่นน้นั สมมุติว่านักเดินทางเปิดไฟ ที่พน้ื รถให้พงุ่ สู่เพดาน แล้วแสงสะท้อนจากเพดานกลบั ลงมาสพู่ ื้นอีกคร้ังหนึง่ แสงจะเดนิ ทางตามแนว DB ในสายตาของนักเดินทางนัน้ แต่สาหรบั คนบนชานชลาจะเหน็ วา่ แสงเดินทางจาก A ไป B แล้วไป C ซึ่งเปน็ รูปสามเหล่ยี มหนา้ จวั่ ดังน้ันในสายตาของคนบนชานชลาแสงจะตอ้ ง เคลอ่ื นทีเ่ ป็นระยะทางมากกว่าที่ต้องเคลื่อนทใ่ี นสายตาของคนบนรถไฟ เรามาลองคานวณหาปริมาณทเี่ กยี่ วขอ้ งกนั ถ้าคนบนชานชลาพบว่าแสง ใชเ้ วลาในการเดินทาง 10 วินาที ดังนัน้ แสงเดินทางได้ 300,000 x 10 = 3,000,000 กโิ ลเมตร ตามแนว จาก A ไป B ไป C ดงั น้ันด้าน AB และดา้ น BC จะยาวด้านละ 1,500,000 กโิ ลเมตร ส่วนดา้ น AC จะเป็นดา้ นท่ีรถไฟเคล่อื นท่ี ได้ใน 10 วินาที คือ 240,000 x 10 = 2,400,000 กโิ ลเมตร จากนน้ั หาค่าความสงู ของรถไฟคอื ด้าน BD จากทฤษฎขี องพิทากอรสั จะได้ BC2 = BD2 + DC2 BD =  BC2 - DC2 BD = (1,500,000)2 – (1,200,000)2 BD = 900,000 กิโลเมตร รถไฟสูงอะไรมากมายขนาดนนั้ อยา่ ซเี รียสครับเพราะถา้ เป็รถไฟ ธรรมดา ก็จะไม่เกิดปรากฏการณ์เช่นน้ี 23

ดงั นน้ั ในสายตาของคนบนรถไฟ จะเหน็ แสงเดินทางจาก D ไป B แลว้ กลบั มาที่ D เปน็ ระยะทางทงั้ ส้นิ 900,000 x 2 เทา่ กับ 1,800,000 กิโลเมตร ซึง่ จะใชเ้ วลาเพยี ง เวลา = ระยะทาง อัตราเร็ว เวลา = 1,800,000 300, 000 เวลา = 6 วนิ าที จะเห็นไดว้ า่ เม่อื รถไฟแล่นด้วยอัตราเรว็ 240,000 กิโลเมตรตอ่ วินาที นน้ั ในขณะที่เวลาบนชานชลาสถานผี ่านไป 10 วินาที เวลาบนรถไฟผ่านไปเพยี ง 6 วินาทีเทา่ นั้น และยงิ่ รถไฟเคลื่อนทีเ่ รว็ มากขึ้นเท่าใด เวลาบนรถไฟก็จะย่งิ ชา้ ลง มากขึ้นเท่านั้น และนค่ี ือขอ้ หนงึ่ ของทฤษฎีสัมพทั ธภาพ เร่อื งนี้ต้องค่อย ๆ อ่าน และทาความ เข้าใจนะครับ แตถ่ ้าไม่มีพืน้ ฐานทาง คณิตศาสตรเ์ ลย คงลาบากนดิ นึง ขา้ มไปกไ็ ดค้ รับ

ทฤษฎีสมั พทั ธภาพ และทฤษฎีสตรงิ ไอนส์ ไตน์ เขยี นไวใ้ นหนงั สือทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษวา่ การเคลือ่ นท่ีทุก อย่างในอวกาศเป็นสิง่ \" สมั พทั ธ์ \" ซ่ึงจะวัดได้เม่อื นามาเปรียบเทยี บกัน แตใ่ น อวกาศน้นั ไม่มีสงิ่ ใดใหใ้ ช้เป็นเคร่ืองวดั เขาบอกว่าความเร็วของแสงประมาณ 300000 กิโลเมตร ต่อวินาทีน้ันมีค่าคงที่เสมอสาหรับผสู้ ังเกต ไม่ว่าผสู้ ังเกตจะ เคลื่อนที่หรอื ไม่ ด้วยเหตนุ แ้ี สงจากดวงดาวที่อย่ขู ้างหนา้ ในเสน้ ทางโคจรของ โลก จงึ มาถงึ โลกในเวลาเดียวกันกบั แสงจากดาวทอี่ ยขู่ ้างหลงั เส้นทางโคจรของ โลก แมโ้ ลกจะเดินทางมุง่ ไปท่ีดาวดวงแรก และหนีห่างจากดาวดวงหลังด้วย ความเรว็ 29,000 กโิ ลเมตร ต่อชั่วโมง ไอน์สไตน์ สรปุ ว่าความเร็วของแสงเป็นคุณสมบัติทางกายภาพ ซึ่งคงท่ี เพยี งสิง่ เดียวในจกั รวาล และในเม่อื ความเร็งของแสงคงท่ีเสมอ ไม่ว่า ผสู้ งั เกตจะเคล่อื นทห่ี รือไม่ก็ตาม ฉะน้นั คณุ สมบัติอยา่ งอ่ืนๆทางกายภาพ สาหรบั ผู้ท่เี ดินทางไปในทศิ ที่ต่างกัน และด้วยความเร็วที่ตา่ งกัน ย่อมต้องแตกต่างกนั ไป เวลาในยานอวกาศทเ่ี ดินทางเร็วเกือบเท่าแสง จะชา้ กวา่ เวลาของผู้ซงึ่ อย่กู บั ท่ี ซงึ่ จะเหน็ จากยานวา่ มีขนาดส้นั ลง และมมี วลเพมิ่ ขน้ึ มหาศาล เนอ่ื งจากวตั ถทุ ี่ เดนิ ทางเร็วเทา่ แสงจะมีขนาดเปน็ ศูนย์ คือหายไป.... แต่มมี วลเปน็ อนันต์ซ่ึง เปน็ ไปไมไ่ ด้ ไอนส์ ไตน์จึงสรุปว่า ไม่มวี ัตถใุ ดเดนิ ทางเร็วเท่าแสง

มกี ารพสิ ูจน์ทฤษฎนี เี้ ม่ือ ค.ศ. 1977 โดยการนานาฬกิ าอะตอมหลายเรือนที่ เดนิ ทางเทย่ี งตรงที่สุด ติดไปกับดาวเทียมยูไนเตด็ สเตท ท่สี ง่ ไปโคจรในอวกาศ เม่อื เดินทางกลบั มาสโู่ ลกก็นานาฬกิ าเหลา่ นี้ ไปเทยี บกับนาฬกิ าชนิดเดียวกัน ณ หอ้ งปฎิบัติการวจิ ยั ทหารเรือในกรงุ วอชงิ ตัน ดี ซี ปรากฎวา่ นาฬิกาที่อยใู่ นดาวเทียม เดินชา้ ลงเล็กนอ้ ย แสดงว่าเวลาในดาวเทยี มผ่านไปชา้ กวา่ สมการของไอนส์ ไตนท์ ี่ว่า E = mc2 หมายความวา่ มวลของวัตถจุ ะ เปล่ยี นเปน็ พลังงานได้ และมวลของวัตถุจะเพมิ่ ข้ึนตามความเรว็ และจะทาให้ พลังงานเพมิ่ ขนึ้ ดว้ ย เมื่อเดินทางด้วยความเร็วท่เี ท่ากนั วัตถุท่หี นกั จะมพี ลงั งาน มากกว่าวตั ถุทเี่ บากว่า พลงั งานทีเ่ พิ่มขึน้ จะเท่ากับมวลที่เพิม่ ขึ้นคณู ดว้ ยความเรว็ ของแสงยกกาลัง2 ตามทฤษฎสี มั พัทธภาพทัว่ ไปของไอนส์ ไตน์ ลาแสงจะเบนเขา้ หาดวงดาว เพราะแรงดงึ ดูดของดวงดาวนนั้ หากทฤษฎนี ี้เปน็ จริง ลาแสงจะเบนเขา้ หาดวง อาทติ ย์เม่ือเดินทางเฉียดใกล้ดวงอาทิตย์ ใน ค.ศ. 1919 มกี ารพิสูจน์ทฤษฎีนี้โดยคณะนักดาราศาสตร์ ซงึ่ สังเกต สรุ ยิ ุปราคาเต็มดวง จากดินแดนที่ต่างกัน 2 แห่งพร้อมๆกนั และจากภาพท่ีได้ถ่าย เอาไว้ก็พบว่า ดวงดาวท่สี ่องแสงใกล้ดวงอาทิตย์ จะมตี าแหนง่ คาดเคลื่อนไป จริงๆ เม่ือนามาเปรยี บเทยี บกับภาพของดาวน้ัน เม่ือไมไ่ ด้อยูใ่ กลด้ วงอาทิตย์ http://www.baanjomyut.com/library/miscellary/relativity.html 26

ทฤษฎสี ตริง ( String Theory ) เปน็ ทฤษฎที ่ีเกดิ ขึน้ ทีหลงั ทฤษฎสี มั พทั ธ ภาพ และทฤษฎีควอนตัม ใช้อธบิ ายปรากฏการณท์ ี่ทฤษฎีสมั พทั ธภาพ และ ทฤษฎีควอนตัมอธิบายไมไ่ ด้ เช่นในสถานการณ์ที่แรงโนม้ ถว่ งสูงมาก ๆ ดง่ั เช่น ในหลุมดา หรือจกั รวาลก่อนการระเบิด ( Big Bang ) ทฤษฎนี ้จี ะแทนค่าอนภุ าค เป็นเพียงแนวการสั่นของพลงั งาน ทาใหท้ ฤษฎนี ้สี ามารถอธิบายอนภุ าคมูลฐาน ทุกชนดิ ในจกั รวาลได้หมด รวมไปถึงแรงทุกระบบในจักรวาล และจากการ คานวณของทฤษฎนี พ้ี บวา่ จักรวาลมีถงึ 10 มิติ ไม่ใช่มี 4 มติ ิเชน่ ในปัจจุบนั และ การทจ่ี กั วาลมี 10 มิตนิ ี่เอง ทาให้เกิดจักรวาลคู่ขนานอื่น ๆ อีกจนนบั ไม่ถ้วน แต่ ละจักรวาลมกี ฎเกณฑท์ างฟสิ ิกสท์ แี่ ตกตา่ งกนั ออกไป จาก ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจา้ เห็น ทพ.สม สุจีรา

กาลามะสูตร ๑. อย่าปลงใจเช่ือ ด้วยการฟังตามๆกันมา มา อนสุ ฺส เวน ๒.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกนั มา มา ปรมฺ ปราย ๓. อย่าปลงใจเช่ือ ด้วยการเล่าลอื มา อติ ิ กิราย ๔. อยา่ ปลงใจเชอื่ ดว้ ยการอ้างตารา หรอื คมั ภรี ์ มา ปฎิ กสมฺปทาเน ๕. อย่าปลงใจเช่อื ด้วยการอา้ งเหตผุ ลทางตรรก มา ตกเฺ หตุ ๖. อยา่ ปลงใจเช่อื เพราะการอนมุ าน มา นยเหตุ ๗. อย่าปลงใจเชอ่ื ดว้ ยการคิดตรองเอาตามแนวเหตุผล มา อาการปริวิตกเฺ กน ๘. อย่าปลงใจเช่ือ เพราะตรงกับความเหน็ หรือทฤษฎีของตนทค่ี ดิ ไว้ มา ทฎิ ฐินิชฺฌานกชฺนตยิ า ๙. อย่าปลงใจเชอ่ื เพราะมองเห็นรูปลักษณะวา่ น่าจะเป็นไปได้ มา ภพพฺ รปู ตาย ๑๐. อย่าปลงใจเช่อื เพราะนับถือว่า ทา่ นสมณะนีเ้ ป็นครูเรา มา สมโณ โน ครตู ิ “ดูก่อนชาวกาลามะทง้ั หลาย แต่เม่ือใดทา่ นทง้ั หลายรู้ ประจักษด์ ว้ ยตนเองวา่ ธรรมท้งั หลายเหลา่ ใดเหลา่ หน่ึง เปน็ อกุศล ผิดพลาด ช่ัวรา้ ย มีโทษ เปน็ ทางให้ เกดิ ทกุ ขท์ งั้ แกต่ น และผูอ้ ื่นโดยส่วนเดยี ว เมื่อน้ันทา่ นจงละทิง้ ธรรมเหล่านั้นเสยี และเมอ่ื ใดทา่ นทง้ั หลายรู้ ประจกั ษด์ ้วยตนเองว่าธรรมทัง้ หลายเหลา่ ใดเหล่า หนง่ึ เปน็ กศุ ล ดีงาม ไม่มีโทษ เป็นเหตนุ ามาซ่ึงความสขุ และความเจริญทงั้ แกต่ น และผู้อื่นโดยส่วนเดยี ว เม่อื นั้นทา่ นจงยอมรับเอาและปฏิบัติตามธรรมเหล่านั้น เถดิ ” 28



อันท่ีจรงิ แล้วกเ็ ดินทางท่องเที่ยวไปมาแล้วหลายประเทศ นับเปน็ กาไร ชวี ติ ของ “ครู” คนหนงึ่ ท่เี ริ่มตน้ เข้ารบั ราชการในตาแหน่ง ครู ตง้ั แต่ปี พ.ศ. 2519 ด้วยเงนิ เดอื นเพียง 750 บาท จนปัจจุบันดารงตาแหน่ง ครูชานาญการพิเศษ กนิ เงนิ เดือนระดับ 9 มากกว่าหา้ หมนื่ บาทต่อเดือน แต่ท่ีประทบั ใจทส่ี ดุ คอื การได้ เดนิ ทางไปจารกิ แสวงบญุ ตามรอยพระพทุ ธเจ้า โดยการเดินทางไปนมัสการ 4 สงั เวชนียสถาน ทีป่ ระเทศอินเดยี ทีจ่ ัดโดยยวุ พทุ ธกิ สมาคมแห่งประเทศไทย(ใน พระบรมราชูปถมั ป)์ เมอื่ ปี พ.ศ. 2552 เพราะในการเดินทางครงั้ นนั้ ได้รับความรู้ ต่าง ๆ มากมาย ท้ังยังไดไ้ ปพบเหน็ สถานท่ตี า่ ง ๆ ทเ่ี คยเรียนในวชิ า พระพุทธศาสนา จนสามารถยืนยนั ไดว้ า่ “พระพุทธเจ้า” มีตัวตนอยจู่ ริง มิไดเ้ ป็น แคเ่ พียงองคส์ มมติ เพ่ือให้เป็นศาสดาของพระศาสนาเท่านนั้ แต่รปู ของพระพทุ ธ องค์ทแี่ ตกต่างกนั ไปแตล่ ะประเทศน้นั เน่ืองจากเป็นภาพตามจนิ ตนาการของ พุทธศาสนกิ ชนน่นั เอง 30

\"ชนเหล่าใด ได้จาริกไปนมสั การ สังเวชนยี สถานกราบไหว้ ด้วยความศรัทธาเลือ่ มใส ฯลฯ ครัน้ กายแตกดบั จกั เขา้ สสู่ ขุ คติโลกสวรรค\"์ สองคนยลตามชอ่ ง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อกี คนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย แรกเรมิ่ เดิมที ตัง้ ใจจะนารปู ทไ่ี ด้เดินทางท่องเที่ยวไปตามรอยพระพุทธ องค์ ข้ึนไปแบง่ ปันกนั ดแู ล้วมีอธิบายภาพประกอบบา้ งเป็นระยะ ๆ แตใ่ นคืน สดุ ท้ายของการเดินทาง พระเดชพระคุณท่านเจา้ อาวาสวดั ไทยพทุ ธคยา ได้ เตอื นสติดงั กลอนขา้ งต้นวา่ อยากใหค้ รทู ุกคนทไ่ี ด้เดนิ ทางมาแสวงบุญในครง้ั น้ี ไดก้ ลับไปเขยี นเรื่องราวนา่ รู้ทีแ่ ตล่ ะคนได้รู้ ได้เห็น และได้สมั ผัสในครั้งนี้ เพ่อื ท่จี ะได้เป็นขอ้ มลู ให้คนท่ีไมม่ โี อกาสเดินทางมา ได้ศึกษา ได้แงค่ ิดใน หลากหลายมุมมองของแต่ละคน และรวมกันเป็นฐานข้อมูลท่ีสมบูรณต์ อ่ ไป จงึ ทาใหเ้ กดิ ...เดินพงุ ป่อง...ท่องแดนพุทธภูม.ิ . 31

ท่มี าของชอื่ ...อันเน่ืองมาจากการเดินทางไปประเทศอินเดียครัง้ นี้ เปน็ ครั้ง แรกในชีวิต จงึ ต้องทาการหาข้อมูลก่อนเพื่อเป็นการเตรยี มตัวกอ่ นออกเดินทาง อากาศ...เร่ิมเข้าสฤู่ ดูหนาว..เตรยี มเสื้อกันหนาวไปด้วย...อาหาร...เคยกินโรตกี ับ เพอ่ื ท่เี ป็นแขก กินขา้ วหมกไก่..พอกนิ ได้ แตต่ อนน้หี มอห้ามกินสัตว์ปกี ..ไม่ เป็นไรกนิ น้อย ๆ หน่อยจะได้ลดน้าหนกั ...อาคาร...ท่ีพกั พกั วัดทกุ คนื ...ทาใจไว้ หนอ่ ยก็ด.ี .. โอสถ...ยาสามัญประจาตวั เตรยี มไปให้พร้อม... แต่เมอ่ื เดนิ ทางเขา้ จริง ๆ แทบไมต่ รงกับที่คิดไว้สักอย่างเดียว อากาศ..ยังคงร้อนสดุ ๆ อนิ เดยี คงเขา้ สูภ่ าวะโลกร้อนเปน็ ที่เรียบร้อยแลว้ ...อาคาร...พักท่วี ดั สุดแสนสะดวกสบาย นา้ ไหล ไฟสว่าง ดีกว่าพกั โรงแรมแขกเปน็ ไหน ๆ และท่สี าคญั ทสี่ ุด ตอ้ งขอขอบคุณ NC TOUR CO.,LTD ทเ่ี ตรียมอาหารไทยให้เราอม่ิ อร่อยทุกมอ้ื แทบไมไ่ ดส้ ัมผสั อาหารอนิ เดียเลย...ทาใหเ้ ราต้องกิน...จน...พุงป่อง...ก่อนออกไปเดิน..ท่องแดน พทุ ธภูมิ 32

คณะแสวงธรรมบาเพ็ญบุญของเรา มีจานวนมากถงึ 51 ท่าน พร้อม เจา้ หน้าท่ี ท่ีน่ารักจาก NC TOUR อีก 3 ท่าน รวมเป็น 54 ท่าน จงึ ทาให้การถ่ายรปู หมแู่ ตล่ ะครัง้ เปน็ ท่ีสนุกสนานเหมือนการจับปูใสก่ ระด้ง เพราะมกี ลอ้ งทีจ่ ะต้อง ถ่ายมากมายกวา่ 30 กลอ้ ง ในแต่ละคร้ัง แต่กส็ ามารถนาภาพหมสู่ วย ๆ มาฝากกนั ได้ ด้วยความน่ารกั ของ นอ้ งต๊กุ ตา น้องโอเล่ และ น้องปุ้ม ท่ีช่วยแบ่ง ๆ กนั ไป คนละ 10 กลอ้ ง 33

งานนใ้ี ครว่ิงมาไม่ทัน อดมภี าพไวเ้ ป็นท่รี ะลึก พระอาจารย์ดาวสยาม และ พระอาจารยบ์ ุญส่ง วิทยากรตลอดการเดนิ ทาง ที่อัดแน่นไปดว้ ยข้อมลู ของ สถานทีต่ า่ ง ทพ่ี าคณะของเราเข้าเยย่ี มชม จนหลายคนสงสัยว่าสมองของทา่ น บรรจุเรือ่ งราวทงั้ หมดนเ้ี ข้าไปไดอ้ ย่างไร และนอกจากจะนาพวกเราสวดมนต์ ทา วัด ในรถขณะเดนิ ทางแลว้ ยังมีมขุ เด็ด ๆ แกง้ ว่ ง เชน่ ...ขา้ วอะไรเอ่ย กินไม่อม่ิ .... เฉลย...ข้าวน๊ีดเดยี ว...หรือ คนอินเดีย เวลามคี นตาย ทาไมจงึ ไมร่ อ้ งไห้...เฉลย .. เพราะคนอนิ เดีย ไม่เห็นโลงศพ จงึ ไม่หลั่งนา้ ตา เป็นตน้ 34

คณะของเราสว่ นใหญ่เปน็ ครูสอนพระพุทธศาสนา หรอื ไมก่ ็ทางาน เกี่ยวกับเรื่องของคุณธรรม มี\"ครแู ดง\" คนเดียวที่สอนวชิ าฟสิ ิกส์ ..แบบไม่ ธรรมดา เพราะมีการนงั่ สมาธิ ก่อนเรียนด้วย นอกจากนี้ ยงั มพี ี่สาวท่ีนา่ รกั อีก 2 ท่านคอื คณุ ปภทั รส์ ริ ิ อทิ ธิพรรษนันต์ และ คุณอุไร เจนกุลประสตู ร(จากซ้าย) ที่ ไม่ได้เปน็ ครู แตม่ ีความสนใจอย่างย่ิงในเร่ืองการปฏิบัตธิ รรม และให้ความ อุปถัมป์ยุวพุทธกิ สมาคมแห่งประเทศไทย ดว้ ยดีเสมอมา ขอขอบพระคณุ มา ณ โอกาสนี้ 35

เปน็ เรอื่ งทส่ี าคัญอย่างย่งิ ที่จะลืมไม่ไดเ้ ปน็ อนั ขาด คอื ต้องขอกราบ ขอบพระคุณท่านรองศาสตราจารยอ์ มรา รอดดารา ประธานชมรมครูผูส้ อน พระพทุ ธศาสนา ยุวพทุ ธกิ สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถัมภ์ ท่ใี ห้ โอกาสท่ดี ี แกค่ ณะครูและบคุ คลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยงิ่ \"ครูแดง\" กะ \"ครูโหนง\" ท่ไี มไ่ ด้สอนวิชาพระพุทธศาสนา แต่ได้มโี อกาสทถ่ี อื ว่าเปน็ เรื่องดี ท่ีสดุ ในชีวติ คร้ังหนึ่ง ในการร่วมเดินทางตามรอยบาทพระศาสดา นมัสการสังเว ชนยี สถาน 4 ตาบลในคร้งั นี้ หมายเหตุ ถ้าตอ้ งการอา่ นตามลาดับการเดนิ ทาง ตอ้ งข้ามไปอา่ นหน้า 41 กอ่ นครบั 36

ลมุ พนิ ี :สถานท่ปี ระสูติ คณะของเราเดินทางมาถงึ วดั ไทยลมุ พินี ดกึ พอสมควร ตามนยิ ามของ อินเดยี ทีว่ ่า...เมอื งคนใช้หัว เมอื งผัวเฝ้าหา้ ง เมืองคนเดนิ ทางตอ้ งทาใจ...ครบั เพราะท่ีน่ี เรากาหนดเวลาออกเดินทางได้ แตเ่ ราไมม่ สี ิทธิกาหนดเวลาถึง ปลายทางได้ ตอ้ งทาใจไว้ล่วงหนา้ ครบั โชคดีทค่ี ณะของเรา เปน็ ทัวรบ์ ุญ อยู่ บนรถกฟ็ งั เร่ืองราวนา่ รจู้ ากพระอาจารยไ์ ปบา้ ง สวดมนต์ ทาวัตร ไปบ้าง ทาน ขนมขบเคีย้ วทที่ าง NC Tour เตรยี มไวใ้ ห้เราบ้าง แต่ทน่ี ่าช่ืนใจกค็ อื ไมว่ า่ เรา จะเดนิ ทางถึงวัดไทย เวลาเทา่ ใด เราจะมีอาหารร้อน ๆ ทีเ่ ตรยี มไวต้ อ้ นรบั คอย 37

ท่าอยเู่ สมอ ต้องขอกราบอนุโมทนาบุญไว้ ณ โอกาสนี้ มีว่ ัดไทยลมุ พินี ทพ่ี ัก ไม่คอ่ ยสบายนกั แต่กไ็ ม่ถึงกับลาบากเสยี ทเี ดียว ท่ีนี่ สุภาพบรุ ษุ ทัง้ 7(...เหอ ๆ ..เหมอื นสโนว์ไวท์เลย...เพิ่งรู้วันนเี้ องว่า เทีย่ วนเ้ี รามีเพ่อื นชายแค่ 7 คน จาก คณะทงั้ หมด 54 คน) ตอ้ งนอนห้องเดียวกันท้ังหมด ทนี่ อนประมาณว่า เปน็ PentHouse เลยท่ีเดียว คือเปน็ ห้องท่ีอยู่ชน้ั บนสุดของอาคาร ทไ่ี มไ่ ดก้ น้ั เปน็ ห้อง เหมือนชนั้ อืน่ ๆ แล้วกไ็ ม่มีหอ้ งน้า ตอ้ งรอคิวใช้หอ้ งนา้ ท่ชี น้ั ลา่ ง แต่ สมาชกิ สาว ๆ ที่ชน้ั ล่าง ก็รอคิวกันยาวเหยยี ดอยูแ่ ล้ว เพราะมจี านวนมากกว่า ฝา่ ยชาย เลยตดั สนิ ใจ ใชว้ ิชาลกู เสือทเี่ รยี นมาต้ังแต่เด็ก จัดการชาระร่างกาย ที่ หอ้ งน้านอกอาคาร กอ่ นข้ึนไปนอน...หลับสบายครบั เดินทางมาท้ังวัน 38

วดั ไทยลมุ พนิ ี ตอนเชา้ มืดสวยมากครับ...เป็นท่ีนา่ ช่ืนใจกบั คณะ เดนิ ทางคณะน้ี ท่ีถงึ แม้มเี วลานอนไมม่ ากนัก แตท่ ุกคนตื่นแตเ่ ช้า หน้าตาสด ชนื่ ลงมาพร้อมกนั ตามเวลาทน่ี ดั หมายไดอ้ ย่างเรยี บร้อยทกุ วนั คงเป็นเพราะ แรงบญุ ...ท่ีน่ี เราพบกบั พระอุโบสถที่หลายคนจะคุ้นตา ว่าคลา้ ยวดั แห่งหน่งึ ในประเทศไทย ครบั ..วัดร่องขุ่น ของอาจารย์เฉลมิ ชัย โฆษติ พพิ ฒั น์ ทีจ่ ังหวดั เชียงราย แต่ที่นี่ เปน็ ผลงานของทา่ น ดร.ภิญโญ สวุ รรณคีรี ...ตามรายละเอยี ด ในภาพครบั รบั ประทานอาหารเช้าจนพุงปอ่ งดีแลว้ เดินย่อยอาหารมาพบ สวนหย่อมนา่ รกั เป็นรูปเด็กไทยยืนประนมมอื ไหว้อยู่ มีปา้ ยบอกว่า จดั สวน โดย คุณนวลจันทร์ เพยี รธรรม NC TOUR จงึ ไดถ้ งึ บองอ้อ...วา่ NC ยอ่ มา จากชือ่ คุณนวลจันทร์ น่เี อง น้องโอเล่ ไกด์ของเราบอกว่า ทา่ นตั้งใจมาก ๆ ที่ จะจัดสวนน้ี โดนส่งวสั ดุการจดั สวนมาจากเมืองไทยทงั้ หมด เพ่อื มาจัดสวน ท่นี โ่ี ดยเฉพาะ น่าชนื่ ใจครับ สาธุ สาธุ สาธุ อนโุ มทามิ 39

ท่ีน่ีเราพบพระพุทธรูป ปางแปลกตา ท่ีไม่คอ่ ยพบทไ่ี หนมาก่อน ทีอ่ นิ เดีย เรียกว่า เบบ้บี ุดดา้ ครับ เปน็ พระพทุ ธรูปปางประสูติ เหมาะสาหรับผูท้ อี่ ธษิ ฐาน จิตบูชา เพ่ือหวังจะเร่ิมตน้ ส่ิงใหม่ ๆ ในชวี ิต เปน็ ทีน่ า่ สังเกตวา่ พระหัตถข์ วาจะช้ี ขึน้ ฟ้า สว่ นพระหัตถ์ขวาจะชล้ี งดิน แล้วจะพยายามสอบถามรายละเอยี ดมาเล่าสู่ กนั ฟงั ครบั 40

พุทธคยำ : ดนิ แดนแหง่ กำรตรสั รู้ คณะของเรา นดั พบกันทส่ี นามบนิ สุวรรณภมู ิ ชัน้ 4 อาคารผู้โดยสารขา ออก เวลา 4.00 น. \"ครูแดง\" ตอ้ งตื่นนอนตั้งแต่ ตี 2 ครึง่ ท่บี า้ นพกั ลูกสาว ใกล้ โรงพยาบาลราษฎร์บูรณะ เพ่ือเตรียมตัวอาบนา้ แต่งตัว แตต่ อ้ งตกใจ เพราะ ฝนตกลงมาอย่างหนัก ถ้าเปน็ อย่างนี้ จะออกจากท่ีพกั ได้อย่างไร กระเปา๋ เดินทางพะรุงพะรังไปหมด จึงตั้งจิตอธิษฐานวา่ ...การเดินทางคร้งั น้ี ขา้ พเจ้า ตง้ั ใจ ไปเพ่อื นมัสการสังเวชนียสถาน ขออย่าได้มอี ุปสรรคใด ๆ มาขดั ขวาง การเดนิ ทางเลย...สาธุ....ไม่เชื่อก็ตอ้ งเชือ่ ตี 3 ตรง ฝนหยดุ สนทิ ลากกระเปา๋ เดินทางมาหนา้ ปากซอย เรียกแท็กซีเ่ ดนิ ทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ ได้ ไมม่ ี อุปสรรคใด ๆ..สาธุ 41

ออกเดินทางจากประเทศไทย โดยสายการบนิ อินเดียนแอร์ไลน์ เที่ยวบนิ ที่ IC 730 จากสนามบินสวุ รรณภมู ิ เวลา 6.40 น. บนเครื่อง แอร์โฮส เตรสอนิ เดีย หนา้ ตาเหมือนเพงิ่ ทะเลาะกบั แฟนมา พดู ภาษาอังกฤษสาเนียง แขก พยายามตั้งใจฟงั แลว้ แตไ่ มร่ ้เู ร่ือง...เอ \"ครูแดง\" เคยอา่ นหนังสือ \"ใครวา่ โลกกลม\" ไดข้ อ้ มูลมาวา่ คนอนิ เดยี พดู ภาษาอังกฤษไดด้ ีมาก ๆ จนคน อเมริกันเองยงั แยกไม่ออกว่าเป็นแขกพดู วนั นท้ี าไมเปน็ แบบนีไ้ ปได้ ภาพ ขา้ งบน \"ครูแดง\" พยายามกวาดสายตาหาอยหู่ ลายรอบ จนยืนยันวา่ เหนือ ก้อนเมฆ ไม่มีเทวดาอาศัยอยู่ 42

9.30 น. (นาฬกิ าทเี่ ราใสไ่ ป แสดงว่าใชเ้ วลาบนิ ประมาณ 3 ชวั่ โมง) เดนิ ทางถงึ สนามบินนานาชาติ เมืองคยา รัฐพิหาร ประเทศอนิ เดีย โอะ๊ ..โอ.. พระเจา้ ชว่ ย กล้วย(แขก)ทอด ...สนามบนิ นานาชาติ หน้าตาพอ ๆ กบั สนามบนิ ท่ีพิษณโุ ลก เอ๊ะ ไม่ใชส่ ิ แยก่ วา่ น้ัน เพราะรอบ ๆ บริเวณเป็นทงุ่ หญ้า รกรา้ งว่างเปล่า ได้รับแจ้งวา่ ขณะนี้ เวลาท้องถน่ิ 8.00 น. (เวลาทอี่ ินเดยี ช้ากวา่ ประเทศไทย 1 ชวั่ โมง 30 นาท)ี ขณะนเี้ จา้ หน้าทีย่ งั ไมม่ าทางาน...โปรด รอสกั คร.ู่ .มาแลว้ ครับเจ้าหน้าทตี่ รวจเอกสารคนเข้าเมอื ง มีต้งั 2 คน ครับ เทยี่ วบินน้ีเต็มลา มผี ้โู ดยสารประมาณเกือบ 100 คน ครบั ค่อย ๆ ไป ใจเย็น ๆ 43

ออกเดินทางจากสนาบินส่วู ดั ไทยพุทธคยา โดยรถโดยสารปรบั อากาศ อย่างดี 2 คัน \"ครูแดง\" น่ังคันท่ี 2 มี \"พระอาจารย์บญุ ส่ง\" เป็นพระวทิ ยากร นา ชมสถานท่ี ประโยคแรกท่านบอกวา่ ...\"มาอนิ เดยี ไดป้ ญั ญา ไปอเมรกิ า ได้ ความหลง ไปฮ่องกง ไดค้ วามโลภ\" ....สุดยอดไปเลยครบั ระหวา่ งเดินทาง ไปวดั เราเริ่มเข้าใจกบั สิง่ ท่ีไกด์เคยบอกเรา เม่อื เราถามถึงการเดนิ ทางใน อนิ เดียจากกาหนดการทไ่ี ดร้ ับว่า ระยะทาง 85 กโิ ลเมตร ใชเ้ วลาเดินทาง 3 - 4 ชว่ั โมง โอ้โฮ..อัตราเรว็ เฉล่ยี ต้ัง 20 กโิ ลเมตรต่อชวั่ โมงเลยนะครบั \"ครแู ดง\" ขับรถทีเ่ มืองไทย ได้อตั ราเร็วเฉล่ยี ประมาณ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้รับ คาอธิบายว่า อาจารย์ครับ คนทอี่ ินเดยี ยงั กะมด เต็มถนนไปหมด บอกตรง ๆ ครบั ตอนน้ันยังนกึ ภาพไม่ออก ...ตอนนี้ พอจะเขา้ ใจแลว้ ครับ..บนถนนแคบ ๆ ไมม่ เี ส้นแบ่งกลาง มีทง้ั คน ..รถจกั รยาน..รถมอเตอร์ไซค.์ .รถสามล้อ..รถ ม้า..เกวยี น..วัว..แพะ..ฯลฯ แย่งกันใช้ถนนเสน้ เดยี วกนั รถทุกคนั พยายาม \"บบี แตร\" ของตนเองไปตลอดทาง จนไม่รวู้ า่ เสียงแตรทไ่ี ดย้ ินเปน็ เสยี งของรถคัน ไหน...วันหลังจะลงรปู ให้ดูครบั ....สวัสด.ี ..พทุ ธคยา 44

ภายในบริเวณวัด สวยงามมาก เราไดพ้ บกบั พระภกิ ขุรปู หน่ึง ซง่ึ จา พรรษาอยวู่ ัดนม้ี า 9 ปี แลว้ ไดก้ รณุ าใหค้ วามรกู้ บั เราวา่ ....\"เทยี่ วอนิ เดีย ให้ คิดถึงพระสมั มาสัมพุทธเจา้ พระองค์ทรงเตือนให้มีสติ เม่ือสตมิ า..ปญั ญาเกิด.. จงทาตวั เป็นคนจน เพราะการทาตวั เปน็ คนรวย ควักเงนิ ออกมาให้คนอ่ืนเห็น ครง้ั ละมาก ๆ จะทาใหเ้ กดิ ปญั หา ไม่ใช่เฉพาะกับปัญหากับตวั เองเทา่ น้ัน อาจ ทาให้เกดิ ปญั หากับคณะท้งั หมด เพราะขอทานจะมารุมกนั จนรถไม่สามารถ เดนิ ทางต่อไปได้ จะเดือดร้อนกนั ท้งั คณะเชยี วนะ คุณโยม....สาธุ 45

เวลายังพอมีเหลือ เราเดินออกไปดูอะไรหนา้ วดั กนั หน่อยดกี วา่ เราไดพ้ บ กบั รถจักรยาน ทีย่ ังคงเปน็ พาหนะหลัก ของชาวอินเดยี เพราะพบเหน็ ได้ ท่วั ไป และเต็มไปหมดบนท้องถนน คณะ สส.(ย่อมาจากสาวสวยครบั ) ท้งั 3 คน จึงขอใหบ้ ันทึกภาพไว้เป็นท่รี ะลึก ส่วนรถยนต์ ทีว่ งิ่ ผ่านไปมา บีบแตรกนั สน่นั หวั่นไหว เกอื บทุกคัน ย่ีห้อเดยี วกนั หมด ครบั ...ทาทา เปน็ ทนี่ า่ สนใจวา่ เมอื งไทยเรากม็ ีรถย่ีห้อน้ี แต่ท่ีนา่ แปลกกค็ ือ ไมค่ อ่ ยได้รับความนิยมเท่าไร ครับ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ทาทา ท่ีใชแ้ กส็ ทงั้ ระบบ (เติมนา้ มนั ไม่ได้) ...งานนี้ แขกถูกไทยหลอกครบั ...อิอิ โดนหลอกวา่ จะตั้งปม๊ั แก็ส NGV ให้ทั่วประเทศ ไทย ไปที่ไหนกเ็ ตมิ ได.้ ..แต่รอนาน มากกกก 555 46


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook