Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore educasion

educasion

Published by Tolaha Samahae, 2021-02-03 02:03:38

Description: TU_2015_5717035108_4351_2727

Search

Read the Text Version

37 ตารางที่ 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยระดับระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเร่ือง ความสมั พันธใ์ นครอบครวั (ตอ่ ) ผู้วจิ ยั ชือ่ เร่อื ง ผลการศกึ ษา สินรี ตั น์ แสนรุ่ง ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการมี ความรเู้ ร่ืองเพศมีความสัมพนั ธต์ อ่ การ (69) ปี พ.ศ.2553 เพศสัมพันธ์ของนักเรียนวัยรุ่น มีเพศสัมพันธอ์ ย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติ หญิงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (p-value< 0.05) จงั หวดั นครราชสมี า อังคณา เพชรกาฬ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมี พบว่าปฏิสัมพนั ธใ์ นครอบครัว มี (51) ปี พ.ศ.2551 เพศสัมพันธ์ของนักเรียนวัยรุ่น ความสมั พันธ์กับพฤตกิ รรมการมี ภาคใต้ตอนบน เพศสมั พันธ์อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ (p<0.05) ซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรมสรุปได้ว่า ความสัมพันธ์ในครอบครัว อาจมี ความสัมพนั ธ์กับการมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น ดังนั้นความสัมพันธ์ใน ครอบครัว นา่ จะเป็นอกี ตวั แปรหนง่ึ ทนี่ ่าสนในการศกึ ษาคร้งั นี้ 2.3.2.2 ความเชอ่ื ความศรทั ธาทมี่ ตี ่อเพ่ือน ตารางที่ 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ งกบั ปจั จัยระดบั ระหว่างบคุ คล (Interpersonal Level) ในเร่ือง ความ เชอ่ื ความศรทั ธาทีม่ ตี อ่ เพ่อื น ผวู้ จิ ัย ชอ่ื เรอื่ ง ผลการศึกษา ไพฑรู ย์ พันธแ์ ตง (70) ปี พ.ศ.2557 ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อความตั้งใจใน ความเชื่อเกี่ยวกับการคล้อยตามกลุ่ม การป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทาง อ้างอิง ได้แก่ เพ่ือน การแปลผลพบว่า เ พ ศ ข อ ง นั ก เ รี ย น ห ญิ ง ช้ั น กลุ่มตัวอย่างมีความเช่ือเก่ียวกับการ มัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดกรม คล้อยตามกลุ่มอ้างอิงต่อการป้องกัน สามัญศึกษา สานักงานเขตพ้ืนที่ พฤติกรรมเส่ียงทางเพศ อยู่ในระดับ การศึกษา มัธยมศึกษาเขต 2 ใน เชอื่ ว่าสนับสนุนมาก จังหวดั ชลบรุ ี

38 ตารางที่ 2.7 งานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วข้องกบั ปจั จยั ระดับระหว่างบคุ คล (Interpersonal Level) ในเรอ่ื ง ความ เชื่อ ความศรทั ธาทม่ี ตี ่อเพ่ือน (ตอ่ ) ผู้วิจัย ช่ือเร่อื ง ผลการศกึ ษา สพุ ัตรา อักษรรตั น์ (65) ปี พ.ศ.2550 โครงสร้างและหนา้ ทค่ี รอบครัวกับ เม่ือมีปัญหาหรือข้อสงสัยในเรื่องเพศ นฎาประไพ สาระ พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของ จะปรึกษาเพื่อนสนิท ร้อยละ 26.13 (61) ปี พ.ศ. 2557 นั ก เ รี ย น ห ญิ ง ชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ตอนต้น อาเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช ความชุกของการมีประสบการณ์ พบว่าในกล่มุ ที่มีการคลอ้ ยตามเพื่อนใน และปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการมี ระดบั สงู เคยมปี ระสบการณ์ทางเพศ เพศสัมพันธ์คร้ังแรกของนักเรียน ร้อยละ 73.7 อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ หญิงอาชีวศึกษา ท่ี p=0.049 จากการทบทวนงานวิจัยข้างต้นจะเห็นได้ว่า ปัจจัยเก่ียวกับความเช่ือ ความความ ศรัทธาต่อเพื่อนนั้น มีงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องไม่มากนัก ดังน้ันจึงน่าที่จะศึกษาว่า ความเช่ือ ความศรัทธา ทม่ี ตี ่อเพือ่ นจะมคี วามสมั พนั ธก์ บั พฤติกรรมเส่ยี งทางเพศ และการมเี พศสัมพันธ์หรือไม่

39 2.3.2.3 ความเชื่อ ความศรัทธาท่มี ตี ่อพอ่ แม่ ตารางที่ 2.8 งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวข้องกบั ปจั จัยระดับระหว่างบคุ คล (Interpersonal Level) ในเร่ือง ความ เชื่อ ความศรัทธาทมี่ ีตอ่ พ่อแม่ ผู้วิจยั ช่อื เรอื่ ง ผลการศึกษา Santa Maria และ การใช้โปรแกรมการใหพ้ ่อแม่ดูแล มีช่องว่างของโปรแกรมในเรื่องของ คณะ (71) ปี ค.ศ. สุขภาพทางเพศของวัยรุ่น และ ความเช่ือ ของวัยรุ่นชนกลุ่มน้อย ท่ีมี 2015 ผลกระทบต่อการส่ือสารพ่อแม่ ตอ่ พอ่ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และการวิจัย และวัยรุ่น โดยวิธีการวิเคราะห์ เ พิ่ ม เ ติ ม ใ น ส่ ว น นี้ จ ะ ท า ใ ห้ เ พิ่ ม อภิมาน ประสิทธิผลของโปรแกรม และส่งผล ตอ่ การปรับปรุงการพฤติกรรมทางเพศ ในวัยรุ่นได้ ไพฑูรย์ พันธแ์ ตง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความต้ังใจใน ความเชื่อเก่ียวกับการคล้อยตามกลุ่ม (70) ปี พ.ศ.2557 การป้องกันพฤติกรรมเส่ียงทาง อา้ งอิง ได้แก่ บิดา/มารดา การแปลผล เ พ ศ ข อ ง นั ก เ รี ย น ห ญิ ง ชั้ น พบว่ า กลุ่ มตั ว อ ย่า งมี คว าม เช่ื อ มัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดกรม เก่ียวกับการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงต่อ สามัญศึกษา สานักงานเขตพ้ืนท่ี การป้องกันพฤติกรรมเส่ยี งทางเพศ อยู่ การศึกษา มัธยมศึกษาเขต 2 ใน ในระดบั เชอ่ื ว่าสนบั สนนุ มาก จงั หวดั ชลบรุ ี สุพัตรา อกั ษรรตั น์ โครงสร้างและหน้าท่ีครอบครัว สมาชิกในครอบครัวเช่ือฟังและปฏิบัติ (65) ปี พ.ศ.2550 กับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของ ตามคาสั่งสอนของ บิดา และมารดา นักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษา ร้อยละ 60.27 บิดาหรือมารดาร้อยละ ตอนต้น อาเภอเมือง จังหวัด 30.13 และบุคคลในครอบครัวท่ีกลุ่ม นครศรธี รรมราช ตัวอย่างปรึกษาปัญหาต่างๆด้วย ได้แก่ มารดา ร้อยละ 77.87 บิดา ร้อยละ 27.46

40 ตารางที่ 2.8 งานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวข้องกับปจั จัยระดับระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเรื่อง ความ เชอ่ื ความศรทั ธาทมี่ ตี ่อพอ่ แม่ (ตอ่ ) ผู้วจิ ยั ชื่อเรื่อง ผลการศึกษา นฎาประไพ สาระ (61) ปี พ.ศ. 2557 ความชุกของการมีประสบการณ์ บุุคคลท่ีได้พูดคุยปรึกษาเร่ืองเพศ เช่น และปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการมี ในกลุ่มท่พี ูดคุยเรื่องเพศกับบดิ ารอ้ ยละ เพศสัมพันธ์คร้ังแรกของนักเรียน 53.5 ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศ หญิงอาชีวศึกษา ซงึ่ สูงกว่ากลมุ่ ที่เคยมีประสบการณ์ทาง เ พ ศ อ ย่ า ง มี นั ย ส า คั ญ ท า ง ส ถิ ติ p=0.0006 จากการทบทวนงานวิจยั ข้างต้นจะเห็นได้ว่า ปัจจัยเก่ียวกับความเชือ่ ความศรัทธา ต่อพ่อแม่นั้น มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่มากนัก ดังนั้นจึงน่าที่จะศึกษาว่า ความเช่ือ ความศรัทธาที่มีต่อ พอ่ แม่จะมคี วามสัมพนั ธ์กบั พฤติกรรมเสย่ี งทางเพศ และการมเี พศสมั พนั ธ์หรอื ไม่ 2.3.2.4 ความเชือ่ ความศรทั ธาที่มีตอ่ ครู ตารางท่ี 2.9 งานวิจัยที่เก่ยี วข้องกับปัจจัยระดับระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเร่ืองความ เชื่อ ความศรทั ธาที่มีตอ่ ครู ผวู้ ิจยั ชื่อเร่อื ง ผลการศึกษา ไพฑรู ย์ พนั ธแ์ ตง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจใน ความเชื่อเก่ียวกับการคล้อยตามกลุ่ม (70) ปี พ.ศ.2557 การป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทาง อ้างอิง ได้แก่ ครู/อาจารย์ การแปลผล เ พ ศ ข อ ง นั ก เ รี ย น ห ญิ ง ช้ั น พบว่ า กลุ่ มตั ว อ ย่า งมี คว าม เช่ื อ มัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดกรม เก่ียวกับการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงต่อ สามัญศึกษา สานักงานเขตพ้ืนท่ี การปอ้ งกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ อยู่ การศึกษา มัธยมศึกษาเขต 2 ใน ในระดบั เชื่อวา่ สนบั สนนุ มาก จงั หวัดชลบรุ ี

41 ตารางท่ี 2.9 งานวิจัยที่เกย่ี วข้องกับปัจจัยระดับระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเรื่องความ เชอื่ ความศรัทธาทีม่ ีตอ่ ครู (ตอ่ ) ผ้วู ิจัย ชื่อเรอ่ื ง ผลการศกึ ษา สพุ ัตรา อกั ษรรัตน์ โครงสร้างและหน้าที่ครอบครัว เมอ่ื มีปัญหาหรอื ขอ้ สงสัยในเร่ืองเพศ (65) ปี พ.ศ.2550 กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของ ปรกึ ษาผู้ปกครอง,คร,ู พส่ี าวน้องสาว นักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษา รอ้ ยละ 6.94 ตอนต้น อาเภอเมือง จังหวัด นครศรธี รรมราช นฎาประไพ สาระ ความชุกของการมีประสบการณ์ ุบุคคลที่ได้พูดคุยปรึกษาเรื่องเพศ เช่น (61) ปี พ.ศ. 2557 และปัจจัยที่เก่ียวข้องกับการมี ในกลุ่มที่พูดคุยเร่ืองเพศกับครูผู้หญิง เพศสัมพันธ์ครั้งแรกของนักเรียน ร้อยละ 64.5 และครูผู้ชาย ร้อยละ หญิงอาชีวศึกษา 52.9 ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศ ซงึ่ สูงกว่ากลมุ่ ที่เคยมีประสบการณ์ทาง เ พ ศ อ ย่ า ง มี นั ย ส า คั ญ ท า ง ส ถิ ติ p<0.001 และ p=0.115 ตามลาดับ จากการทบทวนงานวิจัยข้างต้นจะเหน็ ได้ว่า ปัจจัยเก่ียวกับความเช่ือ ความศรัทธา ท่ีมีต่อครูนั้น มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่มากนัก ดังนั้นจึงน่าที่จะศึกษาว่า ความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อ ครจู ะส่งผลตอ่ พฤตกิ รรมเสีย่ งทางเพศ และการมีเพศสัมพนั ธ์หรือไม่

42 2.3.2.5 ความเชือ่ ความศรัทธาทม่ี ตี อ่ คนู่ อน ตารางท่ี 2.10 งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับปัจจัยระดับระหว่างบุคคล (Interpersonal Level) ในเรื่อง ความเชือ่ ความศรทั ธาท่มี ีตอ่ คนู่ อน ผู้วิจยั ชื่อเรื่อง ผลการศึกษา Paxton KC และ คณะ (72) ปี ค.ศ. พฤติกรรมเส่ียง HIV ในผู้หญิง เหตุผลในการใช้ถุงยางอนามัยขึ้นอยู่ 2013 แอฟริกันอเมริกาที่มีความเส่ียง กับเพศชาย เพราะผู้หญิงแอฟริกัน Johansson EE และคณะ (73) กั บ คู่ น อ น เ ป็ น ง า น วิ จั ย เ ชิ ง อเมริกาต้องการรักษาความสัมพันธ์ ปี ค.ศ.2014 คุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดย ระหว่างคู่นอนไว้ ด้วยเหตุปัจจัยทาง สุพัตรา อักษรรัตน์ การสนทนากลุม่ สังคม และปัญหาทางด้านการเงิน (65) ปี พ.ศ.2550 วัฒนธรรม การอภิปรายในเรื่องเพศวถิ ีของ เพศวิถีของกลุ่มเยาวชนหญิง มีความรู้ เยาวชน โดยการสารวจบทความ ในเรื่องการสื่อสาร และมีคว าม ทางการแพทย์ (PubMed) รับผิดชอบ แต่มีพฤติกรรมเส่ียงทาง เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อทาง เพศ เพราะอุดมคติของกลุ่มเยาวชน เพศสัมพนั ธ์ โดยวิเคราะห์ หญิงท่ีมีความเชื่อและศรัทธาในผู้ชาย งานวิจยั เชิงคุณภาพบทความสว่ น ทาให้ขาดอานาจในการเจรจาต่อรอง ใหญเ่ กย่ี วข้องกบั สถาบันการวิจัย ทาให้เกิดพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ อัน ในอเมริกาเหนือ เน่ืองมาจากผู้ชายท่ีมีอานาจและการ ปกครองเหนือกว่าเพศหญงิ โครงสร้างและหน้าที่ครอบครัว พบว่าเมื่อมีปัญหาหรือข้อสงสัยในเร่ือง กับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของ เพศ จะปรึกษาคูร่ กั ร้อยละ 2.13 นั ก เ รี ย น ห ญิ ง ช้ั น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ตอนต้น อาเภอเมือง จังหวัด นครศรธี รรมราช จากการทบทวนงานวิจัยข้างต้นจะเห็นได้ว่า ปจั จัยเก่ียวกับความเชื่อ ความศรัทธา ทีม่ ีต่อคู่นอนน้ัน มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่มากนัก ดังน้ันจงึ น่าท่ีจะศึกษาว่า ความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมี ตอ่ คนู่ อนนน้ั จะมีความสัมพนั ธก์ ับพฤติกรรมเสีย่ งทางเพศ และการมเี พศสัมพันธ์หรือไม่

43 จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ที่ได้กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า เม่ือเด็กเข้าสู่วัยรุ่นน้ันจะมีพัฒนาการท้ังทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ไปพร้อมๆกัน นอกจากนั้น พัฒนาการในแต่ละด้านยงั ก่อให้เกดิ ปัญหาต่างกัน ดังน้ันการจะใหว้ ัยรุ่นมีพัฒนาการดีใน ทกุ ด้านต้องอาศยั ความรัก ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ การให้ความรู้และคาแนะนาทด่ี ี และมีประโยชน์ จากผู้ใหญ่ท้ังที่บา้ นและที่โรงเรียนเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างถูกต้อง รวมท้ังการร่วมมือจากทุกภาค ส่วน ได้แก่ ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน จึงมีหน้าท่ีช่วยกันส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กวัยรุ่นมี พฤติกรรมตามศักยภาพสงู สุด อกี ท้งั ยงั มปี จั จยั แวดล้อมอื่นๆ ทอี่ าจมีผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของ วัยรุ่นได้ แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของวัยรุ่นนั้นไม่ได้ข้ึนอยู่กับปัจจัยระดับบุคคลของ วัยรุ่นเองเท่าน้ัน แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ท่ีอาจมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และทาให้เกิด พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ผู้วิจัยจึงสนใจปัจจัยต่างๆเหล่านั้น ที่อาจมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยง ทางเพศ และการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นได้ กล่าวคือ ปัจจัยระดับบุคคล ได้แก่ ความรู้เก่ียวกับเรื่อง เพศศึกษา และการเห็นคุณค่าในตนเอง ปัจจัยระดับระหว่างบุคคล ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อพ่อแม่ เพ่ือน ครู และคู่นอน ซ่ึงปัจจัยเหล่านั้นน่าจะมีความสัมพันธ์กับ พฤตกิ รรมเส่ยี งทางเพศ และการมีเพศสมั พันธ์ ของนักเรยี นระดับมัธยมศึกษา

44 บทท่ี 3 ระเบียบวิธีการวิจัย การศึกษาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และปัจจัยท่ีมี ความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ซึ่งมี รายละเอยี ดการดาเนินการวิจัยดังน้ี 3.1 รูปแบบการวจิ ัย การวิจัยคร้ังนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ ( Analytical Cross – Sectional Study) เพ่ือศกึ ษาพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และปจั จยั ท่ีมคี วามสมั พนั ธก์ ับการมีเพศสมั พันธ์ ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษา ป่ีท่ี 2 - 6 โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จังหวัดลาปาง เก็บรวบรวม ขอ้ มูลโดยใชแ้ บบสอบถาม 3.2 ประชากร ประชากรในการวิจัยคร้ังนี้ได้แก่นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2-6 ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในภาค เรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2559 โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จงั หวัดลาปาง จานวน 415 คน ซึ่งในการวิจัย คร้งั น้สี ารวจประชากรทัง้ หมด 3.2.1 เกณฑก์ ารคัดเข้า (Inclusion criteria) 3.2.1.1 นักเรียน ท่ีกาลังศึกษาระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที 2 – 6 โรงเรียนศึกษา สงเคราะห์ จังหวดั ลาปาง 3.2.2 เกณฑ์การคดั ออก (Exclusion criterria) 3.2.2.1 ไม่มาโรงเรียนในวันทเ่ี ก็บข้อมลู 3.2.2.2 ตอบแบบสอบถามไมค่ รบถว้ น

45 3.3 ข้อพิจารณาดา้ นจริยธรรม การศึกษาน้ีได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมชุดท่ี 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เลขท่ีโครงการ 016/2559 วันที่ 25 พฤษภาคม 2559 ในระหว่างการเก็บ ข้อมูลผู้ศึกษาได้ทาการชี้แจงเกี่ยวกับสิทธิและการเก็บข้อมูลแก่ทางโรงเรียนและอาสาสมัครวิจัย พร้อมท้ังอธิบายวัตถุประสงค์การศึกษา ระยะเวลาในการศึกษา ข้ันตอนในการศึกษา และวิธีใน การศึกษาเพอ่ื ให้มีความเข้าใจท่ีตรงกัน ซ่ึงอาสาสมัครวิจัยสามารถตอบรับหรือปฏิเสธการเข้าร่วมการ วิจัยคร้ังน้ีได้โดยไม่มีผลกระทบใดๆ และอาสาสมัครวิจัยสามารถถอนตัวขณะท่ีทาการศึกษาได้ก่อนที่ การดาเนินการจะสิ้นสุดลงโดยไม่ต้องบอกสาเหตุ และอาสาสมัครวิจัยที่มีอายุต่ากว่า 18 ปี ท่ียินยอม เข้าร่วมการวิจัยในคร้ังนี้ต้องมีการลงลายมือช่ือยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรในเอกสารยินยอมตนให้ ทาการวิจัยจากครูผู้ดูแล เน่ืองด้วยโรงเรียนแห่งน้ีเป็นโรงเรียนประจา ครูผู้ดูแลนั้นจะเป็นผู้ดูแล อาสาสมัครวิจัย ในทุกๆด้าน ดังน้ันอาสาสมัครวิจัยจึงอยู่ในความดูแลของครูผู้ดูแล ข้อมูลในการท่ี ไดร้ ับจากการวจิ ัยครั้งนี้ ผวู้ จิ ัยจะนาเสนอในภาพรวมไมม่ กี ารระบุช่อื ของอาสาสมัครวจิ ยั 3.4 เครอ่ื งมอื ทใี่ ชว้ ิจยั การศึกษาวิจยั ครั้งน้ี ใชแ้ บบสอบถาม ซ่ึงสร้างขนึ้ จากการศกึ ษาค้นคว้าเอกสารงานวจิ ยั ท่ี เก่ียวข้องนามารวบรวมปรับปรุง ให้มีความเหมาะสมกับการศึกษาครั้งน้ี โดยมีขั้นตอนในการสร้าง ดังน้ี 3.4.1 ผู้วจิ ัยคน้ ควา้ เอกสาร วารสาร หนังสือ และงานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วข้อง 3.4.2 ผู้วิจัยประยุกต์ใช้เคร่ืองมือ ตามแนวคิด Ecological Model ซึ่งเป็นการ วิเคราะห์หาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ โดยมีปัจจัยประกอบด้วย ปัจจัยระดับบุคคล และปัจจยั ระดับระหว่างบคุ คล 3.4.3 แบบสอบถามมีลักษณะข้อคาถามมีทั้งแบบคาถามปลายเปิด ปลายปิด แบบ เลือกตอบ(Multiple Choices) และแบบมาตราส่วน 5 ระดบั โดยแบง่ ออกเปน็ 4 ส่วน ดงั นี้ ส่วนท่ี 1 แบบสอบถามข้อมูลลักษณะประชากร ได้แก่ เพศ อายุ ระดับช้ัน การศกึ ษาซึง่ เปน็ คาถามชนดิ เลือกตอบ และคาถามปลายเปิด จานวน 3 ข้อ ส่วนท่ี 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยระดับบุคคล ได้แก่ ความรู้เรื่องเพศศึกษา และการเห็นคณุ ค่าในตนเอง

46 (1) ความรู้เรอื่ งเพศศึกษา แบบสอบถามความรู้เรื่องเพศศึกษา เป็นแบบปรนัยเลือกคาตอบ (Multiple Choice) ซ่ึงผู้วิจัยได้ดัดแปลงมาจากคาถามของ บุญเย่ียม สุทธิพงศ์เกียรติ (31) มีจานวน 15 ข้อมี 4 ตัวเลือกประกอบด้วยตัวเลือกถกู 1 ตัวเลือก และตัวเลือกผิด 3 ตัวเลือก โดยใหผ้ ู้ตอบเลือกตอบเพียง ข้อเดยี วท่ีคดิ วา่ ถกู ทสี่ ดุ มีจานวน 20 ข้อ เกณฑ์การให้คะแนน ข้อทถ่ี กู = 1 คะแนน ขอ้ ที่ผิด = 0 คะแนน จากแบบสอบถามมาหาผลรวม โดยนาคะแนนรวมมาจัดลาดับแบ่งกลุ่ม โดย ประยกุ ต์เกณฑ์การประเมนิ ความรแู้ บบอิงเกณฑ์ ของBloom (74) มาใช้ ระดบั ความรู้ รอ้ ยละของคะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด้ ระดับสงู มากกว่าหรอื เทา่ กับ 80 12-15 ระดับปานกลาง อยรู่ ะหวา่ ง 60 - 79 9-11 ระดบั ตา่ นอ้ ยกว่าหรอื เทา่ กบั 59 0 -8 (2) การเหน็ คุณค่าในตนเอง แบบสอบถามเกี่ยวกับการเห็นคุณค่าในตนเอง มีข้อคาถาม 12 ข้อ ซ่ึงผู้วิจัยได้ ดัดแปลงมาจากคาถามของ สุทิศา โขงรัมย์ (64) และสุพัตรา พรหมเรนทร์ (54) ลักษณะคาถามเป็น ข้อความเชิงบวก และข้อความเชิงลบให้เลือกตอบ ประกอบด้วยตัวเลือก 5 ระดับ ช่วงคะแนนของ แบบสอบถาม 12 - 60 คะแนน คาถามทีเ่ ป็นขอ้ ความเชงิ บวก 8 ขอ้ ไดแ้ ก่ 1,2,4,5,6,7,9,10 คาถามทเี่ ปน็ ข้อความเชิงลบ 4 ข้อ ไดแ้ ก่ 3,8,11,12 เกณฑ์การให้คะแนนเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ ดงั น้ี เห็นด้วยอย่างย่ิง หมายถึง นักเรียนเห็นว่าข้อความในประโยคนั้นตรงกับความ คิดเห็นของนักเรียน มากทส่ี ุด เห็นดว้ ย หมายถึง นักเรียนเห็นว่าขอ้ ความในประโยคนั้นตรงกับความคดิ เหน็ ของ นกั เรียนมาก ไมแ่ น่ใจ หมายถึง นักเรยี นเห็นว่าข้อความในประโยคนั้นตรงกบั ความคิดเหน็ ของ นกั เรียนมากกา้ กง่ึ เพียงครึ่งหน่ึง

47 ไม่เห็นด้วย หมายถึง นักเรียนเห็นว่าข้อความในประโยคน้ันไม่ตรงกับความ คิดเห็นของนกั เรยี นมาก ไม่เห็นด้วยอย่างย่ิง หมายถึง นักเรียนเห็นว่าข้อความในประโยคน้ันไม่ตรงกับ ความคิดเหน็ ของนกั เรียนมากทส่ี ดุ โดยมีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนดังน้ี ข้อเลือก ขอ้ ความทางบวก ขอ้ ความทางลบ (คะแนน) (คะแนน) เห็นด้วยอย่างยงิ่ 51 เห็นด้วย 42 ไม่แน่ใจ 33 ไม่เหน็ ดว้ ย 24 ไมเ่ ห็นดว้ ยอยา่ งยิ่ง 1 5 การแปลความหมายค่าเฉลี่ยใช้เกณฑ์การแบ่งช่วงการแปลผลของการแบ่งอันตรภาคช้ัน (Class Intervel) ของสุพตั รา พรหมเรนทร์ (54) ดงั น้ี 1.00 – 2.33 หมายถงึ มีการเห็นคณุ ค่าในตนเองอยูใ่ นระดับต่า 2.34 – 3.66 หมายถงึ มกี ารเห็นคุณค่าในตนเองอยูใ่ นระดับปานกลาง 3.67 – 5.00 หมายถงึ มกี ารเหน็ คณุ ค่าในตนเองอยใู่ นระดบั สูง สว่ นที่ 3 แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยระดับระหว่างบุคคล ได้แก่ ความสัมพันธ์ใน ครอบครัว ความเช่อื ความศรทั ธาท่ีมีตอ่ เพ่ือน พ่อแม่ ครู และคนู่ อน (1) ความสมั พนั ธใ์ นครอบครวั เป็นแบบสอบถาม มขี ้อคาถาม 8 ข้อ ซง่ึ ผู้วิจัยได้ดัดแปลงมาจากข้อคาถามของ พรชเนตต์ บุญคง (27) ลักษณะคาถามเป็นข้อความเชิงบวก และเชิงลบให้เลือกตอบ ประกอบด้วย ตวั เลือก 5 ระดับ ช่วงคะแนนของแบบสอบถาม 8 - 40 คะแนน คาถามทเี่ ป็นขอ้ ความเชิงบวก 1,5,7,8 คาถามทเ่ี ปน็ ขอ้ ความเชงิ ลบ 2,3,4,6 เกณฑก์ ารให้คะแนนแบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating scale) ดงั นี้ จริงมากทส่ี ุด หมายถงึ เกิดขน้ึ เสมอทกุ คร้งั จรงิ มาก หมายถึง เกดิ ขึ้นแทบทุกครั้ง จรงิ ปานกลาง หมายถงึ เกดิ ข้ึนในบางโอกาส

48 จริงเลก็ น้อย หมายถึง เกดิ ขึน้ นานๆครั้ง ไม่จรงิ เลย หมายถงึ ไมเ่ คยเกดิ ขน้ึ เลย โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้ ข้อความเชงิ บวก ข้อความเชงิ ลบ จรงิ มากที่สุด 51 จริงมาก 42 จรงิ ปานกลาง 3 3 จรงิ เลก็ นอ้ ย 24 ไมจ่ รงิ เลย 15 ระดับความสัมพันธใ์ นครอบครัว แบ่งเป็น 3 ระดับ โดยพิจารณาจากร้อยละคะแนนทไ่ี ด้ ใช้เกณฑก์ ารแบง่ กลมุ่ ของ Bloom (74) ระดับความสัมพนั ธใ์ นครอบครัว รอ้ ยละของคะแนนเตม็ คะแนนที่ได้ ระดบั สงู มากกว่าหรอื เท่ากบั 80 32 - 40 ระดับปานกลาง อยูร่ ะหวา่ ง 60 - 79 24 - 31 ระดบั ต่า นอ้ ยกวา่ หรอื เท่ากับ 59 8 - 23 (2) ความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีตอ่ เพื่อน เป็นแบบสอบถาม มีข้อคาถาม 3 ข้อ ซึ่งผู้วิจัยได้ดัดแปลงมาจากข้อคาถามของ ไพฑรู ย์ พันธแ์ ตง (70) จานวน 1 ขอ้ และผวู้ จิ ัยสร้างข้ึนเอง จากการทบทวนวรรณกรรม จานวน 2 ข้อ ลักษณะคาถามเปน็ การเลอื กตอบ ใช่ หรอื ไม่ใช่ 1 หมายถึง ใช่ 2 หมายถงึ ไมใ่ ช่ การแปลความหมาย ความเช่ือ ความศรัทธาท่ีมีต่อเพื่อน ได้แบ่งคะแนนเป็น 4 ระดบั ดงั นี้ คะแนน ระดับความเช่ือ ความศรัทธา 3 สงู 2 ปานกลาง 1 น้อย 0 ไมม่ คี วามเช่ือ ความศรทั ธา

49 (3) ความเชอ่ื ความศรัทธาทมี่ ีตอ่ พ่อแม่ เป็นแบบสอบถาม มีข้อคาถาม 3 ข้อ ซ่ึงผู้วิจัยได้ดัดแปลงมาจากข้อคาถามของ ไพฑรู ย์ พันธ์แตง (70) จานวน 1 ขอ้ และผู้วจิ ัยสร้างข้ึนเอง จากการทบทวนวรรณกรรม จานวน 2 ข้อ ลกั ษณะคาถามเปน็ การเลอื กตอบ ใช่ หรอื ไมใ่ ช่ 1 หมายถึง ใช่ 2 หมายถึง ไม่ใช่ การแปลความหมาย ความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อพ่อแม่ ได้แบ่งคะแนนเป็น 4 ระดับดังน้ี คะแนน ระดับความเชือ่ ความศรัทธา 3 สูง 2 ปานกลาง 1 นอ้ ย 0 ไม่มคี วามเช่ือ ความศรทั ธา (4) ความเช่อื ความศรทั ธาท่มี ีตอ่ ครู เป็นแบบสอบถาม มีข้อคาถาม 3 ข้อ ซ่ึงผู้วิจัยได้ดัดแปลงมาจากข้อคาถามของ ไพฑรู ย์ พันธ์แตง (70) จานวน 1 ขอ้ และผวู้ ิจยั สร้างขน้ึ เอง จากการทบทวนวรรณกรรม จานวน 2 ข้อ ลกั ษณะคาถามเปน็ การเลือกตอบ ใช่ หรอื ไมใ่ ช่ 1 หมายถึง ใช่ 2 หมายถึง ไม่ใช่ การแปลความหมาย ความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อครู ได้แบ่งคะแนนเป็น 4 ระดับดงั น้ี คะแนน ระดับความเช่ือ ความศรทั ธา 3 สงู 2 ปานกลาง 1 นอ้ ย 0 ไม่มคี วามเชือ่ ความศรัทธา

50 (5) ความเชือ่ ความศรทั ธาทม่ี ีต่อค่นู อน เป็นแบบสอบถาม มีข้อคาถาม 3 ข้อ ซ่ึงผู้วิจัยได้ดัดแปลงมาจากข้อคาถามของ ไพฑูรย์ พันธแ์ ตง (70) จานวน 1 ขอ้ และผวู้ จิ ัยสร้างข้นึ เอง จากการทบทวนวรรณกรรม จานวน 2 ข้อ ลักษณะคาถามเปน็ การเลอื กตอบ ใช่ หรอื ไม่ใช่ 1 หมายถงึ ใช่ 2 หมายถงึ ไมใ่ ช่ การแปลความหมาย ความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อคู่นอน ได้แบ่งคะแนนเป็น 4 ระดับ ดังน้ี คะแนน ระดับความเชอ่ื ความศรัทธา 3 สงู 2 ปานกลาง 1 น้อย 0 ไมม่ ีความเช่อื ความศรทั ธา สว่ นท่ี 4 แบบสอบถามเก่ียวกบั พฤติกรรมเสยี่ งทางเพศ แบบสอบถามมีจานวน 5 ข้อ ซ่ึงผู้วิจัยสร้างข้ึนเองจากการทบทวนวรรณกรรม เปน็ แบบสอบถามปลายเปิด และแบบสอบถามมคี าตอบให้เลอื ก 3.5 การตรวจสอบความตรงของเน้อื หา (Content Validity) ผู้วิจัยนาเคร่ืองมือที่จัดทาขึ้นให้อาจารย์ผู้ควบคุมสารนิพนธ์ จากน้ันนาส่งผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 3 ท่าน ประกอบด้วยผู้เช่ียวชาญด้านส่งเสริมสุขภาพ จานวน 1 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญด้าน สาธารณสุข จานวน 2 ท่าน ตรวจสอบความตรงของเนื้อหาและความเหมาะสมของภาษาท่ีใช้ และปรับปรุงเคร่ืองมือให้ถูกต้องก่อนนาไปทดสอบโดยแก้ไขเพ่ิมเติม ข้อความให้ถูกต้อง และเหมาะสมทางด้านภาษา และขอ้ เสนอแนะของผ้ทู รงคณุ วุฒิ มีคา่ เทา่ กับ 0.89 3.6 การหาความเชอ่ื มัน่ ของเคร่ืองมอื (Reliability) นาแบบสอบถามทผี่ ่านการตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขโดยอาจารย์ผู้ควบคุมสารนิพนธ์ และผู้ทรงคุณวุฒิ นาไปทดสอบคุณภาพเครื่องมือ (Try Out) โดยนาแบบสอบถามไปทดลองใช้กับ

51 นักเรียนในโรงเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษา ซ่ึงไม่ใช่กลุ่มของโรงเรียนที่จะทาการศึกษา ได้แก่ โรงเรียน อรุโณทัย จานวน 30 คน จากน้ันนามาหาความเช่ือมั่นของเครื่องมือ โดยคานวณหาค่าสัมประสิทธ์ิ แอลฟ่าครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) มคี ่าเท่ากับ 0.766 3.7 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ห ลั ง จ า ก ไ ด้ รั บ ก า ร อ นุ มั ติ โ ค ร ง ก า ร ก า ร ศึ ก ษ า อิ ส ร ะ ฉ บั บ ส ม บ รู ณ์ ใ ห้ ด า เ นิ น ก า ร ทาการศกึ ษาผูว้ จิ ัยดาเนนิ การดงั น้ี 3.7.1 ส่งโครงร่างการศึกษาค้นคว้าอิสระและเอกสารประกอบ เพ่ือขอรับการพิจารณา จริยธรรมจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พจิ ารณาใหค้ วามเห็นชอบในการดาเนนิ การวิจยั 3.7.2 ผู้ วิ จั ย ท า ห นั ง สื อ น า ห นั ง สื อ จ า ก ค ณ ะ บ ดี ค ณ ะ ส า ธ า ร ณ สุ ข ศ า ส ต ร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมโครงร่างการวิจัย และเครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย เสนอต่อผู้อานวยการ โรงเรียน เพ่อื ขออนญุ าตและขอความร่วมมือในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 3.7.3 ติดต่อและประสานงานกับอาจารย์ผู้เกี่ยวข้อง เพื่อช้ีแจงวัตถุประสงค์การวิจัย ข้นั ตอน และรายละเอียด ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 3.7.4 ผู้วิจยั เขา้ พบและแนะนาตัวกับอาสาสมคั รวิจัย เพ่อื ชแี้ จงวัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย และขอความอนุเคราะห์ในการตอบแบบสอบถาม 3.7.5 รวมท้ังอธิบายถึงการยินยอมและสิทธิ โดยอาสาสมัครวิจัย ต้องได้รับการยินยอม เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรจากครูผ้ดู แู ล 3.7.6 ผู้วิจัยแจกแบบสอบถามให้กับอาสาสมัครวิจัย อธิบายถึงวิธีตอบแบบสอบถาม อย่างละเอียด แล้วเปิดโอกาสให้อาสาสมัครวิจัย สอบถามข้อสงสัยด้วยตัวเอง โดยขอความร่วมมือให้ อาสาสมัครวิจัย ตรวจสอบความครบถ้วนของแบบสอบถามด้วยตนเองก่อนส่งคืน โดยใช้เวลาในการ ตอบแบบสอบถามคนละ 30 -45 นาที เม่ือผู้ตอบแบบสอบถาม ตอบแบบสอบถามเรียบร้อยแล้ว ผวู้ ิจยั กล่าวขอบคุณอาสาสมัครวิจัย และอาจารย์ 3.7.7 นาข้อมลู ที่ไดม้ าตรวจสอบความสมบรณู ์ และความถกู ต้อง 3.7.8 นาข้อมูลที่ไดม้ าคิดคะแนน และวิเคราะห์ทางสถิติ 3.7.9 การวเิ คราะห์ข้อมูลและสถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวจิ ัย

52 3.8 การวิเคราะหข์ อ้ มลู และสถิติทใี่ ช้ในการวจิ ัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์เพื่อให้สอดคล้องกับ ลักษณะของข้อมูล และตอบวตั ถุประสงค์ดังนี้ 3.8.1 สถิตเิ ชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ข้อมูลทั่วไป ได้แก่ อายุ เพศ ระดับช้ันการศึกษา วิเคราะห์ด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 3.8.2 สถติ วิ ิเคราะห์ (Analytical Statistics) หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยระดับบุคคล ปัจจัยระดับระหว่างบุคคล กับการมี เพศสัมพันธ์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โดยวิธี Chi- square tests และ Independent t-test

53 บทที่ 4 ผลการวจิ ยั และอภิปรายผลการวจิ ัย การวิจัยคร้ังนี้เป็นรูปแบบการศึกษาแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ (Analytical Cross – Sectional Study) มวี ัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และปัจจยั ท่ีมคี วามสัมพันธ์กับ การมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียน โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปี่ที่ 2 - 6 ทาการเก็บ ข้อมูลในนักเรียนท้ังหมด 415 คน จากการตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของ แบบสอบถามมีเหลือจานวน 409 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 98.55 ของนักเรียนท่ีตอบแบบสอบถาม ทัง้ หมดท่นี ามาใชใ้ นการสรปุ ผลการวิจัย ดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี 4.1 ลักษณะทั่วไปของกลมุ่ ประชากร ตารางท่ี 4.1 จานวนและร้อยละของนักเรยี น จาแนกตามลักษณะประชากร (n = 409) ข้อมูลท่ัวไป จานวน ร้อยละ อาย(ุ ปี) 1 0.2 41 10.0 12 96 23.5 105 25.7 13 85 20.8 43 10.5 14 35 8.6 3 0.7 15 15.26 ± 1.45 15 (12,19) 16 17 18 19 ˉx ±SD Median(min,max)

54 ตารางท่ี 4.1 จานวนและร้อยละของนกั เรียน จาแนกตามลักษณะประชากร (n = 409) (ต่อ) ขอ้ มูลทั่วไป จานวน ร้อยละ เพศ 189 46.2 ชาย 220 53.8 หญงิ ระดบั ช้นั การศึกษา 112 27.4 มัธยมศึกษา 2 109 26.7 มธั ยมศกึ ษา 3 98 24.0 มธั ยมศกึ ษา 4 46 11.2 มธั ยมศกึ ษา 5 44 10.7 มธั ยมศกึ ษา 6 จากตารางท่ี4.1 นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2- 6 มีจานวนทั้งหมด 409 คน นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 53.8 และเพศชายร้อยละ 46.2 โดยมีอายุ 15 ปี รอ้ ยละ 25.7 รองลงมาอายุ14 ปี ร้อยละ 23.5 และอายุ16 ปี ร้อยละ 20.8 ตามลาดับ อายุเฉล่ีย 15.26 ปี (SD±1.45) มีอายุสูงสุด 19 ปี และอายุต่าสุด 12 ปี ส่วนใหญ่ศึกษาในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ร้อยละ 27.4 รองลงมาศึกษาระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ร้อยละ 26.7 และการศึกษาระดับระดับชั้น มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 รอ้ ยละ 24 ตามลาดบั 4.2 ปัจจยั ระดบั บุคคล 4.2.1 ความรู้เรอ่ื งเพศศกึ ษา

55 ตารางท่ี 4.2 จานวนรอ้ ยละความรู้เรื่องเพศศึกษาของนักเรียน ขอ้ คาถาม ถกู ผดิ (รายละเอียดข้อคาถามในภาคผนวก) จานวน จานวน (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) 1.ข้อใดแสดงว่าเด็กหญิงเข้าสู่วุฒิภาวะทางเพศหญิงท่ี 328(80.2) 81(19.8) สมบรูณแ์ ล้ว 2.ข้อใดถอื ว่า ไม่ ถกู ตอ้ ง 261(63.8) 148(36.2) 3.อัณฑะ (testis) ในเพศชาย มหี นา้ ทใี่ ด 236(57.7) 173(42.3) 4.รงั ไขใ่ นเพศหญิง มหี นา้ ที่ใด 258(63.1) 151(36.9) 5.ขอ้ ใดกล่าวถูกต้องเกย่ี วกบั ประจาเดอื น 131(32.0) 278(68.0) 6.ขอ้ ใดกลา่ วถกู ต้องทส่ี ดุ เกยี่ วกับฮอรโ์ มนเทสโทสเทอโรน 121(29.6) 288(70.4) (testosterone) 7.ข้อใดกล่าวถูกต้องทีส่ ดุ เกยี่ วกับฮอร์โมนเอสโทรเจน 198(48.4) 211(51.6) (estrogen) 8. การฝนั เปยี ก คอื อะไร 273(66.7) 136(33.3) 9. การตงั้ ครรภ์เกิดขน้ึ ได้อยา่ งไร 215(52.6) 194(47.4) 10. ขอ้ ใดกล่าวถึง ความหมายของการคุมกาเนิดไดถ้ ูกต้อง 188(46.0) 221(54.0) มากทส่ี ุด 11. วธิ ีคมุ กาเนิด แบบช่ัวคราวได้แกข่ ้อใด 264(64.5) 145(35.5) 12. โรคเอดส์ สามารถตดิ ต่อได้ทางใด 271(66.3) 138(33.7) 13. ข้อใดกลา่ วถึงลกั ษณะอารมณข์ องวัยรุ่นได้ถกู ต้องมาก 162(39.6) 247(60.4) ทส่ี ุด 14. ขอ้ ใดเป็นการปฏิบัตทิ เี่ หมาะสมทส่ี ุดในการคบเพ่ือน 228(55.7) 181(44.3) ตา่ งเพศของผหู้ ญงิ 15. พฤติกรรมทเ่ี หมาะสมท่ีผชู้ ายควรปฏบิ ัติตอ่ เพ่ือนตา่ ง 258(63.1) 151(36.9) เพศคือ จากตารางที่ 4.2 ความรู้เร่ืองเพศศึกษาของนักเรียนโรงเรียนประจา ระดับมัธยมศึกษา ในส่วนข้อคาถามท่ีนักเรียนส่วนใหญ่ตอบถูกมากที่สุดคือ ข้อคาถาม “ข้อใดแสดงว่าเด็กหญิงเข้าสู่วุฒิ

56 ภาวะทางเพศหญิงท่ีสมบรูณ์แล้ว” นักเรียนส่วนใหญ่ตอบถูกร้อยละ 80.2 และข้อคาถามที่นักเรียน ส่วนใหญ่ตอบผิดมากที่สุดคือ ข้อคาถาม “ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุดเก่ียวกับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (testosterone)” นกั เรยี นสว่ นใหญต่ อบผิดร้อยละ 70.4 4.2.2 การเห็นคณุ ค่าในตนเอง ตารางที่ 4.3 จานวนรอ้ ยละการเหน็ คณุ คา่ ในตนเองของนักเรยี น ร้อยละการเหน็ คุณคา่ ในตนเอง ,n(%) คาถาม เหน็ ดว้ ย เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็น ไม่เหน็ xˉ ±SD อยา่ งยิง่ ดว้ ย ด้วยอยา่ ง ยงิ่ 1. นกั เรยี นชอบท่ี 4.62±0.65 ตัวเองมสี ุขภาพ 288(70.4) 92(22.5) 24(5.9) 5(1.2) 0(0.0) แข็งแรง 2. นักเรียนคดิ วา่ 4.08±0.71 นกั เรยี นมี 115(28.1) 217(53.1) 73(17.8) 3(0.7) 1(0.3) สตปิ ัญญาดี 3. นักเรียนรสู้ กึ 2.42±0.93 ไม่มีความเช่ือม่นั 11(2.7) 29(7.2) 149(36.4) 156(38.1) 64(15.6) ในตนเอง 4. นกั เรียนพอใจ 3.91±0.92 ในรูปร่างหนา้ ตา 119(29.1) 163(39.9) 103(25.2) 18(4.4) 6(1.4) ของตนเอง 5. นกั เรียนเปน็ 85(20.8) 136(33.3) 160(39.1) 22(5.4) 6(1.4) 3.67±0.91 คนกลา้ แสดงออก 6. นกั เรียนรจู้ กั 3.89±0.90 ข้อเดน่ และ 119(29.1) 152(37.2) 116(28.4) 19(4.6) 3(0.6) ข้อด้อยของ ตนเองดี

57 ตารางที่ 4.3 จานวนรอ้ ยละการเห็นคุณคา่ ในตนเองของนกั เรียน (ตอ่ ) ร้อยละการเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง ,n(%) คาถาม เห็นด้วย เห็นดว้ ย ไม่แน่ใจ ไม่เห็น ไม่เหน็ xˉ ±SD อย่างย่ิง ดว้ ย ดว้ ยอย่าง ยงิ่ 7. นกั เรยี นเป็นผู้ 3.89±0.85 ท่ีครแู ละเพ่ือนๆ 109(26.7) 161(39.4) 124(30.3) 13(3.1) 2(0.5) ยอมรับ 8. นักเรียนอยาก 2.45±1.19 เปลย่ี นแปลง รปู รา่ งหนา้ ตา 25(6.1) 57(13.9) 103(25.2) 118(28.9) 106(25.9) เพ่อื ใหเ้ ป็นท่ีชน่ื ชมของผู้พบเห็น 9. นักเรยี นเปน็ 4.00±0.79 นักเรยี นท่เี ชือ่ ฟัง คณุ ครแู ละเคารพ 113(27.6) 195(47.7) 90(22.0) 9(2.2) 2(0.5) กฎระเบียบของ โรงเรยี น 10. นกั เรยี นไม่ 3.88±0.95 เอาตวั เองไป 118(28.8) 160(39.1) 105(25.7) 17(4.2) 9(2.2) เปรียบเทียบกบั ใคร 11. นกั เรยี นรู้สึก 2.63±1.12 ว่าไม่ สามารถทา 28(6.8) 55(13.4) 134(32.8) 121(29.6) 71(17.4) อะไรสาเรจ็ ลุลว่ ง ไดด้ ้วยตัวเอง 12. นักเรยี น 2.78±1.22 อยากมีทกุ อยา่ งที่ 31(7.6) 96(23.5) 112(27.4) 90(22.0) 80(19.5) เพื่อนมี

58 จากตารางที่ 4.3 การเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรยี นระดับมัธยมศึกษา พบว่านกั เรียน ส่วนใหญ่เหน็ คณุ คา่ ในตนเองมากที่สุด ในเร่ือง “นักเรียนชอบทตี่ ัวเองมสี ขุ ภาพแข็งแรง” มากที่สุด นกั เรียนส่วนใหญต่ อบว่าเหน็ ดว้ ยอยา่ งยิ่ง รองลงมาตอบเห็นดว้ ย (ร้อยละ 70.4 และรอ้ ยละ 22.5 ตามลาดับ) และพบว่านักเรยี นสว่ นใหญ่เหน็ คุณค่าในตนเองน้อยทส่ี ุด ในเรื่อง “นักเรียนอยาก เปลี่ยนแปลงรปู ร่างหน้าตาเพื่อใหเ้ ปน็ ทีช่ น่ื ชมของผู้พบเหน็ ” นกั เรยี นตอบไม่เห็นด้วย รองลงมาตอบ ไมเ่ หน็ ดว้ ยอยา่ งยงิ่ (ร้อยละ 28.9 และ ร้อยละ 25.9 ตามลาดับ) 4.3 ปจั จัยระดบั ระหวา่ งบุคคล 4.3.1 ความสัมพันธใ์ นครอบครวั ตารางที่ 4.4 จานวนรอ้ ยละความสัมพันธใ์ นครอบครัว ความสมั พันธ์ในครอบครวั , n(%) คาถาม จรงิ มาก จริงมาก จรงิ ปาน จรงิ ไมจ่ ริง xˉ ±SD ท่สี ุด กลาง เล็กนอ้ ย เลย 1. นกั เรียน 4.18±0.91 สามารถพูดคยุ และ 189(46.2) 122(29.9) 84(20.5) 10(2.4) 4(1.0) ขอคาปรึกษาจาก พ่อแม่ได้ทกุ เร่ือง 2. พ่อแม่ของ 3.16±1.16 นกั เรียนทะเลาะ 64(15.6) 92(22.5) 128(31.3) 96(23.5) 29(7.1) เบาะแวง้ กันเสมอ 3. พอ่ แม่ของ 3.23±1.36 นกั เรยี นไม่มีเวลา 106(25.9) 62(15.2) 117(28.6) 70(17.1) 54(13.2) ว่างให้ 4. พ่อแม่ของ 3.52±1.47 นกั เรียนไมเ่ คย 172(42.0) 40(9.8) 76(18.6) 72(17.6) 49(12.0) สนใจปญั หาของ นกั เรียนเลย

59 ตารางท่ี 4.4 จานวนร้อยละความสมั พันธ์ในครอบครวั (ตอ่ ) ความสัมพนั ธใ์ นครอบครวั , n(%) คาถาม จริงมาก จริงมาก จรงิ ปาน จริง ไมจ่ รงิ xˉ ±SD ที่สุด กลาง เล็กน้อย เลย 3.84±1.11 5. เมอ่ื มเี วลาวา่ ง 15(3.7) นกั เรียนและพอ่ แม่ 146(35.7) 113(27.6) 102(24.9) 33(8.1) 3.42±1.43 มกั มีกจิ กรรม 54(13.2) 3.86±1.11 ร่วมกนั เช่น ดูทวี ี 142(34.7) 60(14.7) 87(21.3) 66(16.1) 4.04±1.09 กินขา้ ว หรือไป 143(35.0) 130(31.8) 86(21.0) 34(8.3) 16(3.9) เที่ยวด้วยกนั 186(45.5) 105(25.7) 78(19.1) 27(6.6) 13(3.1) 6. พอ่ แม่ของ นักเรียนไม่เคยรบั ฟงั เหตุผล หรอื ความคิดเหน็ ของ นกั เรียน 7. เมอื่ เกดิ ปัญหา ในครอบครวั พ่อ แมช่ ่วยกนั คดิ แก้ไข ปญั หารว่ มกบั นกั เรียน 8. นกั เรียนรู้สึกพงึ พอใจกับ สมั พันธภาพใน ครอบครัว จากตารางท่ี 4.4 ความสัมพันธ์ในครอบครัวของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นในเร่ืองความสัมพันธ์ในครอบครัว นักเรียนตอบจริงมากท่ีสุดใน เรื่อง “นักเรียนสามารถพูดคุย และขอคาปรึกษาจากพ่อแม่ได้ทุกเร่ือง” ร้อยละ 46.2 และนักเรียน สว่ นใหญแ่ สดงความคิดเห็นในเร่ืองความสัมพันธ์ในครอบครัว นักเรียนตอบไม่จรงิ เลยในเรือ่ ง “พอ่ แม่

60 ของนักเรียนไม่มีเวลาว่างให้” และ“พ่อแม่ของนักเรียนไม่เคยรับฟังเหตุผล หรือความคิดเห็นของ นักเรยี น” ร้อยละ 13.2 4.3.2 ความเชื่อ ความศรทั ธาท่ีมีตอ่ เพอื่ น พอ่ แม่ ครู และค่นู อน ตารางท่ี 4.5 จานวนร้อยละความคดิ เหน็ ของนักเรียนในความเชอ่ื ความศรทั ธาท่ีมีต่อเพ่ือน ความเช่อื ความศรทั ธา ขอ้ ความ ทม่ี ีต่อเพอ่ื น, n(%) 1.นกั เรียนยอมรบั ในคาแนะนาของเพ่ือน ใช่ ไม่ใช่ 2.นักเรยี นมีความไว้ใจในตัวของเพื่อน 3.นักเรยี นคล้อยตาม และพร้อมทจี่ ะปฏบิ ตั ิตามคาแนะนา 330(80.7) 79(19.3) ของเพอื่ น 301(73.6) 108(26.4) 246(60.1) 163(39.9) จากตารางที่ 4.5 ความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อเพื่อนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา จังหวดั ลาปาง พบว่าความเชือ่ ความศรัทธาท่ีมตี ่อเพื่อนในเรื่องของ“นักเรียนยอมรบั ในคาแนะนาของ เพ่ือน” ส่วนใหญ่นักเรียนตอบใช่ ร้อยละ 80.7 และตอบไม่ใช่ร้อยละ 19.3 ในส่วนของ “นักเรียนมี ความไวใ้ จในตวั ของเพ่ือน” นักเรียนตอบใช่ ร้อยละ 73.6 และตอบไม่ใชร่ ้อยละ 26.4 และในเร่ืองของ “นักเรียนคล้อยตาม และพร้อมท่ีจะปฏิบัติตามคาแนะนาของเพ่ือน” นักเรียนตอบใช่ ร้อยละ 60.1 และตอบไม่ใชร่ ้อยละ 39.9

61 ตารางท่ี 4.6 จานวนรอ้ ยละความคิดเหน็ ของนักเรียนในความเช่อื ความศรทั ธาท่มี ีต่อพอ่ แม่ ความเชื่อ ความศรัทธา ขอ้ ความ ทม่ี ตี ่อพอ่ แม่, n(%) 1.นกั เรียนยอมรบั ในคาแนะนาของพ่อแม่ ใช่ ไม่ใช่ 2.นักเรียนมีความไว้ใจในตวั ของพ่อแม่ 3.นักเรียนคลอ้ ยตาม และพร้อมที่จะปฏิบตั ติ ามคาแนะนา 379(92.7) 30(7.3) ของพ่อแม่ 368(90.0) 41(10.0) 375(91.7) 34(8.3) จากตารางที่ 4.6 ความเช่ือ ความศรัทธาท่ีมีต่อพ่อแม่ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา พบว่าความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อพ่อแมใ่ นเรื่อง “นักเรยี นยอมรับในคาแนะนาของพอ่ แม่” นกั เรียน ส่วนใหญ่ตอบว่าใช่ ร้อยละ 92.7 และตอบไม่ใช่ร้อยละ7.3 ในเรื่องของ “นักเรียนมีความไว้ใจในตัว ของพ่อแม่” นักเรียนส่วนใหญ่ตอบว่าใช่ ร้อยละ 90.0 และตอบไม่ใช่ร้อยละ 10.0 และในส่วนของ “นักเรียนคล้อยตาม และพร้อมท่ีจะปฏิบัติตามคาแนะนาของพ่อแม่” นักเรียนตอบใช่ ร้อยละ 91.7 และตอบไมใ่ ช่ร้อยละ 8.3 ตารางที่ 4.7 จานวนรอ้ ยละความคิดเห็นของนกั เรียนในความเชื่อ ความศรทั ธาที่มีต่อครู ความเชื่อ ความศรัทธา ข้อความ ท่มี ีต่อครู, n(%) 1.นักเรียนยอมรบั ในคาแนะนาของครู ใช่ ไมใ่ ช่ 2.นกั เรียนมีความไว้ใจในตัวของครู 3.นกั เรยี นคลอ้ ยตาม และพร้อมท่ีจะปฏิบตั ิตามคาแนะนา 376(91.9) 33(8.1) ของครู 338(82.6) 71(17.4) 360(88.0) 49(12.0) จากตารางที่ 4.7 ความเชอ่ื ความศรัทธาทมี่ ีตอ่ ครขู องนักเรียนระดับมธั ยมศึกษา จังหวัด ลาปาง พบว่าความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อครูในเร่ืองของ “นักเรียนยอมรับในคาแนะนาของครู”

62 นักเรียนส่วนใหญ่ตอบว่าใช่ ร้อยละ 91.9 และตอบไม่ใช่ร้อยละ 8.1 ในส่วนของ “นักเรียนมีความ ไวใ้ จในตวั ของครู” นกั เรียนตอบว่าใช่ รอ้ ยละ 82.6 และตอบไม่ใชร่ ้อยละ 17.4 และพบว่าในเร่ืองของ “นักเรียนคล้อยตาม และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคาแนะนาของครู” นักเรียนตอบใช่ ร้อยละ 88.0 และตอบไมใ่ ชร่ ้อยละ 12.0 ตารางท่ี 4.8 จานวนรอ้ ยละความคิดเหน็ ของนักเรยี นในความเชอ่ื ความศรัทธาทม่ี ตี ่อคูน่ อน ความเช่อื ความศรัทธา ขอ้ ความ ทีม่ ีต่อคนู่ อน, n(%) 1.นักเรยี นยอมรบั ในคาแนะนาของคนู่ อน ใช่ ไม่ใช่ 2.นกั เรยี นมคี วามไว้ใจในตัวของคู่นอน 3.นกั เรียนคล้อยตาม และพร้อมทจ่ี ะปฏบิ ตั ิตามคาแนะนา 218(53.3) 191(46.7) ของคู่นอน 182(44.5) 227(55.5) 176(43.0) 233(57.0) จากตารางที่ 4.8 ความเช่ือ ความศรัทธาที่มีต่อคู่นอนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา จังหวัดลาปาง พบว่าความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อคู่นอนในเร่ือง “นักเรียนยอมรับในคาแนะนาของคู่ นอน” นักเรียนเกินครึ่งตอบว่าใช่ ร้อยละ 53.3 และตอบไม่ใช่ร้อยละ 46.7 “นักเรียนมีความไว้ใจใน ตัวของคู่นอน” นักเรียนเกินครึ่งตอบไม่ใช่ร้อยละ 55.5 และตอบใช่ ร้อยละ 44.5 และพบว่าในส่วน ของ “นักเรียนคล้อยตาม และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคาแนะนาของคู่นอน” นักเรียนตอบว่าไม่ใช่ร้อย ละ 57.0 และตอบใชร่ อ้ ยละ 43.0

63 4.4 พฤตกิ รรมเส่ียงทางเพศ ตารางที่ 4.9 จานวนรอ้ ยละของนักเรียน จาแนกตามพฤตกิ รรมเสยี่ งทางเพศ (n= 409) พฤติกรรมเสย่ี งทางเพศ จานวน รอ้ ยละ การมเี พศสัมพนั ธ์ 29 7.1 เคย 19 65.5 เพศชาย 10 34.5 เพศหญิง 380 92.9 ไมเ่ คย 15 51.7 การใชถ้ งุ ยางอนามยั 14 48.3 ใช้ 2 6.9 ไมใ่ ช้ 27 93.1 การกนิ ยาคุมกาเนดิ กนิ 0 0.0 ไมก่ ิน 29 100 การตง้ั ครรภ์/ยตุ กิ ารต้ังครรภ์ เคย 4 13.8 ไมเ่ คย 25 86.2 การมีเพศสมั พันธโ์ ดยไมย่ ินยอม เคย ไม่เคย จากตารางท่ี 4.9 พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา จังหวัดลาปาง พบว่านักเรยี นสว่ นใหญ่ไม่เคยมเี พศสมั พันธ์ 380 รายคิดเป็นร้อยละ 92.9 และเคยมีเพศสัมพันธ์ 29

64 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.1 ส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 65.5 และเพศหญิงร้อยละ 34.5 นักเรียนมีการ ใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 51.7 และไม่ใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 48.3 นักเรียนเคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ ยนิ ยอมรอ้ ยละ 13.8 นกั เรียนหญงิ กนิ ยาคุมกาเนิดรอ้ ยละ 6.9 และไมก่ ินยาคุมกาเนิด 93.1 ตารางที่ 4.10 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งลักษณะประชากรและการมีเพศสัมพันธ์ ปจั จยั การมีเพศสัมพันธ์, n(%) p-value มี ไมม่ ี 0.030 เพศ <0.001 ชาย 19(65.5) 170(41.6) หญงิ 10(34.5) 210(51.3) 0.030 อายุ (ป)ี 0(0) 1(0.2) 12 1(3.4) 40(10.5) 13 5(17.2) 91(23.9) 14 7(24.1) 98(25.7) 15 7(24.1) 78(20.5) 16 3(10.4) 40(10.5) 17 3(10.4) 32(8.7) 18 3(10.4) 19 0(0) ระดับชัน้ การศกึ ษา 5(17.2) 107(28.1) มธั ยมศกึ ษา 2 9(31.1) 100(26.3) มธั ยมศึกษา 3 5(17.2) 93(24.5) มธั ยมศกึ ษา 4 2(6.9) 44(11.5) มัธยมศกึ ษา 5 8(27.6) 36(9.6) มธั ยมศึกษา 6 จากตารางท่ี 4.10 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะประชากร ไดแ้ ก่ เพศ อายุ และระดับชั้นการศึกษากับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียน ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษา

65 สงเคราะห์ ทดสอบโดยวิธี Chi-square tests พบว่า เพศ อายุ และระดับช้ันการศึกษามี ความสัมพนั ธ์กับการมีเพศสมั พนั ธ์อย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ิ (p=0.030,p<0.001, p=0.030)ตามลาดับ ตารางที่ 4.11 ความสมั พนั ธ์ระหว่างปัจจยั ระดบั บุคคลและการมเี พศสมั พนั ธ์ ปจั จยั ระดบั บคุ คล การมเี พศสัมพันธ์, n(%) p-value มี ไม่มี 0.506 ความรู้เรื่องเพศศึกษา ระดับสงู (12-15 คะแนน) 5(17.2) 62(16.3) 0.562 ระดบั ปานกลาง(9-11คะแนน) 8(27.6) 145(38.1) 0.048 ระดบั ตา่ (0-8 คะแนน) 16(55.2) 173(45.6) ˉx ±SD (7.86±3.62) (8.33±3.20) 0.037 การเห็นคณุ ค่าในตนเอง 3(10.4) 107(28.1) ระดับสงู (45-60 คะแนน) 26(89.6) 273(71.9) ระดับปานกลาง(29-44คะแนน) ระดับตา่ (12-28 คะแนน) 0(0) 0(0) ˉx ±SD (40.34±3.43) (42.36±4.34) จากตารางท่ี 4.11 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยระดับบุคคล ได้แก่ ความรู้เรอื่ งเพศศึกษา การเห็นคุณค่าในตนเองกับการมเี พศสัมพันธ์ของนกั เรียน ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ทดสอบโดยวิธี Chi-square tests พบว่าความรู้เร่ืองเพศศึกษามี ความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ (p>0.05) แต่พบว่าการเห็นคุณค่าใน ตนเองมคี วามสัมพันธก์ บั การมีเพศสมั พนั ธ์อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิ (p=0.048)

66 ตารางที่ 4.12 ความสัมพันธร์ ะหว่างปัจจยั ระดับระหวา่ งบุคคลและการมีเพศสมั พันธ์ ปัจจัยระดบั ระหวา่ งบคุ คล การมีเพศสมั พนั ธ์,n(%) p-value มี ไมม่ ี 0.001 ความสมั พันธ์ในครอบครวั ระดบั สงู (32-40 คะแนน) 2(6.9) 151(39.7) 0.008 ระดับปานกลาง(24-31คะแนน) 22(75.9) 173(45.5) 0.119 ระดบั ตา่ (8-23 คะแนน) 5(17.2) 56(14.8) xˉ ±SD (25.34±2.76) (29.54±5.78) 0.175 ความเชอ่ื ความศรทั ธาที่มีต่อเพอื่ น <0.001 ระดบั มาก(3คะแนน) 13(44.8) 173(45.5) ระดับปานกลาง(2คะแนน) 14(48.3) 121(31.8) 0.008 ระดับต่า(1 คะแนน) 2(6.9) 47(12.3) 0.025 ไมม่ ีความเช่อื และความศรทั ธา (0 คะแนน) 0(0) 39(10.4) ˉx ±SD (2.38±0.62) (2.13±0.98) 0.018 ความเชือ่ ความศรัทธาท่ีมตี ่อพอ่ แม่ ระดบั มาก(3คะแนน) 17(58.5) 317(83.4) ระดบั ปานกลาง 8(27.6) 46(12.1) ระดบั ต่า 4(13.9) 8(2.1) ไมม่ ีความเชือ่ และความศรทั ธา (0 คะแนน) 0(0) 9(2.4) ˉx ±SD (2.45±0.73) (2.77±0.60) ความเช่ือ ความศรัทธาท่ีมีต่อครู ระดับมาก(3คะแนน) 15(51.7) 291(76.5) ระดบั ปานกลาง(2คะแนน) 10(34.5) 58(15.3) ระดับต่า(1 คะแนน) 2(6.9) 18(4.7) ไม่มีความเชือ่ และความศรทั ธา (0 คะแนน) 2(6.9) 13(3.5) ˉx ±SD (2.31±0.89) (2.65±0.72)

67 ตารางท่ี 4.12 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างปจั จยั ระดบั ระหวา่ งบุคคลและการมีเพศสมั พนั ธ์ (ต่อ) ปัจจยั ระดบั ระหว่างบคุ คล การมีเพศสมั พันธ์, n(%) p-value มี ไมม่ ี ความเชื่อ ความศรทั ธาที่มีต่อคนู่ อน 0.001 ระดบั มาก(3คะแนน) 15(51.7) 114(27.9) ระดับปานกลาง(2คะแนน) 10(34.5) 64(15.6) ระดบั ต่า(1 คะแนน) 2(6.9) 39(9.5) ไม่มีความเช่ือและความศรทั ธา (0 คะแนน) 2(6.9) 163(39.9) ˉx ±SD (2.31±0.89) (1.34±1.29) <0.001 จากตารางท่ี 4.12 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยระดับระหว่างบุคคล ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความเช่ือ ความศรัทธาที่มีต่อเพ่ือน พ่อแม่ ครู และคู่นอนกับการมี เพศสัมพันธ์ของนักเรียน ระดับช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ทดสอบโดยวิธี Chi-square tests พบวา่ ความสัมพันธใ์ นครอบครัว ความเชื่อ ความศรทั ธาท่ีมีต่อพอ่ แม่ ความเช่อื ความศรัทธาท่ีมี ต่อครู ความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อคู่นอน มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติ (p-value < 0.05) 4.5 อภิปรายผลการวจิ ยั 4.5.1 ขอ้ มูลลกั ษณะท่วั ไปของกลุ่มประชากร จากการศกึ ษานี้พบว่าปัจจัยลักษณะท่ัวไปของกลุ่มประชากร พบว่า เพศ อายุ ระดับชั้น การศึกษามคี วามสมั พันธ์กับการมเี พศสัมพันธ์ของนักเรยี น 4.5.1.1 เพศ จากการศึกษาในคร้ังน้ี พบว่าปัจจัยเรื่อง เพศมีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ ของนักเรียน สอดคล้องกับการศึกษาของลัชนา ฉายศรี (43) ปี 2553 พบว่าพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ ของชายและหญิงมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p-value<0.05) และจากผล การศึกษาของ Z.Haraken และคณะ (42) ปี ค.ศ.2012 พบว่าเพศมีความสัมพันธ์กับการเพ่ิมขึ้นของ พฤติกรรมเส่ียงทางเพศ เนื่องจากร่างกายและอารมณ์ของเพศหญิง และเพศชายมีความแตกต่างกัน โดยความรูส้ ึกทางเพศของเพศหญิงมักเกิดช้ากวา่ เพศชาย และเพศชายจะถูกกระตุ้นให้เกดิ อารมณท์ าง เพศได้ง่ายกว่าเพศหญงิ (28) และในเรื่องของเพศภาวะ(Gender) ที่วฒั นธรรมของสังคมไทยใช้จาแนก

68 ความแตกต่างระหว่างเพศหญิงและเพศชาย (75) ซ่ึงส่งผลต่อพฤติกรรมการแสดงอานาจของฝ่ายชาย ท่ีเหนือกว่าผู้หญิง และเพศชายอาจแสดงพฤติกรรมท่ีส่ือถึงการมีอานาจท่ีเหนือกว่า เช่นพฤติกรรม เส่ียงทางเพศที่มากกวา่ เพศหญงิ ดงั นนั้ เพศชายจึงมีพฤตกิ รรมเสี่ยงทางเพศทีส่ งู กว่าเพศหญิง 4.5.1.2 อายุ จากการศกึ ษาน้ีพบว่านกั เรยี นอายุ 19 ปี มีพฤตกิ รรมเสย่ี งทางเพศสงู ที่สดุ รอ้ ยละ 100 รองลงมาได้แก่ อายุ 18 ปีมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ร้อยละ 9.4 และพบว่า อายุมีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษาของลัชนา ฉายศรี(43) ปี 2553 พบว่าอายุมี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ(p<0.05) และนักเรียนท่ีมีอายุ 17-19 ปี มีโอกาสเส่ียงต่อการเกิดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ 2.8 เท่าของนักเรียนที่มีอายุ 14 – 16 ปี ซ่ึงวัยรุ่นตอนปลายนั้นมีพัฒนาการทางด้านร่างกายมีการเจริญเติบโตเต็มท่ี มีพัฒนาการทางสมอง สง่ ผลต่อการรับรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกทางเพศ การแสดงออกทางเพศ อารมณ์ ความรู้สึกทาง เพศ รวมท้ังสมรรถนะด้านการคิด วิเคราะห์เป็นอกี ปัจจยั สาคัญทีส่ ่งผลต่อการเกิดพฤติกรรมเสี่ยงทาง เพศของนักเรียน (76) 4.5.1.3 ระดับชนั้ การศึกษา ในการศึกษาคร้ังน้ีพบว่านักเรียนศึกษาในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 ร้อยละ 27.4 รองลงมาศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ร้อยละ 26.7 และพบว่าระดับชั้นการศึกษามี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ สอดคล้องกับการศึกษาของสุภาภรณ์ ปัญหาราช ปีพ.ศ.2556 (29) พบว่าปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ และระดับช้ันการศึกษา มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมเสีย่ งทางเพศ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติระดับ 0.05 สอดคล้องกับการศกึ ษาของณมน ธนิน ธญางกูร (28) ปี พ.ศ.2552 ศึกษาเร่ืองพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในเขต เทศบาลนครขอนแก่น อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พบว่าเพศ อายุ และระดับช้ันการศึกษา มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 และการศึกษาของ พรชเนตต์ บุญคง (27) ปี พ.ศ.2554 พบว่าระดับชั้นการศึกษานักเรียนหญิงระดับอาชีวศึกษามี ความสมั พนั ธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิ (p < 0.001) 4.5.1.4 พฤติกรรมเสย่ี งทางเพศ ในการศึกษาคร้ังน้ี พบว่านักเรียนเคยมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 7.1 ในส่วนนักเรียนท่ี เคยมีเพศสัมพันธ์มีการใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 51.7 และไม่ใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 48.3 นักเรียน หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์กินยาคุมกาเนิดร้อยละ 24.1 และไม่กินยาคุมกาเนิด 75.9 และนักเรียนเคย มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอมร้อยละ 13.8 ซึ่งผลการวจิ ัยนี้ใกล้เคียงกับผลการสารวจของสานกั ระบาด วิทยา กรมควบคุมโรค (77) ปี พ.ศ.2557 พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีการใช้ถุงยางอนามัย

69 ในการมีเพศสมั พันธ์คร้ังแรก ร้อยละ 64.7 ข้อมูลจากสานักอนามัยการเจริญพันธ์ุ กรมอนามัย (77) ปี พ.ศ. 2557 พบการยุติการตั้งครรภ์ ในกลุ่มอายุต่ากว่า 20 ปี ร้อยละ 30 ข้อมูลการคลอดจากสานัก นโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ. 2557 อัตราการคลอดในวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ต่อหญิงอายุ 15-19 ปี 1,000 คน รอ้ ยละ 49.7 และสอดคล้องกับขอ้ มูลจากสถาบนั วิจยั ประชากรและ สงั คมมหาวทิ ยาลัยมหดิ ล ปี พ.ศ. 2558 พบความรุนแรงทางเพศในเด็กผหู้ ญงิ ร้อยละ 12 (36) 4.5.2 ปัจจัยระดับบคุ คล 4.5.2.1 ความรู้เก่ยี วกับเพศศกึ ษา ผลการวจิ ัยนี้พบว่า ความรู้เก่ียวกับเพศศึกษา ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยง ทางเพศ โดยนักเรียนเกือบครึ่งหน่ึงมีความรู้เก่ียวกับเพศศึกษาอยู่ในระดับต่า ร้อยละ 46.2 ซ่ึงสอดคล้องกับการศึกษาของวรวรรณ์ ทิพย์วารีรมย์ และคณะ (60) ปี พ.ศ.2556 ศึกษาปัจจัยที่ใช้ ทานายพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของเด็กวัยรุ่นชาย จังหวัดพิษณุโลก ความรู้เร่ืองโรคติดต่อทาง เพศสมั พันธ์ และทักษะการใช้ถุงยางอนามัย ไม่มีความสัมพันธ์ทางสถติ ิกับพฤตกิ รรมเสี่ยงทางเพศของ เด็กวัยรุ่นชาย ซึง่ กลมุ่ ตัวอยา่ งดังกลา่ วมคี วามรเู้ รื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และทักษะการใช้ถุงยาง อนามัยอยู่ในระดับต่า และจากการศกึ ษาท่ีผ่านมา (31, 56-59) ส่วนใหญ่พบว่าความรู้เร่อื งเพศศึกษา มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ โดยเมื่อนักเรียนมีความรู้เรื่องเพศในระดับสูง จะมี พฤติกรรมการป้องกันการเสี่ยงทางเพศดีกว่านักเรียนที่มีความรู้เรื่องเพศในระดับต่า เนื่องจากการให้ ความรเู้ ร่ืองเพศศกึ ษาในโรงเรยี นนน้ั ไม่ได้เป็นเพียงองค์ประกอบเดยี วท่จี ะช่วยให้นักเรียนมคี วามรู้เรอ่ื ง เพศศึกษามากขึ้น โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในปัจจุบันเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี ท่ีจะช่วยให้ นักเรียนมีความรู้เร่ืองเพศมากขึ้น โดยถ้ามองลึกไปถึงในเร่ืองของความคิด ความเช่ือ ค่านิยมมากกว่า มุ่งเนน้ ในเรือ่ งความรู้และพฤตกิ รรม ก็จะสามารถสือ่ สารเร่ืองเพศได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ และนักเรยี น มีความรู้เร่ืองเพศศึกษามากขึ้น และถึงแม้นักเรียนจะมีความรู้เพิ่มมากขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะ นาไปสู่การตัดสินใจที่จะกระทาพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง โดยอาจมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเก่ียวข้อง ซ่ึงในการศึกษาครั้งนี้พบว่าปัจจัยระหว่างบุคคลได้แก่ ความเช่ือ ความศรัทธาที่มีต่อพ่อแม่ ครู และคู่ นอน เปน็ ปัจจัยหนึง่ ทีม่ ีความสมั พันธ์กบั พฤตกิ รรมเส่ยี งทางเพศ 4.5.2.2 การเหน็ คณุ ค่าในตนเอง การศึกษาน้ีพบว่าปัจจัยระดับบุคคลในเรื่องการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียน มคี วามสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ซ่งึ สอดคล้องกับการศึกษาของสทุ ิศา โขงรัมย์ (64) ปี พ.ศ. 2553 พบว่าการเห็นคุณค่าในตนเองต่า และมีพฤติกรรมเส่ียงทางเพศสูง เช่นเดียวกันกับการศึกษา ของณฐาภพ ระวะใจ (44) ปี พ.ศ. 2554 นักศึกษาท่ีมีการเห็นคุณค่าในตนเองแตกต่างกัน มีพฤติกรรมเส่ียงทางเพศแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิตที่ระดับ 0.05 การเห็นคุณค่าในตนเอง

70 แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ความรู้สึกที่บุคคลมีต่อตนเอง จากการประเมินตนเองใน ด้านความสามารถ ความสาคัญ ความมีค่า และการประสบความสาเร็จแสดงออกมาในรปู ของเจตคติท่ี มตี ่อตนเอง มีการยอมรับนับถือ และมีความเช่ือมั่นในตนเองการทีบ่ ุคคลประเมินส่ิงต่างๆ ออกมาเป็น การเห็นคุณค่าในตนเองนั้น เป็นกระบวนการตัดสินการเห็นคุณค่าจากการตรวจสอบตนเอง ด้าน ผลงานความสามารถ และคุณลักษณะต่างๆ โดยนาเอาคุณสมบตั ิดังกลา่ ว มาเปรียบเทียบกับมาตรฐาน และค่านิยมส่วนบุคคล จากนั้นจึงตัดสินมาเป็นการเห็นคุณค่าของตนเอง คือเมื่อมีการเห็นคุณค่าใน ตนเองแล้วย่อมไม่กระทาในสิ่งที่จะทาลายคุณค่าของตนเองรวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศด้วย (44, 78) สอดคล้องกับการศึกษาของ FRANCIS WING LIN LEE และคณะ (36) ปี ค.ศ. 2012 ศึกษา พฤติกรรมเส่ียงทางเพศของเยาวชนหญิงที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศในฮ่องกง การทาให้ผู้หญิงเห็น คุณค่าในตัวเอง รักและยอมรับตัวเอง น้ันเป็นสิ่งท่ีสาคัญมาก และวัยรุ่นชายก็ควรเรียนรู้ในการให้ เกยี รตคิ ูน่ อนของตนในฐานะเพ่อื นมนุษย์ มิใช่วัตถุทางเพศ 4.5.3 ปจั จัยระดบั ระหวา่ งบคุ คล 4.5.3.1 ความสมั พันธ์ในครอบครวั ผลการวิจัยน้ีพบว่า ความสัมพันธ์ในครอบครัว มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเสี่ยง ทางเพศ ซ่ึงสอดคล้องกับผลการศึกษาของณมน ธนินธญางกูร (28) ปี พ.ศ.2552 และพรชเนตต์ บุญ คง (27) ปี พ.ศ.2554 พบว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศมี นยั สาคัญทางสถิติ (p < 0.05) ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า ความสัมพันธ์ในครอบครวั เป็นพ้ืนฐานทส่ี าคัญ ในการท่ีนักเรียนจะประพฤติปฏิบัติตนในสังคม เนื่องจากพ่อแม่เป็นบุคคลแรกท่ีให้การอบรมเล้ียงดู รวมถึงแบบอย่าง หรือส่ิงที่ยึดถือปฏิบัติในครอบครัว ได้แก่ความเชื่อ และวัฒนธรรมที่เก่ียวกับการ เล้ียงดูบุตรหญิง เช่น การรักนวลสงวนตัว ให้ความรักและความอบอุ่นแก่นักเรียน ซึ่งเป็นรากฐาน สาคัญในการหล่อหลอมลักษณะนิสัย และบุคลิกภาพแก่นักเรียน โดยเฉพาะเมื่อกา้ วเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นซึ่ง เป็นวัยท่ีมกี ารเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ทง้ั ทางด้านร่างกาย จติ ใจ และสังคม ความสมั พันธใ์ นครอบครัว จึงมีส่วนสาคัญอย่างยิ่งท่ีจะช้ีแนะแนวทางที่เหมาะสมและถูกต้องให้แก่นักเรียน หากความสัมพันธ์ใน ครอบครัวไม่ดี หรือมีความรักความผูกพันในครอบครัวน้อย ก็จะส่งผลทางด้านจิตใจ ทาให้วัยรุ่นขาด ความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว ในการศึกษาคร้ังน้ีพบว่า “พ่อแม่ของนักเรียนทะเลาะเบาะแว้งกัน เสมอ” นักเรียนตอบจริงปานกลาง ร้อยละ 28.6 รองลงมาจริงมากท่ีสุด ร้อยละ 25.9 “พ่อแม่ของ นักเรยี นไม่มีเวลาว่างให้” นักเรียนตอบว่าจริงปานกลาง ร้อยละ 28.6 รองลงมาจริงที่สุด ร้อยละ 25.9 “พ่อแม่ของนักเรียนไม่เคยสนใจปัญหาของนักเรียนเลย” เกือบคร่ึงตอบจริงมากท่ีสุด ร้อยละ 42.1 “พ่อแม่ของนักเรียนไม่เคยรับฟังเหตุผล หรือความคิดเห็นของนักเรียน” ตอบจริงมากท่ีสุด 34.7 และจริงปานกลาง ร้อยละ 21.3 ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมนามาสู่ปัญหาต่างๆ รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ

71 ด้วย ซ่ึงสอดคล้องกับ Z. Harakeh และคณะ(35) ปี ค.ศ. 2012 พบว่าครอบครัวท่ีไม่สมบูรณ์ มคี วามสัมพนั ธ์กบั การเพ่ิมขึ้นของพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ 4.5.3.2 ความเชอื่ ความศรทั ธาทีม่ ตี อ่ เพ่ือน การศึกษานี้พบว่า ความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อเพื่อน ไม่มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ซึ่งปัจจุบันเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เรื่องเพศในทกุ มิติ ได้ง่ายและรวดเร็ว(76) ทาให้วัยร่นุ เรียนรู้ด้วยตนเองมากข้ึนและมีส่วนช่วยให้วัยรุ่น สามารถในการตัดสินใจได้เอง โดยความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อเพื่อนเป็นเพียงส่วนหน่ึงเท่านั้น Ajzen (37) ปี ค.ศ. 2009 ได้กล่าวไว้ในทฤษฎีการวางแผนพฤติกรรม( Theory of planned behavior) ความเชื่อเกี่ยวกับกลุ่มอ้างอิง(Normative beliefs:NB) และการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (Subjective norm: SN) การที่นักเรียนรับรู้ว่าบุคคลในท่ีนี้ คือเพื่อนมีความสาคัญไม่มากนักต่อตัว นักเรียนเอง ดังนั้นนักเรียนอาจไม่กระทาพฤติกรรมใดๆ ตามความเชื่อ และความคาดหวังของเพ่ือน ซ่งึ แตกต่างจากการศึกษาของไพฑูรย์ พันธ์แตง ปี พ.ศ.2557 (70) พบว่าความเชื่อเกี่ยวกับการคล้อย ตามกลุ่มอ้างอิง ได้แก่ เพ่ือน การแปลผลพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเช่ือเกี่ยวกับการคล้อยตามกลุ่ม อ้างอิงต่อการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ อยู่ในระดับเชื่อว่าสนับสนุนมาก และการศึกษาสุพัตรา อักษรรัตน์ ปี พ.ศ.2550 (65) เม่ือมีปัญหาหรือข้อสงสัยในเรื่องเพศ จะปรึกษาเพื่อนสนิท ร้อยละ 26.13 4.5.3.3 ความเช่อื ความศรทั ธาที่มีต่อพอ่ แม่ การศึกษานี้พบว่า ความเช่ือ ความศรัทธาที่มีต่อพ่อแม่ มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมเส่ียงทางเพศ นักเรียนมีความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อพ่อแม่ในระดับสูง Ajzen (37) ปี ค.ศ. 2009 ได้กล่าวไว้ในทฤษฎีการวางแผนพฤติกรรม(Theory of planned behavior) ความเชื่อ เกยี่ วกับกลมุ่ อ้างอิง(Normative beliefs:NB) และการคล้อยตามกล่มุ อา้ งองิ (Subjective norm: SN) บุคคลประเมินว่าบุคคลใกล้ชิดได้แก่ พ่อแม่ท่ีมีความสาคัญกับตน คิดว่าตนควรหรือไม่ควร กระทาพฤติกรรมนั้นๆ โดยพฤติกรรมจะถูกกาหนดโดยความเช่ือ ความคาดหวังของบุคคลผู้ใกล้ชิด ดังน้ันนักเรยี นจึงไม่กระทาพฤติกรรมที่จะทาลายความเชือ่ ความคาดหวังของบุคคลผู้ใกล้ชดิ รวมถึง พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศด้วย สอดคล้องกับการศึกษาของ ไพฑูรย์ พันธ์แตง 2557 ศึกษาปัจจัยที่มี อิทธิพลต่อความตั้งใจในการป้องกันพฤติกกรมเส่ียงทางเพศของนักเรียนหญิง ช้ันมัธยมศึกษา ตอนต้น สังกัดกรมสามัญศึกษา สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต 2 ในจังหวัดชลบุรี พบว่าความเช่ือเก่ียวกับการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง ได้แก่ บิดา/มารดา การแปลผลพบว่า กลุ่ม ตัวอย่างมีความเช่ือเก่ียวกับการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงต่อการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ อยู่ใน ระดับเชือ่ วา่ สนบั สนุนมากรอ้ ยละ 81.7

72 4.5.3.4 ความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อครู การศึกษานี้พบว่า ความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อครู มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม เส่ียงทางเพศ นักเรียนมีความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อครูในระดับสูง Ajzen (37) ปี ค.ศ. 2009 ได้กล่าวไว้ในทฤษฎีการวางแผนพฤติกรรม(Theory of planned behavior) ความเช่ือเกี่ยวกับกลุ่ม อ้างอิง (Normative beliefs:NB) และการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (Subjective norm: SN) บุคคล ประเมินว่าบุคคลผู้ใกล้ชิดได้แก่ ครูท่ีมีความสาคัญกับตน และคิดว่าตนควรหรือไม่ควรกระทา พฤติกรรมนั้นๆ โดยพฤติกรรมจะถูกกาหนดโดยความเช่ือ ความคาดหวังของบุคคลผู้ใกล้ชิด ดังน้ัน นักเรียนจึงไม่กระทาพฤติกรรมท่ีจะทาลายความเช่ือ ความคาดหวังของบุคคลผู้ใกล้ชิด รวมถึง พฤติกรรมเส่ยี งทางเพศด้วย สอดคลอ้ งกับการศึกษาของ ไพฑรู ย์ พันธ์แตง ปี พ.ศ. 2557 ศึกษาปัจจัย ที่มีอิทธิพลต่อความต้ังใจในการป้องกันพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของนักเรียนหญิง ชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้น สังกัดกรมสามัญศึกษา สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มัธยมศึกษาเขต 2 ในจังหวัดชลบุรี พบว่าความเชื่อเกี่ยวกับการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง ได้แก่ ความเชื่อเก่ียวกับการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง ได้แก่ ครู/อาจารย์ การแปลผลพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเช่ือเก่ียวกับการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงต่อ การปอ้ งกันพฤตกิ รรมเสย่ี งทางเพศ อยใู่ นระดบั เชื่อวา่ สนับสนนุ มาก รอ้ ยละ 74.8 4.5.3.5 ความเช่ือ ความศรทั ธาท่มี ตี ่อคนู่ อน การศึกษาน้ีพบว่า ความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อคู่นอน มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ นักเรยี นมีความเชือ่ ความศรัทธาทีม่ ีต่อคู่นอนในระดบั สูง Ajzen (37) ปี ค.ศ. 2009 ได้กล่าวไว้ในทฤษฎีการวางแผนพฤติกรรม (Theory of planned behavior) ความเช่ือ เก่ียวกับกลุ่มอ้างอิง (Normative beliefs:NB) และการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (Subjective norm: SN) บคุ คลประเมินว่าบุคคลผใู้ กล้ชิดได้แก่ คู่นอนท่มี ีความสาคญั กับตน และคิดวา่ ตนควรหรือไมค่ วร กระทาพฤติกรรมนั้นๆ โดยพฤติกรรมจะถูกกาหนดโดยความเชื่อ ความคาดหวังของบุคคลผู้ใกล้ชิด ดังนั้นนักเรียนจึงไม่กระทาพฤติกรรมท่ีจะทาลายความเช่ือ ความคาดหวังของบุคคลผู้ใกล้ชิด รวมถึง พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศด้วย สอดคล้องกับการศึกษาของ Paxton KC และคณะ ปี ค.ศ.2013(72) ศึกษาพฤติกรรมเส่ียง HIV ในผู้หญิงแอฟริกันอเมริกาทม่ี ีความเส่ียงกบั คู่นอน เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม พบว่าเหตุผลในการใช้ถุงยางอนามัยข้ึนอยกู่ ับเพศชาย เพราะ ผู้หญิงแอฟริกันอเมริกาต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคู่นอนไว้ ด้วยเหตุปัจจัยทางสังคม และปัญหาทางด้านการเงิน วัฒนธรรม การศึกษาของสุพัตรา อักษรรัตน์ ปี พ.ศ.2550 (65) ศึกษา โครงสร้างและหน้าที่ครอบครัวกับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของนักเรียนหญิงช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น อาเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่าเมื่อมีปัญหาหรือข้อสงสัยในเร่ืองเพศ จะปรึกษาคู่รัก ร้อยละ 2.13 และจากการศึกษาของ Johansson EE และคณะ ปี ค.ศ.2014 (73) ศึกษาการ

73 อภิปรายในเร่ืองเพศวิถีของเยาวชน โดยการสารวจบทความทางการแพทย์ (PubMed) เก่ียวกับการ ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยวิเคราะห์งานวิจัยเชิงคุณภาพบทความส่วนใหญ่เก่ียวข้องกับ สถาบนั การวิจัยในอเมรกิ าเหนือ พบว่าเพศวถิ ีของกลมุ่ เยาวชนหญงิ มีความรใู้ นเร่ืองการส่ือสาร และมี ความรับผิดชอบ แต่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ เพราะอุดมคติของกลุ่มเยาวชนหญิงที่มีความเช่ือและ ศรัทธาในผู้ชาย ทาให้ขาดอานาจในการเจรจาต่อรอง ทาให้เกิดพฤติกกรมเสี่ยงทางเพศ อันเน่อื งมาจากผู้ชายทมี่ อี านาจและการปกครองเหนือกวา่ เพศหญิง 4.6 ขอ้ จากัดในการวจิ ัย 4.6.1 เน่ืองจากการศกึ ษาคร้งั น้ปี ระยกุ ต์ใช้ แบบจาลองนิเวศวิทยาของพฤติกรรมสขุ ภาพ โดยตวั แปรตน้ ได้แก่ ปจั จัยระดับบุคคล และปจั จัยระดับระหวา่ งบุคคล โดยไมไ่ ด้นาปจั จยั ระดับสังคม และวัฒนธรรมมาพิจารณาด้วย ซ่ึงปัจจัยระดับสังคม และวัฒนธรรมมีความเกี่ยวข้องกับระบบ ปฏสิ ัมพันธ์ ซงึ่ เปน็ สิง่ แวดลอ้ มท่ีเชื่อมโยงระบบจุลภาคตา่ งๆ ให้สัมพันธ์กัน แต่เน่ืองดว้ ยการศกึ ษาครั้ง น้ีมีข้อจากัดทางด้านเวลา จึงได้ประยุกต์ใช้ในส่วนของปัจจัยระดับบุคคล และปัจจัยระดับระหว่าง บุคคลเท่านัน้ 4.6.2 เครื่องมือในส่วนความเช่ือ ความศรัทธาที่มีต่อเพ่ือน พ่อแม่ ครู และคู่นอนนั้น เป็นการกล่าวในภาพกว้าง ไม่เฉพาะเจาะจงในเรื่องพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ดังนั้นในการสร้าง เคร่ืองมือควรใช้ข้อคาถามที่มีความชัดเจนและเจาะจงในเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อเพ่ือน พอ่ แม่ ครู และค่นู อน ท่ีมคี วามสัมพนั ธ์กับพฤติกรรมเสย่ี งทางเพศ

74 บทท5่ี สรปุ ผล และขอ้ เสนอแนะ การวิจัยการศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียน ระดับชั้น มัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ (Analytical Cross – Sectional Study) ในนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษา ปี่ท่ี 2 – 6 จานวน 409 คน โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ของ นักเรยี น ระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษา โรงเรยี นศกึ ษาสงเคราะห์ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษาแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามข้อมูล ลักษณะประชากร ได้แก่ เพศ อายุ ระดับชั้นการศึกษา ส่วนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยระดับ บุคคล ได้แก่ ความรู้เร่ืองเพศศึกษา และการเห็นคุณค่าในตนเอง ส่วนท่ี 3 แบบสอบถามเก่ียวกับ ปัจจัยระดับระหว่างบุคคล ได้แก่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความเช่ือ ความศรัทธาท่ีมีต่อเพื่อน พ่อ แม่ ครู และคู่นอน และส่วนท่ี 4 แบบสอบถามเก่ียวกับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ ข้อมูลท่ีได้นามา วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ข้อมูลท่ัวไป ได้แก่ อายุ เพศ ระดับชั้น การศึกษา วิเคราะห์ด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และสถิติวิเคราะห์ (Analytical Statistics) หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยระดับบุคคล ปัจจัยระดับระหว่างบุคคลกับการมีเพศสัมพันธ์ของ นักเรียน ระดับช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โดยวิธี Chi- square tests และ Independent t-test 5.1 สรุปผลการวิจยั 5.1.1 ขอ้ มลู ลักษณะประชากร ลักษณะประชากรของกลุ่มตัวอยา่ ง ส่วนใหญเ่ ป็นเพศหญิง ร้อยละ 53.8 และพบว่าเพศ มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p=0.030) โดยนักเรียนมีอายุ 15 ปี พบมากที่สุดร้อยละ 25.7 รองลงมาอายุ 14 ปี ร้อยละ 23.5 และพบว่าอายุมีความสัมพันธ์กับการมี เพศสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ(<0.001) ส่วนใหญ่นักเรียนศึกษาในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 รอ้ ยละ 27.4 รองลงมาศกึ ษาในระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ร้อยละ 26.7 และพบว่าระดบั ชนั้ การศึกษา มคี วามสัมพันธ์กบั การมีเพศสัมพนั ธ์อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติ (p=0.030)

75 5.1.2 พฤติกรรมเสย่ี งทางเพศ จากการศึกษาพบว่านักเรียนเคยมีเพศสัมพันธ์ร้อยละ 7.1 ส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 65.5 และเพศหญิงร้อยละ 34.5 นักเรียนที่เคยมีเพศสัมพันธ์มีการใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 51.7 และไม่ใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 48.3 นักเรียนหญิงท่ีเคยมีเพศสัมพันธ์กินยาคุมกาเนิดร้อยละ 6.9 และไม่กนิ ยาคมุ กาเนิด 93.1 และนักเรยี นเคยมเี พศสัมพันธ์โดยไมย่ นิ ยอมร้อยละ 13.8 5.1.3 ปัจจยั ระดบั บุคคล จากการศึกษาพบว่านักเรียนมีความรู้เร่ืองเพศศึกษาอยู่ในระดับต่า ร้อยละ 46.2 และพบว่าความรู้เร่ืองเพศศึกษามีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ (p>0.05) เน่ืองจากนักเรียนส่วนใหญ่ท่ีมีความรู้เรื่องเพศศึกษาระดับสูง จะมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ สูง สว่ นนักเรียนท่มี ีความรู้เรือ่ งเพศระดับต่านั้น จะมีพฤติกรรมเสยี่ งทางเพศสงู ส่วนการเห็นคุณค่าใน ตนเองของนักเรียนอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 73.1 และพบว่าการเห็นคุณค่าในตนเองมี ความสัมพนั ธ์กบั การมีเพศสมั พันธ์อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ (p=0.048) เน่ืองจากนักเรียนส่วนใหญ่ที่ มีการเห็นคุณค่าในตนเองระดับสูง มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศต่า ส่วนนักเรียนท่ีมีการเห็นคุณค่าใน ตนเองระดบั ปานกลาง มีพฤตกิ รรมเส่ียงทางเพศสงู 5.1.4 ปัจจัยระดับระหวา่ งบคุ คล กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ในครอบครัวอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 93.4 และพบว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p=0.001) เน่ืองจากนักเรียนส่วนใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ในครอบครัวระดับปานกลาง จะมีพฤติกรรม เส่ียงทางเพศสูง ส่วนนกั เรยี นท่ีมีความสัมพันธ์ในครอบครัวระดบั สงู มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศตา่ ส่วน ปัจจัยความเช่ือ ความศรัทธาท่ีมีต่อเพ่ือนน้ัน พบว่าการมีความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อเพื่อนอยู่ใน ระดับสูงร้อยละ 45.5 และความเชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อเพื่อนมีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ อย่างไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ (p>0.05) เนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่ที่มีความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อ เพ่ือนระดับสูง จะมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศต่า ส่วนนักเรียนที่ไม่มีความเช่ือ ความศรัทธาต่อเพ่ือน มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศต่า ส่วนของ ความเช่ือ ความศรัทธาท่ีมีต่อพ่อแม่น้ัน นักเรียนส่วนใหญ่มี ความเช่ือ ความศรทั ธาทม่ี ีต่อพ่อแมร่ ะดบั สงู ร้อยละ 81.7 และพบว่าความเช่ือ ความศรทั ธาท่มี ีต่อพ่อ แม่มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p < 0.001) เน่ืองจากนักเรียนส่วน ใหญม่ คี วามเชื่อ ความศรทั ธาท่มี ตี ่อพอ่ แม่ระดับสงู จะมพี ฤตกิ รรมเสี่ยงทางเพศตา่ ส่วนนักเรียนที่ไม่มี ความเชื่อ ความศรทั ธาต่อพ่อแม่ จะมพี ฤตกิ รรมเส่ียงทางเพศสูง ในส่วนความเชื่อ ความศรัทธาที่มีต่อ ครนู ั้น นักเรียนสว่ นใหญ่มีความเช่ือ ความศรัทธาทม่ี ีตอ่ ครูในระดบั สูงร้อยละ 74.8 และยงั พบว่าความ เชื่อ ความศรัทธาท่ีมีต่อครูมีความสัมพันธ์กับ การมีเพศสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ

76 (p=0.025) นักเรียนส่วนใหญ่ท่ีมีความเช่ือ ความศรัทธาต่อครูระดับสูง มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศต่า และนักเรียนท่ไี ม่มีความเชื่อ ความศรัทธาต่อครู มีพฤติกรรมเส่ียงทางเพศสูง ในเรื่องของปัจจัยความ เช่ือ ความศรัทธาที่มีต่อคู่นอน พบนักเรียนไม่มีความเชื่อ ความศรัทธาต่อคู่นอน ร้อยละ 40.3 รองลงมามีความเช่ือ ความศรัทธาทม่ี ีต่อคนู่ อนอยู่ในระดับสงู ร้อยละ 31.5 และพบว่าความศรัทธาที่ มตี อ่ คนู่ อน มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p=0.001) นักเรียนมีความ เช่ือ ความศรัทธาที่มีต่อคู่นอนระดับสูง มีพฤติกรรมเส่ียงทางเพศสูง และนักเรียนที่ไม่มีความเช่ือ ความศรทั ธาตอ่ ค่นู อน มีพฤตกิ รรมเสียงทางเพศต่า 5.2 ขอ้ เสนอแนะ จากผลการศึกษา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะเพื่อนาไปพัฒนาการสร้างเสรมิ สุขภาพ ดังนี้ 5.2.1 เชิงบรหิ าร และนโยบาย 5.2.1.1 โรงเรียน และครอบครัวต้องมีการประสานงานร่วมมอื กนั เพ่ือดแู ลนักเรียน อย่างใกล้ชิด เชน่ โรงเรียนมีการจัดโครงการพบปะพ่อแม่ และผู้ปกครอง เนื่องจากโรงเรียนแห่งน้เี ป็น โรงเรียนประจา โดยช่วงเปิดเทอมนักเรียนจะใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนเปรียบเสมือนบ้าน และในช่วงปิด เทอม พ่อแม่ และผู้ปกครองจะมารับนักเรียนกลับบ้าน ซ่ึงตรงรอยต่อระหว่างที่นักเรียนอยู่ท่ีโรงเรียน และกลับไปอยู่ท่ีบ้านน้ัน ทางโรงเรียนควรมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างโรงเรียน และพ่อแม่ ผ้ปู กครอง เพื่อสร้างความร่วมมือในการดูแลนักเรียนร่วมกัน เพ่ือป้องกันการเกิดพฤติกรรมเส่ียงทาง เพศ 5.2.1.2 ทราบปัจจัยและบริบทที่เก่ียวข้องกับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ โรงเรียน สามารถนามาประยุกต์ใช้ในกระบวนการให้สุขศึกษา (Intervention) ที่ถูกต้องเหมาะสมทันต่อ ความคิดความตอ้ งการของนกั เรียน เพื่อหาแนวทางในการป้องกันพฤตกิ รรมเสีย่ งทางเพศต่อไป 5.2.2 เชงิ บริการ สถานบริการสาธารณสุขในพื้นที่ เพ่ิมช่องทางการสื่อสารเรื่องเพศให้แก่ พ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นผู้ท่ีพูดคุย และสอนเร่ืองเพศแก่นักเรียน มีการพัฒนาระบบการให้บริการของสถาน บริการสาธารณสุข เพอื่ ป้องกันพฤตกิ รรมเส่ียงทางเพศ

77 5.2.3 เชิงวิชาการ 5.2.3.1 ควรมีการจัดโปรแกรม/กิจกรรม ป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ซ่ึงนักเรียนมีความเช่ือ ความศรัทธา ในพ่อแม่ และครู มีผลต่อพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ดังนั้น พ่อแม่ และครู ควรมีการส่ือสาร ให้ข้อมูลข่าวสารท่ีถูกต้องเหมาะสม ให้คาปรึกษา และแนะนาเรื่องเพศกับ นักเรยี นให้มากยิง่ ขึ้น เพ่ือปอ้ งกันพฤตกิ รรมเส่ียงทางเพศ 5.2.3.2 เนอื่ งจากการศึกษาครง้ั น้ีประยุกต์ใช้ แบบจาลองนิเวศวิทยาของพฤตกิ รรม สุขภาพ โดยตัวแปรต้น ได้แก่ ปัจจัยระดับบุคคล และปัจจัยระดับระหว่างบุคคล โดยไม่ได้นาปัจจัย ระดับสังคม และวัฒนธรรมมาพิจารณาด้วย ซ่ึงปัจจัยระดับสังคม และวัฒนธรรมมีความเกี่ยวข้องกับ ระบบปฏิสัมพันธ์ ซึ่งเป็นส่ิงแวดล้อมที่เชื่อมโยงระบบจลุ ภาคต่างๆ ให้สัมพันธก์ ัน ดังนนั้ การศกึ ษาครั้ง ตอ่ ไปควรศึกษาในปัจจยั ระดบั สงั คม และวฒั นธรรมรว่ มดว้ ย

78 รายการอ้างอิง 1. World Health Organization. Commonwealth Medical Association Trustand UNICEF. Orientation programme on adolescent health for health-care providers: Handout New Module. Geneva: World Health Organization: 2006. 2. United Nations. World Population Prospects : The 2012 Revision five-year age group, major area, region and country, 1950-2100 (thousands) 2013. 3. อธิพงศ์ อรัญปาลย์. การใช้กิจกรรมให้คาปรึกษากลุ่มเพ่ือลดพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของ นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นแห่งหน่ึงในจังหวดั เชียงใหม่.[ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต(จติ วิทยา การศกึ ษาและการแนะแนว)]: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2552. 4. เตือนจิต พุทธานุ. การพัฒนาแนวทางการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศในวัยรุ่น.[ปริญญา พยาบาลศาสตรมหาบณั ฑติ ]: มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ; 2556. 5. ศรัณยู เรือนจันทร์. สถานการณ์พฤติกรรมเส่ียงทางเพศของวัยรุ่นในพ้ืนที่พัฒนาต้นแบบการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาการต้ังครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น จังหวัดอุตรดิตถ์. วารสารวิจัยสาธารณสุข ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . 2556;ปที ี่ 6(ฉบับที่ 1):103. 6. วัชราภรณ์ บัตรเจริญ, ปาหนัน พิชยภิญโญ, อาภาพร เผ่าวัฒนา. ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมเส่ียงทางเพศของนักเรียนไทยช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น. วารสารสาธารณสุขศาสตร์. 2554; ปีที่ 42 (ฉบับท่ี 1):30. 7. นุชนารถ แก้วดาเกิง. แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อการป้องกันเอดส์และโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์. สานกั งานกจิ การโรงพมิ พ์องค์การสงเคราะห์ทหารผา่ นศึก ; 2555. 8. กลุ่มส่ือสารและสนับสนุนวิชาการ. แนวคิดการรณรงค์ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และ เอดส.์ สานักโรคเอดส์วัณโรคและโรคตดิ ต่อทางเพศสัมพนั ธ์; 2557. 9. ปิยะรัตน์ เอี่ยมคง, อารีรัตน์ จันทร์ลาภู. สถิติการคลอดของแม่วัยรุ่นประเทศไทย ปี พ.ศ. 2556 Statistics on adolescent Birth Thailand 2013. โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชปู ถัมถ์ ; 2557. 10. ดารินทร์ อารีย์โชคชัย. ปัญหาโรคตดิ ต่อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2553 – 2560. รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวทิ ยาประจาสปั ดาห์ 2558;46(5):65-7. 11. บุญฤทธ์ิ สุขรัตน์. การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น : นโยบาย แนวทางการดาเนินงาน และติดตาม ประเมินผล. ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด: สานักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรม อนามัย; 2557.

79 12. กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง. วัยรุ่นวัยเรียนกับอนามัยการเจริญพันธ์. สานักอนามัยการเจริญพันธ์ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข; 2558. 13. นายแพทยก์ ิตติพงศ์ แซ่เจ็ง. รายงานเฝ้าระวังการแทง้ ในประเทศไทย ปี พ.ศ.2556 Abortion Surveillance in Thailand Report 2013. โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรม ราชปู ถัมถ์; 2556. 14. อาคม เติมพิทยาไพสิฐ. แม่วัยใส ความท้าทายการต้ังครรภ์ในวัยรุ่น. พิมพ์คร้ังที่1.บริษัท แอดวานส์ปรน้ิ ติ้ง จากัด; 2556. 15. พรทิพย์ มีชัย , ชไมพร บุญร่วม, พรเพชร สิมพา. ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการใช้ยา เม็ดคุมกาเนิดฉุกเฉินในนักเรียนนักศึกษา ในเขตอาเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. The 5th Annual Northeast Pharmacy Research Conference of 2013. 2556:61. 16. นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี “ยาคุมกาเนิดฉุกเฉิน ฉุกคิดก่อนใช้ ป้องกันท้องไม่พร้อมจริงหรือ? : ข้อเทจ็ จริงท่ีหลายคนยังไม่รู้” แผนงานสรา้ งกลไกการเฝ้าระวัง และพัฒนาระบบยา คณะเภสัชศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ; 2554. 17. กองอนามัยการเจรญิ พันธ์. โครงการวจิ ัย การบริหารจัดการระบบงานวางแผนครอบครวั ของ ประเทศไทย ; 2554. 18. unicef ประเทศไทย. เหตุการณ์ความรนุ แรงอย่างทารณุ ตอ่ เด็ก; 2557. 19. วชิระ เพ็งจนั ทร์. สถานการณก์ ารกระทาความรุนแรงต่อเด็กและสตรใี นประเทศไทย ; 2557. 20. สานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 เชียงใหม่. สถานการณ์ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ปี 2556 ; 2556. 21. ยงยุทธ วงคว์ ิชัย. สรุปผลการดาเนินงานวัยร่นุ . สานกั งานสาธารณสขุ จงั หวดั ลาปาง ; 2558. 22. สานักงานสาธารณสุข จังหวัดลาปาง. ข้อมูลสถานะสุขภาพ และสรุปผลการดาเนินงาน สาธารณสุข ; 2558. 23. สมุ าลี สวยสอาด. เพศศึกษา. สานักพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ; 2555. 24. วิทยากร เชียงกูล. จิตวิทยาวัยรุ่น: ก้าวข้ามปัญหาและพัฒนาศักยภาพด้านบวก. โรงพิมพ์ เดอื นตลุ า; 2552. 25. ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสุวัทนา อารีพรรค. เรียนรู้เร่ืองเพศกับคุณหมอ. บุญศิริการพิมพ์ ; 2550. 26. ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์. อนามัยวัยเรียน วัยรุ่น. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข; 2558.

80 27. พรชเนตต์ บุญคง. ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อพฤติกกรรมเส่ียงทางเพศในนักเรียนหญิงระดับ อา ชี ว ศึ ก ษ า ใ น เ ข ต ก รุ ง เ ท พม ห า น ค ร . [ป ริ ญ ญ า วิ ท ย า ศ า ส ต ร ม ห า บั ณ ฑิ ต ( ส า ธ า ร ณ สุ ข ศ า ส ต ร์ ) ]: มหาวิทยาลัยมหดิ ล; 2554. 28. ณมน ธนินธญางกูร. พฤติกรรมเสี่งทางเพศของนักเรียนระดับมัธยมศกึ ษาในเขตเทศบาลนคร ขอนแก่น อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น.[ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต]: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2552. 29. สุภาภรณ์ ปัญหาราช. การขัดเกลาทางสังคมเร่ืองเพศของครอบครัวกับพฤติกรรมเสี่ยงทาง เ พศ ข อ ง วั ย รุ่ น ใ น เ ข ต ภ า ค ต ะ วั น อ อก เ ฉี ย ง เ ห นื อ ต อ น บ น .[ป รั ช ญ า ดุ ษ ฎี บั ณ ฑิต ( สั ง ค ม วิ ท ย า ) ]: มหาวิทยาลยั รามคาแหง; 2556. 30. สพุ รรณษา ศรไี พโรจน.์ ผลของการใชโ้ ปรแกรมฝึกการเจรจาตอ่ รองท่ีมตี ่อพฤตกิ รรมเสี่ยงทาง เพศการมองเห็นคุณค่าของตนเองในเร่ืองเพศและความสามารถในการเจรจาต่อรองเร่ืองเพศใน นักศกึ ษาหญงิ [วิทยาศาสตรมหาบณั ฑติ (จติ วิทยาการให้คาปรึกษา)]: มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง; 2556. 31. บญุ เยยี่ ม สุทธิพงศเ์ กยี รติ. รูปแบบสุขศึกษาเพื่อปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรมเสย่ี งทางเพศสัมพันธ์ใน นกั เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น : กรณศี ึกษาโรงเรียนอา่ งทองปัทมโรจน์ วิทยาคม จังหวดั อ่างทอง. [ปริญญาวทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ (สขุ ศึกษา)]: มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์; 2551. 32. วีระชัย สิทธิปิยะสกุล, พิชานัน หนูวงษ์, รัชนี ลักษิตานนท์, เบ็ญจา ยมสาร. สารวจความ คิดเห็นและพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของวัยรุ่นในประเทศไทย. วารสารวิชาการสาธารณสุข. 2556;22(979-987). 33. สานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค. สถานการณ์การระบาดของการตดิ เช้ือเอชไอวี ประเทศ ไทย พ.ศ. 2556 ; 2556. 34. กมลพรรณ ชีวพันธุศรี. ปัจจัยที่มีผลต่อการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น: ศึกษาเฉพาะกรณีหญิงที่ฝาก ครรภ์ในศูนย์บริการสาธารณสุข 34 โพุธ์ศรี สานักอนามัย กรุงเทพมหานคร. Vajira Medical Journal. 2556;57(1):37-43. 35. กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจาประเทศไทย. การประชุมระดับชาติ เร่ืองสขุ ภาวะทางเพศ ; 2557. 36. สุชาดา ทวีสิทธิ์. ผู้หญิงไทยกับเด็ก เหย่ือความรุนแรง. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล ; 2558. 37. ประกาย จิโรจน์กุล. แนวคิด ทฤษฎีการสร้างเสริมสุขภาพและการนามาใช้. พิมพลักษณ์ นนทบุรี : โครงการสวสั ดิการวชิ าการ สถาบันพระบรมราชชนก ; 2556.

81 38. สุปรียา ตันสกุล. ทฤษฎีทางพฤติกรรมศาสตร์ : แนวทางการดาเนินงานในงานสุขศึกษาและ สง่ เสรมิ สขุ ภาพ. วารสารสขุ ศึกษา. 2550;30(105):14-5. 39. ฐาศุกร์ จนั ประเสริฐ, อ้อมเดอื น สดมณี, สธญ ภู่คง, มนูญ มุกข์ประดิษฐ.์ โครงสร้างทางสังคม ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เด็กและเยาวชนถูกกระทาในโรงเรียน : กรณีศึกษาโรงเรียนแห่งหนึ่งใน เขตภาคกลาง. วารสารพฤตกิ รรมศาสตร.์ 2554;17(1):100. 40. นริสรา พ่ึงโพธ์ิ. ส่ิงที่ควรทาและสิ่งที่ไม่ควรทาในการพัฒนาเค้าโครงวิจัยสาหรับนักวิจัย พฤตกิ รรมศาสตร์. วารสารพฤติกรรมศาสตร.์ 2556;19(1):8-9. 41. J.V. Lazarus, M. Moghaddassi. A multilevel analysis of condom use among adolescents in the European Union. Public Health. 2009:138–44. 42. Z. Harakeh, M.E. de Looze. Individual and environmental predictors of health risk behaviours among Dutch adolescents: The HBSC study. Public Health. 2012:566- 73. 43. ลัชนา ฉายศรี, จรวยพร สุภาพ, ปิยะธิดา ขจรชัยกุล, ปรารถนา สถติ ย์วิภาว.ี ศึกษาปัจจัย ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์. วารสารสาธรณสขุ ศาสตร.์ 2553;ปที ่ี 40 (ฉบับท2่ี ):161-74. 44. ณฐาภพ ระวะใจ. ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมป้องกันการเสี่ยงทางเพศของนักศึกษาใน สถา น ศึกษา สั งกัด สา นั กงา น คณะกร ร มกา ร อา ชี ว ศึกษา ใน เ ขต กรุ งเ ทพมห าน คร . [วิ ทย า ศา ส ต ร มหาบณั ฑิต(สขุ ศกึ ษา)] : มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ; 2554. 45. จารุวรรณ ศรีเวียงยา ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงต่อการมีเพศสัมพันธ์ของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบางกะปิ กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยหัวเฉี ยวเฉลิม พระเกียรติ; 2558. 46. เบญจวรรณ เอี่ยมบู่. ปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงที่นาไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ ของ นกั เรียนมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนขยายโอกาส จังหวัดนครปฐม.[ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต (สาธารณสขุ ศาสตร)์ ] : มหาวทิ ยาลยั มหิดล ; 2554. 47. รางวัล สุขี. ปัจจัยเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กรณีศึกษาจังหวัดนครปฐม.[ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต] : มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร; 2551. 48. สมอุรา ไชยสวัสดิ์. พฤติกรรมเส่ียงต่อการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนระดับอาชีวศึกษาในเขต ชุมชนเมือง จังหวัดนครปฐม.[ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต] : มหาวทิ ยาลัยศิลปากร; 2551.

82 49. อภินันท์ วัชเรนทร์วงศ์. ปัจจัยด้านสังคมกับพฤติกรรมเส่ียงต่อการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียน มัธยมศึกษา จังหวัดสมุทรสาคร.[ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต(สาธารณสุขศาสตร์) ]: มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล; 2553. 50. อรทัย เกตุขาว. ความสัมพันธ์ของรูปแบบอบรมเลี้ยงดูกับค่านิยมเร่ืองการมีเพศสัมพันธ์ก่อน การสมรสของวัยรนุ่ กรณีศึกษา : นกั เรียนในเขตอาเภอเมือง จังหวัดสโุ ขทัย.[ปริญญาวิทยาศาสาตรม หาบณั ฑิต(จิตวทิ ยาพฒั นาการ)]: มหาวิทยาลยั รามคาแหง; 2551. 51. อังคณา เพชรกาฬ. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนวัยรุ่นภาคใต้ ตอนบน.[ปรญิ ญาวทิ ยาศาสาตรมหาบัณฑิต(สาธารณสขุ ศาสตร์)]: มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล; 2551. 52. กฤตยา แสวงเจรญิ , สุทธิลักษณ์ ต้ังกีรติชัย, กุลนรี หาญพัฒนชัยกูร, วชิรา สารฤทธิ์. การ อบรมเลี้ยงดูและพัฒนาทักษะชีวิต เด็กวัยเรียนและวัยรุ่นตามวิถีชีวิตไทยภาคกลาง ท่ีเกี่ยวกับ พฤตกิ รรมเสีย่ งทางเพศ และสารเสพติด มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ; 2551. 53. อาภา พันธ์ุแสง. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนวัยรุ่นหญิง ชั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัดอ่างทอง.[วทิ ยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการเจริญพันธุ์และวางแผน ประชากร]: มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล; 2553. 54. สพุ ัตรา พรหมเรนทร.์ พฤตกิ รรมเส่ียงทางเพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร.[ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต(สุขศึกษา)]: มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ; 2550. 55. สุมาลี สวยสอาด. ปัจจัยทางจิตสังคมท่ีเก่ียวข้องกับความพร้อมในการมีพฤติกรรมเสี่ยงทาง เพศของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ในกรุงเทพมหานคร. กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัย ศรีนครนิ ทรวิโรฒ; 2550. 56. R. Vivancos , I. Abubakar, P. Phillips-Howard, P.R. Hunter. School-based sex education is associated with reduced risky sexual behaviour and sexually transmitted infections in young adults. pulic health. 2013(123):53-7. 57. FRANCIS WING-LIN LEE, IRENE WAI-KWAN CHUNG. Asia Pacific Journal of Social Work and Development. 2012. 58. นลินี มุง่ สมัคร. ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาในการประยุกต์ทฤษฎแี รงจูงใจเพื่อปอ้ งกัน โรคร่วมกับแรงสนบั สนุนทางสงั คมเพอื่ ป้องกันเสี่ยงทางเพศ ของแกนนานักเรยี น ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 อาเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลาภู .[วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต ]: มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น; 2554.

83 59. ทักษิณา เมืองใจ. ความสามารถในการพยากรณ์ร่วมกันของการควบคุมตนเอง ความรู้เรื่อง เพศศึกษา และการส่ือสารในครอบครัวเรื่องการคบเพื่อนต่างเพศ ที่มีต่อพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของ นกั เรยี นหญงิ วยั รนุ่ .[วิทยาศาสตรมหาบณั ฑติ (จิตวทิ ยาการปรึกษา)]: มหาวิทยาลยั เชียงใหม่; 2555. 60. วรวรรณ์ ทิพย์วารีรมย์. ปัจจัยทานายพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของเด็กวัยรุ่นชาย จังหวัด พษิ ณุโลก. วารสารพยาบาลสาธารณสุข. 2556;27(1):31-43. 61. นฎาประไพ สาระ. ความชุกของการมปี ระสบการณแ์ ละปัจจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ งกับการมีเพศสมั พนั ธ์ คร้ังแรกของนักเรียนหญิงอาชีวศึกษา.[ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต]: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2557. 62. พมิ พิชา สุพพตั กุล. การเห็นคุณค่าในตนเอง ความรู้เรื่องโรคเอดส์ และเหตุผลของวัยรุ่นตอน ปลายที่มีพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ข้ามคืน.[ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต] : จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย; 2551. 63. อมรรัตน์ ทองผา. การพัฒนาโปรแกรมการสอนเพศศึกษา เพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงการมี เพศสมั พันธ์ในวยั เรยี น.[ปริญญาการศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต] : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม; 2552. 64. สุทิศา โขงรัมย์. ผลการให้คาปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวทฤษฎีการพิจารณาเหตุผล อารมณ์ และพฤติกรรมท่ีมีต่อการเห็นคุณค่าในตนเองและพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของวัยรุ่นหญิง.[วิทยานิพนธ์ ปริญญาการศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ ]: มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ; 2553. 65. สุพัตรา อักษรรัตน์. โครงสร้างและหน้าที่ครอบครัวกับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของนักเรียน หญิงช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น อาเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช.[ปริญญาพยาบาลศาสตรมหา บัณฑิต(การพยาบาลครอบครัวและชมุ ชน)]: มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ ; 2550. 66. เกรดเอ ยาทา. ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ส่งผลต่อแนวโน้มการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ของวัยรุ่น.[วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าจิตวิทยา] : มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ; 2555. 67. กัญญา กลายสุข, พรรณนภา เงินเส็ง, วรรณรัตน์ มากาเนิด. ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมเส่ียง การมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น : กรณีศึกษานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสังกัดสานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน จงั หวดั พิษณโุ ลก.[ปรญิ ญาสาธารณสขุ ศาสตรมหาบณั ฑติ ] : มหาวทิ ยาลยั นเรศวร; 2551. 68. นิยม จันทร์นวล, เมรีรัตน์ มั่นวงศ์, พลากร สืบสาราญ, สุบรรณ สิงห์โต. ปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียน มัธยมศึกษาตอนต้นแห่งหน่ึงในจังหวัด อบุ ลราชธาน.ี วารสารสาธารณสขุ มหาวิทยาลยั บูรพา. 2557;9(2):56.

84 69. สินีรัตน์ แสนรุ่ง. ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนวัยรุ่นหญิงชั้น มัธยมศึกษาตอนปลายจังหวัดนครราชสีมา.[วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเจริญพันธุ์และ วางแผนประชากร] : มหาวิทยาลัยมหิดล; 2553. 70. ไพฑูรย์ พันธ์แตง. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจในการป้องกันพฤติกกรมเส่ียงทางเพศของ นักเรียนหญิง ช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดกรมสามัญศึกษา สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มธั ยมศึกษาเขต 2 ในจงั หวัดชลบุรี. [ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบณั ฑิต].มหาวทิ ยาลัยบูรพา; 2557. 71. Santa Maria, D.Markham, C.Bluethmann, S.Mullen, P. D. Parent-based adolescent sexual health interventions and effect on communication outcomes: a systematic review and meta-analyses. Perspectives on sexual and reproductive health. 2015;47(1):37-50. 72. Keisha C. Paxton JKW, Sherica Bolden,Yesenia Guzman, Nina T. Harawa, . HIV Risk Behaviors among African American Women with at-Risk Male Partners. J AIDS Clin Res. 2013;4(7):221. 73. Eva E. Johansson, Lena Alex, Monica Christianson. Gendered discourses of youth sexualities an exploration of PubMed articles on prevention of sexually transmissible infections. Sexual & Reproductive Healthcare. 2014;5:81-9. 74. สุรางค์ โค้วตระกูล. จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2553. 75. ร ณ ภู มิ ส า มั ค คี ค า ร ม ย์ . สั ง ค ม ศ า ส ต ร์ แ ล ะ พ ฤ ติ ก ร ร ม ศ า ส ต ร์ ป ร ะ ยุ ก ต์ . มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ; 2557. 76. สายฝน เอกวรางกรู . พฤตกิ รรมเสี่ยงทางเพศของเยาวชน. เก้อื การณุ ย์. 2556;20(2):18. 77. นายแพทย์ณัฐพร วงษ์ศุทธิภากร. นโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาการต้ังครรภ์ในวัยรุ่น และแนวทางการดาเนนิ งาน ปี 2559; 2559. 78. สมัญญา มุขอาษา, เกษร สาเภาทอง. ทฤษฎีและวิธีการด้านการสร้างเสริมสุขภาพ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ; 2556.

85 ภาคผนวก ก ขอ้ มูลสาหรบั อาสาสมคั รวจิ ยั (Participant Information Sheet) โครงการวจิ ยั ที่ ชื่อเรื่อง (ไทย) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศของนักเรียนโรงเรียนประจา ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษา ชื่อเรอ่ื ง (องั กฤษ) Factors Associated to Sexual Risk Behaviors Among Secondary Boarding School Students ชือ่ ผู้วจิ ยั นางวิพรรษา คารินทร์ ตาแหนง่ นกั ศึกษา ระดับปรญิ ญาโท สถานทต่ี ิดต่อผ้วู ิจัย (ที่ทางาน) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลบ้านโทกหัวช้าง ตาบล พระบาท อาเภอเมือง จังหวัด ลาปาง 52000 (ท่ีบ้าน) 520 หมู่ 5 ถนน ลาปาง-แม่ทะ ตาบล ชมพู อาเภอเมือง จังหวัด ลาปาง 52100 โทรศพั ท์ (ท่ีทางาน) 081 469 6254 โทรศัพท์ทบี่ ้าน 054-241404 โทรศัพท์มอื ถอื 089 559 5336 E-mail: [email protected] ผ้สู นับสนนุ การวิจยั คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ เรียน นักเรียนผเู้ ขา้ รว่ มโครงการวิจัยทุกท่าน นักเรียนได้รับเชิญเข้าร่วมในโครงการวิจัยน้ีเนื่องจากนักเรียนน้ันเป็นนักเรียนที่อยู่ โรงเรียนศึกษาสงเคราะหจ์ ิตต์อารีฯ กอ่ นที่นักเรียนจะตัดสินใจเข้าร่วมในการวจิ ยั น้ี ขอให้นักเรียนอา่ น เอกสารฉบับนีอ้ ย่างละเอียด เพ่ือนักเรยี นจะไดท้ ราบเหตุผลและรายละเอียดของการวิจัยในครั้งนี้ และ นักเรียนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจทช่ี ดั เจน ถ้านักเรียนตดั สนิ ใจแล้ววา่ จะเข้ารว่ ม ในโครงการวิจยั น้ี ขอใหน้ กั เรยี นลงนามในเอกสารแสดงความยินยอมของโครงการวจิ ัยน้ี เหตผุ ลและความจาเป็นทีต่ อ้ งทาการวิจยั เนื่องจากวัยรุ่นเป็นช่วงระยะที่จะมีการสั่งสมการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ท่ีสาคัญท้ังทางด้าน ร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อการเตรียมพร้อมท่ีจะไปสู่วัยผู้ใหญ่ จาก รายงานการศึกษาสารวจวิจัยมากมายในประเทศไทยท่ีชี้ให้เห็นปัญหาของวัยรุ่น ซ่ึงพฤติกรรมเสี่ยง

86 ทางเพศ เป็นอีกหนึ่งปัญหาสาคัญทางด้านสาธารณสุข ที่นาไปสู่การเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ได้แก่ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การต้ังครรภ์ก่อนวัยอันควร พบว่ามีหลายปัจจัยที่มีความสาคัญและ เก่ียวข้องกับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ ได้แก่ การประพฤติปฏิบัติทางเพศในกลุ่มเพื่อน การยอมรับขอ ครอบครัวที่มีตอ่ การประพฤติปฏิบตั ิทางเพศ นอกจากน้ียังพบว่าความรู้เรอ่ื งเพศหรือเพศศึกษานนั้ มี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ และพบว่าเด็กวัยรุ่นมีการรับรู้เรื่องการคุมกาเนิด และการ ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีน้อย และมีความเชื่อท่ีไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ ไม่รวู้ ธิ กี ารปอ้ งกันตนเองในขณะมีเพศสัมพนั ธ์ เพ่ือการปอ้ งกนั โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องด้วยในจังหวัดลาปางมีโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เพียงแห่งเดียวในจังหวัดลาปาง และเป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ซึ่งรับเด็ก ด้อยโอกาสทางการศึกษา และโรงเรียนแห่งน้ี เป็นโรงเรียนประจา ฉะนั้นนักเรียนใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนเปรียบเสมือนบ้าน ทาให้นักเรียนอยู่ห่างไกล จากครอบครัว แม้ทางโรงเรียนจะมีอาจารย์ประจาแต่ละหอพักนักเรียนคอยดูแลอยู่ แต่เน่ืองด้วย นักเรยี นมีจานวนมาก และอาจารย์ผดู้ แู ลมจี านวนจากดั อาจทาให้การดูแลนัน้ ไม่ท่วั ถงึ จากสถานการณ์ดังกล่าว การศึกษาถึงปัจจัยทมี่ ีความสมั พันธก์ ับพฤติกรรมเส่ียงทางเพศ ของนักเรียนโรงเรยี นศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีฯ ช้นั มัธยมศึกษา จังหวัดลาปาง หวงั เป็นอยา่ งย่ิงวา่ ผล การศึกษาคร้ังน้ีจะให้ทราบสถานการณ์พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ของนักเรียนที่อยู่โรงเรียนศึกษา สงเคราะห์จิตต์อารีฯ และสามารถนามาประยุกต์ใช้ กระบวนการให้ สุขศึกษา ( Intervention ) ที่ถูกต้องเหมาะสมทันต่อความคิดความต้องการของนักเรียน เพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษา และสะท้อนข้อมูลที่ได้ให้กับทางโรงเรียน เพื่อแนวทางในการป้องกัน พฤติกรรมเสีย่ งทางเพศตอ่ ไป วตั ถุประสงค์ของการวิจยั 1. ศึกษาพฤตกิ รรมเสย่ี งทางเพศของนักเรยี นโรงเรยี นประจา ระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษา 2. ศกึ ษาปจั จัยทีม่ คี วามสัมพันธ์กบั พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ ของนักเรยี นโรงเรียนประจา ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษา ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องทา่ นขณะทีร่ ่วมในโครงการวิจยั เพอ่ื ให้งานวิจยั นปี้ ระสบความสาเรจ็ ผู้ทาวจิ ยั ใคร่ขอความร่วมมอื จากนักเรยี นดังน้ี ขอให้นักเรียนให้ข้อมูลที่เป็นจริงในการตอบแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วยคาถาม จานวน 56 ข้อ หนึ่งคร้ังรวม 40 นาที จึงขอความร่วมมือจากนักเรียน กรุณาตอบข้อคาถามซึ่งมี ทั้งหมด 4 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลลักษณะประชากร ได้แก่ เพศ อายุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook