Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 3หน่วยที่ 3 ค่าแรง เงินประกันสังคม ภาษีหัก ณ

3หน่วยที่ 3 ค่าแรง เงินประกันสังคม ภาษีหัก ณ

Published by a_lukkhana, 2020-06-09 23:43:37

Description: 3หน่วยที่ 3 ค่าแรง เงินประกันสังคม ภาษีหัก ณ

Search

Read the Text Version

หน่วยที่ 3 คา่ แรง เงิน ประกนั สังคม ภาษหี ัก ณ ทจ่ี ่าย และการบันทึกรายการ

สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายและประเภทของคา่ แรง 2. การคานวณค่าแรงงานตามกฎหมายแรงงาน 3. เงนิ ประกันสังคม 4. ภาษเี งินไดห้ กั ณ ทจ่ี ่าย 5. รายการหกั อน่ื ๆ 6. ทะเบียนคา่ แรง 7. การบันทึกรายการเกีย่ วกบั ค่าแรง

ความหมายและ ค่าแรง (Labor) หมายถงึ ค่าจา้ งและเงนิ เดือน ประเภทของค่าแรง ที่จ่ายให้แก่พนักงานหรือลูกจ้างของกิจการโดยทั่วไป ค่าจ้างนั้น กิจการจะจ่ายเป็นรายช่ัวโมง รายวัน ราย สัปดาห์หรือรายช้ินงานท่ีทาเสร็จส่วนเงินเดือนจะจ่าย เป็นรายเดือน กิจการบางแห่งจะจ่ายเงินเดือน เดือน ละ 2 คร้ัง สาหรับกิจการผลิตจะแบ่งค่าแรงออกเป็น 2 ประเภท คอื ค่าแรงทางตรงและคา่ แรงทางออ้ ม

ความหมายและ ค่าแรงทางตรง (Direct Labor) หมายถึง ประเภทของค่าแรง ค่าแรงงานของคนงานท่ีทาหน้าท่ีแปรสภาพวัตถุดิบให้เป็น สนิ คา้ สาเรจ็ รูป เชน่ ค่าแรงท่ีจ่ายให้กับช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ในการ กิจการผลติ เส้อื ผ้าสาเรจ็ รปู ค่าแรงที่จ่ายให้กับช่างไม้ในการกิจการผลิต เฟอร์นิเจอร์ไม้ ค่าแรงท่ีจ่ายให้กับช่างปั้นในการกิจการผลิต เคร่ืองปน้ั ดินเผา ค่าแรงทางอ้อม (Indirect Labor) หมายถึง ค่าแรงงานของคนงานที่มิได้ทาหน้าท่ีทาการผลิตสินค้า โดยตรง เช่น ค่าแรงพนักงานรักษาความสะอาด เงินเดือน ผู้จัดการโรงงานเงินเดอื นหัวหนา้ คนงาน เป็นต้น

การคานวณค่าแรงงานตามกฎหมายแรงงาน กาหนดเวลาทางานปกติ ตามพระราชบญั ญตั ิคมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 23 กาหนดเวลาทางานปกติของลกู จา้ งวันหนึง่ ต้องไม่เกนิ แปดชัว่ โมง และเม่ือรวมเวลาทางานทง้ั สน้ิ แล้วสัปดาหห์ น่ึงตอ้ งไม่เกินสีส่ ิบแปดชั่วโมงเว้นแตง่ านที่อาจเปน็ อนั ตรายต่อสุขภาพ และความปลอดภัยของลูกจา้ งทก่ี าหนดในกฎกระทรวงจะมเี วลาทางานปกติวันหนง่ึ ตอ้ งไม่เกินเจ็ดช่วั โมง แตเ่ มือ่ รวมเวลา ทางานท้ังสน้ิ แลว้ สปั ดาห์หนึง่ ไมเ่ กินสี่สิบสองชั่วโมง

การจา่ ยค่าล่วงเวลาในวนั ทางานปกติ มาตรา 61 กาหนดไว้ว่า ในกรณีท่ีนายจ้างให้ลูกจ้างทางานล่วงเวลาในวันทางาน ให้นายจ้างจ่ายค่า ล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้าง อัตราไม่น้อยกว่าหน่ึงเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อช่ัวโมงในวันทางานตามจานวนช่ัวโมงที่ ทา หรือไม่น้อยกว่าหน่ึงเท่าคร่ึงของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทางานตามจานวนผลงานที่ทาได้สาหรับลูกจ้าง ซึ่งไดร้ ับคา่ จ้างตามผลงานโดยคานวณเป็นหน่วย

การจ่ายคา่ แรงในวนั หยุด ในกรณีทนี่ ายจ้างให้ลกู จา้ งทางานในวนั หยดุ แยกพจิ ารณาเป็น 2 กรณี ตามมาตรา 62 ดงั นี้ มาตรา 62 ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทางานในวันหยุดตาม มาตรา 28 มาตรา 29 หรือมาตรา 30ให้นายจ้างจ่ายค่า ทางานในวันหยุดใหแ้ กล่ กู จา้ งในอตั ราดังต่อไปนี้ 1. สาหรับลูกจ้างซึ่งมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด ให้จ่ายเพ่ิมข้ึนจากค่าจ้างอีกไม่น้อยกว่าหน่ึงเท่าของอัตราค่าจ้างต่อ ชวั่ โมงในวันทางานตามจานวนช่ัวโมงทีท่ า หรอื ไม่นอ้ ยกว่าหน่ึงเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทางานตามจานวน ผลงานท่ที าไดส้ าหรบั ลกู จ้างซงึ่ ได้รับค่าจ้างตามผลงาน โดยคานวณเปน็ หน่วย 2. สาหรับลูกจ้างซ่ึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด ให้จ่ายไม่น้อยกว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อช่ัวโมงในวันทางานตาม จานวนช่ัวโมงที่ทา หรือไม่น้อยกว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทางานตามจานวนผลงานท่ีทาได้สาหรับลูกจ้าง ซง่ึ ไดร้ ับคา่ จ้างตามผลงานโดยคานวณเปน็ หน่วย

การจ่ายค่าแรงในวนั หยุด กรณีท่ี 1 หมายความว่านายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างเป็นรายเดือนหรือเป็นเงินเดือน ดังนั้นใน วันหยุดลูกจ้างจะได้รับค่าจ้างแล้ว จึงให้จ่ายอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อช่ัวโมง ในวัน ทางานตามจานวนชั่วโมงท่ที า หรอื ไม่น้อยกว่าหน่ึงเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทางานตามจานวน ผลงานทท่ี าไดส้ าหรับลูกจา้ งซงึ่ ได้รบั คา่ จ้างตามผลงานโดยคานวณเปน็ หนว่ ย การจา่ ยค่าแรงในวันหยุด กรณีท่ี 2 หมายความว่านายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างเป็นรายวัน หรือต่อหน่วยในวันทางาน ตามจานวนผลงานท่ีทาได้ ดังน้ัน ในวันหยุดหรือวันท่ีมิได้ทางานลูกจ้างจะไม่ได้รับค่าจ้าง จึงให้จ่ายไม่ น้อยกว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อช่ัวโมงในวันทางานตามจานวนช่ัวโมงท่ีทา หรือไม่น้อยกว่าสองเท่า ของอัตราคา่ จ้างต่อหน่วยในวนั ทางานตามจานวนผลงานท่ีทาไดส้ าหรบั ลกู จ้างซึง่ ได้รับคา่ จา้ ง ตามผลงานโดยคานวณเป็นหน่วย

การจ่ายคา่ ล่วงเวลาในวนั หยดุ การจ่ายค่าลว่ งเวลาในวันหยุดตามมาตรา 63 กาหนดไวด้ ังน้ี มาตรา 63 ในกรณีท่ีนายจ้างให้ลูกจ้างทางานล่วงเวลาในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาใน วันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อช่ัวโมงในวันทางาน ตามจานวน ชั่วโมงท่ีทา หรือไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทางานตามจานวนผลงานที่ทาได้ สาหรับลกู จา้ งซึ่งได้รบั ค่าจา้ งตามผลงานโดยคานวณเป็นหนว่ ย อัตราคา่ แรงข้นั ต่า ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างข้ันต่า (ฉบับที่ 9) ลงวันท่ี 19 มีนาคม 2561 กาหนดอัตราค่าแรงข้ันต่าทั่วประเทศ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 เป็นต้นไป โดยมี รายละเอียดดังนี้



การจดบนั ทกึ คา่ แรง การจดบันทึกและเก็บรวบรวมเวลาในการทางาน สาหรับกิจการขนาดใหญ่จะมีแผนกต่างๆ รับผิดชอบ ได้แก่ แผนก บุคลากรหรือฝ่ายบุคคล แผนกนี้จะทาหน้าที่ต้ังแต่การจัดหาและจัดจ้างแรงงาน การฝึกอบรม การจัดสวัสดิการต่างๆ รวมทั้งการ รวบรวมเวลาในการทางานของคนงาน เอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับการจดบันทกึ และเกบ็ รวบรวมเวลาในการทางาน ได้แก่ บัตรลงเวลาทางาน (Clock Card) บัตรน้ีใช้บันทึกเวลาทางานในแต่ละวันตั้งแต่เร่ิมปฏิบัติงานและสิ้นสุดการปฏิบัติงาน ในแต่ละวัน เพ่ือคานวณชั่วโมงการทางาน การบันทึกเวลาอาจใช้บันทึกด้วยการลงลายมือช่ือ การใช้นาฬิกาตอกบัตร การสแกน ลายนิ้วมือหรือบัตรประจาตัวด้วยเคร่ืองสแกนซึ่งนิยมใช้ในกิจการท่ัวไป เพ่ือป้องกันการบันทึกเวลาแทนกันเม่ือเร่ิมปฏิบัติงานใน หนว่ ยงาน แผนกหรอื ในงานกต็ าม พนกั งานหรือคนงานทาการบนั ทกึ เวลาเริม่ ทางาน เมอื่ ปฏิบตั หิ น้าท่ใี นแผนกหรอื ในงานนัน้ ๆ เสร็จ จะบันทึกเวลาสิ้นสุดการทางาน เพื่อบันทึกเวลาการเข้าทางาน เมื่อทาเสร็จก็ทาการบันทึกเวลาเลิกงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการ จาแนกคา่ แรงของแผนกต่างๆ คานวณคา่ แรงและจ่ายค่าแรง



บัตรบันทึกเวลาประจางาน (Job Time Ticket) บัตรบันทึกเวลาประจา งานส่วนใหญ่จะใช้กับคนงานท่ีได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน รายชั่วโมง รายสัปดาห์ หรือราย ชิ้นงาน บัตรน้ีใช้บันทึกเวลาทางานท้ังหมดของคนงาน ผู้เกี่ยวข้องสามารถนาข้อมูลจาก บัตรนี้ไปจาแนกค่าแรง ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงทางตรงค่าแรงทางอ้อมรวมท้ังการทางาน ล่วงเวลา เพ่อื จะได้คานวณคา่ แรงใหก้ บั คนงานได้ถกู ต้องตามอตั ราค่าแรงงาน

การคานวณค่าแรง ค่าแรงในกิจการอุตสาหกรรมนิยมคิดเป็นรายวัน รายชั่วโมงและเป็นรายชิ้น ในการคานวณค่าแรงถ้ามี การทางานลว่ งเวลา หรือในวันหยดุ จะตอ้ งคานวณค่าล่วงเวลา ค่าทางานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดตาม พระราชบญั ญัตคิ ุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 มาตรา 68 ซึง่ กาหนดไว้วา่ มาตรา 68 เพ่ือประโยชน์แก่การคานวณค่า ล่วงเวลา คา่ ทางานในวนั หยดุ และค่าล่วงเวลาในวันหยดุ ในกรณีที่ ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทางาน หมายถึง ค่าจ้างราย เดือนหารด้วยผลคูณของสามสิบ และจานวนช่ัวโมงทางานในวันทางานต่อวันโดยเฉลี่ยจากมาตราดังกล่าว หมายความว่าถ้าลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน การคานวณอัตราค่าจ้างต่อช่ัวโมง ให้นาค่าจ้างรายเดือนหาร ด้วยผลคณู ของสามสิบ และจานวนชัว่ โมงทางานในวันทางานต่อวันโดยเฉล่ยี

ดังนั้น หากลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน การคานวณ อัตราค่าจ้างต่อช่ัวโมง ให้นาค่าจ้างรายวันคูณ จานวนช่ัวโมง ทางาน การคานวณสาหรับกิจการที่มีขนาดใหญ่นั้นเป็นหน้าท่ีของ แผนกคิดค่าแรง ส่วนกิจการที่มีขนาดเล็กนั้นจะมอบหมายให้ เจ้าหน้าที่คนใดคนหน่ึงรับผิดชอบการคานวณค่าแรง โดยทั่วไปจะ ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 2 ส่วน คือ การคานวณค่าแรงข้ันต้นและ การคานวณค่าแรงสุทธิ



การคานวณประกอบ (ยกตวั อยา่ งคนที่ 1) ชอ่ ง คา่ แรงปกติ มาจาก จานวนวนั ทางานปกติ X อัตราค่าแรงตอ่ วัน = 10 X 320 = 3,200 บาท ช่อง คา่ ลว่ งเวลาวนั ปกติ มาจาก จานวน ชม.ล่วงเวลาวันปกติ X อัตราค่าล่วงเวลาปกติต่อช่ัวโมง = 9 X60 = 540 บาท ชอ่ ง คา่ แรงวันหยุด มาจาก จานวนวันทางานวันหยดุ X อตั ราค่าแรงวันหยุด = 2 X 640 = 1,280 บาท ช่อง คา่ ลว่ งเวลาวันหยุด มาจาก จานวน ชม.ล่วงเวลาวันหยุด X อัตราค่าล่วงเวลาวันหยุดต่อชั่วโมง = 3 X 120 = 360 บาท ชอ่ ง รวมคา่ แรงขั้นตน้ มาจาก ช่องคา่ แรงปกติ+คา่ ล่วงเวลาวันปกต+ิ คา่ แรงวนั หยดุ +คา่ ลว่ งเวลาวันหยุด = 3,200 + 540 + 1,280 + 360 = 5,380 บาท

เงนิ ประกนั สงั คม ความหมายของการประกันสงั คมและกฎหมายทเ่ี กีย่ วข้อง การประกันสังคม คือ การสร้างหลักประกันในการดารงชีวิตในกลุ่มของสมาชิกท่ีมีรายได้และจ่ายเงิน สมทบเข้ากองทุนประกันสังคม (Social security funds) เพื่อรับผิดชอบในการเฉลี่ยความเส่ียงที่อาจเกิดขึ้นจาก การเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์บุตร ชราภาพและว่างงาน เพ่ือให้ได้รับการรักษาพยาบาล และมีรายได้อยา่ งตอ่ เน่ือง ผู้ประกันตน คือ ลูกจ้างท่ีมีอายุไม่ต่ากว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ในวันเข้าทางานและ ทางานอยูใ่ นสถานประกอบการท่ีมีลกู จ้างต้ังแต่ 1 คนขน้ึ ไป งานประกันสังคมดาเนินการตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2537 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2542 และพระราชกฤษฎีกากาหนดระยะเวลาเร่ิมดาเนินการจัดเก็บเงิน สมทบเพือ่ การใหป้ ระโยชนท์ ดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. 2546

ความหมายของเงินสมทบ เงินสมทบ คือ เงินที่นายจ้าง ลูกจ้างจะต้องนาส่งเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน โดยคานวณจาก ค่าจา้ งท่ลี กู จา้ งไดร้ บั ซง่ึ กาหนดจากฐานค่าจา้ งเป็นรายเดือนตา่ สุดเดือนละ 1,650 บาท สูงสุดเดอื น ละ15,000 บาท สาหรับเศษของเงินสมทบท่ีมีจานวนตั้งแต่ห้าสิบสตางค์ขึ้นไปให้ปัดเป็นหน่ึงบาท ถา้ น้อยกวา่ ให้ปัดทิ้งทง้ั น้รี ฐั บาลจะออกเงนิ สมทบเขา้ กองทนุ อกี สว่ นหน่ึง

การยน่ื แบบและแบบฟอรม์ ทใ่ี ช้ นายจ้างท่ีมีลูกจ้างต้ังแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องข้ึนทะเบียนนายจ้างพร้อมกับขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็น ผู้ประกันตน ภายใน 30 วัน และเม่ือมีการรับลูกจ้างใหม่เพิ่มขึ้นต้องแจ้งข้ึนทะเบียนลูกจ้างใหม่ภายใน30 วัน เช่นกนั แบบฟอรม์ ทีใ่ ช้คอื 1. แบบข้ึนทะเบียนนายจ้าง (สปส. 1-01) 2. แบบขึ้นทะเบียนผู้ประกนั ตน (สปส. 1-03)

อัตราเงนิ สมทบเขา้ กองทุนประกันสงั คม นายจ้างจะต้องหักเงินสมทบในส่วนของลูกจ้างทุกครั้งท่ีมีการจ่ายค่าจ้าง และนาส่งเงินสมทบส่วนของนายจ้างใน จานวนเท่ากับท่ีลูกจ้างทั้งหมดถูกหักรวมกัน พร้อมจัดทาเอกสารตามแบบ สปส. 1-10ส่วนท่ี 1 และ สปส. 1-10 ส่วนท่ี 2 หรือ จัดทาขอ้ มลู ลงแผ่นดสิ เกต็ หรือส่งทางอินเทอรเ์ น็ต โดย : 1. นาส่งสานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด ด้วยตนเอง หรือทางไปรษณีย์เป็นเงินสดหรือเช็ค ภายในวนั ท่ี 15 ของเดอื นถัดไป หรือ 2. ชาระเงนิ ผา่ นธนาคารกรุงไทย จากัด (มหาชน) หรือ ธนาคารกรุงศรอี ยธุ ยา จากดั (มหาชน)ธนาคารธนชาต สาขาใน จงั หวัดท่ีสถานประกอบการตง้ั อยู่

แบบรายการแสดงการสง่ เงนิ สมบท แบบรายการแสดงการสง่ เงินสมบท

อัตราเงินสมทบเข้ากองทนุ สทิ ธิประโยชนข์ องผ้ปู ระกนั ตน ประกนั สงั คม กองทุนประกันสังคมให้หลักประกันและ นายจ้าง ท่ีอยู่ในข่ายบังคับตามพระราชบัญญัติ ความคุ้มครองแกผ่ ูป้ ระกนั ตน 7 กรณี ดงั นี้ (และผู้ประกันตนมาตรา 33) ตั้งแต่งวดค่าจ้าง เดือนมกราคม 2557 เป็นต้นไป ให้นาส่งใน - กรณีเจ็บปว่ ยหรอื ประสบอนั ตราย อตั ราฝ่ายละ รอ้ ยละ 5 ของค่าจา้ ง - กรณีคลอดบุตร - กรณที พุ พลภาพ - กรณีเสียชีวิต - กรณสี งเคราะหบ์ ุตร - กรณีชราภาพ - กรณีว่างงาน (ถูกเลิกจ้าง/ลาออกหรือ ส้ินสดุ สญั ญาจา้ ง)

ปัจจุบันสานักงานประกันสังคมได้เปิดให้บริการอิเล็กทรอนิกส์เพ่ืออานวยความสะดวกสาหรับ สถานประกอบการและบคุ คลทัว่ ไป

พนกั งานประจาสานักงาน คนงานประจาโรงงาน คนท่ี 1 อตั ราเงินเดือน ๆ ละ 16,000 บาท คนท่ี 3 อตั ราเงินเดอื น ๆ ละ 20,000 บาท คนท่ี 2 อัตราเงนิ เดือน ๆ ละ 9,000 บาท คนที่ 4 อตั ราค่าจา้ งวนั ละ 350 บาท ทางาน 20 วนั คนท่ี 5 อัตราคา่ จา้ งวนั ละ 350 บาท ทางาน 20 วนั คนท่ี 6 อตั ราคา่ จา้ งวนั ละ 350 บาท ทางาน 19 วนั คนที่ 7 อัตราค่าจา้ งวนั ละ 300 บาท ทางาน 20 วนั คนที่ 8 อตั ราค่าจา้ งวันละ 300 บาท ทางาน 18 วนั คนที่ 9 อัตราคา่ จ้างวันละ 300 บาท ทางาน 20 วนั คนที่ 10 อัตราคา่ จ้างวันละ 300 บาท ทางาน 5 วนั

ใหท้ า 1. คานวณเงนิ ประกนั สงั คมทนี่ ายจา้ งต้องหักจากพนักงานและคนงาน 2. คานวณเงนิ ประกนั สังคมท่ีนายจา้ งต้องจ่ายสมทบ 1. คานวณเงินประกันสังคมทีน่ ายจา้ งตอ้ งหักจากพนักงานและคนงาน

*การคานวณเงินสมทบหากได้รับค่าจ้างต่ากว่า 1,650 บาท ให้คานวณจาก 1,650 บาท แต่ถ้า ได้รับค่าจ้างเกิน 15,000 บาท ให้คานวณจาก 15,000 บาทโดยคูณกับอัตราเงินสมทบท่ีต้องนาส่ง สาหรับ เศษของเงินสมทบท่มี จี านวนต้งั แต่หา้ สบิ สตางค์ข้ึนไปใหป้ ดั เป็นหนึง่ บาท ถา้ น้อยกว่าใหป้ ดั ทิ้ง

การคานวณประกอบ คนท่ี 6 จานวนเงินท่ไี ดร้ ับทง้ั ส้นิ 6,650 บาท เงนิ ประกนั สังคม = 6,650 X 5% = 332.50 บาท ปัดขึ้น = 333 บาท คนที่ 10 จานวนเงินท่ไี ดร้ ับทัง้ ส้ิน 1,500 บาท เงนิ ประกนั สังคม = 1,650 X 5% = 82.50 บาท ปดั ขึ้น = 83 บาท 2. คานวณเงินประกนั สงั คมทนี่ ายจา้ งตอ้ งจา่ ยสมทบ เงินประกนั สังคมทนี่ ายจ้างต้องจ่ายสมทบ = 3,936 บาท

ภาษเี งนิ ไดห้ ัก ณ ทีจ่ า่ ย ผู้มีหนา้ ทห่ี ักภาษีเงนิ ได้ ณ ท่จี ่าย ได้แก่ 1. บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือคณะบุคคล ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40 (1) (2)แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้แก่ เงินได้ตามประเภทต่อไปนี้ รวม ตลอดถงึ เงนิ คา่ ภาษอี ากรของเงินไดด้ งั กล่าวที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อน่ื ออกแทนให้ ไม่ว่า ทอดใด

1.1 เงนิ ได้พึงประเมนิ ตามมาตรา 40 (1) ได้แก่ เงนิ ไดเ้ นอ่ื งจากการจ้างแรงงานไมว่ ่าจะเปน็ เงนิ เดอื น คา่ จ้าง เบ้ียเล้ยี ง โบนัส เบีย้ หวดั บาเหน็จ บานาญ เงินค่าเช่าบา้ น เงินที่คานวณได้จากมลู คา่ ของการไดอ้ ย่บู า้ นท่ีนายจ้างให้อยูโ่ ดยไม่เสียค่าเช่า เงนิ ทน่ี ายจา้ งชาระหน้ีใดๆ ซงึ่ ลูกจ้างมหี น้าทต่ี อ้ ง ชาระและเงิน ทรพั ย์สินหรือประโยชน์ใดๆ บรรดาท่ไี ดเ้ น่ืองจากการจ้างแรงงาน 1.2 เงินไดพ้ งึ ประเมินตามมาตรา 40 (2) ได้แกเ่ งนิ ไดเ้ นอ่ื งจากหน้าที่ หรือต่าแหนง่ งานที่ทา หรือจากการรับทางานให้ ไมว่ ่าจะเปน็ คา่ ธรรมเนยี ม คา่ นายหน้า ค่าส่วนลด เงินอดุ หนุนในงานทีท่ าเบี้ย ประชมุ บาเหน็จ โบนัส เงนิ ค่าเช่าบ้าน เงนิ ที่คานวณได้จากมลู คา่ ของการได้อยบู่ ้านทผ่ี ูจ้ า่ ยเงินได้ใหอ้ ยู่ โดยไม่เสยี คา่ เช่า เงนิ ที่ผ้จู า่ ยเงนิ ได้จ่ายชาระหนี้ใดๆ ซงึ่ ผมู้ ีเงินไดม้ ีหนา้ ทีต่ อ้ งชาระ และเงนิ ทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชน์ใดๆ บรรดาทีไ่ ดเ้ น่อื งจากหน้าทีห่ รือตาแหนง่ งานท่ที าหรือจากการรับทางานให้น้นั ไมว่ ่าหน้าท่ี หรือตาแหน่งงานหรอื งานทีร่ ับทาใหน้ ้นั จะเปน็ การประจาหรือช่วั คราว

วิธีคานวณภาษเี งนิ ได้หัก ณ ที่จ่าย การคานวณภาษเี งินได้หกั ณ ทจ่ี า่ ย ตามมาตรา 50(1) แหง่ ประมวลรษั ฎากร กรณี การจา่ ยเงินได้พึงประเมนิ ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรษั ฎากร แต่ไม่รวมถึงเงินได้ท่ีนายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออก จากงานใหป้ ฏิบัตดิ ังนี้ 1. ให้คานวณหาจานวนเงินได้พึงประเมินเสมือนหน่ึงว่าได้จ่ายทั้งปี โดยให้นาเงินได้พึงประเมินท่ีจ่ายแต่ละคราวคูณด้วย จานวนคราวที่จะตอ้ งจา่ ย (ตอ่ ปี) ดงั น้ี 1.1 กรณจี า่ ยค่าจ้างเปน็ รายเดือนให้คูณดว้ ย 12 1.2 กรณีจ่ายค่าจา้ งเดือนละ 2 คร้ังใหค้ ณู ด้วย 24 1.3 กรณจี า่ ยคา่ จ้างเป็นรายสัปดาห์ให้คูณดว้ ย 52 การจ่ายเงินได้พึงประเมินให้แก่ผู้มีเงินได้ซ่ึงเข้าทางานระหว่างปี ให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่ละคราวในปีที่เข้า ทางานด้วยจานวนคราวท่ีจะต้องจ่ายจริงสาหรับปีน้ัน เช่น เข้าทางานวันที่ 1 มีนาคมและกาหนดจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือน จานวนคราวท่ีจะตอ้ งจ่ายสาหรบั ปีที่เขา้ ทางานจะเท่ากับ 10

2. นาจานวนเงินได้พึงประเมินเสมือนหน่ึงว่าได้จ่ายท้ังปีตามข้อ 1 มาคานวณภาษีตามเกณฑ์ ในมาตรา 48 (1) แห่งประมวลรษั ฎากร โดยดูขอ้ มูลผู้มีเงินไดจ้ าก แบบแจ้งรายการเพ่ือการหกั ลดหยอ่ น (ล.ย.01) กลา่ วคือ 2.1 หักคา่ ใชจ้ า่ ย 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท 2.2 หกั รายการลดหย่อนและยกเว้น ดังนี้ 1. ผู้มเี งนิ ได้ 60,000 บาท 2. คู่สมรส 60,000 บาท (ชอบดว้ ยกฎหมายและไม่มีเงนิ ได้) 3. บตุ ร (ชอบดว้ ยกฎหมาย) - ลดหย่อนคนละ 30,000 บาท 4. เบยี้ ประกนั ชวี ิต หักไดเ้ ท่าทีจ่ ่ายจรงิ แตไ่ มเ่ กิน 100,000 บาท 5. ดอกเบ้ียเงินก้ยู มื เพ่อื ซอื้ เช่าซ้ือหรอื สรา้ งอาคารอยอู่ าศยั ได้รับลดหยอ่ นและยกเวน้ ภาษี ตามจานวนเงนิ ทจ่ี า่ ยจรงิ ในปีภาษนี ้ี แต่ไม่เกิน 100,000 บาท 6. เงนิ สมทบกองทนุ ประกันสงั คมหกั ลดหย่อนไดต้ ามที่จา่ ยจริง

แบบแจง้ รายการเพ่อื การหกั ลดหย่อน (ล.ย.01)

2.3 คานวณภาษตี ามบญั ชอี ตั ราภาษเี งนิ ได้สาหรับบคุ คลธรรมดาเป็นเงนิ ภาษีท้งั ส้นิ

ให้ทา คานวณภาษเี งินไดห้ ัก ณ ท่จี ่ายของนายสบายใจ

คานวณภาษีเงนิ ได้หัก ณ ที่จ่ายของนายสบายใจ วิธที า เงินเดอื นเสมือนหนงึ่ วา่ ได้จ่ายทงั้ ปี = 41,000 x 12 = 492,000 บาท หกั คา่ ใช้จา่ ย (50% ไมเ่ กนิ 100,000 บาท) = 100,000 บาท คงเหลือ = 392,000 บาท หกั รายการลดหยอ่ นและยกเว้น ผู้มีเงนิ ได้ 60,000 คู่สมรส 60,000 บุตร (30,000 X 2) 60,000 เบ้ียประกนั ชวี ิต 23,000 เงินสมทบกองทนุ ประกนั สังคม 9,000 = 212,000 บาท เงนิ ไดส้ ุทธิ = 180,000 บาท ภาษีคานวณจากเงนิ ไดส้ ทุ ธิ = *1,500 บาท ภาษีเงนิ ได้หกั ณ ทจี่ า่ ยต่อเดือน = 125 บาท

* ภาษคี านวณจากเงนิ ได้สทุ ธิ

ให้ทา คานวณภาษเี งินไดห้ ัก ณ ท่จี ่ายของนายสมบรู ณ์

คานวณภาษีเงินได้หัก ณ ทจี่ า่ ยของนายสบายใจ วิธที า เงินเดอื นเสมอื นหน่งึ ว่าได้จ่ายท้งั ปี = 24,500 x 24 = 588,000 บาท = 100,000 บาท หกั ค่าใชจ้ ่าย (50% ไม่เกิน 100,000 บาท) = 488,000 บาท คงเหลือ = 143,000 บาท หัก รายการลดหย่อนและยกเว้น = 345,000 บาท = *12,000 บาท ผมู้ ีเงินได้ 60,000 = 1,000 บาท บตุ ร 30,000 เบย้ี ประกนั ชีวิต 34,000 ดอกเบีย้ เงนิ กูย้ มื (20,000/2) 10,000 เงนิ สมทบกองทุนประกันสังคม 9,000 เงนิ ได้สทุ ธิ ภาษีคานวณจากเงนิ ได้สุทธิ ภาษีเงนิ ได้หัก ณ ทจ่ี า่ ยตอ่ เดือน (ตัง้ แต่เดือนมกราคม-ธันวาคม 25X1)

* ภาษคี านวณจากเงนิ ได้สทุ ธิ

ให้ทา คานวณภาษเี งินไดห้ ัก ณ ท่จี ่ายของนางสาวศรแี พร



* ภาษคี านวณจากเงนิ ได้สทุ ธิ



* ภาษคี านวณจากเงนิ ได้สทุ ธิ

ภาษเี งนิ ไดท้ งั้ ปี (คา่ แรงรายเดือน+ค่าลว่ งเวลา) = 31,231.25 บาท หกั ภาษเี งนิ ได้ทั้งปี (เฉพาะคา่ แรงรายเดือน) = 31,021.25 บาท ภาษเี งนิ ได้หัก ณ ท่จี า่ ย สาหรบั คา่ ล่วงเวลาเดือนมกราคม = 210.00 บาท บวก ภาษเี งินได้หกั ณ ทจี่ า่ ย สาหรับคา่ แรงเดือนมกราคม = 2,585.10 บาท รวม ภาษีเงนิ ได้ หัก ณ ที่จ่ายเดอื นมกราคม = 2,795.10 บาท สรปุ ภาษีเงนิ ไดบ้ ุคคลธรรมดา หัก ณ ทีจ่ า่ ยเดอื นมกราคม = 2,795.10 บาท ภาษเี งนิ ได้บคุ คลธรรมดา หกั ณ ที่จ่ายเดอื นกุมภาพนั ธ์-พฤศจิกายน = 2,585.10 บาท ภาษเี งนิ ได้บคุ คลธรรมดา หกั ณ ที่จ่ายเดือนธนั วาคม = 2,585.15 บาท

เพื่อความสะดวกในการคานวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กิจการบางแห่งจะไม่นารายการท่ีเกิดข้ึน ระหว่างปีภาษีของผู้มีเงินได้ ไปคานวณ เช่น เบ้ียประกันชีวิต ดอกเบ้ียเงินกู้ยืม ฯลฯ ยกเว้นผู้มีเงินได้แจ้งไว้ใน แบบแจ้งรายการเพ่ือการหักลดหย่อน (ล.ย.01) แต่จะให้ผู้มีเงินได้ดาเนินการเองตอนยื่นแบบแสดงรายการใน ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ปีถัดไป ซ่ึงผู้มีเงินได้อาจต้องชาระเพ่ิมเติมหรืออาจได้รับคืนหากชาระไว้เกิน แต่ บางกิจการอาจดาเนินการปรับใหใ้ นเดอื นสุดทา้ ยของปีคือเดอื นธนั วาคม

แบบแสดงรายการเกย่ี วกบั ภาษเี งนิ ได้หัก ณ ท่จี า่ ย 1. (ภ.ง.ด.1) เปน็ แบบยน่ื รายการภาษีเงินได้หกั ณ ท่ีจ่าย สรุปรายการภาษีที่ นาส่ง 2. ใบแนบ ภ.ง.ด.1 เป็นแบบแสดงรายละเอียดเก่ียวกับผู้มีเงินได้ ย่ืนพร้อม กบั ภ.ง.ด.1 3. หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ท่ีจ่ายเป็นเอกสารที่ผู้มีหน้าท่ีหักภาษี ณ ท่ีจ่ายต้องออกให้กับผู้มีเงินได้ เพื่อนาไปแสดงพร้อมกับการยื่นแบบแสดง รายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

แสดงตวั อยา่ งแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.1

หนงั สอื รับรองภาษีเงนิ ไดห้ ัก ณ ท่จี า่ ย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook