บทท$ี 2 ธรณีภาค
• กระบวนการบนพนื* ผิวโลก กระบวนการพนื* ผิวโลก (earth’s surface process) เป็ นกระบวนการ เปลBียนแปลงของพนื* ผิวโลกอันเนBืองมาจากตวั การทางธรณีสัณฐานวทิ ยา กายภาพ (physical geomorphic agent) ดงั เช่น นํา* ทะเล ลม ธารนํา* แขง็ เป็ นต้น ทBที าํ ให้มีการปรับระดบั ของพนื* ผิวโลกให้สูงขนึ* (aggradations) หรือปรับระดบั ให้ตBาํ ลง (degradation) จะเหน็ ว่า การเปลBียนแปลงต่างๆ ทBี เกดิ ขนึ* จะขนึ* อยู่กับสภาพพนื* ผิวเดมิ เช่น ความชันของพนื* ทBี ชนิดหนิ เป็ น ต้น
การเปล(ียนแปลงทงั/ ทางกายภาพ และทางเคมี ท(ที าํ ให้เกดิ การ เปล(ียนแปลงรูปร่าง หรือสัณฐานของพนื/ ผิวโลก โดยท(มี ีตวั กลาง ใน การทาํ ให้เกดิ การผุพงั การพดั พา และการสะสมตวั ของวัสดุต่างๆ บนพนื/ ผิวโลก Ø การปรับระดบั ผิวดนิ (Gradation) Ø การผุพงั (Weathering) Ø การกร่อน (Erosion) Ø การเคล(ือนท(ขี องมวลสาร (Mass-movement)
Ø การปรับระดบั ผิวดนิ (Gradation) กระบวนการท:ที าํ ให้พนืA ผิวโลกมีระดบั ราบหรือลาดสม:าํ เสมอ โดย การกร่อน การนําพา และการสะสมตวั มีความหมายใกล้เคียงกับ การ เกล:ียระดบั ของพนืA ผิวโลก (Degradation) ลงไปเร:ือยๆ ตามกาลเวลา เน:ืองจากการผุพงั ทาํ ลายกระจดั กระจายลดระดบั ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะจากการกระทาํ ของนําA การเพ:มิ ระดบั ของผิวดนิ (Aggradation) เป็ นการทาํ ให้แผ่นดนิ มี ระดบั สูงขนึA เน:ืองจากการสะสมตวั ของตะกอน โดยการนําพาของนําA เป็ นส่วนใหญ่
Ø การผุพงั (Weathering) การท7หี นิ ผุพงั ทาํ ลายตวั ลงด้วยกรรมวธิ ีต่างๆ จากลมฟ้าอากาศ กับนําK ฝน และรวมทงัK การกระทาํ ของต้นไม้กับแบคทเี รีย ตลอดจน การแตกตวั ทางกลศาสตร์ มีการเพ7มิ อุณหภมู แิ ละลดอุณหภมู ิ สลับกัน ทาํ ให้ชนิK ส่วนของหนิ ถกู พดั พากระจดั กระจายไปจากท7เี ดมิ
กระบวนการผุพงั ทางกายภาพ (Physical weathering) • การขยายตวั จากนําH หนักทFกี ดทบั (expansion from unloading) • การเตบิ โตของผลกึ แร่ (crystal growth) • การขยายตวั จากความร้อน (thermal expansion) • การขยายตวั จากอนิ ทรีย์สาร (organic activity กระบวนการผุพงั ทางเคมี (Chemical weathering) • Hydration กระบวนการทFมี ีการรับนําH เช่น เปลFียนจากแร่ anhydrite เป็ น gypsum • Hydrolysis เกดิ จากนําH และความชืนH ทาํ ปฏกิ ริ ิยากับแร่ธาตุบาง ชนิดในเนือH ดนิ มีการเปลFียนองค์ประกอบทางเคมีของแร่
ตวั อย่างการขยายตวั ของนํา. แขง็ ในช่องว่างของหนิ (การผุพงั ทางกายภาพ)
Ø การกร่อน (Erosion) กระบวนการหน5ึงหรือหลายกระบวนการท5ที าํ ให้สารเปลือกโลก หลุดไป ละลายไป หรือ กร่อนไปโดยตวั การธรรมชาติ ซ5งึ ได้แก่ ลม ฟ้าอากาศ (Climate agents) สารละลาย (Solution agent) การครูดถู (Abrasion agent) การนําพา(Transportation agent) ทงัa นีไa ม่รวมถงึ การ พงั ทลายเป็ นกลุ่มก้อน เช่น แผ่นดนิ ถล่ม (landslide) หรือภเู ขาไฟ ระเบดิ (Volcanism)
ตวั อย่างการกัดกร่อนโดยลมเป็ นตวั กลางนําพา
ผาช$อ ตั้งอยู(ใน อำเภอดอยหล(อ ในความดูแล ของอุทยานแห(งชาติแม(วาง เป=นปรากฏการณB ตามธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของลมฝนจน ทำใหJแผ(นดินที่เชื่อกันว(าเมื่อหลายรJอยปMหรือพัน ปMก(อนบริเวณแห(งนี้เคยเป=นทางเดินของแม(น้ำปPง ซึ่งสังเกตไดJจากกJอนกรวดหินกลมมนกระจัด กระจายอยู(ในเนื้อดินจำนวนมาก จนกระทั่งแม(น้ำ ปPงไดJเปลี่ยนสายยJายทิศไหลผ(านไปที่อื่น บริเวณ นี้ไดJถูกยกตัวเป=นเนินเขาสูงตะกอนแม(น้ำปPงก(อ ตัวทับถมกันเป=นชั้น ๆ ผ(านกาลเวลาและถูกกัด เซาะจนกลายเป=นหนJาผาและเสาดินที่มีรูปร(าง แปลกตาคลJายกับที่ แพะเมืองผี ในจังหวัดแพร( หรือ ละลุ ในจังหวัดสระแกJว ซึ่งมีลักษณะที่เตี้ย กว(า ต(างกับ ผาช$อ ซึ่งมีลักษณะ เป=นกำแพงและ เสาหินขนาดใหญ(ลวดลายแปลกตา มีขนาดสูง ใหญร( าว 30 เมตร เปน= บรเิ วณกวJางนบั รอJ ยเมตร
Ø การเคล(ือนท(ขี องมวลสาร (Mass-movement) กระบวนการเคล(ือนตวั ของมวลหนิ ดนิ ทราย ภายใต้แรงดงึ ดดู ของโลก เช่น แผ่นดนิ ถล่ม ตวั การท(ที าํ ให้เกดิ การเคล(ือนท(ขี องมวลสาร นีไS ด้แก่ นําS
ในทางธรณีวิทยา เมื่อพูดถึงการย9ายมวลเราจะหมายถึง การเคลื่อนที่ของมวลที่เกิด จาก แรงโน9มถBวงของโลก เปDนหลัก อาจจะมีน้ำเข9ามาชBวยหลBอลื่นบ9างแตBจะไมBโดดเดBน สBวนการเคลื่อนที่ของมวลที่ต9องอาศัย ตัวกลาง (น้ำ ลม ธารน้ำแข็ง) เปDนหลักในการ เคล่อื นที่ เราเรยี กวBา การพดั พา (transportation) ปจ\" จยั เออื้ อำนวยและส่งิ เรา5 1) ความชัน (slope) อธิบายได5ในรูปแบบของ มุมทรงตัว หรือ มุมกอง (angle of repose) ซึ่งหมายถึง มุมชันที่มวลยังสามารถเกาะตัวกันอยูXได5 ขึ้นอยูXกับขนาด รูปทรง และความเปYนเนื้อเดียวกันของมวล ตะกอนขนาดใหญXจะมีมุมทรงตัวกว5างกวXาตะกอน ขนาดเล็ก เชXน ทรายละเอียดมีมุมทรงตัว 35 องศา ทรายหยาบมีมุมทรงตัว 40 องศา และกรวดเหลี่ยมมีมุมทรงตัว 45 องศา ดังนั้นมวลขนาดใหญXจึงสามารถเกาะเกี่ยว กXอรXาง สรา5 งตัวไดช5 ันกวาX มวลขนาดเลก็
2) นำ้ (water) น้ำตามช1องวา1 งของตะกอนทำใหแ; รงเสียดทานน;อยลง และมวลมีน้ำหนกั มากข้ึน ทำใหค; วามสามารถในการเกาะตัวกันของ ตะกอนลดลง และน้ำยงั ช1วยให;มวลลืน่ ไถลไดด; ขี น้ึ มวลทอี่ ิม่ นำ้ จึงเคลื่อน ตัวได;เร็วขน้ึ 3) พชื คลุมดนิ (vegetation) รากพชื ช1วยยดึ เกาะหน;าดนิ และชว1 ย ยับย้ังการย;ายมวล บริเวณทมี่ กี ารตดั ไม;ทำลายปYาหรอื เกิดไฟไหม;ปYา บอ1 ยคร้งั จะมีโอกาสสงู ที่จะเกดิ การย;ายมวล แตบ1 างครงั้ หากพืชหนาแนน1 มากเกนิ ไปอาจเพมิ่ นำ้ หนกั ใหพ; ้นื ทีแ่ ละเรง1 ใหม; กี ารยา; ยมวลไดง; 1ายขนึ้ เหมือนกนั
4) การวางตวั ของชน้ั หนิ (orientation of bed) การเอียงเทของชน้ั หนิ สงB ผลตBอโอกาสการยFายมวล โดยมวลลน่ื ไถลไดงF าB ยไปตามแนวการเอยี ง เทหรอื ระนาบรอยแตกของชนั้ หิน
5) ตัวกระต+ุน (trigger) เช5น 1) แรงสัน่ สะเทือนจากคลน่ื ไหวสะเทอื นหรอื การ ระเบิดเพื่อทำเหมือง โดยสว5 นใหญก5 ระตุ+นใหม+ กี ารย+ายมวลง5ายและเรว็ ข้นึ 2) การปะทุ ของภเู ขาไฟทำใหค+ วามชนั ของภูเขาเพ่ิมขึ้นอยา5 งทนั ทที นั ใด เพราะมีเถา+ ภเู ขาไฟจำนวน มากถับถมเปนY ช้ันหนาตามความชันเดิมของภูเขาไฟ ทำใหม+ โี อกาสสูงทม่ี วล (เถา+ ) จะ เคลือ่ นท่ี และ 3) การเกิดพายุ ฝนตกหนักอย5างตอ5 เนอ่ื งเปนY การเพม่ิ นำ้ ให+กบั พืน้ ที่อย5าง รวดเร็ว
สว\" นใหญ\"เราจะคนุ/ ชนิ และรวมการย/ายมวลทั้งหมดวา\" เปน= “ดนิ ถล\"ม” แต\"ถ/าศึกษาในรายละเอียด จะ พบว\"าดินถลม\" ทเี่ ราเข/าใจกนั แบง\" ไดห/ ลายแบบขึน้ อยู\"กับ 1) ชนดิ ของมวล เช\"น หิน ดิน หิมะ 2) น้ำมาก หรอื น/อย และ 3) รูปแบบการเคลือ่ นที่ เชน\" หล\"น ทลาย ถล\"ม ไถล ไหลหลาก ซึ่งท้ัง 3 ปจU จัย ทำใหเ/ กดิ รูปแบบการยา/ ยมวลทต่ี \"างกันทั้งในด/านความเรว็ ขนาด รวมทง้ั พ้ืนทแี่ ละระดับของภัยพบิ ตั ิทอี่ าจจะไดร/ ับ
การหล&น (fall) การหล&น (fall) เป0นการย2ายมวลในแนวดิ่งอย&างอิสระตามแรงโน2มถ&วงของโลก ส&วนใหญ&เกิดจากหินที่อยู&ตามหน2าผา เรียกว&า หินหล&น (rock fall) ซึ่งถือเป0นภัยพิบัติ เพราะมีความเร็วสูงและไม&ค&อยมีสัญญาณเตือนล&วงหน2า โดยเศษหินที่หล&นลงมาจะ กองอยู&ดา2 นล&างใกล2หนา2 ผา เราเรียกว&า ลานหนิ ตีนผา (talus) ลานหนิ ตีนผาเปน0 สญั ลักษณห\\ รือสญั ญาณทบ่ี อกว&าพน้ื ทแ่ี ถวนั้นมโี อกาสเกิดภยั พบิ ัตหิ ินหลน& (ทมี่ า : www.marlimillerphoto.com)
การทลาย (avalanche) การทลาย เกิดในที่มีความชันสูง มวลจะเคลื่อนที่ลงมาอยDางรวดเร็วแบบกึ่งหลDน กึ่งไถล และถึ่ง การกระเด็นกระดอน ซึ่งการกระเด็นกระดอนทำใหNพื้นที่ภัยพิบัติกวNางขึ้นมากกวDาการหลDนที่หลDนตุUบ ในแถบนั้น ตัวอยDางการทลาย เชDน หินทลาย (rock avalanche) เศษหินทลาย (debris avalanche) และ หิมะทลาย (snow avalanche) ซึ่งในกรณีของหิมะจะพบบDอยที่สุด และที่เรา เรยี กวาD หิมะถลมD จรงิ ๆ คือ หิมะทลาย ในทางวชิ าการเร่ืองการยาN ยมวล
การเลื่อนถลม+ (slide) การเลื่อนถล+ม คือ การย7ายมวลตามความชันระดับปานกลางของพื้นที่ โดยไม+มีการเปลี่ยนแปลง รูปร+าง ทิศทางหรือระนาบการเคลื่อนที่มากนัก โดยรวมนิยมเรียกว+า ดนิ ถลม+ (landslide) แต+ถ7าต7องการ ชี้เฉพาะถึงชนิดของมวลที่ถล+มก็สามารถแบ+งได7 เช+น หินถล+ม (rock slide) เศษหินถล+ม (debris slide) และ ดินถล+ม (landslide) ซึ่งหินถล+มจะมีความเร็วและภัยพิบัติสูงที่สุด โดยส+วนใหญ+เกิดใน บริเวณที่หินมีรอยแตกหรือการวางตัวของชั้นหินที่เอียงเทขนานไปกับความชัน เช+น หินถล+มเขาเต+า (Tuttle Mountain) ในประเทศแคนาดาเมื่อปd พ.ศ. 2446 (รูปซ7าย) เกิดจากชั้นหินวางตัวเอียงเท ขนานไปกบั ความชนั ของภูเขา ประกอบกับฝนทต่ี กลงมาอยา+ งหนกั
การเล่ือนไถล (slump) การเลื่อนไถล คือการหลุดเป9นกะบิของมวลดินและเคลื่อนที่ในลักษณะที่มีการไถลรHวมกับการ หมุนของมวล ทำใหJเกิดแนวแตกของมวลโคJงเวJา (rotational slide) เกิดเป9นหนJาผาชันคลJายกับ พระจันทรZเสี้ยวลดหลHนลงมาเป9นตะพัก การเคลื่อนที่ของมวลแบบนี้พบมาบริเวณหนJาผาริมชายฝ^_ง ทะเลหรือริมตลิ่งแมHน้ำที่มีการกรัดกรHอนสูง แบHงยHอยตามวัสดุการเลื่อนไถล เชHน หินเลื่อนไถล (rock slump) หรือ ดินเลื่อนไถล (soil slump) ในทางภัยพิบัติ การเลื่อนไถลมักกHอใหJเกิดภัยพิบัติกับพื้นท่ี ดJานบนของการเลื่อนไถล เชHน พื้นที่หมูHบJานหรือถนนที่ทรุดพังลงไปพรJอมกับการเลื่อนไถลไปดJานลHาง ซึ่งจะแตกตHางจาก การเลื่อนถลHม (slide) ที่บริเวณที่ไดJรับผลกระทบจะอยูHดJานลHางของการเลื่อนถลHม เชHน ถนนตัดผHานเลยี บเขา เกดิ ดินถลHมลงมาปดf ทับถนน
การไหลหลาก (flow) การไหล คือ การย2ายมวลที่มีน้ำเข2ามาปนร>วมกับมวล โดยน้ำที่พอขลุกขลิกจะเปHนตัวช>วยพยุง ใหม2 วลเล่ือนไหลไดด2 ยี ง่ิ ขน้ึ แบ>งตามขนาดตะกอนและปรมิ าณของน้ำได2 3 ชนิด คือ 1) เศษหินไหลหลาก (debris flow) เกิดจากตะกอนขนาดใหญ> (มากกว>า 50% ของตะกอน ใหญ>กว>าทรายและกรวด) ปะปนกันกับดิน หินและซากต2นไม2 ไหลลงมาตามความชัน มีความเร็ว 1- 10 เมตร/วินาที โดยส>วนใหญ>พบบริเวณร>องน้ำในหุบเขา ซึ่งมีเศษหิน ดินและซากพืชสะสมอยู>ตลอด ธารน้ำ เมื่อมีฝนตกหนัก น้ำที่มีมากจะกวาดทุกอย>างไหลมาตามร>องน้ำ ก>อนที่จะไหลออกมาจากหุบ เขาลงมากองทับถมกันบริเวณที่ราบเชิงเขา เศษหินไหลหลากถือเปHนภัยพิบัติจากการย2ายมวลท่ี รนุ แรง กนิ พน้ื ทก่ี วา2 ง และสร2างความเสียหายให2กับชีวิตและทรพั ยสh ินของมนุษยจh ำนวนมาก ทว่ั โลก 2) ดินไหลหลาก (earth flow) เปHนการไหลของมวลที่ประกอบด2วยตะกอนขนาดดินทรายแปmง หรือทรายละเอียด ตามพื้นที่ลาดชันต่ำ ด2วยความเร็ว 10 เมตร/ชั่วโมง การเคลื่อนที่เกิดจาก พฤติกรรมของดินท่ีเม่ือได2รับความช้นื เพียงพอจะทำใหด2 ินลนื่ ข้นึ 3) โคลนไหลหลาก (mud flow) เกิดจากวัตถุที่มีขนาดดินหรือโคลน ซึ่งถ2ามวลที่ไหลหลาก เปHน กรวดภูเขาไฟ (pyroclastic) อิ่มน้ำ ในทางธรณีวิทยาเรียกการไหลของกรวดภูเขาไฟเปHนชื่อ เฉพาะว>า ลาฮารh (lahar)
เศษหนิ ไหลหลาก
การคืบคลาน (creep) การคืบคลาน (creep) เป2นอีกหนึ่งรูปแบบของการย=ายมวลไปตามความลาดเอียง อยCางช=า ๆ ด=วยความเร็ว 0.5-5.0 เซนติเมตร/ปN สาเหตุสำคัญเกิดจากการยืดตัวหรือ หดตัวของมวลไปตามแรงโน=มถCวงของโลก (Fookes และคณะ, 2005) ซึ่งถึงแม=วCาจะ เป2นการเคลื่อนที่ที่ช=ามาก และสังเกตได=อยากในชCวงเวลาสั้น ๆ แตCสามารถตรวจสอบ ไดจ= ากหลกั ฐานการเอียงเทของโครงสร=างหนิ ตน= ไม=หรอื สงิ่ ปลกู สร=างตCาง ๆ ในพืน้ ท่ี
บางพน้ื ท่ีการคืบคลานสัมพนั ธก3 ับความชืน้ เชน8 ในพน้ื ท่ซี ึง่ มีอุณหภมู ิต่ำ น้ำหรือหิมะ ซมึ ผ8านช้นั ดนิ ในระดับต้ืนทำใหHดนิ ชน้ั บนช้นื แฉะและมคี วามอิม่ ตวั ของนำ้ สูงกว8าดนิ หรือหินดาH นล8างซงึ่ ยงั มอี ณุ หภมู ทิ ่ีจุดเยือกแข็งอยู8 ทำใหดH ินชัน้ บนขาดการยดึ ตัวและไหล เล่ือนลงไปอย8างชHา ๆ เรียกเปRนชอื่ เฉพาะว8า การไหลของดนิ (solifluction)
การคบื คลานเนื่องจากแรงโนม0 ถว3 งของโลกและความชนื้ จะเห็นว3า ดินถล3ม ที่เราเรียกอย3างคุ0นชินกัน จริง ๆ แล0วสามารถแยกย3อย ได0เปGนหลายแบบ ซึ่งในแต3ละแบบก็จะมีลักษณะเฉพาะของการเกิด ความ รวดเร็วในการเกิด ตลอดจนพื้นที่และระดับของภัยพิบัติที่แตกต3างกัน ดังนั้นการ ทำความเข0าใจในรูปแบบการเคลื่อนที่ของมวลหรือดินถล3มอย3างถูกต0องจะช3วย ให0เรารู0ว3า ในแต3ละพื้นที่นั้นมีโอกาสเกิดภัยพิบัติจากการเคลื่อนที่ของมวลแบบ ไหนไดบ0 า0 ง และระดับของภยั พิบัตริ ุนแรงหรือไม3
กระบวนการทาํ งานของนํา- (Fluvial process) • ธรณีสัณฐานทCเี กดิ จากการทาํ งานของนํา- ได้แก่ - ลานตะพกั ลาํ นํา- (River terrace) - ทCรี าบนํา- ท่วมถงึ (Floodplain) - ทางนํา- โค้งตวัด (Meandered channel) - ทะเลสาบรูปแอก (Oxbow lake) - สันดอนทรายทCเี กดิ จากการคดโค้ง (Point bar) ฯลฯ
ผลจากการกวัดแกว+งของธารนำ้ โคง5 ตวดั หินแข็งทีเ่ คยอยู+รมิ ธารนำ้ จะถูก กัดกรอ+ นและเกิดการทบั ถมตะกอนซำ้ แล5วซ้ำเล+าไปทั่วทกุ พน้ื ท่ีซง่ึ ธารน้ำเคยตวัด ไปถงึ ทำให5เกิดลักษณะภูมปิ ระเทศเปQนท่รี าบครอบคลุมพน้ื ท่ีกวา5 งขนาบไปตาม ธารน้ำเรยี กวา+ ทรี่ าบน้ำท+วมถึง (flood plain) นอกจากนี้ ในฤดนู ้ำหลากของทุกป] ปริมาณนำ้ จะไหลหลากมามากเกิน กว+าท่รี +องนำ้ โคง5 ตวดั จะรับได5 ทำให5น้ำเออ+ ลน5 ริมตลง่ิ และทว+ มบรเิ วณทร่ี าบน้ำท+วม ถึงดงั กลา+ ว ซงึ่ กลไกของการทว+ มเรม่ิ จากน้ำทเ่ี คยไหลในร+องนำ้ ดว5 ยความเรว็ ระดบั หนึ่ง เม่อื เร่ิมท่ีจะเอ+อลน5 ออกจากรอ+ งนำ้ นำ้ จะลดความเร็วลงอย+างรวดเร็ว เน่อื งจากพ้ืนทกี่ ารไหลของน้ำมมี ากขึน้ ในทรี่ าบน้ำทว+ มถงึ ผลจากการลดความเรว็ การไหลของนำ้ ตะกอนทีถ่ ูกพัดพามาตามธารนำ้ จะตกลงทับถมทันทตี ามขอบของ รอ+ งน้ำ เกดิ เนินทรายคลา5 ยกบั คันดนิ ขนาบไปตามร+องน้ำ เรยี กว+า คนั ดินธรรมชาติ (natural levee)
ลานตะพกั ลาํ นํา* (river terrace)
โกรกธาร (Gorge) เกิดจากการกัดเซาะของร8องน้ำประกอบกับ ธารเป>นลักษณะของหุบผาชันที่ลึก และ แคบลักษณะคลLายรูปตัววี (V-Shape) เกิดจากกระบวนการกัดเซาะที่เป>นไปอย8าง รวดเร็วและรุนแรงจากกระแสน้ำไหล จน สามารถกัดเซาะหินที่แข็งแรงไดL มักเกิดใน กรณีที่ธารน้ำเดิมที่มีอยู8ก8อน ต8อมาเกิดการ ยกตัวของแผ8นดิน ธารน้ำจะยังคงรักษา แนวร8องน้ำเดิมไวLไดL เนื่องจากมีพลังแรงใน การกัดเซาะแผ8นดินที่ยกตัวสูงขึ้นไดLอย8าง รวดเร็วและรุนแรง อทุ ยานแห)งชาติออบหลวง จงั หวดั เชยี งใหม)
แก;ง (Rapid) แกง# ตะนะ จ.อุบลราชธานี แกง# โตน จ.เลย เกิดจากการกัดเซาะบริเวณท/องน้ำที่มีความ แตกต;างกัน เนื่องจากความแข็งของหินท/อง น้ำส;วนที่แข็งแกร;งหลงเหลืออยู;กลายเปFน โขดหินกระจัดกระจายอยู;ตามท/องน้ำ ในฤดู แล/งเมื่อระดับน้ำลดลงจะปรากฏแก;งขึ้น มากมาย ถ/าโขดหินเหล;านี้มีขนาดใหญ;กีด ขวางการไหลของกระแสน้ำทำให/เกิด กระแสน้ำไหลโจนผ;านโขดหินเหล;านี้ เราจึง เรียกว;า แกง# น้ำตก (Cataract) แก;งเหล;านี้ มักเปFนอุปสรรคต;อการคมนาคมทางน้ำมาก แต;ก็มีคุณค;าทางภูมิทัศนS นับเปFนสถานที่ ดึงดูดความสนใจ เช;น แก;งตะนะ จังหวัด อบุ ลราชธานี หรอื แกง; โตน จงั หวดั เลย
“กุมภลักษณ์” แก่งตะนะตาํ บลโขงเจยี ม อาํ เภอโขงเจยี ม จงั หวัดอุบลราชธานี เกดิ ขนึ@ จากการขัดสีของก้อนหนิ ก้อนกรวด หรือเมด็ ทราย ทFนี ํา@ พดั พามากักอยู่ในแอ่งหรือร่อง หรือรูเลก็ ๆ ถกู กระแสนํา@ ทFไี หลเชFียวและปFันป่ วน ปFันให้เคลFือนทFอี ยู่ตลอดเวลาด้วยความเร็วสูง ดงั นัน@ ผนังบ่อจงึ ถกู กัดกร่อนให้กว้างและลกึ ลงทกุ ทที กุ ทจี นเป็ นหลุมขนาดต่าง ๆ
รูปนีบ& อกอะไรบ้างในทางธรณีวทิ ยา ?
ตารางเวลาทางธรณีวทิ ยา EON ERA PERIOD EPOCH DURATION (บรมยุค) (มหายุค) (ยุค) (สมยั ) (เวลาลา< นป?) Phanerozoic Cenozoic Holocene Precambrian Quaternary Pleistocene 0.011-Today Mesozoic 1.8-0.011 Paleozoic Pliocene 5-1.8 Proterozoic Miocene Archean 23-5 Hadean Tertiary Oligocene 38-23 Eocene 54-38 65-54 Paleocene 146-65 Cretaceous - 208-146 Jurassic - 245-208 Triassic - 286-245 Permian - 325-286 360-325 Carboniferous Pennsylvanian 410-360 Mississippian 440-410 Devonian - 505-440 Silurian - 544-505 2,500-544 Ordovician - 3,800-2,500 Cambrian - 4,500-3,800 - - -
บรมยุคเฮเดียน (Hadean eon) เป6นบรมยุคแรกที่เกิดขึ้นบนโลกตBอจากการกำเนิดโลกและระบบสุริยะ อยูB ระหวBาง 4,600 ลQานปRมาแลQวถึง 4,000 ลQานปมR าแลQว ในยุคนี้ไมBมีสิ่งมีชีวิตใด ๆ ชBวง ตQนยุคเป6นดาวหินหลอมเหลว และชBวงที่เปลือกนอกเริ่มจะแข็งตัว ดาวเคราะห[ขนาด ดาวอังคารชื่อ “ทีอา” (Theia) ชนโลก ทำใหQเกิดเป6นดวงจันทร[ และยังไมBมีออกซิเจน โลกในเวลานั้นไมBเหมือนกับโลกในทุกวันนี้ ในชBวงเวลานั้น โลกสBวนมากทั้งขาดแคลน ออกซิเจนและน้ำที่อยูBในมหาสมุทร ความรQอนจากการกBอตัวของระบบสุริยะและ พลังงานโนQมถBวงจากภายในทำใหQเกิดความรQอนทั้งคูB พรQอมกับการชนกันของเนื้อดาว เคราะห[ที่หลงเหลืออยูBทำใหQโลกไมBเอื้ออำนวยตBอการอยูBอาศัยไดQ ในความเป6นจริง โลก สBวนมากยังคงหลอมเหลว และผลจากความรQอนจากสสารและความรQอนสุดขีดนี้ถูก ปลBอยมาจากตะกอนของแผBนเปลือกดาวเคราะห[ ทำใหQชั้นบรรยากาศไมBสามารถผBาน บรรลุไดQ ชั้นบรรยากาศของโลกในตอนนั้นไมBเหมือนกับในปfจจุบัน มันเต็มไปดQวยฝุhนที่ หลงเหลอื จากเนบิวลาสรุ ยิ ะ (Solar nebula) และธาตุเบา เชนB ไฮโดรเจน และ ฮเี ลยี ม
บรมยุคอารค) ีโอโซอกิ (Archaeozoic eon) เป>นบรมยุคแรกของโลก อยูEระหวEาง 4,000 ลLานปMมาแลLวถึง 2,500 ลLานปMมาแลLว เป>นยุคที่มีอากาศเต็มไปดLวยคาร)บอนไดออกไซด) และอากาศรLอน มาก (อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 35 – 36 องศาเซลเซียส บางที่อาจสูงถึง 50 องศาเซลเซียส ออกซิเจนไมEเพียงพอที่จะหายใจอยEางแนEนอน (ออกซิเจน 0.2 เปอร)เซ็นต)) ในยคุ น้ี สโตรมาโทไลต)เป>นจุดเดEน (สาหรEายสีเขียวแกมน้ำเงิน) ซึ่ง ทำใหLเกิดออกซเิ จนในเวลาตEอมา O2 เฉลยี่ ในบรรยากาศในชวE งยุค ประมาณรLอยละ 0.2 (ปริมาตร/ปริมาตร) CO2 เฉลี่ยในบรรยากาศในชวE งยุค (1 % ของยคุ ปจk จบุ นั ) อุณหภูมิพ้นื ผวิ เฉลีย่ ในชEวงยุค ประมาณ 8,500 พีพเี อม็ (30 เท4าของยคุ กอ4 นอุตสาหกรรม) ประมาณ 35 °C (สงู กว4าปDจจุบนั 21 °C)
บรมยคุ โพรเทอโรโซอิก (Proterozoic eon) โพรเทอโรโซอิก เป<นภาษากรีก แปลวEา สิ่งมีชีวิตเพิ่งอุบัติขึ้น คือชEวงเวลา หนึ่งทางธรณีกาล อยูEระหวEาง 2,500 ลYานปZมาแลYวถึง 542 ลYานปZมาแลYว ยุคนี้เป<นยุค ที่โปรคารีโอท เริ่มพัฒนามาเป<นยูคาริโอท และสัตว^หลายเซลล^ ในชEวงยุคคาลิมเมียน หรือประมาณ 1,600 - 1,400 ลYานปZมาแลYว บรมยุคนี้นับตั้งแตE ออกซิเจนอีเวนท^ จาก สโตรมาโทไลต^ เมื่อตYนยุคไซดีเรียน ซึ่งทำใหYเกิดสนิมมากมาย เพราะออกซิเจนที่มาก ขนึ้ ทำใหYเกิดการออกซิไดซก^ บั ธาตุเหลก็ ในทะเล จึงทำใหเY กิดทะเลสนมิ ข้นึ เต็มไปหมด ในบรมยุคโพรเทอโรโซอคิ น้ียงั แบEงเปน< 3 มหายคุ ไดแY กE 1) มหายุคแพลีโอโพรเทอโรโซอิก (Paleoproterozoic era) ประมาณ 2,500 ลYานปZ มาแลYวถึง 1,600 ลYานปZมาแลYว ไมมE สี งิ่ มชี วี ิตที่มองเหน็ ดYวยตาเปลาE บนผนื ดินยังวาE งเปลาE 2) มหายุคมโี ซโพรเทอโรโซอิก (Mesoproterozoic era) เป<นมหายุคที่สองแหEงบรมยุค โพรเทอโรโซอิก ประมาณ 1,600 ลYานปZมาแลYวถึง 1,000 ลYานปZมาแลYว ในยุคนีม้ ียูคาริโอทมากมาย โครมาลวีโอตามีมากในยุคนี้ ปะการังหลายเซลล^สีแดง (red algae) เป<นสิ่งมีชีวิตที่มองเห็นไดYยุค แรก ๆ เกิดขน้ึ
3) มหายุคนีโอโพรเทอโรโซอิก (Neoproterozoic era) ต$อจากมหายุค มีโซโพรเทอโรโซอิก และก$อนหน;ามหายุคพาลีโอโซอิกอยู$ในบรมยุคโพรเทอโรโซอิก ยุค นี้อยู$ระหว$าง 1,000 ล;านปFมาแล;วถึง 542 ล;านปFมาแล;ว ในมหายุคนี้ประกอบด;วย 3 ยุค คือ ยุคโทเนียน ยุคไครโอจีเนียน ยุคอีดีแอคารัน สิ่งมีชีวิตอยู$ในทะเล เปSนสิ่งมีชีวิต หลายเซลลTและสัตวTยุคแรกสุด ซึ่งต;นมหายุคนี้มีสัตวTหลายเซลลT ได;แก$ โพรทสิ ตา และ โครมาลวีโอตา เปSนส$วนมาก กลางมหายุคมีน้ำแข็งปกคลุมทั่วโลก ซึ่งเราเรียก ปรากฏการณนT ี้ว$า “ปรากฏการณโT ลกบอลหิมะ” (Snowball earth) ช$วงปลายยุคชีวิต เริ่มมีวงเวียนแห$งชีวิตมากขึ้น สัตวTที่มองเห็นได;เกิดขึ้นในยุคนี้ โลกจึงไม$ได;ว$างเปล$าอีก ต$อไปแล;ว เราเรียกยุคนี้ว$า อีดีแอคารัน (Ediacaran period) ซึ่งช$วงต;นยุคถึงกลางยุค มหาทวีปแพนโนเทยี ได;เกดิ ข้นึ ในมหายุคนี้
บรมยคุ ฟาเนอโรโซอิก (Phanerozoic eon) ฟาเนอโรโซอิก เป>นภาษากรีก แปลวEา มีสิ่งมีชีวิตปรากฏใหNเห็น เป>นมหายุค ทางธรณีวิทยาในปSจจุบันทางธรณีกาล และเป>นยุคหนึ่งที่มีสิ่งมีชีวิตอยูEมากมาย โดย ปกคลุมตั้งแตEประมาณ 542 ลNานป^ และยNอนกลับไปในชEวงเวลากEอนหนNานั้น เมื่อสัตวa เปลอื กแข็งทม่ี ีความหลากหลายปรากฏตัวคร้งั แรก เนื่องจากเป>นความเชื่อหลังจากที่ยุคแคมเบรียนกำเนิดขึ้น ระยะเวลากEอนบรม ยุคฟาเนอโรโซอิกเรียกวEา มหายุคพรีแคมเบรียน ซึ่งปSจจุบันนี้แบEงเป>น บรมยุคฮาเดียน บรมยุคอารaเคียน และบรมยุคโพรเทอโรโซอิก ชEวงเวลาของบรมยุคฟาเนอโรโซอิก รวมถึงการกำเนิดอยEางรวดเร็วของจำนวนสัตวa ไฟลัม วิวัฒนาการของไฟลัมเหลEานี้มี หลากหลายรูปแบบ การกำเนิดขึ้นของพืช การพัฒนาการของพืชที่ซับซNอน วิวัฒนาการของปลา การพัฒนาการของสัตวaบก และการพัฒนาการของสมัยฟSวนาส ในชEวงระยะเวลาที่ปกคลุมไปดNวยทวีปที่แยกกันอยEางกระจัดกระจาย ทNายที่สุดการ รวมเขNาเป>นทวีปเดียวที่รูNจักกันดี คือ มหาทวีปแพนเจีย แลNวแยกตัวออกไปเป>นทวีปใน ปSจจุบัน
ในบรมยุคฟาเนอโรโซอิกนีย้ ังแบ6งเปน8 3 มหายุค ได>แก6 1) มหายคุ พาลีโอโซอกิ (Paleozoic era) มหายุคพาลีโอโซอิก แบง6 ยอ6 ยออกเป8น 5 ยุค ดังนี้ ยุคแคมเบรยี น (Cambrian period) กอ6 นหน>ายุคแคมเบรียนรปู แบบของส่งิ มชี ีวิต มคี วามหลากหลายและเกิดขึ้นอย6างรวดเร็วที่ส่งิ มีชวี ติ เกิดพรอ> ม ๆ กันในช6วงเวลาเดยี วกนั ปรากฏการณ] ดงั กลา6 วเรียกวา6 Cambrian explosion หรือ Biological Big Bang ยุคออร]โดวิเชยี น (Ordovician period) ตงั้ ชือ่ ยคุ ตาม ออรโ] ดไวซ] ซง่ึ เปน8 ช่ือชนเผา6 ในเซลติก ในยุคนีม้ ีสง่ิ มชี ีวิตมากมาย เช6น ออสทราโคเดริ ]ม ซ่งึ เป8นปลาชนดิ แรก และในชว6 งปลายยุคสิง่ มชี วี ติ บาง สว6 นเร่มิ มกี ระดกู สนั หลังและเร่ิมทจี่ ะขน้ึ มาอาศัยบนพ้นื ดนิ ปลาในชว6 งนไี้ มม6 ีขากรรไกร ยุคไซลเู รียน (Silurian period) นกั ธรณีวทิ ยาไดใ> ชช> 6วงเวลาการสูญพนั ธ]คุ ร้ังใหญ6ใน ยุคออร]โดวิเชียน – ไซลเู รียน เปน8 ตัวแบง6 ยุคไซลูเรียนกับออร]โดวิเชียน ซง่ึ จากการสญู พนั ธ]ุนน้ั ทำให> สง่ิ มชี ีวิตใตท> ะเลกวา6 60 เปอรเ] ซ็นตห] ายไป ยคุ ดีโวเนียน (Devonian period) ยคุ นี้ต้งั ชอื่ ตามเดวอน ประเทศองั กฤษ ซึง่ เปน8 สถานที่ แห6งแรกที่มกี ารศกึ ษาหินของยคุ น้ี นักธรณวี ทิ ยาจดั วา6 ยุคดีโวเนียนนเี้ ปน8 ยคุ แรกทม่ี สี ง่ิ มชี วี ติ บนบก และ พชื บก เร่มิ กระจายเข>าสู6แผน6 ดินส6วนใน ทำให>เริม่ มกี ารกอ6 ตัวเปน8 ปาv ซงึ่ จะค6อย ๆ ปกคลุมทวีป ยคุ คาร]บอนิเฟอรสั (Carboniferous period) เป8นยุคของปvาเฟรx ]นขนาดยักษป] กคลุมหว> ย หนอง คลอง บงึ ซ่งึ กลายเป8นแหลง6 น้ำมนั ดบิ ที่สำคัญในปyจจุบัน มกี ารแพร6พนั ธข]ุ องแมลงและสัตว] ครึง่ บกครงึ่ น้ำ เรม่ิ มวี ิวฒั นาการของสตั ว]เลื้อยคลาน กำเนิดไมต> ระกลู สน
2) มหายุคมโี ซโซอิก (Mesozoic era) อยู$ในช$วงเวลาที่มีการแยกตัวออกจากกันของผืนแผ$นดินแพนเจีย ทำให?เกิดผืนแผ$นดิน ลอเรเซียและกอนดCวานา โดยผืนแผ$นดินทั้งสองถูกคั่นกลางด?วยมหาสมุทรเททิส จากนั้นจึงเกิดการ แยกตัวขึ้นอีกภายในผืนแผ$นดินทั้งสองทำให?เกิดทวีปต$าง ๆ ดังที่เปNนอยู$ในปOจจุบัน มหายุคมีโซโซอิก เปนN มหายุคท่ีเรยี กไดว? า$ สตั วCเลือ้ ยคลานครองโลก มหายุคมีโซโซอกิ แบ$งย$อยออกเปนN 3 ยุค ดงั นี้ ยคุ ไทรแอสซกิ (Triassic period) เปNนยุคแรกเร่ิมของไดโนเสารแC ละสตั วเC ลื้อยคลาน ในยคุ ไทรแอสซิก สงิ่ มีชวี ิตท้ังบนบกและในทะเลมกี ารเปลย่ี นแปลงครง้ั ใหญ$ จากพน้ื ผิวโลกท่ีมสี ภาพแย$ลงอยา$ งรวดเร็วหลงั การสูญ พนั ธCุในชว$ งรอยต$อระหว$าง ยคุ เพอรCเมียน และ ยคุ ไทรแอสซกิ ปะการงั ในกล$ุมเฮกซะคอราลเลีย (Hexacorallia) ถือกำเนดิ ขึ้น พชื ดอกอาจจะววิ ฒั นาการในยุคน้ี รวมกระท่งั สัตวCมีกระดูกสนั หลงั ทบี่ นิ ไดค? อื เทอโรซอรC (Pterosaur) ยคุ จแู รสซิก (Jurassic period) เปNนยุคของสตั วเC ล้ือยคลาน พบนกและสัตวเC ลยี้ งลกู ดว? ยนมเปนN คร้ัง แรก มไี ดโนเสารจC ำนวนมาก ยุคนถ้ี กู กำหนดช$วงเวลาจากชั้นหิน ช่ือจูแรสซิก ต้ังโดย อเล็กซานเดอรC บรอกเนยี รCต (Alexandre Brogniart) จากปรมิ าณหินปูนทส่ี ะสมเปNนจำนวนมากในชั้นหนิ ทำการตรวจที่ภเู ขาชรู า ตรงรอยต$อ ระหว$างประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส และสวติ เซอรCแลนดC ยุคครเี ทเชยี ส (Cretaceous period) เปนN ยคุ ทไ่ี ดโนเสารแC ละสัตวCขนาดใหญ$สูญพันธC มสี ตั วCพวกไพร เมตเกดิ ขึ้นเปนN คร้ังแรก ยุคนีถ้ กู กำหนดโดยอาศัยชน้ั หินในแอง$ ปารสี และต้งั ช่อื ดังกลา$ วจากปรมิ าณชอลCก ซึ่งเปNน แคลเซยี มคารบC อเนตจากเปลือกของสตั วCไม$มกี ระดูกสนั หลงั ในทะเล
Search