บทท$ี 4 บรรยากาศภาค (Atmosphere)
ความหมายและความสาํ คัญของบรรยากาศ บรรยากาศของโลก หมายถงึ อากาศท3หี ่อห้มุ โลกเป็ นบริเวณกว้าง บรรยากาศยังเปรียบเสมือนเกราะ ป้ องกันไม่ ให้ โลกร้ อนและหนาวเยน็ จนเกนิ ไป ถ้าโลกมนุษย์ปราศจากบรรยากาศ ท3หี ่อห้มุ ผิวโลกจะทาํ ให้โลกมีอุณหภมู ิ สูงขนึL ถงึ 110 องศาเซลเซียส ในเวลา กลางวัน และในเวลากลางคืนอุณหภมู ิ จะลดลงมาถงึ -180 องศาเซลเซียส
ส่วนประกอบของบรรยากาศโลก บรรยากาศโลกประกอบด้วยก๊าซต่าง ๆ มากมายหลายชนิดผสมกันอยู่โดยทBี ไม่มีปฏกิ ริ ิยาทางเคมีเกดิ ขนึH โดยก๊าซทงัH สBีชนิดเป็ นส่วนประกอบทBถี าวร ซBงึ จาก ระดบั พนืH ดนิ ไปจนถงึ ระยะทาง 80 - 100 กโิ ลเมตร จะไม่ค่อยมีการเปลBียนแปลง ของปริมาณก๊ าซเหล่ านี H ตารางแสดงส่วนประกอบทBสี าํ คัญของก๊าซในบรรยากาศโลก
• บรรยากาศมี ความสาํ คัญต่อโลก อย่างไร ?
•บรรยากาศช่วยคุ้มครองส2ิงมีชีวติ โลกรับพลังงานส่วนใหญ่มาจากดวงอาทติ ย์ในรูปของคล2ืน แม่เหลก็ ไฟฟ้า ซ2งึ มีทงัM รังสีท2มี ีคุณประโยชน์และเป็ นโทษแก่ส2ิงมีชีวติ บรรยากาศของโลกปกป้องรังสีคล2ืนสันM เช่น รังสีเอก็ ซ์ และรังสี อุลตราไวโอเล็ต ไม่ให้ลงมาทาํ อันตรายต่อส2งิ มีชีวติ บนพนืM โลกได้
• การหายใจ บรรยากาศบริเวณ ล่างสุดมีก๊าซออกซเิ จนใช้ใน การหายใจของส>งิ มีชีวติ แต่ บรรยากาศชันB สูงขนึB ไปมีก๊าซ ออกซเิ จน ไม่เพยี งพอ • การสังเคราะห์ด้วยแสง ก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ซ>งึ มีมากใน บรรยากาศชันB ล่างสุดพชื นําไปใช้ในการสังเคราะห์ด้วย แสง
• แต่ละวันจะมีเทหวัตถุในอวกาศตก มายังโลกเป็ นจาํ นวนมากขณะท>เี ทห วัตถุเหล่านัน? ผ่านเข้ามายังบรรยากาศ จะเกดิ การเสียดสีจนเทหวัตถุนัน? ลุก ไหม้จนหมดก่อนถงึ พนื? โลก • ถ้าเทหวัตถุนัน? มีขนาดใหญ่ การลุก ไหม้กจ็ ะช่วยลดขนาดของเทหวัตถุลง เป็ นการลดความรุนแรงหรืออันตราย ท>จี ะเกดิ ขนึ? ได้
• ก๊าซเรือนกระจก การมีก๊าซเรือนกระจก อยู่ในบรรยากาศในปริมาณท9เี หมาะสม เป็ นส9ิงจาํ เป็ นสาํ หรับส9ิงมีชีวติ เน9ืองจากก๊าซเรือนกระจกมี คุณสมบตั ใิ น การดดู กลืนรังสีอนิ ฟราเรดซ9งึ แผ่ออกจากโลก ทาํ ให้โลกอบอุ่น และอุณหภมู ขิ องกลางวันและกลางคืนไม่แตกต่าง จนเกนิ ไป • ชันP บรรยากาศชันP ล่างสุดท9อี ยู่สูงจากผิว โลกขนึP ไป10-12 กโิ ลเมตร เป็ นชันP ท9มี ี อากาศหนาแน่นมากท9สี ุด มีไอนําP อยู่ จาํ นวนมาก จงึ ทาํ ให้เกดิ ปรากฏการณ์นําP ฟ้าต่างๆ เช่น เมฆ พายุ ฝน หมิ ะ เป็ นต้น
ชัน# บรรยากาศของโลก
1. บรรยากาศชัน+ โฮโมสเฟี ยร์ (Homosphere) เป็ นชัน+ บรรยากาศทCอี ยู่สูงจากพนื+ โลกขนึ+ ไปไม่เกนิ 90 กโิ ลเมตร เมCือพจิ ารณาจากความแตกต่างด้านอุณหภมู สิ ามารถแบ่งย่อยเป็ น 3 ชัน+ ได้แก่ 1.1 บรรยากาศชัน+ โทรโพสเฟี ยร์ (Troposphere) 1.2 บรรยากาศชัน+ สตราโตสเฟี ยร์ (Stratosphere) 1.3 บรรยากาศชัน+ เมโซสเฟี ยร์ (Mesosphere)
1.1 โทรโพสเฟี ยร์ (Troposphere) เป็ นบรรยากาศชัน@ ล่างสุด ทFอี ยู่สูงจากพนื@ โลกขนึ@ ไป 10-12 กม. มีก๊าซชนิดต่างๆ และ ไอนํา@ อุณหภมู จิ ะลดลงตามระดบั ความสูงทFเี พFมิ ขนึ@ ใน อัตรา 6.5๐C ต่อ 1 กโิ ลเมตร จนถงึ ระดบั ทFเี รียกว่า โทรโพ พอส ซFงึ เป็ นระดบั ทFสี ูงสุดของบรรยากาศชัน@ นี@ อุณหภมู จิ ะ คงทFปี ระมาณ -60๐C ในชัน@ นีม@ ีการเคลFือนไหวของอากาศทงั@ ในแนวนอนและแนวดFงิ เป็ นสาเหตุสาํ คัญทFที าํ ให้เกดิ ปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวทิ ยาต่าง ๆ เช่น การก่อตวั ของ เมฆ ฝน พายุ ฯลฯ
1.2 สตราโตสเฟี ยร์ (Stratosphere) ชัน< นีอ< ยู่สูงจากชัน< โทรโพสเฟี ยร์ขนึ< ไป โดยมีโทรโพพอสเป็ นเแนวกัน< ระหว่างชัน< ห่างจากพนื< ดนิ 50-55 กม. เป็ นชัน< ทVไี ม่มี เมฆ มักใช้ในการเดนิ ทางทางอากาศ เหนือระดบั โทรโพ พอสขนึ< ไป อุณหภมู ยิ Vงิ สูงขนึ< ในอัตรา 2๐C ต่อ 1 กโิ ลเมตร เนVืองจากโอโซนทVรี ะยะ 48 กโิ ลเมตร ดดู กลืน รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทติ ย์เอาไว้ จงึ ทาํ ให้ อุณหภมู ขิ องอากาศในชัน< นีเ< พVมิ ตามความสูง เครVืองบนิ ไอพ่นนิยมบนิ ในตอนล่างของบรรยากาศชัน< นี< เพVอื หลีกเลVียงสภาพอากาศทVรี ุนแรงในชัน< โทรโพสเฟี ยร์
1.3 เมโซสเฟี ยร์ (Mesosphere) มีแนวเขตกัน? ระหว่าง สตราโตสเฟี ยร์และเมโซสเฟี ยร์ คือ สตราโตพอส มี ระดบั ความสูงจากระดบั พนื? ดนิ ขนึ? ไป 85 กม. อุณหภมู ิ ของอากาศจะลดลงอย่างรวดเร็วทนั ทที Zผี ่านพ้นเขต สตราโตพอสขนึ? ไป โดยอุณหภมู ลิ ดตZาํ ลงจนถงึ -90๐C ทงั? นีเ? นZืองจากห่างจากแหล่งความร้อนในชัน? โอโซน ออกไป มวลอากาศในชัน? นีม? ีไม่ถงึ ร้อยละ 0.1 ของมวล อากาศทงั? หมด ชัน? สูงสุดของบรรยากาศชัน? นีเ? รียกว่า เมโซพอส
2. บรรยากาศชัน, เฮเทอโรสเฟี ยร์ (Heterosphere) เป็ นชัน, บรรยากาศทCอี ยู่สูงระหว่าง 90 กโิ ลเมตร ถงึ 10,000 กโิ ลเมตร เป็ นเขตบรรยากาศสุดท้ายทCมี ีอากาศเบาบาง ว่างเปล่า จนเข้าสู่ลักษณะสุญญากาศ แบ่งออกเป็ น 2 ชัน, ย่อย คือ 2.1 บรรยากาศชัน, ไอโอโนสเฟี ยร์ (Ionosphere) ลักษณะอุณหภมู ใิ น ชัน, บรรยากาศนีเ, ป็ นแบบ \"ยCงิ สูงยCงิ ร้อน\" บรรยากาศชัน, นีแ, ยกย่อยได้ ดงั นี, - บรรยากาศชัน, D (D Layer) เกดิ จากรังสี UV ของดวงอาทติ ย์ ทาํ ให้ ก๊าซไนตริกออกไซด์กลายเป็ นประจุไฟฟ้า มีระดบั ความสูง 97 กม. จาก พนื, ดนิ ช่วยในการสะท้อนระบบคลCืนวทิ ยุคลCืนยาวมายังพนื, โลก ตอนล่างของบรรยากาศชัน, นีอ, ยู่ในชัน, บรรยากาศเมโซสเฟี ยร์
- บรรยากาศชัน* E (E Layer) เกดิ จากการกระทาํ ของ รังสีเอกซ์ (X-Ray) จากดวงอาทติ ย์ ทาํ ให้ก๊าซไนโตรเจนใน บรรยากาศกลายเป็ นประจุไฟฟ้า มีระดบั ความสูงจากพนื* ดนิ ระหว่าง 110 – 150 กม. ช่วยสะท้อนระบบคล]ืนวทิ ยุคล]ืนปาน กลางกลับมายังพนื* โลก - บรรยากาศชัน* F (F Layer) เกดิ จากรังสี UV ของดวง อาทติ ย์ ทาํ ให้ก๊าซไนโตรเจนในบรรยากาศชัน* ไอโอโนสเฟี ยร์ กลายเป็ นประจุไฟฟ้า มีระดบั ความสูงจากพนื* ดนิ ระหว่าง 150 – 300 กม. ช่วยสะท้อนระบบคล]ืนวทิ ยุคล]ืนสัน* กลับมายังพนื* โลก
2.2 บรรยากาศชัน, เอก็ โซสเฟี ยร์ (Exosphere) เหนือชัน, เทอร์โมสเฟี ยร์ขนึ, ไป ทIรี ะยะสูงประมาณ 500 กโิ ลเมตร โมเลกุลของอากาศอยู่ห่างไกลกันมากจนไม่ สามารถวIงิ ชนกับโมเลกุลอIืนได้ ในบางครัง, โมเลกุลซIงึ เคลIือนทIเี ป็ นเส้นตรงเหล่านีอ, าจหลุดพ้นอทิ ธิพลของแรงโน้ม ถ่วงโลก เราเรียกบรรยากาศในชัน, ทIอี ะตอมหรือโมเลกุลของ อากาศมีแนวโน้มจะหลุดหนีไปสู่อวกาศนีว, ่า “เอก็ โซสเฟี ยร์ ” (Exosphere)
3. ชัน% บรรยากาศแมกนิโตสเฟี ยร์ (Magnetosphere) เป็ นปรากฏการณ์ของสนามแม่เหล็กโลก เราเรียกว่า สนามแม่เหลก็ ภายนอก โดยอยู่สูงจากระดบั พนื% ดนิ ไปประมาณ 13,000 กโิ ลเมตร ซ]งึ นับว่าอยู่สูงจากชัน% บรรยากาศ เราจงึ เรียกสนามแม่เหลก็ ภายนอกนีว% ่า แมกนิโตสเฟี ยร์ มีแนวสูงสุดเรียกว่า แมกนิโตพอส (Magnetopause) ลักษณะของสนามแม่เหลก็ คล้ายกับวงแหวนล้อมรอบ โลกเอาไว้ รูปร่างของแมกนิโตสเฟี ยร์จะเปล]ียนไปตามอาํ นาจของพายุ แม่เหลก็ ท]เี ราเรียกว่า ลมสุริยะ (Solar wind) และประจุไฟฟ้าโปรตรอน อเิ ลก็ ตรอน จากดวงอาทติ ย์
• การแผ่รังสีของดวงอาทติ ย์ การแผ่รังสีจากดวงอาทติ ย์กค็ ือพลังงานความร้อนท>ดี วงอาทติ ย์ส่งมายงั พนื? โลกผ่านชัน? บรรยากาศต่าง ๆ พลังงานความร้อนท>สี ่งมาเป็ นคล>ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า ส่วนพลังงานความร้อนท>สี ่งมาอยู่ในรูปรังสีของแสง มีทงั? คล>ืนสัน? และคล>ืนยาว สามารถแยกพจิ ารณาได้ดงั นี?
• การแลกเปล)ียนรังสีความร้อน รูปแบบการส่งถ่ายความร้อนท)สี าํ คัญมี 3 ลักษณะ ได้แก่ 1. การแผ่รังสี (Radiation) เป็ นกระบวนการท)คี วามร้อนจากดวงอาทติ ย์แผ่ มายังโลก ทาํ ให้มีความร้อนขนึX โดยตรง โดยท)ไี ม่ต้องอาศัยตวั กลาง 2. การนํา (Conduction) เป็ นลักษณะของการถ่ายโอนความร้อนตามโมเลกุล ท)อี าศัยตวั กลางของวัตถุ เช่น เม)ือเราเตมิ นําX ร้อนลงไปในถ้วยกาแฟ ถ้วยกาแฟจะ มีอุณหภมู สิ ูงขนึX 3. การพา (Convection) เป็ นกระบวนการเคล)ือนท)ขี องความร้อนจากท)หี น)ึง ไปยังอีกท)หี น)ึงท)ตี ้องอาศัยตวั กลางเป็ นส)ือในการพาความร้อน โดยความร้อน เคล)ือนท)ไี ปกับโมเลกุลของวัตถุ เช่น การต้มนําX ในกาจะค่อยๆ มีอุณหภมู สิ ูงขนึX เน)ืองจากการเคล)ือนท)ขี องโมเลกุลของนําX จนกลายเป็ นไอ ซ)งึ มีความร้อนสูงและ ลอยขนึX ข้างบน ส่วนท)มี ีอุณหภมู ติ )าํ กว่าจะเคล)ือนท)ลี งล่างหมุนเวียนกันไป การพา ความร้ อนในบรรยากาศของโลกมีส่ วนช่ วยให้ ความร้ อนกระจายจากบริเวณศูนย์ สูตร ไปยังขัวX โลก และจากบริเวณผิวพนืX ขนึX ไปในแนวด)งิ หรือไปในแนวผิวพนืX ซ)งึ เราเรียกว่าลม เป็ นต้น
• การถ่ายโอนพลังงานความร้อน พลังงานความร้อนท5โี ลกได้รับจากดวงอาทติ ย์จะไม่ได้รับเตม็ ท5ี 100 เปอร์เซน็ ต์ แต่จะเกดิ การสูญเสียพลังงานความร้อน โดยกระบวนการ ต่ อไปนี H 1 การกระจาย (Scattering) เป็ นกระบวนการท5อี นุภาคเลก็ ๆ และโมเลกุล ของก๊าซในอากาศมีการแพร่กระจายในส่วนท5กี ารแผ่รังสีตกกระทบได้ทกุ ทศิ ทาง 2 การดดู กลืน (Absorption) หมายถงึ กระบวนการแผ่รังสีท5ตี กกระทบไปยัง สสาร ส่วนหน5ึงของรังสีจะคงอยู่ในสสาร อีกส่วนหน5ึงจะเปล5ียนรูปเป็ นพลังงาน รูปอ5ืน การดดู กลืนรังสีของดวงอาทติ ย์มีผลต่อภาวะอุณหภมู ทิ 5เี ปล5ียนแปลงไป 3 การสะท้อน (Reflection) การสะท้อนเกดิ ขนึH เม5ือรังสีดวงอาทติ ย์ตก กระทบกับวัตถุ และถกู สะท้อนจากพนืH ผิว การสะท้อนจะแตกต่างกันไปตาม พนืH ผิว สี และวัสดุต่างๆ ตลอดจนมุมตกกระทบของแสงด้วย
แสดงการสูญเสียความร้อนจากดวงอาทติ ย์ท8สี ่องมายังโลก
การรับและส่งถ่ายพลังงานความร้อนของพนื7 ดนิ และพนื7 นํา7 แสดงความแตกต่างระหว่างพนื7 ดนิ และพนื7 นํา7 ในการรับและคายความร้อน
• ความกดอากาศ ย#งิ อยู่สูงจากระดบั นํา3 ทะเลมากขนึ3 ความหนาแน่นของอากาศย#งิ ลดลง แรงดนั อากาศบนพนื3 ท#ขี นาดไม่เท่ากัน จะมีค่าไม่เท่ากัน ถ้าพนื3 ท#มี ากแรงดนั อากาศ ท#กี ระทาํ ต่อพนื3 ท#นี ัน3 กม็ ากด้วย ค่าของแรงดนั อากาศต่อหน#ึงหน่วยพนื3 ท#ี ท#รี องรับนัน3 เรียกว่า ความดนั อากาศ ในการพยากรณ์อากาศนิยมเรียก ความดนั อากาศว่า ความกดอากาศ
หน่วยทใ(ี ช้วัดความดันอากาศหรือความกดอากาศ มีอยู่หลายหน่วย คือ 1. มลิ ลเิ มตรปรอท โดยกาํ หนดว่า 7 บรรยากาศ = ;<= มลิ ลิเมตรปรอท (mmHg) = ;< เซนตเิ มตรปรอท 2. ทอร์ โดยกาํ หนดว่า 1 ทอร์ = ;<= มลิ ลเิ มตรปรอท 760 ทอร์ = ;<= บรรยากาศ 3. ในทางอุตุนิยมวทิ ยากาํ หนดความดนั บรรยากาศเป็ นบาร์ และมลิ ลบิ าร์ โดยกาํ หนดว่า B บาร์ = B,EEE มลิ ลิบาร์ B บรรยากาศ = B,EBF.GH มลิ ลิบาร์
ท#รี ะดบั ความสูงมากขนึ3 ความดนั อากาศหรือความกดอากาศ มีค่าลดลง โดยเฉลี(ยความดันของอากาศจะ ลดลง 7 มลิ ลเิ มตรปรอท เมื(อความสูง เพมิ( ขนึB 77 เมตร จากระดับนBําทะเล
?
§ ยอดดอยอนิ ทนนท์ มีความสูง 2,565 เมตร § ความดนั 760 mmHg = ท?รี ะดบั นําC ทะเล ย?งิ สูงขนึC จากระดบั นําC ทะเล 11 เมตร ความดนั จะลดลง 1 mmHg ความสูงยอดเขา = (760 - ความดนั ของอากาศบนยอดเขา) X 11 เมตร
วธิ ีคดิ ยอดดอยอนิ ทนนท์ สูงจากระดบั นํา3 ทะเล 2,565 เมตร ย=งิ สูงขนึ3 จากระดบั นํา3 ทะเล 11 เมตร ความดนั จะลดลง 1 mmHg ดังน*ัน ความดนั จะลดลง 2,565 = 233.18 mmHg 11 ความดนั อากาศบนยอดดอยอนิ ทนนท์ = 760 - 233.18 = 526.82 mmHg
การวัดความดนั อากาศหรือความกดอากาศ เรานิยมใช้เคร5ืองมือ ท5เี รียกว่า บารอมเิ ตอร์ (barometer) ซ5งึ มีอยู่หลายชนิด ดงั นีJ !. บารอมเิ ตอร์แบบปรอท (mercury barometer) ใช้วัดความดนั อากาศได้แม่นยาํ ทKสี ุด
ประกอบด้วยหลอดแก้วปลาย ปิ ดข้างหน4ึงบรรจุปรอทจนเตม็ คว4าํ หลอดให้ปลายเปิ ดจุ่มอยู่ ในอ่าง ทาํ ให้เกดิ สุญญากาศ เหนือระดบั ปรอทของ หลอดแก้วปลายปิ ด
ความสูงของลาํ ปรอทใน หลอดแก้วปลายปิ ดจะแสดงค่า ความดนั อากาศ ถ้าความดนั อากาศภายนอกสูง จะดนั ปรอทในภาชนะให้เข้าไป ภายในหลอดลาํ ปรอทกจ็ ะสูงขนึE
!. แอนิรอยด์บารอมเิ ตอร์ (aneroid barometer) แสดงค่าความดนั ได้โดยตรง เมGือความดนั อากาศภายนอกเพGมิ จะดนั ให้ตลับโลหะยุบตวั ลงจากปกติ
3. บารอกราฟ (barograph) เป็ นแอนิรอยด์บารอมเิ ตอร์แบบหน@ึง แต่ ปลายเขม็ ชีตG ่อเข้ากับปากกา สามารถขีด บนกระดาษกราฟท@หี มุน ด้วยลานนาฬิกา สามารถ บนั ทกึ การเปล@ียนแปลง ความดนั อากาศได้ตลอด เวลาด้วยเส้นกราฟอัตโนมัติ
• ความกดอากาศ ความกดอากาศ คือ นํา- หนักของอากาศท4กี ดทบั เหนือบริเวณนัน- ๆ สามารถตรวจวัดความกดอากาศได้โดยเคร4ืองมือท4เี รียกว่า \"บาโรมเิ ตอร์\" (Barometer) มีหน่วยของการตรวจวัดเป็ น มลิ ลบิ าร์ หรือ ปอนด์ต่อตารางนิว- 1. บริเวณความกดอากาศต4าํ หรือ ความกดอากาศต4าํ (Low Pressure) หมายถงึ บริเวณซ4งึ มีปริมาณอากาศอยู่น้อย ซ4งึ จะทาํ ให้นํา- หนักของ อากาศน้อยลงตามไปด้วยเช่นกัน ทาํ ให้อากาศเบาและลอยตวั สูงขนึ- เรา เรียกว่า กระแสอากาศเคล4ือนขนึ- เม4ือเกดิ กระแสอากาศเคล4ือนขนึ- จะเกดิ การแทนท4ขี องอากาศ ปรากฏการณ์ดงั กล่าวทาํ ให้เรารู้สกึ เยน็ คือ เกดิ ลมขนึ- เราเรียกบริเวณความกดอากาศต4าํ ในแผนท4อี ากาศว่า \"ไซโคลน\" (Cyclone) หรือ \"ดเี ปรสช4ัน\" (Depression) หมายถงึ บริเวณท4มี ีความกดอากาศต4าํ และ รอบๆ บริเวณความกดอากาศต4าํ มีความกดอากาศสูงอยู่รอบๆ
2. บริเวณความกดอากาศสูง หรือ ความกดอากาศสูง (High Pressure) หมายถงึ บริเวณทFมี ีค่าความกดอากาศสูงกว่าบริเวณโดยรอบ เรียก อีกอย่างหนFึงว่า \"แอนตไิ ซโคลน\" (Anti Cyclone) เกดิ จากศูนย์กลาง ความกดอากาศสูง อากาศจะเคลFือนตวั ออกมายังบริเวณโดยรอบ โดย ในซีกโลกเหนือจะมีทศิ ทางพดั ตามเขม็ นาฬิกา ในซีกโลกใต้จะมีทศิ ทาง พดั ทวนเขม็ นาฬิกา เมFืออากาศเคลFือนทFอี อกมาจากจุดศูนย์กลาง อากาศข้างบนกจ็ ะเคลFือนตวั จมลงแทนทFี ทาํ ให้อุณหภมู สิ ูงขนึe ไม่เกดิ การกลFันตวั ของไอนําe แต่อย่างใด สภาพอากาศโดยทFวั ไปจงึ ปลอดโปร่ง ท้องฟ้าแจ่มใส
แสดงระบบความกดอากาศและทศิ ทางการพดั หมุนของโลก
• ลม (Wind) หมายถงึ อากาศท5เี คล5ือนท5ไี ปในทศิ ทางในแนวราบ เกดิ จากการ แทนท5ขี องอากาศ เน5ืองจากอากาศในบริเวณท5รี ้อนจะลอยตวั สูงขนึL ในขณะท5อี ากาศบริเวณใกล้เคียงท5อี ุณหภมู ติ 5าํ กว่าจะเคล5ือนท5เี ข้ามา แทนท5ี เม5ือมีการเคล5ือนไหวของอากาศท5เี กดิ จากการเปล5ียนแปลงและ แตกต่างกันของความกดอากาศ อากาศบริเวณท5มี ีความกดอากาศสูง จะเคล5ือนท5เี ข้ามายงั บริเวณท5มี ีความกดอากาศต5าํ มวลอากาศท5ี เคล5ือนท5เี ราเรียกว่า \"ลม\" จงึ กล่าวได้ว่า ลม เกดิ จากการเคล5ือนท5จี าก บริเวณท5มี ีความกดอากาศสูงไปยังบริเวณท5มี ีความกดอากาศต5าํ น5ันเอง
อุณหภูมิสูง อากาศขยายตวั หนาแน่นนอ้ ย ความดนั ต8าํ มาก อุณหภูมิต8าํ อากาศขยายตวั ความดนั สูง นอ้ ย หนาแน่นมาก
ระบบลมท(พี นื+ ผิวโลก 1. ลมสงบแถบศูนย์สูตร อยู่ระหว่างละตจิ ดู ท(ี 5 องศาเหนือ และ 5 องศาใต้ ซ(งึ อยู่ในเขตความกดอากาศต(าํ แถบศูนย์สูตร บริเวณนีไ+ ด้รับ แสงอาทติ ย์มากกว่าบริเวณละตจิ ดู สูงๆ ขนึ+ ไป ทาํ ให้อากาศร้อนลอยขนึ+ ข้างบน ไอนํา+ ในอากาศจะกล(ันตวั เป็ นเมฆและฝน ส่วนใหญ่ลมจะสงบ แต่ อาจมีพายุฝนฟ้าคะนองหรือลมแรงจดั เป็ นครัง+ คราว 2. เขตลมสนิ ค้า บริเวณละตจิ ดู ระหว่าง 5 - 30 องศาเหนือ และใต้ ลม สนิ ค้าจะเป็ นลมท(พี ดั จากเขตความกดอากาศสูงก(งึ โซนร้อนมายังเขตความ กดอากาศต(าํ แถบศูนย์สูตร ในซีกโลกเหนืออากาศเคล(ือนท(มี าทางเส้นศูนย์ สูตรจะเบนไปทางขวาของทศิ ทางท(คี วรจะเป็ น เกดิ เป็ นลมสนิ ค้า ตะวันออกเฉียงเหนือ ในซีกโลกใต้เป็ นลมสนิ ค้าตะวันออกเฉียงใต้ ลมนีม+ ี ความเร็วประมาณ 16 - 24 กโิ ลเมตรต่อช(ัวโมง ลมนีพ+ ดั สม(าํ เสมอและมี ทศิ ทางท(คี ่อนข้างแน่นอน เขตนีท+ ้องฟ้าแจ่มใส
ระบบลมทEพี นืK ผิวโลก (ต่อ) 3. เขตละตจิ ดู ม้า อยู่ระหว่างละตจิ ดู 30 - 40 องศาเหนือ และใต้ เป็ นเขต ความกดอากาศสูงกEงึ โซนร้อน อากาศบริเวณนีจK ะจมลงและร้อนขนึK ลักษณะ ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีฝนหรือมีฝนตกน้อย จงึ มักเป็ นเขตทะเลทราย 4. เขตลมฝ่ ายตะวันตก อยู่ระหว่างละตจิ ดู 35 - 60 องศาเหนือ และใต้ ลม ฝ่ ายตะวันตกเป็ นลมทEพี ดั จากเขตความกดอากาศสูงกEงึ โซนร้อนไปยังเขตความกด อากาศตEาํ กEงึ ขัวK โลก ในซีกโลกเหนือลมนีพK ดั จากทางทศิ ตะวันตกเฉียงใต้ ไปทางทศิ ตะวันออกเฉียงเหนือ ในซีกโลกใต้พดั จากทางจะวันตกเฉียงเหนือไปทางทศิ ตะวันออกเฉียงใต้ ในซีกโลกใต้ลมนีมK ีกาํ ลังแรงมาก เนEืองจากเป็ นพนืK นําK ส่วนมาก ส่วนใหญ่อยู่ในละตจิ ดู ทEี 40 - 60 องศาใต้ ลมนีมK ีชEือเรียกอีกอย่างหนEึงว่า \"รอริง ฟอร์ตสี ์\" 5. ลมเขตขัวK โลก อยู่ระหว่างละตจิ ดู 60 หรือ 65 องศา กับขัวK โลกเหนือ และ ใต้ ลมนีพK ดั จากเขตความกดอากาศสูงขัวK โลกมายังเขตความกดอากาศตEาํ กEงึ ขัวK โลก ในซีกโลกใต้เป็ นลมตะวันออกเฉียงใต้ ซีกโลกเหนือเป็ นลมตะวันออกเฉียงเหนือ
ลมมรสุมในประเทศไทย (Thai Monsoon) ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
1. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เป็ นลมท:พี ดั ผ่านประเทศ ไทยในช่วงฤดหู นาวประมาณเดอื นพฤศจกิ ายนถงึ เดอื น กุมภาพนั ธ์ เกดิ ขนึO เน:ืองจากสภาพนืO ผิวโลกท:ปี ระกอบไปด้วย พนืO ดนิ และพนืO นําO ท:ใี นช่วงเดอื นดงั กล่าวเป็ นช่วงท:ดี วงอาทติ ย์ ส่องแสงตรงกับพนืO มหาสมุทร ทาํ ให้อากาศเหนือพนืO นําO มี อุณหภมู สิ ูง อากาศจงึ ลอยตวั สูงขนึO ขณะท:อี ากาศเยน็ กว่า บริเวณทวีปเคล:ือนท:อี อกไปแทนท:อี ากาศร้อนในมหาสมุทรท:ี ลอยตวั ขนึO จงึ ทาํ ให้เกดิ กระแสลมพดั ผ่านจากภาคพนืO ทวีปสู่ มหาสมุทร เกดิ เป็ นลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ หรือลม หนาวท:พี ดั พาความหนาวเยน็ ผ่านพนืO ทวีปสู่มหาสมุทร
2. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็ นลมมรสุมฤดรู ้อน เกดิ ในช่วงเดอื นพฤษภาคม ถงึ เดอื นตุลาคม รวมระยะเวลากว่า 5 เดอื น ในช่วงระยะเวลาดงั กล่าวเป็ นช่วงทIพี นืJ ดนิ ได้รับแสง จากดวงอาทติ ย์เตม็ ทIที าํ ให้พนืJ ดนิ ได้รับความร้อนมากกว่าพนืJ นําJ อากาศบนพนืJ ดนิ จงึ ลอยตวั สูงขนึJ อากาศเยน็ จากท้อง มหาสมุทรจะเคลIือนตวั นําพาความชุ่มชืนJ และไอนําJ เข้ามาสู่ ภาคพนืJ ดนิ เกดิ เป็ นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ช่วงเวลานีมJ ัก มีฝนตกมากทIวั ไป เป็ นช่วงฤดฝู นในประเทศไทย
ลมประจาํ เวลา ลมทะเล พดั จากทะเลเข้าฝ0ัง เวลากลางวัน
ลมบก พดั จากฝ,ังไปยังทะเล เวลากลางคืน
ลมทะเล (Sea Breeze) เกดิ ในช่วงเวลากลางวัน ซ<งึ เป็ นลมท<พี ดั จากทะเลเข้า มาสู่พนืG ดนิ บริเวณชายฝ<ังทะเล เน<ืองจากความแตกต่างระหว่างการรับและคาย ความร้อนระหว่างพนืG ดนิ และพนืG นําG โดยในช่วงเวลากลางวันพนืG ดนิ และพนืG นําG ได้รับความร้อนเท่ากัน แต่พนืG ดนิ ร้อนได้เร็วกว่าพนืG นําG แต่ร้อนเฉพาะพนืG ผิวหน้า ดนิ พนืG นําG จะร้อนได้ช้ากว่าเน<ืองจากนําG มีความร้อนจาํ เพาะสูง และมีการระเหย กลายเป็ นไอมากกว่าพนืG ดนิ ตลอดจนพนืG นําG มีความป<ันป่ วนหมุนเวียนถ่ายเทความ ร้อนได้ดกี ว่า นําG ทะเลจงึ ร้อนช้ากว่าพนืG ดนิ เม<ือพนืG ดนิ มีอุณหภมู สิ ูงกว่าจงึ เกดิ การ ยกลอยตวั ของอากาศสูงขนึG และอากาศเหนือพนืG นําG จงึ เคล<ือนเข้ามาแทนท<ี เกดิ เป็ นลมทะเลท<มี ีทศิ ทางการพดั จากทะเลเข้าสู่พนืG ดนิ ในเวลากลางวัน ลมบก (Land Breeze) เกดิ ในช่วงเวลากลางคืน ซ<งึ เป็ นลมท<พี ดั จากพนืG ดนิ สู่ ทะเล เน<ืองจากในเวลากลางคืนพนืG ดนิ คายความร้อนได้เร็วกว่าพนืG นําG อุณหภมู บิ น พนืG ดนิ จงึ ต<าํ กว่า ในขณะท<พี นืG นําG จะร้อนกว่าเน<ืองจากคายความร้อนได้ช้ากว่า พนืG นําG จงึ มีอุณหภมู สิ ูงกว่า อากาศร้อนบนพนืG นําG จงึ ลอยตวั สูง และอากาศเยน็ จาก พนืG ดนิ จงึ พดั เข้าไปแทนท<ที าํ ให้เกดิ ลมบกท<พี ดั จากฝ<ังเข้าสู่ทะเล
ลมประจาํ เวลา (ต่อ) ลมหบุ เขา (Valley Breeze) เกดิ ขนึ8 ในเวลากลางวัน ซ?งึ บริเวณยอดเขาและ ลาดเขาจะได้รับความร้อนจากดวงอาทติ ย์มากกว่าทาํ ให้อากาศร้อนลอยตวั สูงขนึ8 และอากาศบริเวณหบุ เขาท?เี ยน็ กว่าเกดิ ความกดอากาศสูง จะเคล?ือนตวั เข้าไป แทนท?อี ากาศท?รี ้อนบริเวณลาดเขาและยอดเขา ทาํ ให้เกดิ ลมหบุ เขา ซ?งึ ลม ดงั กล่าวมีทศิ ทางการพดั จากหบุ เขาไปสู่ลาดเขาและยอดเขา และช่วยในการ ระบายความร้อนจากหบุ เขาไปตามลาดเขาได้ดใี นเวลากลางวัน ลมภเู ขา (Mountain Breeze) เป็ นลมท?เี กดิ ในเวลากลางคืน เม?ืออากาศเยน็ ตวั อย่างรวดเร็ว ความกดอากาศบริเวณพนื8 ท?ที ?สี ูงจะมีมากกว่าเน?ืองจากพนื8 ดนิ คายความร้อนได้เร็วกว่า อากาศบริเวณภเู ขาจะไหลลงมาสู่หบุ เขาเกดิ เป็ นลมภเู ขา ในเวลากลางคืน นําเอาความเยน็ มาสู่หบุ เขา และถ้าอากาศเยน็ และชืน8 มากจะ ก่อให้เกดิ หมอกหนาทบึ ปกคลุมหบุ เขา หรืออาจเกดิ นํา8 ค้างแขง็ ได้ด้วยเช่นกัน
ลมประจาํ ถ+นิ ในประเทศไทย (Local Wind) ลมว่าว / ลมข้าวเบา เป็ นลมท+พี ดั มาจากทางทศิ เหนือลงมายงั ลุ่มแม่นําQ เจ้าพระยาลงไปทางทศิ ใต้ เป็ นลมหนาวท+เี กดิ ขนึQ ในช่วงเวลาต้นฤดหู นาวราว เดอื นกันยายน ถงึ พฤศจกิ ายน เป็ นช่วงเวลาท+ผี ู้คนนิยมเล่นว่าว จงึ เรียกว่า ลมว่าว ส่วนสาเหตุท+เี รียกว่าลมข้าวเบา เน+ืองมาจากลมพดั ผ่านมาใน ช่วงเวลาท+มี ีการเกบ็ เก+ียวข้าวชนิดหน+ึงในเดอื นพฤศจกิ ายนน+ันเอง ลมตะเภา เป็ นลมท+พี ดั จากอ่าวไทยไปยงั ท+รี าบลุ่มแม่นําQ เจ้าพระยา หรือ เป็ นลมท+พี ดั จากทศิ ใต้ขนึQ ไปยังทศิ เหนือ ในช่วงกลางฤดรู ้อน โดยเฉพาะใน เดอื นเมษายนของทกุ ปี ลมตะเภาจะพดั แรงในเวลากลางวัน เน+ืองจากได้รับ อทิ ธิพลจากลมทะเลพดั เข้ามาช่วยเสริม ส่วนเวลากลางคืนจะอ่อนกาํ ลังลง เลก็ น้อย เน+ืองจากมีลมบกพดั ต้านไว้ ในบางครังQ มักมีการเข้าใจคลาดเคล+ือน ว่าลมตะเภาเป็ นลมว่าว เน+ืองจากเดอื นมีนาคม และเดอื นเมษายนท+ลี ม ตะเภาพดั ผ่าน ผู้คนมักนิยมเล่นว่าวเช่นกัน
ลมประจาํ ถ+นิ ในประเทศไทย (Local Wind) ลมสลาตนั / ลมเพชรหงึ เป็ นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ มักเกดิ ในช่วง ต้นของการเปล+ียนฤดกู าล ช่วงเวลาดงั กล่าวมักจะเกดิ พายุฝน หรือลมแรง ในบางครังZ เรียกว่าลมเพชรหงึ ซ+งึ เป็ นลมพายุใหญ่ มีช+ือเรียกต่างๆ กันไปใน แต่ละท้องถ+นิ ลมงวง / นาคเล่นนําZ เป็ นลักษณะของลมพายุหมุนท+เี กดิ จากการ หมุนเวียนของอากาศภายในเมฆฝน ในบางครังZ เราอาจเหน็ เมฆซ+งึ มีลักษณะ คล้ายงวงยาวลงมาจากฐานเมฆฝน สาํ หรับประเทศไทยพบลมชนิดนีเZ กดิ ขนึZ ในทะเลจงึ มักเรียกอีกอย่างหน+ึงว่า \"นาคเล่นนําZ \" ลมบ้าหมู เป็ นลมท+เี กดิ ขนึZ ในช่วงระยะเวลาสันZ ๆ มีทศิ ทางพดั หมุนทวน เขม็ นาฬิกา มักเกดิ บริเวณอากาศร้อนจดั ทาํ ให้อากาศลอยตวั สูงขนึZ อย่าง รวดเร็ว และเกดิ การไหลเข้ามาแทนท+ขี องอากาศ เกดิ มากในฤดรู ้อน อากาศ ร้ อนจดั
ความชืน' ในบรรยากาศ เม1ือโลกได้ รับความร้ อน จากดวงอาทติ ย์ นํา' จากแหล่งนํา' ต่าง ๆ จะระเหยกลายเป็ นไอนํา' ลอยอยู่ในอากาศปะปน กับก๊าซต่าง ๆ ปริมาณ ไอนํา' ท1มี ีอยู่ในอากาศนี' เรียกว่า ความชืน' ของ อากาศ
Search