Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 3 อุทกภาค

บทที่ 3 อุทกภาค

Description: บทที่ 3 อุทกภาค

Search

Read the Text Version

บทท$ี 3 อุทกภาค (Hydrosphere)

องค์ประกอบของนํา- นํา- เป็ นสารประกอบทางเคมี ประกอบด้วย ไฮโดรเจน > อะตอมและออกซเิ จน D อะตอม นํา- อยู่ในสถานะของเหลวทJใี ส ไม่สีและไม่มีกลJนิ ภายใต้สภาวะอุณหภมู แิ ละความดนั บรรยากาศ ปกติ นํา- มีจุดเดอื ดทJี DQQoc (212oF) ทJรี ะดบั นํา- ทะเล

วัฏจกั รของนํา, (Hydrological cycle)

วัฏจกั รของนํา, หมายถงึ การเปล8ียนสถานะของนํา, ระหว่างนํา, ใน บรรยากาศ นํา, ในดนิ นํา, ใต้ดนิ นํา, ผิวดนิ และพชื วงจรการเปล8ียนแปลง สถานะนี, เกดิ ขนึ, อย่างต่อเน8ืองจากการระเหยของนํา, ในมหาสมุทร หรือจาก แหล่งนํา, ผิวดนิ อ8ืน ๆ รวมทงั, พชื และสัตว์ เม8ือนํา, ระเหย (เปล8ียนสถานะเป็ น ก๊าซในบรรยากาศ) เราสังเกตได้ในรูปของเมฆ หมอก และเกดิ การกล8ันตวั กลับมาเป็ นของเหลวตกลงสู่พนื, ดนิ ในรูปแบบของฝน นํา, ค้าง หรือของแขง็ เช่น หมิ ะ ลูกเหบ็ นํา, ส่วนหน8ึงท8ตี กกลับมาสู่ผิวดนิ จะเกดิ การไหลลงสู่ท8ตี 8าํ คือไหลสู่แม่นํา, ลาํ คลอง และลงสู่ทะเลท8เี รียกว่านํา, ท่า และนํา, หลาก นํา, อีก ส่วนหน8ึงจะซมึ ลงสู่พนื, ดนิ และใช้ประโยชน์จากพชื มนุษย์และสัตว์

นํา# ในโลก เปรียบเทยี บแหล่งนํา# บนโลก

โลกมีนํา( ประกอบถงึ สามในส4ีส่วน อยู่ในสถานะท4แี ตกต่างกันเช่น เป็ นนํา( แขง็ ในบริเวณขัว( โลกทงั( เหนือและใต้ เป็ นของเหลวในทะเล มหาสมุทร แม่นํา( ลาํ คลอง เป็ นเมฆ หมอกในบรรยากาศ พนื( ท4ี 2 ใน 3 ของโลกปกคลุมด้วยนํา( ในมหาสมุทร แม้ว่าจะมีนํา( อยู่อย่างมากมายบนโลก แต่นํา( จดื ซ4งึ จาํ เป็ นต่อการดาํ รงชีวติ ของ มนุษย์กลับมีน้อยมาก หากสมมตวิ ่านํา( ทงั( หมดบนโลกเท่ากับ 100 ลติ ร จะเป็ นนํา( ทะเล 97 ลติ ร ท4เี หลืออีกเกือบ 3 ลติ รเป็ นนํา( แขง็ มีนํา( จดื ท4ี เราสามารถใช้บริโภคอุปโภคได้เพยี ง 3 มลิ ลิลิตร เท่านัน(

ฝน (rain) “ฝน” เป็ นรูปแบบหน5ึงของการตกลงมาจากฟ้าของนําB นอกจากฝนแล้วยังมี การตกลงมาในรูป หมิ ะ เกลด็ นําB แขง็ ลูกเหบ็ นําB ค้าง ฝนนันB อยู่ในรูปหยดนําB ซ5งึ ตกลงมายงั พนืB ผิวโลกจากเมฆ ฝนบางส่วนนันB ระเหยกลายเป็ นไอก่อนตกลง มาถงึ ผิวโลก ฝนชนิดนีเB รียกว่า \"virga“ หยาดฝนเมด็ เลก็ จะมีรูปเกือบเป็ นทรงกลม ส่วนเมด็ ฝนท5ใี หญ่ขนึB กจ็ ะมี รูปร่างท5คี ่อนข้างแบนคล้ายขนมปังแฮมเบอเกอร์ ส่วนเมด็ ท5ใี หญ่มากๆนันB จะมี รูปร่างคล้ายร่มชูชีพ โดยเฉล5ียแล้วเมด็ ฝนนันB จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ถงึ 2 มลิ ลเิ มตร เมด็ ฝนท5ใี หญ่ท5สี ุดท5ตี กลงถงึ ผิวโลกนันB ตกท5ี ประเทศบราซลิ และ เกาะมาร์แชล ในปี ค.ศ. 2004 โดยมีขนาดใหญ่ถงึ 10 มลิ ลเิ มตร ขนาดใหญ่ ของเมด็ ฝนนีเB น5ืองมาจากละอองนําB ในอากาศท5มี ีขนาดใหญ่ หรือ จากการรวมตวั กันของเมด็ ฝนหลายเมด็ เน5ืองมาจากความหนาแน่นฝนท5ตี กลงมา

กาํ เนิดทะเลและมหาสมุทร

มหาสมุทร (Ocean) คือ เปลือกโลกส่วนท0มี ีลักษณะคล้ายกับแอ่งและมีนํา= ปกคลุมอยู่ ซ0งึ ครอบคลุมพนื= โลกถงึ ร้อยละ 71 มีผลอย่างมากต่อภมู อิ ากาศ โดยมีบทบาทท0ี สาํ คัญในการถ่ายโอนพลังงานและสสารต่างๆ ระหว่างบรรยากาศและพนื= โลก ทาํ ให้มีการถ่ายโอนพลังงานความร้อนท0ผี ิวนํา= ของมหาสมุทรจากบริเวณ เส้นศูนย์สูตรไปยังบริเวณอ0ืนๆ ในลักษณะของกระแสนํา= อุ่น จากเขตร้อนไป ยงั เขตหนาว และกระแสนํา= เยน็ จากเขตหนาวมายงั เขตร้อน โดยการเกดิ การ เคล0ือนท0ขี องมวลนํา= ในมหาสมุทรทงั= ในแนวราบและแนวตงั= ทาํ ให้อุณหภมู ผิ ิว นํา= ต0าํ กว่าหรือสูงกว่าอุณหภมู อิ ากาศ (นํา= ในระดบั ลกึ จะมีอุณหภมู ติ 0าํ กว่า) เป็ น ผลให้ มีการถ่ ายเทพลังงานความร้ อนปริมาณมหาศาลระหว่ างมหาสมุทรและ บรรยากาศ

มหาสมุทรยงั เป็ นแหล่งต้นทาง (source) และแหล่งปลายทาง (sink) ทBี สาํ คัญของก๊าซต่างๆ ในบรรยากาศ จงึ กล่าวได้ว่า การเปลBียนแปลง อุณหภมู ขิ องมหาสมุทร จะมีผลต่อความสามารถในการกักเกบ็ ก๊าซต่างๆ ส่งผลให้ปริมาณก๊าซในบรรยากาศเปลBียนไป โดยเฉพาะอย่างยBงิ ก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ ซBงึ ละลายอยู่ในส่วนบนของนํา^ ในมหาสมุทรมากถงึ เกือบ 1.5 เท่าของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทBอี ยู่ในบรรยากาศ ดงั นัน^ หาก อุณหภมู ขิ องนํา^ ในมหาสมุทรสูงขนึ^ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะถกู ปล่อย จากนํา^ เข้าสู่บรรยากาศมากขนึ^ ซBงึ ย่อมส่งผลต่อสมดุลระหว่างรังสีทBโี ลก ได้รับจากดวงอาทติ ย์และรังสีทBโี ลกแผ่ออกสู่อวกาศ ทาํ ให้อุณหภมู ขิ อง โลกเพBมิ ขนึ^

โลกประกอบด*วยแผ/นดินประมาณ 29% ของพื้นผิวโลกทั้งหมด ส/วนที่เหลืออีก 71% หรือคิดเปHนพื้นที่ประมาณ 361 ล*านตารางกิโลเมตร นั้นเปHนส/วนของมหาสมุทร โดย ซีกโลกเหนือ ถือเปHน ซีกโลกแห/งแผ/นดิน (land hemisphere) ในขณะที่ ซีกโลกใต* เรียกว/า ซีกโลกแห/งน้ำ (water hemisphere) นักวิทยาศาสตรaจำแนกมหาสมุทรหลัก ๆ ออกเปนH 4 มหาสมุทร คอื 1) มหาสมุทรแปซิฟfก (Pacific Ocean) มีพื้นที่ 181 ล*านตารางกิโลเมตร (46% ของพน้ื ท่มี หาสมทุ รทัง้ หมด) เปHนมหาสมทุ รทีม่ พี ้นื ทกี่ ว*างและลึกมากทส่ี ุด 2) มหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean) มีพื้นที่ 106 ล*านตารางกิโลเมตร (23%) มีความลึกไมม/ ากนัก 3) มหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean) มีพื้นที่ 74 ล*านตารางกิโลเมตร (20%) มพี ื้นทีโ่ ดยสว/ นใหญอ/ ย/ทู างซีกโลกใต* 4) มหาสมุทรอารaคติก (Arctic Ocean) มีพื้นที่ประมาณ 13 ล*านตาราง กโิ ลเมตร (3.5%) หรือคดิ เปนH 7% เมื่อเทียบกบั พื้นที่ ของมหาสมทุ รแปซฟิ fก



การวดั หรือหยง่ั ความลึกมหาสมทุ ร เนื่องจากมหาสมุทรมีพื้นที่กว4างและมีความลึกมาก นักวิทยาศาสตร@จึงต4อง พัฒนาเทคนิคและเครื่องมือการสำรวจพื้นมหาสมุทรให4การตรวจวัดนั้นทำได4สะดวกและ รวดเรว็ โดยในปจI จบุ ัน เทคนคิ ในการหยัง่ ความลกึ ของมหาสมทุ รแบLงยอL ยเปนM 3 ชนดิ 1) การหยง่ั ความลกึ ด4วยเชอื ก การหยั่งความลึกด4วยเชือก (rope sounding) เปMนเทคนิคที่ใช4มาตั้งแตLเริ่ม สำรวจความลึกของพื้นมหาสมุทรโดยการใช4เชือกหรือเส4นลวดที่มีลูกตุ4ม (โดยสLวนใหญL เปMนตะกั่ว) ถLวงน้ำหนัก หยLอนลงไปในมหาสมุทรและตรวจวัดความยาวของเชือกเมื่อ ลกู ตมุ4 น้ันถงึ พื้นมหาสมทุ ร การหยั่งความลึกวิธีนี้มีข4อจำกัด คือ ไมLสามารถได4ข4อมูลที่ละเอียดอยLางตLอเนื่อง ไมLสามารถตรวจวดั ในบรเิ วณท่มี คี วามลกึ มากได4 และบรเิ วณท่ีตรวจวัดต4องไมLมีกระแสน้ำ และลมที่รุนแรง เนื่องจากกระแสน้ำและลมจะพัดเรือให4เคลื่อนที่ทำให4เรือย4ายตำแหนLง และเสน4 เชอื กที่หยLอนลงไปนัน้ ไมอL ยูLในแนวดิ่ง ทำให4ไดค4 าL ความลึกมากกวาL ทเี่ ปMนจริง

เชอื กและลกู ตุ,มตะก่วั ที่ใชใ, นการหย่งั ความลกึ ของพ้นื มหาสมทุ ร

2) การหย่ังความลกึ ดว2 ยคล่นื เสยี งสะทอ2 น การหยั่งความลึกด2วยคลื่นเสียงสะท2อน (echo sounding) เปGนวิธีหยั่ง ความลึกที่ถูกพัฒนาในเวลาตPอมา เพื่อให2การตรวจวัดนั้นละเอียดและแมPนยำมากขึ้น โดยใช2เทคนิคการสPงสัญญาณคลื่นเสียงจากเรือลงไปในมหาสมุทร เมื่อคลื่นเสียง เดินทางถึงพื้นมหาสมุทรจะสะท2อนกลับมาที่เครื่องตรวจรับ ทำให2สามารถคำนวณ เปGนระยะทางที่เสยี งเดนิ ทางไปและสะท2อนกลบั มาได2 วิธีนี้มีข2อจำกัด เชPน เมื่อทะเลมีคลื่นสูงอาจทำให2การคำนวณผิดพลาด ความแตกตPางของอุณหภูมิและความเค็มซึ่งสัมพันธaกับความหนาแนPนของน้ำทำให2 เกิดการหักเหของคลื่นเสียงตามความแตกตPางของความหนาแนPนของน้ำ ดังนั้นการ ตรวจวัดด2วยวิธีนี้จึงต2องมีการปรับแก2ปbจจัยตPาง ๆ เพื่อให2ได2ข2อมูลที่มีความถูกต2อง และแมนP ยำมากขึ้น

หนา# ตาผลการ ตรวจวัดภมู ปิ ระเทศ ใตน# ำ้ ดว# ยเครอ่ื งมือ Marine Echo Sounder หรอื Fish Finder

3) การหยั่งความลกึ ด2วยคลืน่ ไหวสะเทอื น การหย่งั ความลึกด2วยคลื่นไหวสะเทือน (seismic sounding) เปGนการหย่งั ความลึกของพื้นมหาสมุทรโดยใช2คลื่นไหวสะเทือนจากการจุดระเบิด โดยเมื่อคลื่นไหว สะเทือนเดินทางลงสูSพื้นมหาสมุทรในระดับความลึกตSาง ๆ จะสะท2อนกลับมาท่ี เครื่องรับสัญญาณบนเรือ ข2อมูลในการเดินทางของคลื่นไหวสะเทือนสามารถนำมา คำนวณหาความลึกได2 ซึ่งนอกจากความลึกแล2วยังได2ข2อมูลความหนาของชั้นหินใต2 พื้นมหาสมุทรด2วย ซึ่งวิธีนี้เปGนที่นิยมในการสำรวจแหลSงแรSหรือป^โตรเลียมใน มหาสมทุ ร แตมS คี าS ใชจ2 SายคอS นขา2 งสูง ผลจากการสำรวจและหยั่งความลึกของพื้นมหาสมุทรอยSางตSอเนื่องจนถึง ป`จจุบัน นักวิทยาศาสตรbสามารถสร2างแผนที่แสดง ระดับความลึกของมหาสมุทร (bathymetry) ซึ่งความลึกของมหาสมุทรนั้นจะเปลี่ยนแปลงจาก 0 กิโลเมตร ตาม แนวชายฝk`งถึงประมาณ 11 กโิ ลเมตร ตามแนวรอS งลึกกน2 สมทุ ร (trench)

เรอื สำรวจพรอ* มอปุ กรณก0 ารหยง่ั ความลึกด*วยคลน่ื ไหวสะเทือน ซึง่ เปAนทีน่ ิยมมากในการสำรวจแหลFงปGโตรเลียมในมหาสมุทร



น#ําแขง็ ทป+ี กคลุมพ#ืนโลก (Cryosphere) หมายถงึ ส่วนท/เี ป็ นนํา4 แขง็ ทงั4 หมด ทงั4 ธารนํา4 แขง็ (glacier) หมิ ะ นํา4 แขง็ ในทะเลและนํา4 แขง็ ในดนิ (permafrost) แม้ว่านํา4 แขง็ และหมิ ะจะมีปริมาณ เพยี งร้อยละ 2 ของนํา4 ทงั4 หมดในโลก แต่ปริมาณนํา4 แขง็ ปกคลุมพนื4 ดนิ มี มากถงึ ร้อยละ 11 และปกคลุมพนื4 นํา4 ในมหาสมุทรถงึ ร้อยละ 7 นอกจากนี4 นํา4 แขง็ ส่วนใหญ่ท/อี ยู่บริเวณขัว4 โลกนับเป็ นแหล่งนํา4 จดื ท/ใี หญ่ท/สี ุดของโลก นํา4 แขง็ มีคุณสมบตั ใิ นการสะท้อนแสงได้ดแี ละยงั เป็ นฉนวนความร้อนท/ี ดดี ้วย นํา4 แขง็ ท/ปี กคลุมพนื4 โลกจงึ มีบทบาทท/สี าํ คัญต่อภมู อิ ากาศของโลก การเปล/ียนแปลงปริมาณนํา4 แขง็ ท/ปี กคลุมโลก จะทาํ ให้เกดิ การ เปล/ียนแปลงทงั4 อุณหภมู ขิ องโลกและระดบั ของนํา4 ทะเล เพราะการละลาย ของนํา4 แขง็ หรือการแขง็ ตวั ของนํา4 มีผลต่อปริมาณนํา4 จดื ท/ไี หลลงสู่ มหาสมุทร และเป็ นปัจจยั สาํ คัญต่อการเปล/ียนแปลงความเคม็ ของนํา4 ทะเล

กระบวนการเกิดธารน้ำแข็ง (glacial formation) เริ่มจากการสะสม ตัวของ เกล็ดหิมะ (snowflake) ซึ่งมีความหนาแนGนประมาณ 0.1 กรัม/ลูกบาศกQ เซนติเมตร ตGอมาน้ำหนักของเกร็ดหิมะดTานบนจะกดทับเกร็ดหิมะดTานลGางเกิดการอัด แนGนและหลอมละลายกลายเปนW เมด็ หิมะ (granular snow) เมือ่ น้ำหนกั กดทับเพ่ิมสงู ขนึ้ อากาศในชอG งวGางระหวาG งเม็ดหิมะจะถูก บีบออก เกิดเปWน หมิ ะน้ำแข็ง (firn) ซึง่ มีความหนาแนGนเพิ่มขนึ้ เปนW 0.4 กรัม/ ลกู บาศกเQ ซนตเิ มตร หลังจากนนั้ หมิ ะน้ำแขง็ จะเรม่ิ หลอมละลายและ ตกผลกึ ใหมG กลายเปนW นำ้ แขง็ ใน ธารนำ้ แขง็ (glacial ice) ท่ีมคี วาม หนาแนGนสูงถึง 0.9 กรมั /ลกู บาศกQ เซนตเิ มตร

การเปลี่ยนสภาพจากเกร็ดหิมะกลายเป5นน้ำแข็ง ใช>เวลาประมาณ 10-1,000 ปE ขน้ึ อยIูกับปริมาณหิมะท่ตี กทบั ถมและแรงกดทบั ของมวลหมิ ะ ปOจจุบันนักวิทยาศาสตรRประเมินวIาประมาณ 10% ของพื้นผิวโลกถูกปกคลุมด>วย ธารน้ำแข็ง กระจายอยูIเกือบทุกทวีป ซึ่งธารน้ำแข็งนั้นมีผลอยIางมากตIอการ เปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล เนื่องจาก 2% ของน้ำในโลก ถูกกักเก็บไว>บนพื้นทวีปใน รปู ของธารน้ำแขง็ ไมใI ห>ไหลลงสูIทะเล นักวิทยาศาสตรจR ำแนกธารนำ้ แขง็ ออกเป5น 2 ชนิด ตามพ้นื ทแ่ี ละกระบวน การเกิด ไดแ> กI 1) ธารน้ำแขง็ พ้ืนทวปี (continental glacier) และ 2) ธารนำ้ แขง็ ภเู ขา (mountain glacier)

ธารนำ้ แข็งจะเคล่อื นทแ่ี บบไหลลงสทู: ี่ราบตามแรงโน>มถว: งโลก โดยความเรว็ ของ การเคล่อื นที่จะขนึ้ กบั 1) ความชัน 2) หนิ ทรี่ องรบั ธารนำ้ แขง็ 3) แรงกดทับจากธารนำ้ แข็ง และ 4) สดั ส:วนการสะสมตวั และการเสยี ด ละลายธารน้ำแข็ง ซึ่งบรเิ วณกลางธารน้ำแขง็ จะมกี าร เคลอื่ นท่เี รว็ สดุ ในขณะที่รอบนอกสุด เคล่อื นที่ช>ามากเพราะมแี รงฝTด ปกติ ธารนำ้ แข็งพน้ื ทวปี (continental glacier) เคล่ือนทช่ี >า 5-7 เซนติเมตร/วนั ส:วน ธารน้ำแข็ง ภเู ขา (mountain glacier) จะเคล่อื น ทเี่ ร็วในระดับ 10 เมตร/วัน

ประเภทของแหล่งนํา0 ธรรมชาตขิ องเปลือกโลก 1. แหล่งนํา0 ในบรรยากาศ (Atmospheric Water) 2. แหล่งนํา0 ผิวดนิ (Surface Water) 3. แหล่งนํา0 ใต้ดนิ (Ground Water) 4. นํา0 ท^เี ป็ นส่วนประกอบทางเคมี (Chemical Water)

นํา# ผิวดนิ (Surface Water) นํา# ผิวดนิ เป็ นองค์ประกอบหน]ึงของวัฏจกั รของนํา# เกดิ จากนํา# ฝนท]ตี กลงมามี การสะสมตวั กันอยู่บริเวณพนื# ผิวดนิ ซ]งึ ฝนท]ตี กลงมาในระยะแรกนํา# มักจะซมึ ลง ไปในดนิ ก่อนจนกระท]งั ดนิ อ]มิ ตวั แล้วจงึ มีนํา# แช่ขังอยู่ตามลุ่มนํา# หรือแหล่งนํา# ขนาดเลก็ ลักษณะการไหลของนํา# ผิวดนิ บนโลกแบ่งเป็ น 1. ลักษณะการไหลแบบแผ่ซ่าน (Sheet Flow) โดยไหลไปตามความลาดเอียง ของพนื# ผิว และมีระดบั ความลกึ ไม่มาก 2. ลักษณะการไหลตามร่อง (Channel Flow) หรือเป็ นลักษณะการไหลของนํา# ไปตามลาํ ธาร แหล่งนํา# ผิวดนิ นอกจากจะเป็ นส่วนของนํา# ฝนท]ตี กลงสู่ผิวดนิ แล้วยังหมาย รวมถงึ ส่วนของนํา# ท]ไี หลล้นออกจากใต้ดนิ เข้ามาสมทบด้วย ปริมาณของนํา# ผิวดนิ จะมากหรือน้อยกข็ นึ# อยู่กับปริมาณนํา# ฝนท]ตี กลงมายังพนื# ท]นี ัน# ๆ ด้วย

ระบบธารน้ำ (drainage system) เนื่องจากธารน้ำในธรรมชาติจะ ประกอบด7วยธารน้ำสาขาจำนวนมากที่ไหลลงมารวมกัน ดังนั้นเพื่อให7มีการทำความ เข7าใจตรงกันในการสื่อสารในการบริหารจัดการน้ำ นักอุทกวิทยาจึงมีหลักการในการ ลำดับธารน้ำ (stream order) อยQางเปRนระบบ เรียกวQา ระบบธารน้ำ (drainage system) โดยกำหนดให7ธารน้ำที่ไหลออกจากต7นน้ำหรือแหลQงกำเนิด เรียกวQา ธารน้ำ สาขาที่ 1 (1st order stream) ซึ่งตQอมาเมื่อไหลมาบรรจบกับธารน้ำอื่น รวมเรียกวQา ธารน้ำสาขาที่ 2 (2nd order stream) และจะมกี ารรวมกันของธารนำ้ และเพ่ิมลำดับ ของธารน้ำไปอยาQ งตQอเน่อื ง จนกระทง่ั ถึงปลายนำ้ ดังนั้นหากมีฝนตกบริเวณภูเขา น้ำจะไหลจากที่สูงลงสูQ แอQงรับน้ำ (drainage basin หรือ catchment area) หรือ ลุQมน้ำ (watershed) ซึ่งในแตQละแอQงจะถูกแบQง โดย สันปdนน้ำ (drainage divide) โดยลุQมน้ำนั้นอาจเรียกแบบแบQงยQอยหรือรวมกัน เปRนลุQมน้ำขนาดใหญQได7 ขึ้นอยูQกับการใช7ลำดับธารน้ำในการพิจารณา เชQน ลุQมน้ำของ ธารน้ำสาขาที่ 1 จะมีขนาดเล็กและเปRนสQวนหนึ่งของลุQมน้ำของธารน้ำสาขาที่ 2 หรือ 3 เปRนต7น



ลักษณะนํา) ผิวดนิ ท0วั ไปเราสามารถแยกพจิ ารณาได้ดงั นี) 1. อ่างเกบ็ นํา) (Reservoir) เป็ นแหล่งนํา) ผิวดนิ ประเภทท0รี องรับนํา) จากนํา) ฝนท0ี ไหลจากพนื) ท0ที 0สี ูงกว่าลงมารวมกันในอ่างเกบ็ นํา) ดงั นัน) อ่างเกบ็ นํา) เราหมายถงึ ทะเลสาบนํา) จดื ท0สี ร้างขนึ) โดยการก่อสร้างเข0ือนขวางปิ ดกัน) ลาํ นํา) ธรรมชาติ 2. แม่นํา) , ลาํ คลอง (Stream and River) แหล่งนํา) ผิวดนิ ประเภทนีเ) กดิ จากการ เซาะพงั ของลาํ คลองหรือแม่นํา) ในเวลาเดยี วกัน แหล่งนํา) ผิวดนิ ประเภทนีม) ักไหล ตามความลาดชันของสภาพภมู ปิ ระเทศลงสู่ทะเล 3. นํา) ผิวดนิ อ0ืนๆ (Other) ได้แก่ ระดบั นํา) ผิวดนิ ท0มี ีการแช่ขังอยู่เกือบไม่มีทาง ระบายออกไปสู่บริเวณอ0ืน และมีพชื นํา) ขนึ) ปะปนอยู่ โดยเฉพาะบริเวณนํา) ตนื) เช่น “มาบ” หรือ “ท0ลี ุ่มนํา) ขัง” (Swamp) พบมากบริเวณท0รี าบภาคกลางของไทย “ท0ลี ุ่มชืน) แฉะ” (Marsh) หมายถงึ พนื) ท0ที 0มี ีระดบั นํา) ตนื) ๆ พอท0พี ชื นํา) จะขนึ) ได้ อย่างกระจดั กระจายท0วั ไป แต่จะมีความหนาแน่นไม่มากนัก “พรุ” (Bog) เป็ นบริเวณแหล่งนํา) ผิวดนิ ท0ชี ืน) แฉะมีพชื นํา) ขนึ) ปกคลุมหนาแน่น พชื บางส่วนท0ตี ายจะสะสมตวั อยู่ใต้นํา) บางส่วนกลายเป็ นโคลนหนามีซากพชื สัตว์ทบั ถม เช่น บริเวณพรุบาเจาะ จงั หวัดนราธิวาส เป็ นต้น

นิสัยของแม+น้ำ : เมื่อไรที่ระดับความสูงของแม+น้ำ อยู+ใกลAกับระดับอAางอิง เช+น ระดับน้ำทะเลหรือระดับทางออกของแม+น้ำนั้น แม+น้ำจะไม+กัดกร+อนพื้นดินใน แนวดิ่งใหAเปGนร+องลึก แต+เลือกที่จะกัดกร+อนพื้นที่ในแนวราบ และกวัดแกว+งไปมา และ และปรับสภาพพื้นที่ดAานขAางใหAเปGนที่ราบ เราเรียกแม+น้ำแบบนี้ว+า แม+น้ำโคAงตวัด (meandering stream) ทรพั ยากรที่ไดตA ามลำนำ้ 1) ทAองน้ำมักไดA กรวดมน (gravel) ทเี่ ราเอาไวA ใชAแตง+ สวนตามบAาน 2) พื้นทีโ่ คAงในของลำน้ำ แม+นำ้ จะใหA ทรายน้ำจดื สำหรบั เอาไวAใชใA นการกอ+ สรAาง 3) พืน้ ที่ราบดาA นบนขาA งๆ ลำน้ำจะเปนG พน้ื ทที่ ่มี ี ดินอดุ มสมบูรณ`และมีอินทรียวัตถมุ าก เหมาะแก+ การเพาะปลกู การเกษตรกรรม

แมน# ำ้ บางประกง แม#น้ำเจ0าพระยา

ความชืน' ในดนิ (Soil Moisture) ความชืน' เหล่านีเ' กดิ จากการซมึ ของหยดนํา' ลงดนิ และถกู ดดู ซับ โดยอนุภาคของดนิ ไว้ ความชืน' ดงั กล่าวอยู่ในดนิ จนกระทTงั เกดิ การ ระเหยหรือถกู ดดู ซับโดยรากพชื นําไปใช้ ตามปกตคิ วามชืน' ในดนิ จะมี การเปลTียนแปลงตลอดเวลา ขนึ' อยู่กับปริมาณนํา' ฝน และอัตราการ ระเหยของนํา' และขนึ' อยู่กับความจุนํา' ในดนิ (Field of Capacity of Water) ซTงึ อยู่กับประเภทของเนือ' ดนิ เช่น ดนิ ทรายจะมีความจุนํา' ของ ดนิ ตTาํ สุด ส่วนดนิ เหนียวจะมีความจุนํา' สูงสุด ทงั' นีค' วามหยาบของเนือ' ดนิ จะยอมให้นํา' ผ่านได้ง่ายกว่าเนือ' ดนิ ทTลี ะเอียด

ระบอบความชืน+ ในดนิ (Soil Moisture Regime) ระบอบความชืน+ ในดนิ ได้ถกู ศกึ ษาโดย C.W. Thornthwaite นักภมู อิ ากาศ วทิ ยา โดยแบ่งระบอบความชืน+ ในดนิ ออกเป็ น 8 กลุ่ม ด้วยกัน คาํ ว่า \"ระบอบ\" หมายถงึ ลักษณะเด่นหรือรูปแบบทcโี ดดเด่นเกcียวกับการ เปลcียนแปลงทcเี กดิ กับความชืน+ ในดนิ ในรอบปี สามารถจาํ แนกได้ดงั นี+ 1.1 ระบอบศูนย์สูตร (Equatorial Regime) 1.2 ระบอบสะวันนา (Tropical Wet-Dry Regime) 1.3 ระบอบเมดเิ ตอร์เรเนียน (Mediterranean Regime) 1.4 ระบอบทะเลทรายร้อน (Tropical Desert Regime) 1.5 ระบอบทะเลทรายภาคพนื+ ทวีป (Continental Desert Regime) 1.6 ระบอบความชุ่มชืน+ ภาคพนื+ ทวีป (Continental Humid Regime) 1.7 ระบอบชุ่มชืน+ ชายฝcังตะวันตก (Wet West Coastal Regime) 1.8 ระบอบอาร์กตกิ (Arctic Regime)

นํา# ใต้ดนิ (Ground Water) หมายถงึ นํา# ท?มี ีอยู่ในชัน# ดนิ บนผิวโลก ขังอยู่ในช่องว่างระหว่างดนิ และหนิ ซ?งึ ต้นกาํ เนิดของนํา# ใต้ดนิ จะมาจากนํา# ในบรรยากาศและจากนํา# ผิวดนิ ต่าง ๆ นํา# ใต้ ดนิ เป็ นส่วนหน?ึงของนํา# ฝนท?ตี กลงมายังผิวโลก และไหลซมึ ลงไปตามชัน# ดนิ ลงไป ถงึ ชัน# ท?นี ํา# มีการสะสมตวั รวมกัน จงึ มีผลทงั# ในแง่ของการละลาย การพดั พา การ ทบั ถม โดยนํา# ใต้ดนิ มีการกระทาํ เพยี งสองชนิดคือ การกษัยการ และการทบั ถม ซ?งึ เกดิ จากการไหลซมึ ผ่านชัน# ดนิ และหนิ ลงไป ในบางพนื# ท?นี ํา# ใต้ดนิ จะมีการไหล เหมือนกับนํา# บนผิวดนิ เพยี งแต่ว่าอยู่ลกึ จากผิวดนิ ลงไป ซ?งึ มักพบเสมอในบริเวณท?ี เป็ นถาํ# ฤดกู าลกเ็ ป็ นปัจจยั หน?ึงท?สี าํ คัญต่อการพดั พาของนํา# ใต้ดนิ เน?ืองจากมีนํา# หลากมาก ทาํ ให้เกดิ การพดั พา การกษัยการมากขนึ# ตามไปด้วย ดงั นัน# นํา# ใต้ดนิ จดั ว่าเป็ นกระบวนการระบายนํา# ออกจากผิวดนิ ได้อีกแบบหน?ึงเช่นกัน

1. ปัจจยั ท*มี ีอทิ ธิพลต่อปริมาณนํา8 ใต้ดนิ 1.1 ช่วงเวลาท*มี ีฝนตก (Time) ถ้าช่วงเวลาท*มี ีฝนตกสัน8 นํา8 จะไหลผ่าน ผิวดนิ ไปอย่างรวดเร็ว ปริมาณการไหลซมึ ลงดนิ ของนํา8 จะต*าํ และซมึ ลงได้น้อย แต่ถ้ามีฝนตกเป็ นเวลานาน และเบา ๆ อัตราการไหลซมึ จะมีมากกว่า 1.2 ความลาดชันของพนื8 ท*ี (Slope) ถ้าพนื8 ท*มี ีความลาดชันมากนํา8 จะไหล ไปบนดนิ มากกว่าท*จี ะซมึ ลงดนิ 1.3 ความโพรกตวั ของดนิ และหนิ (Porosity) อัตราส่วนระหว่างปริมาตร ของช่องว่างในหนิ ก้อนหน*ึงกับปริมาตรทงั8 หมดของหนิ ก้อนนัน8 1.4 ความฟ่ ามของดนิ และหนิ (Permeability) ความสามารถในการท*ยี อม ให้นํา8 ไหลผ่านหนิ ท*มี ีความฟ่ ามสูง คือหนิ ท*นี ํา8 ไหลผ่านได้เร็ว หรือความฟ่ าม ขนึ8 อยู่กับขนาดของช่องว่าง ไม่ใช่ปริมาตรของช่องว่าง 1.5 ปริมาณของต้นไม้ ต้นไม้จะช่วยชะลอการไหลของนํา8 ผิวดนิ ให้ช้าลง ซ*งึ จะช่วยให้ปริมาณนํา8 ไหลซมึ ลงดนิ ได้มากขนึ8 1.6 ความลาดเทของชัน8 หนิ ท*นี ํา8 ใต้ดนิ ไหลอยู่

2. ลักษณะของแหล่งนํา2 ใต้ดนิ

2.1 เขตท*มี ีอากาศแทรกในชัน6 หนิ (Zone of Aeration) เขตนีเ6 ราสามารถ แบ่งออกเป็ น 3 เขตย่อย คือ -เขตความชืน6 ในดนิ (Belt of Soil Moisture) - เขตชัน6 กลาง - เขตนํา6 ซมึ (Capillary Fringe) 2.2 เขตอ*มิ ตวั (Zone of Saturation) เป็ นเขตท*มี ีนํา6 ใต้ดนิ ขังอยู่เตม็ ทกุ ช่องว่างในเนือ6 ดนิ เราเรียกนํา6 ในเขตนีว6 ่าเป็ นนํา6 ใต้ดนิ โดยยดึ ระดบั บนสุดของ ระดบั นํา6 ณ เขตนีเ6 ป็ นระดบั นํา6 ใต้ดนิ (Water Table) โดยชัน6 ดนิ หรือชัน6 หนิ ท*มี ี ปริมาณนํา6 มากจนอ*มิ ตวั และมีปริมาณมากพอท*พี ชื สามารถนําขนึ6 มาใช้ได้ 2.3 ระดบั นํา6 ใต้ดนิ (Water Table) คือ ผิวบนของเขตอ*มิ นํา6 ระดบั นํา6 ใต้ ดนิ ซ*งึ หมายถงึ ระดบั ของนํา6 ใต้ดนิ ท*เี กดิ ขนึ6 เน*ืองจากการสะสมนํา6 ใต้ดนิ ท*ไี ม่อาจ ซมึ ต่อไปได้ แต่ระดบั นํา6 ใต้ดนิ จะไม่คงท*แี น่นอน สามารถมีการเปล*ียนแปลงได้ ตามฤดกู าล

3. ชัน& หนิ อุ้มนํา& ใต้ดนิ (Ground water Aquifers) 3.1 ชัน& หนิ ให้นํา& แบบเปิ ด (Unconfined Aquifers) เป็ นชัน& หนิ ทNมี ีนํา& บาดาล อยู่ในเขตอNมิ นํา& มีระดบั ผิวนํา& เป็ นระดบั นํา& ใต้ดนิ และไหลไปตามแนวเทของชัน& หนิ สาํ หรับการขุดเจาะบ่อนํา& บาดาล และใช้นํา& จากชัน& หนิ อุ้มนํา& ปกตนิ ี& ถ้าขุดบ่อ บาดาลตนื& เกนิ ไป มีโอกาสจะขาดแคลนนํา& ได้ แต่ถ้าขุดลกึ จะได้นํา& ใช้ตลอดปี 3.2 ชัน& หนิ ให้นํา& แบบปิ ด (Confine Aquifer) เป็ นชัน& หนิ ให้นํา& ภายใต้แรงดนั โดยชัน& หนิ อุ้มนํา& อยู่ระหว่างชัน& หนิ เนือ& ทบึ ทNไี ม่ยอมให้นํา& ซมึ ผ่าน ประกบอยู่ทงั& ด้านบนและด้านล่าง จดั เป็ นชัน& หนิ ทNอี ยู่ภายใต้ความกดดนั อันเนNืองมาจากนํา& หนัก ของหนิ ทNกี ดทบั และนํา& หนักของนํา& ในชัน& หนิ เดยี วกันทNอี ยู่ต่างระดบั กัน บางครัง& แรงดนั มาก เมNือเจาะจะมีนํา& ไหลพุ่งมาเหนือปากบ่อ เรียกว่าบ่อนํา& พุ (Flowing Well) และเนNืองจากนํา& บาดาลจากชัน& หนิ อุ้มนํา& ประเภทนีม& ักอยู่ในระดบั ลกึ สามารถนํามาใช้บริโภคได้ แต่อาจมีคุณสมบตั เิ ป็ นนํา& กระด้าง เนNืองจากมีปริมาณ แร่ ธาตุละลายปนอย่ ูมาก

4. ชนิดของหนิ ท.เี ป็ นชัน3 หนิ อุ้มนํา3 4.1 หนิ ตะกอน ชัน3 หนิ อุ้มนํา3 ท.วั โลกร้อยละ 90 เป็ นพวกตะกอนร่วน 4.2 หนิ กรวดมน มักมีทรายและเศษหนิ แทรกระหว่างช่องว่าง หนิ กรวด ขนาดใหญ่ จงึ อุ้มนํา3 ไม่ได้ 4.3 หนิ ทราย โดยท.วั ไปมีความพรุนและสภาพการซมึ นํา3 มีมาก 4.4 หนิ ดนิ ดาน มีรูพรุนในเนือ3 หนิ มาก แต่ยอมให้นํา3 ซมึ ผ่านได้น้อย จงึ ไม่ จดั เป็ นชัน3 หนิ อุ้มนํา3 ยกเว้นเนือ3 หนิ ดนิ ดานท.มี ีเนือ3 แขง็ และเปราะ 4.5 หนิ ปนู ถ้ามีนํา3 สะสมตวั อยู่สามารถขุดเจาะนํา3 มาใช้ได้ ดงั นัน3 นํา3 บาดาล จงึ เป็ นนํา3 ท.แี ทรกตวั อยู่ตามโพรงหนิ ปนู มากกว่า 4.6 หนิ แปร หนิ ชนวน และหนิ ชีสต์ มีการสะสมตวั ของนํา3 น้อย และจาก ปัญหาความแขง็ ของชัน3 หนิ จงึ ยากต่อการขุดเจาะนํา3 บาดาลมาก 4.7 หนิ อัคนี เนือ3 สมานแน่น จงึ ไม่มีการสะสมตวั ของนํา3 ในเนือ3 หนิ ยกเว้น ตามรอยแตกของหนิ โพรงอากาศท.เี กดิ ในขณะท.หี นิ มีการเยน็ ตวั ลง อาจมีนํา3 สะสม ตวั อยู่ได้

5. การเคล+ือนท+ขี องนํา3 ใต้ดนิ การเคล+ือนท+ขี องนํา3 ใต้ดนิ แบ่งออกเป็ น 2 แบบ ดงั นี3 5.1 การไหลตามแนวด+งิ ซ+งึ เป็ นการไหลซมึ ลงดนิ ตามแนวด+งิ อัตราการ ไหลจะเร็วหรือช้าขนึ3 อยู่กับโครงสร้างของชัน3 ดนิ และหนิ ว่ามีช่องว่างในเนือ3 หนิ และ ความสามารถในการยอมให้นํา3 ซมึ ผ่าน 5.2 การไหลตามแนวระดบั เป็ นการไหลตามแรงโน้มถ่วงของโลก เช่น การไหลจากระดบั สูงลงไปสู่ระดบั ท+ตี +าํ กว่า อัตราการไหลจะเร็วหรือช้าขนึ3 อยู่กับ ลักษณะภมู ปิ ระเทศ และเนือ3 หนิ เช่น หนิ เนือ3 ละเอียดมากอัตราการไหลของนํา3 จะ ไหลได้ช้ามาก แต่ถ้าไหลผ่านโพรง เช่น ถาํ3 ท+ตี ดิ ต่อกันเป็ นทางยาวนํา3 ใต้ดนิ จะไหล ได้เร็วพอๆ กับการไหลของนํา3 ผิวดนิ โดยสรุปอัตราการไหลจะเร็วหรือช้า ขนึ3 อยู่กับความพรุนของเนือ3 หนิ (Porosity) และความสามารถในการยอมให้นํา3 ซมึ ผ่านชัน3 หนิ (Permeability) นอกจากนี3 การยอมให้ไหลซมึ ผ่านจะเป็ นสัดส่วนกับความลึก เน+ืองจากมีแรง กดดนั สูง และความลาดชันของพนื3 ท+ดี ้วยเช่นกัน

การเดนิ ทางของนำ้ ใตด0 นิ ในการพิจารณาการเคลื่อนที่ของน้ำใต7ดิน นักธรณีวิทยาจำแนกพื้นที่บนผิวดิน ออกเปBน 2 ประเภท 1) พื้นที่รับน้ำ (recharge area) หมายถึง พื้นที่ซึ่งรับน้ำจากผิวดินหรือฝนที่ ตกลงมาและไหลซมึ เขา7 เติมในระบบของนำ้ ใต7ดิน ซง่ึ โดยสXวนใหญXจะเปนB ทีส่ งู 2) พื้นที่จXายน้ำ (discharge area) ซึ่งเปBนพื้นที่ลุXมต่ำ ที่น้ำใต7ดินจXายน้ำให7กับ ธารน้ำหรอื นำ้ ผิวดนิ อน่ื ๆ โดยเมื่อมีการเติมน้ำเข7าสูXระบบน้ำใต7ดินจากพื้นที่รับน้ำ น้ำจะซึมผXานชั้นหิน ตXาง ๆ และมีการไหลของน้ำใต7ดินเปBนชั้น ๆ โดยระยะเวลาที่น้ำใช7ในการไหลจากพื้นท่ี รับน้ำไปยังพื้นที่ซึ่งจXายน้ำจะขึ้นอยูXกับอัตราการไหลและระยะทางซึ่งอาจใช7เวลาเพียง ไมXกี่วนั หากเปนB ช้ันนำ้ ในระดับตน้ื หรือ อาจใช7เวลาหลายพนั ปสa ำหรบั ชั้นน้ำในระดับลึก หากเราใช7น้ำในชั้นต้นื ๆ จนบXอแห7ง รอซกั ฝนสองฝน น้ำกค็ งกลบั มาเตมิ เต็ม บอX แตหX ากน้ำใตด7 ินที่เราสบู มาใชน7 ้ันเปBนชั้นลกึ ๆ ก็คงต7องรอเปBนสิบปaหรืออาจจะช่ัว อายุของเรา กวาX ทบี่ อX น้ันจะกลับมามีนำ้ ดงั เดมิ

แบบจำลองแสดงการจำแนกชน้ั หนิ ตามศักยภาพในการเป<นชัน้ นำ้ บาดาล พื้นทีร่ บั และจาC ยน้ำ ตลอดจนระยะเวลาการไหลของน้ำในแตCละชัน้ นำ้

แหล่งนํา( บาดาล หมายถงึ บริเวณท8มี ีนํา( บาดาลสะสมตวั อยู่เป็ นปริมาณมาก โดยแหล่งนํา( บาดาลท8ดี คี วรจะเป็ นชัน( หนิ ท8มี ีโพรกตวั สูง และมีความฟ่ ามสูง ได้แก่ ชัน( กรวด ทรายท8มี ีการทบั ถมกันใหม่ ๆ ยังไม่กลายเป็ นหนิ หนิ ทรายท8มี ีความโพรกตวั และ ความฟ่ ามสูง หนิ ปนู ท8มี ีรอยร้าวและมีโพรงในหนิ เราเรียกว่า “หนิ นํา( ซมึ ” (Aquifer) สาํ หรับการนํานํา( บาดาลมาใช้มี 3 ลักษณะ ดงั นี( 1. บ่อนํา( บาดาล (Deep Wells) เป็ นบ่อท8มี ีระดบั ความลกึ มาก บ่อบาดาลมีปริมาณ การให้นํา( ตลอดเวลาเน8ืองจากนํา( ใต้ดนิ บริเวณรอบบ่อจะไหลเข้ามาแทนท8ตี ลอด 2. บ่อนํา( ตนื( (Shallow Wells) เป็ นบ่อท8ขี ุดขนึ( โดยไม่ลกึ มากนัก ระดบั ความลกึ แค่ ผิวดนิ ชัน( บนเท่านัน( การขุดบ่อนํา( ตนื( ควรมีระยะห่างจากส้วมซมึ ประมาณ 20 ม. 3. ทางนํา( ซับ (Inflitration Galleries) มีลักษณะเป็ นนํา( ใต้ดนิ ท8ไี หลซมึ ผ่านชัน( ดนิ ตามแนวด8งิ ไปสะสมตวั ในชัน( หนิ ในแนวราบจนมีปริมาณมากและไม่สามารถไหล ซมึ ผ่านไปได้อีกกจ็ ะไหลไปตามแนวเทของชัน( หนิ หรือลักษณะภมู ปิ ระเทศ จนถงึ จุดท8มี ีทางออก เช่น ตามลาดเขา หรือจุดตดั ระหว่างชัน( หนิ กับบริเวณผิวดนิ

การเกิดกรวยน้ำลด (cone of depression) โดยปกติ บ*อน้ำบาดาล (groundwater well) ในพื้นที่ต*าง ๆ จะมีประสิทธิภาพในการใหNน้ำแตกต*างกัน โดย ศักยภาพของบ*อจะขึ้นอยู*กับความพรุน ความสามารถในการซึมผ*านไดN ความหนาของ ชั้นหินอุNมน้ำ ตลอดจนอัตราการจ*ายและรับน้ำในแต*ละพื้นที่ โดยระดับน้ำในบ*อ เทยี บเคียงไดกN บั ระดบั น้ำใตดN นิ ในบรเิ วณแถบน้ัน แตห* ากมีการสบู น้ำออกจากบอ* เรว็ เกนิ ไปจะทำใหNระดบั น้ำใตดN ินน้ันยุบตวั ลง (drawdown) โดยรอบบ*อน้ำ เนื่องจากน้ำใตดN นิ ไหลเขาN มาเติมไม*ทัน มีลกั ษณะคลNายกับ กรวย เรยี กวา* กรวยนำ้ ลด (cone of depression) โดยเฉพาะอย*างย่งิ ชั้นหินใหNน้ำ แบบไรNแรงดัน (unconfined aquifer) ซ่งึ เปนh ชน้ั นำ้ ใตNดนิ ทไี่ ม*มแี รงดนั เม่อื สูบข้ึนมา ใชใN นอัตราทมี่ ากกว*าอตั ราการรบั นำ้ เปhนเวลานาน อาจจะทำใหรN ะดบั นำ้ ใตNดนิ ลดลงไป อย*างตอ* เนอ่ื ง ทำใหบN *อทเ่ี ดิมเคยเจาะไวNในระดบั ตนื้ น้ันแหNง หากตNองเจาะบ*อใหม*อาจจะ ตNองเจาะใหNลกึ ข้ึน



การรุกล้ำของน้ำเค็ม โดยธรรมชาติ น้ำเค็มมีความหนาแน6นมากกว6าน้ำจืด ทำให<ในบริเวณใต<พื้นที่รอยต6อระหว6างแผ6นดินกับทะเล น้ำจืดจะลอยอยู6เหนือน้ำเค็ม และเมื่อสูบน้ำขึ้นมาจากชั้นหินอุ<มน้ำเร็วเกินไป มวลน้ำเค็มจะยกตัวสูงขึ้นไปแทนที่น้ำ จืดสว6 นที่ถกู ดูดไป และปนเปอPO นไปกับน้ำใต<ดนิ ทเ่ี ราไปใช<

ความสัมพนั ธ*ระหวา. งน้ำผิวดนิ และนำ้ ใตด9 นิ ถ\"าลองสังเกตแม.น้ำแถวบ\"านดูเล.น ๆ จะพบว.า บางแม.น้ำมีน้ำเต็มอยู. ตลอดเวลา ในขณะที่ บางแม.น้ำกลับมีน้ำในช.วงบางฤดูกาล ซึ่งเรื่องนี้เปJนความสัมพันธM กันระหว.างน้ำผิวดินที่อยู.ในแม.น้ำและระดับน้ำใต\"ดินในบริเวณนั้น โดยจากความ แตกต.างของระดับน้ำใต\"ดินในแต.ละพื้นที่ ทำให\"มีการถ.ายเทมวลน้ำระหว.างธารน้ำบนผิว ดินและนำ้ ใตด\" ิน เกดิ เปนJ ธารน้ำทมี่ ลี ักษณะเฉพาะแตกต.างกนั 2 รปู แบบ 1) ธารนำ้ รบั น้ำ (effluent stream หรอื gaining stream) หมายถึง ธารน้ำ ท่มี รี ะดับท\"องนำ้ ต่ำกว.าระดบั น้ำใต\"ดนิ ทำใหช\" ้นั นำ้ ใตด\" ินสามารถซมึ ผ.านมาในร.องนำ้ ตลอดเวลา จงึ เปJนธารนำ้ ทีม่ ีน้ำไหลตลอดท้งั ปe เรยี กอีกอยา. งว.า ธารนำ้ ถาวร (permanent stream) 2) ธารนำ้ ให\"น้ำ (influent stream หรือ losing stream) คอื ธารนำ้ ที่มี ระดบั ทอ\" งนำ้ สงู กว.าระดับนำ้ ใตด\" นิ ทำใหน\" ำ้ ในรอ. งน้ำซมึ ผ.านลงไปยงั ช้นั น้ำใต\"ดิน ธารนำ้ จงึ มีน้ำเฉพาะชว. งเวลาอนั สนั้ หลังจากฝนตกเทา. น้นั เรียกอีกอย.างวา. ธารน้ำช่วั คราว (intermittent stream)

ซงึ่ ธารน้ำใด ๆ สามารถเปลยี่ นแปลงได9ในแต;ละช;วงเวลาหรอื ฤดกู าล เช;น ในฤดูฝน ปรมิ าณนำ้ มาก ระดับน้ำใตด9 นิ สงู กวา; ระดับทอ9 งนำ้ ธารนำ้ จึงเปLนชนิดรบั นำ้ ในขณะทีฤ่ ดูแลง9 ระดับน้ำใต9ดนิ ตำ่ ลง ธารน้ำจึงเปนL ชนดิ ใหน9 ้ำ เปLนต9น *** #บ;อหรอื สระนำ้ ทีเ่ ราขดุ ไวใ9 นสวนในไรก; เ็ ชน; กัน ***

นํา# พุร้อน (Spring) หมายถงึ นํา# ใต้ดนิ ท?ไี หลกลับขนึ# มายังพนื# ผิวดนิ ท?มี ีอุณหภมู สิ ูงกว่าร่างกาย มนุษย์ อาจไหลซมึ ขนึ# มาหรือพุ่งขนึ# ไปบนอากาศสูง ๆ นํา# พุมักจะพบตรงท?หี นิ นํา# ซมึ โผล่ออกมาหรือบริเวณระนาบรอยเล?ือน (Fault) หรือรอยคดโค้งของหนิ (Fold) เกดิ จากนํา# ท?ซี มึ ตามร่องหนิ สู่แหล่งนํา# ใต้ดนิ และไปสัมผัสกับบริเวณรอย แยกของเปลือกโลกท?มี ีพลังงานความร้อน ทาํ ให้มีอุณหภมู สิ ูงขนึ# จนนํา# บางส่วน กลายเป็ นไอ ทาํ ให้มีแรงดนั กลับขนึ# มาบนพนื# ผิวโลก

1. นํา& พุร้อน (Thermal Spring) เป็ นนํา& พุท@พี ุ่งขนึ& มาบนพนื& ดนิ มีระดบั อุณหภมู ิ สูง เกดิ จากการท@นี ํา& ใต้ดนิ ไหลไปสัมผัสกับหนิ เปลือกโลกท@มี ีอุณหภมู สิ ูง บางแห่ง ร้อนจดั จนมีควันพวยพุ่งออกมาด้วย เน@ืองจากปกตเิ ปลือกโลกท@มี ีอุณหภมู สิ ูงทกุ 1 องศาเซลเซียส ทกุ ระยะความลกึ 30 เมตร นํา& ท@ไี หลลงไปลกึ ๆ แล้วพุ่งสู่พนื& ดนิ อย่างรวดเร็วตามแรงดนั ทาํ ให้ไม่มีโอกาสเยน็ ตวั จงึ กลายเป็ นนํา& พุร้อน นํา& พุร้อน มักมีแร่ธาตุต่างๆ ปะปนอยู่มากมาย เช่น ซลิ กิ า แคลเซียมคาร์บอเนต และ กาํ มะถนั เป็ นต้น

2. นํา& พุร้อนกีเซอร์ (Geyser) หมายถงึ นํา& พุร้อนท@มี ีการพุ่งขนึ& มาอย่างแรงแล้ว หยุดสลับกันไป มักเกิดบริเวณภูเขาไฟ แนวรอยเล@ือนของเปลือกโลก เช่น นํา& พุ ร้ อนกีเซอร์ ท@ีบ้านโป่ งเดือด ป่ าแป๋ อําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ นํา& พุร้ อนกี เซอร์เกดิ จากนํา& ผิวดนิ ท@ไี หลลงไปตามปล่องหรือรอยร้าวของเปลือกโลก เม@ือนํา& ใต้ ดินไหลไปสัมผัสกับหินร้ อนจัดภายใต้ความกดดันสูง นํา& ตอนล่างท@ีอยู่ใกล้กับ แหล่งความร้อนจะเดือดกลายเป็ นไอก่อนดันให้นํา& ตอนบนเอ่อล้นมาท@ผี ิวดนิ เป็ น การระบายนํา& บางส่วนออกมา ความกดภายในรอยแยกจะลดลงแบบเฉียบพลัน ทําให้นํา& ท@ีเหลืออยู่เดือดทันที กลายเป็ นไอและพุ่งออกมาได้สูง เม@ือนํา& ในปล่อง แห้ง พลังของมันจะหมดลง นํา& จะไม่พุ่งขึน& มาอีก จนรอให้นํา& ไหลเข้ามาสะสมใหม่ แล้วเกดิ วนเวียนเช่นนีเ& ร@ือยไป เช่น นํา& พุกีเซอร์ ท@วี นอุทยานเยลโลสโตน ก่อนท@จี ะ มีนํา& พุ่งออกมาแต่ละครัง& จะมีนํา& พุ่งขนึ& อ่อน ๆ เพยี ง 1-3 เมตร อยู่ 2-3 วนิ าที หลังจากนัน& จะมีนํา& พุร้อนท@เี ดอื ดจนเป็ นไอพุ่งรุนแรงสูงถงึ 35-50 เมตร เป็ นเวลา 4 นาที จงึ หมดพลังลง ประมาณอีก 1 ช@ัวโมงถดั มาจงึ เกดิ อีกครัง& หน@ึงทกุ ๆ รอบ 1 ช@ัวโมง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook