1
ทฤษฎีการเรียนรู้และการสอน การเรียนรู้เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ พยายามอธิบายวา่ การเรียนรเู้ กดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งไรและให้หลกั การเก่ียวกับ การเรียนรู้ที่ได้รับการพิสจู น์และยอมรบั วา่ เช่ือถอื ได้ ซึ่งสามารถ นามาประยุกต์ใชใ้ นการออกแบบการเรียนการสอนใหส้ อดคลอ้ งกับ เงอ่ื นไขหรอื สภาพการณ์ ในการเรียนรูเ้ พ่อื พัฒนาผเู้ รยี นใหเ้ กิด ผลการเรียนร้ปู ระเภทต่าง ๆ ท่ตี อ้ งการไดท้ ฤษฎกี ารเรยี นรแู้ ตล่ ะ ทฤษฎี 2
ความหมายของทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ขอ้ ความร้ทู ่ี พรรณนา/อธิบาย/ทานายปรากฏการณต์ ่าง ๆ เกย่ี วกบั การเรยี นรู้ซง่ึ ไดร้ ับการพิสจู นท์ ดสอบตามกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรห์ รอื กระบวนการสืบสอบแสวงหาความรูท้ เี่ หมาะกับ ศาสตร์แตล่ ะสาขาซึ่งไดร้ บั การยอมรบั วา่ เช่อื ถือไดแ้ ละสามารถนาไป นริ นยั เปน็ หลกั หรือกฎการเรียนร้ยู อ่ ย ๆ หรือนาไปใช้เป็นหลักในการ จัดกระบวนการเรียนรู้ใหแ้ กผ่ ้เู รยี นไดท้ ฤษฎโี ดยทว่ั ไปมกั ประกอบด้วยหลกั การย่อย ๆ หลายหลักการ 3
ทฤษฎีการเรยี นรู้มบี ทบาทต่อการ พฒั นาการเรียนการสอนดงั น้ี 1) เป็นกรอบแนวคดิ ในการดาเนนิ การวจิ ยั 2) ชว่ ยในการจดั การกบั ความรู้ 3) ชว่ ยให้เข้าใจพฤตกิ รรมของผ้เู รยี นและปรับพฤติกรรมของนักเรียนใหด้ ขี น้ึ 4) ชว่ ยในการจัดการกบั ประสบการณ์ทคี่ วรมีมาก่อนของผูเ้ รยี นในการเรยี นรู้ เร่ืองใหม่ 5) ชว่ ยในการวางแบบแผนในการทางาน 4
พฒั นาการของทฤษฎีการเรียนรู้ หากมองยอ้ นไปในประวตั ิศาสตร์เราจะเห็นวา่ แหล่งทม่ี าของความรู้ทม่ี นุษย์ไดร้ บั นนั้ มอี ยู่ หลายแหล่งด้วยกันในยคุ แรกนิทานพน้ื บ้านและความเชื่อต่าง ๆ เปน็ ทม่ี าของความรู้นทิ าน พ้ืนบา้ นทเ่ี ลา่ สืบกันในหมู่ชนต่าง ๆ นนั้ จะแฝงไว้ด้วยวัฒนธรรม ประเพณีสภาพการดาเนนิ ชีวติ ตา่ ง ๆ ของชุมชน สภุ าษิตและคาพังเพยทีส่ รปุ จากประสบการณท์ ีเ่ กิดข้นึ นน้ั ใหแ้ นวคดิ และหลกั การในการดาเนินชวี ติ 5
ซกิ มันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) แบ่งจติ ออกเป็น 3 ระดบั ดังนี้ 1. จติ สานึกหรือจิตรู้สานึก (Conscious mind) หมายถงึ ภาวะจติ ทีร่ ูต้ วั อยู่ ไดแ้ ก่ การแสดพฤตกิ รรม เพื่อให้ สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง 2. จติ ก่ึงสานกึ (Subconscious mind) หมายถงึ ภาวะจิตทีร่ ะลึกถงึ ได้ 3. จติ ไรส้ านึกหรอื จิตใตส้ านกึ (Unconscious mind) หมายถงึ ภาวะจิตที่ไมอ่ ยใู่ นภาวะทรี่ ตู้ วั ระลกึ ถงึ ไมไ่ ด้ 6
นอกจากน้ี ฟรอยด์ ยังได้ศกึ ษาถึงโครงสรา้ งทางจติ พบวา่ โครงสร้างทางจติ 1. อดิ (Id) 2. อีโก้ (Ego) 3. ซปุ เปอร์อีโก้ (Superego) 7
หมายถึงตณั หาหรือความต้องการพ้นื ฐานของมนษุ ย์เปน็ ส่งิ ทีย่ งั ไม่ได้ขดั เกลา ซง่ึ ทาให้ มนุษยท์ าทุก อยา่ งเพ่ือความ พงึ พอใจของตนเองหรอื ทาตามหลักของความพอใจ เปรยี บเหมือนสนั ดานดิบของ มนษุ ย์ ซึง่ แบง่ ออกเปน็ สญั ชาตญิ าณ แหง่ การมีชวี ิต เชน่ ความต้องการอาหาร ความตอ้ งการทางเพศ ความต้องการหลีกหนจี ากอนั ตราย กบั สัญชาติญาณแห่ง ความตาย เชน่ ความกา้ วรา้ ว หรือ การทาอันตรายต่อตนเองและผอู้ น่ื เปน็ ตน้ บุคคล 8
จะแสดงพฤติกรรมตามความพอใจ ของเขาเป็นใหญ่ ไมค่ านงึ ถึงคา่ นิยมของสังคม และ ความพอใจของ บคุ คลอ่นื จงึ มกั เปน็ พฤติกรรมทีไ่ มเ่ ปน็ ไปตาม ครรลองของมาตรฐานในสงั คม บุคคลทม่ี บี คุ ลกิ ภาพ เชน่ นี้ มกั ไดร้ ับการประณามว่ามบี ุคลิกภาพไมด่ ี หรอื ไม่เหมาะสม 9
หมายถึง ส่วนท่คี วบคุมพฤติกรรมทเ่ี กดิ จากความตอ้ งการของ Id โดยอาศัยกฎเกณฑ์ ทางสงั คม และหลกั แห่งความจรงิ มาชว่ ยใน การตดั สินใจ ไม่ใช่แสดงออกตามความ พอใจของตนแต่เพียงอยา่ ง เดยี ว แตต่ ้องคิดแสดงออกอยา่ งมีเหตุผลด้วยนั่นคือบุคคลจะแสดง พฤติกรรม โดยมีเหตแุ ละผล ที่เหมาะสมกบั กาลเทศะในสังคม จงึ เป็นบคุ ลิกภาพท่ีได้รับการยอมรบั มากในสงั คม ในคนปรกตทิ ่ี สามารถปรบั ตัวอยไู่ ด้ในสังคมอย่างมีความสขุ 10
ซปุ เปอรอ์ โี ก้ (Superego) หมายถงึ มโนธรรมหรอื จติ สว่ นทไ่ี ดร้ บั การพฒั นาจากประสบการณ์ การอบรมส่งั สอน โดยอาศยั หลักของศลี ธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียม ประเพณี และคา่ นยิ มต่าง ๆ ใน สังคมน้ัน Superego จะเป็นตัวบงั คับ และควบคมุ ความคิดให้แสดงออกในลักษณะที่เปน็ สมาชิกทด่ี ีของสังคม โดยยดึ หลกั ค่านิยมของสงั คม ท่ีตัดสินว่าสง่ิ ใดเปน็ ส่ิงทดี่ ใี นสังคมกลา่ วคอื บคุ คล จะแสดงพฤติกรรมตาม ขอบเขตที่สงั คมวางไว้ 11
แตบ่ างครง้ั อาจไม่เหมาะ สม เช่น เม่อื ถกู ยงุ กัดเตม็ แขน - ขา กไ็ มย่ อมตบยงุ เพราะกลวั บาป หรือสงสารคนขอทานให้เงนิ เขาไปจนหมด ในขณะท่ี ตนเองหิวขา้ วไมม่ ีเงินจะ ซอื้ อาหารกนิ กย็ อมทนหิว เปน็ ตน้ 12
ทฤษฎลี าดบั ข้ันความต้องการ มาสโล (Maslow’s Hierarchical Theory of Motivation) เชอ่ื ว่าพฤติกรรมของมนุษยเ์ ป็นจานวนมากสามารถอธิบายโดยใช้แนวโน้มของบคุ คล ในการคน้ หาเป้าหมายท่จี ะทาให้ชีวติ ของเขาได้รับความต้องการ ความปรารถนา และไดร้ ับสิง่ ที่มคี วามหมายต่อตนเอง โดยเขาเชือ่ ว่ามนุษย์ เปน็ “สตั วท์ ม่ี ีความตอ้ งการ” และเป็นการยากทมี่ นุษย์ จะไปถึงข้ันของความพงึ พอใจอย่างสมบูรณ์ 13
เมอื่ บุคคลปรารถนาท่จี ะได้รับความพึงพอใจและเมือ่ บุคคลไดร้ ับความพึง พอใจในสิง่ หน่ึงแลว้ ก็จะยงั คงเรยี กร้องความพึงพอใจสิง่ อืน่ ๆ ตอ่ ไป ซึ่งถือเป็น คณุ ลกั ษณะของมนษุ ย์ ซึ่งเป็นผทู้ ่มี ีความต้องการจะได้รับสง่ิ ต่างๆ อยูเ่ สมอ 14
Maslow กลา่ วว่าความปรารถนาของมนษุ ยน์ ั้นตดิ ตวั มาแตก่ าเนิดและ ความปรารถนาเหลา่ นจี้ ะเรยี งลาดับขนั้ ของความปรารถนา ต้ังแตข่ น้ั แรก ไปสู่ความปรารถนาขน้ั สงู ขึ้นไปเปน็ ลาดับ 1. ความต้องการทางดา้ นรา่ งกาย ( Physiological needs ) 2. ความตอ้ งการความปลอดภัย ( Safety needs ) 3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ( Belongingness and love needs ) 4. ความต้องการไดร้ ับความนบั ถือยกยอ่ ง ( Esteem needs ) 5. ความตอ้ งการทจี่ ะเข้าใจตนเองอย่างแทจ้ ริง ( Self-actualization needs ) 15
ความสาเร็จส่วนตวั ความพึงพอใจ คุณคา่ ของชีวิต เกยี รติยศ ชือ่ เสยี ง ความภาคภูมใิ จ ความเคารพนบั ถือ ความตอ้ งการทางสงั คม การยอมรับ การยอมรับ ความรูส้ กึ ท่ีดี ความรกั ความตอ้ งการด้านความปลอดภยั ความมั่นคง ความปลอดภัย ความม่นั คง ความเรยี บรอ้ ย การเงิน สขุ ภาพ ปจั จยั 4 อาหาร เครอื่ งนุ่งหม่ ยารกั ษาโรค ทอ่ี ยอู่ าศัย ความต้องการดา้ นกายภาพ 16
ทฤษฎกี ารเรียนร้แู ละการประยกุ ตส์ ู่การสอน ทฤษฎกี ารเรียนร้สู ร้างขน้ึ จากพน้ื ฐานความเช่อื เกย่ี วกบั ธรรมชาติของการเรียนรู้ เชน่ ทฤษฎี ในกลุ่มพฤตกิ รรมนยิ มซึ่งนยิ ามการเรียนรวู้ ่าเป็นการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมก็จะเน้น องคป์ ระกอบทีม่ ตี ่อการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม ส่วนทฤษฎกี ลุ่มพุทธนิ ยิ มท่นี ิยามการเรียนรวู้ ่า เปน็ กระบวนการคดิ หรือการพัฒนาทางสติปัญญาก็จะเนน้ ที่กระบวนการคิดอย่างมีคณุ ภาพ 17
ทฤษฎกี ารเช่อื มโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s connectionism) เปน็ ผคู้ น้ พบกฎการเรยี นรู้จากการเชอ่ื มโยงระหว่างสิง่ เรา้ และ การตอบสนองโดยการกระทาอยา่ งมเี ป้าหมาย กฎแหง่ ผล พฤตกิ รรมการตอบสนองต่อส่งิ เร้าใดท่ไี ดร้ ับผลที่ทาให้ผ้เู รียน พงึ พอใจ กฎแห่งความพรอ้ ม การเรยี นรจู้ ะเกิดขน้ึ ไดด้ ถี ้าผูเ้ รียนอยใู่ นภาวะท่ีมีความพร้อมท้งั รา่ งกายและ จติ ใจการบังคับหรอื ฝนื ใจจะทาใหห้ งุดหงดิ ไมเ่ กดิ การเรียนรู้ กฎแห่งการฝึกหัด การเรียนรู้จะคงทน หรอื ติดทนนานถ้าได้รบั การฝึกหัดหรอื กระทาซ้าบ่อย ๆ 18
การประยุกตส์ ่กู ารสอน 1. การกาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนรู้เปน็ พฤติกรรมทีช่ ดั เจน 2. กอ่ นเรยี นควรสารวจว่าผ้เู รียนมคี วามพรอ้ มด้านรา่ งกาย จติ ใจและมคี วามรพู้ ืน้ ฐาน เดิมทีพ่ ร้อมในการเรยี นรหู้ รือไม่ 3. ควรจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ทีใ่ หผ้ ู้เรยี นเรียนรผู้ า่ นการลงมอื ปฏิบตั ิ ซ่ึงเปิดโอกาสให้ ผู้เรยี นไดล้ องถูกลองผดิ 4. ควรศกึ ษาวา่ อะไรคือรางวลั หรือผลท่ผี เู้ รียนพงึ พอใจ 5. ควรให้ผูเ้ รียนไดฝ้ ึกฝนส่ิงท่ีเรียนรแู้ ลว้ อย่างสม่าเสมอเพื่อใหเ้ กดิ ทักษะในส่งิ นั้น 19
ทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไขแบบปฏิบตั ิการของสกินเนอร์ (Skinner) เป็นผู้ท่ีให้นิยามการเรียนรู้ว่า คือการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมที่เป็นผลอันเกิดจาก การตอบสนองต่อสิ่งเร้า ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบปฏิบัติการของสกินเนอร์ เป็น ทฤษฎีการเรียนรู้ท่ีอธิบายการเรียนรู้ว่าเกิดจากการวางเง่ือนไขของสิ่งเร้าซึ่งผู้เรียน ตอ้ งลงมือกระทาหรอื ปฏิบัตเิ พอ่ื หาทางแก้ปัญหาจงึ จะไดร้ บั ผลท่พี ึงพอใจ 20
การเสรมิ แรงของสกินเนอร์แบง่ ได้ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) การเสรมิ แรงแบบปฐมภูมิ (primary reinforcement) คือ ส่งิ เรา้ ที่สามารถทาให้ ความถข่ี องการแสดงพฤติกรรมเพ่มิ ขนึ้ โดยไม่ตอ้ งอาศัยการฝกึ ฝน เชน่ อาหาร ทอี่ ยู่ อาศยั เปน็ ตน้ 21
2) การเสรมิ แรงแบบวางเงื่อนไขหรือการเสริมแรงทตุ ิยภมู ิ (conditioned or secondary reinforcement) คอื สิ่งเรา้ ทที่ าใหพ้ ฤตกิ รรมเข้มแข็งข้ึน การเสริมแรงแบบ วางเงื่อนไขแบง่ ได้ ดงั น้ี (1) การเสริมแรงทางบวก (positive (2) การเสริมแรงทางลบ (negative reinforcement reinforcement) 22
การเสรมิ แรงทางบวก คือ การใหส้ ง่ิ เรา้ ที่กอ่ ใหเ้ กดิ ผลทางบวกแกพ่ ฤตกิ รรม ทาให้ ความถีข่ องพฤตกิ รรมเพม่ิ ข้ึนหรือมกี ารผลิตซ้าของพฤตกิ รรม เช่น การท่ีผเู้ รยี นส่งงานครบตามกาหนดเม่อื ได้รบั คาชมเชยจากผูส้ อน ทาให้ผูเ้ รียนส่งงานครบตามกาหนดอกี 23
การเสรมิ แรงทางลบ คอื การลดหรอื การถอนสง่ิ เรา้ ท่กี ่อใหเ้ กิดผลทไี่ มพ่ งึ พอใจ ทาให้เกิดพฤติกรรมท่พี ึง ประสงคเ์ พิม่ ขึน้ เชน่ เสยี งดงั และหอ้ งเรยี นที่ร้อนอบอ้าว เป็นส่ิงเรา้ ทท่ี าให้นักเรียน หงดุ หงิด ไมส่ นใจเรียน เมอ่ื ติดเครือ่ งปรบั อากาศทาใหน้ ักเรียนมีความตั้งใจเรียนมากขึ้น หรือ นกั เรยี นรีบออกจากบา้ นแต่เช้าเพ่อื หลกี เลย่ี งรถติดทาใหม้ าถึงโรงเรียนทันเวลา 24
การประยุกตส์ ู่การสอน 1) ควรวิเคราะห์การเรียนรู้ออกเป็นพฤติกรรมย่อย ๆ ท่ีเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ตามลาดับจากพื้นฐานไปสู่ข้ันที่ซับซ้อนข้ึน โดยนาเสนอสิ่งเร้าการเรียนรู้ไป ตามลาดบั ขนั้ และจัดใหม้ กี ารเสริมแรงหรอื รางวลั ที่ผเู้ รยี นพอใจ 25
2) การเรียนท่ีได้ผลดีคือ การเรียนเป็นรายบุคคล ซ่ึงผู้เรียนเป็นผู้กระทาด้วย ตนเองและปรับพฤติกรรมไปตามผลการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึนโดยครูใช้รางวัลหรือการ เสริมแรง 26
3) ใช้การเสรมิ แรงในการปรบั พฤติกรรมของผ้เู รยี นแทนการลงโทษ โดยให้รางวลั ท่ี ผ้เู รียนพึงพอใจเป็นแรงเสริมสาหรับพฤติกรรมท่ีต้องการใหเ้ กิดขน้ึ หรือใหร้ างวัลหรอื การเสรมิ แรงสาหรบั พฤติกรรมทตรงขา้ มกับพฤตกิ รรมทไ่ี มต่ ้องการให้กระทา 27
นักจิตวิทยาเกสตัลต์ได้อธิบายการเรียนรู้ว่าเกิดจากการรับรู้และการหย่ังเห็น และสร้างกฎการจัด ระเบยี บการรบั รเู้ พื่ออธิบายการรบั รขู้ องมนษุ ยด์ ังน้ี 1. กฎแห่งความสัมพันธ์ (related laws) เป็นกฎท่ีอธิบายการรับรู้ของมนุษย์ท่ีมีต่อ องค์ประกอบย่อยท่เี ปน็ สมาชกิ ของสว่ นรวมหรอื ส่วนทั้งหมด โดยต้ังกฎการรบั รู้ 4 กฎ ไดแ้ ก่ 28
1.กฎของความใกล้เคยี ง ชว้ี า่ องคป์ ระกอบที่ใกลเ้ คียงกนั ของส่ิงใดสง่ิ หนึ่ง มแี นวโน้มท่จี ะรับรู้เปน็ กลุ่มเดยี วกนั 2) กฎของความเหมอื น อธบิ ายวา่ สิ่งทมี่ ีลกั ษณะคลา้ ยกัน เชน่ สีหรือ รปู รา่ งทคี่ ลา้ ยกันมแี นวโนม้ ที่จะถกู จัดเขา้ กล่มุ เดยี วกนั 3) กฎแห่งความสมบรู ณ์ สมองมีแนวโนม้ ทีจ่ ะรบั รู้ภาพของส่งิ ทไ่ี มส่ มบูรณ์ ใหเ้ ป็นรูปท่สี มบูรณ์โดยอาศยั ประสบการณ์เดิม 4) กฎแหง่ ความชัดเจน บุคคลรบั รสู้ ่ิงเร้าเปน็ ภาพรวมมากกว่าการมอง สว่ นย่อยทแ่ี ฝงอยู่ในภาพรวมน้ัน 29
2. การหยั่งเหน็ (insight) หมายถงึ การเกดิ ความคดิ แวบขนึ้ มาอยา่ งฉับพลันทนั ทีในขณะท่ีประสบปญั หา 30
การประยกุ ตส์ ูก่ ารสอน 1) ในการสอนควรเสนอภาพรวมให้ผู้เรยี นเห็นกอ่ นเสนอภาพย่อย 2) การจดั ระเบยี บสิง่ เรา้ ที่ตอ้ งการให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรูไ้ ด้ดี ควรจัดสง่ิ ที่เหมือนกันไวเ้ ปน็ กลมุ่ เดียวกนั 3) ในการสอน ครูไมจ่ าเปน็ ตอ้ งสอนเนอื้ หาท้งั หมดแต่ แต่สามารถเสนอแตเ่ พียงบางสว่ นได้ 4) การเสนอบทเรียนหรอื เนื้อหาควรจดั ใหม้ คี วามต่อเนอื่ งกัน 5) ควรสง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนมีประสบการณท์ ่หี ลากหลาย กวา้ งขวาง 6) ในการแก้ปัญหา ควรให้ผู้เรียนไดฝ้ กึ มองปญั หาทุกแง่มมุ ใช้ความคดิ อยา่ งมีเหตุผล โดยไม่มีอคติ 31
ทฤษฎพี ฒั นาการทางสติปญั ญา (cognitive development theory) ของเพยี เจต์ พฒั นาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ อธบิ ายพัฒนาการทางสติปญั ญาของ บคุ คลว่า การพัฒนาการคดิ เชงิ ตรรกะหรือการคิดเชิงเหตุผลตั้งแตเ่ ด็กจนถึงผู้ใหญ่ 32
1) ขัน้ รับรู้ทางประสาทสมั ผสั (sensorimotor period) เริ่มตั้งแตแ่ รกเกิด-2 ปีเป็น ชว่ งทท่ี ารกเรยี นรู้โลกผา่ นการกระทาและรับรู้ข้อมูลจากการสมั ผัส 33
2) ข้ันกอ่ นปฏบิ ัตกิ าร (preoperational period) อายุ 2-7 ปี เปน็ ขน้ั ที่เดก็ เร่มิ ก้าว จากการกระทาสู่ การคดิ หรือการกระทาจากภายในกอ่ นขนั้ นโ้ี ครงสร้างความคิดของเด็ก (schema) ยังผกู อยทู่ กี่ าร กระทาหมายถึงเดก็ ยงั ไมส่ ามารถระลกึ ถงึ อดีต 34
3) ข้นั ปฏิบัติการอยา่ งเปน็ รูปธรรม (concrete operational period) อายุ 7-11 ปเี ด็ก ในวัยนีส้ ามารถคดิ อย่างมเี หตผุ ล ลักษณะสาคัญของการคดิ ในขั้น นก้ี ็คอื การรับร้คู วามคงท่ีของโลก กายภาพอย่างเป็นเหตุเปน็ ผลจนถึงวยั ผใู้ หญพ่ ัฒนาการทางสตปิ ญั ญาของเดก็ ไม่ไดม้ าถงึ ในขั้นนีท้ ุกคน 35
4) ข้นั การคิดอยา่ งเปน็ เหตผุ ล (formal operational period) อายุ 12 ปี ขึ้นไป จนถงึ วยั ผูใ้ หญ่ พฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของเดก็ ไม่ไดม้ าถงึ ในข้ันนี้ทุกคน 36
การประยุกต์สกู่ ารสอน 1) การจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ให้กบั ผู้เรียน 2) เดก็ แตล่ ะคนมีพฒั นาการที่แตกตา่ งกนั แม้จะอยู่ในวัยเดียวกนั 3) การสอนส่ิงต่าง ๆให้กับเด็ก ควรใช้สื่อและอุปกรณ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อช่วยให้เด็กมี ความเขา้ ใจไดช้ ัดเจนขน้ึ ดกี วา่ การบอก เลา่ บรรยายด้วยคาพูดเพยี งอยา่ งเดยี ว 37
ทฤษฎพี ัฒนาการของไวก็อทสกี พัฒนาการเรยี นร้ขู องมนษุ ย์วา่ เกิด จากประสบการณ์ 3 แบบ ไดแ้ ก่ แบบแรกเปน็ ประสบการณจ์ ากบรรพบรุ ษุ ซ่ึงรวมประสบการณ์ทาง ชวี ภาพ และ ประสบการณท์ ี่สง่ั สมมาของคนรุน่ กอ่ น ทาใหก้ ารตอบสนองของมนุษย์กว้างขวางกวา่ สตั ว์ 38
แบบทส่ี อง ประสบการณ์ทางสังคม ซง่ึ ไดจ้ ากการมปี ฏสิ มั พันธ์กับผอู้ ่นื 39
แบบที่ 3 เปน็ ประสบการณท์ ่ี มนุษย์ปรับใหเ้ ข้ากบั สิง่ แวดลอ้ ม ซ่งึ แตกต่างจากสัตวต์ รงทสี่ ัตว์มีการ ปรบั ตวั แบบเชงิ รับ คือการใช้ธรรมชาติ ในขณะท่มี นษุ ยป์ รับตัวเชิง คอื เปลยี่ นแปลงธรรมชาตใิ ห้ ตอบสนองความต้องการของตนเอง ไวก็อทสกเี หน็ วา่ การพฒั นาการคดิ ของมนุษย์ เช่น การคดิ เชิง ตรรกะ การเขา้ ใจ และการควบคุมตนเองได้ มีหลกั การพนื้ ฐาน 40
การประยกุ ตส์ ู่การสอน 1) การจัดกลุ่มผูเ้ รียน แบบอุดมคติ ครู 1 คน ทางานกบั นักเรียน 1-2 คน และนกั เรียนในแต่ละ กลมุ่ ควรมีอย่างมากไมเ่ กนิ 5-6 คน เนือ่ งจากผเู้ รียนแตล่ ะคนมีพัฒนาการทางสตปิ ัญญาอยู่ ในระดับไมเ่ ทา่ กัน ครูจาเปน็ ต้องรวู้ ่านักเรียนของตนคนใดมีพฒั นาการทางความคดิ เปน็ อยา่ งไร 41
2) หลกั การเรยี นรู้ท่ีดี ต้องลา้ หน้าพัฒนาการทีผ่ เู้ รยี นเป็นอยู่ ดังนั้นควรจดั การเรยี นการสอน ท่ที า้ ทายการเรียนรู้ของผ้เู รียน แต่อยใู่ นวิสัยที่ผู้เรยี นจะทาได้หากไดร้ ับการชแ้ี นะชว่ ยเหลือ 42
3) การจัดการเรยี นการสอนใหอ้ ยใู่ นชว่ งพฒั นาการที่นกั เรยี นจะพฒั นาไปถงึ น้นั ควรเป็น กจิ กรรมรว่ มมือกันระหว่างครูและนกั เรยี น คอ่ ยๆเรยี นรเู้ พ่มิ ข้ึนจนในทสี่ ดุ นักเรียน สามารถทางานได้เอง 43
4) การจัดหลกั สูตรและการจัดการเรยี นการสอน ควรพิจารณาจากมมุ มองของ ผู้เรยี น ดงั น้นั ในการมอบหมายงานให้แกน่ กั เรยี นจงึ ควรรบั ฟงั ความคิดเห็นจากฝ่าย นักเรยี น 44
ทฤษฎกี ารประมวลผลสารสนเทศ (information processing theory) เป็นกระบวนการทางานของสมองในการแปลงสารสนเทศทีไ่ ด้รับรผู้ า่ นการดาเนนิ การต่าง ๆ เป็นลาดบั เพื่อเป็นความคดิ เกบ็ สะสมหรือจดจาไว้ในความจาระยะยาว โดยเปรยี บเทียบ กระบวนการนี้คล้ายกับการประมวลผลขอ้ มลู ของเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ กระบวนการและการจดั โครงสร้างของขอ้ มูลท่ีใชใ้ นการเรยี นรู้ เชน่ เรื่องการควบคุม การคิด เพ่ือช่วยให้ผเู้ รียนเขา้ ใจการจดั การกับการคดิ ของตนเองได้ ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้ ประสบความสาเรจ็ 45
การประยุกต์สู่การสอน 1) การรับรู้ข้อมูลเกดิ จากความสนใจหรือใสใ่ จของผเู้ รียน จึงควรจัดสิ่งเรา้ ใหต้ รงกบั ความ สนใจของผเู้ รียนและสรา้ งแรงจงู ใจแก่ผู้เรียน 46
2) ก่อนเรยี นเรอื่ งใหม่ ครคู วรทบทวนความรูแ้ ละประสบการณ์เดมิ ท่มี ีความสมั พนั ธก์ บั ความรู้ใหมท่ ี่ต้องการเรียนรเู้ พ่ือช่วยให้การรบั ร้ขู ้อมูลใหม่มคี วามหมายมากข้นึ และสามารถ เชือ่ มโยงกับสงิ่ ทร่ี มู้ า กอ่ นทาใหก้ ารเรียนรู้ส่งิ ใหมง่ า่ ยข้ึน 47
3) ครูควรหาวิธใี ห้ผเู้ รียนจดจาข้อมลู ใหไ้ ด้นาน ๆ ดว้ ยวิธกี ารหลากหลาย เชน่ การจา อยา่ งเปน็ ระบบ การทาให้ข้อมลู นัน้ มีความหมาย การเชอื่ มโยงขอ้ มูลใหมก่ บั ส่งิ ท่ผี ูเ้ รียนมี ความคุน้ เคยการ 48
4) การจัดโครงสร้างเน้อื หาทเี่ รยี นใหเ้ ป็นระเบียบและนาเสนอเป็นผงั มโนทศั น์ท่แี สดง ภาพรวมของส่ิงที่จะเรียนล่วงหนา้ ใหแ้ กผ่ เู้ รียน 49
ทฤษฎกี ารเรียนรู้ พทุ ธินิยมเชิงสงั คม (social-cognitive learning theory) แบนดรู า มนุษยเ์ รียนรู้การแสดงพฤตกิ รรมใหมผ่ ่านการสงั เกตพฤติกรรมของผู้อน่ื หรอื ตัวแบบ (model) และผลท่ีตามมาของพฤติกรรม ซึ่งเป็นสารสนเทศที่นามาใช้ในการพิจารณาว่า พฤตกิ รรมอันใดไดร้ บั การยอมรบั ให้ปฏบิ ัตบิ ุคคลก็จะใช้เปน็ แนวทางสาหรับการแสดง พฤติกรรมใหม่ของตนตอ่ ไป 50
Search