Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Module 4 - ปรับ(1)

Module 4 - ปรับ(1)

Published by Siparnat Kae, 2022-08-08 05:12:38

Description: Module 4 - ปรับ(1)

Search

Read the Text Version

1 ผอู้ อกแบบหลกั สตู รฝกึ อบรม : ศพิ าณฏั ฐ์ ใจสตั ย์ พชั รดิ า ลำนกั เนตร Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

1 เอกสารประกอบ การอบรมขยายผลด้วยหลักสตู ร FUNDAMENTAL ACTIVE LEARNING Module 4 การวดั ประเมินผล สสู่ มรรถนะผ้เู รยี น กลุม่ นเิ ทศ ติดตามและประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3 สำนกั งานคณะกMรoรมdกuาleรก4ารกศากึรวษดั าปขระั้นเมพนิ ผื้นลฐสาสู่ นมรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

ก คำนำ สำนักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาเชยี งใหม่ เขต 3 ตระหนักถึงการจัดการศึกษาตามนโยบาย ของหนว่ ยงานต้นสังกัด และเล็งเห็นความสำคญั ของการพฒั นาสมรรถนะของผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ มคี วาม พรอ้ มทั้งกาย ใจ สติปัญญา มพี ฒั นาการทด่ี ีรอบดา้ น และมีสขุ ภาวะท่ีดี มจี ิตสาธารณะ สามารถรับผิดชอบต่อ สังคมและผู้อื่น เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ รวมถึงมีหลักคิดที่ถูกต้อง จึงได้จัดการอบรมพัฒนาศักยภาพการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อให้ครูผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจ และเสริมสร้างประสิทธิภาพใน การพัฒนากระบวนการจดั การเรียนรู้เชงิ รกุ (Active Learning) สกู่ ารปฏิบัตไิ ดอ้ ยา่ งเป็นรปู ธรรม เอกสารประกอบการขยายผลด้วยหลักสูตร Fundamental Active Learning Module 4 การวัดผลส่สู มรรถนะผูเ้ รียน จดั ทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน และการ ประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ประกอบการอบรมพฒั นาบุคลากรครูในสงั กัด มีเน้ือของการอบรมพัฒนา 3 หน่วยการเรยี นรู้ ประกอบด้วย หนว่ ยที่ 1 ทำไมครจู งึ วัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของผู้เรยี น หน่วยที่ 2 ครจู ะประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียนอะไรบา้ ง หน่วยท่ี 3 ออกแบบการวัดและประเมินสมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียนสูช่ นั้ เรยี นไดอ้ ยา่ งไร กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา มีความคาดหวังว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์ สำหรบั ครผู สู้ อน และผทู้ ส่ี นใจ ใหส้ ามารถนำไปพฒั นากระบวนการวัดและประเมินผลการจัดการศึกษาได้อย่าง มีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีความรู้ มีทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สามารถ ดำรงชีวติ ไดอ้ ย่างมีความสุข ตอ่ ไป กลมุ่ นเิ ทศ ตดิ ตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาเชียงใหม่ เขต 3 Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

ข สารบญั หน้า คำนำ ก สารบัญ ข หลกั การและเหตุผล 1 วดั ถปุ ระสงค์ของการอบรมพัฒนา 2 กระบวนการพัฒนา 2 แผนการฝกึ อบรม 3 กำหนดของการอบรมพฒั นา 5 การวดั และการประเมินผลการอบรมพัฒนา 5 หนว่ ยที่ 1 ทำไมครูจึงวดั และประเมินผลการเรยี นร้ขู องผเู้ รยี น 7 7 เป้าหมาย 7 ชนิ้ งาน/ภาระงาน 7 ข้ันตอนการจัดกจิ กรรม 8 สอ่ื ประกอบ 8 การวดั ผลและประเมินผล 9 ใบความรู้ท่ี 1 การวัดและประเมินผลการจดั การศึกษา 16 ใบกจิ กรรมที่ 1 สรปุ สาระสำคญั ในเน้ือหาของการอบรม 17 ใบกจิ กรรมท่ี 2 วเิ คราะหแ์ ละสะท้อนภาพของการวดั และประเมินผลจาก 20 กรณีตวั อยา่ ง 20 หน่วยที่ 2 ครูจะประเมินสมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียนอะไรบ้าง 20 20 เป้าหมาย 21 ชิน้ งาน/ภาระงาน 21 ขนั้ ตอนการจดั กิจกรรม สือ่ ประกอบ การวดั ผลและประเมินผล Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

ค สารบญั (ตอ่ ) หนว่ ยที่ 3 ใบความร้ทู ่ี 2 การวดั และประเมนิ ผลการจัดการศกึ ษา หน้า ใบกจิ กรรมท่ี 3 วิเคราะหเ์ ชอื่ มโยงความสัมพันธ์ของการประเมินระดับชนั้ เรียน ออกแบบการวัดและประเมินสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี นสู่ชนั้ เรยี นได้อยา่ งไร 22 เปา้ หมาย 45 ชิ้นงาน/ภาระงาน 47 ขั้นตอนการจดั กิจกรรม 47 ส่อื ประกอบ 47 การวัดผลและประเมินผล 47 ใบความรทู้ ่ี 3 การออกแบบการวดั และประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 47 ใบกิจกรรมที่ 4 การออกแบบเกณฑ์การประเมินระดับชน้ั เรียน 47 48 56 Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

1 Module 4 การวดั ประเมนิ ผลส่สู มรรถนะผเู้ รยี น ผูอ้ อกแบบหลกั สตู รฝึกอบรม : ศพิ าณัฏฐ์ ใจสัตย์ พชั รดิ า ลำนักเนตร หลกั การและเหตผุ ล เป้าหมายสำคญั ของการศึกษาไทย คอื การพฒั นาคนไทยใหเ้ ป็นผทู้ ี่มีความรู้ทด่ี ี และสูงสดุ ตามศกั ยภาพ ของแต่ละบุคคล โดยเป้าหมายดังกล่าวได้ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ฉบบั ปรบั ปรุงแก้ไข พ.ศ. 2545 โดยกำหนดความมงุ่ หมายและหลักการจัดการศึกษาไวว้ า่ “การศกึ ษาต้องเป็นไป เพื่อการพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบรู ณ์ ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม และวฒั นธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่รว่ มกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข” นอกจากนี้ ในหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ยังได้ระบุถึงเนื้อหาความรู้ที่จําเป็นต่อการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพได้ในอนาคต โดยจะต้องบรรลุสมรรถนะที่สำคัญ 5 ประการ อันได้แก่ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิดความสามารถในการแก้ปั ญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี รวมทั้งผู้เรียนทุกคนยังจะต้อง บรรลุผลการเรียนรตู้ ามมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชวี้ ัด การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 นบั ว่ามีความสำคัญ ต่อระบบการจัดการเรียนการสอนของครูในทุกระดับ เนื่องด้วยเพราะความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีที่เข้ามา มากมายในปัจจุบัน ส่งผลทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่ เกิดขึ้น ซึ่งก็รวมถึงวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เช่นกัน การจัดการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 นับเป็นก้าวย่างที่ท้าทาย จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนากรอบด้วยวิสัยทัศน์ ที่สามารถ สนองตอบต่อความต้องการอันแท้จริงของมนุษย์ และเป็นระบบที่ช่วยสร้างความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ท้ัง สังคมไทยและสังคมโลก สู่ศตวรรษที่ 21 ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งนี้กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่สำคัญของครู ที่สอดคล้องกับศตวรรษที่ 21 ทีส่ ำคัญคอื การจดั การเรยี นรู้แบบ Active Learning ด้วยเหตนุ ้ี การพัฒนาครูให้ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการจดั การเรียนรูแ้ บบ Active Learning การใช้เทคโนโลยเี ป็น และจดั กิจกรรม การเรียนรู้ที่หลากหลาย จึงเป็นการส่งเสริมและพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ให้แก่ผู้เรียน อันจะนําไปสู่ กระบวนการจัดการเรยี นรู้ในชน้ั เรียนที่มีคุณภาพ และมปี ระสิทธภิ าพมากข้นึ ของครู Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

2 การวัดและประเมินผลการจัดการศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของจุดประสงค์การเรียนการสอน และเป็น กระบวนการที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ใช้ในการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ ทั้งน้ีการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนต้องบูรณาการอยู่ในกระบวน การเรียนการสอนในชั้นเรียนอย่างสอดคล้องและเหมาะสม ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่และบทบาทสำคัญโดยตรง ในการวดั และประเมินผล คือ ครผู ู้สอน ดังน้นั เพอ่ื ให้ครูผสู้ อนสามารถการวัดและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ ควรจัดให้มีการส่งเสริมและพัฒนาให้ครูผู้สอนให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ การวัดและการประเมินผล การเรียนรู้ของผู้เรียน และการประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน รวมถึงการออกแบบการวัดและประเมิน สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนให้สอดคล้องกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ Active Learning เพื่อให้ครูผู้สอน สามารถสะท้อนผลการจดั การเรียนรู้และสามารถพฒั นาคุณภาพผู้เรยี นได้อย่างเต็มตามศักยภาพ ต่อไป วตั ถปุ ระสงคข์ องการอบรมพฒั นา 1. เพ่ือให้ผูเ้ ขา้ รบั การอบรมมีความรู้ ความเข้าใจ เก่ียวกบั การวัดและการประเมนิ ผลการเรียนรขู้ อง ผเู้ รียน และการประเมินสมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน 2. เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถออกแบบการวัดและประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนให้ สอดคล้องกบั กิจกรรมการเรียนรู้ Active Learning กระบวนการพฒั นา ลกั ษณะกจิ กรรมท่ีใชใ้ นการพัฒนาครูในครั้งน้ี มลี กั ษณะดังน้ี 1. ผู้เข้ารับการอบรมได้รับฟังบรรยายให้ความรู้จากวิทยากรที่รับผิดชอบในเนื้อหาตาม หลักสูตรการฝึกอบรม และจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เข้ารับการอบรมซึ่งเป็นผู้มีพื้นฐานความรู้และ มีประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอน ได้มีการพัฒนาต่อยอดและเพิ่มศักยภาพของตนเองให้สู งขึ้น ผา่ นกระบวนการวิเคราะหแ์ ละสะท้อนผล 2. ผู้เข้ารับการอบรมได้ลงมือปฏิบัติงาน (Workshop) ตามกิจกรรมที่กำหนดไว้ในเนื้อหา การฝกึ อบรม และกำหนดแนวทางการนำความรู้จากการให้ความรู้โดยวิทยากรสู่การปฏิบัติจริง โดยใช้ข้อมูลท่ี ได้จากการจดั การเรียนร้ใู นช้ันเรียนของผ้เู ข้ารบั การอบรมสูก่ ารวางแผนและเรยี นรู้ระหวา่ งการฝกึ อบรม 3. ผู้เข้ารับการอบรมได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองจากเอกสารประกอบการฝึกอบรม โดยวิทยากรเป็นโค้ชทำหน้าที่ในการชี้แนะ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่าง เตม็ ศกั ยภาพ Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

3 แผนการฝกึ อบรม หน่อยการอบรมพัฒนา กรอบเนือ้ หาท่ีอบรมพัฒนา รปู แบบและวธิ กี าร ระยะเวลา 45 นาที หน่วยที่ 1 ทำไมครูจึงวัด 1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวัด บรรยาย/ปฏิบตั ิ บรรยาย/ปฏิบัติ 75 นาที แ ล ะ ป ร ะ เ ม ิ น ผ ล ก า ร และประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา เรียนรขู้ องผเู้ รียน 1) ความหมายของการทดสอบ การวัดและการประเมนิ ผล 2) ความสัมพันธ์ระหว่างการสอน และการประเมินผล 3) ความมุ่งหมายของการวัดผล และประเมนิ ผล 2. การวัดและประเมินผลการ เรยี นรู้ 1) การวัดและประเมินผลการ เรยี นรูต้ ามรายกลุ่มสาระการเรยี นรู้ 2) การประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์และเขยี น 3) การประเมินคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ 4) การประเมินกิจกรรมพัฒนา ผูเ้ รยี น หน่วยท่ี 2 ครจู ะประเมิน 1. การประเมินสมรรถนะสำคัญ สมรรถนะสำคัญของ ของผูเ้ รยี นตามหลักสตู ร ผ้เู รียนอะไรบา้ ง 1) จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 สู่สมรรถนะสำคัญ ของผเู้ รยี น 2) คุณภาพผู้เรียนด้านสมรรถนะ ตามหลกั สตู ร 3) การประเมินสมรรถนะสำคัญ ของผเู้ รยี น Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

หน่อยการอบรมพัฒนา กรอบเนอ้ื หาที่อบรมพัฒนา รูปแบบและวิธีการ 4 4) เกณฑ์การประเมินคุณภาพใน ปฏบิ ัติ ระยะเวลา การประเมินสมรรถนะสำคัญ 2. รูปแบบการประเมินผลการ 70 นาที เรยี นรู้ในชั้นเรียน 1) การสงั เกตพฤตกิ รรม 2) การสอบปากเปล่า 3) การพูดคุย 4) การใชค้ ำถาม 5) การเขียนสะท้อนการเรยี นรู้ 6) การประเมนิ ภาคปฏบิ ัติ 7) การประเมินด้วยแฟ้มสะสม งาน 8) การว ัดและปร ะเ มิ น ด ้ ว ย แบบทดสอบ 9) การประเมินดา้ นจติ พสิ ยั 10) การประเมินตามสภาพจริง 11) การประเมนิ ตนเองของผูเ้ รียน 12) การประเมินโดยเพื่อน หน่วยท่ี 3 ออกแบบ การออกแบบการวัดและประเมิน ก า ร ว ั ด แ ล ะ ป ร ะ เ มิ น สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนสู่ชั้น สมรรถนะสำคัญของ เรียน ผู้เรียนสู่ชั้นเรียนได้ 1) ขั้นตอนการออกแบบการวัด อย่างไร และประเมนิ ผล 2) การออกแบบการว ั ด แ ล ะ ประเมนิ สมรรถนะสำคัญส่ชู น้ั เรยี น Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

5 กำหนดการของการอบรมพัฒนา วันที่ 1 ของการอบรมพฒั นา ภาคเชา้ โมดูลที่ 1 ปรับกระบวนทศั น์ ชีช้ ดั สมรรถนะ โมดูลที่ 3 ส่อื นวัตกรรม นำสู่สมรรถนะผ้เู รยี น ภาคบ่าย โมดูลท่ี 2 ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ นำส่สู มรรถนะ วนั ที่ 2 ของการอบรมพัฒนา ภาคเช้า โมดูลที่ 2 ออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ นำสสู่ มรรถนะ โมดลู ที่ 4 การวดั ประเมินผล สสู่ มรรถนะผู้เรียน ภาคบา่ ย โมดลู ที่ 4 การวดั ประเมินผล สูส่ มรรถนะผ้เู รยี น โมดลู ท่ี 5 นเิ ทศติดตาม หนุนเสริม เพิ่มเติมสมรรถนะ การวัดและการประเมินการอบรมพัฒนา การวดั และการประเมินผล 1. การทดสอบหลงั การอบรม 2. การประเมินการส่งชน้ิ งาน 3. การประเมนิ ผลคณุ ภาพช้ินงาน 4. เวลาการเข้ารบั การอบรมพัฒนาและการมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมกลมุ่ เกณฑก์ ารผา่ นการประเมนิ 1. ผ่านการทดสอบของหลงั การอบรมแตล่ ะโมดลู และหลังการอบรม ไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 80 (20 คะแนน) 2. มชี ้นิ งานจากใบกิจกรรมครบทุกภาระงาน (10 คะแนน) 3. มีชิ้นงานจากใบกิจกรรมของแต่ละโมดูลมีความสมบูรณ์ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 (50 คะแนน) 4. เวลาการเข้ารับการอบรมพัฒนาและมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 (20 คะแนน) ระดบั คณุ ภาพของการผ่านการอบรมพัฒนา คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป ระดับคณุ ภาพของการอบรมพัฒนาอยู่ในระดับ ดีเย่ยี ม คะแนนร้อยละ 70-79 ระดบั คุณภาพของการอบรมพัฒนาอยู่ในระดับ ดมี าก คะแนนรอ้ ยละ 51-69 ระดบั คณุ ภาพของการอบรมพฒั นาอยู่ในระดับ ดี Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

6 - Module 4 การวดั ประเมินผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น 1หนว่ ยที่ ทำไมครูจึงวดั และประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องผู้เรยี น Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

7 ทำไมครจู งึ วัดและประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น เปา้ หมาย เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้และความเข้าใจ เกี่ยวกับ การวัดและประเมินผลการจัดการศึกษา และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ชน้ิ งาน/ภาระงาน 1. ผลสรุปสาระสำคัญในเน้ือหาของการอบรม (รายบุคคล) 2. ผงั มโนทศั น์ภาพสะท้อนผลของการวดั และประเมินผลของกรณตี ัวอย่าง (กลุ่ม) ขั้นตอนการจดั กิจกรรม 1. ให้ผู้เข้ารับการอบรมสรุปองค์ความรู้ในเนื้อหาของการอบรมก่อนเข้ารับการอบรมในประเด็น 1) ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการจัดการศึกษา และ 2) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ลงในใบกิจกรรมที่ 1 2. วทิ ยากรใหผ้ ู้เขา้ รับการอบรมชมวดิ ีทัศน์ เร่อื ง เดก็ ชาย ช.ชาย (10 นาท)ี 3. ให้ผู้เข้ารับการอบรมร่วมกันระดมความคิดเพื่อวิเคราะห์และสะท้อนภาพผลของการวัดและ ประเมนิ ผลของกรณีตวั อยา่ งจากวดิ ิทัศน์ดงั กลา่ ว ลงในใบกิจกรรมท่ี 2 และกระดาษบรฟุ๊ (10 นาท)ี 4. ให้แต่ละกลุ่มศึกษาการวิเคราะห์และสะท้อนผลจากใบกิจกรรมที่ 2 จากกลุ่มอื่นในแนวคิดที่เห็น ดว้ ยและเหน็ ตา่ งจากกล่มุ ของตนเอง 5. นำแนวคดิ ประเด็นทีเ่ ห็นด้วยและเห็นต่างกับมาวิพากษ์สรปุ รว่ มกันในกลุ่ม 6. ตัวแทนกลุ่ม นำเสนอภาพผลของการวัดและประเมินผลของกรณีตัวอย่าง และประเด็นวิพากษ์ท่ี ได้รว่ มกันวิเคราะห์ (10 นาที) 7. วิทยากรสรุปองค์ความรู้ของความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการจัดการศึกษา และ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ (5 นาท)ี Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

8 ส่อื ประกอบ 1. ใบความรทู้ ่ี 1 การวดั และประเมนิ ผลการจัดการศึกษา 2. ใบกจิ กรรมท่ี 1 สรุปสาระสำคัญในเนื้อหาของการอบรม 3. ใบกิจกรรมท่ี 2 วเิ คราะห์และสะท้อนภาพผลของการวดั และประเมนิ ผลของกรณตี ัวอยา่ ง 4. วดิ ิทศั น์ เรอ่ื ง เด็กชาย ช.ช้าง 5. Power point การวัดและประเมนิ ผล 1. เวลาการเข้ารับการอบรมพฒั นาและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม 2. การส่งชน้ิ งาน 3. ตรวจผลงานจากภาพสะท้อนผลของการวดั และประเมินผลของกรณีตัวอยา่ ง Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

9 ใบความรู้ที่ 1 การวดั และประเมนิ ผลการจดั การศึกษา ความรพู้ น้ื ฐานเกย่ี วกบั การวดั และประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา ความหมายของการทดสอบ การวัดและการประเมนิ ผล การทดสอบ (Testing) การวัดผล (Measurement) และการประเมินผล (Evaluation) เป็นคำที่มี ความสมั พนั ธ์เกย่ี วข้องกับการจดั การเรียนการสอนโดยตรง เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการจัดการเรียนการสอน ดังน้ี การทดสอบ หมายถึง กระบวนการใช้เครื่องมือประเภทหน่ึงทีเ่ รยี กว่า “แบบทดสอบ” ไปเร้าใหบ้ คุ คล หรือผู้สอบเกดิ การตอบสนองออกมา เพ่อื จะไดส้ งั เกตและใช้ในการบรรยายคณุ ลักษณะของพฤติกรรมน้นั ๆ ได้ หรือคณุ ภาพเฉพาะ การทดสอบจึงเปน็ ส่วนหน่งึ ของการวัดผล การวัดผล หมายถงึ กระบวนการกำหนดตัวเลข ปรมิ าณ อันดับแทนคณุ ลักษณะของสิ่งหน่ึงสิ่งใดหรือ แทนพฤตกิ รรม หรือสญั ลกั ษณ์ใหก้ ับส่ิงต่าง ๆ อยา่ งมีกฎเกณฑ์ โดยใช้เคร่อื งมอื ชว่ ยในการวัด ผลการวัดจะอยู่ ในรูปของตัวเลขหรือสัญลักษณ์ของสิ่งนั้น เช่น ใส่เสื้อเบอร์ M รับประทานอาหารวันละมื้อ จับฉลากได้เป็น อันดบั ท่ีสาม ท่องศพั ทไ์ ม่ไดต้ ามที่กำหนด เปน็ ตน้ โดยท่ัวไปการวดั ผลแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. การวัดด้านกายภาพหรือด้านวิทยาศาสตร์ ( Physical Science Measurement) เป็นการวัดเพื่อหาจำนวนหรือปริมาณของสิ่งของต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม เช่น การวัดความยาว ส่วนสูง น้ำหนัก พ้นื ท่ี ขนาด ปรมิ าตร เปน็ ตน้ การวัดดา้ นนมี้ ีเคร่ืองมอื วัดทใ่ี หผ้ ลได้แนน่ อน มีหน่วยการวัดทแ่ี นน่ อน เชน่ เมตร กรัม ลิตร ฟุต เปน็ ต้น การวัดทางด้านนจี้ งึ เป็นการวดั ทางตรง 2. การวัดทางสังคมศาสตร์ (Social Science Measurement) เป็นการวัดเพื่อหาจำนวน หรือปรมิ าณของส่งิ ของต่าง ๆ ทีเ่ ปน็ นามธรรม ไม่มีตัวตนท่แี น่นอน โดยทวั่ ไปแล้วจะวัดพฤตกิ รรมของส่ิงมีชีวิต ไมม่ ีหนว่ ยการวดั ที่แน่นอน เชน่ การวดั ความรู้ ความสนใจ ความรับผิดชอบ ทัศนคติ ทักษะของมนุษย์ เป็นต้น การวัดทางด้านนี้มีความยุ่งยากและมีปัญหาในการกาหนดสิ่งที่จะวัดว่าเป็นอะไร คืออะไร ต้องอาศัยการแปล ความหมาย ตีความหมายสิ่งที่จะวัดให้ถูกต้อง และเลือกเครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับการวัดทางด้านนี้ จึงเป็น การวัดทางอ้อม การประเมิน หมายถึง กระบวนการในการตัดสินคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ หรือสรุปคุณลักษณะที่ได้จาก การวดั ผลตามเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ อาทเิ ช่น การสรปุ ว่า วนั นี้อุณหภูมเิ ยน็ ลง ณภทั รเขาเป็นคนเก่ง เก่งกาจ สอบได้ทหี่ นึ่ง เอชอบเรยี นภาษาอังกฤษมากกว่าวชิ าภาษาไทย Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

10 ดังนั้น กระบวนการในการประเมิน จึงประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1. ผลการวัด (Measurement) เป็นข้อมูลที่ได้จากการวัดผลมีจำนวนหรือปริมาณเท่าไร มี คณุ สมบตั ิอย่างไร เพอ่ื นำไปเปรยี บเทยี บกบั เกณฑ์ท่ีตงั้ ไว้ 2. เกณฑ์ (Criteria) เปน็ มาตรฐานท่ตี ้งั ไว้ เพ่ือใช้ประกอบการพิจารณาตดั สนิ คณุ คา่ ของส่ิงท่ี ไดจ้ ากการวัด 3. การตัดสินคุณค่า (Judgment) เป็นการนาผลจากการวัดมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แล้ว สรุปตัดสินคุณค่าว่าสูงกว่าหรือต่ำกว่าเกณฑ์มากน้อยเพียงใดจากกระบวนการประเมินดังกล่าว พบได้วา่ การวดั ผลและการประเมินมคี วามสมั พนั ธ์กัน โดยสามารถเขียนเปน็ สมการ ดังน้ี การประเมินผล (Evaluation) = การวัดผล (Measurement) + การตดั สินคณุ ค่า (Judgment) สรุปได้ว่า การทดสอบ เป็นส่วนหนึ่งของการวัดผล การวัดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินผล กล่าวคือ การวัดผลสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการประเมินผล แต่ในทางกลับกันการประเมินผลที่ ถูกต้องสมบูรณ์ต้องอาศัยข้อมูลจากการวัดที่ถูกต้องและข้อมูลจากการวัดที่ถูกต้องจะต้องอาศัยเครื่องมือที่มี คณุ ภาพ แสดงความสมั พนั ธ์ไดด้ งั ภาพ ดังนั้น การประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation) ครอบคลุมกระบวนการทั้ง 3 คือ กระบวนการทดสอบ กระบวนการวดั ผล และกระบวนการประเมินผล ซ่ึงเป็นการพจิ ารณาตดั สิน ตีค่าท่ีได้จาก การวัดพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เนื่องจากการศึกษาโดยผ่านกระบวนการเรียนการสอนว่ามีคุณภาพเพียงไร บรรลุ จุดประสงค์ของการศึกษา หรือไม่ ดี – เลว, สูง – ต่ำ, ใช้ได้ – ใช้ไม่ได้ เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขในการเรียน Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

11 การสอนและส่งเสริมให้ผู้เรียนมีพัฒนาการเพิ่มขึ้น การประเมินผลการศึกษาที่ดีจึงต้องอาศัยผลการวัดท่ี สมบูรณ์ เชือ่ ถอื ไดแ้ ละเกณฑ์ที่เหมาะสม ความสมั พนั ธร์ ะหว่างการสอนและการประเมนิ ผล องค์ประกอบที่สำคัญในการจัดการศึกษาอันเป็นหัวใจหลักของการจัดการศึกษา ประกอบด้วย องค์ประกอบที่สำคัญ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ การกำหนดวัตถุประสงค์ การจัดการเรียนรู้ การวัดผลและ ประเมินผล 1. จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (Objective) ผู้สอนจะต้องกำหนดไว้อย่างชัดเจนในการจัดการ เรียนรแู้ ต่ละคร้ัง เพ่ือให้ทราบว่าการจัดการเรียนรูแ้ ต่ละครงั้ ต้องการให้ผเู้ รียนเกิดผลลพั ธก์ ารเรยี นรู้อยา่ งไรบ้าง 2. การจัดการเรียนรู้ (Learning) ผู้สอนจะต้องวิเคราะห์ผู้เรียนก่อนแล้วจึงเลือกกิจกรรมการ เรียนรู้ ส่อื การเรยี นรู้ ท่ีเหมาะสมกบั ผูเ้ รยี นแต่ละคน เพื่อให้ผเู้ รยี นทกุ คนบรรลุผลตามจุดม่งุ หมายทีต่ ั้งไว้ 3. การประเมนิ ผล (Evaluation) เมอื่ ดำเนนิ การจดั การเรียนรเู้ สรจ็ แล้ว ผูส้ อนจะต้องวัดและ ประเมินผลผู้เรียนทุกครั้ง เพื่อจะได้ทราบว่าผู้เรียนเกิดการเรียนและบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้หรือไม่ ถ้ายังไม่บรรลุผลจะปรับปรุงการจดั การเรียนรู้อยา่ งไร ความมุ่งหมายของการวดั ผลและประเมินผล 1. เพื่อตัดสินผลการเรียน เมื่อสิ้นสุดผลการเรียนในภาคเรียนใดหรือปีการศึกษาใด ก็จะมีการนำเอา ข้อมูลจากการวัดในระหว่างเรียนมาสรุปรวมตัดสินผลในขั้นสุดท้ายในรูปของเกรด เช่น A,B, C, D หรือ 4, 3, 2, 1, 0 หรอื ในรูปคณุ ภาพ เชน่ ผา่ น – ไม่ผา่ น, ดมี าก – ดี – ปรบั ปรุง เป็นตน้ 2. เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน การวัดผลและประเมินผลก่อนเรียนและระหว่างเรียน จะสามารถ นามาใชพ้ ิจารณาปรบั ปรุงการเรียนการสอน โดยดูวา่ ถา้ ผลการประเมินที่ไม่เปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ครกู ็จะต้องนามาพจิ ารณาว่าเป็นเพราะวา่ วิธีการสอน กจิ กรรม หรือส่อื การสอนไมเ่ หมาะสมกับผู้เรยี น 3. เพื่อจัดตำแหน่ง (Placement) เป็นการตรวจสอบความรู้พื้นฐานว่าผู้เรียนมีความพร้อม ความ สนใจ และทกั ษะพ้ืนฐานท่ีสำคัญต่อการเรียนรู้มากน้อยเพยี งใด อนั จะเป็นประโยชน์ตอ่ การกำหนดจุดมุ่งหมาย และวางแผน การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนต่อไป 4. เพื่อวินิจฉัยข้อบกพร่อง (Diagnosis) เป็นการวิเคราะห์สาเหตุข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในระหว่างการ เรียนรู้ กล่าวคือ เมื่อวัดผลและประเมินผลแล้ว นักเรียนยังมีปัญหายังไม่เกิดการเรียนรู้ตรงจุดใด ผู้สอนก็ต้อง หาทางช่วยเหลือหรือสอนซ่อมเสริมหรือทบทวนในเร่ืองนั้น ๆ ได้ ปรับปรุงการสอนให้เหมาะสมมากขึน้ ในการ สอนครงั้ ต่อไป Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

12 5. เพื่อจำแนกประเภท (Classification) เป็นการวัดผลและประเมินผลเพื่อจัดประเภทผู้เรียนเป็น ประเภท เชน่ สอบได้ – สอบตก, เก่งมาก – เกง่ – ปานกลาง – ออ่ น – อ่อนมาก, รอบรู้ – ไมร่ อบรู้ ซ่งึ การจัด จำแนกประเภทน้ีจะต้องอาศัยเกณฑ์มาตรฐานที่เชื่อถือได้เป็นตวั ตัดสิน 6. เพื่อพยากรณ์หรือทำนาย (Prediction) เป็นการนำผลที่ได้จากการวัดผลและประเมินผลไป คาดคะเนหรือทานายอนาคตว่าผู้เรียนนั้นควรจะเรียนสาขาอะไร หรือประกอบอาชีพอะไร จึงจะประสบ ผลสำเร็จ การวัดผลและประเมินผลในลกั ษณะนี้จะนำไปใช้ในการแนะแนวหรอื การสอบคัดเลือกเพือ่ ศึกษาตอ่ ซ่ึงโดยมากจะใชแ้ บบทดสอบวดั ความถนัดทางการเรยี น (Aptitude Test) เพ่อื การพยากรณ์ 7. เพื่อเปรียบเทียบ (Assessment) เป็นการเปรียบเทียบความสามารถของตนเองโดยทั่วไปจะ เปรียบเทียบก่อนและหลังเรียน ว่ามีพัฒนาการหรือความเจริญงอกงามทางด้านความรู้ความรู้สึก และทักษะ จากเดมิ มากน้อยเพียงใด 8. เพื่อสร้างแรงจูงใจ (Motivating Learning) เมื่อการวัดผลและประเมินผลแล้วควรนำผลมาแจ้งให้ ผู้เรยี นทราบเพอื่ เรา้ หรอื กระตนุ้ ใหผ้ ้เู รยี นเกดิ แรงบนั ดาลใจท่ีจะศึกษาหาความรู้มากย่ิงขึ้น 9. เพ่ือประเมินคา่ (Evaluation) เปน็ การนำผลท่ไี ดม้ าตัดสนิ หรอื สรปุ คณุ ภาพของการจัดการศึกษาว่า มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด รวมถึงการพิจารณาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การวัดผลและ ประเมินผล และเครอ่ื งมือท่ีใช้ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดจุดหมาย สมรรถนะสำคัญของ ผเู้ รียน และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการพฒั นาผเู้ รยี นให้เปน็ คนดี มีสตปิ ัญญา มี คณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ีและมขี ีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก กำหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามมาตรฐาน การเรียนรู้/ตัวชี้วัดที่กำหนดในกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ มีความสามารถด้านการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขยี น มีคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ และเข้ารว่ มกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน แสดงไดด้ งั ภาพตอ่ ไปนี้ Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

13 1. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามรายกลุ่มสาระการเรียนรู้ ครูผู้สอนต้องดำเนินการวัดและ ประเมินผลการเรียนรูผ้ ู้เรียนเปน็ รายวิชาตามตัวช้ีวัดที่กำหนดในหนว่ ยการเรียนรู้ ด้วยวิธกี ารทหี่ ลากหลาย ให้ ได้ผลการประเมินตามความสามารถทีแ่ ทจ้ ริงของผูเ้ รียน โดยดำเนินการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ไปพร้อม กับการจัดการเรยี นรู้ การสังเกต พฒั นา และความประพฤติของผูเ้ รียน การสังเกตพฤติกรรมการ ร่วมกิจกรรม และการทดสอบ ซึ่งครูผู้สอนต้องนำนวัตกรรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่หลากหลาย อาทิเช่น การ ประเมนิ สภาพจริง การประเมินการปฏบิ ัติงานและการประเมินจากแฟ้มสะสมงาน ไปใชใ้ นการประเมินผลการ เรียนรู้ควบคู่กับการใช้แบบทดสอบต่างๆ และต้องให้ความสำคัญกับการประเมินระหว่างภาคมากกว่าการ ประเมินปลายปี ดังภาพ การประเมินระดับและพัฒนาการของความรู้ ทกั ษะ ใหพ้ จิ ารณาเป็นรายวิชาหรือกลมุ่ สาระการเรียนรู้ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ผู้สอนตอ้ งประเมนิ ท้ังกอ่ น ระหวา่ ง และหลงั ส้นิ สุดการเรียนการสอนที่มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1.1) การประเมินก่อนเรียน เพื่อจัดวางตำแหน่งผู้เรียนหรือประเมินความรู้ ทักษะ พ้นื ฐานของผู้เรยี น ก่อนเริม่ กจิ กรรม เป็นขอ้ มลู สารสนเทศ ทเี่ ป็นประโยชนต์ ่อการตัดสินใจในการวางแผนการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน และเตรียมสำหรบั เป็นพ้ืนฐานความรู้และทักษะที่จำเป็นที่ต้องมี มาก่อน 1.2) การประเมินระหว่างการเรียนการสอน เพื่อตรวจสอบความรู้ความสามารถ ทักษะของผู้เรียนขณะที่การเรียนการสอนยังดำเนินการอยู่ เป็นข้อมูลสารสนเทศย้อนกลับท่ีเป็นประโยชน์ต่อ การติดตามความก้าวหน้า หรือพัฒนาการเรียนในการเรียนรู้ ตลอดจนข้อบกพร่องในการเรียนรู้ของผู้เรียน สำหรบั ปรบั ปรุงแก้ไขและซอ่ มเสรมิ Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

14 1.3) การประเมนิ หลังจากสิ้นสดุ การเรยี นการสอน เพือ่ สรปุ ผลการเรยี นรู้ของผู้เรียน ทีเ่ ป็น ขอ้ มูลสารสนเทศทเี่ ป็นประโยชนต์ อ่ การตัดสินพัฒนาการและระดบั ผลสมั ฤทธ์ิของผเู้ รียน 2) ครูผู้สอนจะต้องประเมินโดยยึดเป้าหมายของการเรียนรู้เป็นสำคัญ ซึ่งควรครอบคลุมสิ่ง ต่อไปนี้ตามสัดส่วนความสำคัญของวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ไดแ้ จง้ ให้ผู้เรยี นและผูเ้ ก่ียวข้อง ได้รับทราบ โดยทว่ั ไป ไดแ้ ก่ 2.1) ความร้พู ้นื ฐานของวชิ า 2.2) พัฒนาการของความรู้ 2.3) ทักษะการคิดและการแสวงหาความรู้ของวิชา 2.4) พัฒนาการของทักษะการคิดและการแสวงหาความรู้ 2.5) ผลการปฏบิ ตั ิงาน 3) ครูผู้สอนจะต้องประเมินผู้เรียนระหว่างการเรียนการสอนอย่างน้อยภาคเรียนละ 2 คร้ัง เพ่ือให้ข้อมลู ยอ้ นกลับสำหรับพัฒนาผเู้ รยี น 4) ผลการประเมนิ จะต้องแจ้งผู้เรียนและผู้ท่ีเกี่ยวข้องให้รับทราบถงึ ระดับพัฒนาการของการ เรียนรู้และสามารถตรวจสอบได้ 2. การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน เป็นการประเมินศักยภาพของผู้เรียนในการอ่าน การฟัง การดู และการรับรู้ จากหนังสือ เอกสารและสื่อต่างๆได้อย่างถูกต้อง แล้วนำมาคิดวิเคราะห์เนื้อหา สาระที่นำไปสู่การแสดงความคิดเห็น การสังเคราะห์สร้างสรรค์ในเรื่องต่างๆ และถ่ายทอดความคิดนั้น ด้วยการเขียนซึ่งสะท้อนถึงสติปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และ สร้างสรรค์จินตนาการการอ่านอย่างเหมาะสม และมีคุณค่าแก่ตนเอง สังคมและประเทศชาติ พร้อมด้วย ประสบการณ์ และทักษะในการเขียนที่มีสำนวนถูกต้อง มีเหตุผลและลำดับขั้นตอนในการนำเสนอ สามารถ สร้างความเข้าใจแก่ผู้อ่านได้อย่างชัดเจนตามระดับความสามารถในแต่ละระดับชั้น การประเมินการอ่านคิด วิเคราะห์และเขียน สรุปผลเป็นรายปี/รายภาค เพื่อวินิจฉัยและใช้เป็นข้อมูลเพื่อประเมินการเลื่อนชั้นและ จบการศึกษาระดับต่างๆ แสดงรูปแบบการประเมนิ ไดด้ ังภาพ Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

15 3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 คณุ ลักษณะ 8 ประการ อันไดแ้ ก่ รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ซอ่ื สตั ยส์ จุ ริต มวี ินัย ใฝเ่ รียนรู้ อย่อู ยา่ งพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย และมีจิตสาธารณะ และตามที่สถานศึกษากำหนดเพิ่มเติม เป็นการ ประเมินคุณลักษณะของผู้เรียนดำเนินการผ่านทุกกลุ่มสาระและกิจกรรมทีส่ อดคลอ้ งเหมาะสม โดยครูประจำ ชั้นและครูรายวิชา แล้วรวบรวมผลการประเมินจากผู้ประเมินทุกฝ่ายมาพิจารณาสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค เพื่อใช้เป็นข้อมูลประเมินการเลื่อนชั้นและจบการศึกษาระดับต่างๆ สำหรับการประเมินคุณลักษณะอันพึง ประสงค์นั้น สถานศึกษาควรจัดให้มีการประเมินเป็นระยะระยะ โดยอาจประเมินเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน รายภาค และรายปี เพื่อให้มีการสั่งสมและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และประเมินผลสรุปเม่ือจบปีสดุ ทา้ ยของแตล่ ะระดบั การศึกษา แสดงรูปแบบการประเมิ 4. การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นกระบวนการประเมินจากการปฏิบัตกิ ิจกรรมและผลงาน/ชิ้นงาน ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย และประเมินตามสภาพจริง โดยให้ผู้เรียนได้ค้นหาศักยภาพของตนเอง การทำงานกลุ่ม ทักษะการอยู่ร่วมกันและการมีจิตสาธารณะ ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการประเมิน เช่น ครู ผู้ปกครอง เพื่อนนักเรียน และสถานศึกษามีการประเมินผลเป็นระยะ ๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลและพัฒนาอย่าง ต่อเนื่อง ซึ่งเปน็ การประเมินการปฏิบัติกจิ กรรมตามจุดประสงค์ และเวลาในการเข้ารว่ มกิจกรรมตามเกณฑ์ท่ี กำหนดไว้ในแตล่ ะกิจกรรม และใชเ้ ปน็ ข้อมูลประเมนิ การเลอ่ื นชั้นและจบการศกึ ษาระดบั ต่างๆ เอกสารอา้ งองิ กระทรวงศกึ ษาธิการ.(2553). แนวปฏิบัติการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาขั้นพ้นื ฐานพทุ ธศักราช 2551. พมิ พ์ครั้งท่ี 2. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย จำกัด. สิรินทรน์ ิชา ปัญจอรยิ ะกลุ . (2563). การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา Educational Measurement and Evaluation (ฉบบั ปรับปรุง). เชียงใหม่ : บรษิ ัท ส.อินฟอรเ์ มชัน่ เทคโนโลยี จำกัด Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

16 ใบกจิ กรรมที่ 1 (รายบคุ คล) สรปุ สาระสำคัญในเนือ้ หาของการอบรม ชอ่ื ...................................................................... โรงเรียน .............................................กล่มุ ที่ ........ เลขท่ี ...... คำช้แี จง ให้ผู้เข้ารับการอบรมแต่ละกลุ่มเขียนสรุปสาระสำคัญในเนื้อหาของการอบรมหน่วยที่ 1 ทำไมครูจึง วัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ของผเู้ รยี น ตามความเขา้ ใจของทา่ น ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

17 ใบกจิ กรรมท่ี 2 (กลุ่ม) วเิ คราะหแ์ ละสะท้อนภาพของการวัดและประเมนิ ผลจากกรณตี ัวอย่าง สมาชิกกลุม่ ท่ี ......... 1. ชอ่ื ..................................................................................... โรงเรยี น ............................................. 2 ช่ือ ..................................................................................... โรงเรียน ............. ................................ 3. ชื่อ ..................................................................................... โรงเรยี น ......................... .................... 4. ชอ่ื ..................................................................................... โรงเรยี น ............................................. 5. ชื่อ ..................................................................................... โรงเรยี น ......................... .................... 6. ช่อื ..................................................................................... โรงเรยี น ............................................. 7. ช่ือ ..................................................................................... โรงเรียน ......................... .................... 8. ชื่อ ..................................................................................... โรงเรียน ......................... .................... 9. ชอ่ื ..................................................................................... โรง เรยี น ............................................. 10. ชื่อ ................................................................................... โรงเรยี น ........................... .................. 11. ชอื่ ................................................................................... โรงเรยี น ............................................. 12. ชือ่ ................................................................................... โรงเรียน ........................... .................. 13. ชอ่ื ................................................................................... โรงเรยี น ............................................. 14. ชือ่ ................................................................................... โรงเรยี น ...................... ....................... 15. ชื่อ ................................................................................... โรงเรียน ........................... .................. คำชแ้ี จง 1. ให้ผูเ้ ขา้ รบั การอบรมศึกษารบั ชมวิดที ัศน์ เรือ่ ง เด็กชาย ช.ชา้ ง 2. ให้ร่วมกันวิเคราะห์และสะท้อนภาพผลของการวัดและประเมินผลของกรณีตัวอย่างจากวิดีทัศน์ และเขยี นสรุป ตามประเดน็ ดงั ตอ่ ไปน้ี ประเด็นที่ 1 ท่านคิดว่าการประเมินผลในชั้นเรียนของครูผู้สอนจากกรณีตัวอย่างมีความเหมาะสม ตามหลักของการวัดและประเมินผลการจดั การเรยี นรหู้ รอื ไม่อย่างไร จงให้เหตุผลประกอบ ประเด็นที่ 2 ท่านคิดว่าการกระทำของครูผู้สอนจากกรณีตวั อย่างจะมีผลกระทบตอ่ ผู้เรยี นดา้ นใดบ้าง จงอธบิ ายรายละเอยี ด ประเด็นที่ 3 ในฐานะที่ท่านเป็นครูผู้สอนในศตวรรษที่ 21 ท่านควรจะมีหลักการในการวัดและ ประเมนิ ผลการเรียนรอู้ ยา่ งไรใหส้ อดคลอ้ งกบั สาระการเรียนรู้ จงเขียนอธบิ าย Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

18 .................................................................................................................................... .................................................................................................................................... .................................................................................................................................... .................................................................................................................................... .................................................................................................................................... วิเคราะห์และสะท้อน ภ า พ ผ ล ข อ ง ก า ร วั ด แ ละปร ะเ มินผลข อ ง กรณีตัวอย่าง .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. .............................................................. Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

19 - Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น 2หนว่ ยท่ี ครูจะประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียนอะไรบา้ ง Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

20 ครจู ะประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี นอะไรบา้ ง เปา้ หมาย เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้และความเข้าใจ เกี่ยวกับ การประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และสามารถสร้างเกณฑ์การประเมินระดับชนั้ เรียนที่มีคุณภาพสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสะท้อนความรู้ ทกั ษะและคณุ ลกั ษณะที่กำหนดไวใ้ นตวั ชีว้ ดั ชน้ิ งาน/ภาระงาน ผลงานการเชอ่ื มโยงความสัมพันธข์ องการประเมินระดับชัน้ เรยี นท่ีมคี ุณภาพสอดคล้องกับกิจกรรมการ เรยี นร้ทู ส่ี ะท้อนความรู้ ทักษะและคณุ ลักษณะท่ีกำหนดไวใ้ นตวั ชว้ี ดั (รายบคุ คล) ขนั้ ตอนการจัดกจิ กรรม 1. ให้แต่ละกลุ่มศึกษาใบความรู้ที่ 2 เรื่อง การประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนตามหลักสูตร หนา้ 24-35 (10 นาที) 2. ฝึกปฏิบัตกิ ารเชือ่ มโยงความสัมพนั ธ์ของการประเมินระดับช้ันเรยี น ลงในใบกจิ กรรมท่ี 3 (10 นาที) 3. วทิ ยากรบรรยายให้ความรู้เก่ียวกับการเกณฑ์การประเมินสรรถนะสำคัญของผู้เรยี น และรูปแบบการ ประเมินผลการเรียนรูใ้ นช้นั เรียน (10 นาท)ี 4. ฝกึ ปฏบิ ตั ิการออกแบบเกณฑก์ ารประเมินระดับช้นั เรียน ลงในใบกจิ กรรมที่ 4 (15 นาที) 5. สง่ ตัวแทนนำเสนอผลงานปฏบิ ตั กิ ารออกแบบเกณฑ์การประเมิน (15 นาท)ี 6. วิทยากรและผ้เู ข้ารบั การอบรมร่วมกันสรุปผลการทำกจิ กรรม (5 นาท)ี Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

21 ส่ือประกอบ 1. ใบความรทู้ ี่ 2 การประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 2. ใบกจิ กรรมที่ 3 วิเคราะห์เชอ่ื มโยงความสัมพันธ์ของการประเมินระดบั ชัน้ เรียน 3. เอกสสารประกอบสำหรบั การทำกจิ กรรม เกณฑ์คณุ ภาพในการประเมินสมรรถนะสำคัญของ ผ้เู รียน (Rubric) 4. Power point การวดั และประเมนิ ผล 1. เวลาการเขา้ รับการอบรมพัฒนาและการมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมกลุม่ 2. การส่งช้ินงาน 3. ตรวจผลงานการวเิ คราะห์เช่ือมโยงความสัมพันธข์ องการประเมินระดับชั้นเรียน Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

22 ใบความรู้ที่ 2 การประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น การประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี นตามหลกั สูตร จุดม่งุ หมายของการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 สูส่ มรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น การเรียนรู้มีความสำคัญสำหรับมนุษย์ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชาติ ทุกศาสนาและทุกวงการอาชีพ ความสำเร็จในการพัฒนาตน สังคมและมวลมนุยโลก ทั้งในการดำรงชีวิต การทำงานและการอยู่ร่วมกันอย่าง ราบรื่นและสันติสุข ย่อมเกิดจากการที่มนุษย์มีการสะสมการเรียนรู่ที่สืบทอดกันมาต่อๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน การศึกษาเรื่องการเรยี นรู้จะช่วยให้ผู้สอนมคี วามรู้ความเข้าใจในการจดั สภาพการณ์ และเลือกวธิ กี าร ต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามความเหมาะสมของผู้เรียน แตล่ ะคน ซ่ึงมีความแตกตา่ งกันทัง้ ในดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สงั คมและสติปัญญา เพือ่ ให้บรรลผุ ลตามเปา้ หมายที่ ตอ้ งการ การเรยี นรู้ หมายถึง การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมอันเนื่องมาจากประสบการณ์เดมิ ทำใหค้ น เผชิญกับ สถานการณ์เดิมต่างไปจากเดิม เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งภายนอกและภายใน ลักษณะการ เปลย่ี นแปลงพฤติกรรมอาจเป็นได้ 4 ลกั ษณะ ได้แก่ การทำพฤติกรรมใหม่ การเลกิ ทำ การเพิ่มพฤติกรรมที่ เคยทำ และการลดพฤติกรรมทเี่ คยทำ พฤตกิ รรมใดทไ่ี มเ่ ปลีย่ นแปลงจงไมเ่ รียกว่า เกดิ การเรยี นรู้ ซึ่งการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องอาศัยพฤติกรรมการเรียนรู้และจิตวิทยาพื้นฐาน กล่าวถึง การจำแนกการเรียนรู้ตามทฤษฎีของบลูม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะ พิสัย โดยในแต่ละด้านจะมีการจำแนกระดับความสามารถจากต่ำสุดไปถึงสูงสุด เช่น ด้านพุทธิพิสัย เริ่มจาก ความรู้ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมิน นอกจากนี้ยังนำเสนอระดับ ความสามารถที่มีการปรับปรุงใหม่ตามแนวคิดของ Anderson and Krathwohl (2001) เป็นการจำ (Remembering) การเข้าใจ (Understanding) การประยุกต์ใช้ (Applying) การวิเคราะห์ (Analyzing) การ ประเมินผล (Evaluating) และการสร้างสรรค์ (Creating) ด้านจิตพิสัย จำแนกเป็น การรับรู้, การตอบสนอง , การสร้างค่านิยม, การจัดระบบ และการสร้างคุณลักษณะจากค่านิยม ด้านทักษะพิสัย จำแนกเป็น ทักษะ การเคลื่อนไหวของร่างกาย, ทักษะการเคลื่อนไหวอวัยวะสองส่วนหรือมากกว่าพร้อมๆกัน, ทักษะการสื่อสาร โดยใช้ทา่ ทาง และทกั ษะการแสดงพฤติกรรมทางการพดู แสดงใหเ้ หน็ ดังภาพ Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

23 พุทธิพิสยั ทักษะพิสยั จิตพิสัย Cognitive Domain Cognitive Domain Cognitive Domain สำหรับการจัดการเรียนรู้ หัวใจสำคัญของกระบวนการจัดการเรียนรู้ก็คือ การออกแบบการจัดการ เรียนรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาคุณภาพให้ผู้เรียนบรรลุตามผลลัพธ์การเรียนรู้ (ผลการเรียนรู้ท่ี คาดหวัง) ทั้งนี้กระบวนการการจัดการเรียนรู้จะต้องมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน ประกอบด้วยองค์สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การกำหนดวัตถุประสงค์ (Objective) การวัดและการประเมินผล (Evaluation) วิธีการ เรียนการสอน (Learning) ผลของการเรียนรู้จะทำให้ผู้เรียนก่อเกิดความรู้ (knowledge) ทักษะ (Skill) และคณุ ลักษณะ (Attitude) ซึ่งเป็นองคป์ ระกอบสำคัญของสมรรถนะ (Competency) แสดงได้ดังภาพ สมรรถนะ Competency Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

24 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีฐานคิดมาจากแนวคิดของ Prof. David C. McClelland นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Harvard ที่กล่าวไว้ว่า “สมรรถนะ คือ บุคลิกลักษณะ ที่ซ่อนอยู่ภายในปัจเจกบุคคล ซึ่งผลักดันให้บุคคลนั้น สามารถสร้างผลการปฏิบัติงานที่ดี หรือปฏิบัติงานที่ รับผิดชอบได้ตามเกณฑ์ ที่กำหนด” ซึ่งความหมายในบริบทของผู้เรียน สมรรถนะ หมายถึง คุณลักษณะเชิง พฤติกรรมที่เป็นผลมาจากความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคุณลักษณะอื่นๆ ที่ทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ หรือปฏบิ ัติงานหรือสรา้ งผลงานไดโ้ ดดเดน่ กว่าเพ่ือนร่วมงานอื่น ๆ ในชัน้ เรยี น สมรรถนะประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 สว่ น สรุปได้ดงั น้ี 1. ทักษะ (Skills) หมายถึง สิ่งที่บุคคลกระทำได้ดี และฝึกปฏิบัติเป็นประจำจนเกิดความ ชำนาญ เช่น ทักษะของหมอฟนั ในการอุดฟนั โดยไม่ทำใหค้ นไข้ร้สู กึ เสยี วเส้นประสาท 2. ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ความรู้เฉพาะด้านของบุคคล เช่น ความรู้ภาษาอังกฤษ ความรู้ดา้ นการบริหารต้นทนุ เปน็ ตน้ 3. ภาพลักษณ์ภายในบุคคล (Self-Image / Self-concept) หมายถึง ทัศนคติ ค่านิยมและ ความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตนเอง หรือสิ่งที่บุคคลเชื่อว่าตนเองเป็น เช่น Self-confidence คนที่มี ความเชือ่ มั่น ในตนเองสงู จะเชื่อวา่ ตนเองสามารถแกป้ ัญหาตา่ งๆ ได้ 4. คณุ ลกั ษณะภายในหรอื อุปนิสัย (Traits) หมายถึง บุคลิกลกั ษณะประจำตวั ของบุคคล เป็น สิ่งที่อธบิ ายถงึ บคุ คลนัน้ เช่น เปน็ คนท่ีนา่ เช่อื ถอื และไว้วางใจ หรือมีลักษณะเป็นผู้นำ เปน็ ต้น 5. แรงจูงใจ (Motive) หมายถงึ แรงขบั ภายใน ซ่งึ ทำใหบ้ คุ คลแสดงพฤติกรรมที่มุ่งสู่ส่ิงที่เป็น เป้าหมาย เช่น บุคคลที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ (Achievement Orientation) มักชอบตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย และ พยายามทำงานสำเรจ็ ตามเปา้ ท่ตี ง้ั ไว้ ตลอดจนพยายามปรบั ปรุงการทำงานของตนเองตลอดเวลา โดยความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ของสมรรถนะนั้นนิยมทำการอธิบายด้วยโมเดลภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg Model) ดังภาพ SKILLS , KNOWLEDGE SELF-IMAGE TRAITS MOTIVES คณุ ลักษณะ Attitude เนื่องจาก สมรรถนะ (Competency) เป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจาก ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) และคุณลักษณะ (Attributes) จึงส่งผลให้คนทั่วไปสับสนว่า สมรรถนะ (Competency) แตกต่างจาก Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

25 ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) และทัศนคติ/แรงจูงใจ (Attitude/Motive) อย่างไร หรือความรู้หรือ ทักษะที่บุคคลมีอยู่นั่นถือเป็น Competency หรือไม่ เพื่อ ไม่ให้เกิดความสับสน สถาบัน Schoonover Associates ไดม้ กี ารศกึ ษาและอธิบายในเชิงเปรียบเทียบไว้ดงั นี้ สมรรถนะ กบั ความรู้ ความรู้ อย่างเดยี วไมถ่ ือเปน็ สมรรถนะ เว้นแตค่ วามรู้ในเรอื่ งน้ันจะนำมาประยุกตใ์ ช้กบั งานให้ประสบ ผลสำเร็จ จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของ สมรรถนะ ตัวอย่างเช่น ความรู้และความเข้าใจในความไม่แน่นอนของ “ราคา” ในตลาด ถือเป็นความรู้ แต่ความสามารถในการนำความรู้และความเข้าใจในความไม่แน่นอนของ” ราคา” ในตลาดมาพัฒนารูปแบบการกำหนด “ราคา” ได้นั้น จึงจะถอื เป็น “สมรรถนะ” สมรรถนะ กบั ทักษะ ทักษะอย่างเดียวไม่ถือเป็น สมรรถนะ แต่ทักษะที่ก่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างชัดเจนถือเป็น สมรรถนะ ตัวอย่างเช่น ความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นทักษะ แต่ความสามารถในการวางตำแหน่ง ผลติ ภณั ฑ์ใหม่ (Positioning) ในตลาดใหแ้ ตกต่างจากคแู่ ขง่ ถอื เป็น “สมรรถนะ” สมรรถนะ กบั แรงจูงใจ/คณุ ลักษณะ สมรรถนะ ไม่ใช่แรงจูงใจหรือทัศนคติ แต่เป็นแรงขับภายใน ที่ทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่ ตน มุ่งหวังไปสู่สิ่งที่เป็นเป้าหมายของเขา ตัวอย่างเช่น การต้องการความสำเร็จ เป็นแรงจูงใจที่ก่อให้เกิดแนวคิด หรือทัศนคติที่ต้องการสร้างผลงานที่ดี แต่ความสามารถในการทำงานให้สำเร็จได้ตรงตามเวลาที่กำหนด ถือ เป็น “สมรรถนะ” ซึ่งสรุปได้ว่า สมรรถนะ เป็นความสามารถของบุคคลในการใช้ความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณลักษณะ ของบุคคลนั้นๆ มีอยู่ในการทำงาน หรือการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ จนประสบความสำเร็จและบรรลุ วตั ถุประสงคข์ องการทำงาน ดงั นี้ Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

26 คุณภาพผู้เรียนดา้ นสมรรถนะสำคัญตามหลักสตู ร สมรรถนะสำคัญตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดคุณภาพ ผ้เู รียนไว้ 5 สมรรถนะ ประกอบดว้ ย 1. ความสามารถในการสื่อสาร หมายถึง ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพ่อื เปล่ียนข้อมูลขา่ วสารและประสบการณ์อนั จะเปน็ ประโยชนต์ ่อการพัฒนาตนเองและ สงั คม รวมทัง้ การเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแยง้ ตา่ ง ๆ การเลอื กรับหรือไมร่ ับข้อมูลข่าวสาร ด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลอื กใช้วิธีการสือ่ สารท่ีมปี ระสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่ มตี อ่ ตนเองและสงั คม 2. ความสามารถในการคดิ หมายถึง รู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอย่างมี วิจารณญาณ และคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับ ตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา หมายถึง เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรูม้ าใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพื้นฐานของหลักเหตุผลคุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึง ผลกระทบท่ีเกิดข้ึนต่อตนเอง สงั คมและสงิ่ แวดลอ้ ม Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

27 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต หมายถึง ใช้กระบวนการต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เรียนรู้ด้วยตนเองต่อเนื่อง ทำงานและอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล จัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆอย่างเหมาะสม รู้จักปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม สภาพแวดลอ้ ม และหลกี เลย่ี งพฤตกิ รรมไม่พงึ ประสงค์ทส่ี ่งผลกระทบตอ่ ตนเองและผอู้ ่ืน 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี หมายถึง รู้จักเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ทักษะ กระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ถกู ต้องเหมาะสมและมคี ณุ ธรรม การประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น การประเมินสมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน (Competency Assessment) หมายถงึ กระบวนการใน การประเมินความรู ทักษะ ความสามารถ พฤติกรรมของผู้เรียน รวมทั้งคุณลักษณะที่แสดงออกของผู้เรียน นำมาเปรียบเทียบกับระดับสมรรถนะที่คาดหวังของพฤติกรรมบ่งชี้นั้นๆ เพื่อใช้ในการออกแบบวิธีการพฒั นา ผู้เรียน หรือนําไปใชประโยชนในการวางออกแบบการจัดการเรียนรู้ การประเมินสมรรถนะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้ 1. เป็นการประเมนิ อย่างเป็นระบบ 2. มกี ารกำหนดวตั ถุประสงคในการประเมินอย่างชัดเจน 3. เป็นกระบวนการทส่ี ามารถวัดประเมนิ ได้ 4. ใชเคร่ืองมือการวัดประเมนิ ทม่ี ีความเทีย่ ง และมีความเชือ่ ถอื ได้ จากการศกึ ษาคูม่ อื วทิ ยากรแกนนำ Active Learning พบว่า การประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน สามารถจำแนกรปู แบบการประเมนิ ได้ 2 รปู แบบ ดงั นี้ 1. การประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน เฉพาะสมรรถนะสำคญั ตามหลกั สูตร 2. การประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี นตามหลักสูตร เช่อื มโยงกระบวนการจดั การเรียนรู้ เชิงรุก ซ่ึงมรี ายละเอยี ดดังนี้ Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

28 การประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น เฉพาะสมรรถนะสำคัญตามหลกั สูตร การประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน เป็นการประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ประกอบด้วย 5 สมรรถนะ 16 ตวั ชีว้ ัด โดยมีรายละเอียด ดังน้ี สมรรถนะ ตัวชี้วัด ความสามารถในการสื่อสาร 1. ใชภ้ าษาถา่ ยทอดความรคู้ วามเข้าใจ ความคดิ ความรสู้ กึ และทศั นะของตนเอง จำนวน 4 ตัวชวี้ ดั 2. พูดเจรจาต่อรอง 3. เลอื กรับหรอื ไมร่ ับขอ้ มลู ขา่ วสาร 4. เลือกใชว้ ิธีการส่อื สาร ความสามารถในการคดิ 1. คิดพ้ืนฐาน จำนวน 2 ตัวชว้ี ัด 2. คิดข้ันสูง ความสามารถในการแกป้ ัญหา 1. ใช้กระบวนการแก้ปัญหาโดยการวิเคราะห์ปัญหา วางแผนในการแก้ปัญหา จำนวน 2 ตัวชี้วัด ดำเนินการแกป้ ัญหา ตรวจสอบและสรุป 2. ผลลพั ธ์ท่ีเกดิ จากการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ 1. นำกระบวนการเรยี นรู้ทีห่ ลากหลายไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวัน ทกั ษะชีวติ จำนวน 6 ตวั ชวี้ ดั 2. เรยี นรู้ด้วยตนเองและเรียนรู้อยา่ งต่อเนือ่ ง 3. ทำงานและอยู่ร่วมกนั ในสังคมอยา่ งมีความสขุ 4. จดั การกบั ปัญหาและความขดั แย้งในสถานการณ์ต่างๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม 5. ปรบั ตัวตอ่ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสภาพแวดลอ้ ม 6. หลีกเลย่ี งพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ทส่ี ่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อนื่ ความสามารถในการใช้ 1. เลอื กและใช้เทคโนโลยีเพอ่ื พฒั นาตนเองและสงั คม เทคโนโลยี จำนวน 2 ตวั ช้ีวดั 2. มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

29 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสำนักงานทดสอบทางการศึกษา ได้จัดทำคู่มือ ประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ขึ้น มีวัตถุประสงค์สำคัญตามแนวคิดที่กล่าวว่า นอกเหนือจากคุณภาพผู้เรียนตาม มาตรฐาน/ตัวชี้วัด และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แล้วนั้น การประเมินสมรรถนะของผู้เรียนยังเป็นกลไก สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ประกอบด้วยคูม่ ือประเมิน จำนวน 3 เล่ม ซง่ึ แสดงภาพตัวอยา่ งคมู่ ือ ดงั น้ี (สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็ปไซต์ของสำนักทดสอบทางการศึกษา https://bet.obec.go.th) Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

30 การประเมินสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียนดงั กล่าว ใช้รปู แบบการประเมนิ จากหลายแหล่ง (Multi-rater Approach) และการประเมนิ ด้วยวธิ กี ารทห่ี ลากหลาย แสดงรายละเอียด ดงั ภาพ ทั้งนี้ แบบประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ประกอบด้วย เครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรียน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) แบบประเมินสำหรับครูประเมินผู้เรียน 2) แบบประเมินสำหรับผู้เรียนประเมินตนเอง (การ ประเมินพฤติกรรมและการประเมินทัศนคติ) และ 3) แบบประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนสำหรับเพื่อน ประเมนิ ผู้เรียน ในส่วนของค่มู ือประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานตามหลักสตู รแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นแนวทางสำหรับการประเมินสมรรถนะสำคัญของรายสมรรถนะ ดังนั้นหากจะนำไปใช้ในการวัดและประเมินผลการจดั การเรยี นรู้ในชัน้ เรียนทีม่ ีการออกแบบการจัดการเรียนรู้ เชิงรุก (Active learning ) เพื่อประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนตามผลการจัดการเรียนรู้ที่คาดหวังที่ ออกแบบไว้นั้น จะต้องมีการบูรณาการโดยนำเกณฑ์คุณภาพในการประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (Rubric) มาใชป้ ระกอบการสร้างเกณฑ์การประเมินการวัดผลตามจุดประสงค์การเรียนรู้น้ัน ๆ ดังการประเมิน สมรรถนะสำคญั ในรปู แบบ ตอ่ ไปนี้ Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

31 การประเมินสมรรถนะสำคญั ของผู้เรียนตามหลกั สตู ร เชื่อมโยงกระบวนการจัดการเรียนรูเ้ ชิงรุก เป็นการเชื่อมโยงกระบวนการจัดการเรียนรู้เชงิ รุก (Active learning) กับ สมรรถนะ (Competency Assessment) โดยอิงเกณฑ์คุณภาพในการประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (Rubric) ตามแนวทาง ของสพฐ. ด้วยการวเิ คราะห์ผลลพั ธ์การเรยี นรู้ (มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวช้วี ดั ) ทกี่ ารบูรณาการระหว่างความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ (KSA) รว่ มกับ สมรรถนะสำคญั โดยการออกแบบภาระงาน สร้างภาระงานที่มีการลง มือปฏิบัติ นำเสนอความก้าวหน้าเพื่อให้เกิดข้อมูลย้อยกลับในการพัฒนางาน และนำเสนอผลงานเพื่อรับการ ประเมินเพื่อตัดสิน มีการประเมินด้วยรูปแบบที่หลากหลายด้วยเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรียน โดยองิ เกณฑค์ ุณภาพในการประเมินสมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น (Rubric) ตามแนวทางของสพฐ. ทั้งนี้ผู้ออกแบบหลักสตู รฝึกอบรม จะนำแสนอการเชือ่ มโยงกระบวนการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) กับ สมรรถนะ (Competency Assessment) ตามหลักการของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ด้วยการ กำหนดภาระงาน/งาน/สถานการณ์ตามตัวชี้วัด เพื่อลงสู่กระบวนการของการออกแบบการวัดและประเมินผล ในหน่วยที่ 3 ออกแบบการวัดและประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนสู่ชั้นเรียนได้อย่างไร ในหน่วยน้ี ขอนำเสนอวิธีการในเชอื่ มโยงกระบวนการจัดการเรยี นรู้เชงิ รกุ โดยการวิเคราะห์ภาระงาน ดังนี้ การวิเคราะหภ์ าระงานตามการเรียนการสอน การวิเคราะห์ภาระงาน (Task Analysis) เป็นศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้ความรู้ (knowledge) ทักษะ (Skill) และคุณลักษณะ (Attitude) ที่เกี่ยวข้องเพื่ออธิบายภาระงานหรือกิจกรรมที่ช่วยนำทางผู้เรียน ไปสู่จุดหมายการเรียนรู้หรือผลลัพธ์ของการเรียนรู้ การวิเคราะห์งานจะเขียนแสดงความสัมพันธ์ด้วย KSA diagram คือ Knowledge-Skill Attitudes การวิเคราะห์ภาระงานเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์การเรียน การสอน ซึง่ ประกอบด้วย 3 ข้ันตอน ดังน้ี 1.ตัดสินใจให้ได้ว่าเป็นความต้องการในเรื่องการเรียนการสอน มีภาระงานที่เกี่ยวข้องกับ การเรยี นการสอน 2.ตอ้ งความชัดเจนวา่ ต้องเรยี นรูเ้ รอ่ื งใดมาก่อน จงึ จะนำไปสูผ่ ลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 3.การประเมนิ การเรียนรู้ของผู้เรยี น จากขั้นท่ี 2 บอกใหร้ ู้ว่าผเู้ รียนจะตอ้ งเรียนรู้และวัดผลใน เรอื่ งใด Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

32 ตัวอยา่ งการวิเคราะหภ์ าระงาน / งานหรือกจิ กรรม / สถานการณ์ 1) การวิเคราะหภ์ าระงานของจดุ มุ่งหมายเชงิ พฤติกรรม (จดุ ประสงค์) ผลลัพธก์ ารเรยี นรู้ จุดมงุ่ หมายเชิงพฤติกรรม ความรู้ ทักษะ คณุ ลักษณะ (knowledge) (Skill) (Attitude) 1. อ่านออกเสียงคำ ข้อความ เรอ่ื งสน้ั ๆ และบทร้อย / กรองตา่ งๆ ได้ถูกต้องคล่องแคลว่ 2. มมี ารยาทในการฟัง การดู และการพูด / 3. เขยี นสะกดคำและบอกความหมายของคำ // 4. รู้จกั เพลงพนื้ บ้านและเพลงกลอ่ มเด็ก เพ่ือปลกู ฝัง / / ความช่นื ชมวัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน 2) การวเิ คราะห์ภาระงานของจุดมงุ่ หมายเชิงพฤตกิ รรม ร่วมกับสมรรถนะ สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน จุดมงุ่ หมายเชิงพฤติกรรม การ การคิด การแกไ้ ข ทกั ษะชีวติ การใช้ สื่อสาร ปัญหา เทคโนโลยี เขียนสะกดคำและบอกความหมาย / / ของคำ 3) การวเิ คราะห์กจิ กรรม รว่ มกับสมรรถนะ สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน กจิ กรรม การ การคิด การแกไ้ ข ทักษะชีวติ การใช้ ส่ือสาร ปัญหา เทคโนโลยี กจิ กรรมสถาปนกิ ตัวจิว๋ //// กิจกรรมสำรวจและนำเสนอข้อมูล / / / / / Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

33 4) การวิเคราะห์สถานการณ์ ร่วมกับสมรรถนะ สถานการณ์ สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น การ การคิด การแก้ไข ทักษะชีวิต การใช้ สื่อสาร ปญั หา เทคโนโลยี ///// สถานการณ์ : จากภาพ นักเรียนคิดว่า แก้วน้ำใบไหนมีปริมาณน้ำมากที่สุด เพราะเหตุใด ? //// สถานการณ์ : ถ้านักเรียนมีเงิน 39 บาท แต่ต้องซื้อข้าวทานทั้ง 3 มื้อ นักเรียนจะ จดั การกบั เงินท่ีมอี ยา่ งไร ? นอกจากความรู้ในด้านการวิเคราะห์ภาระงาน (Task Analysis) แล้ว ผู้เข้าอบรมพัฒนาจะต้อง มคี วามรใู้ นด้านเกณฑก์ ารประเมิน (Rubric) ดังเน้ือหาตอ่ ไป Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

34 เกณฑ์การประเมินคณุ ภาพในการประเมินสมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubric) คือ เกณฑก์ ารให้คะแนนท่ีถูกพัฒนาโดยครูหรือผูป้ ระเมินที่ใช้วิเคราะห์ ผลงานหรือกระบวนการที่ผู้เรียนได้พยายามสร้างขึ้น การประเมินผลงานของผู้เรียนจะมี 2 ลักษณะ คือ ผลงานที่ได้จากกระบวนการของผู้เรียน และกระบวนการท่ีผู้เรียนใช้เพื่อให้เกิดผลงาน จะประเมินใน ลักษณะใดขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ อาจจะประเมินลักษณะใดลักษณะหนึ่งหรือประเมิน ทงั้ สองลกั ษณะกไ็ ด้ ผปู้ ระเมนิ จะต้องตดั สนิ คณุ ภาพของผลงานหรอื กระบวนการปฏิบตั งิ านของผเู้ รียนแต่ละคน ที่มีระดับที่แตกต่างกนั หลายระดับ ระดับที่แตกต่างกันอาจจะเป็นระดับคณุ ภาพของช้ินงานที่ได้สร้างขึ้น หรือ ระดับของกระบวนการต่าง ๆ ที่ผู้เรียนแต่ละคนได้ใช้เพื่อให้เกิดผลงาน เพื่อให้การตัดสินใจสอดคล้องกับ ผู้เรียนแต่ละคน ผู้ประเมินจะต้องใช้เกณฑ์ในการประเมินคุณภาพชิ้นงานของผู้เรียน เกณฑ์อาจจะอยู่ใน เชิงคุณภาพหรือปริมาณ อาจจะมีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) หรือแบบตรวจสอบ (Checklist) โดยปกติจะใช้ Rubric ในการประเมินจุดประสงค์การเรียนรู้เดียวหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของงาน ปฏิบตั ิ แตก่ ารปฏบิ ตั ิงานทีม่ ีซบั ซ้อน ผู้ประเมนิ จะต้องประเมนิ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรทู้ ีห่ ลากหลายและประเมิน หลาย ๆ ส่วนของการปฏิบัติ นั่นคือผู้ประเมินจะต้องมีเกณฑ์การให้คะแนนที่มากมายเพื่อให้เหมาะกับ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ท่แี ตกต่างกัน หรือเหมาะกบั แต่ละสว่ นของการปฏบิ ตั ิงาน การใหค้ ะแนนจะอยู่ในรูปของ ตวั เลข โดยปกติจะเปน็ 0-3 หรอื 1-4 ในแตล่ ะระดบั ของคะแนนจะขนึ้ อยู่กับระดับของคุณภาพของงาน ดังน้ัน ตัวเลข 4 อาจจะหมายถึงระดับคุณภาพสูงสุด เลข 3 เป็นระดับคุณภาพรองลงมา คุณภาพของงานในแต่ละ ระดับจะต้องใช้การอธิบาย (Rubric) ดังนั้นในแต่ละระดับคะแนนจะต้องอธิบายเป็นภาษาที่แสดงให้เห็นถึง คุณภาพของการปฏบิ ตั งิ านในระดับนั้น ซงึ่ แบง่ ประเภทของเกณฑ์การประเมิน ได้ดังน้ี 1. เกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubrics) เป็นเกณฑ์การให้คะแนนผลงานหรือ กระบวนการที่ไม่ได้แยกส่วนหรือแยกองค์ประกอบการให้คะแนน คือ จะประเมินในภาพรวมของผลงานหรือ กระบวนการน้นั Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

35 ตวั อยา่ งเกณฑ์การประเมิน ระดับคะแนน ลักษณะงาน 3 (ดี) เขียนได้ตรงประเด็นตามที่กำหนดไว้ มีรูปแบบการเขียนชัดเจน เช่น มีคำนำ 2 (ผ่าน) เนื้อหา และบทสรุป ภาษาที่ใช้ เช่น ตัวสะกดและไวยากรณ์มีความถูกต้อง 1 (ตอ้ งปรับปรุง) สมบรู ณ์ ทำใหผ้ อู้ า่ นเข้าใจง่าย มแี นวคิดที่น่าสนใจ ใชภ้ าษาสละสลวย เขยี นไดต้ รงประเด็นที่กำหนดไว้ มรี ปู แบบการเขยี นทีช่ ดั เจน เช่น มีคำนำ เน้ือหา และบทสรปุ ภาษาท่ีใช้ทำใหผ้ ู้อา่ นเขา้ ใจ เขียนไมต่ รงประเด็น รูปแบบการเขยี นไม่ถูกต้อง ภาษาทใ่ี ช้ทำใหผ้ อู้ ่านเกิดความ สบั สน ใชค้ ำศัพท์เหมาะสม 2. เกณฑ์การประเมินแบบแยกส่วน (Analytic Rubrics) เป็นเกณฑ์การให้คะแนนที่แยกส่วนหรือ องค์ประกอบคุณลักษณะของผลงานหรือกระบวนการ แล้วนำแต่ละส่วนหรือองค์ประกอบของคุณลักษณะมา รวมกันเป็นคะแนนรวม ตวั อย่างเกณฑ์การประเมนิ ประเดน็ ระดบั เกณฑ์การให้คะแนน การประเมิน เน้อื หา 1 เนอื้ หาสอดคล้องกบั เนอื้ เรื่อง 2 เนอื้ หาสอดคลอ้ งกับเน้อื เรือ่ ง เรียงลำดับเนอ้ื เรือ่ งชัดเจน การใช้ภาษา 3 เนื้อหาสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง เรียงลำดับเนื้อเรื่องชัดเจน มีรายละเอียด น่าสนใจ 4 เนื้อหาสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง เรียงลำดับเนื้อเรื่องชัดเจน มีรายละเอียด นา่ สนใจ แสดงออกถึงการมจี นิ ตนาการ 1 ผดิ พลาดมาก แตย่ ังสามารถสอ่ื ความหมายได้ 2 ใชภ้ าษาถกู ตอ้ งบา้ ง และสามารถส่ือความหมายได้ 3 ใชภ้ าษาถกู ตอ้ งเป็นส่วนใหญ่ และสามารถส่ือความหมายได้และสามารถ เช่อื มโยงภาษาไดด้ ี 4 ใช้ภาษาถูกต้องเกือบทั้งหมด สื่อความหมายได้ชัดเจน มีการเชื่อมโยง ภาษาไดอ้ ย่างความสละสลวย งดงาม Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

36 ขั้นตอนการออกแบบเกณฑ์การประเมนิ (Rubric) ขั้นที่ 1 วิเคราะห์และระบุตัวชี้วัดที่ใช้เกณฑ์การประเมินเป็นเครื่องมือในการวัดและ ประเมินผล ขน้ั ท่ี 2 อธิบายคุณลักษณะ ทกั ษะ หรือพฤตกิ รรมทผ่ี ้สู อนต้องการเห็น รวมทงั้ ขอ้ ผิดพลาดทั่ว ๆ ไปท่ไี ม่ต้องการใหเ้ กิด ขั้นที่ 3 อธิบายลักษณะการปฏิบัติที่สูงกว่าระดับค่าเฉลี่ย ระดับค่าเฉลี่ย และต่ำกว่าระดับ คา่ เฉลย่ี สำหรบั แต่ละคุณลกั ษณะท่สี งั เกตจากข้นั ท่ี 2 ขั้นที่ 4 สำหรับเกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม เขียนคำบรรยายลักษณะงานที่ดีและงานที่ ไม่ดี โดยรวมทุกเกณฑ์หรือทุกคุณลักษณะเข้าด้วยกันเป็นข้อความเดียว สำหรับเกณฑ์การประเมินแบบแยก ส่วน เขียนคำบรรยายลักษณะงานท่ดี แี ละงานท่ีไม่ดี โดยแยกแตล่ ะเกณฑ์หรอื แต่ละคุณลกั ษณะ ขั้นที่ 5 สำหรับเกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม เขียนรายละเอียดการปฏิบัติที่อยู่ระหว่าง กลางของระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย ระดับค่าเฉลี่ย และระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เพื่อให้เกณฑ์การประเมินส มบูรณ์ สำหรับเกณฑ์การประเมินแบบแยกส่วน เขียนรายละเอียดสำหรับการปฏิบัติที่อยู่ระหว่างกลางของทุกเกณฑ์ หรือทกุ คุณลักษณะ ขั้นที่ 6 รวบรวมตัวอย่างผลงานของผู้เรียนซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละระดับ ซึ่งจะช่วยการให้ คะแนนในอนาคตของครู ขั้นท่ี 7 ทบทวนเกณฑก์ ารประเมินที่ทำแล้ว ตัวอยา่ ง เกณฑ์การประเมินสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี นตามหลักสูตร เชื่อมโยงกระบวนการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ สถานการณ์ มีข่าวสารเกี่ยวกับการปล่อยน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ครูธารใส ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับน้ำเสีย ตระหนักถึงความสำคัญของการบำบัดน้ำเสียและรู้วิธี แก้ปัญหาก่อนที่จะปล่อยน้ำลงสู่ท่อระบายน้ำ โดยให้ผู้เรียนได้สำรวจแหล่งน้ำที่มาของน้ำเสียภายใน บริเวณโรงเรียน ซึ่งพบว่า บริเวณโรงเรียนอาหารมีแหล่งน้ำเสีย จึงได้กำหนดภาระงานให้ผู้เรียนทำ ชิ้นงาน เกีย่ วกับ การทำท่ีดกั ไขมันจากร้านอาหารในบริเวณโรงเรียน Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

37 ภาระงาน คอื การทำทีด่ ักไขมนั จากรา้ นอาหารในบริเวณโรงเรยี น วเิ คราะหส์ มรรถนะตามหลกั สตู ร คอื สมรรถนะที่ 1 ความสามารถในการส่ือสาร ออกแบบเกณฑ์การประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี นตามหลกั สตู ร เช่ือมโยงกระบวนการจัดการ เรียนร้เู ชงิ รกุ โดยอิงเกณฑค์ ุณภาพในการประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน (Rubric) ตามแนวทางของสพฐ เชน่ คะแนน ระดับคณุ ภาพ ประเด็น 4321 การศึกษาค้นควา้ -หาข้อมูลจาก -หาขอ้ มูลจาก -หาข้อมูลจาก -หาข้อมลู จาก ข้อมูล แหล่งท่หี ลากหลาย แหล่งที่หลากหลาย แหล่งท่ีหลากหลาย แหลง่ เดียว -แหล่งขอ้ มูล -แหล่งขอ้ มูล -แหลง่ ขอ้ มูล -แหล่งขอ้ มูล เชือ่ ถือได้ เชื่อถือได้ เชอ่ื ถือได้ เชอ่ื ถือไม่ได้ -ขอ้ มูลที่ไดม้ ี -ข้อมูลที่ไดม้ ี -ขอ้ มลู ท่ีไดไ้ มม่ ี -ข้อมูลท่ีได้มี คณุ ภาพ คุณภาพ คณุ ภาพ คุณภาพ -มีการอ้างอิง -ไม่มีการอา้ งอิง -ไม่มีการอา้ งอิง -ไมม่ ีการอา้ งองิ แหล่งขอ้ มลู แหลง่ ข้อมลู แหลง่ ข้อมลู แหล่งข้อมลู รูปแบบการประเมินผลการเรียนรู้ในชั้นเรยี น 1. การสังเกตพฤติกรรม เป็นการเก็บข้อมูลจากการสังเกตการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน โดยไม่ ขัดจังหวะการทำงานหรือการคิดของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ทำได้ตลอดเวลา แต่ควรมี กระบวนการและมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องการประเมินอะไร โดยอาจใช้เครื่องมือ เช่น แบบประเมินค่า แบบตรวจสอบรายการ สมดุ จดบันทึกเพื่อประเมินผู้เรียนตามตวั ชี้วดั และ ควรสงั เกตหลายครั้งเพ่ือขจัดความ ลำเอยี ง Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

38 2. การสอบปากเปลา่ เปน็ การให้ผู้เรยี นไดแ้ สดงออกด้วยการพดู ตอบประเด็นเกย่ี วกับการเรยี นรู้ตาม มาตรฐาน แลว้ ผสู้ อนเกบ็ ข้อมลู โดยจดบันทึก การประเมินรูปแบบน้ผี ู้สอนและผเู้ รียนมปี ฏิสัมพันธ์กัน สามารถ มีการอภิปราย โต้แย้ง ขยายความ ปรับแก้ไขความคิดกันได้ มีข้อที่พึงระวัง คือ อย่าเพิ่งขัดความคิดขณะท่ี ผู้เรยี นกำลงั พดู 3. การพูดคยุ เป็นการส่อื สาร 2 ทางอีกประเภทหนึ่งระหวา่ งผสู้ อนกับผู้เรยี น สามารถดำเนินการเป็น กลมุ่ หรอื รายบคุ คลก็ได้ โดยท่วั ไปมักใชเ้ พ่อื ติดตามตรวจสอบวา่ ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้เพยี งใด เปน็ ขอ้ มลู สำหรับ พฒั นา วิธกี ารนอ้ี าจใช้เวลาแต่มีประโยชนต์ ่อการคน้ หา วนิ ิจฉยั ขอ้ ปญั หา ตลอดจนเรอ่ื งอ่ืน ๆ ทีอ่ าจเป็นปัญหา อุปสรรคต่อการเรยี นรู้ เช่น วธิ ีการเรยี นรู้ท่แี ตกตา่ งกัน เปน็ ตน้ 4. การใช้คำถาม การใชค้ ำถามเป็นเรือ่ งปกติมากในการจัดการเรียนรู้ แต่ข้อมูลงานวิจยั บ่งชี้ว่าคำถาม ท่คี รูใช้สว่ นใหญเ่ ปน็ ด้านความจำ และเปน็ เชิงการจดั การทัว่ ๆ ไป เพราะถามงา่ ยแตไ่ มท่ ้าทายให้ผูเ้ รยี นต้องทำ ความเขา้ ใจและเรยี นรู้ให้ลึกซึ้ง การพฒั นาการใช้คำถามให้มีประสิทธิภาพ แม้จะเปน็ เร่ืองท่ียากแต่สามารถทำ ให้ได้ผลรวดเร็วขึ้น หากผู้สอนมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการถาม เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดอย่างสม่ำเสมอ วิธีการฝกึ ถามให้มีประสทิ ธิภาพ 5 วธิ ี ดงั นี้ วิธีที่ 1 ให้คำตอบที่เป็นไปได้หลากหลาย เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้นเปลี่ยนการถาม แบบความจำให้เป็นคำถามที่ต้องใช้การคิดบ้าง เพราะมีคำตอบที่เป็นไปได้หลายคำตอบ (แต่พึงระวังวา่ การใช้ คำถามแบบนี้หมายความว่าผู้เรียนต้องผ่านการเรียนรู้ มีความเข้าใจพื้นฐานตามตัวช้ีวัด ที่กำหนดให้เรียนรู้ มาแล้ว) คำถามแบบนี้ทำให้ผู้เรียนต้องตัดสินใจว่า คำตอบใดถูกหรือใกล้เคียงที่สุด เพราะเหตุใด และที่ไม่ถูก เพราะเหตุใด นอกจากนี้การใช้คำถามแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ยิ่งขึ้นอีกหากมีกิจกรรมให้ผู้เรียนทำเพื่อ พสิ จู นค์ ำตอบ เชน่ คำถามจำ : การออกกำลังกายแบบใดทำให้หัวใจ คำถามคิด : การออกกำลังกายแบบใด ช่วยให้ ทำงานดีข้นึ หัวใจทำงานไดด้ ีขนึ้ วิธีที่ 2 เปลี่ยนคำถามจำให้เป็นประโยคบอกเล่า เพื่อให้ผู้เรยี นระบุว่า เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย พร้อมเหตุผล การใช้วิธีนี้จะต้องให้ผู้เรียนได้อภิปราย ผู้เรียนต้องใช้การคิดที่สูงขึ้นกว่าวิธีแรก เพราะผู้เรียน จะต้องยกตัวอย่างเพื่อสนับสนุนความเห็นของตน เมื่อให้ประโยคที่ผู้เรียนจะต้องสะท้อนความคิดเห็น ผู้เรียน จะต้องปกป้องหรืออธิบายทัศนะของตน การฝึกด้วยวิธีการนี้บ่อย ๆ จะเป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ฟังที่ดี มีจิตใจเปิดกว้าง พร้อมรับฟังและเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นผ่านกระบวนการอภิปราย ครูใช้วิธีการนี้กดดันให้ เกิดการอภิปรายอยา่ งมีคณุ ภาพระหวา่ งเด็กต่อเด็กและให้ขอ้ มลู เพื่อการพฒั นาแก่ทุกคนในชั้นเรยี น เช่น คำถามจำ : การออกกำลังกายแบบใดทำให้ คำถามคดิ : “การออกกำลงั กายแบบต่าง ๆนนั้ หวั ใจทำงานไดด้ ีขึ้น ทำใหห้ วั ใจทำงานไดด้ ีขึน้ ” ท่านเห็นด้วย หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

39 วิธีที่ 3 หาสิ่งตรงกันข้าม หรือสิ่งที่ใช่/ถูก สิ่งที่ไม่ใช่/ผิด และถามเหตุผล วิธีการนี้ใช้ได้ดีกับ เนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริง เช่น จำนวนในวชิ าคณติ ศาสตร์ การสะกดคำ โครงสรา้ งไวยากรณ์ในวิชาภาษา เป็นต้น เม่ือได้รบั คำถามว่าทำไมทำเชน่ น้ีถูก แตท่ ำเชน่ นั้นผิด หรอื ทำไมผลบวกนถ้ี ูกแตผ่ ลบวกนผี้ ิด หรือทำไมประโยค นี้ถูกไวยากรณ์แต่ประโยคนั้นผิดไวยากรณ์ เป็นต้น จะเป็นโอกาสให้ผู้เรียนคิดและอภิปราย มากกว่าเพียง การถามว่าทำไมโดยไม่มีการเปรยี บเทยี บกนั และวธิ กี ารนี้จะใชก้ ับการทำงานเป็นคมู่ ากกว่าถามท้ังห้องแล้วให้ ยกมือตอบ คำถามจำ : พชื ตอ้ งการอะไรเพ่อื การ คำถามคดิ : ทำไมตน้ ไม้ตน้ นี้จงึ สมบรู ณ์ เจริญเติบโต แข็งแรง แต่อีกตน้ หนึ่งกำลังจะตาย คำถามจำ : อะไรทีท่ ำใหอ้ าหารม้ือนน้ั ๆ คำถามคดิ : จากภาพ เหตุใดภาพท่ี 1 มีประโยชน์ตอ่ ร่างกาย จึงเป็นอาหารสขุ ภาพ แต่ภาพที่ 2 ไมใ่ ช่ อาหารสขุ ภาพ วธิ ีท่ี 4 ให้คำตอบเปน็ ประเด็นสรปุ แลว้ ตามดว้ ยคำถามให้คิด เป็นการใหผ้ ้เู รียนต้องอธิบาย เพิ่มเติม คำถามจำ : จงบอกคำท่ีเป็นคำเชือ่ ม คำถามคดิ : ทำไมเราจึงเรียกคำวา่ “แต”่ คำถามจำ : การพรรณนาความทดี่ ี และ “ดังนนั้ ” ว่าเป็นคำเชือ่ ม ประกอบด้วยอะไรบ้าง คำถามคิด : ทำไมขอ้ ความนี้จึงเป็นการ พรรณนาความท่ดี ี วธิ ที ี่ 5 ตง้ั คำถามจากจุดยืนท่ีเห็นต่าง เปน็ วธิ ีท่ีต้องใช้ความสามารถมากท้ังผู้สอนและผู้เรียน เพราะมีประเดน็ ทีต่ อ้ งอภปิ รายโต้แย้งเชงิ ลึก เหมาะท่ีจะใช้อภิปรายในประเด็นทีเ่ กี่ยวกับสภาพเศรษฐกจิ สงั คม ปญั หาสุขภาพ ปัญหาเชงิ จรยิ ธรรม เปน็ ตน้ คำถามจำ : การรีไซเคลิ ดีอย่างไร คำถามคิด : เหตุใดโรงงานผลิตพลาสตกิ คำถามจำ : การสบู บหุ รีม่ อี ันตรายอยา่ งไร จึงชปู ระเด็นการรีไซเคลิ คำถามคิด : การสูบบหุ ร่คี วรเปน็ สิ่งที่เลอื ก กระทำหรอื ไม่ Module 4 การวัดประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

40 5. การเขียนสะท้อนการเรียนรู้ (Journals) เป็นรูปแบบการบันทึกการเขียนอีกรูปแบบหนึ่งที่ให้ ผู้เรียนเขียนตอบกระทู้หรือคำถามของครู ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับความรู้ ทักษะที่กำหนดในตัวชีว้ ัด การเขียน สะท้อนการเรียนรู้นี้นอกจากทำใหผ้ ู้สอนทราบความก้าวหน้าในผลการเรียนรู้แล้ว ยังใช้เป็นเครือ่ งมือประเมนิ พฒั นาการด้านทักษะการเขยี นได้อกี ด้วย 6. การประเมินการปฏบิ ัติ (Performance assessment) เปน็ วธิ กี ารประเมนิ งานหรอื กจิ กรรมท่ี ผูส้ อนมอบหมายให้ผูเ้ รียนปฏิบัติงาน เพื่อใหท้ ราบถงึ ผลการพัฒนาของผเู้ รียน การประเมนิ ลักษณะน้ผี ูส้ อน ต้องเตรยี มสงิ่ สำคญั 2ประการ คอื ภาระงาน (Tasks) หรอื กจิ กรรมท่จี ะให้ผ้เู รียนปฏบิ ัติ เช่น การทำโครงการ/ โครงงาน การสำรวจ การนำเสนอ การสร้างแบบจำลอง การทอ่ งปากเปลา่ การสาธิต การทดลองวทิ ยาศาสตร์ การจดั นทิ รรศการ การแสดงละคร เปน็ ต้น และเกณฑก์ ารให้คะแนน (Scoring Rubrics) ท่ีใชป้ ระเมนิ การ ปฏบิ ัติอาจจะปรบั เปล่ียนไปตามลักษณะงานหรือประเภทกิจกรรม ดงั น้ี ● ภาระงานหรือกิจกรรมที่เน้นขั้นตอนการปฏิบัติและผลงาน เช่น การทดลองวิทยาศาสตร์ การจัดนิทรรศการ การแสดงละคร การแสดงเคลื่อนไหว การประกอบอาหาร การประดิษฐ์ การสำรวจ การนำเสนอ การจัดทำแบบจำลอง เป็นต้น ผู้สอนจะต้องสังเกตและประเมินวิธีการทำงานที่เป็นขั้นตอนและ ผลงานของผูเ้ รยี น ●ภาระงานหรือกิจกรรมที่มุ่งเน้นการสร้างลักษณะนิสัย เช่น การรักษาความสะอาด การรักษาสาธารณสมบัติ/สิ่งแวดล้อม กิจกรรมหน้าเสาธง เป็นต้น ผู้สอนจะประเมินด้วยวิธีการสังเกต จดบนั ทึกเหตุการณ์เกยี่ วกบั ผู้เรียน ●ภาระงานที่มีลักษณะเป็นโครงการ/โครงงาน เป็นกิจกรรมที่เน้นขั้นตอนการปฏิบัติและ ผลงานที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ จึงควรมีการประเมินเป็นระยะ ๆ เช่น ระยะก่อนดำเนินโครงการ/ โครงงาน โดยประเมินความพร้อม การเตรียมการและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติงานระยะระหว่างดำเนิน โครงการ/โครงงาน จะประเมินการปฏิบัติจริงตามแผน วิธีการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ และการปรับปรุง ระหว่างการปฏิบัติ สำหรับระยะสิ้นสุดการดำเนินโครงการ/โครงงาน จะประเมนิ ผลงาน ผลกระทบและวิธีการ นำเสนอผลการดำเนนิ โครงการ/โครงงาน ● ภาระงานที่เน้นผลผลิตมากกว่ากระบวนการขั้นตอนการทำงาน เช่น การจัดทำแผนผัง แผนที่ แผนภูมิ กราฟ ตาราง ภาพ แผนผังความคิด เป็นต้น อาจประเมินเฉพาะคุณภาพของผลงานก็ได้ ใน การประเมินการปฏิบัติงาน ผู้สอนต้องสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ประกอบการประเมิน เช่น แบบมาตรประมาณคา่ แบบบันทกึ พฤตกิ รรม แบบตรวจสอบรายการ แบบบนั ทกึ ผลการปฏิบตั ิ เป็นตน้ Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

41 7. การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio assessment) แฟ้มสะสมงานเป็นการเกบ็ รวบรวม ชิ้นงานของผู้เรียน เพื่อสะท้อนความก้าวหน้าและความสำเร็จของผู้เรียน เช่น แฟ้มสะสมงานที่แสดง ความก้าวหน้าของผู้เรียน ต้องมีผลงานในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่แสดงถึงความก้าวหน้าของผู้เรียน หากเป็นแฟ้ม สะสมงานดีเด่นต้องแสดงผลงานที่สะท้อนความสามารถของผู้เรียน โดยผู้เรียนต้องแสดงความคิดเห็น หรือ เหตุผลทเี่ ลอื กผลงานนนั้ เกบ็ ไวต้ ามวตั ถุประสงคข์ องแฟ้มสะสมงาน แนวทางในการจดั ทำแฟ้มสะสมงาน มดี งั นี้ ●กำหนดวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสมงาน ว่าต้องการสะท้อนเกี่ยวกับความก้าวหน้าและ ความสำเรจ็ ของผู้เรยี นในเร่อื งใดดา้ นใด ทงั้ นี้อาจพิจารณาจากตัวชว้ี ดั /มาตรฐานการเรียนรู้ ● วางแผนการจัดทำแฟ้มสะสมงานที่เน้นการจัดทำชิ้นงาน กำหนดเวลาของการจัดทำแฟ้ม สะสมงาน และเกณฑก์ ารประเมนิ ● จดั ทำแผนการจดั ทำแฟ้มสะสมงาน และดำเนินการตามแผนที่กำหนด ● ใหผ้ ู้เรียนเกบ็ รวบรวมชน้ิ งาน ● ให้มกี ารประเมินช้ินงานเพ่ือพัฒนาชน้ิ งาน ควรประเมนิ แบบมีสว่ นร่วม โดยผปู้ ระเมิน ได้แก่ ตนเอง เพ่ือน ผู้สอน ผูป้ กครอง บุคคลที่เกย่ี วขอ้ ง ● ให้ผู้เรียนคัดเลือกชิ้นงาน ประเมินชิ้นงานตามเงื่อนไขที่ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันกำหนด เช่น ชิ้นงานที่ยากที่สุด ชิ้นงานที่ชอบที่สุด เป็นต้น โดยดำเนินการเป็นระยะ อาจจะเป็นเดือนละครั้งหรือ บทเรยี นละครัง้ กไ็ ด้ ● ให้ผู้เรียนนำชิ้นงานที่คัดเลือกแล้วจัดทำเป็นแฟ้มที่สมบูรณ์ ซึ่งควรประกอบด้วย หน้าปก คำนำ สารบัญ ช้นิ งาน แบบประเมนิ แฟ้มสะสมงาน และอ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม ● ผูเ้ รียนต้องสะท้อนความรสู้ ึกและความคดิ เห็นต่อช้ินงาน หรอื แฟ้มสะสมงาน ● สถานศกึ ษาควรจดั ให้ผ้เู รยี นแสดงแฟ้มสะสมงานและช้นิ งานเมือ่ สิน้ ภาคเรียน/ปีการศึกษา ตามความเหมาะสม 8. การวัดและประเมินด้วยแบบทดสอบ เป็นการประเมินตัวชี้วัดด้านการรับรู้ข้อเท็จจริง (Knowledge) ผู้สอนควรเลือกใช้แบบทดสอบให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการวัดและประเมินนั้น ๆ เช่น แบบทดสอบเลือกตอบ แบบทดสอบถกู -ผิด แบบทดสอบจบั คู่ แบบทดสอบเตมิ คำ แบบทดสอบความเรียง เป็น ต้น ท้ังนี้ แบบทดสอบที่จะใช้ต้องเป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพ มีความเที่ยงตรง (Validity) และเชื่อมั่นได้ (Reliability) Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

42 9. การประเมินด้านจิตพิสัย (Attitude) เป็นการประเมินคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะและเจต คตทิ ่ีควรปลูกฝังในการจดั การเรียนรู้ ซ่งึ การวดั และประเมนิ ผลจะเปน็ ลำดับขัน้ จากต่ำสุดไปสูงสดุ ดังน้ี ● ขน้ั รบั รู้ เปน็ การประเมนิ พฤติกรรมทีแ่ สดงออกว่ารจู้ ัก เต็มใจ สนใจ ● ข้นั ตอบสนอง เปน็ การประเมนิ พฤติกรรมท่ีแสดงว่าเช่อื ฟัง ทำตาม อาสาทำพอใจทีจ่ ะทำ ● ขั้นเหน็ คณุ ค่า (คา่ นิยม) เป็นการประเมินพฤติกรรมทแ่ี สดงความเชอื่ ซง่ึ แสดงออก โดยการ กระทำหรือปฏบิ ตั ิอย่างสม่ำเสมอ ยกย่องชมเชย สนบั สนุนชว่ ยเหลอื หรือทำกิจกรรมท่ีตรงกบั ความเช่ือของตน ทำดว้ ยความเชื่อมั่น ศรทั ธา และปฏิเสธทจ่ี ะกระทำในสง่ิ ท่ีขัดแย้งกับความเชอื่ ของตน ● ขั้นจัดระบบคณุ ค่า เปน็ การประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรม อภิปราย เปรียบเทียบ จนเกิดอุดมการณใ์ นความคิดของตนเอง ● ขั้นสร้างคุณลักษณะ เป็นการประเมินพฤติกรรมที่มีแนวโน้มว่าจะประพฤติปฏิบตั ิ เช่นนน้ั อยู่เสมอในสถานการณ์เดียวกันหรือเกิดเป็นอุปนิสัย การวัดและประเมินผลด้านจิตพิสัย ควรใช้การสังเกต พฤติกรรมการปฏิบัติเป็นหลัก และสังเกตอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่งโดยมีการบันทึกผลการสังเกต ทั้งน้ี อาจใช้เครื่องมือการวัดและประเมินผล เช่น แบบประเมินค่า แบบตรวจสอบรายการ แบบบันทึกพฤติกรรม แบบรายงานพฤติกรรมตนเอง เป็นต้น นอกจากนี้อาจใช้แบบวัดความรู้ และความรู้สึกเพื่อรวบรวมข้อมูล เพิ่มเติม เช่น แบบวัดความรู้โดยสร้างสถานการณ์เชิงจริยธรรม แบบวัดเจตคติ แบบวัดเหตุผลเชิงจริยธรรม แบบวดั พฤตกิ รรมเชิงจริยธรรม เปน็ ตน้ 10. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic assessment) เป็นการประเมินด้วยวิธีการท่ี หลากหลายดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน จึงควรใช้การประเมินการปฏิบัติ (Performance assessment) ร่วมกับการประเมินด้วยวิธีการอื่น ภาระงาน (Tasks) ควรสะท้อนสภาพความเป็นจริง หรือใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากกว่าเป็นการปฏิบัติกิจกรรมทั่ว ๆ ไป ดังนั้น การประเมินสภาพจริงจะต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้และการประเมินผลไปด้วยกัน และกำหนด เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics) ใหส้ อดคลอ้ งหรอื ใกลเ้ คียงกบั ชีวติ จริง 11. การประเมินตนเองของผู้เรียน (Student self-assessment) การประเมินตนเองนับเป็นทั้ง เครื่องมือประเมินและเครื่องมือพัฒนาการเรียนรู้ เพราะทำให้ผู้เรียนได้คิดใคร่ครวญว่าได้เรียนรู้อะไร เรียนรู้ อย่างไร และผลงานที่ทำนั้นดีแล้วหรือยัง การประเมินตนเองจึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ ท่ี สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง การประเมินตนเองของผู้เรียนที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีเป้าหมายการเรียนรู้ท่ี ชัดเจน มีเกณฑ์ที่บ่งบอกความสำเร็จของชิ้นงาน/ภาระงาน และมาตรการการปรับปรุงแก้ไขตนเอง เป้าหมาย การเรียนรู้ท่ีกำหนดชัดเจนและผู้เรยี นได้รับทราบ หรือร่วมกำหนดด้วย จะทำให้ผเู้ รียนทราบว่าตนถูกคาดหวัง ให้รอู้ ะไรทำอะไร มีหลักฐานใดที่แสดงการเรียนรูต้ ามความคาดหวังนน้ั หลกั ฐานท่มี ีคณุ ภาพควรมีเกณฑ์เช่นไร เพอ่ื เปน็ แนวทางใหผ้ ูเ้ รียนพจิ ารณาประเมิน ซึง่ หากเปา้ หมายและเกณฑ์การประเมนิ เกดิ จากการทำงานร่วมกัน ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนด้วยแล้ว จะเป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น การที่ผู้เรียนได้ใช้การ ประเมินตนเองบ่อย ๆ โดยมีกรอบแนวทางการประเมินที่ชัดเจนนี้ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินได้ Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

43 ค่อนข้างตรงและซื่อสัตย์ คำวิจารณ์ คำแนะนำของผู้เรียนมักจะจรงิ จังมากกว่าของครู การประเมินตนเอง จะ เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น หากผู้เรียนทราบสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขและตั้งเป้าหมายการปรับปรุงแก้ไข ของตนแล้ว ฝึกฝนพัฒนา โดยการดูแลสนบั สนนุ จากผู้สอนและความร่วมมือของครอบครัว 12. การประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) เป็นเทคนิคการประเมินอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจะ นำมาใช้เพื่อพัฒนาผู้เรยี นให้เข้าถงึ คุณลักษณะของงานที่มีคุณภาพ เพราะการที่ผู้เรียนจะบอกได้วา่ ชิ้นงานนน้ั เป็นเช่นไร ผู้เรียนต้องมีความเข้าใจอยา่ งชัดเจนก่อนว่าเขากำลังตรวจสอบอะไรในงานของเพื่อน ฉะนั้นผู้สอน ต้องอธิบายผลที่คาดหวังให้ผู้เรียนทราบก่อนที่จะลงมือประเมิน การที่จะสร้างความมั่นใจว่าผู้เรียนเข้าใจการ ประเมินรปู แบบน้ีควรมีการฝึก โดยผู้สอนอาจหาตัวอย่าง เช่น งานเขยี นให้กลุ่มผู้เรียนตดั สินใจว่าควรประเมิน อะไร และควรให้คำอธิบายเกณฑ์ท่ีบ่งบอกความสำเร็จของภาระงานนั้น จากนั้นให้ผู้เรียนประเมินภาระงาน เขียนที่เปน็ ตวั อยา่ งนั้นโดยใชเ้ กณฑ์ทีช่ ว่ ยกันสรา้ งขึ้น หลังจากนั้นผสู้ อนตรวจสอบการประเมินของผู้เรยี น และ ให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนที่ประเมินเกินจริง การประเมินโดยเพื่อนที่มีประสิทธิภาพจำเป็ นต้องสร้าง สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ที่สนบั สนุนให้เกิดการประเมินรูปแบบนี้ กล่าวคือ ผู้เรียนต้องรู้สึกผ่อนคลาย เชื่อใจกัน และไม่อคติเพื่อการให้ข้อมูลย้อนกลับจะได้ซื่อตรงเป็นเชิงบวกที่ให้ประโยชน์ ผู้สอนที่ให้ผู้เรียนทำงานกลุ่ม ตลอดภาคเรียน แล้วใชเ้ ทคนคิ เพื่อนประเมินเพื่อนเป็นประจำจะสามารถพัฒนาผเู้ รยี นให้เกิดความเข้าใจซึ่งกัน และกัน อันจะนำไปสู่การใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับที่เกง่ ขน้ึ ได้ เอกสารอา้ งอิง ครอู าชพี ดอทคอม.(ออนไลน์).การประเมินสมรรถนะ(Competency Assessment) คืออะไร ทำไมจึงสำคัญ?.จากเวป็ ไซต์ https://www.kruachieve.com/ สืบค้นเม่อื วันท่ี 2 สิงหาคม 2565. สำนกั ทดสอบทางการศึกษา.(2555).คูม่ ือประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนระดบั การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6. กรุงเทพ : โรงพมิ พ์สำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ. (เอกสารอิเล็กทรอนิกส)์ ________.(2555).ค่มู อื ประเมนิ สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี นระดบั การศึกษาขนั้ พื้นฐานตามหลักสตู ร แกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3. กรุงเทพ : โรงพมิ พ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.(เอกสารอเิ ลก็ ทรอนิกส์) อกั ษรเจรญิ ทัศน์.(ออนไลน)์ .Bloom-s-Taxonomy. จากเวป็ ไซต์ http://aksornnex.com/ สืบคน้ เม่ือวันที่ 2 สงิ หาคม 2565. Starfishlabz.(ออนไลน)์ .การประเมนิ สมรรถนะสำคญั . จากเว็ปไซต์ https://www.starfishlabz.com/ สบื ค้นเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565. Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

44 เอกสารประกอบสำหรับการทำกิจกรรม Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3

45 ใบกจิ กรรมที่ 3 (รายบคุ คล) วเิ คราะห์เชือ่ มโยงความสัมพนั ธข์ องการประเมินระดบั ชนั้ เรียน ชอ่ื ....................................................................... โรงเรียน .............................................กลุ่มท่ี .........เลขท่ี ..... คำชี้แจง ให้ผู้เข้ารับการอบรมวิเคราะห์การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของการประเมินระดับชั้นเรียนที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสะท้อนความรู้ ทักษะและคุณลักษณะที่กำหนดไวใ้ นตัวช้ีวัด โดยใช้แผนการ จดั การเรยี นรทู้ ี่ไดท้ ำกจิ กรรมในโมดูลที่ 2 ออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้นำสสู่ มรรถนะ มาใช้ในกิจกรรมนี้ ตาราง ิวเคราะ ์หการเช่ือมโยงความสัม ัพน ์ธของการประเมินระ ัดบชั้นเ ีรยนท่ีมี ุคณภาพสอดค ้ลองกับ ิกจกรรม การเ ีรยน ู้ร ่ีทสะ ้ทอนความ ู้ร ัทกษะและ ุคณลักษณะ ี่ทกำหนดไ ้วใน ัตวชี้วัด Module 4 การวดั ประเมนิ ผลสสู่ มรรถนะผเู้ รยี น l สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาเชยี งใหม่ เขต 3


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook