Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Tamma2

Description: Tamma2

Search

Read the Text Version

การปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า อ . ว ศ ิ น   อ ิ น ท ส ร ะ

การปรนิ ิพพาน ข อ ง พ ร ะ พ ุ ท ธ เ จ ้ า อ .  ว ศ ิ น   อ ิ น ท ส ร ะ

ชมรมกลั ยาณธรรม หนังสอื ดีอันดบั ท่ี ๑๘๒ การปรนิ ิพพานของพระพทุ ธเจ้า อ. วศิน อนิ ทสระ พิมพค์ รง้ั ท่ี ๑ : กนั ยายน ๒๕๕๕ จำ� นวนพมิ พ ์ : ๑๐,๐๐๐ เล่ม จัดพมิ พ์และเผยแพรโ่ ดย : ชมรมกลั ยาณธรรม ๑๐๐ ถนนประโคนชยั   ต�ำบลปากน�้ำ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สมทุ รปราการ ๑๐๒๗๐  โทรศพั ท์ ๐-๒๗๐๒-๗๓๕๓, ๐-๒๗๐๒-๙๖๒๔ โทรสาร ๐-๒๗๐๒-๗๓๕๓ ภาพปก/ภาพประกอบ/รูปเล่ม : สุวดี ผ่องโสภา ร่วมด้วยชว่ ยแจม : คนขา้ งหลัง พสิ ูจนอ์ ักษร : คณุ ยุวดี อึ๊งศรีวงษ,์ หะนู เพลต บรษิ ทั นครแผน่ พมิ พ ์ จำ� กดั  โทร. ๐-๒๔๓๘-๘๔๐๘ พิมพท์ ่ ี : บรษิ ทั โรงพมิ พส์ ุภา จำ� กดั ๑๑๘ ซอย ๖๘ ถนนจรญั สนิทวงศ์ เขตบางพลดั กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐ โทร. ๐-๒๔๓๕-๘๕๓๐ สัพพทานัง ธมั มทานัง ชินาติ การใหธ้ รรมะเป็นทาน ชนะการใหท้ ั้งปวง www.kanlayanatam.com

ขอมอบเป็นธรรมบรรณาการ แด่ จาก

4 ค�ำอนโุ มทนา เร่ือง การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า น ี้ ขา้ พเจา้ ไดเ้ กบ็ ความมาจาก มหาปรินิพพานสตู ร  ทฆี นิกาย มหาวรรค ได้รวมพมิ พ์อยู่ใน  พระไตรปิฎก ของบริษทั ไทยวัฒนาพานิช  และ พระไตรปฎิ กฉบับท่ีทำ� ให้งา่ ยแลว้ ของส�ำนักพิมพ์ธรรมดา ขา้ พเจ้าปรารภ  กบั ตนเองและผู้คุน้ เคยอยเู่ สมอว่า ไฉนหนอ  เรอ่ื ง การปรนิ ิพพานของพระพทุ ธเจา้  นจ้ี ะได้  แยกออกมาพิมพ์ต่างหาก เปน็ หนงั สอื เล่มเลก็ ๆ  สกั เล่มหนึ่ง เพราะมีเนอื้ หาและลีลาที่นา่ สนใจ  และเป็นประโยชน์มาก สว่ นใดท่ีควรอธิบาย  เพิม่ เตมิ  ข้าพเจ้าก็ได้อธบิ ายไว้บ้าง ทำ� เป็น  เชิงอรรถไว้บ้าง

5ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ บดั นี้ ชมรมกลั ยาณธรรม ซง่ึ มี  ทันตแพทย์หญิงอัจฉรา กลน่ิ สุวรรณ์ เป็นประธาน  ไดข้ ออนญุ าตพิมพห์ นงั สือเร่อื งน ี้ เพื่อแจกจ่าย  แกผ่ ้สู นใจในงานชมรมฯ ขา้ พเจา้ รสู้ ึกยินด ี ยิ่งนัก ขออนโุ มทนาตอ่ กุศลเจตนาของชมรมฯ  เป็นอยา่ งยงิ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ นน้ั   ทรงเปน็ อัจฉรยิ มนุษย์ การเกิดขึน้ ของพระองค์  เปน็ ประโยชน์อย่างยิง่ แก่โลกตงั้ แต่บดั นนั้   จนกระทงั่ บดั นี้ ค�ำสอนของพระองค ์ เป็นประโยชนแ์ กช่ าวโลกสดุ จะพรรณนาได้   การปรินพิ พานของพระองคเ์ ปน็ เรอื่ งมหัศจรรย์ 

6 ที่ไม่เคยมใี ครทำ� ได้เสมอเหมอื น ลองอ่านด ู ในหนงั สือเล่มนีเ้ ถิด จะพบวา่  เพยี งแต่  ในปสี ดุ ท้ายแหง่ พระชนมชีพจนถงึ วันปรินพิ พาน  ไดท้ รงบ�ำเพ็ญพทุ ธกจิ อนั นา่ ประทบั ใจเพียงไร   ขา้ พเจา้ หวงั ว่าหนงั สือเล่มน้ีจะอำ� นวยประโยชน ์ แก่ทา่ นผอู้ ่านมิใชน่ อ้ ย ขา้ พเจา้ ขออ้างเอา  พทุ ธบารมชี ่วยค้มุ ครองให้ชมรมกัลยาณธรรม  และทา่ นผอู้ า่ น จงมีความสขุ ความเจรญิ ในธรรม ยิ่งๆ ขน้ึ ไป ด้วยความปรารถนาดอี ย่างยง่ิ ๘ มถิ นุ ายน ๒๕๕๕

7ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ค�ำนำ� ของ ชมรมกัลยาณธรรม ท่านผูอ้ า่ นทตี่ ดิ ตามผลงานหนังสือของ  ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ สว่ นหน่ึงคงเคย  ผา่ นตาหนงั สือเร่ือง พระไตรปฎิ กฉบับที่ทำ� ให้ ง่ายแลว้  ซ่ึงจดั พมิ พโ์ ดยสำ� นกั พิมพ์ธรรมดา  ในเล่มดังกล่าวมเี นอ้ื หาสาระที่สรุปประเด็นสำ� คัญ  มาจากสว่ นหนึง่ ของพระไตรปิฎก โดยใช้ภาษา  ทอ่ี า่ นเข้าใจงา่ ย และอธบิ ายอย่างถกู ตรงธรรม  ซึ่งนอกจากจะมที มี่ าตามท่ที า่ นอาจารยก์ ลา่ วถงึ   ในคำ� อนโุ มทนาแลว้  ยังมีที่มาจากความเมตตา  ของทา่ นอาจารย์ ท่ตี ้องการจะช่วยเปิดโอกาสให ้ พวกเราได้อา่ นพระไตรปิฎกในส่วนส�ำคญั ๆ  โดยไม่กลวั วา่ หนังสอื เล่มหนาหรอื เน้ือหายากเกินไป  ส่วนหนึ่งในเล่มดงั กลา่ ว ในสว่ นชุมนมุ พระสตู รขนาดยาว (ทีฆนกิ าย มหาวรรค) คือเร่ือง มหาปรนิ พิ พานสตู ร   หรอื  “การปรนิ พิ พานของพระพทุ ธเจ้า” ซึ่งทา่ นอาจารย์  รจนาไวอ้ ย่างงดงาม สละสลวย กินใจ และทำ� ให้ 

8 ผูอ้ ่านได้ทราบถึงรายละเอยี ดของช่วงวาระสำ� คัญ  ในตอนทา้ ยพระชนมชพี ของพระบรมศาสดา  และซาบซง้ึ ในพระมหากรุณาธคิ ณุ ของ  องคส์ มเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจา้  ผ่านผลงาน  นิพนธ์อันงดงามยง่ิ ของทา่ นอาจารย์ ผอู้ ่านหลายทา่ นขอใหช้ มรมกัลยาณธรรม  แยกในสว่ นเร่ือง “การปรนิ ิพพานของพระพุทธเจ้า”  ซ่งึ อยู่ในสว่ นแรกๆ ของหนังสอื  พระไตรปฎิ ก ฉบบั ท่ีทำ� ใหง้ ่ายแลว้  ออกมาจดั พิมพ์เป็นหนังสือ  เล่มนอ้ ยต่างหาก เมื่อกราบขออนญุ าตท่านอาจารย์  แลว้  ธรรมะก็จดั สรร ให้เราไดร้ บั ความกรณุ าจาก  ศลิ ปนิ ใจบุญชว่ ยกนั จัดรูปเลม่ และวาดภาพประกอบให ้ เพ่ือนอ้ มถวายเป็นพุทธบชู า หนงั สอื เลม่ น้อย  ที่อยู่ในมือทา่ นน้ีจงึ งดงามทั้งเบ้อื งตน้  ทา่ มกลาง  และบน้ั ปลาย เบื้องตน้ นนั้ คือ ลลี าการปรินพิ พาน  ขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และธรรม  อันเป็นองคแ์ ทนทีท่ รงฝากไว้เป็นแสงสว่าง  และทางพ้นทุกข์ของปวงสรรพสัตว ์  

9ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ทา่ มกลางนน้ั คือ ลีลาการถา่ ยทอด  พทุ ธจริยาและเนื้อหาพทุ ธธรรม โดยท่าน  อาจารย์วศิน อนิ ทสระ ปราชญแ์ หง่ พระพุทธศาสนา  ครูผู้เป่ยี มเมตตา และบนั้ ปลายนน้ั คอื    ความงดงามของรูปเล่มอนั ส�ำเร็จประโยชน ์ มาถึงมือทกุ ทา่ นผไู้ ด้รับธรรมทานน้ี ในนามชมรมกัลยาณธรรม ขอกราบ  ขอบพระคุณทา่ นอาจารยว์ ศิน อนิ ทสระ   และขอน้อมถวายอานิสงสแ์ ห่งธรรมทานน้ี  เป็นพุทธบชู าและนอ้ มบชู าอาจรยิ คณุ แด่  ทา่ นอาจารยว์ ศิน อนิ ทสระ ดว้ ยความเคารพ  อยา่ งสงู ย่งิ  หวังว่าผู้อา่ นทุกทา่ นจะไดร้ บั ประโยชน์  จากหนังสอื สมตามเจตนารมณข์ องท่านอาจารย ์ และสมตามปณิธานของชมรมกัลยาณธรรมดว้ ยเชน่ กัน ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ทพญ. อัจฉรา กล่ินสวุ รรณ์ ประธานชมรมกลั ยาณธรรม

10

ก า ร ป ร ิ น ิ พ พ า น ข อ ง พ ร ะ พ ุ ท ธ เ จ ้ า :    อ .  ว ศ ิ น  อ ิ น ท ส ร ะ 11

12 การปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า* เร่ืองนเี้ ป็นการเลา่ เรื่องของพระพุทธเจา้   ต้งั แต่ก่อนปรนิ ิพพาน ตอนปรนิ ิพพาน และหลังปรนิ พิ พานแล้ว มีการถวายพระเพลงิ หลงั จากปรนิ ิพพานแล้ว ๗ วัน เปน็ การเลา่ เรื่องเก่ียวกบั การปรนิ ิพพานของพระพุทธเจ้า ที่ละเอยี ดลออ นา่ สนใจมาก ขอน�ำมากลา่ ว โดยย่อดงั นี้ กอ่ นปรินพิ พานประมาณ ๑ ปี พระพุทธเจา้ ประทบั อยทู่ ภ่ี เู ขาคิชฌกฏู  (มยี อดเหมือนนกแรง้ ) เมืองราชคฤห์ พระเจ้าอชาตศตั ร ู ผ้คู รอง แคว้นมคธ ซง่ึ มีราชคฤห์เปน็ เมืองหลวงนั้น *มหาปรนิ พิ พานสตู ร เลม่ ๑๐ ขอ้ ๖๗-๑๖๒

13ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ เตรียมการจะโจมตีแควน้ วัชช ี ซึ่งมเี วสาลี เป็นเมืองหลวง แคว้นทง้ั สองนอี้ ยูต่ ิดกนั เพยี งแต่มีแม่น้ำ� คงคาค่นั อยู่ พระเจา้ อชาตศัตรสู ่งวัสสการพราหมณ์  ผู้เป็นมหาอ�ำมาตย์ของแคว้นมคธไปเฝา้ พระศาสดาเพอ่ื หย่งั เสยี งวา่  จะทรงมีความเหน็   เป็นประการใด เพราะทรงเชอื่ มัน่ ว่า พระวาจาของพระพทุ ธเจา้ ย่อมเป็นจรงิ เสมอ วัสสการพราหมณไ์ ปเฝ้าทูลเล่าเรอ่ื ง ท่ีพระเจา้ อชาตศตั รูจะโจมตแี คว้นวัชชี พระพุทธองค์ทรงสดบั แลว้  ไม่ได้ตรัส  อะไรกบั วสั สการพราหมณ ์ แต่ทรงหนั   พระพกั ตรไ์ ปตรัสถามพระอานนท์ ซง่ึ ยนื   ถวายงานพดั อยเู่ บอื้ งพระปฤษฎางค์  (ยืนพดั อยูข่ ้างหลัง) วา่ “อานนท ์ ชาวแคว้นวชั ชยี ังคงประพฤตวิ ัชชี  อปริหานิยธรรม คอื  ธรรมอันเป็นไป

14 เพื่อความไมเ่ ส่ือม เป็นไปเพอื่ ความเจริญ โดยสว่ นเดยี ว ซง่ึ เราเคยแสดงแกช่ าววชั ชี อย่หู รอื ” “ยังคงประพฤตปิ ฏิบตั ิอย ู่ พระเจา้ ข้า” พระอานนทท์ ลู ตอบ “ดกู ่อนอานนท ์ ชาววัชชปี ระพฤตมิ ัน่ ในธรรม ๗ ประการ คือ ๑. หมัน่ ประชุมกันเนอื งนิตย์ ๒. เม่อื ประชมุ ก็พรอ้ มเพรยี งกันประชมุ เม่อื เลกิ ประชมุ ก็เลิกโดยพรอ้ มเพรยี งกนั   และพร้อมเพรยี งกันท�ำกจิ ของชาววัชชี ให้สำ� เรจ็ ลุล่วงไปดว้ ยดี ๓. ชาววชั ชีย่อมเคารพเช่ือฟังในบัญญตั ิ เก่าของชาววชั ชีทด่ี ีอยู่แล้ว ไม่เพิกถอนเสยี และไม่บัญญตั สิ งิ่ ซงึ่ ไมด่ งี ามขึ้นมาแทน ๔. ชาววัชชีเคารพสกั การะนับถือย�ำเกรง ผเู้ ฒ่าผู้แก่ผ้ผู ่านโลกมานาน ไมล่ บหล ู่ ดูหม่ิน หรือเหยยี ดหยาม

15ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ๕. ชาววัชชีประพฤติธรรมในสุภาพสตร ี คอื  ไม่ขม่ เหงนำ�้ ใจสภุ าพสตรี ๖. ชาววัชชรี ูจ้ กั เคารพสกั การบูชาปูชนียสถาน ๗. ชาววัชชใี ห้ความอารกั ขาคุ้มครอง พระอรหันต ์ สมณพราหมณาจารย์ ผ้ปู ระพฤตธิ รรม ปรารถนาใหส้ มณ- พราหมณาจารย์ผูม้ ศี ลี ท่ียงั ไมม่ าสูแ่ คว้น ขอให้มา และท่ีมาแล้วขอใหอ้ ยู่เป็นสขุ ” “ดกู ่อนอานนท ์ ตราบเท่าทีช่ าววัชชียงั ประพฤตปิ ฏิบตั ิวัชชีธรรมทั้ง ๗ ประการน้ี อย่ ู พวกเขาจะไม่ประสบความเสอื่ มเลย มแี ตค่ วามเจริญมน่ั คงโดยสว่ นเดยี ว” แล้วพระพุทธองคท์ รงผินพระพกั ตร ์ มาตรัสกับวัสสการพราหมณ์ “พราหมณ์ ครง้ั หน่งึ เราเคยพกั อยทู่ ี่ สารนั ทเจดยี ์ใกลก้ รงุ เวสาลี ได้แสดงธรรม ทั้ง ๗ ประการแกช่ าววชั ช ี ตราบใดท่ีชาววชั ชี ยงั ประพฤติตามธรรมนีอ้ ย ู่ พวกเขาจะ

16 หาความเส่อื มมิได้ มีแต่ความเจริญ โดยสว่ นเดยี ว” “ข้าแตพ่ ระผมู้ พี ระภาค” วัสสการ-  พราหมณท์ ูล “ไม่ต้องพดู ถึงว่า ชาววชั ชี จะบรบิ ูรณด์ ว้ ยธรรมทั้ง ๗ ประการเลย แมม้ ีเพียงประการเดยี วเทา่ น้ัน เขาก็จะ หาความเส่อื มมิได้ จะมีแตค่ วามเจรญิ โดยสว่ นเดยี ว”

17ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ เม่อื วัสสการพราหมณท์ ูลลาแล้ว  พระศาสดารบั สั่งใหพ้ ระอานนทป์ ระกาศให้  พระภกิ ษุทัง้ หมดซึ่งอาศัยอย ู่ ณ กรุงราชคฤหม์ า ประชุมพร้อมกัน และพระมหาสมณะทรงแสดง  อปรหิ านิยธรรม โดยอเนกปริยาย เปน็ ต้นวา่ “ภกิ ษทุ ้งั หลาย ตราบใดท่ีพวกเธอยงั หมน่ั ประชมุ กนั เนอื งนติ ย ์ พร้อมเพรยี งกันประชมุ เคารพในสิกขาบทบัญญัต ิ ยำ� เกรงภิกษผุ เู้ ป็น สงั ฆเถระ สังฆบิดร ไมย่ อมตนให้ตกอยู่ ภายใตอ้ �ำนาจแหง่ ตณั หา พอใจในการอยู่อาศยั เสนาสนะป่า ปรารถนาให้เพ่ือนพรหมจารี มาส่สู �ำนกั และอยู่เป็นสุข ตราบนนั้ พวกเธอ จะไม่เสอื่ มเลย มีแต่ความเจรญิ โดยส่วนเดยี ว “ภิกษุทัง้ หลาย ตราบใดทเ่ี ธอไม่หมกมุ่น กบั งานมากเกนิ ไป ไมพ่ อใจด้วยการคยุ ฟงุ้ ซา่ น ไม่ชอบใจ ไม่พอใจในการนอนมากเกนิ ควร ไมย่ ินดีในการคลุกคลดี ้วยหมคู่ ณะ ไมเ่ ป็น ผู้ปรารถนาลามก ไมต่ กอยู่ใตอ้ ำ� นาจแห่ง

18 ความปรารถนาชว่ั  ไม่คบมิตรเลว ไม่หยุด ความเพยี รพยายามเพื่อบรรลคุ ุณธรรมสงู ๆ ขึ้นไปแล้ว ตราบนน้ั พวกเธอจะไมม่ คี วาม เสื่อมเลย จะมแี ตค่ วามเจรญิ โดยสว่ นเดียว” ทรงแสดงอปริหานิยธรรมอกี  ๖ ประการ  ซง่ึ ในท่ีอ่นื ทรงแสดงโดยช่อื วา่  สาราณยี ธรรม (ธรรมอนั เป็นเหตใุ ห้ระลกึ ถึงกนั  เปน็ ไป  เพอ่ื ความรัก ความเคารพต่อกนั  เพ่อื สามคั คี  เอกภี าพ) คือ ๑. มเี มตตาทางกาย คอื  จะทำ� อะไรกท็ ำ�   ด้วยเมตตา ๒. มีเมตตาทางวาจา คือ จะพูดอะไร  ก็พดู ดว้ ยเมตตา ๓. มเี มตตามโนกรรม คือ จะคดิ อะไรก็  คดิ ด้วยเมตตา ๔. แบง่ ปันลาภผลที่ตนหาได้มาโดย  ชอบธรรมแกผ่ อู้ น่ื ตามสมควร ไม่หวงไว้  บรโิ ภคแตผ่ ู้เดยี ว

19ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ๕. มีศีล มีความประพฤตดิ เี สมอกัน  ไม่ท�ำตนใหเ้ ป็นทร่ี งั เกยี จของผู้อื่น เพราะ  ความประพฤติไมด่ ขี องตน ๖. มคี วามเหน็ ร่วมกนั  เสมอกันกับ  เพอื่ นภกิ ษอุ น่ื ๆ ทง้ั ในที่แจ้งและในท่ลี บั   เป็นความเหน็ ถกู ต้องที่จะนำ� ตนออกจากทกุ ขไ์ ด้ เม่ือภกิ ษมุ ีอปริหานยิ ธรรมทงั้    ๖ ประการนอ้ี ย่เู พยี งใด เธอยอ่ มหวังได ้ ซึ่งความสขุ ความเจรญิ ส่วนเดยี ว ยอ่ ม  ไม่เส่ือมเลย ขณะท่ีประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏน้นั   ทรงแสดงธรรมเนน้ เร่ืองศีล สมาธ ิ และ  ปัญญาเป็นอนั มากวา่  ศีล สมาธิ ปญั ญา  เป็นอย่างนี้ๆ สมาธซิ ่ึงมีศลี เป็นพน้ื ฐาน ปัญญาซึง่ มสี มาธิเป็นพน้ื ฐาน ยอ่ มมผี ลมาก มีอานสิ งส์มาก จติ ซ่งึ ได้รับการอบรมแลว้ ด้วยปัญญาเชน่ นี้ ยอ่ มหลดุ พน้ จากอาสวะ คือ กเิ ลสที่หมกั หมมอยูใ่ นสันดานตา่ งๆ

20 จากภเู ขาคิชฌกฏู เสด็จไปยังพระราช-  อุทยานช่ือ อัมพลฏั ฐิกา* ประทบั  ณ   ต�ำหนกั หลวง ทรงแสดงธรรมเร่ือง  ศีล สมาธ ิ ปญั ญาน่นั เองแกภ่ ิกษุท้งั หลาย  อีก จากพระราชอทุ ยานอัมพลฏั ฐิกา  เสดจ็ ยังหมบู่ ้านนาลนั ทา ประทบั  ณ สวน  มะมว่ งชอ่ื ปาวาทกิ ะ (ปาวาทกิ อมั พวนั )  ณ ท่ีนเ้ี อง พระสารีบุตรเข้าไปเฝ้า กลา่ ว  อาสภิวาจา คอื  ถอ้ ยคำ� ท่แี สดงถงึ ความ  เลื่อมใสอยา่ งยิ่งในพระศาสดาว่า ท่านม ี *เป็นพระราชอทุ ยานอยู่บนเส้นทางระหว่างเมอื ง  ราชคฤหก์ ับนาลนั ทา มีตน้ มะม่วงหนมุ่ อยู่ทีป่ ระตู  ลอ้ มรอบดว้ ยป้อมและทีป่ ระทบั พักผ่อนของ  พระราชา มีจิตรกรรมประดับประดาเพอื่ ความ  บนั เทงิ ในยามทเ่ี สดจ็ มาพัก พระพทุ ธองค์  และสงฆ์สาวกเคยเสด็จมาประทบั  ณ ท่นี ห่ี ลายคร้งั เม่อื ทรงแสดงพรหมชาลสตู ร กป็ ระทบั ทน่ี  ่ี ครง้ั น้ี  นบั เป็นคร้งั สุดทา้ ยของพระองค์

21ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ความเลอ่ื มใสอยา่ งยง่ิ ในพระผมู้ ีพระภาคเจา้   เพราะท้ังในอดตี  อนาคต และปัจจุบนั  ไมม่ ี  สมณะหรอื พราหมณ์ใดๆ เลย ทเี่ ป็นผูร้ ยู้ งิ่   ไปกว่าพระพุทธองคใ์ นเรือ่ งพระสมั โพธิญาณ  (การตรสั รเู้ อง) เสด็จต่อไปถงึ ปาฏลคิ าม (ซง่ึ ตอ่ มาเป็น  เมอื งปาฏลบี ตุ ร เวลานค้ี อื  เมืองปัตนะ)  ณ ทน่ี ี ้ อุบาสกอบุ าสกิ าเปน็ จำ� นวนมากมาเฝา้   พระพุทธองคท์ รงแสดงโทษแหง่  ศลี วิบตั  ิ (ความวิบตั ิแห่งศีล) ๕ ประการ คอื ๑. ผู้ไรศ้ ลี ย่อมประสบความเสอ่ื มทางโภคะ ๒. ช่ือเสยี งทางไม่ดฟี ุ้งขจรไป ๓. ไมแ่ กล้วกล้าอาจหาญเมื่อเข้าทีป่ ระชุม  หรอื ทา่ มกลางชุมชน ๔. เม่อื จวนตาย ยอ่ มขาดสตสิ มั ปชญั ญะ  คุ้มครองสติไม่ได้ เรยี กวา่  หลงตาย ๕. เมือ่ ตายแล้วยอ่ มไปส่ทู คุ ติ

22 สว่ นคณุ แห่งศีลสมบตั ิ คอื ความสมบรู ณ์  ดว้ ยศลี  มีนยั ตรงกันขา้ มกบั ศีลวิบัติดังกลา่ ว  แลว้ ขณะท่ปี ระทับอยู่ ณ ปาฏลิคามน่ันเอง  สุนิธะมหาอ�ำมาตย์กบั วสั สการพราหมณ ์ กำ� ลงั เตรียมสรา้ งปาฏลิคามเปน็ เมืองหน้าดา่ น  เพือ่ โจมตแี คว้นวชั ชี พรอ้ มทง้ั ปอ้ งกนั การ  โจมตจี ากแคว้นวชั ชดี ว้ ย พระผมู้ ีพระภาค  ทรงพยากรณไ์ ว้กบั พระอานนท์วา่  ตอ่ ไป  ภายหน้าปาฏลิคามจะเปน็ เมอื งใหญ ่ เป็นเมืองสำ� คัญทางการคา้ ขาย สนุ ธิ ะและวสั สการพราหมณ์ไปเฝ้าพระ  ศาสดา ทลู อาราธนาให้เสวยในที่พักของตน  ในเช้าวันนนั้  พระพทุ ธองค์พร้อมดว้ ยภกิ ษสุ งฆ ์ เสดจ็ ไปเสวย ณ ทพี่ ัก (อาวสกะ) ของทา่ น  ท้ังสอง เสรจ็ แล้วทรงอนุโมทนาอันน่าจับใจว่า “บัณฑติ อยู่ ณ ท่ใี ด ยอ่ มเชือ้ เชญิ ทา่ น ผูม้ ศี ลี มาบรโิ ภค ณ ทีน่ ้นั  อทุ ิศส่วนบญุ

23ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ให้แก่เทวดาผสู้ ถติ อยู่ ณ ท่ีน้ันๆ เทวดา ผ้ซู ง่ึ ได้รับการบูชาแลว้ ยอ่ มบชู าตอบ ไดร้ ับความนับถือแลว้ ยอ่ มนบั ถอื ตอบ ย่อมอนุเคราะหบ์ คุ คลนั้นเหมือนมารดาบิดา อนุเคราะห์บตุ ร ผูซ้ ึง่ เทวดาอนเุ คราะห์แล้ว ยอ่ มประสบแตค่ วามเจริญ” มหาอ�ำมาตย์ทั้งสองตามสง่ พระพทุ ธองค ์ ตัง้ ใจไว้วา่  พระศาสดาเสด็จออกทางประตใู ด  เสด็จขา้ มแม่น�้ำคงคาที่ทา่ ใด จะต้งั ช่ือประต ู นน้ั วา่  ประตโู คตมะ และท่านน้ั วา่  ทา่ โคตมะ เสดจ็ ขา้ มแม่นำ้� คงคาถงึ โกฏคิ าม  ทรงแสดงอริยสจั  ๔ แก่ภกิ ษุทงั้ หลาย  โดยใจความส�ำคญั วา่  “เพราะไม่รู้แจง้ แทงตลอด อริยสจั  ๔ เราและเธอท้งั หลายจึงต้องเร่รอ่ นไป ทอ่ งเทย่ี วไปในสงั สารวัฏอนั ยาวนาน บัดนเี้ รา ไดร้ ้แู จ้งแทงตลอดอริยสจั  ๔ แล้ว จงึ ไมต่ อ้ ง ท่องเท่ียวไป ส้ินภพ ส้ินชาติแลว้ ”

24 จากโกฏิคามเสดจ็ ถงึ นาทกิ คาม ประทับ  ณ ทพี่ กั อนั ก่อด้วยอฐิ  ทรงแสดงธรรมแก่  ภกิ ษุท้งั หลาย ใหเ้ อาธรรมเปน็ กระจกส่อง ดูตัวเอง และพยากรณต์ นเองไดว้ ่าภายหนา้ จะเปน็ อยา่ งไร ไม่ต้องทลู ถามพระศาสดา ให้ทรงล�ำบาก ตรัสกบั พระอานนท์วา่  ผ้ใู ด มคี ุณสมบัติ ๔ ประการ คอื  เล่ือมใสใน พระพุทธเจา้  ในพระธรรม และในพระสงฆ์ อยา่ งมั่นคง ไม่หว่ันไหว พรอ้ มด้วยมีศลี บรสิ ทุ ธิ์ ผู้น้นั ย่อมพยากรณต์ นเองได้ว่า

25ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ เป็นโสดาบัน มคี วามไมต่ กต�่ำเปน็ ธรรมดา ไมต่ ้องตกนรก ไมเ่ กดิ ในกำ� เนิดสัตว์ เดยี รจั ฉาน ไมต่ ้องเปน็ เปรต หรอื อสุรกาย เปน็ การปดิ อบายไดโ้ ดยสนิ้ เชิง เสด็จเข้าสู่เขตเมืองเวสาลี ประทบั   ณ อัมพปาลีวนั ของนางอมั พปาลผี ู้เป็น  นครโสเภณ*ี  ของนครเวสาลี ทรงเตือนภิกษุ  ทง้ั หลายให้อยู่ดว้ ยสติสมั ปชญั ญะอยเู่ สมอ   นางอมั พปาลีทราบข่าวว่า พระศาสดาเสด็จ  มาประทบั อยู่ทส่ี วนมะม่วงของตน จงึ นัง่   รถเทียมม้าไปเฝา้  พระพทุ ธองค์ทรงแสดงธรรม ให้อาจหาญร่าเรงิ ในกศุ ลธรรมแล้วทูลอาราธนา  พระองค์และภกิ ษุสงฆเ์ พอื่ เสวยในวันรงุ่ ขึ้น  พระศาสดาทรงรบั *นครโสเภณีในสมัยนนั้  เป็นหญิงมเี กียรติ  ส�ำหรับตอ้ นรับแขกเมอื งและเจา้ นายช้นั สูง  แปลวา่  หญงิ ประดบั เมอื งหรอื ทำ� นครใหง้ าม

26 พวกเจ้าลจิ ฉวีแหง่ เมืองเวสาลีกเ็ สดจ็   มาเฝ้าเหมอื นกัน สวนทางกับนางอมั พปาล ี ซึ่งก�ำลงั กลับบา้ น ทราบเร่อื งทน่ี างอัมพปาล ี จะถวายภัตตาหารแด่พระผ้มู ีพระภาค  พวกเขาขอซอ้ื การเลย้ี งพระพุทธเจ้าดว้ ย  ทรัพยแ์ สนกหาปณะ (หน่วยเงินตรา  ๑ กหาปณะ มคี า่ เท่ากับ ๔ บาท)  นางอมั พปาลีตอบว่า แถมเมอื งเวสาล ี กับชนบทใหด้ ้วยกไ็ มเ่ อา พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเจ้าลิจฉวี  ซง่ึ แตง่ ตัวสวยงามมาแตไ่ กล ตรัสกบั ภิกษ ุ ทงั้ หลายวา่  ใครไมเ่ คยเหน็ เทพชัน้ ดาวดงึ ส ์ กจ็ งดพู วกเจา้ ลิจฉวเี หลา่ นีแ้ หละ ทรงแสดง  ธรรมให้เจา้ ลิจฉวรี ่าเรงิ อาจหาญในกศุ ลธรรม  แล้ว วนั รุ่งขึ้นเสด็จยังนเิ วศนข์ องนางอมั พปาล ี ทรงรบั อัมพปาลวี ันซึ่งเจา้ ของถวายเปน็ ที่  ประทบั ของพระองคแ์ ละภิกษสุ งฆ์

27 ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ขา่ วเร่อื งพระเจา้ อชาตศัตรูเตรียมทพั   เพือ่ โจมตีแควน้ วัชชีนั้น ท�ำให้พระพทุ ธองค ์ ผมู้ พี ระมหากรุณาทรงห่วงใยแคว้นวชั ชีย่ิงนัก  เป็นเวลาเกอื บ ๑ ปที ่ีเสดจ็ วนเวยี นอยใู่ น  แคว้นวชั ชี ในทส่ี ุดกเ็ สด็จประทับ ณ เวฬวุ คาม   (บา้ นมะตูม) เมื่อจวนเข้าพรรษามี  พระพุทธานญุ าตให้ภิกษทุ ้ังหลายเลือกที่  จ�ำพรรษาไดต้ ามชอบใจ ส่วนพระองค์  จะประทับจ�ำพรรษา ณ เวฬุวคาม การทไี่ ม่เสดจ็ เข้าภายในเมืองเวสาลนี นั้   น่าจะเป็นเพราะไม่ทรงปรารถนาด้วยเรือ่ ง  การบ้านการเมอื ง ถา้ เสดจ็ เขา้ ไปอาจเปน็   ทร่ี ะแวงของพระเจา้ อชาตศตั รวู า่  ทรงเอาพระทยั อ ป ร ิ ห า น ิ ย ธ ร ร ม : ธ ร ร ม อ ั น เ ป ็ น ไ ป เ พ ่ื อ ค ว า ม ไ ม ่ เ ส่ื อ ม  เ ป ็ น ไ ป เ พ ื่ อ ค ว า ม เ จ ร ิ ญ โ ด ย ส ่ ว น เ ดี ย ว

28 เข้าข้างเวสาล ี แต่การท่ีพระพุทธองค ์ ทรงวนเวียนอยใู่ นเขตแคว้นวัชชเี ปน็ เวลา  เกือบปีนัน้  ก็ไดผ้ ลสมพระประสงค์ คือ  พระเจ้าอชาตศตั รมู ไิ ด้ยาตราทพั เขา้ สู่แคว้น  วชั ชีเลย พระพุทธองค์ทรงเก้อื กูลหมูช่ น  มใิ ชเ่ พียงแตใ่ นทางธรรมเทา่ น้ัน แตท่ รง  บ�ำเพ็ญประโยชนแ์ ก่เทวดาและมนษุ ย์  แมใ้ นทางโลกอีกดว้ ย สมแลว้ ทพ่ี ระองค ์ ไดพ้ ระนามว่า “พระโลกนาถ ผู้เป็นท่ีพ่งึ ของโลก” แม้ภายหลงั เมอื่ ทรงปรินพิ พาน  แล้ว ตั้งแต่บัดน้ันจนกระทง่ั บดั นี้ มีมนษุ ย์  จ�ำนวนนับไม่ไดท้ ี่ระลกึ ถงึ คำ� สอนของ  พระองค ์ และไดว้ างมอื จากการประกอบ  กรรมช่ัว แล้วตั้งหนา้ ท�ำความดี พระองคย์ งั   ทรงเปน็ ที่พ่ึงของโลกอยู่ ในพรรษาน้ันเอง ซ่งึ เปน็ พรรษาสดุ ทา้ ย  แหง่ พระชนมชีพ พระตถาคตเจ้าทรง  พระประชวรหนักดว้ ยโรคปักขนั ทิกาพาธ 

29ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ คอื มีพระบงั คนเป็นโลหติ  เกอื บจะปรินพิ พาน  แต่ทรงพจิ ารณาเหน็ ว่า ยังไมเ่ ปน็ กาลอันสมควร  ท่ีจะปรนิ ิพพาน ยังไม่ไดบ้ อกลาภิกษุผเู้ ป็น อปุ ัฏฐากและภิกษสุ งฆ์ จึงทรงใช้สมาธ ิ อิทธิบาทภาวนาขบั ไลอ่ าพาธน้ันดว้ ย  อธวิ าสนขนั ต ิ (อดทนต่อทุกขเวทนาอาพาธ)  เรื่องทพ่ี ระพุทธองค์ทรงใช้ความอดทน  จนหายอาพาธนน้ั เปน็ ท่ีประจักษ์แก่พุทธบริษทั ทกุ หมเู่ หล่า เมอื่ หายอาพาธแล้ว ตอนเย็นประทบั นงั่   ณ ร่มเงาแห่งทพ่ี กั  (วิหาร) พระอานนทเ์ ข้าเฝา้   กราบทลู ว่า ได้เหน็ ความอดทนของพระองคแ์ ลว้   ตัวพระอานนทเ์ องมดื มนไปหมด ท�ำอะไรไมถ่ ูก  แต่เบาใจอยู่หนอ่ ยหน่งึ ว่า พระผู้มพี ระภาคจะ  ยงั ไมป่ รนิ ิพพาน ตราบเทา่ ทีย่ งั ไมไ่ ดป้ ระชุมสงฆ์  ปรารภขอ้ ทค่ี วรปรารภท่ามกลางมหาสมาคม พระพุทธองค์ตรสั ว่า ภิกษุสงฆจ์ ะหวังอะไร  ในพระองคอ์ ีก พระองค์ไดท้ รงแสดงธรรม 

30 เปดิ เผยหมดแล้ว ไมม่ กี ำ� มอื ของอาจารย์ คอื มิได้ปดิ บงั ซอ่ นเรน้ อะไรไวเ้ ลย* แตบ่ ัดน ้ี พระองค์ทรงชรามากแลว้  วยั ลว่ งมาถึง  ๘๐ แล้ว สงั ขารร่วงโรย ทรุดโทรมเหมอื น  เกวยี นหัก เพียงแตไ่ ด้ไมไ้ ผม่ ากระหนาบ  คาบค�ำ้ ไว้ จะยืนนานไปไดส้ ักเท่าใด  อย่าหวงั พงึ่ อะไรพระองค์อกี เลย ขอใหม้  ี ตนและมีธรรมเป็นทพี่ ง่ึ เถิด ตรสั ในทีส่ ดุ ว่า “ภกิ ษขุ องเราผูใ้ ครต่ ่อ การศกึ ษาจักถึงความเป็นเลศิ ” *อาจารยส์ มยั ก่อน จะไมส่ อนความร้ทู กุ อย่าง  ใหแ้ ก่ศิษย์ หวงไวบ้ ้าง ก�ำไว้บ้าง เผอ่ื ว่าลูกศิษย์  คนใดคิดส้คู ร ู ครูจะไดน้ �ำวิชาความรทู้ ีย่ งั ไม่ได ้ สอนมาปราบ แตพ่ ระพุทธเจา้ ไม่ทรงคิดเชน่ นัน้    จึงตรสั ว่าไม่มีกำ� มอื ของอาจารย์

31 เช้าวนั รุ่งข้นึ  พระศาสดาพรอ้ มดว้ ย  ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ พระอานนท ์ เสด็จเขา้ ไปบิณฑบาตในเมอื ง  เวสาล ี กลบั จากบณิ ฑบาตแลว้  เสวยแล้ว  เสดจ็ ไปพกั ผอ่ นกลางวนั ทป่ี าวาลเจดยี ์*  ณ ปาวาลเจดีย์นเ้ี อง พระผูม้ พี ระภาคเจ้า  ตรสั กับพระอานนท์วา่  “เมืองเวสาลีนี้ น่ารนื่ รมย ์ อเุ ทนเจดยี  ์ โคตมเจดยี  ์ สัตตมั พ- เจดยี  ์ พหปุ ุตตเจดยี  ์ สารันทเจดีย์ และปาวาล เจดีย์ ล้วนน่ารื่นรมยท์ ้งั สิน้  อานนท ์ ผู้ใด เจริญอิทธบิ าท ๔ อย่างดีแลว้  ประสงคจ์ ะ มชี ีวติ อยู่ ๑ กัป หรือเกนิ  ๑ กปั ก็พออยู่ได้ อานนท์ ตถาคต (คือพระพทุ ธเจา้ ) ได้เจริญ อิทธิบาท ๔ มาอย่างดีแล้ว ถา้ ตอ้ งการจะ  *ค�ำวา่  เจดยี  ์ ซึง่ กล่าวถึงเป็นอันมากในทนี่ ี้  ขอได้โปรดทราบว่า ไมใ่ ชเ่ จดีย์ในความหมาย  เดียวกับท่ีใชใ้ นภาษาไทย แต่หมายถึง สถานท ่ี อันเป็นทเี่ คารพนับถอื ของประชาชนในถน่ิ นนั้ ๆ 

32 มีชีวิตอยู ่ ๑ กปั  หรือเกนิ  ๑ กปั ก็ย่อมอยูไ่ ด”้   แม้เมือ่ พระผ้มู พี ระภาคตรสั อยอู่ ย่างนถี้ ึง  ๓ คร้งั  พระอานนทก์ ห็ ารทู้ ันไม่ จงึ มิไดท้ ูล  อาราธนาใหท้ รงพระชนม์อยูต่ อ่ ไป พระผูม้ ีพระภาคทรงเหน็ ดงั นัน้  จึงรับสัง่   ใหพ้ ระอานนทไ์ ปพกั ผอ่ นตามอธั ยาศัย คำ� วา่  อิทธบิ าท ซึง่ บคุ คลอบรมเจรญิ ดแี ล้ว ในทีน่ ี ้ ไม่ใช่อิทธิบาทของคนธรรมดา แต่เป็น

33ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ อิทธบิ าททเ่ี กยี่ วกบั ฌาน หรือสมาธิ ซึ่งท่าน เรยี กวา่  ฉันทสมาธ ิ วิรยิ สมาธ ิ เปน็ ต้น กลา่ วคอื  อาศัยฉนั ทะ วิริยะนั่นเอง  ในฌานเรียกอีกอย่างหนึ่งวา่  เจโตสมาธิ หรืออนิมติ ตเจโตสมาธิ ทำ� ให้ต่ออายุ ไปไดอ้ กี  ๑ กัป หรอื เกิน ๑ กัป คำ� ว่ากปั ในทนี่ ้ี ไม่ใชก่ ัปอายโุ ลก แตห่ มายถึงกปั อายคุ น คือประมาณ ๑๐๐ ป ี หรอื  ๑๒๐ ปีเท่านน้ั เมอ่ื พระอานนทห์ ลีกไปแล้ว พระผู้มี  พระภาคกท็ รงปลงพระชนมายสุ งั ขาร  คือตัดสินพระทยั ว่า จะปรินพิ พานในอกี   ๓ เดือนข้างหน้า ในวนั เพญ็ กลางเดือน ๖  วันท่ีทรงปลงพระชนมายุสังขารนน้ั   เปน็ วนั เพญ็ กลางเดือน ๓ เกดิ แผ่นดนิ ไหวขนึ้   พระอานนทซ์ ึ่งไปนง่ั พักผอ่ นอยโู่ คนไม้ตน้ หนึ่ง  ไม่ไกลนัก เห็นเหตุอศั จรรยเ์ กดิ แผน่ ดินไหว  เช่นนนั้  สงสยั วา่ อะไรเป็นเหตใุ ห้แผ่นดนิ ไหว  จงึ รบี เขา้ เฝ้าพระศาสดาทูลถามเรือ่ งน้ัน

34 พระพทุ ธองค์ตรัสว่า “เปน็ ธรรมดา อย่างน้แี หละ อานนท ์ เม่ือตถาคตตรสั รู้ ปลงพระชนมายสุ งั ขาร และนพิ พาน ย่อมเกดิ แผ่นดนิ ไหวข้นึ ” พระอานนท์จงึ ทราบว่า  บัดนพ้ี ระผู้มีพระภาคทรงปลงพระชนมาย ุ สังขารเสียแลว้  จึงทลู อาราธนาให้อยู่ต่อไป  เพ่ือประโยชนแ์ ก่ชาวโลก เพื่ออนเุ คราะหโ์ ลก  แต่พระพทุ ธองค์ทรงปฏิเสธ ตรัสว่าชา้ เกนิ ไป  เสียแล้ว พระองค์ทรงปลงพระชนมายสุ ังขาร  เสยี แลว้  ไมอ่ าจกลบั พระทยั ได ้ ที่จริงไดเ้ คย  ทรงบอกใบ้อย่างชดั เจน (นมิ ิตโอภาส) แก่  พระอานนทม์ าแลว้ ถึง ๑๖ ครั้ง ๑๖ แห่ง  คอื  ที่เมืองราชคฤห ์ ๑๐ ครง้ั  ๑๐ แหง่  เชน่   ส า ร า ณ ี ย ธ ร ร ม : ธ ร ร ม อ ั น เ ป ็ น เ ห ต ุ ใ ห้ ร ะ ล ึ ก ถ ึ ง ก ั น   เ ป ็ น ไ ป เ พ ่ื อ ค ว า ม ร ั ก ค ว า ม เ ค า ร พ ต ่ อ ก ั น   เ พ ื่ อ ส า ม ั ค ค ี   เ อ ก ี ภ า พ

35ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ท่ภี ูเขาคิชฌกฏู เป็นต้น และท่เี มืองเวสาล ี อีก ๖ ครง้ั  ๖ แหง่  คอื  ท่ีอุเทนเจดีย์  สัตตัมพเจดยี  ์ โคตมเจดยี  ์ พหปุ ตุ ตเจดีย์  สารนั ทเจดีย์ และปาวาลเจดยี เ์ ป็นแหง่ สุดทา้ ย  เป็นความบกพร่องของพระอานนท์เองท่ี  มไิ ด้เฉลยี วใจทูลใหด้ ำ� รงพระชนม์อยู่  ทจี่ รงิ ถ้าพระอานนทท์ ูลให้ด�ำรงพระชนม์อย ู่ ณ สถานทีด่ งั กลา่ วแห่งใดแห่งหนงึ่ กจ็ ะทรง  หา้ มเสีย ๒ ครั้ง พอครง้ั ที่ ๓ ก็จะทรงรับอาราธนา อยา่ งไรกต็ ามได้ทรงปลอบพระอานนท ์ ให้คลายโศกเศร้าเสยี ใจวา่  “อานนท์ เราได้ เคยบอกเธอไวก้ อ่ นแล้วมิใช่หรอื ว่า บคุ คล ย่อมตอ้ งพลัดพรากจากสิง่ อันเปน็ ทร่ี กั ท่พี ึงใจ เป็นธรรมดา จะหวงั ให้ได้ดังใจเสมอไปย่อม ไมไ่ ด้ สิ่งทเ่ี กดิ ขึ้นแลว้ ย่อมมกี ารสูญสลาย เป็นธรรมดา จะปรารถนาว่าอยา่ ต้องทำ� ลาย เลยย่อมเปน็ ไปไม่ได.้ ..”

36 ตรัสดังน้ีแล้วชวนพระอานนท์เขา้ สู่ป่า  มหาวัน รับสัง่ ให้พระอานนทป์ ระกาศให้  ภกิ ษุสงฆ์ทั้งหมดที่อยู่ในเมอื งเวสาลมี า  ประชมุ กันทอี่ ุปัฏฐานศาลา (ทปี่ ฏิบตั ิบ�ำรุงสงฆ์  อาจเปน็ หอฉนั และใชเ้ ป็นท่ปี ระชุมไดด้ ้วย)  เม่ือภกิ ษุสงฆ์ประชุมกนั พร้อมแล้ว ไดท้ รง  แสดงธรรมซง่ึ เรียกชื่อวา่  อภิญญาเทสิตธรรม คือ ธรรมท่ที รงแสดงไวเ้ พอื่ ความรยู้ ่ิง คือ สตปิ ัฏฐาน ๔ ความเพยี รชอบ ๔ อิทธบิ าท ๔ อินทรยี  ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรค มอี งค์ ๘ รวม ๓๗ ประการ (ทงั้ หมดนเ้ี รียกว่า โพธปิ ักขิยธรรม กม็ )ี  ทรงขอรอ้ งใหภ้ ิกษุ  ทัง้ หลายศึกษาเล่าเรียนดว้ ยดี สนใจ อบรม  ให้มากซง่ึ ธรรมเหล่าน ี้ เพอื่ ความย่ังยนื ต้ังอย ู่ ได้นานแห่งพรหมจรรย ์ (คือ พระพุทธศาสนา)  เพือ่ ประโยชนส์ ุขแกค่ นหม่มู าก เพ่ืออนุเคราะห์  ชาวโลก ตรสั ยำ้� อกี ว่า สังขารทง้ั หลายมคี วาม  ส้นิ ความเสอื่ มไปเปน็ ธรรมดา ขอใหภ้ ิกษุ 

37ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ทัง้ หลายอยู่ดว้ ยความไมป่ ระมาท พระองคจ์ กั ปรินพิ พานในอีก ๓ เดอื นข้างหน้า และแลว้   ตรสั พระพุทธพจนเ์ ปน็ ทำ� นองใหเ้ กิดความ  สงั เวชสลดใจ ปลงได้ และใหม้ คี วามอุตสาหะวิรยิ ะ เพ่ือสิ้นทุกขโ์ ดยนยั ว่า “ทง้ั คนหนมุ่ คนแก่ ทัง้ พาลและบัณฑติ ท้งั คนร�่ำรวยและคนยากจน ล้วนบา่ ยหน้าไปสู่ ความตาย เหมอื นภาชนะดินทกุ ชนิดย่อมมี การแตกเปน็ ที่สุด ชวี ิตของสัตวท์ ง้ั หลาย ก็เชน่ กนั  มีความตายเปน็ ทสี่ ดุ วัยของเราแกห่ งอ่ มแลว้  ชวี ิตของเรา น้อยนกั  เราจำ� ต้องละทา่ นท้งั หลายไป แต่เราไดท้ �ำท่ีพึ่งของเราไวเ้ รยี บรอ้ ยแล้ว ขอเธอทง้ั หลายจงเป็นผู้ไม่ประมาท มสี ติ มีศลี ดี มีจติ ใจมัน่ คง คอยรักษาจติ ของตน ด้วยด ี ผู้ใดไม่ประมาทอยใู่ นธรรมวนิ ัยนี้ ผูน้ น้ั จกั ละการเวียนว่ายตายเกดิ  พน้ ทกุ ข์ ได้แน่นอน”

38 เชา้ วนั ร่งุ ขึน้  เสด็จบิณฑบาตท่เี มอื งเวสาล ี เสวยเสร็จแลว้ เสดจ็ ออกจากเมอื งเวสาลี  ทรงเหลียวดูเมืองเวสาลีเปน็ นาคาวโลก  คือทรงเหลยี วทอดพระเนตรแบบพญาช้าง  คือหมนุ กลบั ไปท้งั พระองค์ พลางตรสั กับ  พระอานนทว์ ่า การเหลยี วดู หรือการได้เห็น  เมืองเวสาลขี องพระองค์ เปน็ การเหน็   ครงั้ สดุ ท้ายแลว้  เสด็จพทุ ธดำ� เนนิ ไปยัง  บา้ นภณั ฑคาม ณ ที่นนั้ ตรัสกับภิกษุท้ังหลาย ถึงอรยิ ธรรม ๔ ประการ คือ อริยศีล อรยิ สมาธิ อริยปญั ญา และอรยิ วิมุตต ิ วา่  “เมอ่ื ยงั ไมร่ แู้ จง้ แทงตลอดธรรมท้งั   ๔ ประการนี้ เราและพวกเธอจงึ ต้องท่อง เทีย่ วไปเรร่ ่อนไปในสงั สารวัฏอนั ยาวนาน แต่เมอื่ รู้แจง้ แทงตลอดอรยิ ธรรม ๔  ประการนี้แลว้  เราจึงถอนตณั หาเสยี ได้  ไม่มภี พใหม่อกี  ไมต่ อ้ งเวียนวา่ ยตายเกดิ อีก ตอ่ ไป”

39ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ออกจากภัณฑคาม (ต�ำราบางเลม่ เป็น  ภัณฑุคาม) เสด็จต่อไปยงั หตั ถคี าม อมั พคาม  ชัมพุคาม และโภคนคร ตามล�ำดับ ประทับ  อยู่ ณ อานันทเจดีย์ในเขตโภคนครนั้น  ทรงแสดงมหาปเทส (ขอ้ อา้ งใหญ)่  แก่ภิกษ ุ สงฆเ์ พ่อื การตกลงใจ ตดั สนิ วา่ อะไรเปน็ ค�ำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า อะไรไมใ่ ช่ ใจความส�ำคญั วา่   “ถ้ามีใครมาอา้ งพระศาสดา อ้างสงฆ์ อ้างคณะ หรืออ้างบุคคลก็ดวี ่า เขาไดร้ ับฟงั มา จากพระศาสดา หรือจากสงฆ ์ จากพระเถระ เปน็ จ�ำนวนมากผ้เู ป็นพหสู ตู  ทรงธรรม ทรงวนิ ัย (จากคณะ) หรือจากภกิ ษุเถระรูป เดียวผเู้ ป็นพหสู ูต ทรงธรรม ทรงวนิ ัย (จากบคุ คล) แสดงว่า “นเ้ี ปน็ ธรรม เป็นวินัย น้ีเปน็ ค�ำสอนของพระศาสดา อยา่ รีบรบั หรอื อยา่ รบี ปฏเิ สธข้ออา้ งนั้น พึงสอบใน พระสตู ร พึงเทยี บในวินยั  ถา้ ลงกนั ไมไ่ ดก้ ็

40 ขอให้เข้าใจว่า นนั่ ไมใ่ ช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่ค�ำสอนของพระศาสดา ถา้ ลงกนั ได้ ก็ขอให้เข้าใจวา่  น่นั เปน็ ธรรม เป็นวินัย เป็นค�ำสอนของพระศาสดา” จากโภคนครเสด็จเขา้ ส่เู มืองปาวา  ประทบั  ณ สวนมะม่วงของนายจุนทะ  กมั มารบุตร (บุตรนายชา่ งทอง) เจา้ ของสวน  ได้สดบั ขา่ วว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมาพร้อม  ด้วยภกิ ษุสงฆ์ ประทบั อย่ ู ณ สวนมะม่วง 

41ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ ของตน จงึ มาเฝา้ ฟงั คำ� สอนอันเปน็ เหตใุ ห ้ รา่ เริงบนั เทิงใจในกุศลจรยิ า แล้วทูลอาราธนา  พระศาสดาและภิกษุสาวก เพื่อรับภตั ตาหาร  ในนิเวศน์ของตน เม่ือทราบว่าพระศาสดา  ทรงรบั แล้ว เขารบี กลบั บา้ น จดั แจงขาทนยี ะ  (ของควรเคย้ี ว) โภชนยี าหาร (ของควรบริโภค)  และสกู รมทั วะ อนั เพยี งพอแกภ่ ิกษสุ งฆ์  (ปณีต ํ ขาทนยี ํ โภชนีย ํ ปฏิยาทาเปตวฺ า  ปหูตญจฺ  สูกรมทฺทว)ํ  

42 เชา้ ขนึ้  ไปกราบทูลพระผมู้ พี ระภาคและ  อาราธนาภกิ ษสุ งฆ ์ เพ่ือเสวยและฉนั ทบ่ี ้าน  ของตน พระศาสดาประทบั น่งั เรียบร้อยแล้ว  ตรัสถามถึงสกู รมัทวะ ขอใหถ้ วายสูกรมัทวะ  แดพ่ ระองค์เพียงผเู้ ดียว สว่ นอาหารอ่นื ๆ  ใหถ้ วายพระสงฆ์ได้ สกู รมทั วะทเ่ี หลอื ใหน้ �ำ  ไปฝังดินเสยี  ตรสั วา่  ไมม่ ใี ครในโลกไหนๆ  ที่บรโิ ภคสกู รมัทวะแล้วจะยอ่ ยได ้ นอกจาก  พระองคเ์ อง นายจนุ ทะได้ปฏิบตั ิตามพระพทุ ธ-  ด�ำรัสทกุ ประการ เสวยเสร็จแลว้  ทรงอนโุ มทนาให้นายจุนทะ  ร่าเริงอาจหาญในกศุ ลธรรมสัมมาปฏบิ ัติ  แลว้ เสด็จจากไป หลงั จากเสวยสกู รมทั วะ  ของนายจุนทะแลว้  พระโรคาพาธรนุ แรงข้นึ   เสวยเวทนากล้าจวนจะส้นิ พระชนม์ แตท่ รงมี  พระสตสิ ัมปชญั ญะอดทนตอ่ อาพาธน้ันอยา่ ง  ย่งิ ยวด มไิ ด้แสดงพระอาการกระวนกระวาย  แต่ประการใด เสดจ็ บา่ ยพระพกั ตรไ์ ปสู่  นครกสุ นิ ารา

43ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ สูกรมทั วะคอื อะไร เป็นปัญหาทค่ี วร  วนิ จิ ฉัย ท�ำไมพระพุทธองค์จึงรับส่ังใหถ้ วาย เฉพาะพระองค์ผู้เดียว ทั้งๆ ทน่ี ายจุนทะ  ไดเ้ ตรียมไว้อย่างเพยี งพอหรอื เปน็ อันมาก  (ปหตู ญฺจ สกู รมททฺ ว)ํ  พระพทุ ธองคท์ รง  ประชวรหนักลงเพราะเสวยสูกรมทั วะหรอื อย่างไร สูกรมัทวะ ตามนัยคัมภีรส์ มุ งั คลวิลาสิน ี อรรถกถาทีฆนิกาย ไดอ้ ธบิ ายสูกรมัทวะไว้  ๓ นยั  คอื ๑. เน้อื ของสุกรทไ่ี มอ่ อ่ นเกินไป  ไมแ่ กเ่ กินไป (นาตติ รุณสสฺ  นาตชิ ิณณฺ สสฺ )  อ่อนนุม่ สนิท นายจุนทะตกแตง่ ปรงุ เป็นอาหาร  อยา่ งดี ๒. อาจารยบ์ างพวกกลา่ วว่า สูกรมัทวะ  คอื  ข้าวอ่อนทปี่ รงุ อยา่ งดดี ้วยปัญจโครส  (ถอื เอาความวา่  ขา้ วทีห่ ุงอย่างดดี ้วยนำ้� นมโค) ๓. อาจารย์บางพวกกลา่ ววา่  สกู รมทั วะ  เปน็ ยาชนิดหน่งึ  ปรงุ ดว้ ยรสายนวธิ  ี ซ่งึ มีใน 

44 คัมภรี ส์ ายนศาตร ์ (คมั ภีร์หรอื ตำ� รายา)  นายจุนทะเตรียมยาชนิดนถ้ี วายดว้ ยหวงั จะ  ให้พระพุทธเจ้าทรงหายประชวร ยงั ไมต่ ้อง  ปรินพิ พาน รวมความแล้วพระอรรถกถาจารย์ ผรู้ จนา  คัมภรี ท์ ฆี นิกาย อธบิ ายมหาปรนิ ิพพานสตู ร  นเ่ี อง กย็ งั ไมแ่ น่ใจว่าสกู รมทั วะเปน็ อะไร สว่ นคมั ภรี ์ปรมัตถทีปน ี อรรถกถาขุททก  นกิ าย (ตอนอธบิ ายปาฏลิคามิยวรรค หรือ  ปาฏลิคามวิ รรค คัมภีรอ์ ุทาน พระไตรปิฎก  เล่ม ๒๕) พระอรรถกถาจารย์ (ท่านธรรมปาละ  รุ่นหลังพระพทุ ธโฆสาจารย์เลก็ น้อย เปน็ ชาว  อินเดียเหมอื นกนั ) ไดแ้ สดงมติท่ีแปลกจาก  คัมภีรส์ ุมงั คลวลิ าสนิ ไี ปบา้ ง เชน่  แสดงวา่ ๑. สกู รมัทวะ คอื  เนอื้ หมทู อ่ี อ่ นนุม่   (ไม่ระบุวา่ เป็นหมทู อ่ี ย่ใู นวยั ใด) ๒. อาจารยบ์ างพวกวา่  สูกรมัทวะไมใ่ ช ่ เนอ้ื หมู แตเ่ ป็นหน่อไมช้ นิดหน่ึงท่หี มูชอบกนิ  

45ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ (หรอื หมเู หยยี บย่ำ� ไป-มา) ๓. อาจารยบ์ างพวกว่า เป็นเห็ดชนดิ หน่ึง  เรียกว่า อหิฉัตตกะ (มลี ักษณะเหมือนงูแผ ่ แมเ่ บ้ยี ) รวมความว่าพระอรรถกถาจารย ์ ผรู้ จนา  คัมภรี ์ต่างๆ ก็ยังไม่แนใ่ จว่าสกู รมัทวะคืออะไร อยา่ งไรกต็ ามการทพ่ี ระพุทธองคร์ บั สง่ั   ให้ถวายพระองคเ์ พยี งผู้เดียว และทเ่ี หลือให ้ น�ำไปฝังเสยี น้ัน แสดงว่าตอ้ งเป็นสิง่ ทเ่ี ป็นพษิ แน ่ ข้อพสิ จู น์อีกอย่างหนึง่ วา่ เป็นพษิ ก็คอื  เม่อื พระ-  พทุ ธองค์เสวยแลว้  ทรงพระประชวรมากขนึ้   จนเกอื บจะสน้ิ พระชนม์ (ขโร อาพาโธ ….  เวทนา วตฺตนฺติ มรณนตฺ ิกา) พระสงั คตี ิกาจารย์ (อาจารยผ์ ู้ท�ำสังคายนา)  กล่าวไวว้ า่ “ขา้ พเจ้าไดฟ้ งั มาวา่  พระผู้มีพระภาคผูเ้ ป็น ปราชญเ์ สวยอาหารของนายจนุ ทะแล้ว ทรง ประชวรหนักถงึ จวนส้นิ พระชนม ์ เพราะลง

46 พระบังคนอยา่ งแรง ตรสั กับพระอานนท์วา่ เราไปเมอื งกสุ ินารากนั เถดิ ” ขณะบ่ายพระพักตรส์ นู่ ครกสุ นิ าราน้นั   ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก จงึ ทรงแวะพกั ท่ใี ต ้ ร่มไมต้ น้ หนง่ึ  รับส่ังใหพ้ ระอานนทช์ ่วยปู  ผา้ สังฆาฏพิ ับเป็น ๔ ช้ัน ประทับน่ังพักผ่อน  ทรงกระหายนำ�้  รบั สั่งให้พระอานนทไ์ ปนำ� น�้ำ  มาถวาย พระอานนท์ทูลวา่  เกวยี นเป็นจ�ำนวน 

47ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ มากเพ่ิงผา่ นล�ำธารไป น้�ำขุ่นไม่สมควรจะ  เสวย ขอให้เสด็จต่อไปอกี หนอ่ ยก็จะถงึ   แมน่ ำ�้ กกุธา ซง่ึ มีน้ำ� ใสสะอาด มที า่ ลงราบเรียบ  แต่พระพุทธองคย์ งั คงตรสั ยืนยันเช่นนนั้ ถึง  ๓ คร้งั  พระอานนท์จึงถอื บาตรไปตกั น้ำ�   ซึ่งขนุ่ ข้นอยู่เดมิ  เม่อื พระอานนทเ์ ขา้ ไปใกล ้ ก็กลบั ใสสะอาด พระอานนทไ์ ด้มองเหน็   ความอศั จรรยน์ ัน้  ไดน้ �้ำมาถวายพระศาสดา  และกราบทูลว่า พระตถาคตทรงเปน็ ผู้มีฤทธ ิ์ มาก มอี านภุ าพมากเหลือเกนิ  พระศาสดา  ได้เสวยน้�ำเพอ่ื ระงบั ความกระหายแล้ว  เวลานน้ั เอง โอรสของมัลลกษตั รยิ  ์ แห่งกรุงกสุ นิ ารา ชื่อ ปุกกสุ ะ ออกจาก  นครกสุ ินาราเพ่อื ไปนครปาวา เขาเป็นศษิ ย์  ของอาฬารดาบสกาลามโคตร (ซึง่ เคยเป็น  อาจารยส์ อนเรือ่ งฌานใหพ้ ระพทุ ธเจ้า  ในสมยั เมื่อพระองค์ออกแสวงหาสัจธรรมอย)ู่   เขาเหน็ พระศาสดาประทบั อยใู่ ต้รม่ ไม ้

48 จงึ เขา้ ไปเฝ้า กราบทูลว่า นา่ อัศจรรย์จริงที ่ บรรพชติ มปี กตอิ ยู่อย่างสงบ เคยทราบวา่   คราวหน่ึงอาฬารดาบสกาลามโคตร นัง่ พัก  อยใู่ ต้ร่มไมต้ น้ หน่ึง ขณะเกวียนเป็นอนั มาก  ผา่ นไป ชาวเกวยี นคนสุดท้ายแวะเข้าไป  หาทา่ น ถามว่าเห็นเกวยี นเปน็ อันมากและ  ได้ยนิ เสียงเกวยี นหรอื ไม่ ท่านตอบว่าไมเ่ หน็   และไม่ไดย้ นิ  ท้งั ๆ ท่ไี ม่ไดห้ ลบั เลย ผา้ ของท่าน  กเ็ ปอื้ นธุลี คือ ฝนุ่ จากลอ้ เกวยี น น่าอัศจรรย์ จริงๆ บรรพชิตมีปกติอยูอ่ ย่างสงบ พระศาสดาตรสั เลา่ ใหฟ้ ังว่า ครง้ั หนงึ่   พระองค์ประทับอยู่ที่โรงกระเดอ่ื งในเมือง  อาตุมา เวลานนั้ ฝนก�ำลงั ตกอย่างหนกั   ฟา้ ลั่นเสียงสนน่ั  ผา่ เปร้ยี งๆ ลงมาด้วย  ชาวนาสองพ่ีน้องและโคถกึ  ๔ ตัว  ถกู สายฟ้าฟาดใกล้โรงกระเดอ่ื งนั่นเอง  ชาวบา้ นในเมืองอาตมุ าพากนั ออกมาชุมนมุ กัน  เพือ่ ดูชาวนาสองพนี่ อ้ งและโคถึก ๔ ตวั  

49 ก า ร ป ริ  ิน พ พ า น ข อ ง พ ร ะ  ุพ ท ธ เ  ้จ า    : อ .  ว ศิ น  อิ น ท ส ร ะ พระองคเ์ สด็จออกจากโรงกระเดื่องเสดจ็   จงกรม (เดนิ ไป-เดินมา) ใกลโ้ รงกระเดอ่ื ง  นั่นเอง มคี นคนหน่งึ เข้ามาหาพระองค ์ ตรสั ถามวา่  ประชาชนมาชมุ นุมกันเรื่องอะไร  คนผนู้ ้ันทลู ถามวา่  ไม่ไดย้ ินอะไรเลยหรอื   ฝนตกอยา่ งหนกั  ฟ้าร้องครืนครั่น ผา่ เปร้ียงๆ  จนชาวนาสองพ่ีน้องตายไป และโคถกึ   อกี  ๔ ตัวด้วย ทา่ นอยู่เสยี ทีไ่ หนเลา่ “เราอยู่ท่ีนเ่ี อง” “ทา่ นไม่เหน็  ไม่ไดย้ นิ  และไมห่ ลบั หรอื ” “ไมเ่ ลย” ชายผนู้ ้ันร้สู ึกแปลกใจมากในเรอ่ื งน ี้ และคดิ ว่าบรรพชติ มปี กตอิ ยูด่ ้วยความสงบหนอ  “ดูกอ่ นปกุ กสุ ะ ทา่ นคิดว่า ผู้ทน่ี ง่ั อยไู่ มห่ ลับ ไม่เหน็  ไมไ่ ด้ยินเสียงเกวยี นเป็นอันมากผา่ นไป กบั ผทู้ น่ี งั่ อยไู่ ม่หลับ ไม่ได้ยนิ เสยี งฟ้ารอ้ ง ฟา้ ผา่ ในขณะที่ฝนตกอยา่ งหนกั  อย่างไหนท�ำได้ ยากกว่า (ใครมปี กติอย่ดู ้วยความสงบมากกว่า)”