Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่มที่ 6_บริการแนะแนว

เล่มที่ 6_บริการแนะแนว

Published by waleewan, 2020-06-14 21:46:12

Description: เล่มที่ 6_บริการแนะแนว

Search

Read the Text Version

บริการแนะแนว และเครอื่ งมือทางจติ วทิ ยา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สมาคมแนะแนวแหงประเทศไทย กระทรวงศึกษาธกิ าร

บริการแนะแนว และเครื่องมือทางจิตวิทยา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน สมาคมแนะแนวแหงประเทศไทย กระทรวงศกึ ษาธิการ

บรกิ ารแนะแนวและเครื่องมอื ทางจิตวิทยา พ.ศ. 2559 ปที พ่ี ิมพ ์ 32,000 เลม่ จำนวนพิมพ ์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน จัดพิมพโ์ ดย กระทรวงศึกษาธกิ าร โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั 79 ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตจุ กั ร กรุงเทพมหานคร 10900 พมิ พ์ท ่ี โทร. 0-2561-4567 โทรสาร 0-2579-5101 นายโชคดี ออสวุ รรณ ผพู้ มิ พ์ผู้โฆษณา

ก คำนำ งานแนะแนวเปนงานหลักที่สำคัญและจำเปนอย่างยิ่งท่ีต้องดำเนินการควบคู่ไปกับ การเรียนการสอนจึงจะสามารถจัดการศึกษาให้บรรลุผลตามเปาหมายของหลักสูตรได้ แต่จาก สภาพการณ์ท่ีปรากฏ พบว่า มีปจจัยซ่ึงไม่เอ้ือให้สถานศึกษาดำเนินงานแนะแนวท่ีเปนผลต่อ การจัดการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนอย่างจริงจัง คือครูและบุคลากรทางการศึกษาขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องจิตวิทยาการแนะแนว สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ตระหนัก และมุ่งม่ันจะส่งเสริมให้ครู บุคลากรทางการศึกษาได้เพ่ิมพูนความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองจิตวิทยา การแนะแนวมากขึ้น สามารถนำความรู้สู่การปฏิบัติให้เกิดผลเชิงประจักษ์ ยังประโยชน์ต่อผู้เรียน ท่ัวทุกถิ่นไทย ครูจะศึกษาได้ด้วยตนเองในเวลาไม่นาน และนำไปปฏิบัติได้จริง โดยได้จัดทำเอกสาร ชดุ “แนะแนวเพ่อื เยาวชนไทย” ประกอบด้วยเอกสาร 9 รายการ ดังนี้ เล่ม 1 การแนะแนวแบบมงุ่ อนาคต เล่ม 2 มาตรฐานการแนะแนว เล่ม 3 หลักการบริการแนะแนวและการปรึกษาเชิงจิตวิทยาเบ้ืองต้น สำหรับครู และผู้บรหิ ารการศึกษา เลม่ 4 ระบบการแนะแนวในโรงเรียน เล่ม 5 การออกแบบกิจกรรมแนะแนวที่เนน้ การพัฒนาทักษะสำหรับผู้เรียน เล่ม 6 บริการแนะแนวและเคร่ืองมือทางจิตวทิ ยา เลม่ 7 การพัฒนาระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียน เล่ม 8 การให้คำปรึกษา เล่ม 9 การจัดการเรียนรูก้ จิ กรรมแนะแนว สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานหวงั เปน อยา่ งยง่ิ วา่ เอกสารชดุ นจ้ี ะชว่ ยใหค้ รู และบุคลากรทางการศึกษาและผู้ที่เก่ียวข้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมั่นใจท่ีจะนำไปปฏิบัติ ในการพัฒนาเยาวชนได้เปนอย่างดี ขอขอบคุณคณะผู้จัดทำจากสมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย ท่ีทุ่มเทท้ังกำลังกาย ใจ เวลา กำลังสติปญญา ความสามารถ และทุกท่านที่มีส่วนร่วมดำเนินการ จัดทำเอกสารจนสำเร็จลุล่วง รวมท้ังขอขอบคุณเจ้าของต้นฉบับ เอกสาร ส่ือต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบ การคน้ ควา้ และเปนสว่ นเสริมสรา้ งเนอ้ื หาสาระใหส้ มบรู ณ์ยิง่ ขึน้ (นายกมล รอดคลาย) เลขาธิการคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน



คำนำ ข สารบญั คำชแ้ี จง สารบญั บทนำ บทที่ 1 การจัดบรกิ ารแนะแนวในสถานศึกษา หนา บทท่ี 2 วธิ ีการรูจ้ กั ผู้เรียนเปนรายบคุ คล บทที่ 3 การศกึ ษานกั เรียนเปนรายกรณี ก บทที่ 4 การนำเครอ่ื งมอื ทางจิตวิทยาไปใชใ้ นการแนะแนว ข บรรณานกุ รม ค คณะผจู้ ัดทำ ง 1 19 37 53 59 61



ค คำชี้แจง เอกสารชุดแนะแนวเพ่ือเยาวชนไทยเกิดข้ึนได้ด้วยความร่วมมือของสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านงบประมาณ ป 2558 โดยศูนย์พัฒนาการนิเทศและเร่งรัด คุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานกับสมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย จัดโครงการพัฒนาบุคลากร ผู้รับผิดชอบงานแนะแนวระดับเขตพื้นท่ีการศึกษาในรูปแบบกิจกรรม 2 กิจกรรม ดังน้ี คือ กิจกรรมที่ 1 จัดทำหลักสูตรและประชุมปฏิบัติการพัฒนาศึกษานิเทศก์ผู้รับผิดชอบงานแนะแนว ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทุกเขตพื้นท่ีการศึกษา เขตละ 1 คน รวม 225 คน เพ่ือให้ ศกึ ษานเิ ทศก์ไดม้ คี วามรู้ ความเขา้ ใจดา้ นจติ วทิ ยาการแนะแนว มีแนวทางในการช้ีแนะ (Coaching) ให้แก่บุคลากรในสถานศึกษา เพ่ือนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมท่ี 2 จัดทำเอกสาร ชุดแนะแนวเพ่ือเยาวชนไทย เพื่อให้ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้เก่ียวข้องนำไปศึกษาเพิ่มเติม กระบวนการ หลกั การ วธิ กี ารแนะแนว เสรมิ สรา้ งความมนั่ ใจ ประยกุ ตใ์ ชเ้ พอ่ื ประโยชนใ์ นการพฒั นา เยาวชนให้บรรลุตามเปาหมายของหลักสูตร และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ โดยสมาคม แนะแนวแห่งประเทศไทย เปนผคู้ ดั สรร จดั ทำ เรยี บเรยี ง ทัง้ 9 เล่ม ดังกล่าว หวงั วา่ เอกสารชดุ นจ้ี ะเปน ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาเยาวชนไทย ใหเ้ ปน พลเมอื งและพลโลก ท่ีมีคณุ ภาพตอ่ ไป (นายภาสกร พงษส์ ทิ ธากร) หัวหนา้ ศูนยพ์ ฒั นาการนิเทศและเรง่ รดั คุณภาพการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน



ง บทนำ บริการแนะแนวเปนภาระงานของครูและครูแนะแนวท่ีจะต้องจัดและดำเนินการ ให้แก่นักเรียนในโรงเรียนอย่างมีการดำเนินการจัดและให้บริการอย่างเปนกระบวนการ มีมาตรฐาน และประสิทธิภาพ ครูและครูแนะแนวควรมีความรู้เรื่องการศึกษารายกรณี ซ่ึงต้องอาศัยความเข้าใจ ภาระงานอยา่ งถ่องแท้ และมกี ารใชเ้ ครอื่ งมือทด่ี ปี ระกอบอกี ดว้ ย

บริการแนะแนวและเคร่อื งมือทางจติ วิทยา 1 1บทที่ การจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษา การพัฒนาประเทศชาติและสังคมให้ยั่งยืน ก็คือ การพัฒนาคนเพราะคนคือผู้สร้าง และพัฒนาส่ิงต่าง ๆ การสร้างคนท่ีมีประสิทธิภาพไม่สามารถดำเนินการได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะการขัดเกลาหล่อหลอมคนที่มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ต้องใช้ระยะเวลานานและต้อง ดำเนินการโดยการให้การศึกษา การจัดการศึกษาของชาติจึงกำหนดระยะการศึกษานานนับ 10 ป นักวิชาการเช่ือว่าการศึกษา คือ การพัฒนาความรู้และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทำให้บุคคล มีศักยภาพสูงสุด แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมทำให้การพัฒนาเยาวชนไม่บรรลุ ผลสัมฤทธิ์ตามความคาดหวัง การดูแลช่วยเหลือให้เยาวชนมีคุณภาพตามเปาหมายของการจัด การศึกษาจึงเปนหน้าท่ีของทุกฝาย โดยเฉพาะครูผู้ซึ่งมีหน้าที่หลักในการจัดการเรียนรู้และพัฒนา ผู้เรียน การแนะแนวเปนศาสตร์หนึ่งที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถเจริญเติบโตเต็มตามศักยภาพ บรรลตุ ามเปา หมายของการจดั การศกึ ษาทต่ี ง้ั ไว้ ดงั นน้ั ครทู กุ คนจงึ ตอ้ งมคี วามรเู้ กยี่ วกบั การแนะแนว เพื่อนำมาประยกุ ต์ใชใ้ นการชว่ ยเหลือและพฒั นาผเู้ รียน ความÀมาย¢องการแนะแนว การแนะแนว (guidance) หมายถึง กระบวนการช่วยเหลือผู้เรียนให้รู้จักเข้าใจตนเอง และสิ่งแวดล้อม รู้เท่าทันตนเองและสังคม มีสารสนเทศที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นสามารถตดั สนิ ใจและวางแผนไดด้ ว้ ยตนเอง สามารถปรบั ตวั ดำเนนิ ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ และเจรญิ งอกงามเตม็ ตามศกั ยภาพแหง่ ตน (กรกฎา นกั คมิ้ , 2555 : 10; นริ นั ดร์ จลุ ทรพั ย,์ 2558 : 33 และเจษฎา บญุ มาโฮม, 2558 : 34) โดยทั่วไปการดำเนินงานแนะแนวในสถานศึกษาจะนิยมใช้คำว่า “การจัดบริการ แนะแนว” เพราะประเทศไทยไดร้ บั การถา่ ยทอดวทิ ยาการความรู้ ดา้ นการแนะแนวจากประเทศตะวนั ตก ที่บุคลิกภาพของผู้เรียนมีลักษณะกระตือรือร้น (active learner) ดังนั้น การจัดการแนะแนว

2 บริการแนะแนวและเคร่อื งมือทางจิตวิทยา จึงเปนความสมัครใจของผู้เรียนท่ีต้องการความช่วยเหลือเพ่ือเติมเต็มความงอกงามในชีวิตของตน สำหรับบริบทครรลองของวัฒนธรรมไทยอาจไม่คล้ายคลึงกับประเทศตะวันตกนัก เพราะพ้ืนฐาน ทางวัฒนธรรมของคนไทยจะปลูกฝงให้ผู้เรียนเปนผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เช่ือฟงครูอาจารย์ ลักษณะ ของผู้เรียนจึงมีความกระตือรือร้นน้อยกว่าประเทศตะวันตก ปจจุบันรัฐบาลจึงได้ผลักดันให้เกิด กระบวนการปฏิรูปการศึกษาเกิดสัมฤทธิผล เพ่ือเปล่ียนแปลงลักษณะของผู้เรียนให้มีลักษณะ กระตือรือร้นมุ่งแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง อีกทั้งคำว่า “บริการ” ในความหมายของคนไทย อาจตีความได้ท้ังด้านงดงามหรือไม่สร้างสรรค์ จึงเปนเหตุให้นักวิชาการหรือผู้ปฏิบัติงานแนะแนวตั้ง ข้อสงสัยในใจว่าไม่ควรใช้คำว่า “บริการแนะแนว” แต่อย่างไรก็ตาม การแนะแนวของไทย กย็ งั คงใช้คำว่าบริการแนะแนวด้วยเหตุผลสำคญั 3 ประการ คอื 1. เพื่อคงความหมายและบรบิ ทของคำศพั ท์ตามรากฐานขององค์ความรู้เดิมที่ไดร้ ับมา 2. คำว่า “การบริการ” ตามความหมายของราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง การให้ ความสะดวกต่าง ๆ (2556 : 653) ซ่ึงสอดคล้องกับหลักการและบทบาทของครูแนะแนวท่ีต้อง สง่ เสริมใหผ้ ูเ้ รยี นเจริญงอกงามเต็มตามศักยภาพ 3. การบริการต้องประกอบด้วยบุคคล 2 ฝาย คือ ผู้ให้บริการและผู้รับบริการ นั่นคือครูแนะแนวกับผู้เรียน อีกทั้งการบริการยังต้องมีขั้นตอนและกระบวนการ เพื่อการดำเนินการ ท่ีมีประสิทธิภาพสามารถวัดและประเมินผลได้อย่างเปนรูปธรรมอีกท้ังการจัดบริการยังต้องเปน การสมัครใจของบุคคลท้ัง 2 ฝา ย โดยเฉพาะผู้รับบรกิ ารซึ่งกค็ อื ผู้เรยี นนน่ั เอง ªร™— ≠าæÈนื ∞านเæื่อการจ—¥บรกิ ารแนะแนว ปรชั ญา คือ ความคิดและความเช่อื พืน้ ฐานของบคุ คลทีม่ ตี อ่ ส่ิงต่าง ๆ ดังนัน้ หากบุคคล มีความคิดและความเช่ือต่อส่ิงนั้นอย่างไรก็มักจะแสดงออกหรือปฏิบัติตนตามความเช่ือนั้น ปรัชญา จึงเปนมุมมองความคิดท่ีส่งผลต่อสภาวการณ์นั้น ดังน้ัน การพัฒนาการศึกษาของชาติจึงมีแนวคิด เก่ียวกับปรัชญาการศึกษาเปนพ้ืนฐานสำคัญ การจัดบริการแนะแนวก็เช่นกัน หากผู้จัดบริการ แนะแนวมคี วามร้แู ละตระหนักถงึ ความสำคัญของปรัชญาการแนะแนวกจ็ ะสามารถนำไปใช้จดั บริการ แนะแนวให้มีประสิทธิภาพต่อไป ท้ังน้ีการแนะแนวมีปรัชญาสำคัญสรุปได้ดังนี้ (รังสรรค์ โฉมยา, 2553 : 16-17) 1. บุคคลมีความแตกต่างกัน ด้วยพ้ืนฐานของการเจริญเติบโต การอบรมเล้ียงดู ส่ิงแวดล้อม และปจจัยอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคล ส่งผลให้บุคคลมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเปน ความแตกต่างทางกาย สติปญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคม จึงทำให้รูปแบบพฤติกรรมบุคคล

บรกิ ารแนะแนวและเครอื่ งมือทางจติ วทิ ยา 3 รูปแบบปญหาของบุคคลมีมิติท่ีแตกต่างกัน การจัดบริการแนะแนวจึงต้องยอมรับความแตกต่าง และความหลากหลายของผูเ้ รียน 2. พฤติกรรมของบุคคลเกิดขึ้นจากสาเหตุปจจัยต่าง ๆ ในมิติด้านจิตวิทยาเชื่อว่า พฤตกิ รรมของบคุ คลมสี าเหตขุ องการเกดิ มาจากหลายปจ จยั ไมว่ า่ จะเปน ปจ จยั ภายในของตวั บคุ คลเอง หรือปจจัยที่เปนสภาพแวดล้อม ดังน้ัน หากทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดขึ้นของพฤติกรรม ยอ่ มทำใหก้ ารแกไ้ ขปญหาทเ่ี กี่ยวข้องกบั พฤติกรรมนั้นทำไดง้ า่ ยและมโี อกาสประสบความสำเร็จสูง 3. บุคคลย่อมมีช่วงวิกฤติของชีวิต ในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึงของบุคคลอาจเปนช่วงเวลา ที่ประสบปญหาที่ต้องการการแก้ไข การเยียวยา และการช่วยเหลือจากบุคคลอื่น เพื่อที่จะก้าวผ่าน ช่วงเวลาวิกฤติของชีวิต แม้ว่าโดยหลักการแล้วไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือใครได้ตลอดชีวิต แต่บริการแนะแนวก็มุ่งหวังให้การช่วยเหลือนั้นเปนการปองกันประสบการณ์ที่สำคัญส่งผลให้ บุคคลเกิดการเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตนเองได้ในอนาคต หากเกิดปญหาในลักษณะเดียวกันหรือ ใกลเ้ คียงกนั เกิดขนึ้ 4. บุคคลมีคุณคา่ และศกั ดศิ์ รีของความเปน มนษุ ยเ์ ท่าเทียมกนั เน่อื งจากการดำรงชวี ติ ในสังคมบุคคลต้องการได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าท้ังจากตนเองและผู้อ่ืน มีแรงจูงใจ และสามารถสร้างแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองให้เปนบุคคลที่ดีข้ึนได้ หากเพียงได้รับโอกาสและ การใส่ใจที่ถูกต้องอย่างเหมาะสมจากคนรอบข้าง ดังนั้น หากบุคคลได้รับการชี้แนะและการกระตุ้น ทเ่ี หมาะสมจากบคุ คลและสงั คมรอบข้างกจ็ ะสามารถพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเรจ็ ได้ 5. มนุษย์ คือ ทรัพยากรที่มีค่าและมีความสำคัญอย่างย่ิงต่อสังคม บุคคลแต่ละคน ต่างมีส่วนช่วยสร้างสรรค์ความเจริญให้กับสังคม หากเกิดปญหาข้ึนกับบุคคลใดบุคคลหน่ึงย่อมส่งผล กระทบต่อสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การจัดบริการแนะแนวจะช่วยให้บุคคลสามารถแก้ปญหา ของตนเองได้ ส่งผลให้บุคคลสามารถแสดงคุณค่าที่ดีของตนเองต่อสังคม เปนกำลังใจในการพัฒนา ส่งเสรมิ ความเจริญกา้ วหนา้ ใหก้ บั สงั คม 6. มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพและความโดดเด่นในตนเอง การจัดบริการแนะแนวจะช่วย ให้บุคคลได้ค้นหาคุณลักษณะและศักยภาพท่ีมีอยู่ในตนเองได้ แล้วสามารถนำออกมาใช้และพัฒนา ได้อย่างเต็มท่ีอันจะเกิดประโยชน์ตอ่ ตนเองและสงั คม ต่อไป 7. มนุษย์ทุกคนมีอิสระและมีโอกาสเลือกสิ่งต่าง ๆ อย่างเสรี มีความเสมอภาค เทา่ เทยี มกนั การจดั บรกิ ารแนะแนวจะชว่ ยสง่ เสรมิ ใหบ้ คุ คลไดต้ ดั สนิ ใจเลอื กแนวทางตา่ ง ๆ ทเี่ หมาะสม กบั ตนเองอยา่ งมอี ิสระ

4 บริการแนะแนวและเคร่ืองมอื ทางจิตวิทยา ความรæâŸ นืÈ ∞านเæือ่ การจ—¥บริการแนะแนว การจัดบริการแนะแนวที่มีประสิทธิภาพน้ัน ผู้จัดบริการจำเปนต้องมีความรู้พื้นฐาน ดงั ต่อไปนี้ (ลักขณา สริวัฒน,์ 2551 : 349-362 และเจษฎา บุญมาโฮม, 2558 : 34-46) 1. พัฒนาการของผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้และบริการแนะแนวต้องจัดให้ สอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียน ด้ังนั้น ความรู้เก่ียวกับพัฒนาการของผู้เรียนจึงเปนส่ิงจำเปน ประการแรกสำหรบั การจัดบริการแนะแนว 2. มโนทศั น์เบือ้ งตน้ เก่ียวกบั การแนะแนวมสี าระสำคัญ ดังนี้ 2.1 ประเภทของการแนะแนวแบง่ ออกได้ 3 ประเภทใหญ่ คือ 2.1.1 การแนะแนวการศกึ ษา (educational guidance) เปนกระบวนการ ให้ความช่วยเหลือผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จด้านการเรียนรู้ ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปญญา ความรู้ทำให้ผู้เรียนรู้จักโครงสร้างหลักสูตร แผนการเรียน เกณฑ์การสำเร็จการศึกษา วิธีการเรียน การบริหารจัดการตนเอง ด้านการเรียน การแบ่งเวลาเรียน การสอบ การสอบแก้ตัว การศึกษาต่อ เปนต้น เพ่อื ใหส้ ามารถแก้ปญหาต่าง ๆ ทีเ่ กิดข้ึนในเรอ่ื งทเี่ กีย่ วข้องกบั การเรยี นได้ 2.1.2 การแนะแนวอาชีพ (vocational guidance) เปนการแนะแนว ที่ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักโลกกว้างทางอาชีพ รู้จักเลือกอาชีพอย่างชาญฉลาด การสร้างค่านิยมและเจตคติ ท่ีดีในการประกอบอาชีพ เตรียมพร้อมทางวุฒิภาวะด้านอาชีพ การช่วยให้เกิดความก้าวหน้าม่ันคง ในหนา้ ท่ีการงานหรือเลอ่ื นระดับการปฏบิ ตั ิงานใหส้ ูงขึน้ 2.1.3 การแนะแนวสว่ นตวั และสงั คม (personal and social guidance) เปนการแนะแนวที่ช่วยให้ผู้เรียนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความพร้อมที่จะดำเนินชีวิตด้วยเหตุผล อย่างชาญฉลาด รู้เท่าทันสิ่งต่าง ๆ มีอารมณ์มั่นคงสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ ใช้ชีวิตได้อย่าง มีประสิทธภิ าพเกดิ ประโยชน์ตอ่ ตนเองและสังคม 2.2 ขอบเขตของการแนะแนวแบ่งออกได้เปน 3 ขอบขา่ ย คือ 2.2.1 การปองกันปญหาหรือบางครั้งเรียกว่า “แนะแนวเชิงรุก” เปน แนวคิดสำคัญของการจัดบริการแนะแนวเปนการปองกันบุคคลที่มีพฤติกรรมเส่ียงหรือยังไม่เข้าไป เก่ียวข้องกับปญหานั้น เพราะหากปล่อยให้เกิดปญหาข้ึนแล้วอาจยากต่อการแก้ไข เสียเวลา และงบประมาณในการแก้ไขปญหา ดังนั้น หากได้รับการปองกันปญหาก่อนก็จะเกิดประโยชน์ สูงสดุ ตอ่ บุคคล

บรกิ ารแนะแนวและเครือ่ งมือทางจิตวทิ ยา 5 2.2.2 การแกไ้ ขปญ หาเปน แนวคดิ ของการแนะแนวทมี่ งุ่ จะใหค้ วามชว่ ยเหลอื แก่บุคคลท่ีประสบกับปญหาน้ันแล้ว เช่น มีผลการเรียนต่ำ ประสบอุบัติเหตุ ปญหาด้านการปรับตัว เม่ือเกิดปญหาข้ึนแล้วบุคคลเหล่าน้ันต้องการความช่วยเหลือเปนอย่างย่ิง ครูแนะแนวต้องให้ ความสำคญั ในการช่วยเหลือ ดว้ ยการฝก ใหผ้ เู้ รียนมีทักษะในการแก้ปญหาอยา่ งชาญฉลาด รอบคอบ และมีเหตุผล 2.2.3 การส่งเสริมพัฒนาเปนการแนะแนวแบบหน่ึงที่นิยมจัดให้แก่ผู้เรียน เพ่ือให้เกิดความเจริญงอกงามและมีพัฒนาการในทุกด้าน ๆ อย่างเหมาะสม เช่น มารยาท บุคลิกภาพ ความรู้ทางวิชาการ เปนต้น การแนะแนวท่ีส่งเสริมพัฒนานี้จะแตกต่างจากการปองกัน และการแกไ้ ขท่ผี เู้ รยี นมีพฤตกิ รรมเส่ยี งหรือมปี ญหาแลว้ แตก่ ารส่งเสรมิ พัฒนานั้นสามารถดำเนนิ การ ไดก้ บั ผเู้ รยี นทกุ กลมุ่ ไมว่ า่ จะเปน ผเู้ รยี นปกตทิ จี่ ะทำใหม้ ศี กั ยภาพสงู ขน้ึ และผเู้ รยี นทม่ี พี ฤตกิ รรมเสยี่ ง หรือที่มีปญหากจ็ ะไดร้ บั การช่วยเหลอื ใหด้ ีขน้ึ เช่นกนั 2.3 วิธกี ารการจดั กจิ กรรมแนะแนวมี 2 วธิ กี ารหลกั คือ 2.3.1 การแนะแนวรายบุคคล (individual guidance) เปนการจัด การแนะแนวให้กับผู้เรียนเปนรายบุคคล เพ่ือให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง ตัดสินใจด้วยตนเอง ยอมรับความจริง สามารถแกป้ ญหาและปรบั ปรุงตนใหเ้ ข้ากับสภาพแวดล้อมไดอ้ ย่างดี 2.3.2 การแนะแนวกลุ่ม (group guidance) หรอื การแนะแนวหมู่เปนการ แนะแนวแก่บุคคลตั้งแต่ 2 คนข้ึนไป ที่มีปญหาและความต้องการคล้ายคลึงกัน ให้ได้มีโอกาส แลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์อันจะทำให้เข้าใจปญหา และหาแนวทางแก้ปญหาที่ตนเอง เผชิญอยู่ บางคร้ังสมาชิกในกลุ่มจะร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์ของตนเองช่วยแก้ไข ปญหาสอดคล้องกบั ธรรมชาติ และพัฒนาการของผเู้ รยี น การแนะแนวกลุม่ แบ่งออกเปน 2 ประเภท คือ 2.3.2.1 การแนะแนวกลุ่มย่อยเปนการจัดแนะแนวแก่ผู้เรียน จำนวน 2-12 คน ตัวอย่างเชน่ การจัดกจิ กรรมชว่ ยเหลือผู้เรยี นท่ีมีผลการเรยี นต่ำ เปนตน้ 2.3.2.2 การแนะแนวกล่มุ ใหญ่มจี ำนวนสมาชิกตั้งแต่ 12 คนข้นึ ไป ตวั อย่างเชน่ การจดั กจิ กรรมแนะแนวในชัน้ เรียน กิจกรรมโฮมรูม การปฐมนิเทศ เปน ต้น

6 บรกิ ารแนะแนวและเคร่อื งมอื ทางจิตวทิ ยา 3. มาตรฐานงานแนะแนว มาตรฐานการแนะแนวท่ีสอดคล้องกับแผนกลยุทธศาสตร์ การแนะแนว ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) เปนแนวทางให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เก่ียวข้องได้พัฒนา คุณภาพการแนะแนวและการประเมินงานแนะแนว ประกอบด้วย 3 ด้าน 6 มาตรฐาน 14 ตัวบ่งช้ี ดังน้ี 3.1 ดา้ นที่ 1 คุณภาพผเู้ รียน 2 มาตรฐาน 5 ตัวบง่ ช้ี มาตรฐานท่ี 1 ผ้เู รียนร้จู กั เข้าใจ รกั และเห็นคุณค่าในตนเองและผูอ้ ื่น ตัวบ่งช้ี 1.1 ผเู้ รยี นรจู้ กั เขา้ ใจ รกั และเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง และ พัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง ตัวบ่งช้ี 1.2 ผู้เรียนรู้จัก เข้าใจ รักและเห็นคุณค่าผู้อื่น และ ปฏบิ ัติตนตอ่ ผู้อ่นื อยา่ งเหมาะสม มาตรฐานที่ 2 ผู้เรียนสามารถวางแผนชีวิตด้านการศึกษา ด้านอาชีพ และ ดา้ นสว่ นตวั และสงั คม ตวั บง่ ชี้ 2.1 ผู้เรียนสามารถศึกษา วิเคราะห์ ตัดสินใจ แก้ปญ หาและวางแผนด้านการศกึ ษา ตัวบ่งชี้ 2.2 ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ แก้ปญหา และวางแผนดา้ นอาชพี ตวั บง่ ชี้ 2.3 ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ แก้ปญหา และวางแผนดา้ นสว่ นตวั และสงั คม 3.2 ดา้ นที่ 2 คณุ ภาพการดำเนนิ งานแนะแนว 3 มาตรฐาน 5 ตวั บ่งชี้ มาตรฐานที่ 3 ครูแนะแนว/ครูท่ีทำหน้าท่ีแนะแนว ดำเนินงานแนะแนว ตามหลกั การ ปรชั ญา ขอบขา่ ย เปา หมาย และจรรยาบรรณทางการแนะแนว ตวั บง่ ชี้ 3.1 มคี วามรคู้ วามสามารถในการดำเนนิ งานแนะแนว ตามปรชั ญา ขอบขา่ ย เปา หมายการแนะแนว ตวั บง่ ช้ี 3.2 ปฏิบตั ิตามจรรยาบรรณการแนะแนว มาตรฐานที่ 4 สถานศกึ ษาจดั บรกิ ารแนะแนวและสง่ เสรมิ ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรียน ตวั บง่ ชี้ 4.1 จัดบริการแนะแนวท้ัง 5 บริการ ครอบคลุม ขอบขา่ ยการแนะแนวอยา่ งเปน ระบบและตอ่ เนอื่ ง ตัวบง่ ช้ี 4.2 สง่ เสริมระบบดแู ลชว่ ยเหลือนกั เรยี น

บริการแนะแนวและเคร่ืองมือทางจิตวทิ ยา 7 มาตรฐานที่ 5 สถานศึกษาจดั กิจกรรมแนะแนวตามหลกั สูตรสถานศึกษา ตัวบง่ ชี้ 5.1 จัดกิจกรรมแนะแนวสอดคล้องกับบริบทของ สถานศกึ ษาและครอบคลมุ ขอบขา่ ยการแนะแนว 3.3 ดา้ นท่ี 3 คุณภาพการบริหารจดั การแนะแนว 1 มาตรฐาน 4 ตัวบ่งชี้ มาตรฐานที่ 6 สถานศึกษามกี ารบรหิ ารจดั การแนะแนวอย่างมคี ุณภาพ ตวั บง่ ช้ี 6.1 ผบู้ รหิ ารใหก้ ารสนบั สนนุ การดำเนนิ งานแนะแนว ตัวบง่ ช้ี 6.2 บริหารจดั การงานแนะแนวอย่างเปน ระบบ ตวั บง่ ช้ี 6.3 จดั ให้มคี รูแนะแนว/ครทู ี่ทำหนา้ ทแี่ นะแนว ตัวบง่ ช้ี 6.4 มีภาคีเครือข่ายเขา้ มามีสว่ นรว่ มในงานแนะแนว 4. วิทยาการจัดการเรียนรู้และเทคโนโลยีสารสนเทศ ความรู้เกี่ยวกับวิทยาการจัดการ เรียนรู้ เช่น การออกแบบการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้รว่ มสมัย รปู แบบการเรยี นรปู้ ระเภทตา่ ง ๆ และ เทคโนโลยีสารสนเทศท่ีมีคุณภาพ ทันยุคสมัย และเหมาะสมกับผู้เรียนจะเปนสิ่งที่ช่วยให้ผู้จัดบริการ แนะแนวสามารถจดั บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรกิ ารแนะแนว„น ∂าน»ก÷ …า บรกิ ารแนะแนวเปน กระบวนการทม่ี จี ดุ มงุ่ หมายพนื้ ฐาน คอื การปอ งกนั แกไ้ ข และสง่ เสรมิ พฒั นาผเู้ รยี น เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นเจรญิ งอกงามเตม็ ตามศกั ยภาพ บรกิ ารแนะแนวในสถานศกึ ษาประกอบดว้ ย 5 บรกิ าร คอื บรกิ ารศกึ ษารวบรวมขอ้ มลู บรกิ ารสนเทศ บรกิ ารใหก้ ารปรกึ ษา บรกิ ารจดั วางตวั บคุ คล และบริการติดตามผล ท้ังน้ีการจัดบริการแนะแนวทั้ง 5 มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน ครูแนะแนว จึงควรมีความรูค้ วามเขา้ ใจเกี่ยวกับความหมาย ความสำคญั จุดมงุ่ หมาย หลกั การ และเทคนิคกลวธิ ี รวมท้ังเคร่ืองมือท่ีจำเปนในการจัดบริการท้ัง 5 บริการ ซ่ึงสามารถนำเสนอได้ดังตารางต่อไปน้ี (คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , 2554 : 66-75 และเจษฎา บญุ มาโฮม, 2558 : 49-212)

ตารางแ ¥งบรกิ ารแนะแนว„น ∂าน»÷ก…า 8 บริการแนะแนวและเคร่อื งมอื ทางจติ วทิ ยา บริการ จดุ มุงหมาย ความหมายและความสำคญั หลกั การ วธิ ีการ/เทคนคิ /เครื่องมือ 1. บรกิ ารศึกษา 1. เพอ่ื ให้รจู้ ักผู้เรยี น เปน บริการท่ใี หค้ วามสำคญั 1. ตอ้ งคำนึงถึงความเปน ปจ จุบัน 1. การสำรวจและศึกษา รวบรวมขอ้ มลู และทันสมยั ของขอ้ มลู ข้อมลู รายละเอยี ด (individual เปน รายบคุ คล กบั ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เก่ยี วกบั ตัวผ้เู รยี น inventory 2. เทคนคิ และเครื่องมือบางชนิด service) 2. เพือ่ ใหผ้ ู้เรียน จะชว่ ยให้ครไู ด้รู้จกั และเข้าใจ จำเปน ต้องอาศยั ผูท้ ช่ี ำนาญ 2. การใชเ้ ทคนิคและ และได้รับการฝก ฝนมาแล้ว เครื่องมือทางการ รจู้ ักตนเอง ผเู้ รยี นของตนเองมากขน้ึ เพอ่ื ปองกนั ความคลาดเคลือ่ น แนะแนว เช่น การ ของข้อมูล สังเกต การสัมภาษณ์ ในทกุ ดา้ น เช่น โดยการศกึ ษาและเกบ็ รวบรวม การสอบถาม 3. ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ของผเู้ รยี นจำเปน อตั ชวี ประวัติ สังคม ความถนัด ขอ้ มลู ของผู้เรียนเปน รายบคุ คล ตอ้ งเปน ความลับ เพื่อชว่ ยให้ มิติ การศกึ ษาผู้เรยี น ผเู้ รียนเกดิ ความไว้วางใจและ เปน รายกรณี เปนตน้ ความสนใจ ดว้ ยเทคนคิ และวิธกี ารทาง ยนิ ดใี ห้ความรว่ มมอื ใหค้ วามรว่ มมอื ในการ 3. การเยี่ยมบ้านผูเ้ รยี น บคุ ลกิ ภาพ เปน ตน้ การแนะแนวต่าง ๆ อยา่ งเปน ใหข้ ้อมลู เกี่ยวกับตนเอง 4. การทำระเบียนสะสม 5. การสำรวจปญ หา 3. เพอื่ ช่วยให้ ระบบ เพ่ือช่วยใหผ้ ู้เรียนไดร้ ้จู กั 4. การจดั เก็บข้อมูลตา่ ง ๆ ของ ผู้เรียนควรจดั อย่างเปนระบบ และความตอ้ งการ สถานศกึ ษาได้นำ และเขา้ ใจตนเอง อกี ทง้ั ชว่ ยให้ครู และต่อเนื่อง ของผู้เรียน ผลจากความรู้ และผทู้ เ่ี กย่ี วข้องได้รู้จกั และเข้าใจ ความเข้าใจ ผูเ้ รยี นของตนเปนอย่างดี รวมทง้ั ในตวั ผูเ้ รียน ใช้ขอ้ มลู สำหรับการดำเนนิ การ ไปจัดบรกิ าร ให้ความชว่ ยเหลือ สง่ เสรมิ และ แนะแนว พัฒนาผู้เรียนใหเ้ หมาะสม ตามความแตกตา่ งของแตล่ ะบคุ คล

บรกิ าร จุดมงุ หมาย ความหมายและความสำคญั หลักการ วิธีการ/เทคนคิ /เครือ่ งมอื ซงึ่ จะช่วยใหค้ รูร้จู ักและเขา้ ใจ 5. การศกึ ษาและรวบรวมข้อมลู 6. การจดั หาและจัดทำ ผ้เู รยี นของตน สง่ ผลให้ครู จะมปี ระสทิ ธภิ าพยิง่ ขนึ้ เครอ่ื งมอื การแนะแนว สามารถให้ความชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี น ถ้าได้รวบรวมจากเทคนิค ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ และวิธกี ารหลาย ๆ วธิ ี 7. การวเิ คราะหแ์ ละ และควรเลือกใช้เคร่ืองมอื วนิ จิ ฉยั ขอ้ มลู ของ หรือวธิ ีการให้เหมาะสม ผเู้ รียน สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะ ของผเู้ รียนแตล่ ะบคุ คล บรกิ ารแนะแนวและเครื่องมอื ทางจิตวทิ ยา 9

บรกิ าร จุดมุงหมาย ความหมายและความสำคัญ หลกั การ วธิ กี าร/เทคนคิ /เครือ่ งมอื 10 บริการแนะแนวและเคร่อื งมอื ทางจติ วทิ ยา 2. บริการสนเทศ 1. เพื่อใหผ้ ้เู รียน เปนรปู แบบการจัดเผยแพรข่ ้อมลู 1. กลวธิ ีในการใหข้ อ้ สนเทศ 1. การจัดหา ผลิต (information ควรจะใหข้ ้อสนเทศแก่ผเู้ รียน รวบรวมเอกสารตา่ ง ๆ service) ไดร้ บั ขอ้ มลู ขา่ วสาร ให้ผเู้ รียนไดร้ บั ความรู้ ได้รบั ขอ้ มลู เปน รายบคุ คลและเปนกลมุ่ 2. การจดั ศูนย์สนเทศ ความรทู้ ีจ่ ำเปน ข่าวสารเกี่ยวกับการศกึ ษา อาชพี 2. บุคคลท่ีให้บริการสนเทศ 3. การจดั ปา ยนเิ ทศ ควรจะมคี วามรู้ ความสามารถ ในด้านการศกึ ษา การพฒั นาบคุ ลิกภาพ วฒั นธรรม ทกั ษะ และประสบการณ์ เพอื่ เสนอความรู้ ในการจดั และให้บริการ 4. การประชาสมั พนั ธ์ อาชพี สภาพ ศีลธรรม จรยิ ธรรม สขุ ภาพ ข้อสนเทศและให้การปรกึ ษา เชน่ จลุ สาร วทิ ยุ แวดลอ้ ม โดยอาศยั เครือ่ งมอื และวิธีการ 3. การจดั บริการสนเทศควรจะมี โรงเรียน การประเมินผลการให้บรกิ าร 5. การจดั กิจกรรม 2. เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจ ตา่ ง ๆ แล้วนำข้อมูลเหลา่ นั้น เพื่อปรบั ปรงุ การให้บริการ แนะแนวในชนั้ เรยี น ใหม้ ีประสิทธิภาพมากย่งิ ขึน้ 6. การประชมุ ชี้แจง และยอมรบั ความ มาวเิ คราะหแ์ จกแจง เพือ่ ใหเ้ ปน ผเู้ รยี น 4. ข้อสนเทศทนี่ ำมาใช้จัดบริการ 7. การจัดกจิ กรรม เปน จรงิ ของตนเอง ข้อสนเทศและพรอ้ มท่จี ะนำเสนอ ตอ้ งมคี วามถูกตอ้ ง ชดั เจน โฮมรมู ทนั สมยั และสอดคลอ้ งกบั 8. การปฐมนเิ ทศ เขา้ ใจรายละเอยี ด ให้แกผ่ ู้เรยี นดว้ ยเทคนิค วธิ กี าร ความตอ้ งการของผู้เรยี น 9. การเชญิ วทิ ยากร บรรยาย เกี่ยวกับขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เชน่ การบรรยาย อภิปราย ตา่ ง ๆ ทั้งทาง จัดปายนเิ ทศ ทศั นศึกษา การใช้ การศึกษา อาชพี สือ่ วดี ิทัศน์ กิจกรรมโฮมรูม และ และการปรบั ตวั กจิ กรรมแนะแนวในชนั้ เรยี น รจู้ กั วเิ คราะห์ และ โดยขอ้ สนเทศนน้ั ต้องถกู ตอ้ ง ตดั สนิ ใจดว้ ยตนเอง และทันสมัย ข้อสนเทศดังกล่าว จากข้อมูลทไ่ี ด้ จะช่วยใหผ้ ู้เรียนสามารถปรบั ตวั

บรกิ าร จดุ มุงหมาย ความหมายและความสำคญั หลกั การ วิธีการ/เทคนิค/เครือ่ งมือ และเลือกปรับตน เขา้ กบั ส่งิ แวดลอ้ ม ปองกัน 10. การปจฉิมนิเทศ ให้เหมาะสมต่อ ความล้มเหลว พฒั นาตนอย่างมี 11. การอภิปราย สถานการณแ์ ละ ประสทิ ธิภาพ ความเปลยี่ นแปลง การศกึ ษานอกสถานท่ี ของสงั คมโลก 12. การใชแ้ หลง่ การเรยี นรู้ ทางด้านเทคโนโลยี และสื่อมวลชน เชน่ วทิ ยุ โทรทศั น์ อนิ เทอร์เนต็ บรกิ ารแนะแนวและเครื่องมอื ทางจิตวทิ ยา 11

บริการ จุดมงุ หมาย ความหมายและความสำคัญ หลกั การ วธิ กี าร/เทคนคิ /เครอ่ื งมอื 12 บริการแนะแนวและเคร่อื งมอื ทางจติ วทิ ยา 3. บรกิ ารให้การ 1. เพื่อชว่ ยใหผ้ เู้ รยี น เปนบรกิ ารท่ีนบั วา่ เปน หวั ใจ 1. การให้การปรกึ ษามีความ 1. การให้การปรกึ ษา ปรึกษา รายบคุ คล (counseling สามารถคิด ของการแนะแนว การใหก้ ารปรกึ ษา แตกต่างจากการแนะนำ service) 2. การใหก้ ารปรกึ ษา ตดั สนิ ใจและ เปน กระบวนการท่มี ีหลกั การ 2. ผู้ทำหน้าที่ให้การปรึกษา เปน กลมุ่ แก้ปญหาดว้ ย ขน้ั ตอน และจุดมงุ่ หมายในการ ตอ้ งได้รับการฝกฝน 3. การติดตอ่ ผ้ปู กครอง 4. การสง่ ตอ่ ผเู้ รียน ตนเองได้อยา่ ง ปรึกษา โดยอาศัยปฏิสัมพนั ธ์ จนเช่ยี วชาญระดับหน่งึ ใหผ้ ้เู ชยี่ วชาญ รอบคอบ ระหว่างผูใ้ หก้ ารปรึกษากบั ผรู้ บั 3. การให้การปรึกษาเปน หนา้ ที่ (กรณีปญ หารุนแรง) 5. การใหบ้ ริการแก่ และเหมาะสม การปรึกษา ผู้ใหก้ ารปรกึ ษา ของผรู้ บั การปรกึ ษาท่ีต้องคดิ ผปู้ กครองและผสู้ นใจ 6. การตดิ ตามผล เพื่อช่วยให้ผู้เรยี น จะประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั การและแนวคดิ และตดั สินใจด้วยตนเอง หลงั การใหก้ ารปรกึ ษา 7. การเก็บสถิติหลังการ ไดร้ ้จู ักเขา้ ใจผู้อนื่ ทางจติ วิทยามาเออื้ อำนวยให้ 4. ผูใ้ หก้ ารปรกึ ษาต้องรักษา ใหก้ ารปรกึ ษา และส่ิงแวดล้อม ผรู้ บั การปรึกษาได้ตระหนกั ถงึ ความลบั ของผรู้ บั การปรกึ ษา ตามความเปนจรงิ ประสบการณข์ องตน เพ่อื ใหร้ ูจ้ กั 5. ผ้ใู หก้ ารปรกึ ษาต้องคำนึงถึง อนั จะนำมาซ่งึ เข้าใจ และยอมรบั ตนเองในสงิ่ ที่ สวสั ดภิ าพและความปลอดภัย การดำรงชวี ิตท่ีดี เปน ปญ หาไดม้ ากขน้ึ และไดเ้ รยี นรู้ ของผู้รบั การปรกึ ษา และคน้ หาเหตแุ หง่ ปญ หาดว้ ยตนเอง 6. หากไมส่ ามารถช่วยเหลือ ผูร้ ับการปรึกษาได้ควรสง่ ต่อ ผู้เชย่ี วชาญ

บรกิ าร จุดมงุ หมาย ความหมายและความสำคญั หลกั การ วธิ กี าร/เทคนคิ /เครื่องมือ ปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรม แกไ้ ข บรกิ ารแนะแนวและเครื่องมอื ทางจิตวทิ ยา 13 ข้อผิดพลาดเกย่ี วกบั ตนเองและ สิง่ แวดล้อม และสามารถวาง พนื้ ฐานในการดำเนนิ ชวี ติ ทม่ี คี ณุ คา่ และมีความหมาย แสวงหา แนวทางตัดสนิ ใจในการแกไ้ ข ปญ หาได้ดว้ ยตนเอง รวมทง้ั ชว่ ยใหบ้ ุคคลสามารถเขา้ ใจผูอ้ ่ืน เขา้ ใจสงิ่ แวดล้อม และเข้าใจ ปญ หาตา่ ง ๆ ไดต้ ามความเปน จรงิ จนเกดิ ความงอกงามขนึ้ ภายในจติ ใจ

บริการ จุดมุงหมาย ความหมายและความสำคญั หลกั การ วิธีการ/เทคนคิ /เครอ่ื งมือ 14 บริการแนะแนวและเคร่อื งมอื ทางจติ วทิ ยา 4. บริการจดั วาง 1. เพอื่ ใหผ้ เู้ รียน เปนบรกิ ารแนะแนวท่ีจัดข้นึ 1. ควรจัดใหผ้ ูเ้ รยี นทุกคน 1. การจดั ผเู้ รยี นเขา้ เรยี น ตวั บคุ คล ได้รบั บรกิ ารหรือ เพอ่ื ใหค้ วามช่วยเหลอื ผู้เรยี น โดยมุ่งใหผ้ เู้ รียนทุกคนได้รับ หรือเขา้ รว่ มกจิ กรรม (placement สวสั ดกิ ารที่ ด้วยรูปแบบวิธกี ารทหี่ ลากหลาย ประโยชน์จากสงิ่ แวดลอ้ ม service) จำเปน สอดคลอ้ ง เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ บั ประสบการณ์ ให้มากท่สี ุด 2. การจดั ห้องเรียน กับปญหาและ ไดร้ ับการฝกฝนหรอื ได้รบั พเิ ศษ ความต้องการ การช่วยเหลอื ตามควรแก่กรณี 2. เปน บริการท่ีต้องมาทีหลงั 2. เพื่อช่วยให้ผเู้ รยี น ตามโครงการทแี่ ตล่ ะคนไดต้ ดั สนิ ใจ บริการสนเทศ และบรกิ าร 3. การจดั แผนการเรยี น ไดเ้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม เลอื กแลว้ เชน่ ไดเ้ขา้ เรยี นในหลกั สตู ร ใหก้ ารปรึกษากล่าวคอื ก่อนที่ 4. การสอนซอ่ มเสริม ต่าง ๆ สอดคลอ้ ง หรอื แผนการเรียน ได้ทำงาน ผ้เู รียนจะไดร้ บั การจดั วาง 5. การฝก ทักษะ กบั ความถนดั หรือประกอบอาชีพที่เหมาะสม ตวั บคุ คลให้เรียนวิชาใดหรอื ความสามารถ กับความสามารถความถนดั ฝกหดั ปฏิบตั ิงานใดนัน้ เขาจะ ทางการเรียน/ และความสนใจ ความสนใจและบคุ ลิกภาพ ตอ้ งได้รบั ข้อสนเทศเก่ยี วกบั ทักษะการทำงาน ของตน ตลอดจนช่วยให้ผู้เรียนได้รบั การศึกษาอาชีพและสังคม 6. การจัดหางาน 3. เพื่อให้ผเู้ รียนได้มี ความชว่ ยเหลือในด้านต่าง ๆ เช่น ส่วนตวั และได้มโี อกาส 7. การจัดทุนการศึกษา โอกาสก้าวหน้า ไดร้ บั ทนุ การศกึ ษา การสอน คิดไตรต่ รองดแู ล้วว่าตนเอง หรือพัฒนา ซอ่ มเสรมิ อาหารกลางวัน หรือ ต้องการอะไรแลว้ จงึ รับบรกิ าร ประสบการณ์ใหม่ การหางานพิเศษ รวมทัง้ การจดั จดั วางตัวบุคคลน้ีได้ ที่เหมาะสมและ วางตัวผเู้ รียนกบั กจิ กรรมตา่ ง ๆ มีคณุ ค่าต่อตนเอง อาทิ กจิ กรรมเสรมิ หลกั สตู ร 3. ควรกระทำเมอ่ื ผแู้ นะแนว ในการศกึ ษา อาชพี ซึง่ จะช่วยส่งเสรมิ พฒั นาการ ได้รู้จกั ผูเ้ รียนอย่างถ่องแทแ้ ล้ว ทั้งส่วนตวั และ ของผูเ้ รยี นใหถ้ ึงขีดสดุ เพ่อื ชว่ ย เพอื่ ใหเ้ กดิ การจัดวาง สังคม ทเ่ี หมาะสมกบั ผเู้ รยี นแตล่ ะคน

บรกิ าร จุดมุงหมาย ความหมายและความสำคัญ หลกั การ วธิ ีการ/เทคนคิ /เครอ่ื งมือ 4. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นได้มี กระตุน้ ให้เกิดกำลงั ใจในการ 4. บคุ ลากรทกุ ฝายของ โอกาสก้าวหนา้ ปฏบิ ัตพิ ฒั นาตนเต็มตามศกั ยภาพ สถานศึกษาควรเขา้ ร่วม หรือพัฒนา ทงั้ ด้านการศกึ ษา อาชีพ ในการให้บริการทางด้านนี้ ประสบการณใ์ หม่ การดำรงชีวิตอย่ใู นสงั คม และ แกผ่ ูเ้ รยี น ทเี่ หมาะสมและ ประสบความสำเรจ็ ตามเปาหมาย มีคณุ ค่าตอ่ ตนเอง บรกิ ารแนะแนวและเครื่องมอื ทางจิตวทิ ยา 15 ในการศกึ ษา อาชพี ท้งั สว่ นตวั และ สงั คม 5. เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี น ไดเ้ ลือกศึกษา ในรายวิชา สาขา วชิ าทเ่ี หมาะสม กบั ตนเอง เพอ่ื ชว่ ยให้ผูเ้ รยี น สามารถปรับตวั และปฏิบตั ติ น ไดอ้ ย่างถกู ต้อง เหมาะสมกับ โอกาสและสถานท่ี

บริการ จดุ มุง หมาย ความหมายและความสำคญั หลกั การ วธิ ีการ/เทคนคิ /เครอ่ื งมอื 16 บริการแนะแนวและเคร่อื งมอื ทางจติ วทิ ยา 5. บรกิ ารตดิ ตามผล 1. เพื่อติดตามข้อมลู เปนบรกิ ารแนะแนวท่ีมีระบบ 1. ควรเนน้ การใหบ้ รกิ ารรายบคุ คล 1. ตดิ ตามผลผู้เรียน (follow-up เพ่ือสำรวจว่าผเู้ รยี นแตล่ ะคน ทส่ี ำเร็จการศกึ ษา service) เก่ยี วกับสภาพ ขัน้ ตอนเก่ยี วกบั บุคคลโดยตรง ท่รี บั บรกิ ารแนะแนวแล้ว ไดผ้ ลเปนอยา่ งไร เพือ่ นำไป 2. ตดิ ตามผลผูเ้ รยี น และปญ หาของ ซงึ่ ดำเนนิ การประเมนิ และ ปรับปรงุ พฒั นาการจัดบริการ ทีไ่ ดร้ บั บริการ และกิจกรรมตา่ ง ๆ ในโอกาส ผู้เรียนท่กี ำลงั ตรวจสอบการใหบ้ รกิ ารตา่ ง ๆ ตาม ต่อไป 3. การนำเสนอผลการ ตดิ ตามรปู แบบตา่ ง ๆ ศึกษาอยู่ วัตถปุ ระสงค์ แสวงหาขอ้ มลู ท่เี ปน 2. ควรติดตามผ้เู รียนหรอื เช่น การสำรวจ กจิ กรรมต่าง ๆ แบบสอบถาม 2. เพ่อื ตรวจสอบ จดุ ออ่ นจดุ แขง็ และปญ หาทเ่ี กดิ ขน้ึ แบบประเมิน 3. ควรจดั อยา่ งสม่ำเสมอ การสงั เกต ผเู้ รยี นทล่ี าออก ในระหว่างการทำงาน คณุ ภาพ และเปนระบบ การสมั ภาษณ์ จดหมาย โทรศัพท์ จากสถานศึกษา ของงาน ขน้ั ตอนการดำเนินงาน 4. ควรนำขอ้ มลู จากการจดั บรกิ าร เวบ็ ไซต์ ฯลฯ ติดตามผลมาพิจารณา กลางคนั ว่ามี และสมั ฤทธผิ ล ผลทไี่ ด้จาก ปรบั ปรงุ หลกั สตู ร การดำเนนิ งาน โครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยให้มี ปญ หาและ การตรวจสอบและประเมิน จะนำ ประสิทธภิ าพยง่ิ ข้ึน ทง้ั ควรมี การเผยแพร่ข้อมูลให้ผู้เรียน อปุ สรรคอย่างไร ไปสกู่ ารแกไ้ ข ปรับปรงุ ปอ งกัน และผู้ที่เกย่ี วข้องไดร้ ับทราบ 3. เพอ่ื ทราบความ และพัฒนาและวางแผนชว่ ยเหลือ กา้ วหนา้ ดา้ นตา่ ง ๆ เพอื่ เสรมิ สร้างสง่ิ ใหมใ่ ห้การ ของผ้เู รียน เช่น บริการแนะแนวมปี ระสิทธภิ าพสงู โอกาสในการ หรอื ตัดสนิ ใจยุติการให้บริการ ศกึ ษาต่อ เพ่ือให้ผูร้ บั บรกิ ารไดร้ บั ประโยชน์ การประกอบอาชพี สูงสุดและเปน มนุษยท์ ่สี มบรู ณ์ และการใชช้ ีวติ ส่งผลให้สงั คมและเทศชาติ ในสงั คม เจริญร่งุ เรอื งต่อไป

บรกิ าร จุดมุงหมาย ความหมายและความสำคัญ หลกั การ วธิ กี าร/เทคนคิ /เคร่อื งมอื 4. เพอ่ื รวบรวมขอ้ มลู บรกิ ารแนะแนวและเครื่องมอื ทางจิตวทิ ยา 17 ต่าง ๆ ข้อคดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะ เกย่ี วกบั การศกึ ษา อาชพี จากผู้เรยี น เพื่อประโยชน์ ในการปรับปรงุ บริการแนะแนว ของสถานศึกษา อนั จะเกดิ ประโยชน์ ต่อผู้เรยี นคนอนื่ ต่อไป 5. เพอื่ สำรวจปญ หา ต่าง ๆ อนั จะเปน ประโยชน์ตอ่ การ พจิ ารณาปรับปรุง พัฒนาหลกั สตู ร และบริการ แนะแนวของ สถานศกึ ษา

18 บรกิ ารแนะแนวและเครอื่ งมอื ทางจิตวทิ ยา การบริÀารจ—¥การบริการแนะแนว„น ∂าน»ก÷ …า ส่ิงสำคัญประการหนึ่งของการจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษา ให้ประสบความสำเร็จ คือ การบริหารจัดการบริการแนะแนวในสถานศึกษาท่ีมีประสิทธิภาพ เพราะการจัดบริการแนะแนว มีขอบข่ายที่กว้างขวางและเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝาย การบริหารจัดการที่ดีจะช่วยให้ การจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษาประสบความสำเร็จ ทั้งน้ีการบริหารจัดการบริการแนะแนว ในสถานศกึ ษาที่มปี ระสทิ ธิภาพมีหลกั การดังน้ี (ลักขณา สรวิ ฒั น์, 2551 : 339-340) 1. ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะและขอบข่าย ของบริการแนะแนวเปนอย่างดี และท่ีสำคัญย่ิงต้องตระหนักถึงความสำคัญของการจัดบริการ แนะแนว โดยให้การสนับสนนุ การจดั บริการแนะแนวทุกรูปแบบ 2. บุคลากรฝา ยตา่ ง ๆ ในสถานศึกษาต้องตระหนักถงึ ความสำคัญของบรกิ ารแนะแนว และพร้อมที่จะใหค้ วามรว่ มมือและสนับสนนุ การจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษา 3. มีการกำหนดจุดมุ่งหมายของบริการแนะแนวไว้อย่างชัดเจน โดยครอบคลุม ท้ังการปองกันปญ หา การแกไ้ ขปญ หา และการส่งเสรมิ พฒั นาการของผ้เู รียน 4. บริการแนะแนวที่มีประสิทธิภาพ คือ บริการที่สนองความต้องการของผู้เรียน ดังนั้น ก่อนการวางแผนจัดบริการแนะแนวต่าง ๆ จะต้องมีการสำรวจความต้องการของผู้เรียน เสียกอ่ น 5. บรกิ ารแนะแนวจะต้องจดั ข้ึนเพื่อผู้เรยี นทกุ คนและทกุ ระดับชนั้ 6. ควรมคี ณะกรรมการผรู้ ับผดิ ชอบการจดั บริการแนะแนวทช่ี ุดเจน โดยมกี ารคัดเลอื ก บุคคลที่มีความสามารถเต็มใจและมีความพร้อมท่ีจะปฏิบัติงาน เพ่ือให้งานมีคุณภาพและประสบ ความสำเร็จ 7. ตอ้ งมกี ารประชาสมั พนั ธใ์ หผ้ เู้ รยี น บคุ ลากรในสถานศกึ ษา และผปู้ กครองทราบขา่ ว การจดั บริการแนะแนว 8. การจัดบริการแนะแนวในสถานศึกษาควรใช้หลักการมีส่วนร่วมของบุคลากร

บริการแนะแนวและเครอ่ื งมือทางจิตวทิ ยา 19 2บทที่ วิธีการรูจ ักผูเรียนเปนรายบคุ คล บริการแนะแนวเปนภาระงานของครู และครูแนะแนวที่จะต้องจัดและดำเนินการ ใหก้ บั นกั เรยี นในโรงเรยี นอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ครแู ละครแู นะแนวควรมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ การใชเ้ ครอ่ื งมอื รู้จักผู้เรียนเปนรายบุคคล โดยอาศัยเคร่ืองมือเปนส่ิงเร้าให้ผู้ถูกรวบรวมข้อมูลแสดงพฤติกรรม ความรู้สึกนึกคิดออกมา เคร่ืองมือวัดทางจิตวิทยา ประกอบด้วย วิธีการรู้จักผู้เรียนเปนรายบุคคล ที่ไม่ใช้แบบทดสอบ ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ มาตราส่วนประมาณค่า การเยี่ยมบ้าน อัตชีวประวัติ ระเบียนสะสม สังคมมิติ แบบสอบถาม และการศึกษารายกรณี นอกจากนั้น ยังมีวิธีการรู้จักผู้เรียนเปนรายบุคคลท่ีเปนแบบทดสอบ (test techniques) ได้แก่ แบบทดสอบ สติปญญา แบบทดสอบความถนัด แบบทดสอบความสนใจ แบบทดสอบบุคลิกภาพ แบบทดสอบ ผลสมั ฤทธ์ิ ฯลฯ วิ∏ก’ ารรจŸâ —กºâŸเร’ยนเªนì รายบÿคคล วธิ กี ารร้จู กั ผูเ้ รยี นเปน รายบุคคลสามารถจำแนกออกได้เปน 2 ประเภทดว้ ยกัน คือ 1. วิธีการรูจักผูเรียนเปนรายบุคคลท่ีไมใชแบบทดสอบ (nontest techniques) ได้แก่ การ ง— เกต ความหมายของการสงั เกต การสังเกต หมายถึง การดูทั้งต่อหน้าและแอบดูพฤติกรรม หรือลักษณะต่าง ๆ ของนักเรียนอย่างมีระบบ มีรายละเอียด เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่เปนพฤติกรรมที่แท้จริงของนักเรียน (เจษฎา บุญมาโฮม, 2558 : 78)

20 บริการแนะแนวและเครื่องมอื ทางจติ วทิ ยา จดุ เดน ของการสังเกต จุดเด่นของการสังเกต คือ การสังเกตเปนเคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทส่ี ะดวก เกบ็ ขอ้ มูลไดต้ รงตามท่จี ะวัด มีคา่ ใช้จ่ายน้อย ไดข้ ้อมลู ตรงตามท่ตี ้องการวดั ตว— อยàางแบบบน— ทก÷ การ ง— เกต ชอ่ื นักเรยี น……………….......………ช้ัน…………….โรงเรยี น.......……………. วันท่.ี .........เดอื น………………….....…..พ.ศ. ...............วลา………...........น. สถานที่ทำการสังเกต…......................................……วิชาทเ่ี รียนหรือกิจกรรม……………...........……… จุดม่งุ หมายในการสังเกต 1. …………………………………………………………………………………..................................... 2. …………………………………………………………………………………..................................... พฤติกรรมท่ีเด็กแสดงออกในขณะสงั เกต……………………………………………………………………..….…… การตีความหมายของพฤติกรรม……………………………………………………………….………………….……… ขอ้ เสนอแนะของผู้สังเกตในการชว่ ยเหลือหรอื แก้ไขพฤตกิ รรม..……………………………………………… สรปุ ผลการสงั เกต…………………………………………………………………………………………………….………. ลงชอ่ื ผสู้ งั เกต…………………………………….....……………… (……………………………..……………………….) ตำแหนง่ …………………………………………… ท่ีมา : พนม ลิ้มอารยี ,์ 2548 : 55.

บรกิ ารแนะแนวและเครอ่ื งมอื ทางจติ วทิ ยา 21 การ —ม¿า…≥ å ความหมายของการสัมภาษณ ์ สัมภาษณ์ หมายถึง การสนทนาหรือการพูดคุยกันระหว่างบุคคลสองคนอย่างมี จดุ มงุ่ หมายในการสนทนา เพอ่ื สำรวจความจรงิ เพอ่ื การหาขอ้ มลู เพอื่ การใหก้ ารปรกึ ษา ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ าก การสัมภาษณ์จะต้องนำไปใช้เปนประโยชน์ในการศึกษาเด็กและช่วยเหลือเด็ก ไม่ใช่เพื่อความอยากรู้ อยากเห็น และไมใ่ ช่การซกั ถามอย่างทนาย (จิตตินนั ท์ บญุ สถิรกุล, 2551 : 49) จุดเดนของการสัมภาษณ ์ การสัมภาษณ์เปนเทคนิคอีกวิธีหน่ึง ท่ีครูหรือผู้แนะแนวนิยมนำมาใช้ในการ เก็บรวบรวมข้อมูลนักเรียนเปนรายบุคคล การเก็บข้อมูลบางประเภท เหมาะท่ีจะใช้การสัมภาษณ์ เช่น ความวิตกกังวล ความคาดหวัง เปนต้น นอกจากนั้น นักเรียนบางคนยินดีให้ข้อมูล โดยวิธีการ ตอบปากเปล่ามากกว่าจะตอบด้วยการเขียน นอกจากนี้ผู้สัมภาษณ์ยังสามารถสังเกตจากสีหน้า ท่าทางของนักเรียนว่า คำตอบท่ีได้นั้นมาจากใจจริงหรือไม่ สามารถเชื่อถือได้เพียงใด ซึ่งสิ่งนี้ จะหาไมไ่ ดจ้ ากเคร่อื งมอื ชนดิ อื่น ๆ ตว— อยàางแบบบน— ท÷กการ —ม¿า…≥å ผรู้ ับการสมั ภาษณ์ชอ่ื -นามสกลุ ………….....…………..…………….ชั้น……………… สถานทสี่ มั ภาษณ…์ …………………….………….ทำการสมั ภาษณเ์ มอื่ วันที…่ ….…. เดือน………….......……..พ.ศ. ...………..เวลา……………….น. ถงึ ………………....น. วตั ถปุ ระสงค์ในการสัมภาษณ์…………………………………………………………………………………….……… ขอ้ มูลท่ีสรุปได้จากการสัมภาษณ…์ …………………………………………………………………………….……… ข้อคดิ เห็น………………………………………………………………………………………………………………………. การนดั หมายคร้ังต่อไป วนั ท่.ี .........เดือน……......………..พ.ศ. ………….…เวลา……………น. ผู้สมั ภาษณ…์ ………………………...…………… ตำแหน่ง………………....……….………………… ที่มา : จิตตนิ ันท์ บุญสถิรกุล, 2551 : 50.

22 บรกิ ารแนะแนวและเคร่อื งมือทางจิตวิทยา มาตรา àวนªระมา≥คàา ความหมายของมาตราสว นประมาณคา มาตราส่วนประมาณค่า หมายถึง รูปแบบหน่ึงของการบันทึกข้อสังเกต ในการบันทึก ระเบียนพฤติการณ์ ผู้สังเกตบันทึกเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นจริงจากการสังเกต เพ่ือแสดงให้ทราบ ถึงพฤติกรรมบางอย่างของบุคคลแต่ละคน ซ่ึงผู้สังเกตได้พิจารณาว่าเปนเร่ืองสำคัญ (จิตตินันท์ บญุ สถิรกลุ , 2551 : 60) จุดเดน ของมาตราสวนประมาณคา จุดเด่นของมาตราส่วนประมาณค่า คือ บุคลิกลักษณะของนักเรียนมีคุณภาพ เปนอย่างไร สูงหรือต่ำ ดีหรือไม่ดี แล้วบันทึกลงในมาตราส่วนประมาณค่า ดังนั้น มาตราส่วน ประมาณค่าจงึ เปน เคร่อื งมือวดั คุณภาพของบุคคลโดยทางออ้ ม ตว— อยาà งมาตรา วà นªระมา≥คàา คุณลกั ษณะ คุณภาพ ตำ่ ทสี่ ุด ต่ำ ปานกลาง สงู สงู ท่สี ุด 1. ความซอ่ื สัตย์ 2. ความตัง้ ใจในการเรยี น 3. ความมีเหตผุ ล 4. ความรบั ผิดชอบ 5. ความเชอื่ ม่นั ในตนเอง ท่มี า : จิตตนิ นั ท์ บุญสถิรกุล, 2551 : 61.

บริการแนะแนวและเครือ่ งมือทางจติ วทิ ยา 23 การเย’่ยมบาâ น ความหมายของการเยีย่ มบา น การเย่ยี มบา้ น หมายถงึ การที่ครูหรือผแู้ นะแนวไปพบปะกับบดิ ามารดา หรือผ้ปู กครอง ของนักเรยี นที่บ้าน เพ่ือสรา้ งความคุ้นเคยและมสี ัมพนั ธภาพทด่ี ีต่อกัน ท้ังยงั ช่วยใหค้ รูและผ้แู นะแนว ได้เห็นสภาพความเปนอยู่ของนักเรียน ตลอดจนเจตคติของผู้ปกครองที่มีต่อครู โรงเรียน และ นักเรียนอีกด้วย อันจะเปนการสร้างความเข้าใจและยังเปนการร่วมมือกันสำหรับทุกฝายท่ีทำให้ สามารถชว่ ยเหลือเด็กนักเรยี นไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ (ลักขณา สริวัฒน์, 2551 : 236) จุดเดน ของการเย่ียมบาน การเยี่ยมบ้านเปนลักษณะหน่ึงของการติดต่อระหว่างบ้านกับโรงเรียน โดยการที่ครู เปนฝายไปเยี่ยมนักเรียนและผู้ปกครองถึงที่บ้าน ทำให้ทั้งครูและผู้ปกครองได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวเด็กเพิ่มข้ึนเปนอย่างมาก ครูจะได้ทราบเรื่องราวต่าง ๆ ของเด็กในขณะที่เด็กอยู่บ้าน ไม่ต้องฟงคำบอกเล่าของผู้อ่ืนอีกทอดหนึ่งและผู้ปกครองก็จะได้ทราบเรื่องของเด็กในขณะที่เด็ก อยู่ทีโ่ รงเรยี น

24 บริการแนะแนวและเครื่องมือทางจิตวทิ ยา ตว— อยาà งแบบบ—นท÷กการเย’่ยมบาâ น วันทีไ่ ปเยยี่ มบ้าน.......เวลา.......น. ถึง.......น. ชอ่ื ครูท่ีทำการเยีย่ มบา้ น….…….....…….….…….....……. ชอ่ื นักเรียน…………..……………......ชนั้ ………..ห้อง…………ชื่อครปู ระจำชั้น…………….…………………… ชื่อบิดา………………………………….……..…………….ทอ่ี ย่…ู …………………………..……………………………… โทรศัพท์…………...…..อาชพี ……………..ระดบั การศกึ ษา…..……สุขภาพ…..….ความสนใจ....………….. ชอ่ื มารดา………………………………………….………ที่อย…ู่ ……………………………................…………….….. โทรศพั ท…์ ………...…..อาชีพ……………..ระดับการศกึ ษา…..……สขุ ภาพ…..…. ความสนใจ………...….. จำนวนพี่นอ้ ง……………คน มลี ำดับดงั น้ี 1. ช่ือ……………………...อาย…ุ ……..ป ระดับการศึกษา………....ลักษณะเฉพาะตัว………….……………. 2. ชือ่ ……………….........อาย…ุ ……..ป ระดบั การศึกษา……....…ลักษณะเฉพาะตัว….…………...………. ขอมลู ทไ่ี ดจ ากการเยี่ยมบา น 1. บรรยายสภาพและลักษณะภายนอกของบ้านและบริเวณ……………………………………………… 2. บรรยายสภาพลักษณะภายในบา้ น………………..………………………………………………….…………. 3. นกั เรยี นมสี ่วนช่วยเหลือบิดามารดาโดย………………………………………………………………………… 4. ลักษณะการปรบั ตวั ของนักเรยี นเมือ่ อยู่บา้ น……………….……………………………………..………….. 5. บรรยายลักษณะของบดิ ามารดาหรอื ผู้ปกครอง……………………………………………………………... 6. เจตคติของผู้ปกครองท่ีมตี ่อครแู ละโรงเรียน…………………………………………………………………... 7. เจตคติของผู้ปกครองทีม่ ีต่อนักเรยี น…………………………………………………………………………..… 8. ความมุ่งหมายของบดิ ามารดาทมี่ ีต่อบุตร……………….…………………………………………………….. 9. ปญ หาท่ีพบในการเยย่ี มบ้านครัง้ นี…้ …...……………………………………………………………………….. 10. ส่ิงทีโ่ รงเรยี นใหค้ วามชว่ ยเหลือทางบ้าน..…………………………………………………………….……….. 11. บันทกึ ถ้อยคำของผูป้ กครองทีเ่ หน็ วา่ มคี วามสำคญั ทีจ่ ะชว่ ยใหเ้ ข้าใจเด็กดียง่ิ ขนึ้ ..………………. 12. บันทกึ ข้อเสนอแนะของผูป้ กครองเกยี่ วกบั วิธกี ารปรบั ปรุงโรงเรียนให้ดีขึน้ .………………….……. ท่ีมา : ลกั ขณา สริวัฒน,์ 2551 : 240.

บริการแนะแนวและเครื่องมอื ทางจิตวิทยา 25 อต— ™ว’ ªระว—ต ิ ความหมายของการเขยี นอัตชวี ประวตั ิ อตั ชวี ประวตั ิ หมายถงึ ประวตั หิ รอื เรอ่ื งราวของตนเอง การใหน้ กั เรยี นเขยี นอตั ชวี ประวตั ิ ก็หมายความถึงว่า ให้นักเรียนเขียนประวัติส่วนตัวของเขานั่นเอง วิธีนี้ใช้ได้กับนักเรียนทุกระดับ การศึกษา ถ้านักเรียนสามารถเขียนเล่าเร่ืองและสอดแทรกความรู้สึกนึกคิดเปนลายลักษณ์อักษรได้ และเปน กลวิธีอันหน่งึ ทใี่ ช้รวบรวมขอ้ มูลเกยี่ วกับตวั นักเรยี น (เจษฎา มาบุญโฮม, 2558 : 90) จุดเดน ของการเขียนอตั ชีวประวัติ อัตชีวประวัติ แตกต่างจากการเขียนเรียงความ เพราะนักเรียนต้องคิดวิเคราะห์ ถึงเหตุการณ์ในอดีต ปจจุบัน และแผนการในอนาคตของตนเอง โดยให้เวลานักเรียนเขียนอย่างน้อย 1 สัปดาห์หรือมากกว่าน้ัน เพื่อให้นักเรียนมีเวลาที่จะพิจารณาความคิด ความรู้สึกของตนเอง หรือ ทบทวนการวางเปาหมายในชีวิตของตนเอง การให้นักเรียนเขียนประวัติความเปนมาและเร่ืองราว เกี่ยวกับตนเอง เปนอีกเทคนิคชนิดหน่ึงท่ีครูนำมาใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลนักเรียนเปนรายบุคคล ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ครูและผู้แนะแนวทราบพฤติกรรมของนักเรียนเท่าน้ัน แต่ยังช่วยให้ทราบถึง ความรู้สึกนึกคิด เจตคติ ความรู้ ประสบการณ์ ความปรารถนา อุดมคติ ตว— อยàางการเ¢’ยนอต— ™’วªระวต— ิ 1. ข้าพเจ้าเกิดวันท่ี/เดือน/พ.ศ. ..................................สถานที่เกิด คือ.................................... เมื่อครั้งเปนเด็กการทำผิดท่ีข้าพเจ้ากลัวมากท่ีสุด คือ....................................ข้าพเจ้าเคยปวย เปนโรค............................เพื่อน ๆ ท่ีข้าพเจ้าเลน่ ดว้ ยมกั จะเปนเพศ/ท่ีอย/ู่ ชน้ั เรียน/อายุ.......... โตขน้ึ ข้าพเจา้ อยากเปน............................................................................................................. 2. สง่ิ ทข่ี า้ พเจา้ อยากทำมากทส่ี ดุ ในโรงเรยี น คอื ..............................สงิ่ ทข่ี า้ พเจา้ อยากทำนอ้ ยทสี่ ดุ ในโรงเรียน คอื ........................ส่ิงท่ีขา้ พเจา้ อยากได้จากโรงเรยี นมากทส่ี ดุ คือ........................... 3. ถ้ามีเวลาว่างข้าพเจ้าจะทำ................................................ข้าพเจ้าชอบทำงานที่ทำให้ตนเอง ....................................ขา้ พเจ้าคิดวา่ ส่ิงที่ตนเองทำไดด้ ีทส่ี ุด คือ..................................................... ท่มี า : กรกฎา นกั คิม้ , 2558 : 140.

26 บรกิ ารแนะแนวและเครือ่ งมือทางจิตวิทยา ระเบย’ น ะ ม ความหมายของระเบยี นสะสม ระเบียนสะสม คือ เอกสารอย่างหนึ่งที่ใช้สำหรับรวบรวมประวัติส่วนตัว และ รายละเอียดเก่ียวกับตัวเด็กในด้านต่าง ๆ ไว้อย่างมีระเบียบ ระเบียนสะสมจะเปนแหล่งข้อมูลสำคัญ ท่ีจะช่วยให้ครูได้รู้จักและเข้าใจเด็กได้ดีขึ้น โดยจะบันทึกประวัติและข้อมูลของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ตดิ ตอ่ กนั ไวห้ ลายป ตง้ั แตเ่ ขา้ โรงเรียนจนกระทงั่ ออกจากโรงเรียนไป (เจษฎา มาบุญโฮม, 2558 : 97) จุดเดนของระเบียนสะสม จดุ เดน่ ของระเบยี นสะสม คือ เปน การเกบ็ รวบรวมข้อมลู นกั เรยี นในภาพรวม และเปน รายบคุ คลในด้านต่าง ๆ เพอ่ื ประกอบการวิเคราะหป์ ญหาและการชว่ ยเหลือนกั เรยี นเปนรายบุคคล  —งคมมิต ิ ความหมายของสงั คมมิต ิ สังคมมิติ (sociometry) หมายถึง การศึกษาเชิงคณิตศาสตร์เก่ียวกับลักษณะ ทางจิตใจของคน การทดสอบเก่ียวกับผลที่ได้จากการใช้วิธีเชิงเลข จำนวนและเชิงคุณภาพสังคม นอกจากน้ียังเปนวิธีการที่แสดงถึงความสัมพันธ์และพัฒนาการทางสังคมของบุคคลซึ่งอยู่ร่วมกัน เปน คณะ โดยพจิ ารณาจำนวนครง้ั ทบี่ คุ คลหนง่ึ ไดร้ บั เลอื กจากบคุ คลอนื่ ๆ ในหมคู่ ณะเดยี วกนั จำนวนครงั้ ท่บี คุ คลในหมู่คณะน้ันแสดงเจตนาที่จะไม่เลือกเขา และพิจารณาความสัมพนั ธข์ องผู้เลือกวา่ ใครเลือก ใคร และไม่เลือกใครมากน้อยเพียงใด (ลักขณา สรวิ ัฒน,์ 2551 : 230) จุดเดน ของสังคมมติ ิ สังคมมิติ เปนแผนภูมิท่ีแสดงความสัมพันธ์ทางสังคมของนักเรียนในช้ันเรียน ใช้ศึกษา บรรยากาศของนักเรียนในชั้นเรียน โดยสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนควบคู่ไปด้วย สังคมมิติ เปนวิธกี ารท่เี ขา้ ใจงา่ ย ไมส่ น้ิ เปลืองเงินทอง การทดสอบสังคมมิติจะมีประโยชน์ต่อการศึกษาสังคมสัมพันธ์เปนอย่างดี ถ้าได้ใช้ วิธีการศึกษาลักษณะทางสังคมอย่างอนื่ ประกอบดว้ ย เพราะการใชว้ ธิ ีการสงั เกตหรือสมั ภาษณ์อาจจะ ใชเ้ วลามาก มแี บบสอบถามทชี่ อื่ วา่ “ใครเอย่ (guess who)” ซงึ่ เปน แบบสอบถามทใี่ ชไ้ ดง้ า่ ย สะดวก

บริการแนะแนวและเคร่ืองมือทางจติ วิทยา 27 การเติมªระ‚ยค„Àâ มบรŸ ≥å ความหมายของการเติมประโยคใหสมบูรณ์ การเติมประโยคให้สมบรู ณ์ หมายถงึ การที่ผู้ถูกทดสอบเขียนคำ ข้อความหรือประโยค เติมลงในประโยคท่ีไม่สมบูรณ์ ตามความคดิ ของผ้ถู กู ทดสอบเมื่ออ่านประโยคท่ีไม่สมบูรณ์นนั้ จุดเดน ของการเติมประโยคใหสมบูรณ์ การเติมประโยคให้สมบูรณ์ เปนเครื่องมือทางจิตวิทยาชนิดหนึ่ง เปนวิธีการท่ีทำให้ ผู้ถูกทดสอบต้องเผชิญกับประโยคที่กำกวม ผู้ถูกทดสอบสามารถตอบได้หลายแง่หลายมุมที่ให้ ผูถ้ กู ทดสอบได้สะท้อนในส่ิงทอี่ ยูใ่ นใจของผู้ถกู ทดสอบออกมาในกระดาษ แบบ อบ∂าม ความหมายของแบบสอบถาม แบบสอบถาม คอื ข้อคำถามตา่ ง ๆ ทสี่ รา้ งขึน้ เพอื่ ประสงคใ์ หผ้ ูท้ ถี่ ูกถามกรอกขอ้ ความ ลงไป อาจเปนข้อความส้ัน ๆ หรือยาวก็ได้ สำหรับแบบสอบถามท่ีใช้เพ่ือการแนะแนวน้ัน ข้อความต่าง ๆ ท่ีนักเรียนกรอกลงในแบบสอบถาม จะช่วยให้ครูและผู้แนะแนวรู้จักและเข้าใจ นกั เรยี นดียง่ิ ขน้ึ (พนม ล้ิมอารีย,์ 2548) จดุ เดนของแบบสอบถาม จุดเด่นของแบบสอบถาม คือ สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากคนจำนวนมากในเวลา ที่รวดเร็ว เปนข้อมูลท่ีเปนปจจุบัน และสามารถวัดในองค์ประกอบที่กำหนดช่วยให้ได้ข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมจากข้อมูลเดิมที่ได้รวบรวมเอาไว้ก่อนแล้ว แบบสอบถามเปนเครื่องมือที่ช่วยให้ครู และผู้แนะแนวไดข้ ้อมลู ต่าง ๆ เก่ยี วกับตวั นักเรยี นอยา่ งกว้างขวาง เชน่ ขอ้ มูลเก่ียวกับปญหา เจตคติ ความต้องการ ความรู้สึกและความคิดเห็นของนักเรียนแต่ละคน รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราว ส่วนตัว สภาพครอบครัว ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ความสนใจ การใช้เวลาว่าง สุขภาพ นิสัย ในการเรียนการทำงาน ตลอดจนโครงการการศึกษาและอาชีพในอนาคตของนักเรียน การเก็บข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามประกอบด้วย แบบสอบถามความถนัด แบบสอบถามความนึกคิดของบุคคล ทีม่ ีต่อตนเอง แบบรวบรวมขอ้ มูลท่ัว ๆ ไปของนกั เรียน เปน ต้น

28 บริการแนะแนวและเคร่อื งมือทางจิตวทิ ยา ขอให้ผู้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมในเร่ือง สังคมมิติ การเติมประโยคให้สมบูรณ์ และ แบบสอบถาม เน่ืองจากเปนเคร่ืองมือจิตวิทยาท่ีผู้ใช้เครื่องมือดังกล่าว จำเปนต้องมีความรู้ที่ชัดเจน และมที ักษะในการใช้เครื่องมอื ทางจิตวทิ ยาดังกล่าว นอกจากการรู้จักนักเรียนเปนรายบุคคลด้วยวิธีการรวบรวมข้อมูลท่ีกล่าวมาแล้ว ยังมี เทคนิควธิ กี ารทางจติ วิทยาอกี หลายวิธี ท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู เชน่ การศกึ ษารายกรณีซึ่งจะมี รายละเอยี ดอยูใ่ นบทที่ 3 2. วิธีการรจู กั ผูเ รียนเปน รายบคุ คลทเี่ ปน แบบทดสอบ (test techniques) วธิ กี ารรู้จกั ผูเ้ รียนเปนรายบคุ คลทเ่ี ปน แบบทดสอบ มีรายละเอยี ดดงั นี้ ความหมายของแบบทดสอบ แบบทดสอบ หมายถึง ข้อคำถามที่สร้างขึ้นอย่างมีระบบขั้นตอนตามทฤษฎี ความเชื่อทางวิชาการ ซ่ึงสามารถอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนในด้านต่าง ๆ ด้วยเคร่ืองมือ เฉพาะดา้ น ในการจัดบรกิ ารแนะแนวของโรงเรยี น จดุ ประสงค์สำคัญประการหนึง่ กค็ ือ การพยายาม ที่จะทำให้นักเรียนได้รู้จักและเข้าใจตนเอง เพราะจะส่งผลกระทบไปถึงการช่วยให้นักเรียนตัดสินใจ ในการเลือกเรียนต่อ เลือกประกอบอาชีพ รู้จักปรับตัวที่จะอยู่ในสังคม และรู้จักดำเนินชีวิตของตน ให้ดีและมคี ณุ ภาพยิ่งขึน้ โดยเหตุน้ีครูแนะแนวส่วนมากจึงนยิ มใช้ แบบทดสอบประเภทต่าง ๆ มาให้ นกั เรยี นทดสอบ แลว้ กแ็ ปลผลไปตามความหมายของแบบทดสอบนน้ั ๆ จุดเดน ของการทดสอบ จุดเด่นของการทดสอบคือรวบรวมข้อมูล ความสามารถ ความสำเร็จ และ คุณลักษณะต่าง ๆ ของผู้ถูกทดสอบ เพื่อนำผลไปใช้เปนข้อมูลประกอบการตัดสินใจ หรือทำนาย เพ่ือการเลือกและประกอบการตดั สินใจ คัดเลอื กบุคคลเขา้ เรียนในสถาบันการศกึ ษา หรือทำงาน หลกั เกณฑ์ในการพจิ ารณาคุณภาพของแบบทดสอบ จากแบบทดสอบทไี่ ดม้ า จะพจิ ารณาวา่ มคี ณุ คา่ และมปี ระโยชนม์ ากนอ้ ยเพยี งใดนนั้ ควรใช้หลกั เกณฑต์ ่อไปน้ี (ลกั ขณา สรวิ ฒั น์, 2551 : 268-269) 1. ใหความถูกตอง แมนยำ และเช่ือถือได ข้อมูลท่ีมีความถูกต้อง แม่นยำ และ เช่ือถือได้น้ันคือ ข้อมูลท่ีสามารถวัดส่ิงที่เราต้องการจะวัดได้ ด้วยความเชื่อมั่นและให้ผลที่คงท่ี แนน่ อน ไม่แปรผนั และไมเ่ ปลีย่ นแปลง

บรกิ ารแนะแนวและเคร่อื งมอื ทางจติ วิทยา 29 2. ใหความเท่ียงตรง ข้อมูลท่ีมีความเท่ียงตรง หมายถึง การที่เครื่องวัดนั้น สามารถวดั ส่งิ ทต่ี ้องการจะวดั ไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ หรือไดอ้ ยา่ งถกู ต้องตรงตามจุดประสงคท์ ่ีไดว้ างไว้ 3. ใหลักษณะเปนปรนัย ข้อมูลท่ีได้ต้องเปนข้อมูลที่ตรงตามความจริง และ ไม่ควรมีความคิดเห็นหรือความรู้สึกส่วนตวั เขา้ มาเกีย่ วขอ้ ง 4. ใหความเหมาะสมในการที่จะนำไปใช ควรคำนึงถึงความเหมาะสมในการ ท่ีจะนำไปใช้ เช่น ประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลาและแรงงาน ตลอดจนมีคู่มือช้ีแจงรายละเอียด เก่ยี วกับการใชแ้ ละการแปลผลอยา่ งชดั เจน ครูแนะแนวจะต้องช่วยเหลือนักเรียนแต่ละคนให้ได้มีการประเมินตนเอง อย่างสม่ำเสมอทุก ๆ ช่วงของชีวิต และปรับปรุงเปาหมายของชีวิต ครูแนะแนวสามารถทำหน้าท่ี ปอนกลับข้อมูลให้เด็กได้เพราะมีความรู้ทางจิตวิทยาในด้านต่าง ๆ เช่น พัฒนาการตามช่วงวัย จติ วิทยาวัยร่นุ การให้คำปรึกษาและการใช้แบบทดสอบตา่ ง ๆ เปนตน้ การจำแนกประเภทของการทดสอบ เปนการจัดแบ่งการทดสอบออกตามลักษณะ ของพฤติกรรมของผูเ้ รียน และวัตถปุ ระสงคข์ องการวัด ดงั น้ี 1. แบบทดสอบสติปญ ญา แบบทดสอบสติปญญา เปนแบบทดสอบที่นักจิตวิทยาสร้างข้ึนเพื่อศึกษา ความสามารถในการเรยี นรู้ การศกึ ษาเหตผุ ล การเขา้ ใจสงิ่ ตา่ ง ๆ ตลอดจนความสามารถในการปรบั ตวั และการแก้ปญหาต่าง ๆ แบบทดสอบที่ใช้กับแพร่หลาย ได้แก่ แบบทดสอบวัดความสามารถ ทางสมองโดยทั่วไป (The Standard Progressive Matrices Test) ของ John C. Raven เปน แบบทดสอบความสามารถของบุคคลในการเขา้ ใจรปู ภาพท่ีไมม่ ีความหมาย 2. แบบทดสอบสมั ฤทธิผลมาตรฐาน แบบทดสอบสัมฤทธิผลมาตรฐาน เปนแบบทดสอบที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และใช้กันต้ังแต่ช้ันประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา โดยมากครูเปนผู้จัดทำแบบทดสอบขึ้นเอง แบบทดสอบสัมฤทธิผลมาตรฐานประกอบด้วยเนื้อหาที่เก่ียวพันโดยตรงกับเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ที่เรียน เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย เปนต้น เพื่อเปนเครื่องมือวัดผลการเรียนว่า นักเรียน มีความรู้และความพร้อมในเร่ืองท่ีเรียนเพียงใด นอกจากนั้นยังมีแบบทดสอบทักษะพื้นฐาน ทางวิชาการ (Kasetsart Basic Academic Skill Test : KBAST) แบบทดสอบทักษะพ้ืนฐาน ทางวชิ าการ KBAST เปน ชุดแบบสอบ (Batteries) ทสี่ รา้ งขึ้นเพ่อื ประเมินทกั ษะพื้นฐานทางวิชาการ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปท่ี 6 ท่ีมีความยากของระดับพื้นฐาน

30 บรกิ ารแนะแนวและเครอ่ื งมอื ทางจิตวิทยา ของการอ่านออกเขียนได้ และคิดเลขได้ (Literacy) เพื่อใช้กับกลุ่มเปาหมายนักเรียนที่ต้องการ ความชว่ ยเหลอื พิเศษ ชุดแบบสอบ KBAST ประกอบดว้ ยแบบสอบย่อยวดั ทกั ษะ 4 ด้าน คือ แบบสอบการอานคำ (Word Reading) เปนการวัดความสามารถของบุคคล ในการจำตัวอกั ษร พยญั ชนะ และคำ ผ้สู อบจะอา่ นออกเสียงคำท่กี ำหนดต่อหน้าผใู้ หก้ ารทดสอบ แบบสอบการสะกดคำ (Word Spelling) เปนการวัดความสามารถของ บุคคลในการเปล่ียนเสียงคำที่ได้ยินไปสู่การเขียน ผู้สอบจะฟงเสียง แล้วเขียนตัวอักษรตาม ท้งั พยัญชนะและคำ แบบสอบความเขาใจประโยค (Sentence Comprehension) เปน การวัด ความสามารถการรู้ความหมายคำและเข้าใจความคิดและข้อมูลที่อยู่ในประโยค ด้วยการเติมคำ ในชอ่ งว่างเพ่อื ทำใหป้ ระโยคมีใจความครบสมบรู ณ์ แบบสอบการคำนวณทางคณิตศาสตร ์ (Math Computation) เปนการวัด ความสามารถของบุคคลในการคำนวณด้านคณิตศาสตร์พื้นฐาน ด้วยการเติมตัวเลขจากการคำนวณ ในระดับท่ีไม่ซับซ้อนและแก้ปญหาอย่างง่าย ด้วยการเขียนคำตอบ (ดารณี อุทัยรัตนกิจ และคณะ, 2558 : 8) 3. แบบทดสอบความถนัด แบบทดสอบความถนัด คือ แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถพิเศษหรือ ความถนัด (special abilities or aptitude) หรือฝก ฝนทกั ษะบางอยา่ งไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ เช่น โดยยกสถานการณ์ดังน้ี นายศักดามีความถนัดทางกีฬา หมายความว่า นายศักดามีความสามารถ ในการฝกฝนให้เกิดทักษะทางด้านกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังน้ัน แบบทดสอบความถนัด จึงเปนเครื่องมือท่ีจะช่วยประเมินศักยภาพท่ีจะเรียนรู้หรือฝกฝนทักษะเฉพาะของบุคคล เพื่อเปน เครื่องทำนายแนวโน้มท่ีบุคคลจะประสบความสำเร็จในการเรียนหรือการทำงานในอาชีพเฉพาะทาง และเปนเคร่ืองช่วยในการพิจารณาในการวางแผนการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ โดยพิจารณา รว่ มกบั ข้อมูลอื่น ๆ 4. แบบสำรวจความสนใจ (interest) แบบสำรวจความสนใจ คือ แบบสำรวจท่ีวัดความรู้สึกจดจ่ออยากรู้อยากเห็น อยากกระทำในสงิ่ ที่ตนเองสนใจ เพราะความสนใจเปนองคป์ ระกอบท่สี ำคญั ทท่ี ำใหเ้ กดิ ความตอ้ งการ ท่ีจะเรียนหรือทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง คะแนนจากแบบสำรวจความสนใจจึงเปนข้อมูลที่มีคุณภาพ ในการพจิ ารณาประกอบการตดั สินใจในการศกึ ษาต่อหรอื เลือกอาชีพ

บรกิ ารแนะแนวและเครอื่ งมอื ทางจติ วทิ ยา 31 ตัวอย่างแบบทดสอบและแบบสำรวจวัดความสนใจท่ีใช้ในประเทศไทย (กรกฎา นักคม้ิ , 2558 : 147 อา้ งใน นิรนั ดร์ จลุ ทรัพย,์ 2545 : 208-209) เชน่ - Self - Directed Search (SDS) ระดบั ทใี่ ช้ นกั เรยี นระดบั มธั ยมศึกษาและนิสิตนักศึกษา คุณภาพ ความเชอ่ื ถือได้ ความเท่ยี งตรง ผู้สร้าง J.L.Holland ผู้ให้บริการ สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย แบบทดสอบ SDS รศ.ดร.นวลศริ ิ เปาโรหติ ย์ และคณะ ไดแ้ ปลเปน ภาษาไทย และได้ปรับปรุงให้สามารถใช้ได้กับนักเรียนนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย โดยมอบลิขสิทธ์ิให้สมาคม แนะแนวแห่งประเทศไทย เปนผู้จัดพิมพ์และเผยแพร่ แบบทดสอบชุดนี้นับว่าเปนแบบทดสอบ ท่ีมีความเช่อื ถอื ได้และความเทย่ี งตรงสูง มคี วามกะทัดรัดโดยใชเ้ วลาเพียง 20 ถึง 25 นาที และงา่ ย ต่อการทำความเข้าใจและการแปลความหมายจึงเปนแบบทดสอบที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย (กรกฎา นกั คม้ิ , 2558 : 147) 5. แบบทดสอบบคุ ลิกภาพ (personality) แบบทดสอบบุคลิกภาพ หมายถึง แบบทดสอบท่ีวัดพฤติกรรมโดยรวม ของบุคคล ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของบุคคลนั้น ๆ พฤติกรรมของบุคคลท่ีแสดงออกนี้เปนการ ประสมประสานกันระหว่างการปรับตัวของบุคคลนั้นกับสิ่งแวดล้อมของเขา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง ความคิด อารมณ์ ความคิดเห็น แรงจูงใจ ความเช่ือม่ันในตัวเอง ลักษณะนิสัย รวมทั้งการมอง และใหค้ ณุ คา่ กบั ส่ิงตา่ ง ๆ เปน ตน้ 6. แบบคดั กรอง นอกจากนี้ยงั มแี บบคัดกรองนักเรยี นที่มภี าวะสมาธิส้ัน บกพร่องทางการเรียนรู้ และออทิซึม (KUS-SI Rating Scales : ADHD/LD/Autism (PDDS) ฉบับนี้จัดทำข้ึน เพ่ือใช้ประกอบการคัดกรองนักเรียนต้ังแต่ชั้นประถมศึกษาปที่ 1-6 อายุระหว่าง 6-13 ป 11 เดือน ท่มี ีสภาวะสมาธิสัน้ (Attention Deficit Hyperactivity Disorder-ADHD) บกพรอ่ งทางการเรียนรู้ (Learning Disorders-LD) และออทซิ ึม (Autism and Pervasive Developmental Disorders- PDDS) เปน เครอ่ื งมอื มาตรฐานแบบองิ กลมุ่ ทพี่ ฒั นาขน้ึ เพอื่ ใชป้ ระเมนิ บคุ คลทมี่ ปี ญ หาพฤตกิ รรมเฉพาะ ซึ่งอาจจะมีภาวะสมาธิสั้น บกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ และ ออทิซึม บนพ้ืนฐานของคำจำกัดความและเกณฑ์การวินิจฉัยของท้ัง 3 กลุ่มอาการ แบบคัดกรอง ฉบับน้ีมีประโยชน์ในการให้ข้อมูลท่ีสำคัญต่อการบ่งช้ีบุคคลท่ีมีภาวะบกพร่องดังกล่าว แบบคัดกรอง

32 บริการแนะแนวและเคร่ืองมอื ทางจิตวทิ ยา ฉบับน้ี ครูตอบได้โดยง่าย และให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะพฤติกรรมท่ีสำคัญ จำเปนต่อการวินิจฉัย บุคคลที่มีภาวะสมาธิส้ัน บกพร่องทางการเรียนรู้ และออทิซึม นักวิชาชีพสามารถใช้แบบคัดกรอง ฉบับนี้ด้วยความมั่นใจในกระบวนการประเมิน สำหรับบันทึกการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม ในการตง้ั เปา หมายในแผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล และสำหรบั การวจิ ยั (ดารณี อทุ ยั รตั นกจิ และคณะ, 2550 : คำนำ) นอกจากนีย้ งั มเี ครื่องมอื ทางจติ วทิ ยาทีเ่ ปน แบบทดสอบออนไลน์ ดงั นี ้ แบบประเมนิ ความฉลาดทางอารมณ์ EQ http://www.manarom.com/testeq_thai.html แบบคัดกรองภาวะซึมเศรา้ ในวยั รนุ่ http://www.dmh.go.th/test/cesd/cesd/asheet.asp?qid=1 แบบวดั ความเครยี ด SPST-20http://www.dmh.go.th/test/stress/asheet.asp?qid=6 แบบคดั กรองปญหายาเสพตดิ https://www.tyrkk.go.th/web/uploads/ck/files/ScreeningV_2(1).pdf แบบประเมนิ เชาวน์ปญญา SPM (Standard Progressive Matrix)* แบบคัดกรองโรคในกลุม่ พฒั นาการผิดปกติอยา่ งรอบดา้ น PDDSQ http://www.dmh.go.th/test/cesd/pddsq/pddsq.asp แบบประเมินความสุข THI-15 http://www.dmh.go.th/test/thaihapnew/thi15/asheet.asp?qid=1 แบบประเมินเดก็ ติดเกม http://www.healthygamer.net/webform/430 แบบประเมินความเสย่ี งต่อการฆ่าตัวตาย http://www.dmh.go.th/test/suicide/asheet.asp?qid=1 แบบประเมินการถกู ลว่ งละเมดิ ทางเพศและการทารุณกรรม แบบวดั คณุ ภาพชีวิตขององคก์ ารอนามัยโลก : WHOQDL-BRIEF-THAI http://www.dmh.go.th/test/whoqol/asheet.asp?qid=1 แบบทดสอบความถนดั http://calc.tsi-thailand.org/c11_0.aspx หมายเหต ุ : *ตอ้ งผา่ นการอบรมจากบคุ ลากรจากกรมสขุ ภาพจติ กระทรวงสาธารณสขุ

บริการแนะแนวและเคร่ืองมอื ทางจติ วิทยา 33 บท รªÿ การท่ีจะเข้าใจนักเรียนแต่ละคนได้อย่างถูกต้อง ครูจำเปนต้องรวบรวมข้อมูลหรือ รายละเอียดท่ีเก่ียวข้องกับตัวนักเรียนมาเก็บไว้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสังเกต สัมภาษณ์ มาตราส่วนประมาณค่า การเย่ียมบ้าน อัตชีวประวัติ ระเบียนสะสม สังคมมิติ แบบสอบถาม การศึกษารายกรณี และแบบทดสอบ ข้อมูลเหล่าน้ีจะช่วยให้ครูรู้จักนักเรียนแต่ละคนว่าเปนอย่างไร ต้องการอะไร และควรให้ความช่วยเหลือในลักษณะใด และข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้น้ันควรนำไปใช้ ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด อีกท้ังควรเปนข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำเปนที่เชื่อถือได้อีกด้วย เพ่ือนำข้อมูล ท่ีได้มาพิจารณาจัดกิจกรรมและบริการแนะแนวให้แก่นักเรียนอย่างเหมาะสม ตลอดจนช่วยเหลือ นักเรียนได้อย่างถูกต้อง และสอดคล้องกับปญหาความต้องการของนักเรียน อีกท้ังช่วยให้นักเรียน ได้สำรวจตนเอง เพ่ือนักเรียนจะได้รู้จักเข้าใจตนเองได้ดียิ่งข้ึนโดยใช้เทคนิคและเครื่องมือในการ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไดอ้ ย่างเหมาะสมกบั สภาพของนักเรียนแต่ละคน หลักการในการใชเครื่องมอื ทางจติ วิทยา เพื่อช่วยให้ครูและครูแนะแนวได้เก็บรวบรวมข้อมูลเปนไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครู และครูแนะแนวควรจะไดย้ ึดถือหลกั การตอ่ ไปนีใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 1. ควรเร่ิมเก็บข้อมูลในทันทีท่ีนักเรียนได้เข้ามาเรียนในโรงเรียน เพื่อช่วยให้ครู และครูแนะแนวได้รู้จักนักเรียนต้ังแต่เริ่มแรก ท้ังยังจะได้รับความร่วมมือจากนักเรียนเปนอย่างดี ในการใหข้ ้อมูลตา่ ง ๆ 2. ควรติดตามเก็บข้อมูลพร้อมกันไปกับความเติบโตและก้าวหน้าในการศึกษา ของนกั เรยี น เพอื่ ชว่ ยใหค้ รแู ละครแู นะแนวไดม้ องเหน็ พฒั นาการของนกั เรยี น ตลอดจนรอ่ งรอยอน่ื ๆ ซง่ึ จะช่วยใหเ้ ขา้ ใจนกั เรียนไดถ้ ูกต้องยงิ่ ขน้ึ 3. ข้อมูลต่าง ๆ ของนักเรียนถือเปนความลับ ท้ังนี้เพ่ือช่วยให้นักเรียนได้เกิด ความเชอ่ื ถือไวว้ างใจและยนิ ดใี ห้ความร่วมมือ ให้ขอ้ มูลเก่ยี วกับตนเอง 4. ควรเกบ็ ข้อมลู ออกเปนหมวดหมตู่ ามลักษณะของขอ้ มูล ขอ ควรระวงั ในการใชเครอื่ งมือทางจิตวิทยา เพ่ือให้การใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาในการเก็บรวบรวมข้อมูลเปนรายบุคคล ดำเนินไป อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ครแู ละครแู นะแนวควรระวงั ในประเด็นต่อไปนี้

34 บรกิ ารแนะแนวและเครอื่ งมอื ทางจติ วิทยา 1. เทคนิคและเครื่องมือทางจิตวิทยาท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเปนรายบุคคล มีหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติเฉพาะตัว ไม่มีเทคนิคและเครื่องมือทางจิตวิทยาใดที่ดีที่สุด และให้ผลสมบูรณ์ ดังน้ัน ครูและครูแนะแนวจึงควรจะได้ศึกษานักเรียนด้วยเทคนิคและเครื่องมือ ทางจิตวิทยาหลาย ๆ อย่าง ทั้งนี้เพื่อความถูกต้องและสมบูรณ์ของข้อมูล และไม่ใช้เทคนิค และเครื่องมอื ทางจิตวทิ ยาอยา่ งเดยี วกนั กับนกั เรยี นทกุ คน 2. การเก็บรวบรวมข้อมูลเปนรายบุคคลแม้ว่าจะช่วยให้ครูและครูแนะแนวเข้าใจ นักเรียนของตนได้ดีข้ึน แต่มิได้หมายความว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลเปนรายบุคคลจะช่วยให้ครู และครูแนะแนวเข้าใจนักเรียนทุกคนอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ท้ังน้ีเพราะนักเรียนเปนผู้ที่มีชีวิตจิตใจ มีวิญญาณ มีความรู้สึกนึกคิด ดังน้ัน ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเปนรายบุคคลก็อาจมีข้อผิดพลาดได้ แต่ถ้าครูและครูแนะแนวเปนผู้ที่มีความสามารถ ครูและครูแนะแนวควรจะเก็บข้อมูลด้วยความ รอบคอบ และปราศจากอคติ โอกาสมจี่ ะเกิดความผดิ พลาดย่อมจะมีนอ้ ยมาก 3. การเก็บรวบรวมข้อมูลเปนรายบุคคล ควรจัดเก็บเพื่อทำความรู้จักและเข้าใจ เกี่ยวกับตัวนักเรียนและให้ความช่วยเหลือนักเรียนควบคู่ไปในเวลาเดียวกัน เพราะถ้าเก็บข้อมูล นกั เรยี นเพยี งเพอื่ จะไดร้ จู้ กั และเขา้ ใจนกั เรยี นเพยี งอยา่ งเดยี ว การศกึ ษานกั เรยี นกจ็ ะมคี ณุ คา่ นอ้ ยมาก 4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เปน รายบคุ คล จะตอ้ งมงุ่ หวงั ใหเ้ ปน ประโยชนแ์ กน่ กั เรยี นดว้ ย คือ จะต้องช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจตนเอง ซ่ึงจะทำให้นักเรียนสามารถปรับปรุงตนเอง และพัฒนาตนเองใหด้ ีย่ิงขึ้น 5. การเก็บรวบรวมข้อมูลเปนรายบุคคล จะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมทางบ้าน ของนักเรียนด้วย ครูและครูแนะแนวจะต้องศึกษาตัวนักเรียนและสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยให้มี ความเข้าใจในตัวนักเรยี นได้ถกู ตอ้ งย่งิ ข้ึน ปญ หาในการใชเทคนิคและเคร่อื งมือทางจิตวทิ ยาทใ่ี ชในการเก็บรวบรวมขอมูลเปนรายบคุ คล ในการนำเทคนคิ และเครอ่ื งมอื ทางจติ วทิ ยาทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เปน รายบคุ คลนนั้ มีปญ หาหรอื ขอ้ ยุ่งยากที่เปน อปุ สรรค ได้แก่ 1. ครูและครูแนะแนวขาดความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเทคนิคและเครื่องมือ ทางจิตวิทยา ทำให้นำเทคนิคและเคร่ืองมือทางจิตวิทยาท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเปนรายบุคคล อย่างไมถ่ ูกต้อง เปนเหตุให้ได้ข้อมลู ท่ไี มส่ มบรู ณ์ บกพร่องไปด้วย 2. นักเรียนท่ีถูกศึกษาหรือเก็บข้อมูลอาจเกิดการต่อต้านไม่ให้ความร่วมมือ เน่ืองจาก มีความเชือ่ ที่ว่าการเปด เผยเร่ืองส่วนตวั ใหผ้ ู้อื่นรู้เปน สิง่ ที่ไมถ่ ูกตอ้ ง ไมส่ มควร หรอื น่าอาย

บรกิ ารแนะแนวและเครอื่ งมือทางจิตวิทยา 35 3. นักเรียนไม่สามารถให้คำตอบที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับความถนัด ความสนใจ และ ความสามารถพเิ ศษอนื่ ๆ ไดเ้ นือ่ งจากนกั เรยี นยงั ไมร่ จู้ ักและไม่เข้าใจตนเองอยา่ งแท้จริง 4. เทคนิคและเคร่ืองมือทางจิตวิทยามาจากต่างประเทศ และไม่ได้รับการปรับปรุง ให้สอดคลอ้ งกับขนบธรรมเนียมประเพณแี ละวัฒนธรรมไทย 5. ครูและครูแนะแนวมีภาระงานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูประจำชั้นต้องทำงาน เกีย่ วกบั นักเรียนแทบทกุ อย่าง ทัง้ ในและนอกเวลาราชการ ทำให้ไมส่ ามารถทำงานเกบ็ รวบรวมข้อมูล เปนรายบคุ คลไดอ้ ย่างเต็มที่ 6. ครูและครูแนะแนวบางคนมีเจตคติต่องานแนะแนวไปในทางลบ เพราะเห็นว่า เปนการเพ่มิ งานใหต้ น ทำใหข้ าดความร่วมมอื ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากนักเรยี น (ทม่ี า : มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้. 2551. หลักสูตรพัฒนาครูจิตวิทยาแนะแนว โมดูล 4 บริการแนะแนว และเครื่องมือทางจิตวิทยา. กรุงเทพฯ : สมาคมแนะแนว แหง่ ประเทศไทย : 28-29.)



บริการแนะแนวและเคร่อื งมอื ทางจติ วิทยา 37 3บทที่ การศึกษานักเรียนเปนรายกรณี ความÀมาย¢องการ»ก÷ …าน—กเรย’ นเªนì รายกร≥ ’ (case study) การศึกษารายกรณี หมายถึง กระบวนการศึกษารายละเอียดเก่ียวกับบุคคลทุกด้าน อย่างตรงไปตรงมาให้ได้ข้อมูลที่ถูกที่สุด โดยใช้วิธีการศึกษาท่ีหลากหลายรวบรวมไว้เปนหลักฐาน สำคัญเพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษา และหาวิธีการแก้ปญหาท่ีเกิดขึ้นกับบุคคลที่เหมาะสมต่อไป ในอนาคต โดยลักขณา สริวัฒน์ (2548 : 8) ได้กล่าวถึง การศึกษารายกรณี ว่าคือ กระบวนการ ของการศึกษารายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับบุคคลติดต่อกันอย่างต่อเน่ือง โดยศึกษาท้ังภูมิหลัง และการดำรงชีวิตความเปนอยู่ในปจจุบัน เพื่อรวบรวมเปนข้อมูลและนำไปวิเคราะห์หาสาเหตุ ท่ีทำให้บุคคลมีพฤติกรรมเช่นนั้น หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปมาจากสาเหตุอะไร รวมถึงการแปล ความหมายของพฤติกรรมดังกล่าวว่ามีความสัมพันธ์กับการปรับตัวที่ดีหรือการปรับตัวท่ีเปนปญหา ของบุคคลน้ันอย่างไร อันจะทำให้เกิดการรู้จักและเข้าใจในด้านต่าง ๆ ของตัวเขาอย่างแท้จริง เพ่ือเปนแนวทางนำไปสู่การสนับสนุนหรือการให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมและมี ประสทิ ธภิ าพ จ¥ÿ มàÿงÀมาย¢องการ»ก÷ …ารายกร≥’ พนม ลมิ้ อารยี ์ (2548 : 123) กลา่ วถงึ จดุ มงุ่ หมายในการศกึ ษานกั เรยี นเปน รายกรณไี ว้ ดังน้ี 1. เพ่ือสืบค้นหาสาเหตุท่ีทำให้บุคคลมีพฤติกรรมผิดปกติ ซ่ึงทางโรงเรียนจะได้ ใหค้ วามช่วยเหลอื และแกไ้ ขไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 2. เพ่ือสืบค้นรูปแบบของพัฒนาการนักเรียนท้ังในด้านร่างกาย สติปญญา อารมณ์ สงั คม และจิตใจ ซงึ่ ทางโรงเรียนจะไดใ้ ห้การสง่ เสรมิ พฒั นาได้อยา่ งเหมาะสม

38 บรกิ ารแนะแนวและเครือ่ งมือทางจิตวิทยา 3. เพ่อื ใหน้ ักเรียนเกิดความเขา้ ใจในตนเอง ยอมรับความเปน จรงิ เกี่ยวกบั ตน สามารถ พัฒนาตนเองได้ สามารถวางแผนชีวิตและเลือกแนวทางการศึกษาต่อและเลือกอาชีพท่ีเหมาะสม กบั ตนได้ จนทำให้มีการดำเนินชีวิตไดอ้ ย่างมคี วามสขุ และมีประสิทธภิ าพ 4. เพอื่ ใหผ้ ปู้ กครองเกดิ ความเขา้ ใจเดก็ ของตนไดด้ ขี นึ้ และใหค้ วามรว่ มมอื กบั ทางโรงเรยี น ในการแกไ้ ขปญ หาบุตรหลานของตน 5. เพอ่ื ใหค้ ณะครไู ดเ้ ขา้ ใจนกั เรยี นอยา่ งละเอยี ด ลกึ ซงึ้ ถกู ตอ้ ง และนำผลของการศกึ ษา รายกรณไี ปปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน การจดั กจิ กรรม และการใหบ้ รกิ ารตา่ ง ๆ แกน่ กั เรยี นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม สอดคล้องกับความตอ้ งการและความพรอ้ มของนกั เรยี น

บริการแนะแนวและเครอ่ื งมอื ทางจติ วิทยา 39 ล”¥บ— ¢Èน— ตอน¢องการ»ก÷ …าน—กเร’ยนเªìนรายกร≥ ’ การรวบรวมขอมลู เพอื่ การรจู ัก นักเรยี นเปน รายบุคคล แฟมประวตั ิ สงั เกต สมั ภาษณ ์ แบบสอบถาม ผลงานนกั เรยี น วิเคราะห์ขอ มลู /วินิจฉยั กรณี/ไมยงุ ยากซับซอน กรณยี ุง ยาก/ซบั ซอน ดีขน้ึ แบบทดสอบ สงั เคราะหข์ อ มลู ใหค วามชว ยเหลอื ไมด ีขึ้น ประชุมปรกึ ษา สงตอ ติดตามผล จากแผนภูมิดังกล่าวอธิบายได้ว่า การศึกษารายกรณีโดยท่ัวไปแบ่งเปนขั้นตอน เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ โดยมีการดำเนินการตามลำดับ ดังต่อไปน้ี (นิรันดร์ จลุ ทรพั ย,์ 2554 : 151, ลกั ขณา สรวิ ัฒน,์ 2548 : 11)

40 บริการแนะแนวและเคร่ืองมือทางจิตวทิ ยา การรวบรวมขอ้ มลู นกั เรียนเปน รายบคุ คล (collecting individual data) เปนขน้ั แรก ของผู้ทำการศึกษารายกรณี โดยใช้กระบวนการที่กล่าวไว้ในเบ้ืองต้นเรื่องการเก็บข้อมูลเปน รายบุคคลน้ัน โดยทั่วไปประกอบไปด้วยข้อมูลพ้ืนฐาน ประวัติการศึกษา ประวัติสุขภาพอนามัย ซึ่งข้อมูลเหล่าน้ีจะได้มาจากระเบียนสะสม การสังเกตรายกรณีที่ศึกษาในสถานการณ์ต่าง ๆ และการสัมภาษณ์ ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลจริงและน่าเช่ือถือ ส่วนการศึกษาข้อมูลจากอัตชีวประวัติ ประจำวัน และผลงานในลักษณะอ่ืน ๆ ข้อมูลจากแบบสอบถามชนิดต่าง ๆ การศึกษาข้อมูลจาก เครื่องมอื และกลวิธใี นการศึกษาอน่ื ๆ ผู้ทำการศกึ ษาควรนำมาใชใ้ ห้เหมาะสมถกู ต้อง และสอดคล้อง กับสภาพการณ์หากกรณีไม่ยุ่งยากซับซ้อนก็สามารถวิเคราะห์และทำการให้ความช่วยเหลือได้เลย แต่หากมีความยุ่งยากซับซ้อนมีความจำเปนต้องรวบรวมข้อมูลจากการทดสอบต่าง ๆ เพ่ิมเติม เช่น แบบทดสอบความสนใจ แบบทดสอบความถนัด แบบทดสอบสติปญญา แบบทดสอบบุคลิกภาพ หรือแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เปนต้น ในข้ันของการวิเคราะห์ขอมูล (analysis) ทไี่ ด้รวบรวมมาด้วยวิธกี ารต่าง ๆ ดงั กลา่ ว ผทู้ ำการศกึ ษาจะตอ้ งนำขอ้ มูลมาเพือ่ วิเคราะหข์ ้อเท็จจรงิ แล้วจึงวินิจฉัยขอมูล (diagnosis) ซึ่งขั้นน้ีเปนข้ันตอนท่ีสำคัญ เพราะเปนการนำผลการวิเคราะห์ ข้อมูลในขั้นท่ี 2 มาเปนพื้นฐานในการพิจารณาในการวินิจฉัยว่าอะไรคือสาเหตุแห่งปญหา การลงความเห็นเก่ียวกับปญหานี้อาจเปนเพียงช่ัวคราว เพื่อให้เปนเพียงพื้นฐานของการสังเคราะห์ ข้อเท็จจริงในขั้นต่อไปเท่านั้น จึงไม่มีข้อยุติ หรือข้อสรุปแต่อย่างใด เน่ืองจากการวินิจฉัยสาเหตุที่มา ของปญหาไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งชดั เจน จนทำใหส้ ามารถชว่ ยเหลือ รายกรณที ถ่ี กู ศึกษานั้น ไมใ่ ชเ่ ปนเรือ่ งท่ี ทำกันได้ง่าย ๆ ถ้ามีการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอยา่ งหยาบ ๆ หรอื ไมล่ ะเอยี ด รอบคอบ อาจจะนำไปสู่การแก้ปญหาที่ไม่ถูกต้องได้ เน่ืองจากในขั้นของการวินิจฉัยปญหานั้น บางคร้ังมีการ ดำเนินการช่วยเหลือ แต่ยังไม่สามารถคล่ีคลายปญหาได้ โดยพบว่า ส่วนหน่ึงอาจจะมีสาเหตุ มาจากข้อมูลที่ได้มานั้นไม่เพียงพอ หรือขาดความชัดเจนจึงจำเปนต้องมีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ หรือกลวิธีอ่ืน ๆ แล้วนำข้อมูลท่ีเพ่ิมมาน้ัน สังเคราะห์เขาดวยกันกับขอมูลเดิม (Synthesis) ซ่ึงจะช่วยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของข้อมูล ในแตล่ ะดา้ น แลว้ จะเกดิ ภาพรวมทางบคุ ลิกภาพของเขา เมอ่ื ผู้ทำการศกึ ษาเขา้ ใจลักษณะของปญหา และสาเหตขุ องปญ หาไดอ้ ยา่ งชดั เจน จงึ ถงึ ขนั้ ใหค วามชว ยเหลอื (treatment) จากนั้นจึงพิจารณา วิธีการช่วยเหลือด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม หรืออาจจะมีการกำหนดแนวทางหลัก แนวทางรองไว้ก็ได้ แล้วดำเนินการตามข้ันตอนท่ีกำหนดอย่างจริงจัง จึงจะช่วยให้ประหยัด ทั้งแรงงานและเวลาเพราะบางประเด็นอาจจะไม่เปนไปตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ บางทีอาจจะทำให้ แนวทางหลกั ไมส่ ามารถช่วยเหลือหรือแก้ไขได้ จงึ จำเปนจะตอ้ งใชแ้ นวทางรองมาดำเนินการ ถา้ ยงั ไม่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook