Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ

ผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ

Published by E-Book Library NFE Bangnamphueng, 2019-01-31 04:02:54

Description: ผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ

Keywords: อาชีพ

Search

Read the Text Version

การเปลี่ยนนางพญาโดยใช้ Queen cell (หลอดรวงผ้งึ แมร่ งั ) ภายในรังเมื่อพบว่า ผ้ึงนางพญาไข่ลดลงประชากรในรังน้อยลง และผึง้ งาน ไมส่ รา้ งรวงรงั ทง้ั ทมี่ อี าหารสมบรู ณ์ ในชว่ งทภี่ ายในรงั มหี ลอดนางพญา ผเู้ ลยี้ งควรคดั เลอื ก หลอดนางพญาทสี่ มบรู ณไ์ ว้ประมาณ 2 - 3 หลอด และในช่วงท่ีหลอดนางพญาทเ่ี ก็บไว้ ใกล้จะแตกออกเป็นตัวเต็มวัย ให้ฆ่านางพญาตัวเดิม ตัวใหม่ที่ออกมาจะไม่ต้องต่อสู้กัน คัดเลือกเหลือนางพญาเพียงตัวเดียว หลังจากนั้นผสมพันธุ์เองตามธรรมชาติ และเป็น นางพญาตัวใหม่ การเปลยี่ นนางพญา โดยใชห้ ลอดนางพญาจากรงั อนื่ ๆ คดั เลอื กจากรงั ผง้ึ ทด่ี ี ลกั ษณะนางพญาทดี่ ี กลา่ วคอื จะวางไขส่ มำ่� เสมอ ผลติ ผงึ้ งานมคี ณุ ภาพ และเปน็ นางพญา ที่ดีแขง็ แรง และไมส่ ร้างหลอดนางพญาบ่อย ๆ ผ้เู ลยี้ งตอ้ งการเปลย่ี นนางพญาจากรังอ่ืน (นางพญาจากรงั ทม่ี คี ณุ ภาพทคี่ ดั เลอื กไวแ้ ลว้ ) เอาหลอดนางพญามาเหนบ็ ลงไปในคอนผงึ้ ที่ต้องการจะเปลี่ยนโดยใชห้ วั แมม่ อื กดบรเิ วณรวงผง้ึ ทนี ำ�้ หวานใหบ้ ๋มุ ลงไป มีน้�ำหวานไหล ออกมาเลก็ นอ้ ยหลอดนางพญาทเ่ี ปล่ยี นควรมอี ายุหลังจากปดิ ฝาประมาณ 6 วัน ทำ� ด้วย ความระมดั ระวัง อยา่ ให้หลอดนางพญากระเทือน ใช้ปลายเลบ็ ย้�ำเบาๆ ให้ขอบของฐาน หลอดติดกับไขผ้ึงรอบ ๆ รอยบุ๋มท่ีใช้นิ้วมือกดลงไปและต้องแน่ใจว่าผึ้งไม่ได้สร้างหลอด นางพญา หรอื มหี ลอดนางพญาไวแ้ ลว้ ถา้ พบใหท้ ำ� ลายเสยี มเิ ชน่ นนั้ ผงึ้ รงั ใหมจ่ ะไมย่ อมรบั นางพญาท่ีน�ำไปใส่ให้ และควรตรวจดูทุกระยะว่าผ้ึงยอมรับหรือไม่ ถ้าไม่ยอมรับควรใช้ คอนผึ้งท่ีมีหลอดนางพญาอยู่แล้ว ยกมาใส่ในรังใหม่ในช่วงกลางคืน อย่าลืมว่า ก่อนใส่ หลอดนางพญาเขา้ ไปในรังผึ้งทต่ี อ้ งการทำ� ลายนางพญาตัวเกา่ กอ่ น 1 วัน 3.7 การจัดการผึ้งในชว่ งดอกไมบ้ าน จากการส�ำรวจการเลี้ยงผ้ึงโพรงโดยทั่วไปพบว่า ผู้เล้ียงผ้ึงโพรงไม่สนใจย้ายผึ้ง ไปเกบ็ ดอกไมบ้ านตามแหลง่ อาหารตา่ ง ๆ แตล่ ะฤดกู าล ทง้ั นี้ มปี จั จยั อน่ื ๆ ทมี่ าเกย่ี วขอ้ ง ให้ผู้เลี้ยงผึ้งไม่สนใจที่จะเคล่ือนย้ายผ้ึงไปเก็บดอกไม้ต่างๆ ที่ดีกว่าการเล้ียงผ้ึงในสวน มะพร้าวสาเหตเุ พราะ - ไม่มีตัวอย่างหรือข้อมูลพอท่ีจะเชื่อถือได้ว่า เคล่ือนย้ายผ้ึงไปเก็บดอกไม้ บานแลว้ จะคมุ้ ทุน - ผูเ้ ล้ียงผ้ึงโพรงเปน็ เกษตรกรรายย่อยไมม่ เี วลาและก�ำลังพอท่ีจะขนย้ายได้ - สภาพของผง้ึ ก่อนดอกไม้บาน โดยเฉพาะดอกเงาะ ทเุ รียน และยางพารา (ทางภาคใต้) จะออกดอกเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคม สภาพผ้ึงโดย ทัว่ ไปในชว่ งนีผ้ ้ึงท่ีปักหลกั เล้ียงในสวนมะพร้าวไมส่ มบรู ณเ์ ป็นส่วนใหญ่ - การเก็บน�้ำผ้ึงโดยทั่วไปใช้วิธีการตัด บางรายไม่ได้เข้าคอน การตัดน้�ำผ้ึง แตล่ ะครง้ั ทำ� ใหผ้ ง้ึ ชะงักความสมบูรณ์ เน่ืองจากตอ้ งไปสร้างรังใหม่ กว่ารงั จะสมบรู ณ์ใหม่ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดอื น 45

จากผลการทดลอง สลัดน้�ำผ้งึ ดว้ ยเครือ่ งสลดั ในชว่ งทม่ี ะพร้าวออกจั่นมาก ๆ (ประมาณเดอื นเมษายน – กรกฏาคม) สามารถสลัดน�้ำผึง้ ได้ประมาณ 20-30 วันตอ่ คร้ัง และได้นำ้� ผ้งึ ครั้งละประมาณ 600 - 3,100 กรัม ตอ่ รัง สำ� หรบั ช่วงอ่นื ๆ สามารถสลดั น�้ำผึ้ง ในสวนมะพร้าวได้บ้าง ช่วงระยะเวลาท่ีมะพร้าวออกจั่น (สิงหาคม-มีนาคม) การสลัด แตล่ ะคร้งั ต้องห่างออกไป ทงั้ นี้ แหลง่ อาหารเปน็ ปัจจยั สำ� คญั การสลัดน�้ำผ้งึ ของผงึ้ โพรง นับว่าเปน็ ปจั จยั หนึง่ ทีเ่ พ่มิ ผลผลิตการเลี้ยงผ้ึงโพรงใหส้ ูงขนึ้ ได้ 3.8 การขนย้ายผง้ึ ข้อควรค�ำนึงถึงการน�ำผึ้งท่ีลอ่ ไดม้ าไวบ้ รเิ วณลานเลยี้ ง - ควรใหผ้ ง้ึ สรา้ งรวงประมาณ 2 รวงขนึ้ ไป และภายในรวงควรประกอบดว้ ย นำ�้ ผง้ึ เกสร และตัวอ่อน - ก่อนทำ� การขนยา้ ยควรเตรยี มเสาหลัก แหล่งที่ขนย้ายไว้ใหพ้ ร้อมในช่วงเวลา กลางวัน - การขนย้ายผึง้ ควรขนยา้ ยในเวลากลางคืน เพ่ือป้องกันผึ้งตกคา้ งนอ้ ยท่ีสุด - การขนย้ายรังล่อ ควรให้ผึ้งมีตัวอ่อนและน�้ำหวานอยู่มากพอสมควร เพื่อ ป้องกันการหนีรงั หลังการขนยา้ ย - การขนยา้ ยควรกระทำ� อย่างน่มิ นวล เพอ่ื ป้องกนั รวงผึง้ ขาดในกรณที ี่ผึง้ ยงั ไม่ เขา้ คอน หรือปฏบิ ัติงานอ่ืน ๆ ที่จ�ำเปน็ การขนย้ายผ้งึ ในช่วงระยะทางไกล การขนยา้ ยในระยะทางไกล ควรคำ� นงึ ถงึ ปญั หาผ้งึ ย้ายที่อยู่ จะท�ำให้ประชากร ของผงึ้ ตายไปเปน็ จำ� นวนมาก ฉะนน้ั การขนยา้ ยผงึ้ เพอื่ ใหผ้ งึ้ บอบชำ�้ นอ้ ยและตายนอ้ ยทสี่ ดุ ควรปฏิบตั ิ ดงั นี้ - การขนยา้ ยผึง้ ในระยะทางไกล ๆ ควรยา้ ยผึ้งเฉพาะผง้ึ ท่เี ข้าคอนเท่าน้ัน - ควรขนยา้ ยผง้ึ ในชว่ งเวลากลางคนื ถา้ หากมคี วามจำ� เปน็ ตอ้ งขนยา้ ยในเวลา กลางวันควรปฏบิ ัติ ดงั น้ี • ใชต้ ะแกรงมุ้งลวดปิดปากทางเข้า-ออก เพอื่ ใหอ้ ากาศระบายเขา้ ไปในรงั ได้บา้ ง • ควรฉดี พ่นน้�ำให้ผ้งึ ในชว่ งขนยา้ ย • เมอ่ื ขนยา้ ยผ้ึงถึงลานเล้ียงใหม่ ควรปล่อยผ้ึงทนั ที และผปู้ ลอ่ ยผึง้ ไม่ควรยืนตรงหน้ารงั • หลงั จากขนยา้ ยผ้งึ เสร็จแลว้ วนั ถดั ไปควรตรวจภายในรังผึ้ง 46

4. ศัตรทู ่ีส�ำคญั ของผึง้ โพรงและการปอ้ งกันกำ� จัด 4.1 โรคผง้ึ โรคของผงึ้ โพรงทพี่ บคอื โรคแซกบรดู ทร่ี ะบาด เกดิ จากเชอื้ ไวรสั ลกั ษณะของโรค ตวั ออ่ นจะตายกอ่ นปดิ ฝาและระยะปดิ ฝาตวั ออ่ นมสี ขี าวขนุ่ ถงึ เหลอื งหรอื นำ้� ตาลเขม้ ตอ่ มา จงึ คอ่ ย ๆ แหง้ โดยสว่ นหัวจะหด ส่วนท้ายจะมกี ารเปลี่ยนแปลงเป็นถงุ น�้ำ การรกั ษาและ ปอ้ งกนั กำ� จดั โดยวธิ ที �ำใหร้ ังผงึ้ แขง็ แรงตา้ นทานโรค เปลยี่ นรวงตัวอ่อนทเี่ ปน็ โรคทงิ้ น�ำไป เผาท�ำลายทิ้งและเปลี่ยนนางพญาใหม่ เพราะอาจเกิดการแพร่เช้ือจากการวางไข่ของผ้ึง นางพญา โดยการถ่ายทอดเช้ือทางกรรมพนั ธ์ุ ลกั ษณะของผง้ึ โพรงโดยธรรมชาติ จะมศี ตั รผู งึ้ นอ้ ยมาก ไมต่ อ้ งใชส้ ารเคมปี อ้ งกนั ก�ำจัด เน่ืองจากผึ้งโพรงเป็นแมลงในธรรมชาติปราดเปรียว ต้านทานโรค เอาตัวรอดได้ดี เชน่ การอพยพทิง้ รงั หนใี นกรณเี กดิ โรคแซกบรดู รบกวนหรอื มีศัตรูอน่ื ๆ รบกวน จะทง้ิ รัง ไปหาท่ีสรา้ งรงั ใหม่ ปล่อยให้รงั ทม่ี ศี ตั รแู ละโรคตายไปเอง ศตั รูของผึ้งโพรงทส่ี ำ� คัญจริง ๆ คอื มดแดง การปอ้ งกนั มดแดงโดยการใชน้ ำ้� มนั เครื่องเกา่ ๆ ชุบเศษผา้ แล้วเอามาทารอบ เสาของรงั ผ้งึ โพรง ทำ� ให้มดไม่สามารถข้นึ ไปท�ำลายผ้ึง 4.2 สตั วศ์ ัตรผู ้งึ 4.2.1 พวกสัตว์ท่ีกนิ ผึง้ เป็นอาหาร ได้แก่ แมงมุม จง้ิ จก ตุก๊ แก คางคก กบ อ่ึงอ่าง นกตา่ ง ๆ เชน่ นกก้งิ โครง นกแอน่ ลม กงิ้ กา่ จง้ิ เหลน เปน็ ตน้ สตั วเ์ หลา่ นจ้ี ะจบั กนิ ผงึ้ เปน็ อาหาร เมอ่ื พบในแหลง่ เลยี้ ง ผงึ้ ให้ก�ำจดั ทิง้ หรอื ไล่ไป และท�ำความสะอาดรงั อย่เู สมอ 4.2.2 พวกแมลง - หนอนผเี ส้อื กนิ ไขผง้ึ (Wax Moth) เป็นศตั รูท่ีส�ำคญั ของผ้ึงโพรงและพบใน รงั ผง้ึ ทอี่ อ่ นแอ มปี ระชากรนอ้ ย ตวั แกเ่ ปน็ ผเี สอื้ กลางคนื ชนดิ หนง่ึ มาวางไขใ่ นรงั ผง้ึ ทอี่ อ่ นแอ มีประชากรน้อย ตัวอ่อนซึ่งเป็นตัวหนอนจะไปกัดกินรวงผ้ึงให้เสียหาย ป้องกันโดยท�ำให้ ประชากรผึง้ แข็งแรง - มดตา่ ง ๆ จะเขา้ ไปกดั กนิ ตวั ออ่ น ตวั แกข่ องผงึ้ และจะขโมยนำ�้ ผง้ึ ในรงั ปอ้ งกนั โดยการใช้เศษผ้าชุบนำ�้ มันเครือ่ งเก่าพันรอบเสาหรือขาต้งั รงั ผงึ้ เช่น มดแดง - ปลวก จะกัดกินรังผ้ึงท�ำให้รังเลี้ยงผ้ึงผุกร่อนพังไปไม่สามารถใช้เล้ียงผ้ึงได้ ใหห้ ม่ันตรวจท�ำความสะอาดรงั ผ้งึ อย่างสม่�ำเสมอ - ไร ซึ่งด�ำรงชีวิตแบบตัวเบียนจะดูดกินของเหลวภายในตัวผึ้งหรือเลือดผึ้ง ไรทเี่ ปน็ ศตั รขู องผงึ้ โพรง คอื ไรตวั เบยี นผง้ึ ผง้ึ ทถ่ี กู ไรเบยี นถา้ รอดชวี ติ อยไู่ ดจ้ ะพกิ าร รปู รา่ ง ผดิ ปกติ ปกี ไมแ่ ผอ่ อกในสภาพปกตติ ามธรรมชาติ ผง้ึ โพรงจะมคี วามตา้ นทานตอ่ การระบาด ของไรศัตรูผ้ึง โดยจะพบเห็นไรถูกผ้ึงงานกัดท�ำลาย และถ้าในรังผ้ึงโพรงมีไรระบาดมาก ผง้ึ โพรงจะยา้ ยทงิ้ รงั การใชส้ ารเคมปี อ้ งกนั และกำ� จดั ไรจงึ ไมจ่ ำ� เปน็ สำ� หรบั การเลยี้ งผง้ึ โพรง - ตวั ตอ่ จะเขา้ ทำ� ลายผง้ึ โดยการบนิ โฉบจบั ตวั ผง้ึ งาน ตวั เตม็ วยั ทบ่ี นิ อยนู่ อกรงั กินเปน็ อาหาร ถา้ รังผงึ้ รงั ไหนอ่อนแอตวั ตอ่ จะเขา้ ไปกนิ ตวั หนอนภายในรงั จนหมด 47

5. การเกบ็ ผลผลิตจากผ้ึงโพรง 5.1 การเก็บน�ำ้ ผง้ึ ผเู้ ลยี้ งผง้ึ แบบเกา่ ซึ่งเลย้ี งผงึ้ ในโพรงไมห้ รอื กลอ่ งไมท้ ไ่ี มม่ คี อน เมอื่ ผง้ึ มาอยใู่ น กล่องได้ประมาณ 1 - 3 เดอื น ใหเ้ ปดิ ดูรวงผึง้ ที่ผง้ึ สรา้ งนัน้ ถา้ มปี ระมาณต้งั แต่ 4 รวงข้นึ ไป มีขนาดใหญพ่ อควร ใหใ้ ชม้ ดี ตดั รวงผง้ึ ออกจากรังประมาณรงั ละ 1 - 3 รวง ใหเ้ หลอื รวงผึ้ง ไวใ้ นรงั ประมาณ 3 - 4 รวง นำ� รวงผ้ึงทต่ี ัดออกมาตดั เอาเฉพาะสว่ นท่เี ป็นนำ�้ ผ้งึ น�ำมาสับ บนตะแกรงให้นำ�้ ผ้งึ ไหลลงในถังเกบ็ ไมค่ วรใช้วธิ บี ีบดว้ ยมือ หรอื คน่ั รวงผ้ึงเพราะจะทำ� ให้ เศษผงหรอื ชิน้ สว่ นของรวงผึ้ง และตวั อ่อนผ้งึ ผสมไปกบั น้�ำผึ้ง ตัง้ ทิง้ ไว้ประมาณ 2 - 3 วัน สว่ นของเศษผงตา่ งๆ จะลอยขนึ้ สว่ นบนใหต้ ัดเอาเศษผงออก ซึ่งจะไดน้ ้�ำผึง้ บรสิ ุทธบิ์ รรจุ ขวดต่อไป การเก็บน้�ำผ้ึงแบบน้ีจ�ำเป็นต้องตัดท้ังรวงท�ำให้ส่วนของตัวอ่อนผึ้งเสียไป ซ่ึงมี ผลกระทบตอ่ ความแข็งแรงและความสมดลุ ภายในรังผึ้งด้วย ในกรณีไมม่ ถี ังสลัด มวี ธิ ีตัดนำ้� ผ้งึ จากรวง 2 แบบ คือ 1) ตัดเอาเฉพาะส่วนของน�้ำผึ้งท้ังหมดด้านบนคอน โดยเหลืออาหารให้ผึ้ง 3-4 คอน การตัดแบบนี้ผงึ้ งานจะสรา้ งหลอดรวงใหม่ไดช้ า้ 2) ตัดเอาเฉพาะสว่ นของน�้ำผึ้งเปน็ ช่วง ๆ การตัดน้�ำผ้ึงวิธนี ี้ สามารถตดั ได้ ทุกรวงเพราะยังมีส่วนของน้�ำผึ้งเหลือไว้ให้เป็นอาหารของผ้ึง และจะท�ำให้ผึ้งซ่อมแซมรัง ได้รวดเร็วกวา่ วิธแี รก 5.2 การเก็บไขผง้ึ น�ำเศษรวงผึ้งที่เหลอื จากการเอาน�้ำผึง้ ออกหมดแลว้ หรือจากรวงผึง้ เกา่ ๆ ถา้ มี นำ้� ผ้ึงอยนู่ �ำไปวางในทีเ่ ล้ียงผ้งึ ใหผ้ ้งึ ดูดนำ�้ ผงึ้ เปน็ อาหารให้หมด น�ำเศษรวงผ้งึ ทีไ่ ดไ้ ปใสใ่ น น�้ำเดือด แต่ห้ามต้มไขผ้ึงในภาชนะที่เป็นอลูมิเนียม จากน้ันไขผ้ึงบริสุทธิ์จากรวงผึ้งจะ หลอมละลายออกมา ใชต้ ะแกรงลวดตกั เศษผงตา่ งๆ ออกใหห้ มดหรอื ใชผ้ า้ กรองอกี ที หรอื ใชต้ าขา่ ยมุ้งลวดสฟี า้ กรอง แล้วตั้งไฟอีกครั้งแล้วกรองดว้ ยผ้าขาวบางอีกที ทงิ้ ใหไ้ ขผง้ึ เย็น ลง ก็จะได้ไขผ้ึงบริสุทธ์ิ ลอยจบั ตวั แขง็ อยทู่ ่ีผวิ หนา้ ด้านบน น�ำสว่ นไขผงึ้ นีไ้ ปใส่กะทะตงั้ บน ไฟอกี ครงั้ ไขผง้ึ จะหลอมละลายเปน็ ไขผง้ึ เหลว (ไมต่ อ้ งผสมนำ�้ ) แลว้ นำ� ไปใสห่ ลอ่ แบบพมิ พ์ ทตี่ ้องการ 6. แหล่งผลติ ทสี่ �ำคัญ แหล่งเลย้ี งผงึ้ โพรงจะอยู่ในภาคตะวนั ออก และภาคใต้ ได้แก่ จงั หวดั จันทบุรี ชมุ พร นครศรธี รรมราช พัทลงุ สงขลา ตรงั 48

ข้อมูลสภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสมต่อการเจรญิ เตบิ โตและให้ผลผลิตของผง้ึ โพรง สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจ�ำกัด สภาพภมู อิ ากาศ อุณหภูมทิ ่เี หมาะสมอยูร่ ะหวา่ ง 25 - 30°C อุณหภมู ิท่พี อเหมาะส�ำหรบั รวงผึ้ง 1. ถา้ อณุ หภมู ติ ำ�่ ผง้ึ จะตอ้ งรกั ษาอณุ หภมู ภิ ายใน อ่อนอยรู่ ะหว่าง 33 - 35°C รังทำ� ให้ผึ้งทอ่ี อกหากนิ หรอื ไปเกบ็ อาหาร นอกรงั มีนอ้ ย 2. ชว่ งทม่ี ฝี นตกชกุ ตดิ ตอ่ กนั จะทำ� ใหผ้ งึ้ ออกหากนิ ไม่ได้ สภาพพน้ื ทตี่ งั้ รงั ผงึ้ 1. ควรจะเปน็ พ้นื ที่โลง่ แห้ง ไมอ่ บั ช้ืน ได้รับแสงสวา่ งจากดวงอาทติ ย์ 1. พ้นื ท่ีโล่ง ถา้ มลี มแรงเกนิ 24 กม./ชม. ในเวลากลางวนั ผึง้ จะหยุดออกมาหาอาหาร 2. การคมนาคมสะดวก ไม่ควรอย่ใู นย่านชมุ ชน 2. พชื อาหารผ้งึ จะบานเป็นชว่ งๆ 3. แหล่งพชื อาหารผง้ึ ไมม่ ีการบานตลอด 3.1 ควรมพี ชื อาหารทใ่ี หน้ ำ�้ หวานและเกสรหลายชนดิ เชน่ ปา่ ชายเลน มะพรา้ ว เงาะ ทเุ รยี น ยางพารา ปาลม์ นำ�้ มัน สวนไม้ปา่ สาบเสือ ลนิ้ จ่ี และลำ� ไย เปน็ ต้น 3.2 ควรเปน็ พืชอาหารท่ีมีช่วงการบานของดอกยาวนาน และต่อเนือ่ ง 3.3 มคี วามหนาแน่นของดอกไมต้ ่อหน่วยพนื้ ท่สี งู สามารถ เก็บนำ้� หวานและเกสรได้มาก 4. หนา้ รังควรจะหนั ไปทางทิศตะวันออกเพอื่ ให้มแี สงแดดอ่อน ในตอนเช้าสอ่ งเข้ามาถึงหนา้ รงั 5. เปน็ แหล่งทป่ี ลอดสารเคมี 6. เลอื กทไี่ มม่ ศี ตั รขู องผง้ึ โพรง เชน่ มดแดง แมลงสาบ แมงมมุ และตวั ตอ่ เปน็ ตน้ 49 สภาพน้�ำ ควรอยใู่ กล้แหล่งน้�ำสะอาด คุณสมบตั ิ ไม่มผี ลต่อการเลี้ยงผง้ึ แต่มีผลต่อการต้งั รงั ผึ้ง ( ความม่ันคง ในการตั้งรงั ผง้ึ ) ดนิ เหนยี ว ดินทราย ตงั้ รังผงึ้ ท�ำให้รงั ผึง้ เอนและ ทางกายภาพของดนิ ลม้ ง่าย ควรหาขาตั้งที่แข็งแรงเปน็ ฐาน

แนวทางการเพ่ิมประสทิ ธภิ าพการผลติ และแหลง่ สบื คน้ ขอ้ มลู เพ่มิ เติม การตัดรวงน้�ำผงึ้ เพียงบางสว่ น การเลยี้ งผงึ้ โพรงในรงั ผง้ึ และคอนทด่ี ดั แปลงจากรงั ผงึ้ และคอนทใี่ ชเ้ ลยี้ งผงึ้ พนั ธ์ุ รงั ผง้ึ จะบรรจคุ อนได้ 7 คอน การเลี้ยงผึ้งโพรงท่ีมีรงั ผงึ้ และคอนมาตรฐานน้ี จะสามารถจดั การ รังผึ้งได้สะดวกขึ้น และได้ผลผลิตน�้ำผ้ึงมากข้ึนด้วย นอกจากนี้การตัดรวงน้�ำผ้ึงไม่ควรตัด หมดทงั้ รวง ควรตดั ใหเ้ หลอื รวงนำ�้ ผง้ึ คา้ งอยบู่ นลวดประมาณ 1 - 2 เซนตเิ มตร เพอื่ ใหผ้ งึ้ โพรง สามารถสรา้ งรวงรงั และสะสมอาหารเลย้ี งตวั ออ่ นไดต้ อ่ ไปและผงึ้ จะไมห่ นรี งั วธิ กี ารนสี้ ามารถ ใหผ้ ลผลิตนำ้� ผึ้งดกี วา่ ตดั หมดทัง้ รวงประมาณ 1 เท่าตัว อยา่ งไรกต็ ามท่ตี ้ังวางรงั จะตอ้ งมี แหล่งพืชอาหารท่ีมีความสมบรู ณ์ การยา้ ยรังเพ่ือเกบ็ น้�ำผงึ้ การเล้ยี งผ้ึงโพรงส่วนใหญ่มักเล้ียงผึ้งโพรงในสวนมะพรา้ ว ซ่งึ จะออกดอก(จน่ั ) ตลอด ท้ังปี จากการสำ� รวจการออกดอก(จั่น)ของมะพรา้ วในจงั หวดั ชมุ พร พบวา่ ชว่ งท่มี ะพร้าว ออกจนั่ นอ้ ยเฉลย่ี 15 จนั่ ต่อเดือน ไดแ้ ก่ เดือนกันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม และกุมภาพันธ์ สว่ นชว่ งทดี่ อก(จัน่ )มะพรา้ ว มีความอดุ มสมบูรณ์ ออกดอก (จั่น) เฉลย่ี 40.33 จ่ันต่อเดอื น ได้แก่ มีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถนุ ายน กรกฎาคม และ สิงหาคม ดงั น้ัน การเล้ยี งผง้ึ โพรงในสวนมะพรา้ วจะมพี ชื อาหารที่สมบรู ณ์เพยี ง 6 เดือน เทา่ น้ัน เพอื่ ให้สามารถเกบ็ นำ้� ผึง้ ได้อย่างต่อเนื่องและได้ผลผลติ ดี จึงควรย้ายรงั ผงึ้ ในชว่ ง ที่พชื อาหารไมส่ มบรู ณ์ โดยย้ายรังไปตั้งในพน้ื ท่ที ี่มีพืชอาหารออกดอก ดงั นี้ ชนดิ พชื ช่วงเวลาการออกดอกของพืชอาหาร เงาะ ทเุ รยี น มกราคม – เมษายน มะม่วงหมิ พานต์ มกราคม – มนี าคม ต้นเสม็ด มิถนุ ายน ธันวาคม – กมุ ภาพนั ธ์ สาบเสือ ไม้ปา่ ชายเลน เช่น ลำ� พู ตุลาคม – ธันวาคม ส�ำโรง พวงตาตุ่ม ช่วงใบเพสลาด ประมาณเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ – มีนาคม ยางพารา 50

การท�ำน�้ำผึง้ รวง (honey comb) นำ�้ ผ้ึงรวง (honey comb) คือ การน�ำรวงนำ้� ผ้ึงมาตัดเปน็ ชิน้ ๆ แล้วบรรจุกลอ่ งหรือ ขวดเพ่ือจำ� หนา่ ย แล้วนำ� มาบรโิ ภคท้งั น้�ำผงึ้ และรวง การท�ำนำ้� ผ้งึ รวง (honey comb) ใน ผงึ้ โพรงจะไดร้ วงผง้ึ หรอื ไขผงึ้ ทบี่ รสิ ทุ ธป์ ราศจากพาราฟนิ เปน็ การเพม่ิ มลู คา่ ใหแ้ กน่ ำ�้ ผงึ้ จาก ผงึ้ โพรง แหลง่ สบื ค้นขอ้ มูลเพ่มิ เตมิ 1. กลมุ่ สง่ เสรมิ การเลย้ี งผงึ้ และแมลงเศรษฐกจิ สำ� นกั สง่ เสรมิ และจดั การสนิ คา้ เกษตร กรมสง่ เสริมการเกษตรเขตจตจุ กั ร กรงุ เทพฯ 10900 โทรศัพท/์ โทรสาร 0-2940-6102 2. ศนู ย์สง่ เสริมและพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผ้ึง) จงั หวัดเชียงใหม่ http://www. [email protected] 3. ศนู ยส์ ่งเสรมิ และพฒั นาอาชีพการเกษตร(ผ้ึง) จงั หวัดพิษณโุ ลก http://[email protected] 4. ศนู ย์สง่ เสริมและพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผึ้ง) จังหวดั ขอนแกน่ http://[email protected] 5 ศนู ยส์ ง่ เสรมิ และพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผ้งึ จังหวัดจนั ทบรุ ี http://www. [email protected] 6. ศูนยส์ ง่ เสรมิ และพฒั นาอาชพี การเกษตร(ผ้ึง) จังหวัดชุมพร http://www. [email protected] 7. กรมส่งเสรมิ การเกษตร.2546.คู่มอื เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร หลักสตู รส่งเสริมการเล้ยี งผ้ึงโพรง. 8. กองปอ้ งกนั และก�ำจดั ศตั รูพชื กรมส่งเสรมิ การเกษตร.2535. ผงึ้ โพรงไทย. 51

ชันโรง ขัน้ ตอนการเล้ยี งและการจดั การชันโรง การเลือกกลอ่ งเลีย้ งชนั โรง การแยกขยายรัง การจดั การรังชนั โรง - รักษาอณุ หภมู ิภายในไดค้ งท่ี 1) แยกขยายพันธ์ุชนั โรงในช่วงทีม่ ีอาหารสมบรู ณ์ • ควรมีขาตง้ั รังเพ่อื ป้องกันมด • มพี ืชอาหารเพยี งพอ - ทนทานตอ่ สภาพแวดล้อม 2) ตรวจดูปริมาณ (ไข่ ดักแด้ ตัวเต็มวัย) ใหม้ ปี ริมาณสมดุล • วางรงั ให้กระจายคลอบคุมพ้ืนท่ใี นชว่ งทมี่ ีพืชอาหารบาน และจำ�นวนมากพอสมควร • ตรวจสภาพความสมบรู ณใ์ นรงั เดือนละ 1 ครั้ง การเตรยี มพันธ์ุ 3) การแยกไข่ ดกั แด้ ตวั เต็มวยั (ชนั โรงท่ีเล้ียง) ปริมาณครึง่ หนงึ่ การเก็บเกย่ี วผลผลติ - เลือกพันธท์ุ ี่ไมด่ ุ ของเดมิ โดยมีหลอดนางพญาติดไปดว้ ย และนำ�ไปใสใ่ นรงั ใหม่ 1) ใชม้ ดี ตดั ถว้ ยนำ้ �หวานของชันโรง แยกเอาถ้วยเกสรออกไป - ขยายพนั ธไุ์ ด้ดี 4) ถ้วยอาหาร (ถ้วยเกสร และถ้วยน้ำ�ผง้ึ ) นำ�ใสล่ งในรัง 2) นำ�ถ้วยน้ำ�หวานมาวางบนภาชนะท่มี ีผ้าขาวบาง - ทนตอ่ ศตั รชู ันโรง โดยวางใกล้ปากทางเข้าออกของรัง 3) ใช้ช้อนกด(บีบ) ไปที่ถ้วยน้ำ�หวานของชนั โรง 5) นำ�ไข (ขชี้ ัน) มาแปะบรเิ วณทางเข้าเพื่อลอ่ ตวั เต็มวยั ชันโรงงาน 4) น้ำ�ผง้ึ จากชันโรงจะไหลลงมาท่ภี าชนะ กากท่เี หลือจากการ ใหก้ ลับเขา้ รังเพาะเล้ยี ง บบี ถ้วยน้ำ�หวานออก กค็ อื พรอพอลิส ซึง่ การเกบ็ 6) ปดิ ทางเข้ารังชันโรง (รังเดมิ ) ย้ายรงั เดิมออกห่างจากจุดเดิม พรอพอลิส ต้องคัดแยกส่งิ เจือปนออกจากกอ้ นพรอพอลิส ประมาณ 20 - 30 เมตร และนำ�รังใหมม่ าตง้ั ไว้ทีเ่ ดิม 7) รอจนกระท่งั พลบคำ่ �จากนั้นย้ายรงั เดิมกลบั มาทีเ่ ดิม การเตรยี มการ ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ลน้ิ จี่ ลำ�ไย ช่วงการบานของพชื อาหารชันโรง สาบเสือ สาบเสือ เงาะ กระถินนา แคแสด แคแสด ลิน้ จี่ ทานตะวัน งา มะกอกน้ำ� พุทรา ทานตะวัน งว้ิ นุ่น มะม่วง ยางพารา ไมยราบยกั ษ์ ดอกเสม็ด ข้าวโพด ดาวกระจาย ฟักทอง แตงกวา บัวหลวง ชมพ ู่ ข้ีเหลก็ ปาลม์ นำ้ �มนั และมะพรา้ ว ศตั รทู สี่ ำ�คญั และการป้องกนั กำ�จดั ชันโรงมลี ำ�ตัวขนาดเล็ก และลกั ษณะการบนิ ไมเ่ ปน็ แนวตรงหรือโค้ง การบินของชนั โรงจะเปน็ แบบหกั มมุ ซ้ายบา้ ง ขวาบ้าง ทำ�ใหห้ ลบศตั รูไดง้ า่ ย ยากแก่การจับกินของแมลงและ นกต่าง ๆ ภายในรงั ของชนั โรง จะเกบ็ ยางไมศ้ ตั รูของชันโรงจงึ ไม่คอ่ ยมี แต่อย่างไรกต็ ามชันโรงก็ยงั มศี ตั รูที่สำ�คัญๆ คอยทำ�ลายชนั โรง เชน่ นก มด มวน หนอนแมลงวัน และไก่

เทคนคิ การเลย้ี งและการจัดการเลี้ยงชนั โรง 1. ลักษณะทั่วไปและวงจรชวี ิต ชันโรงเป็นแมลงในวงศ์เดียวกับผ้ึง มีพฤติกรรมเก็บน้�ำหวานจากดอกไม้และละออง เกสรหรอื เรณมู าใชเ้ ปน็ อาหาร แตช่ นั โรงไมม่ เี หลก็ ในจงึ ไมส่ ามารถตอ่ ยได้ พบแพรก่ ระจาย อยู่ท่ัวไปตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย การใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ของชันโรง ได้แก่ นำ้� ผง้ึ (Honey) และชัน (Propolis) ซงึ่ ชนั มคี ุณสมบตั ทิ างยาสามารถยับยัง้ การเจริญ ของเช้ือโรคชนิดต่างๆ นอกจากน้ี ชันโรงเป็นแมลงช่วยผสมเกสรให้แก่พืชทั้งพืชในป่า ธรรมชาตแิ ละพชื เศรษฐกจิ วรรณะชนั โรง วรรณะของชันโรงแบง่ เป็น 3 วรรณะ แต่ละวรรณะมลี กั ษณะและหน้าท่ีต่างๆ ดงั น้ี (Schwarz, 1939) 1) นางพญา ลกั ษณะทว่ั ไปมขี นาดใหญก่ วา่ วรรณะอนื่ ๆ สว่ นทอ้ งมขี นาดใหญ่ ใกลเ้ คยี งกบั สว่ นหวั และอกรวมกนั สว่ นของปกี คลมุ สว่ นทอ้ งไมห่ มด ทำ� หนา้ ทว่ี างไขค่ วบคมุ การปฏบิ ตั งิ านของประชากรภายในรงั ถา้ หากรงั ขาดชนั โรงวรรณะนางพญา การทำ� งานจะ ไมม่ รี ะบบ 53

2) ชันโรงงาน เป็นวรรณะที่มีประชากรมากท่ีสุดในรัง มีขนาดล�ำตัวเล็กกว่า นางพญา มีหนา้ ทีท่ ำ� งานทัง้ ภายในและภายนอกรัง ชนั โรงงานในแต่ละช่วงอายจุ ะมีหนา้ ท่ี ที่แตกต่างกันไป ชันโรงงานที่มีอายุน้อยจะท�ำงานอยู่ภายในรัง โดยท�ำหน้าท่ี ท�ำความ สะอาดรงั สรา้ งและซอ่ มแซมรัง เล้ียงตวั หนอน ป้อนอาหารแก่นางพญา ส่วนท่มี อี ายุมาก จะออกมาท�ำงานภายนอกรงั โดยการบนิ ออกไป เกบ็ น้�ำหวาน เกสร และยางไม้ และคาบ เศษขยะออกมาท้งิ นอกรงั 3) ชนั โรงเพศผู้ บทบาททส่ี ำ� คญั คอื ทำ� หนา้ ทผี่ สมพนั ธก์ุ บั ชนั โรงวรรณะนางพญา ไมม่ หี นา้ ทเ่ี กบ็ เกสรและนำ้� หวานเขา้ มาในรงั มขี นาดเลก็ กวา่ ชนั โรงงาน และมปี รมิ าณนอ้ ย วงจรชวี ติ ของชันโรง นางพญาทยี่ งั ไมไ่ ดผ้ สมพนั ธ์ุ (Virgin queen) จะบนิ ขน้ึ ผสมพนั ธก์ุ ลางอากาศ กบั ชนั โรง ตวั ผ้ทู ร่ี วมกลุ่มกันตรงบริเวณปากทางเข้ารงั ของนางพญา ซ่ึงภายในรงั ดงั กล่าว ชนั โรงงาน จะท�ำปากทางเข้ารงั และเข้าไปเตรยี มถ้วยอาหารใสอ่ าหารในหลอดรัง (cell) เพ่ือรองรบั ไข่ จากนางพญา (Queen) ต่อมาชันโรงงานจะเริ่มท�ำการปิดหลอดรังทันทีท่ีนางพญาวางไข่ เสรจ็ และจะไมถ่ กู เปดิ อกี เลยจนกวา่ จะออกมาเปน็ ตวั เตม็ วยั โดยชนั โรงพเี่ ลยี้ ง (nurse bee) ชว่ ยกัดฝาหลอดรังเปดิ ตวั เตม็ วยั ออกมา นางพญาจะวางไข่ประมาณ 20 - 40 ฟองตอ่ วนั 6.5 วนั 6-7 วนั 26-27 วัน ไขช่ ันโรง หนอนชนั โรง ดกั แดช้ ันโรง ตัวเตม็ วยั 2. การเตรียมการกอ่ นการเล้ียงชนั โรง 2.1 การเตรยี มวสั ดุอุปกรณ์ - กลอ่ งเลย้ี งชนั โรง การเลอื กรงั หรือการท�ำกล่องเลยี้ งชันโรง ควรพจิ ารณาดงั น้ี • ต้องหางา่ ย ราคาไม่แพง ใช้ประโยชนไ์ ดด้ ี สะดวกในการปฏบิ ัตงิ าน • รงั ต้องรกั ษาอณุ หภมู ไิ ดค้ งที่ และคงทนตอ่ สภาพแวดลอ้ มภมู ิอากาศได้ดี • ชันโรงแตล่ ะชนิดมีขนาดการสร้างรงั ขนาดการสรา้ งรงั ขนาดแตกต่างกนั จำ� เป็นตอ้ งมีรงั ขนาดตามชนดิ ของชนั โรง • รังต้องสามารถท�ำการแยกขยายไดง้ า่ ย สะดวกในการปฏบิ ัติงาน • สามารถสงั เกตดูพฤตกิ รรมของชนั โรงได้งา่ ยและสะดวก 54

2.2 พันธุช์ ันโรง ชนั โรงเป็นแมลงท่ีมคี วามหลากหลายทางสายพันธเ์ุ ปน็ อยา่ งมาก มีรายงานว่า พบชนั โรงแพรก่ ระจายในเขตตา่ งๆ ทว่ั โลกมากกวา่ 500 ชนดิ สำ� หรบั ประเทศไทยพบชนั โรง จำ� นวน 2 สกุล คือ Trigona และ Hypotrigona และมรี ายงานวา่ พบชนั โรง จำ� นวน 32 ชนดิ สายพันธุ์ชันโรงท่ีมีการส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงโดยกรมส่งเสริมการเกษตรมีจ�ำนวน 7 ชนดิ ได้แก่ ชนั โรงลาวีเซบ ชนั โรงเพส็ ดนิ าย ชันโรงฟาสโคบาวทตี ้า ชนั โรงจว๋ิ เฟอร์วา ชนั โรงขีย้ า้ ด�ำ ชันโรงข้ียา้ แดง และ ชนั โรงเวนทราลสิ คุณลกั ษณะของชันโรงทีส่ ามารถน�ำมาเล้ยี งในกล่อง ได้แก่ - ชนดิ ทป่ี รบั ตวั และทนตอ่ การเปลย่ี นแปลงสภาพแวดลอ้ มไดด้ ี สามารถอยรู่ ว่ ม กบั มนุษยไ์ ด้ - ไมด่ รุ ้ายมากและไมร่ บกวน มีความกระตือรอื รน้ - ชันโรงตอ้ งขยายพนั ธไุ์ ดง้ า่ ย - นางพญามปี ระสทิ ธภิ าพในการวางไขไ่ ดป้ รมิ าณมาก และทนตอ่ สภาพแวดลอ้ ม เข้ากบั ท่ีอยู่ใหม่ได้ดี - ลกั ษณะขนาดของรังชนั โรงต้องไม่ใหญ่เกินไป และสามารถท�ำการแยกขยาย ได้งา่ ย สะดวกในการปฏิบัติงานได้ดี - ชนดิ ท่มี ปี ระสิทธิภาพทนต่อตัวเบียน (ศัตรขู องชันโรง) ได้ดี 2.3 การเตรียมพ่อ-แม่พันธุ์ (การแยกขยายรงั ชันโรง) การเลือกชันโรงท่ีพร้อมจะน�ำมาใส่ในกล่องเล้ียง หรือจะน�ำออกจากขอนไม้ ตามธรรมชาติ ตอ้ งเปน็ ชนั โรง ทม่ี ตี วั เตม็ วยั และตวั ออ่ นพรอ้ มดกั แด้ ทมี่ ปี รมิ าณพอสมควร และมอี าหาร ถว้ ยเกสร และถว้ ยนำ้� หวาน อตั ราสว่ นทสี่ มบรู ณ์ สงั เกตจากปรมิ าณตวั เตม็ วยั ที่มีการบนิ เขา้ ออกมาก และทุกเทย่ี วบินมีความสม่�ำเสมอในการหาอาหาร โดยปฏบิ ัตดิ ังน้ี 1) การแยกขยายพันธช์ุ ันโรง ช่วงทีเ่ หมาะสมต้องเป็นชว่ งท่มี อี าหารสมบูรณ์ 2) ตรวจดปู รมิ าณ (ไข่ ดกั แด้ ตวั เตม็ วยั ) ใหม้ ปี รมิ าณสมดลุ และจำ� นวนพอสมควร กอ่ นท�ำการแยกรัง 3) การแยกไข่ ดักแด้ ตัวเต็มวัย (ชันโรงท่ีเล้ียง) ปริมาณคร่ึงหน่ึงของเดิม โดยมหี ลอดนางพญาตดิ ไปดว้ ย และนำ� ไปใสใ่ นรงั ใหม่ โดยรงั ใหมต่ อ้ งแหง้ ไมช่ น้ื ชนั โรงพเ่ี ลยี้ ง จะชว่ ยกดั หลอดดกั แดต้ วั เตม็ วยั ออกจากหลอดตวั ออ่ น ถา้ ไมม่ ชี นั โรงพเ่ี ลย้ี งจะท�ำใหด้ กั แด้ ในหลอดตวั ออ่ นตาย เนอ่ื งจากไมม่ ชี นั โรงพเี่ ลย้ี งชว่ ยกดั ใหอ้ อกจากหลอดดกั แด้ พรอ้ มกนั นต้ี อ้ งทำ� การสำ� รวจดนู างพญาชนั โรง หรอื หลอดนางพญาชนั โรงใหส้ มั พนั ธก์ บั กลมุ่ หลอดไข่ และหลอดดักแด้ เพื่อรังชันโรงจะได้มนี างพญา และพร้อมออกเป็นตัวเตม็ วยั และท�ำการ ผสมพันธกุ์ บั ชันโรงตัวผู้ 55

4) ถ้วยอาหาร (ถว้ ยเกสร และถว้ ยน้�ำผง้ึ ) น�ำใส่ลงในรงั โดยวางใกล้ปากทาง เขา้ ออกของรัง 5) น�ำไข (ข้ีชัน) มาแปะบรเิ วณทางเขา้ เพ่อื ลอ่ ตวั เตม็ วัยชันโรงงานให้กลบั เข้ารัง เพาะเล้ียง 6) ปดิ ทางเขา้ รังชนั โรง (รังเดมิ ) ด้วยไขชนั โรงหรือกระดาษแล้วจึงน�ำชันโรงท่มี ี นางพญา หรือรังเดิมออกห่างจากจุดเดมิ ประมาณ 20 - 30 เมตร และนำ� รังชนั โรงทที่ �ำการ แยกขยาย (รังใหม่) มาต้งั ไวท้ ่เี ดิม เพอื่ ให้ชันโรงงานกลบั เข้ารงั ท�ำให้ปริมาณชันโรงมากขึน้ 7) รอจนกระท่งั พลบคำ�่ จากนน้ั ยา้ ยรังเดมิ กลับมาทเ่ี ดมิ แลว้ ปดิ ปากทางเข้า ถ้าใชก้ ระดาษหนงั สอื พมิ พ์ใหเ้ ปิดออก หากเป็นไขชนั โรงสามารถปล่อยรอใหช้ ันโรงกดั เอง ได้ แลว้ นำ� รงั ใหม่ไปไวใ้ นทที่ ่ีต้องการ (ใหห้ า่ งจากจดุ เดิมไมน่ อ้ ยกวา่ 50 เมตร) 8) การแยกรังเล้ียงชันโรง ควรเตรียมวัสดุกันศัตรูชันโรง โดยเฉพาะพวกมด ทช่ี อบกนิ นำ้� หวาน เพราะมดจะเขา้ ไปกนิ นำ้� หวานและท�ำลายหลอดดกั แดข้ องชนั โรง ทำ� ให้ การแยกขยายชันโรงเสียหาย การป้องกันโดยการใช้น้�ำหรือน�้ำมันเคร่ืองเก่าทาตามขา หรือหลักท่จี ะนำ� รังชนั โรงไปตง้ั เลยี้ งและขยายพนั ธ์ุ 9) ชดุ ปฏบิ ตั งิ าน (เสอื้ ผา้ ) ในการแยกขยายชนั โรง ควรเปน็ ชดุ ท�ำจากผา้ รม่ และ มีสีออ่ นๆ เชน่ สขี าว เพราะชนั โรงจะเสยี หายนอ้ ยกว่าผา้ สีเข้ม ถา้ เปน็ สีเขม้ เชน่ สีด�ำ หรอื นำ้� เงนิ เขม้ ชนั โรงงานจะกดั และเกาะตดิ ผา้ กดั แบบไมย่ อมปลอ่ ย และตายในทสี่ ดุ และควร สวมหมวกตาขา่ ย ใสถ่ ุงมือ ทกุ ครงั้ ที่ปฏบิ ัติงาน 3. การเลย้ี งและการจัดการชนั โรง การวางรังชันโรง นอกจากจะตอ้ งส�ำรวจดคู วามเหมาะสม สถานทตี่ งั้ รัง ปรมิ าณพืช อาหาร ความปลอดภยั จากสารเคมี ศัตรูชันโรง รวมทงั้ สภาพลมฟ้าอากาศแล้ว การจดั การ รังควรด�ำเนินการดงั นี้ - ควรมีขาตง้ั รังปอ้ งกันมดได้ โดยทาน�ำ้ มันขี้โลท้ ข่ี าต้งั หรอื ท�ำที่แขวน - บรเิ วณทตี่ ง้ั ควรมีพชื อาหารเพียงพอ และสมดุลกันกบั ปริมาณของชนั โรง - วางรังชันโรงให้กระจายครอบคลุมพื้นที่ เพ่ือประสิทธิภาพในการหาอาหาร และผสมเกสร - ควรตรวจสภาพรังอย่างน้อยเดือนละ 1 คร้ัง เพื่อตรวจดูปริมาณการเจริญ เตบิ โต สภาพความสมบรู ณข์ องอาหารและศตั รชู นั โรง กรณถี า้ อาหารไมเ่ พยี งพอตอ้ งเคลอื่ น ยา้ ยไปในทท่ี เี่ หมาะสม 56

4. การป้องกนั และก�ำจดั ศัตรชู นั โรง ชนั โรงมลี ำ� ตวั ขนาดเลก็ และลกั ษณะการบนิ ไมเ่ ปน็ แนวตรงหรอื โคง้ การบนิ ของชนั โรง จะเป็นแบบหักมุมซา้ ยบ้าง ขวาบ้าง ท�ำให้หลบศัตรไู ดง้ า่ ย และภายในรงั ของชันโรงจะเกบ็ ยางไม้ ศตั รขู องชนั โรงจงึ ไมค่ อ่ ยมี แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามชนั โรงกย็ งั มศี ตั รทู สี่ ำ� คญั ๆ คอยทำ� ลาย ชนั โรง เช่น มด เปน็ แมลงท่ีชอบกินน้ำ� หวาน จะรบกวนในระยะท่ีมีการแยกขยายรังใหม่ๆ โดยจะเขา้ ไปกนิ นำ้� หวานภายในรงั ทำ� ใหช้ นั โรงทง้ิ รงั หนไี ป ชนั โรงบางชนดิ มดกไ็ มส่ ามารถ เข้าไปได้ เพราะจะสร้างยางเหนียวไว้เป็นเกาะป้องกันรัง ส�ำหรับการป้องกันมดสามารถ ท�ำได้โดยน�ำผ้าชุบนำ้� มันมาพนั บรเิ วณขาตงั้ รงั ชันโรง หรือทานำ�้ มนั ท่ขี าตั้งรัง มวน เปน็ ศตั รใู ชป้ ากเจาะแทงดดู นำ้� เลยี้ งของชนั โรง โดยจะจบั ชนั โรงทใี่ กลๆ้ รงั ถ้าหากมีมวนจ�ำนวนมากจะท�ำให้ประชากรชันโรงลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเจน มวนจะ ชอบอาศยั ตามกงิ่ ไม้ ใบไม้ บรเิ วณไม่ไกลรงั ของชนั โรง หากประชากรชันโรงลดลงควรย้าย ท่ีตงั้ รงั ใหม่ หนอนแมลงวัน จะเข้าท�ำลายในระยะทเี่ ปน็ หนอนเขา้ ไปกัดถว้ ยน้ำ� หวานและ กินน�้ำหวานของชันโรง หากมีมากจะท�ำให้ชันโรงทิ้งรังได้ ต้องหม่ันตรวจสภาพรังอย่าง สม�่ำเสมอ หากพบหนอนแมลงวันให้ท�ำลายทงิ้ ทนั ที ไก่ จะเข้าไปจกิ กินชนั โรงที่บรเิ วณหน้ารังของชันโรง ขณะที่บินเข้าออก การตงั้ รังเล้ยี งบรเิ วณใกล้บ้านพกั ควรตั้งรงั ใหส้ ูงจากระดบั พืน้ ดินพอสมควร นก โดยเฉพาะนกที่กินแมลง จะไปดักจับเกาะบริเวณดอกไม้ท่ีชันโรงตอมอยู่ ท�ำใหง้ ่ายต่อการจับกิน นอกจากสัตวต์ ่าง ๆ ดังท่กี ลา่ วมาแลว้ สภาพแวดล้อม ไดแ้ ก่ ความช้นื สงู กม็ ี สว่ นท�ำใหร้ งั ชันโรงเน่า หนอนแมลงวนั จะมาไข่ และท�ำลายชันโรงได้ ดงั นัน้ เพอื่ ใหช้ นั โรง มคี วามสมบรู ณ์แข็งแรงจงึ ควรหมั่นสังเกต และตรวจสภาพรังเดือนละคร้ัง 57

5. การเก็บผลผลติ ชนั โรงเปน็ แมลงทมี่ ปี ระโยชนใ์ นดา้ นการเกษตรทำ� หนา้ ทชี่ ว่ ยผสมเกสรใหพ้ ชื ผลทางการ เกษตรทั้งในสวนผลไม้ และพชื ผกั ท�ำให้เกษตรกรได้ปริมาณผลผลติ อย่างสม่�ำเสมอ และ มคี ุณภาพดี เนอ่ื งจากชันโรงมีพฤตกิ รรมเก็บเกสรดอกไม้ 80 เปอรเ์ ซ็นต์ และเกบ็ น�้ำหวาน 20 เปอรเ์ ซ็นต์ นอกจากนี้เกษตรกรยังสามารถเกบ็ ผลผลติ จากชนั โรง ได้แก่ น้�ำผึง้ ชันโรง และพรอพอลิส 5.1 การเกบ็ นำ้� ผง้ึ ชันโรง การเกบ็ นำ้� ผง้ึ จากชนั โรง สามารถทำ� ไดโ้ ดยใชม้ ดี ตดั ถว้ ยนำ้� หวานของชนั โรง แยก เอาถว้ ยเกสรออกไปอยา่ นำ� มารวมกนั แลว้ นำ� ถว้ ยนำ�้ หวานมาวางบนภาชนะทมี่ ผี า้ ขาวบาง แล้วใช้ช้อนกด(บีบ) ไปที่ถ้วยน้�ำหวานของชันโรงน้�ำผึ้งจากชันโรงจะไหลลงมาท่ีภาชนะ ผา้ ขาวบางจะทำ� หนา้ ทกี่ รองสง่ิ เจอื ปนและพรอพอลสิ ออกจากนำ้� ผง้ึ จากนนั้ นำ� นำ�้ ผง้ึ บรรจุ ขวดแล้วนำ� ไปเก็บไวใ้ นตเู้ ย็น จะท�ำใหส้ ีของน�ำ้ ผึง้ ใสและไมค่ ล�ำ้ ง่าย 5.2 การเกบ็ พรอพอลิส หลังจากเก็บน�้ำผ้ึงจากชันโรงแล้ว กากท่ีเหลือจากการบีบถ้วยน้�ำหวานก็คือ พรอพอลิส ซึ่งการเก็บพรอพอลิสต้องคัดแยกส่ิงเจือปนออกจากก้อนพรอพอลิส แล้วน�ำ กอ้ นพรอพอลสิ มาลา้ งนำ้� และนำ� มาใสใ่ นตเู้ ยน็ จะสามารถเกบ็ ไวไ้ ดน้ าน และไมค่ งคณุ สมบตั ิ ของสารส�ำคญั ในพรอพอลิสไว้ได้ 6. แหล่งผลติ ที่ส�ำคัญ ภาคตะวันออก ไดแ้ ก่ จังหวดั จันทบรุ ี ตราด ระยอง ชลบรุ ี ภาคตะวนั ตก ได้แก่ จงั หวดั สมุทรสงคราม ภาคใต้ ได้แก่ จงั หวดั ชมุ พร สรุ าษฎรธ์ านี 58

ขอ้ มูลสภาพแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตและให้ผลผลิตของชนั โรง สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจ�ำกัด สภาพภมู ิอากาศ อุณหภมู ิท่เี หมาะสมอย่รู ะหวา่ ง 25 - 30°C หากอุณหภูมิสงู กว่า 35 °C จะยบั ยั้งการพัฒนาการของ สภาพพื้นทีต่ ง้ั รังชันโรง ดักแด้ไปสู่ตัวเต็มวยั สภาพน้�ำ - ควรจะอย่ใู นทรี่ ่ม การตั้งวางรังชันโรงเพ่ือการผสมเกสร ควรวางรังในพน้ื ท่ี คุณสมบัตทิ างกายภาพของดนิ - เลอื กทไี่ มม่ ศี ตั รขู องชนั โรง เชน่ มด มวน หนอน ปลกู พชื สดั สว่ น 1 รงั ตอ่ พนื้ ทปี่ ลกู 1 ไร่ เนอื่ งจากชนั โรง แมลงวัน - ไมม่ กี ารพ่นสารเคมปี ้องกันก�ำจัด มรี ัศมีในการบนิ หา อาหารไมเ่ กิน 1 กิโลเมตร ศตั รูพืช ควรมแี หลง่ น�ำ้ ทีส่ ะอาด ชันโรงเป็นแมลงที่เป็นตัวช้ีวัดสภาพส่ิงแวดล้อม และไม่ ทนตอ่ สารเคมี -- 59

แนวทางการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลิต และแหลง่ สืบค้นขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ 1. การแยกขยายรงั สามารถแยกรงั ชนั โรงไดป้ ลี ะ 1 - 2 ครง้ั และควรพจิ ารณาความหนาแนน่ ของประชากร ภายในรงั และอาหารสะสมภายในรงั ไดแ้ ก่ ถว้ ยนำ้� หวาน และถว้ ยเกสร ตอ้ งมปี รมิ าณมาก พอทีจ่ ะสามารถแยกขยายรงั ซงึ่ ในการแยกขยายรงั จะต้องทำ� การส�ำรวจดูนางพญาชนั โรง หรือหลอดนางพญาชันโรงให้สัมพันธ์กับกลุ่มหลอดไข่ และหลอดดักแด้ เพ่ือให้หลอด นางพญาออกเป็นนางพญาพรหมจรรย์ และพร้อมผสมพันธุ์กับชันโรงตัวผู้ จึงจะประสบ ความสำ� เรจ็ ในการแยกขยายรงั ชนั โรง นอกจากนี้ หากวางรงั ในแหลง่ อาหารทม่ี ดี อกไมบ้ าน และมเี กสรตลอดปี เชน่ สวนมะพรา้ ว สวนปาลม์ จะสามารถประสบความส�ำเรจ็ ในการแยก ขยายรงั มากขน้ึ 2. การเกบ็ ผลผลิตให้ถูกสขุ ลักษณะ ภาชนะทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ ผลผลติ นำ�้ ผง้ึ ชนั โรงและพรอพอลสิ ควรเปน็ ภาชนะสะอาดทท่ี ำ� จากสแตนเลสเพอื่ ลดการปนเป้ือน และควรเลอื กสิ่งปลอมปนออกจากพรอพอลสิ ใหห้ มด ก่อนท่จี ะน�ำพรอพอลิสมาจ�ำหนา่ ย แหล่งสบื ค้นข้อมูลเพ่มิ เตมิ 1. กลมุ่ สง่ เสรมิ การเลยี้ งผง้ึ และแมลงเศรษฐกจิ สำ� นกั สง่ เสรมิ และจดั การสนิ คา้ เกษตร กรมสง่ เสรมิ การเกษตร เขตจตจุ กั ร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์/โทรสาร 0-2940-6102 2. ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผึ้ง) จังหวัดเชยี งใหม่ http://www. [email protected] 3. ศนู ย์ส่งเสรมิ และพฒั นาอาชีพการเกษตร(ผง้ึ ) จังหวัดพษิ ณโุ ลก http://www. [email protected] 4. ศนู ยส์ ง่ เสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร(ผึ้ง) จังหวดั ขอนแก่น http://www. [email protected] 5. ศูนย์ส่งเสรมิ และพัฒนาอาชีพการเกษตร(ผึ้ง) จังหวดั จันทบุรี http://www. [email protected] 6. ศนู ย์ส่งเสริมและพฒั นาอาชพี การเกษตร(ผ้ึง) จงั หวดั ชุมพร http://www. [email protected] 7. กรมสง่ เสรมิ การเกษตร.2546.คูม่ ือเจ้าหนา้ ทีส่ ่งเสรมิ การเกษตร หลกั สตู รส่งเสรมิ การเลยี้ งชนั โรง 60

ครงั่ ขั้นตอนการเลีย้ งและการจัดการครงั่ การเตรยี มการ ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. การเตรียมพนั ธ์คุ รัง่ การปลอ่ ยพันธ์ุคร่ัง การดูแลหลงั ปลอ่ ยคร่งั การเกบ็ ครงั่ ทำ�พนั ธุ์ การเกบ็ ครงั่ เพือ่ จำ�หน่าย - ต้องใช้พันธุ์ครั่งแก่ ครั่งตัวเมีย - ปล่อยให้กระจายบนกิ่ง - เกบ็ รงั ของครง่ั พนั ธท์ุ แี่ ขวน - ต้องตัดเม่ือรังครั่งตัวเมีย - การตดั ครง่ั ไวข้ าย มกั ตดั ยงั มชี วี ติ และไมต่ ดั กอ่ นลกู ครง่ั ออกจาก ท่วั ต้น ไวล้ ง หลังจากแขวนไว้ครบ 3 แก่เต็มท่ี เพราะไข่จะฟักเป็นตัว รงั ไมเ่ กนิ 7 วนั โดยสงั เกตจากภายนอก - ปริมาณพันธุ์คร่ังท่ีใช้ สปั ดาห์ ลกู ครง่ั และออกตวั ไปหากงิ่ ไมเ้ กาะ คร่ังลงเมอื่ แกเ่ ต็มท่ี แตย่ งั ไม่ และภายในของรังครงั่ ปล่อยบนต้นไม้แต่ละต้นจะ - ระวงั อยา่ สุมไฟ หรือฉดี ท�ำรังใหม่ ถงึ ระยะท่คี รัง่ ออกตวั - นาพันธุ์คร่ัง 1 กก. มาแบ่งห่อ ไมเ่ ทา่ กนั ขนึ้ อยกู่ บั จำ� นวนกงิ่ สารฆา่ แมลงใกลบ้ รเิ วณตน้ ไม้ - การเกบ็ คร่ังจะเก็บ 2 รอบ 6 – 10 มดั แลว้ มดั ด้วยฟางขา้ วหรอื อวบอ่อน ต�ำแหน่งที่ปล่อย ท่ีใชเ้ ลี้ยงคร่ัง • รอบฤดฝู น (พ.ค. – ม.ิ ย.) - เมอ่ื ตดั ครงั่ ลงจากตน้ แลว้ หญา้ คา ครงั่ พนั ธค์ุ วรอยใู่ กลก้ ง่ิ ทอ่ี วบ • รอบฤดหู นาว (พ.ย. – ธ.ค.) ควรรบี กะเทาะรงั ครงั่ ออกจาก การเตรยี มตน้ ไมท้ จ่ี ะใชเ้ ลยี้ งครงั่ ออ่ น ซงึ่ ลกู ครงั่ จะไปเกาะมาก - ควรตัดครั่งก่อนระยะตัวอ่อน ก่ิงไม้ แล้วตากครั่งดิบที่ - เลือกต้นไม้ตระกูล Leguminosae ที่สดุ จะคลานออกจากรังประมาณ 1 กะเทาะได้ให้แหง้ โดยวธิ ผี ึง่ ที่มอี ายุ 3 - 5 ปี - น�ำครัง่ พันธุ์ท่หี อ่ และผูก - 2 สัปดาห์ จะได้มีเวลาน�ำคร่ัง บนลานสะอาดเกลี่ยให้ครั่ง - สางกง่ิ ใหโ้ ปร่ง กำ� จดั มด ทำ� ความ ตดิ กันเปน็ คแู่ ลว้ ไปปลอ่ ยบน พันธุ์ไปแขวนได้ทัน ถ้าหากครั่ง ดิบหนาประมาณ 4 - 6 น้ิว สะอาดรอบโคนต้น ตน้ ไม้ โดยปล่อยจากกิ่งทอ่ี ยู่ เร่ิมออกตัวจากรังแล้ว ให้รีบตัด และอย่าให้ถูกแดดแรงมาก ข้างล่างก่อนแลว้ จึงขึ้นไป ครงั่ ไปทำ� พนั ธ์ุ และน�ำไปปล่อย ใช้คราดกลับไปมาทุกวันจน ให้ เสร็จภานใน 1 - 2 วัน แห้งสนิทไม่ควรให้ถกู ฝน เตรียมอุปกรณ์ ศัตรคู รั่งทส่ี ำ�คัญและการป้องกันกำ�จัด ศตั รตู น้ ไม้เลย้ี งครัง่ ท่สี ำ�คัญและการป้องกนั กำ�จดั เตรยี มอปุ กรณต์ า่ งๆ ทใ่ี ชห้ อ่ ครง่ั พนั ธ์ุ - ศัตรูเกิดจากสัตว์ เช่น นก หนู กระแต กระรอก - หนอนเจาะต้นถ่วั แระ ต้องหมัน่ ตรวจตรา ไว้ลว่ งหนา้ ดังนี้ ปอ้ งกันโดยใช้หนามยาวๆ แหลมคมผกู ไว้ตามโคนตน้ หากพบใหต้ ดั ก่ิงเผาทำ� ลายทิง้ - มัดฟางข้าว หรือมดั หญ้าคา - ศัตรูทเี่ กิดจากแมลงทำ� ลาย เช่น แมลงตัวห้�ำ แมลงแตนเบียน และมด - เพลยี้ แปง้ หากพบใหต้ ดั แต่งกง่ิ - ตอก หรอื เชือก - ไมง้ ่าม

เทคนคิ การเลีย้ งและการจัดการเล้ยี งครงั่ 1. ลักษณะท่ัวไปและวงจรชีวติ ครงั่ เปน็ สารทไี่ ดจ้ ากแมลงครงั่ ซง่ึ ขบั ถา่ ยออกมาจากตอ่ มเพอ่ื หมุ้ ตวั ปอ้ งกนั อนั ตราย จากสิ่งภายนอก สารเหนียวสีเหลืองซ่ึงแมลงคร่ังขับถ่ายออกมาเป็นยางหรือชันชนิดหน่ึง เมื่อถูกอากาศจะแขง็ ตัวกลายเป็นสีนำ�้ ตาลหมุ้ รอบก่งิ ไม้ทแ่ี มลงครงั่ อาศยั อยู่ คร่ังท่เี ก็บได้ จากตน้ ไม้เรียกว่าครง่ั ดิบ ซง่ึ เปน็ วตั ถดุ บิ สำ� หรับอตุ สาหกรรมหลายชนดิ เชน่ อุตสาหกรรม สีทาบา้ น เชลแลค แลคเกอร์ สยี ้อมผ้า นำ้� มันขดั พ้นื ยาขัดรองเทา้ กระดาษ หมึกพิมพ์ อตุ สาหกรรมยาและเวชภณั ฑ์ เป็นตน้ ดังนั้น ครง่ั จึงเป็นแมลงเศรษฐกิจชนดิ หน่ึงท่ีสร้าง รายไดแ้ ละเป็นอาชพี เสริมใหแ้ กเ่ กษตรกร วงจรชีวติ ของคร่ัง ภาพท่ี 1 แสดงวงจรชีวติ ของครัง่ แมลงคร่ังเป็นเพล้ียชนิด หนึ่ง ซึ่งเป็นแมลงเบียนของ ต้นไม้จึงนับว่าเป็นศัตรูของไม้ ท่ีอาศัย แมลงคร่ังจะใช้ปาก ซงึ่ เปน็ งวงดดู นำ�้ เลยี้ งจากตน้ ไม้ เพอ่ื ใชเ้ ลย้ี งชวี ติ และระบายยาง ครงั่ ทม่ี ลี ักษณะเหนียวสีเหลอื ง ทองออกมาเป็นเกราะหุ้มตัว เพื่อป้องกันอันตรายจากศัตรู ต่างๆ ยางนี้เมื่อถูกอากาศจะ แข็งตัวเรียกว่าครั่ง การเจริญ เติบโตของแมลงคร่ังจะเจริญ เตบิ โต จากไข่ เปน็ ตวั ออ่ น ดกั แด้ และตัวแก่ ตามล�ำดบั 62

2. การเตรียมการกอ่ นการเลยี้ งครง่ั 2.1 ตน้ ไมท้ จ่ี ะใช้เล้ยี งครง่ั - พันธไุ์ มท้ จี่ ะใชเ้ ลย้ี งครั่ง โดยทว่ั ไปจะเลย้ี งครงั่ บนพนั ธไ์ุ มพ้ วกวงศ์ Leguminosae ซง่ึ เปน็ ไมเ้ ลย้ี งครง่ั ไดด้ ี แตพ่ ชื บางชนดิ ในตระกลู นไี้ มส่ ามารถเลยี้ งครง่ั ได้ เนอ่ื งจากคณุ สมบตั ขิ องนำ้� เลย้ี งของตน้ ไม้ ไม่เหมาะสมในการเลี้ยงคร่ัง ซ่ึงน้�ำเลี้ยงของต้นไม้ที่มีความเหมาะสมต่อการเล้ียงคร่ัง จะตอ้ งมคี า่ ความเปน็ กรดดา่ ง (pH) ของนำ�้ เลยี้ งอยรู่ ะหวา่ ง 5.8 - 6.0 และมคี วามหนาแนน่ ของน�้ำเล้ียงประมาณ 0.14 - 0.173 ตน้ ไม้ที่ใชเ้ ลี้ยงครง่ั ไดด้ ี ได้แก่ จามจุรี (ฉ�ำฉา หรือ กา้ มปู) สะแก ปนั แถ พุทราปา่ มะแฮะนก สเี สยี ดออสเตรเลีย ไทร และมะเด่อื อทุ ุมพร เปน็ ตน้ - ลักษณะของทรงพุม่ และอายุของตน้ ไม้ท่ีใชเ้ ลย้ี งคร่ัง ลกั ษณะทรงพมุ่ ของตน้ ไม้ จะตอ้ งมเี รอื นยอดแผก่ วา้ ง และโปรง่ มอี ากาศถา่ ยเทดี เพ่ือให้รังครั่งไม่อับชื้นในช่วงฤดูฝน และอายุของกิ่งไม้และต้นไม้ควรเป็นกิ่งท่ีสมบูรณ์ ไมเ่ ปน็ โรคและแมลง อายขุ องกง่ิ ไมแ่ กห่ รอื ออ่ นเกนิ ไปตอ้ งมกี งิ่ อวบออ่ นจงึ จะเหมาะสมตอ่ การเลี้ยงครง่ั ตารางท่ี 1 แสดงระยะการปลูกต้นไม้ อายขุ องตน้ และกง่ิ ท่ีจะเรม่ิ เลย้ี งคร่งั ได้ และผลผลิตเมื่อเทียบกบั อายุของต้นไม้ ลำ�ดบั ชนดิ ไม้ ระยะปลกู อายตุ น้ เมอ่ื เรม่ิ อายุก่ิงทใี่ ช้ ผลผลติ ครง่ั ฤดูฝน* (กก./ลำ�ดบั ) ที่ (เมตร) เลี้ยงคร่ัง (ป)ี เลี้ยง(เดือน) 1 จามจุรี 10 x 10 5 12 - 18 อายุ 5 ปี = 5 กิโลกรัม อายุ 15 ป ี = 50 - 100 กโิ ลกรัม 2 พทุ รา 8 x 8 5 12 อายุ 5 ปี = 5 - 50 กโิ ลกรัม อายุ 10 ป ี = 20 - 50 กิโลกรัม 4 ปันแถ 8 x 8 3 - 4 6 - 12 อายุ 4-5 ป ี = 15 - 30 กิโลกรมั อายุ 10 ป ี = 30 - 50 กโิ ลกรมั 5. สีเสยี ด 4 x 4 1–2 6 - 8 อายุ 1 ป ี = 5 - 10 กโิ ลกรมั ออสเตรเลยี หมายเหต ุ * หมายถึง ผลผลติ คร่ังขึน้ อยกู่ ับขนาดตน้ ไม้ และจำ� นวนก่ิงท่เี หมาะสม ซง่ึ จำ� นวนผลผลิตในตาราง ค�ำนวณจากนำ้� หนกั ครง่ั ชัง่ รวมกิ่งไม้ เม่ือกระเทาะจะไดค้ รัง่ ดบิ ประมาณรอ้ ยละ 30 63

- การเตรยี มต้นไมก้ อ่ นปลอ่ ยครง่ั เพ่ือใหแ้ นใ่ จวา่ เมือ่ ปล่อยคร่งั พันธุ์แล้วแมลงครั่งจะไปจับท�ำรงั ตามกง่ิ ท่แี ขง็ แรง และไมถ่ ูกมดรบกวนจงึ ควรปฏบิ ัติตามขั้นตอนนี้ 1) สางกิ่ง เพ่ือให้ต้นไม้โปร่งโดยตัดเอาก่ิงแห้ง กิ่งผุ และกิ่งท่ีเป็นโรค หรือไมส่ มบรู ณ์ออก ถ้ามีเถาวัลย์ หรือวชั พชื บนต้นไมค้ วรเอาลงด้วย 2) ก�ำจดั มด เพอ่ื ป้องกนั มดทำ� ลายตวั ออ่ นของคร่ังที่จะออกจากรังของ ครงั่ พนั ธ์ุ ถา้ มมี ดใหใ้ ชส้ ารกำ� จดั มดกอ่ นปลอ่ ยครงั่ 7 - 15 วนั และใชเ้ ศษผา้ ชบุ นำ�้ มนั เครอื่ ง ทใี่ ช้แลว้ ผกู รอบโคนต้นไมเ้ พอื่ ปอ้ งกนั มดจากพืน้ ดนิ ขน้ึ ตน้ ไม้ 3) ท�ำความสะอาดรอบโคนต้นไม้ เพื่อปอ้ งกันมดและสตั วม์ ีพิษทีอ่ าจทำ� อนั ตรายตอ่ คน 2.2 การเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ปล่อยครงั่ พนั ธ์ุ เน่อื งจากครง่ั พนั ธ์ุท่ีจะน�ำไปปล่อยบนตน้ ไม้มอี ายุจำ� กัด ดังนั้นเมื่อตัดคร่ังพนั ธุ์ เพอ่ื ยา้ ยไปแขวนบนตน้ ไมใ้ หมค่ วรรบี ทำ� ใหเ้ สรจ็ โดยเรว็ เพราะถา้ นำ� รงั ครงั่ พนั ธว์ุ างกองทง้ิ ไวต้ วั ออ่ นของแมลงครงั่ จะคลานออกจากรงั และหากงิ่ ไมท้ อ่ี วบออ่ นเพอื่ จบั ทำ� รงั ไมไ่ ด้ ครงั่ จะตายไปในที่สุด ดังนนั้ จึงควรเตรียมอุปกรณต์ า่ งๆ ท่ใี ช้หอ่ ครง่ั พนั ธ์ุไว้ลว่ งหน้า ดงั น้ี - มดั ฟางขา้ ว หรอื มดั หญา้ คาแหง้ เตรยี มโดยเชอื กหรอื ตอกมดั ฟางขา้ วไวเ้ ปน็ ก�ำเล็กๆ หลวมๆ เพ่อื เกบ็ ไวห้ อ่ คร่ังพนั ธุ์ - ตอกหรือเชอื ก เพือ่ ใชม้ ดั ครง่ั พันธุ์ตดิ กับมัดฟางข้าวทเ่ี ตรียมไว้ - ไมง้ ่าม เพ่อื ใชเ้ ปน็ อปุ กรณ์ช่วยในการแขวนครั่งพนั ธุ์ทหี่ ่อแลว้ บนขอนไม้ 2.3 พนั ธุค์ รัง่ ลักษณะครั่งท่ีใช้คดั ไปท�ำพนั ธ์ุ จะตอ้ งเปน็ ครั่งทแ่ี ก่เต็มที่ ครัง่ ตัวเมยี ที่สมบูรณ์ และมชี วี ติ อยโู่ ดยทไี่ มต่ ดั กอ่ นลกู ครงั่ ออกจากซากรงั เกา่ ระยะเวลาไมเ่ กนิ 7 วนั โดยสงั เกตจาก 1. ภายนอกของรงั ครงั่ จะตอ้ งหนาเกาะหมุ้ รอบกงิ่ หรอื เกอื บรอบกง่ิ และ เกาะยาวไปตามก่ิง ไมข่ าดเป็นตอนๆ แตไ่ มม่ ีร่องรอยของแมลงศัตรู 2. ภายในรังครั่ง คร่ังพันธุ์ที่ดีนั้นเม่ือบี้รังดูจะพบว่าภายในมีช่องเล็กๆ มากมาย คลา้ ยซห่ี วี และมชี อ่ งรังกวา้ ง ภายในชอ่ งรงั กว้าง ภายในชอ่ งรงั มตี วั คร่ังรปู ร่าง กลม ซึ่งมสี ีแดงอยู่ แสดงว่าครั่งตัวเมยี นั้นยังมีชีวิตและสมบรู ณ์อยู่ แตถ่ า้ บรี้ งั คร่ังแล้วเห็น ช่องเลก็ ๆ ภายในรงั ครัง่ แคบและตวั คร่ังสว่ นใหญแ่ หง้ ตายแสดงวา่ รังคร่ังนีไ้ มค่ วรนำ� ไปใช้ ทำ� พันธ์ุ 64

- การตัดครัง่ ทำ� พนั ธ์ุ การตัดครั่งไปทำ� การขยายพันธ์ุปหี นึง่ ตดั 2 ครงั้ คอื ครั้งท่ี 1 : ช่วงเดอื นพฤษภาคม - มถิ นุ ายน เปน็ การตดั ครั่งทเี่ ลี้ยงในฤดู ร้อน ครั่งในช่วงนี้ผลผลิตค่อนข้างต�่ำ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมตัดคร่ังในช่วงนี้เนื่องจากได้ ผลผลติ น้อย มกั เกบ็ ไวท้ ำ� พนั ธุ์ ครงั้ ที่ 2 : ช่วงเดอื นพฤศจิกายน - ธันวาคม เปน็ การตดั ครั่งทีเ่ ลี้ยงใน ฤดฝู น จะไดผ้ ลผลิตสงู รังคร่ังที่ไดป้ มหนาและสมบูรณ์ - การห่อพันธุค์ ร่งั พนั ธคุ์ รั่ง 1 กิโลกรมั ควรแบง่ ห่อเป็น 6 - 10 มัด แล้วจึงนำ� พนั ธ์คุ รัง่ 2 มัด ผกู ตดิ กนั เพอื่ สะดวกตอ่ การปลอ่ ยโดยวธิ แี ขวนเศษครง่ั พนั ธท์ุ ห่ี ลดุ ออกเปน็ ทอ่ นเลก็ ๆ อาจ รวมใสต่ ะกรา้ เลก็ รวมกนั เพ่อื น�ำไปแขวนตามก่ิงไมไ้ ด ้ นอกจากน้ยี งั ใช้อวนพลาสติกสฟี า้ ตาขา่ ยเล็ก ๆ ท่ีนิยมใช้ก้ันขอบบ่อเล้ยี งปลาหอ่ คร่งั พนั ธ์ไุ ด้ด้วย การห่อด้วยตาข่ายเลก็ ๆ นม้ี ขี อ้ ดี คอื ชว่ ยปอ้ งกนั ไมใ่ หต้ วั ออ่ นของแมลงศตั รคู รง่ั ออกจากรงั ไปผสมพนั ธเ์ุ พม่ิ จ�ำนวน แลว้ กลบั มาทำ� ความเสยี หายให้แก่ ครัง่ ทเ่ี ลยี้ งไว้ได้ ภาพท่ี 2 แสดงวิธีหอ่ คร่ังเพ่ือแขวนคร่อมกิง่ ไม้ 65

3. การเล้ยี งและการจดั การคร่งั 3.1 การปลอ่ ยครัง่ พนั ธุ์ 1) ควรปลอ่ ยใหก้ ระจายบนกง่ิ ทวั่ ตน้ จงึ จะได้ผลตอบแทนสูง 2) ครั่งพนั ธ์ุทใ่ี ชป้ ลอ่ ยบนต้นไมแ้ ตล่ ะตน้ จะไม่เท่ากัน ข้ึนอยูก่ บั จ�ำนวนกง่ิ อวบ อ่อนท่ีลูกครั่งจะไปเกาะจับท�ำรังใหม่ว่ามีมากน้อยเท่าใด ถ้าใช้คร่ังพันธุ์ที่มีลักษณะดี ยาว 1 ฟตุ จะไดต้ ัวอ่อนของครง่ั ไปเกาะบนกง่ิ ท่ีอวบอ่อน ยาวประมาณ 12 - 25 ฟตุ ถา้ ใชค้ ร่งั พนั ธุม์ ากเกินไปตวั ออ่ นจะไปจับกา้ นใบ ซึ่งต่อมาก้านใบจะหลุดรว่ งไป ท�ำให้เสีย พันธุ์คร่ังไปโดยไม่มีประโยชน์ ดังน้ัน หลังจากปล่อยคร่ังพันธุ์แล้วถ้าไม่แน่ใจว่าใช้จ�ำนวน พันธ์ุมากเกินไปหรอื ไม่ ควรตรวจดตู ามก่ิงทีต่ วั อ่อนคร่ังไปเกาะ ถา้ พบวา่ มแี มลงคร่งั พันธุ์ เกาะมากพอสมควรแลว้ ให้ยา้ ยหอ่ ครัง่ พนั ธุไ์ ปปลอ่ ยทก่ี งิ่ อน่ื ๆ ตอ่ ไปอกี 3) ตำ� แหนง่ ทป่ี ลอ่ ยครง่ั พนั ธ์ุ ครงั่ พนั ธท์ุ ห่ี อ่ และผกู ตดิ กนั เปน็ คแู่ ลว้ เมอื่ นำ� ไปปลอ่ ย บนต้นไม้ ให้ปล่อยจากกิ่งท่ีอยู่ข้างล่างก่อนแล้วจึงข้ึนไปปล่อยกิ่งที่อยู่สูงข้ึนไปตามล�ำดับ ต�ำแหน่งที่ปล่อยครั่งพันธุ์ควรอยู่ใกล้กิ่งท่ีอวบอ่อน ซ่ึงลูกคร่ังจะไปเกาะมากที่สุด ดังน้ัน เพ่ือความปลอดภัยควรใช้ไม้ง่ามช่วยส่งห่อคร่ังพันธุ์ขึ้นไปแขวนคร่อมก่ิงท่ีต้องการปล่อย คร่งั พนั ธุ์ ถ้าไม่ต้องการปล่อยคร่งั พนั ธโุ์ ดยวิธแี ขวนคร่อมก่ิง อาจใชว้ ธิ ผี ูกครงั่ พนั ธุ์ใหข้ นาน และแนบติดไปตามความยาวของก่งิ โดยวางรังครัง่ ไว้ด้านบนของโคนก่งิ 3.2 ฤดปู ลอ่ ยครัง่ การนำ� ครง่ั พนั ธไ์ุ ปปลอ่ ยเลย้ี งขยายพนั ธต์ุ ามกงิ่ ตน้ ไมเ้ ลยี้ งครง่ั ในรอบปหี นง่ึ ๆ สามารถ ปล่อยครง่ั เล้ียงได้ คือ 1) การปลอ่ ยครงั่ เลย้ี งในรอบฤดฝู น คอื ในระหวา่ งเดอื นพฤษภาคม – มถิ นุ ายน แล้วตดั เก็บคร่งั ลงในเดอื นพฤศจกิ ายน - ธนั วาคม 2) การปลอ่ ยครงั่ เลยี้ งในรอบฤดหู นาว คอื ในระหวา่ งเดอื นพฤศจกิ ายน - ธนั วาคม แลว้ ตดั เกบ็ ครง่ั ลงในเดอื นพฤษภาคม - มถิ นุ ายน แตเ่ นอื่ งจากการเลย้ี งครงั่ ในฤดทู มี่ อี ากาศ คอ่ นขา้ งแห้งแลง้ จงึ ไดผ้ ลผลติ นอ้ ยไมค่ มุ้ ค่า ผ้เู ลย้ี งครงั่ จึงปลอ่ ยรังครงั่ ไวบ้ นตน้ ไมใ้ หข้ ยาย พนั ธุ์เองตามธรรมชาติ 3.3 ปริมาณคร่ังที่ปลอ่ ย ครั่งพันธุ์ที่ปล่อยควรจะพอดีกับขนาดของเรือนยอดของต้นไม้ ถ้าหากใช้คร่ัง พันธุ์ปล่อยมากเกินไป จะไม่มีที่ว่างของกิ่งอวบอ่อนให้ลูกคร่ังจับท�ำรัง อาจท�ำให้กิ่งไม้ ที่ปล่อยครั่งตายได้ โดยทั่วไปแล้วอัตราส่วนของครั่งพันธุ์ท่ีมีลักษณะดีขนาดยาว 1 ฟุต จะกระจายไดบ้ นก่งิ ไม้ที่ปล่อยครั่งเพาะเลยี้ งได้ 12 - 20 ฟุต หรือ คร่ังพันธ์ุ 1 กิโลกรมั จะยาวโดยเฉล่ียประมาณ 5 - 10 ฟุต ซง่ึ สามารถใช้เป็นหลักทีค่ �ำนวณหาปรมิ าณครั่งพันธุ์ ท่ีจะปลอ่ ยกับไมช้ นิดตา่ งๆ ได้ควรแบ่งต้นไม้แตล่ ะชนิดเป็น 3 ขนาด คือ ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ แล้วจึงปล่อยครั่งพันธุ์ คิดเป็นน้�ำหนักตามขนาดของไม้ (การวัดขนาดไม้ให้วัด ทคี่ วามสูง 1.30 เมตร) 66

ตารางท่ี 2 ปรมิ าณคร่งั พนั ธุท์ ่ใี ช้ปลอ่ ยตามขนาดของต้นไม้ ชนิดต้นไม้ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก หมายเหตุ ไม้ยนื ต้นขนาดใหญ่ ใหญก่ วา่ 30 กก. 80 ซม. 50 – 80 20 กก. 30 - 50 5 กก. กา้ มปู โพธิ์ ไทร ซม. ซม. ถา้ หาก ตะคร้อ พะยอม รัง ตน้ ไม้ ไมค่ ่อย ไม้ยนื ตน้ ขนาดกลาง ใหญ่กวา่ 15 กก. 25 - 45 10 กก. 20 - 25 5 กก. สมบูรณ์ 45 ซม. ซม. ซม. พทุ รา สะแกนา ขนาดเรือนตน้ ปันแถ 10 - 20 ยอ่ มเลก็ ซม. 6 กก. 5 - 10 3 กก. ดงั นั้น ไม้ยืนตน้ ขนาดเลก็ ใหญ่กวา่ 10 กก. 5 - 10 ซม. ควรลดน้ำ�หนัก เปล้า หลังดำ� 20 ซม. 1 กก. ซม. พันธค์ุ รัง่ ใหญ่กวา่ 0.5 2 - 5 ซม. 0.25 ท่ปี ล่อย ไม้พุม่ สีเสยี ด 10 ซม. กก. กก. ออสเตรเลยี ถัว่ แระ มะแฮะนก 3.4 การดูแลหลังปลอ่ ยครั่ง 1) เกบ็ รงั ของคร่ังพันธ์ุท่ีแขวนไวล้ ง หลังจากแขวนไวค้ รบ 3 สปั ดาห์ เพอื่ ป้องกัน แมลงศตั รคู รง่ั ท่อี าจติดมากับรังของครั่งพนั ธ์ุ ส่วนรังคร่งั น�ำไปขายได้ 2) ระวงั อย่าสุมไฟ หรอื ฉีดสารฆ่าแมลงใกล้บรเิ วณตน้ ไม้ท่ีใชเ้ ลยี้ งครัง่ 4. การป้องกันและก�ำจัดศตั รคู รั่งและไม้เลี้ยงคร่ัง 4.1 ศตั รูคร่ัง - ศตั รูทีเ่ กดิ จากสัตว์ เช่น นก หนู กระแต กระรอก และบา่ ง สตั วเ์ หล่านี้จะมา กินรงั ครัง่ และลูกครั่ง การปอ้ งกนั ก�ำจดั โดยใชห้ นามยาว ๆ ที่แหลมคมผกู ไวต้ ามโคนต้นไม้ ท�ำใหส้ ัตว์เหล่านน้ั ไตไ่ ปมาไม่ได้ ส่วนหนูจะใช้กบั ดักก็ได้ - ศตั รูที่เกิดจากแมลง ได้แก่ • แมลงตวั ห�้ำ โดยทต่ี ัวออ่ นของแมลงชนดิ น้ีจะกัดกินครัง่ เช่น หนอน สชี มพู เปน็ ตน้ • แมลงแตนเบียน จะวางไข่ในตัวครั่งแล้วตัวอ่อนจะอาศัยและเจริญ เตบิ โตอยใู่ นตวั ครงั่ จนกระทง่ั เปน็ ตวั แก่ ซงึ่ เปน็ ระยะทแี่ มลงครง่ั ถกู ทำ� ลายพอดี การปอ้ งกนั ก�ำจัด ทำ� ได้ยาก เนื่องจากเปน็ แมลงที่เล็กมาก 67

• มด เปน็ ศตั รคู รงั่ ในชว่ งทล่ี กู ครงั่ กำ� ลงั ไตอ่ อกจากรงั เพอื่ ไปหาทเี่ หมาะสม ของกงิ่ เพอ่ื จบั ทำ� รงั ใหม่ โดยมดจะจบั ตวั ออ่ นกนิ แตเ่ มอื่ ลกู ครงั่ ไดส้ รา้ งสารออกมาหมุ้ ตวั แลว้ มดกจ็ ะไมส่ ามารถทำ� อนั ตรายตอ่ ลกู ครง่ั ได้ การปอ้ งกนั และกำ� จดั ใหก้ ำ� จดั มดบนตน้ ไมก้ อ่ น นำ� พันธค์ุ ร่ังไปปลอ่ ย และใชผ้ ้าชบุ นำ�้ มันเครื่องพนั รอบโคนต้นไม้ เพ่ือปอ้ งกนั มดไต่ขนึ้ ไป แตใ่ นระยะ ทคี่ รง่ั ตวั ผเู้ ปน็ ตวั แกอ่ อกมา ใหเ้ อาผา้ ทพ่ี นั ไวอ้ อก เพอื่ ใหม้ ดไตไ่ ปทำ� ความสะอาด รงั ครั่งและชว่ ยก�ำจัดแมลงศัตรคู รงั่ ไดต้ ามปกติ 4.2 ศัตรขู องไมเ้ ลีย้ งครั่ง - หนอนเจาะตน้ ถั่วแระ ตัวหนอนจะเจาะกดั กินสว่ นต่างๆ ของถัว่ แระ ท�ำให้ ต้นถว่ั แระทรดุ โทรม และตายไป การปอ้ งกนั และก�ำจดั • ตรวจดูถ่ัวแระทกุ 2 เดือน ถา้ พบขขี้ ุยไมอ้ อกมาจากโคนตน้ แสดงวา่ มี ตวั ออ่ นของหนอนเจาะให้รบี กำ� จัดแมลงศัตรูทนั ที • ขุดต้นถั่วแระทถ่ี กู ทำ� ลายมากไปเผาทงิ้ - เพล้ยี แป้ง จะดูดน้ำ� เล้ียงตามกงิ่ และใบของตน้ ไม้ ท�ำใหเ้ กิดใบรว่ งและลำ� ต้น เหยี่ วแหง้ ตายในทส่ี ดุ เพลย้ี แปง้ เปน็ ศตั รขู องตน้ จามจรุ ี ถวั่ แระ พทุ รา และสเี สยี ดออสเตรเลยี การปอ้ งกนั และก�ำจดั หากพบเพลย้ี แปง้ ระบาดให้ตดั แต่งก่งิ ทีม่ เี พล้ียแปง้ ลงมาแลว้ เผาทงิ้ 5. การเกบ็ ผลผลิต 5.1 การเกบ็ ครง่ั ท�ำพนั ธ์ุ ตอ้ งตัดเมอื่ รังคร่งั ตวั เมียแก่เตม็ ท่ี เพราะไข่จะฟักเป็นตัวลกู ครั่งและคลานออก จากรงั (หรือที่นยิ มเรยี กวา่ ระยะคร่ังออกตัว) ไปหากิ่งไมเ้ กาะท�ำรังใหม่ ปกตคิ ร่ังรอบฤดู ร้อนจะแก่ประมาณเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ซ่ึงคร่ังระยะนี้มักจะไม่กะเทาะขายเป็น ครงั่ ดบิ แตอ่ าจขายเปน็ พนั ธค์ุ รงั่ สว่ นครงั่ รอบฤดฝู นจะแกป่ ระมาณเดอื นพฤศจกิ ายน - ธนั วาคม ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 20 องศาเซลเซียส ครั่งจะออกตัวได้ดี และลูกคร่ังจะออกตัวจากรัง มากทสี่ ุดในระยะ 7 วนั แรก หลังจากน้นั จะออกตวั อกี แต่มีจำ� นวนไมม่ ากนัก ถา้ มีต้นไมเ้ ลี้ยงครัง่ ไม่มากนัก ควรใชว้ ิธีตรวจดวู ่าครง่ั เรม่ิ ออกตวั เมื่อใด ถา้ พบ ลกู ครง่ั เรมิ่ คลานออกจากรงั ใหร้ บี ตดั ครงั่ ไปทำ� พนั ธ์ุ แลว้ นำ� ไปปลอ่ ยใหเ้ สรจ็ ภายใน 1 - 2 วนั วิธีน้ีจะได้คร่ังติดดีมาก แต่ถ้าเล้ียงคร่ังเป็นส่วนใหญ่ให้ตัดคร่ังก่อนระยะตัวอ่อนจะคลาน ออกจากรงั ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ จะได้มเี วลานำ� ครงั่ พนั ธ์ไุ ปแขวนไดท้ นั การคาดคะเนวนั ทคี่ รง่ั ออกตวั การคาดคะเนนสี้ งั เกตจากผวิ นอกของรงั ในระยะ 2 - 3 สปั ดาห์ กอ่ นครัง่ ออกตวั ถ้าใชม้ ือถรู ังครง่ั ใหส้ ะอาดจะสงั เกตเห็นรอยร้าวที่ผวิ นอก ของรังครง่ั รงั ครั่งจะแห้งทำ� ใหส้ ามารถแกะรังครัง่ ออกจากกง่ิ ทีจ่ บั ทำ� รงั ได้งา่ ย 68

5.2 การเกบ็ ครัง่ เพ่อื จำ� หนา่ ย การตดั ครงั่ ไวจ้ ำ� หนา่ ย มักตัดครั่งลงเมื่อแกเ่ ตม็ ท่ี แตย่ ังไมถ่ งึ ระยะท่คี รั่งออกตัว ดงั นั้น เมือ่ ตัดครง่ั ขายต้องคัดพนั ธ์ทุ ่ดี เี กบ็ ไวใ้ ช้ทำ� พนั ธ์ุดว้ ยการตัดก่ิงทีม่ คี ร่ังจบั ท�ำรังให้ตดั เหลือแต่ก่ิงไว้ไม่เกิน 1.5 ฟุต และถ้ากิ่งใหญ่กว่า 2 น้ิว ไม่ต้องตัดก่ิง แต่ใช้มีดกะเทาะ เอาครง่ั ออกแทน ควรรวบรวมก่ิงทค่ี ร่งั จบั ทำ� รังไวก้ ่อน จากนน้ั จึงตัดแต่งกง่ิ เพื่อเตรยี มไม้ ไวเ้ ลี้ยงครั่งต่อไป เม่ือตัดครง่ั ลงจากต้นแล้ว ควรรีบกะเทาะรังครั่งออกจากกง่ิ ไม้ แลว้ ตากคร่งั ดิบ ท่ีกะเทาะได้ให้แห้ง โดยวิธีผึ่งบนลานสะอาดเกล่ียให้ครั่งดิบหนาประมาณ 4 - 6 น้ิว และอยา่ ให้ถูกแดดแรงมาก ใชค้ ราดกลับไปมาทุกวนั จนแหง้ สนทิ ไม่ควรใหถ้ กู ฝนหรือตาก ครง่ั หนา เพราะจะทำ� ใหค้ รง่ั บดู ได้ เมอื่ ตากครง่ั แหง้ แลว้ ควรรบี ขายครงั่ ใหโ้ รงงานทที่ ำ� ครง่ั เมด็ แตถ่ า้ จำ� เปน็ ตอ้ งเกบ็ ไวต้ อ้ งหมนั่ กลบั ครงั่ ทเี่ กบ็ ไว้ เพอื่ ใหอ้ ากาศถา่ ยเท เพราะถา้ กองทบั ถม ไว้หนาและอากาศร้อนคร่ังจะจบั ตัวเปน็ กอ้ นแขง็ ท�ำให้ขายได้ราคาต่�ำ 6. แหล่งผลิตที่สำ� คญั ภาคเหนอื ไดแ้ ก่ จังหวัดเชยี งใหม่ ล�ำปาง เชียงราย แพร่ น่าน พิษณโุ ลก อุตรดติ ถ์ และตาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ไดแ้ ก่ จังหวดั ขอนแก่น มหาสารคาม รอ้ ยเอ็ด ศรีษะเกษ และอุบลราชธานี ข้อมูลสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตและให้ผลผลติ ของครัง่ สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ขอ้ จำ�กดั สภาพภูมิอากาศ คร่ังจะออกตวั ดที อี่ ณุ หภมู ิสงู กวา่ 20 องศาเซลเซยี ส - สภาพความเหมาะสม - ลกั ษณะทรงพ่มุ ของตน้ ไม้ จะตอ้ งมีเรอื นยอดแผก่ วา้ ง - ระวงั อยา่ สมุ ไฟ ของต้นไม้เลยี้ งคร่ัง และโปร่งมีอากาศถา่ ยเทดี หรือฉดี สารฆ่าแมลง - นำ้ �เล้ยี งของตน้ ไม้ทม่ี คี วามเหมาะสมตอ่ การเลย้ี ง ใกลบ้ รเิ วณตน้ ไมท้ ีใ่ ช้ คร่ังจะตอ้ งมคี ่าความเปน็ กรดด่าง (pH) ของนำ้ �เลย้ี ง เล้ียงครั่ง อยู่ระหว่าง 5.8 - 6.0 และมีความหนาแน่นของนำ้ � เลี้ยงประมาณ 0.14 - 0.173 สภาพนำ้ � - - คณุ สมบตั ิทาง - - กายภาพของดนิ 69

แนวทางการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการผลติ และแหลง่ สบื คน้ ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ การตดั แต่งกง่ิ ไม้เล้ยี งคร่งั ตน้ ไมเ้ ลย้ี งครง่ั ควรตดั แตง่ กงิ่ เพอ่ื ใหไ้ ดก้ ง่ิ ทแี่ ตกใหมม่ อี ายเุ ทา่ ๆ กนั และควบคมุ เรอื น ยอดใหแ้ ผ่กว้าง และโปรง่ ท�ำให้งา่ ยต่อการเลีย้ งครงั่ และได้ผลตอบแทนสูง การตัดแต่งกิง่ ต้นไมค้ วรค�ำนงึ ถงึ หลกั การ ดงั นี้ 1. ฤดูตัดแต่งกงิ่ โดยท่ัวไปนยิ มตัดแต่งก่งิ ในชว่ งฤดูร้อน เพราะต้นไม้มอี ัตรา การเจรญิ เติบโตช้า เชน่ ถา้ ต้องการปล่อยคร่ังพนั ธ์เุ ดือนธันวาคม ควรตดั แตง่ กงิ่ ประมาณ เมษายน ตดั แต่งกงิ่ ครงั้ แรก ตดั แตง่ ก่งิ ครัง้ ทีส่ อง ปลอ่ ยครงั่ พนั ธ์ุที่ชดี้ ้วยลูกศรและตดั แต่งก่งิ หลังจากเก็บครั่งลง ภาพที่ 3 แสดงวิธกี ารตดั แต่งกงิ่ เพอื่ ให้ต้นไม้มเี รอื นยอดแผก่ วา้ ง และก่ิงทแ่ี ตกออกมาใหม่มอี ายุใกล้เคยี งกนั จึงเลยี้ งครั่งได้มาก (ตำ� แหน่งที่ตดั ก่งิ แสดงด้วยเคร่ืองหมาย ) 70

2. ความสมบูรณ์ของต้นไม้ ต้นไม้ที่จะตัดแต่งก่ิงต้องท่ีสมบูรณ์และแข็งแรง และรกั ษารปู ทรงเรอื นยอดของตน้ ไมไ้ วใ้ หม้ ที ว่ี า่ งพอสำ� หรบั ใหก้ ง่ิ ทงี่ อกใหมเ่ จรญิ เตบิ โตไดด้ ี 3. กง่ิ ขนาดเลก็ ๆ และกิ่งที่ไม่แข็งแรงมีแมลงเจาะควรตัดทิ้งใหห้ มด การตัด แต่งก่งิ ในปีถดั มาใหต้ ดั เฉพาะก่งิ ท่แี ตกออกจากกง่ิ ท่ีเคยตัดไว้ในครง้ั ท่ีแล้วเทา่ นั้น ตารางที่ 3 แสดงตำ� แหนง่ ท่ตี ดั กิง่ ไมเ้ มื่อตอ้ งการตัดแตง่ กิง่ ไวส้ �ำหรบั เพาะเล้ียงครง่ั ขนาดเสน้ ผ่าศูนยก์ ลาง ตำ�แหนง่ ทีต่ ัด เลก็ กว่า 1 นวิ้ ตัดใหช้ ิดกบั กง่ิ ใหญ่ ขนาด 1 - 2 น้ิว ตดั เหลือตอก่งิ ไม้ไมเ่ กนิ 1.5 ฟุต ใหญก่ วา่ 2 น้ิว ไมต่ ัด แหล่งสืบคน้ ขอ้ มูลเพ่ิมเติม 1. กลมุ่ สง่ เสรมิ การเลย้ี งผง้ึ และแมลงเศรษฐกจิ สำ� นกั สง่ เสรมิ และจดั การสนิ คา้ เกษตร กรมสง่ เสรมิ การเกษตรเขตจตจุ กั ร กรงุ เทพฯ 10900 โทรศพั ท/์ โทรสาร 0-2940-6102 2. ศนู ยส์ ง่ เสริมและพฒั นาอาชพี การเกษตร(ผึ้ง) จงั หวดั เชียงใหม่ http://www. [email protected] 3. ศูนย์ส่งเสรมิ และพฒั นาอาชพี การเกษตร(ผ้งึ ) จังหวัดพษิ ณโุ ลก http://www. [email protected] 4. ศนู ยส์ ง่ เสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร(ผึ้ง) จังหวัดขอนแกน่ http://www. [email protected] 5. กรมสง่ เสริมการเกษตร.2546.คู่มือเจา้ หนา้ ทีส่ ่งเสริมการเกษตร หลกั สูตรสง่ เสริมการเลีย้ งคร่ัง. 6. กรมสง่ เสริมการเกษตร. 2541. การเลี้ยงครง่ั . โรงพิมพช์ มุ ชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำ� กดั 71

จ้ิงหรีด ขั้นตอนการเลีย้ งและการจดั การจิ้งหรดี การเตรียมการ 1 - 34 วัน 35 - 60 วัน หลัง 60 วัน ตลอดรุน่ การเตรยี มอุปกรณ/์ โรงเรือน การเลี้ยงจ้ิงหรดี ระยะไข่ ระยะตวั ออ่ น การเลย้ี งจ้งิ หรีด การจดั การเลยี้ ง 1. โรงเรือนที่เล้ียงจ้ิงหรีด 1. เตรยี มบอ่ และวสั ดกุ ารเลย้ี ง 1. จ้ิงหรีดจะผสมพันธุ์ (35 – 40 วนั ) 1. ตัวจิ้งหรีด เก็บโดย 1. การใหน้ ำ้� -อาหาร ตอ้ ง เชน่ กระบะ ขนั พลาสติก หรอื และเริม่ วางไข่ในขัน หรอื 1. หลงั จากระยะวางไข่ ใช้ถาดไข่วางให้จิ้งหรีดตัว ให้สมำ่� เสมอทกุ 2 วัน ควรเป็นที่ดอนน้�ำไม่ท่วมขัง ถงุ พลาสตกิ สำ� หรบั ใสด่ นิ รว่ นปน กระบะทีใ่ ส่ดนิ ประมาณ 3 สปั ดาห์ จะ เตม็ วยั เกาะแลว้ เคาะใสถ่ งั 2. พชื อาหารหลกั เปน็ ตน้ บริเวณทเ่ี ล้ียงตอ้ งไม่ตากแดด ทราย ถาดไขแ่ บบกระดาษ ขวด 2. เรม่ิ วางไขภ่ ายใน 7-10 เหน็ ลกู จง้ิ หรดี ทฟ่ี กั ออก พลาสตกิ กอ่ นนำ� มาบรโิ ภค ออ่ นและยอดออ่ นของพชื ตากฝน อากาศถา่ ยเทไดส้ ะดวก น้�ำ ให้เรยี บรอ้ ย วัน โดยใช้อวัยวะท่ียาว จากไขน่ ับพนั ตวั 3 วนั งดใหอ้ าหารเสรมิ เพอื่ หรือหญา้ สดทกุ ชนิด เชน่ 2. คดั เลือกพ่อแม่พันธุ์ทแี่ ขง็ แหลมคลา้ ยเขม็ ความยาว 2. จ้ิงหรีดจะเจริญ ไม่ใหม้ ีกลิ่นตวั ตดิ ตำ� ลงึ ฟกั ทอง หยวกกลว้ ย 2.วสั ดเุ ลย้ี งจงิ้ หรดี เชน่ บอ่ ปนู แรงปลอ่ ยอตั รา 1:3 (ตวั ผู้: ตวั เมยี ) ประมาณ 1.5 ซม. แทงลง เตบิ โตดว้ ยการลอกคราบ 2. ไข่จิ้งหรีด สามารถ 3. อาหารเสริม หรือ กะละมงั ทอ่ ปนู โอง่ ปบ๊ี ถงั นำ�้ 3. วธิ กี ารเลยี้ งจงิ้ หรดี มี 2 วธิ ี ในดนิ ทมี่ คี วามชนื้ ลกึ 1-1.5 จ�ำนวน 8 ครง้ั น�ำขนั ไข่ หรือถุงพลาสตกิ อาหารสำ� เรจ็ รปู ทใ่ี ชเ้ ลยี้ งไก่ ตาข่ายไนล่อน แผ่นพลาสติก 3.1 การเลยี้ งแบบคละรุ่น ซม. วางไข่เป็นกลมุ่ ๆ ละ ระยะตัวเตม็ วยั ไปท�ำพันธุ์หรือจ�ำหน่าย รำ� อ่อน ควรใหใ้ นปริมาณ ตัดเป็นริ้ว ติดขอบในปากบ่อ มีจ้ิงหรีดหลายรุ่นหลายขนาด 3-4 ฟองและวางไข่ (50 – 60 วนั ) พนั ธ์ุได้ ท่กี นิ หมดภายใน 2 วนั ยางรดั ตาขา่ ยกบั ปากบอ่ กระบะ อยรู่ วมกัน ประมาณ 200 - 300 ฟอง 1. ระยะมีติ่งปีกส้ัน 3. มูลจ้ิงหรีดสามารถ 4. ต้องท�ำความสะอาด ขันพลาสตกิ หรอื ถงุ พลาสติก 3.2 การเลย้ี งแบบแยกรนุ่ เรยี กเสื้อกก๊ั เล็ก นำ� ไปทำ� ปุ๋ยปลกู พืชได้ ภาชนะทใี่ สอ่ าหาร-น้�ำ ทกุ สำ� หรบั ใสด่ นิ รว่ นปนทรายถาด จ้ิงหรีด จะมจี งิ้ หรีดขนาดตัววัย 2. ระยะมีต่ิงปีกยาว ครง้ั น้�ำ-อาหาร เตม็ วยั โตเทา่ ๆ กนั สะดวกตอ่ เรียกใสเ่ สอ้ื ก๊ักใหญ่ การเกบ็ ผลผลติ และหาตลาดใน 3. ตัวเต็มวัยแยกเพศ การจ�ำหนา่ ยจงิ้ หรีด ชัดเจนโดยเพศผู้ปีกคู่ การปฏบิ ัตหิ ลังการเก็บผลผลติ หน้าย่นและท�ำให้เกิด ศัตรูท่สี �ำคญั และการป้องกันก�ำจดั เสียงได้ส่วนเพศเมียปีก 1. ควรท�ำความสะอาดบอ่ และตากบอ่ ก่อนเล้ียงรุน่ ใหม่ คหู่ นา้ เรยี บและมอี วยั วะ 2. ถาดรงั ไข่เคาะมลู จิ้งหรดี เกา่ ออกให้สะอาด 1. ศัตรู ได้แก่ มด แมงมมุ ไร ปอ้ งกันโดยใชผ้ า้ ชบุ นำ้� มนั เคร่ือง วางไขย่ าวแหลม นำ� มาใช้เลย้ี งร่นุ ใหมต่ ่อไป และสามารถน�ำมลู พันรอบวงปูนด้านนอก จิ้งหรดี ไปทำ� ปุ๋ยใส่ต้นไม้ได้ 2. โรคทางเดินอาหาร เกิดจากอาหารไมส่ ะอาด วธิ ีปอ้ งกัน 3. เปลย่ี นพอ่ -แม่พนั ธุเ์ มื่อเล้ยี งไปแล้ว ต้องทำ� ความสะอาดถาดอาหาร และน�ำ้ ทกุ ครง้ั ท่เี ปลย่ี นอาหาร ประมาณ 1-3 ร่นุ เพอื่ ป้องกันเลือดชดิ และควรท�ำความสะอาดบ่อ และตากบอ่ ก่อนเลย้ี งรนุ่ ใหม่ทกุ ครั้ง

เทคนคิ การเล้ยี งและการจดั การเลี้ยงจ้งิ หรดี 1. ลักษณะทว่ั ไปและวงจรชวี ติ จง้ิ หรดี จิ้งหรีดเป็นแมลงทม่ี ีลักษณะปากเป็นแบบปากกัด มีตารวมหนวดยาว ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี และกนิ อาหารได้ทง้ั พชื และสตั ว์ ขยายพันธุไ์ ดเ้ รว็ มขี าคู่ หลงั ขนาดใหญ่ แข็งแรง กระโดดเก่ง ตวั เมียวางไข่ใตด้ นิ ลกึ ประมาณ 1 - 2 เซนตเิ มตร ตวั อ่อนและตัวเต็มวยั จะ หลบซอ่ นตวั ตามสนามหญา้ อยใู่ นรเู กา่ ของแมลงอน่ื รอย แตกของดนิ หรือตามกองวสั ดทุ ัว่ ไป วงจรชวี ิตจ้ิงหรีด จง้ิ หรดี มรี ะยะการเจรญิ เตบิ โต แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 ระยะ คอื 1. ระยะไข่ ไขจ่ งิ้ หรดี จะมสี เี หลอื งรวมกนั เปน็ กลมุ่ ในดนิ ลกั ษณะยาวเรยี วคลา้ ยเมลด็ ขา้ วสาร ความยาว ประมาณ 1.5 มลิ ลเิ มตร วางไขเ่ ปน็ กลมุ่ ๆ ละ 3 - 4 ฟอง ตลอดอายุขัยจ้ิงหรีดเพศเมียสามารถวางไข่ได้ 600 – 1,000 ฟอง ซงึ่ จะวางไขเ่ ปน็ รนุ่ ๆ ไดป้ ระมาณ 4 รนุ่ ๆ ละ 200 – 300 ฟอง แตล่ ะรนุ่ ใชเ้ วลาหา่ งกนั ประมาณ 15 วนั หลงั จากนั้นประมาณ 3 สัปดาห์ จะเห็นลกู จิ้งหรีดท่ฟี ัก ออกจากไข่นับพันตัวระยะไข่ใช้เวลาประมาณ 7 วัน จึงฟักออกมาเปน็ ตวั อ่อน 2. ระยะตวั อ่อน ไข่จ้ิงหรีดเมื่อฟักออกเป็น ตัวอ่อน จะมีลักษณะคล้ายมด และมีการเจริญเติบโต โดยการลอกคราบจะลอกคราบประมาณ 8 ครงั้ จึงจะ เปน็ ตัวเตม็ วัย ตัวอ่อนเมือ่ โตขน้ึ เริ่มมปี ีก เรียกวา่ ระยะ ใสเ่ สอื้ กกั๊ มรี ะยะกกั๊ เลก็ มตี ง่ิ ปกี และกกั๊ ใหญ่ มตี งิ่ ปกี ยาว ระยะตัวอ่อนพันธุ์จิ้งหรีดทองด�ำใช้เวลาประมาณ 35 – 40 วนั แตถ่ า้ พนั ธท์ุ องแดงใชเ้ วลาประมาณ 46 - 50 วนั จงึ จะลอกคราบเป็นตัวเต็มวยั 73

3. ระยะตวั เต็มวยั เป็นระยะที่สามารถแยก เพศได้ชัดเจน โดยการสังเกตความแตกต่างของเพศผู้ เพศเมีย เพศผูจ้ ะมีปีกคู่หน้ายน่ สามารถท�ำใหเ้ กิดเสียง ขน้ึ ได้ โดยใชป้ กี คหู่ นา้ ถกู นั จะทำ� ใหเ้ กดิ เสยี ง เสยี งทจ่ี ง้ิ หรดี ท�ำขึ้นเปน็ การสอ่ื สารทีม่ ีความหมายของจิ้งหรดี ส�ำหรบั เพศเมยี จะมปี กี คหู่ นา้ เรยี บ และมอี วยั วะวางไขย่ าวแหลม คล้ายเข็มย่ืนออกมาจากส่วนท้อง โดยท่ัวไปจ้ิงหรีด ตวั เต็มวยั จะมีอายุเฉลีย่ ประมาณ 45 – 60 วนั การผสมพนั ธุข์ องจง้ิ หรีด จ้ิงหรีดจะผสมพันธุ์เม่ือลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยประมาณ 3 - 4 วัน ก็จะเร่ิม ผสมพันธุ์โดยเพศผู้จะส่งเสียงโดยยกปีกคู่หน้าถูกันให้เกิดเสียงกริก...กริก...กริก... เบาๆ และถๆ่ี ตดิ ตอ่ กนั เพอื่ ใหต้ วั เมยี เขา้ มาอยใู่ กลๆ้ จากนน้ั เพศผจู้ ะถอยหลงั เขา้ หาตวั เมยี เดนิ วนรอบประมาณ 2 - 3 รอบ จากน้ันเพศเมียจะข้ึนคร่อมเพศผู้รบั การผสมพนั ธุ์ ระยะเวลา ผสมประมาณ 10 - 15 วินาที การผสมพันธุ์และวางไข่แต่ละรุ่นจะใช้เวลาประมาณ 15 วัน/คร้งั /รุ่น เมอ่ื หมดการวางไขร่ ุ่นสดุ ทา้ ยแล้วตวั เมยี กจ็ ะตาย 2. การเตรียมการกอ่ นการเลีย้ ง 2.1 การเตรยี มวสั ดอุปกรณ์ 2.1.1 สถานท่เี ลีย้ งจ้ิงหรดี ควรเป็นทด่ี อน 1 น้�ำไม่ท่วมขัง บริเวณที่เลี้ยงต้องไม่ตากแดด ตากฝน อากาศถ่ายเทได้สะดวก เช่น สร้างโรงเรือนเล้ียงหรือ เลยี้ งใตถ้ นุ บา้ น ชายคาบา้ น และปรบั พนื้ ทกี่ ำ� จดั มดและ ศัตรูจิ้งหรีด เป็นต้น ตามภาพ (1) 5 4 2.1.2 ภาชนะทใ่ี ชเ้ ลยี้ งจง้ิ หรดี ตอ้ งมคี ณุ สมบตั ิ 2 สามารถกกั ขงั จง้ิ หรดี ไดแ้ ละชอ่ งระบายอากาศไดด้ ี เชน่ 53 6 วงบอ่ ปนู ซเี มนตข์ นาดเสน้ ผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร 7 สูง 50 เซนติเมตร เทปูนบางๆ ท่ีก้นบ่อ ประมาณ 1/2 - 1 น้วิ หรอื กะละมงั โอง่ ป๊ิบ ถังน้�ำ กลอ่ งกระดาษ 8 เปน็ ต้น (2) 2.1.3 วสั ดุรองพื้น รองก้นบ่อบาง ๆ ดว้ ย แกลบปนทราย หรอื ฟางแห้ง (3) 2.1.4 พลาสตกิ ตาขา่ ยไนลอ่ น (มงุ้ เขยี ว) ปดิ ปากบอ่ ขนาด 100 x 100 เซนตเิ มตร ปอ้ งกันจ้งิ หรีดบินหนี และศตั รทู ีจ่ ะเข้ามาทำ� ลายจงิ้ หรีด (4) 74

2.1.5 แผน่ พลาสตกิ หรอื เทปกาวใส กวา้ งประมาณ 3 นวิ้ ตดิ ขอบในปากบอ่ ใหช้ ายพลาสตกิ หยอ่ นลงในบอ่ ปอ้ งกนั ตัวเต็มวัยจง้ิ หรดี ไต่ออกนอกบอ่ (5) 2.1.6 ยางรัดตาข่ายกับปากบอ่ โดยใช้ยางในรถ จกั รยาน หรอื รถจกั รยานยนต์ ตดั ใหม้ ขี นาดกวา้ งนอ้ ยกวา่ ขอบ วงดา้ นนอก เพอื่ ความสะดวกเมอื่ เวลายดื รดั ตาขา่ ยกบั ขอบวง 9 ปอ้ งกนั ศตั รจู ง้ิ หรดี และป้องกันจง้ิ หรีดไต่ออกนอกบอ่ (5) 2.1.7 ขวดน�้ำพลาสติกเจาะรขู า้ งขวด เพือ่ ใสผ่ ้า สะอาดมว้ นผา้ ใสร่ ทู เี่ จาะเพอื่ ใหน้ ำ�้ ซมึ สำ� หรบั จงิ้ หรดี วยั ตวั ออ่ น กิน หรือถาดน้�ำแบนๆ ที่ใส่ก้อนหินให้จ้ิงหรีดตัวเต็มวัยเกาะ กันจมน�ำ้ ตายอย่างละ 2 ท่ตี ่อบ่อ (6) 2.1.8 อาหารเสรมิ เช่น รำ� ออ่ น อาหารไก่ อาหาร ปลา เปน็ ตน้ อย่างละ 2 ท่ตี อ่ บอ่ (7) 10 2.1.9 อาหารหลกั เช่น หญา้ สดออ่ น ผกั บงุ้ ตำ� ลงึ ฟกั ทอง และหยวกกลว้ ย เป็นตน้ (8) 2.1.10 กระบะ ขันพลาสติก หรือถุงพลาสติก สำ� หรบั ใสด่ นิ รว่ นปนทรายทมี่ คี วามชนื้ พอประมาณวางไว้ ขา้ งๆ ขอบบอ่ เพือ่ ให้จ้งิ หรีดวางไข่ประมาณ 1 - 2 กโิ ลกรัม (9) 2.1.11 หญ้าแห้ง กาบมะพร้าวหรือถาดไข่แบบกระดาษ วางตรงกลางบ่อ หรือรมิ บอ่ เพือ่ เปน็ ท่หี ลบซ่อนหรือทอ่ี ยู่อาศัยของจง้ิ หรดี (10) 2.2 พนั ธจ์ุ ิง้ หรีด มชี อื่ เรยี กแตกต่างกันหลายชนดิ ตามภาษาทอ้ งถิ่น เชน่ 2.2.1 จง้ิ โกรง่ (จโิ ปม จง้ิ กงุ่ ) เปน็ จง้ิ หรดี ขนาดใหญส่ นี ำ้� ตาล ลำ� ตวั กวา้ งประมาณ 1 ซม. ยาวประมาณ 3.5 เซนตเิ มตร สามารถสรา้ งรงั อาศยั เองได้ โดยจะขดุ ดนิ เปน็ รลู กึ ยาว ประมาณ 48 - 90 เซนติเมตร จโิ ปม่ จะออกเปน็ ตวั เตม็ วัยประมาณเดือนสิงหาคมถึงเดอื น พฤศจกิ ายน แต่ละปี จะมรี ุ่นเดียว บางท้องท่ีเรียกจ้งิ โกร่งวา่ จิโปม หรอื จ้งิ กงุ่ 2.2.2 จิ้งหรีดทองด�ำ เป็นจ้ิงหรีดขนาดกลาง ล�ำตัวสีด�ำหรือสีน�้ำตาลปนด�ำ กวา้ งประมาณ 0.7 เซนตเิ มตร ยาวประมาณ 3 ซม. มี 3 สี คอื สีดำ� สที อง และสีอำ� พนั โดยลักษณะทีเ่ ด่นชัดคือโคนปกี จะมแี ต้มสีเหลอื ง 2 จดุ 2.2.3 จ้ิงหรีดทองแดง เป็นจ้ิงหรีดขนาดกลาง ล�ำตัวกว้างประมาณ 0.6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร มี 2 ชนดิ คือ สนี �ำ้ ตาลและสนี ้ำ� ตาลเขม้ สว่ นหัว เหนือขอบตารวมด้านบนแต่ละด้านมีแถบสีเหลืองอ่อนรูปตัววี หรือหมวกแก๊ป ตัวอ่อน มสี นี ำ�้ ตาลปนเทาและมแี ถบขาวคาดขวางลำ� ตวั มคี วามวอ่ งไวมาก ชอบอยใู่ นท่ี ๆ มคี วามชนื้ บางท้องที่เรียกวา่ จิฟาง หรือจินาย 75

2.2.4 จิง้ หรีดทองแดงลาย (จ้งิ หรีดนลิ ) เปน็ จง้ิ หรีดขนาดเล็กท่สี ดุ มี 2 ชนิด คอื ชนดิ ทมี่ ปี กี ครง่ึ ตวั และชนดิ ทมี่ ปี กี ยาวเหมอื นจงิ้ หรดี ทว่ั ไป ลกั ษณะคลา้ ยจง้ิ หรดี ทองแดง ระยะตัวออ่ นมลี ายมว่ งคาดลำ� ตวั บางทอ้ งทเ่ี รียกวา่ จ้ิงหรีดผี หรือแอ้ด เป็นต้น 2.3 การเตรยี มพ่อ-แมพ่ ันธ์ุ - คดั เลอื กพอ่ -แมพ่ นั ธ์ุ ทมี่ สี เี ขม้ ตวั โต แขง็ แรง มีอวัยวะครบทกุ ส่วน - ปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ลงบ่อ ในอัตราส่วน พ่อพนั ธ์ุ : แมพ่ นั ธุ์ = 1 : 3 3. การเลย้ี งและการจัดการจง้ิ หรีด 3.1 การให้น้ำ� -อาหาร ต้องให้สมำ่� เสมอทุก 2 วนั ทงั้ พืชอาหารหลกั - อาหารเสริม และน้�ำ โดยต้องท�ำความสะอาดภาชนะทใี่ สอ่ าหาร - นำ้� ทกุ ครง้ั 3.1.1 พืชอาหารหลัก ได้แก่ ต้นอ่อนและ ยอดอ่อนของพชื เชน่ ผกั บุ้ง ต�ำลึง ฟกั ทอง ผกั ตบชวา และหยวกกลว้ ย หรอื หญา้ สดทกุ ชนดิ เชน่ หญา้ ขน หญา้ ปากควายหญ้าลูซี่ และหญ้าตีนกา ใช้เล้ียงจิ้งหรีดจะ เจริญเติบโตเร็ว และให้ผลผลิตสูง โดย 2 วนั ให้หญ้า 1 ครงั้ คร้ังละ 1 ก�ำมอื โดยหญ้าเก่าไมต่ ้องน�ำออก จะเปน็ ทีอ่ าศยั ของจ้งิ หรีดต่อไป 3.1.2 อาหารเสรมิ ร�ำอ่อน หรืออาหารส�ำเรจ็ รปู ท่ใี ชเ้ ลย้ี งไก่ จิง้ หรีด 1 บอ่ ใช้อาหาร 3 กิโลกรมั ต่อรนุ่ อาหารเสรมิ ควรใหใ้ นปริมาณทีก่ นิ หมดภายใน 2 วนั 3.1.3 การให้น�้ำ ขวดน�้ำพลาสติกเจาะรูข้างขวด 2 รู ใช้ผ้าสะอาดม้วนใส่รู เพอ่ื ใหน้ ำ�้ ซมึ สำ� หรบั จงิ้ หรดี วยั ตวั ออ่ นมากนิ และควรเปลย่ี นผา้ สะอาดมว้ นใสร่ ขู วดพลาสตกิ ใหมห่ ลังเก็บผลผลติ แล้ว 3.1.4 ภาชนะสำ� หรบั วางไข่จิ้งหรดี ใช้ดินร่วนปนทรายใส่ขนั พลาสตกิ ส�ำหรับ อาบนำ�้ ใชก้ ระบอกฟอ๊ กกฉี้ ดี นำ�้ ทกุ 3 วนั พอชน้ื ไมแ่ ฉะ กอ่ นฉดี นำ�้ นำ� ถาดอาหารออกกอ่ น ถ้าอาหารเปียกจะเกิดเช้ือรา ใช้เฉพาะในช่วงที่มีตัวเต็มวัยท่ีจะวางไข่ ก่อนจ้ิงหรีดวางไข่ รุ่นใหมต่ ้องลา้ งภาชนะส�ำหรบั วางไข่และเปลีย่ นดินทีจ่ งิ้ หรดี วางไขท่ ุกคร้ัง 3.1.5 การเลย้ี งจ้ิงหรดี เนน้ เรื่อง ความสะอาด เช่น ควรทำ� ความสะอาดบ่อ และตากบอ่ กอ่ นเลยี้ งรุน่ ใหมต่ อ่ ไป มีการจัดการเลยี้ งจ้ิงหรดี อยา่ งเปน็ ระบบ เชน่ การเล้ียง แบบแยกรนุ่ จะไดจ้ งิ้ หรีดขนาดตวั วยั เต็มวยั ขนาดเทา่ ๆ กนั สะดวกตอ่ การเกบ็ จ�ำหน่าย 76

3.2 วธิ กี ารเล้ียงจิง้ หรีด มี 2 วธิ ี 3.2.1 การเลี้ยงแบบคละรุ่น จะมีจิ้งหรีดหลายรุ่นหลายขนาดอยู่รวมกัน การจัดการเลี้ยงจะยุ่งยากเพราะมีจ้ิงหรีดหลายวัยในบ่อ การเก็บผลผลิตเพื่อจ�ำหน่าย จะยงุ่ ยาก ทำ� ใหร้ าคาไมด่ ี วธิ กี ารเลยี้ งแบบคละรนุ่ ปลอ่ ยพอ่ พนั ธ์ุ - แมพ่ นั ธจ์ุ ง้ิ หรดี ลงบอ่ ปนู เลยี้ งอตั ราสว่ น 1 : 3 ใสด่ ินร่วนปนทรายในกระบะหรือขันใข่ 2 - 3 ขัน จงิ้ หรดี จะผสมพันธุ์ ครบ 7 วนั จะเรม่ิ วางไข่ และออกเปน็ ตวั ออ่ น จากนน้ั นำ� กะบะหรอื ขนั ไขม่ าวางเพม่ิ ในบอ่ เดมิ จ้ิงหรดี พ่อพนั ธ์ุ - แม่พันธจุ์ ะวางไขร่ ุ่น 2 , 3, 4 ต่อไป (4 รุ่น ร่นุ ละ 2,000 – 2,500 ตวั ) ผ้เู ล้ยี งจะทยอยจับจงิ้ หรดี ขาย 3.2.2 การเล้ยี งแบบแยกรุ่นจ้งิ หรีด จะมีจงิ้ หรีดตัววยั เตม็ วยั ขนาดเท่าๆ กนั สะดวกต่อการเก็บผลผลิตและหาตลาดในการจ�ำหน่าย จิง้ หรีด รปู้ รมิ าณนำ�้ หนกั จง้ิ หรีดที่จะขายลว่ งหนา้ ท�ำให้ ได้ราคาดี วิธีการเลี้ยงแบบแยกรุ่น ปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ จง้ิ หรดี ลงบอ่ ปนู เลย้ี งอตั ราสว่ น 3 : 9 ใสด่ นิ รว่ นปนทราย ในกะบะหรอื ขนั ไข่ 3 - 5 ขนั จง้ิ หรดี จะผสมพันธุ์ครบ 7 วัน จะเริม่ วางไข่ หลังวางไข่ 5 วัน หากระบะหรือขนั ใข่ ใหม่มาวางแทนของเดิม จงิ้ หรดี พ่อ-แม่พันธุ์ จะวางไข่ร่นุ 2 , 3, 4 ต่อไป (4 รุ่น ๆ ละ 2,000 – 2,500 ตวั ) และนำ� กระบะหรือขันไข่เดิมออกนำ� ไปใส่บ่อเลี้ยงจิ้งหรีดใหม่ เมอื่ โต จะมขี นาดตวั เตม็ วยั เทา่ ๆ กนั สะดวกและงา่ ยตอ่ การจดั การ และผเู้ ลย้ี งสามารถเกบ็ ผลผลติ ขายเป็นรนุ่ ๆ ตอ่ ไป 3.3 การจดั การสุขลกั ษณะ 3.3.1 วงบอ่ ปนู ซเี มนตเ์ ลย้ี งจงิ้ หรดี ควรวาง เรียงกันเป็นแถวแต่ละวงให้ห่างกันพอที่ผู้ดูแลจะปฏิบัติ งานไดส้ ะดวกประมาณ 3 นวิ้ พนื้ บอ่ เทปนู หนาประมาณ 1/2 - 1 นว้ิ เพ่ือปอ้ งกนั ความช้นื จากดินผ่านข้ึนมาและ ป้องกันมดจากใต้ดินเข้ามาท�ำลายไข่ และตัวจ้ิงหรีด ควรลา้ งบอ่ ปนู ใหส้ ะอาดสำ� หรบั รอบวงบอ่ ดา้ นนอก จะตอ้ งปอ้ งกนั มดดว้ ยโดยการโรยปนู ขาว หรอื ใชผ้ า้ ชบุ นำ้� มนั เครอื่ งพนั รอบวงดา้ นลา่ ง จำ� นวนวงปนู จะวางมากหรอื นอ้ ยขน้ึ อยทู่ ขี่ นาด ความกว้างความยาวของโรงเรอื น ภายในบ่อรองพ้นื ก้นบ่อบางๆ ดว้ ยแกลบปนทรายหรือ ฟางแหง้ 3.3.2 การจัดการในวงบ่อปนู เลย้ี งจ้ิงหรีด ใสก่ ระบะหรือขันพลาสติก หรือถงุ พลาสติกส�ำหรับใส่ดินร่วนปนทรายประมาณ 1 - 2 กิโลกรัม ที่มีความช้ืนพอประมาณ วางไว้ข้างๆ ขอบบอ่ เพ่ือให้จงิ้ หรีดวางไข่ ใสอ่ าหารหลกั อาหารเสรมิ ขวดนำ้� พลาสติกเจาะ รแู ละใสน่ ้�ำพร้อมผ้าสะอาด ใสถ่ าดไขแ่ บบกระดาษ หญา้ แห้ง หรอื กาบมะพร้าว วางตรง 77

กลางบ่อหรือริมบ่อ บริเวณภายในปากบ่อด้านบนติดด้วยแผ่นพลาสติกหรือเทปกาวใส กวา้ งประมาณ 3 นวิ้ ปอ้ งกนั จง้ิ หรีดตัวเตม็ วยั ไต่ออกนอกบอ่ หลังปลอ่ ยพอ่ พันธ์ – แม่ พันธแุ์ ล้ว 3 วนั ควรตรวจเชค็ ดู ถ้าตายต้องหามาทดแทน ปดิ ปากบ่อด้วยพลาสติกตาขา่ ย ไนล่อน (มุง้ เขยี ว) ใช้ยางรัดตาข่ายกับปากบอ่ ป้องกนั จ้ิงหรดี บนิ หนี และปอ้ งกนั ศตั รูท่จี ะ เข้ามาท�ำลายจงิ้ หรดี 4. การป้องกันกำ� จัดศัตรูจิง้ หรดี 4.1 แมลงศตั รู ไดแ้ ก่ มด แมงมมุ ไร ซง่ึ มกั ติดมากับอาหารควรน�ำพืชอาหารน้ันไป ลา้ งนำ�้ และผง่ึ ใหส้ ะเดด็ น้�ำกอ่ นนำ� มาเลยี้ ง หรอื ใชผ้ า้ ชบุ นำ�้ มนั เครอ่ื งพนั รอบวงปนู ดา้ นนอก 4.2 โรคที่ส�ำคัญ ได้แก่ โรคทางเดินอาหาร เกิดจากอาหารไม่สะอาดมีเชื้อรา วิธี ปอ้ งกันคือตอ้ งใหอ้ าหารจ�ำนวนพอเหมาะกับจำ� นวนของจ้ิงหรดี อย่าให้อาหารเกิดเชื้อรา ควรท�ำความสะอาดถาดอาหาร และนำ�้ ทกุ ครงั้ ทเี่ ปลยี่ นอาหาร พน้ื บอ่ อยา่ ใหช้ น้ื แฉะซง่ึ จะ ทำ� ใหเ้ กิดโรคได้ง่าย ควรท�ำความสะอาดบ่อ และตากบอ่ กอ่ นเลีย้ งรุ่นใหมท่ กุ ครั้ง 5. การเกบ็ ผลผลิต 5.1 ตวั จงิ้ หรดี กอ่ นนำ� จงิ้ หรดี จำ� หนา่ ยหรอื บรโิ ภค 3 วัน ต้องงดให้อาหารเสริม เช่น อาหารไก่ ร�ำอ่อน อาหารปลา เพอื่ ไมใ่ หม้ กี ล่นิ ตัว จดั การเก็บตวั จ้งิ หรีด โดยยกถาดไขเ่ ขยา่ เพอ่ื ใหม้ ลู จงิ้ หรดี รว่ ง แลว้ วางถาดไข่ กลับลงในบ่อให้จิ้งหรีดตัวเต็มวัยเกาะหลังจากน้ัน ประมาณ 5 นาที ยกถาดไข่เขย่าในกะละมงั ถงั พลาสติกหรือใช้สวงิ พลาสติกช้อน จากนั้น เทจิง้ หรดี บรรจุลงในถุงพลาสตกิ ถงุ ละ 5 กิโลกรัม แลว้ นำ� มาแช่น�้ำแขง็ จะสามารถเก็บไวร้ อ จำ� หน่ายได้ประมาณ 1 สปั ดาห์ การนำ� ไปทำ� อาหารให้น�ำจงิ้ หรีดลวกในน้�ำร้อนตักออกมา ล้างให้สะอาด ตักออกมาลา้ งให้สะอาด ผง่ึ ให้สะเดด็ นำ้� สามารถน�ำไปประกอบอาหารและ แปรรปู ได้ เชน่ จง้ิ หรีดทอดสมนุ ไพร น้�ำพริกเผาจงิ้ หรดี ข้าวเกรยี บจิ้งหรีด คุ๊กกจ้ี ง้ิ หรดี และ ขนมป้นั สิบ เปน็ ตน้ 5.2 ไขจ่ งิ้ หรดี สามารถนำ� กระบะหรอื ขนั ไข่ หรอื ถุงพลาสติกไปท�ำพันธุ์หรือจ�ำหน่ายพันธุ์ได้ในช่วงฤดู หนาวควรทำ� การบม่ ไขจ่ งิ้ หรดี เพอ่ื ใหจ้ งิ้ หรดี ออกตวั ตาม ปกตโิ ดยใชก้ ระบะหรอื ขนั ไข่ หรอื ถงุ พลาสตกิ เรยี งซอ้ น กนั วางในบ่อปนู เลย้ี งทมี่ แี ดดสอ่ งถงึ หรอื คลมุ ด้วยผา้ พลาสติกหรือกระสอบปา่ น 2 - 3 คนื 5.3 มูลจ้งิ หรดี สามารถนำ� ไปทำ� ปุ๋ยปลูกพืชได้ 78

6. การปฏบิ ัติหลังการเกบ็ ผลผลิต สงิ่ ทตี่ อ้ งใหค้ วามสำ� คญั กบั การเลย้ี งจงิ้ หรดี คอื ความสะอาด และการจดั การอยา่ งเปน็ ระบบ 6.1 ควรท�ำความสะอาดบอ่ และตากบ่อก่อนเลย้ี งรุ่นใหม่ทกุ ครงั้ 6.2 ถาดรังไข่ควรเคาะมูลจ้ิงหรีดเก่าออกให้สะอาด เพ่ือเป็นท่ีหลบซ่อนตัวของ จง้ิ หรีดรุ่นใหม่ตอ่ ไป และน�ำมลู จ้งิ หรีดไปทำ� ป๋ยุ ใสต่ น้ ไมไ้ ด้ 6.3. ควรเปล่ียนสายพันธุ์จ้ิงหรีดรุ่นพ่อพันธุ์ - แม่พันธุ์ เมื่อเลี้ยงไปแล้วประมาณ 1 - 3 รนุ่ เพ่อื ปอ้ งกนั เลอื ดชดิ ในจิ้งหรดี โดยหาพันธ์จุ าก ธรรมชาตหิ รอื แลกเปลีย่ นในหมผู่ เู้ ลยี้ งจ้งิ หรดี หากเลีย้ ง ต่อเน่ืองกันโดยไม่เปล่ียนพันธุ์ขนาดตัวจ้ิงหรีดจะเล็กลง และอ่อนแอไม่ทนต่อโรค การวางไข่และผลผลิตจ้ิงหรีด จะลดลง 7. แหล่งผลติ ภาคเหนือ จังหวดั แพร่ เชียงราย เชยี งใหม่ นา่ น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวดั เลย หนองบัวล�ำภู ขอนแกน่ กาฬสินธุ์ อุดรธานี รอ้ ยเอ็ด ภาคตะวันออก จงั หวัดสระแก้ว จันทบรุ ี จังหวัดที่เลีย้ งมาก จงั หวดั เลย แนวทางการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลติ และแหล่งสืบคน้ ขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ แนวทางการเพ่ิมประสทิ ธิภาพการผลิต 1. ควรเปลยี่ นสายพนั ธุ์จ้งิ หรดี รุน่ พอ่ -แมพ่ ันธ์ุ เมอ่ื เล้ียงไปแลว้ ประมาณ 1 - 3 ร่นุ เพ่ือปอ้ งกนั เลอื ดชดิ ในจิ้งหรีด หากเลี้ยงต่อเน่อื งกนั โดยไมเ่ ปลย่ี นพนั ธุ์ขนาดตัวจงิ้ หรดี จะ เล็กลงและอ่อนแอไมท่ นตอ่ โรค 2. การเล้ยี งจิ้งหรดี แบบแยกรนุ่ จะไดข้ นาดตัวและน้�ำหนกั ในการเกบ็ ผลผลติ จง้ิ หรีด ตัวเต็มวัยขนาดเท่าๆ กนั สามารถหาตลาดในการจำ� หนา่ ยจ้ิงหรดี ท่จี ะขายล่วงหนา้ ได้ 3. ควรลา้ งพชื อาหารในนำ�้ สะอาดทกุ ครงั้ กอ่ นใหจ้ ง้ิ หรดี กนิ เชน่ ฟกั ทอง ตำ� ลงึ ขา้ วโพด กลว้ ย หรอื หญา้ สดทุกชนิด เพือ่ ป้องกันมดหรือสารเคมีทต่ี ดิ มากับพืชอาหาร 4. ในชว่ งอากาศหนาวควรใหค้ วามอบอนุ่ กบั จง้ิ หรดี โดยการเปดิ ไฟ ชว่ ยเพมิ่ อณุ หภมู ิ ให้สงู ขึน้ เพอื่ ใหจ้ ้ิงหรดี สามารถผสมพนั ธแ์ุ ละวางไขไ่ ดต้ ามปกติ 79

80 ขอ้ มลู สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตและใหผ้ ลผลิตของจ้ิงหรีด สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ขอ้ จำ�กัด 1. สภาพภูมิอากาศ - อุณหภมู ิ 25 - 350c จงิ้ หรดี สามารถ - อุณหภูมิตำ่ �กวา่ 10 - 200c จงิ้ หรีดไม่ผสมพันธุแ์ ละไมว่ างไข่ ออกหากินได้ปกติและสามารถวางไข่ จึงควรให้ความอบอุ่นโดยใช้หลอดไฟส่องเพื่อเพ่ิมอุณหภูมิ เพมิ่ ประชากรจงิ้ หรดี ได้อยา่ งเต็มที่ ระหว่าง 25 - 350c จ้งิ หรีดจะผสมพันธ์แุ ละวางไขป่ กติ 2. สภาพพน้ื ที่ - ควรเปน็ ทด่ี อน นำ้� ไมท่ ว่ มขงั บรเิ วณ - สภาพภูมิอากาศฝนตกและเสียงดังมากจิ้งหรีดจะไม่ผสม ท่ีเลย้ี งตอ้ งมีร่มเงา ไมต่ ากแดดตากฝน พนั ธแุ์ ละวางไข่ 3. สภาพนำ้ � - นำ้ �ท่ีใช้เล้ียงจ้ิงหรีดต้องเป็นน้ำ� - หากบ่อหรือภาชนะไมส่ ะอาด ชืน้ แฉะ จงิ้ หรดี จะเกิดโรคทาง สะอาดไมม่ สี ่ิงปนเป้ือน เดนิ อาหารไดง้ า่ ย 4. คุณสมบัติทางกายภาพของดนิ - ดินท่ีใส่ในขันไข่เพ่ือให้จิ้งหรีดวางไข่ - หากดนิ แขง็ มาก จง้ิ หรีดจะไม่สามารถแทงเขม็ วางไข่ในดนิ ได้ ควรเป็นดินร่วนปนทรายไม่เหนียวจน เกนิ ไป

แหลง่ สืบคน้ ข้อมลู เพ่ิมเติม 1. กลมุ่ สง่ เสรมิ การเลย้ี งผง้ึ และแมลงเศรษฐกจิ สำ� นกั สง่ เสรมิ และจดั การสนิ คา้ เกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร เขตจตุจักร กรงุ เทพฯ 10900 โทรศัพท์/โทรสาร 0-2940-6102 2. ศูนย์สง่ เสริมและพฒั นาอาชีพการเกษตร(ผ้งึ ) จังหวดั เชยี งใหม่ http://www. [email protected] 3. ศนู ย์สง่ เสริมและพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผง้ึ ) จังหวดั พิษณุโลก http://www. [email protected] 4. ศูนยส์ ง่ เสริมและพฒั นาอาชพี การเกษตร(ผึง้ ) จังหวดั ขอนแก่น http://www. [email protected] 5. ศนู ย์สง่ เสรมิ และพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผ้ึง) จงั หวดั จนั ทบรุ ี http://www. [email protected] 6. ศนู ย์สง่ เสรมิ และพัฒนาอาชีพการเกษตร(ผึง้ ) จังหวัดชมุ พร http://www. [email protected] 7. กรมสง่ เสริมการเกษตร.2546.คูม่ ือเจา้ หน้าทส่ี ง่ เสริมการเกษตร หลักสูตรสง่ เสรมิ การเลีย้ งจง้ิ หรีด. 8. จริ าภรณ์ พมิ พม์ ลี าย.2549. การเลย้ี งจง้ิ หรดี ของเกษตรกรในเขตจังหวดั ขอนแกน่ และอายุการเก็บรักษาจ้ิงหรีดคั่ว ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัย ขอนแก่น. 9. ทศั นีย์ แจม่ จรรยา ชาญชัย ถาวรอนุกูลกจิ .2545.การเพาะเลยี้ งและปรับปรุงพันธุ์ แมลงทเ่ี ปน็ อาหารของมนษุ ย.์ ภาควชิ ากฏี วทิ ยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . 10. อดุ ม จิรเศวตกุล สมบูรณ์ ซารัมย์ อรสา เสนีวงศ์ ณ อยุธยา นพิ นธ์ เดชะ และ สทุ ธชิ ยั สทุ ธวิ ราภริ กั ษ.์ 2545.เอกสารวชิ าการ การเลย้ี งจงิ้ หรดี กองปอ้ งกนั และกำ� จดั ศตั รพู ชื กรมสง่ เสริมการเกษตร. 81

ดว้ งสาคู ขั้นตอนการเล้ียงและการจดั การด้วงสาคู การเตรียมการ 1 - 34 วัน 35 - 60 วนั หลัง 60 วนั ตลอดรนุ่ การเตรยี มอปุ กรณ์/โรงเรอื น การเล้ียงดว้ งสาคู ระยะไข/่ ระยะตวั หนอน ระยะตัวหนอน การเกบ็ ผลผลติ การผลติ พ่อ-แม่พนั ธ์ุ ๑.โรงเรอื นเลยี้ งแบบพฒั นา การเล้ยี งด้วงสาคู 1.เรม่ิ วางไขภ่ ายใน 1-3 วนั ระยะเข้าฝกั ดกั แด้ 1.เกบ็ ตวั หนอนชว่ งอายุ 1.เตรียมอาหารผสมเล้ียงด้วง ควรเป็นท่ีดอนน�้ำไม่ท่วมขัง 1.ในท่อนพนั ธส์ุ าคู 2.หลังจากระยะวางไข่ 35-39 วัน สาคูใสร่ องก้นกะละมงั หนา 1 นิว้ บริเวณที่เลี้ยงต้องไม่ตากแดด 1.1 คดั เลอื กพอ่ แมพ่ นั ธท์ุ แี่ ขง็ ประมาณ 2-4 สปั ดาห์ ตัว (35-39 /16 วัน) 2.น�ำไปแปรรูปท�ำเป็น 2.นำ� เปลอื กมะพรา้ วปอกแชน่ ำ้� ตากฝน อากาศถ่ายเทได้ แรง ปล่อยอัตราท่อนละ 3 คู่ หนอนจะใชก้ รามกดั เปลอื ก 1.ระยะตวั หนอน 35-39 สะดวกมตี าขา่ ยมงุ้ ลวดโดยรอบ อัตราตัวผู้ 2 : ตัวเมีย 4 ตัว ไข่ออกมาเป็นตัวหนอน วัน ตัวหนอนมสี ีเหลือง อาหาร เชน่ ด้วงสาคทู อด วางเรยี งในกะละมงั และใสอ่ าหาร โรงเรอื นเพอื่ ปอ้ งกนั ตวั เตม็ วยั รดนำ้� ทอ่ นพนั ธเ์ุ มอื่ แหง้ สปั ดาห์ เลก็ ๆ สขี าวใสท้งั ตัว แล้ว ปนน�้ำตาล ดว้ งสาคู ผัดกระเพรา ผสมลงไป จ�ำนวน 2 ชัน้ เลด็ ลอดไปในธรรมชาติ ละ 2 - 3 ครงั้ จะค่อยๆ เจรญิ เตบิ โต 2.ตวั หนอนสรา้ งรงั เขา้ 1.2 ดว้ งสาคจู ะผสมพนั ธแ์ุ ละ จนมีอายุได้ 3-4 วัน ตัว ฝักดกั แด้ 3-7 วนั และ 3.เก็บตัวพ่อ-แม่พันธุ์ 3.ปลอ่ ยตวั หนอนดว้ งสาคู อายุ 2.โรงเรือนเลี้ยงแบบด้ังเดิม เร่ิมวางไข่ หนอนจะมีสีเหลืองปน อยใู่ นรังดักแด้ 6 วนั ถึง แยกเพศ ใสก่ ะละมงั ไวเ้ พอ่ื 35 - 40 วนั ใสใ่ นกาละมงั ทเ่ี ตรยี ม โรงเรอื นควรเปน็ ทน่ี ำ้� ไมท่ ว่ มขงั 2. ในกาละมงั นำ�้ ตาลสว่ นหวั ดว้ งสาคจู ะ เปน็ ตวั เตม็ วยั วยั 90-184 จำ� หนา่ ยได้เลย ไว้ 100 ตวั ต่อกาละมงั บริเวณที่เลี้ยงสามารถวาง 2.1 เตรียมวัสดุการเล้ียง มสี นี ำ�้ ตาลเข้มชดั เจน วัน ตากแดดตากฝนได้ แต่ต้องมี 4.ต้องท�ำความสะอาด 4.ปลอ่ ยทง้ิ ไวใ้ หต้ วั หนอนเขา้ ฝกั ภาชนะทใี่ สอ่ าหารทกุ ครง้ั ดกั แดใ้ ชเ้ วลาประมาณ 20 - 30 วนั กระดานท�ำจากกาบต้นไม้ท่ี เช่น ต้นสาคูบด ขุยมะพร้าว 5.เก็บฝักดักแด้ออกมารวมกัน เลย้ี งครอบปิด มนั สำ� ปะหลงั และอาหารผสม อกี กาละมงั เพอ่ื รอใหต้ วั ดว้ งเจาะ เช่น หัวอาหารท่ีใช้เลี้ยงหมู ระยะตัวเต็มวยั (90 – 184 วัน) ออกจากฝกั ดกั แดใ้ ชเ้ วลาประมาณ ๒.วัสดุเล้ียงด้วงสาคู เช่น กากน�ำ้ ตาล รำ� ขา้ ว น�้ำสะอาด 1.ตัวเต็มวัยแยกเพศชัดเจนโดยเพศผู้ตัวผู้จะมีแผง 5 - 10 วนั ทอ่ นพนั ธส์ุ าคู พอ่ -แมพ่ นั ธด์ุ ว้ ง นำ� มาผสมรวมกัน ขนที่ปลายงวงมองเห็นแผงขนได้ชัดเจนลักษณะเป็น สาค/ู ดว้ งลาน ฝักบัว/สายยาง แนวบรเิ วณส่วนกลางตามความยาวของงวง 6.คัดแยกเพศเพือ่ รอผสมพันธ์ุ สำ� หรบั รดนำ้� กาละมงั ตน้ สาคบู ด 2.2 ปล่อยพ่อแม่พันธุ์ใน 2.เพศเมียตัวเมียจะมีงวงเรียวเล็ก ไม่มีแผงขนท่ี 7.สามารถจบั ดว้ งสาค/ู ดว้ งลาน ขุยมะพร้าว มันส�ำปะหลัง กะละมังเล้ียง จ�ำนวน 10 คู่ ปลายงวง ออกจ�ำหน่ายหรือน�ำไปปล่อยใน กาละมังเลี้ยงต่อไประหว่างการ เปลือกมะพร้าวสับ ก่ิงปาล์ม อตั ราตวั ผู้ 4 : ตวั เมยี 6 ตวั เมอื่ รวบรวมตัวด้วงเพื่อรอการผสม สดและออ่ น เครอ่ื งบด อาหาร อาหารผสมแห้งให้รดน้�ำให้ช้ืน พนั ธใ์ุ ห้กล้วยและนำ�้ เป็นอาหาร ผสม เชน่ หัวอาหารทีใ่ ชเ้ ล้ียง แตไ่ ม่แฉะ หมู กากน้�ำตาล ร�ำข้าว น�้ำ 2.3 ดว้ งสาคจู ะผสมพนั ธแ์ุ ละ สะอาด ถังพลาสติก และไม้ไผ่ เร่ิมวางไข่ การปฏิบัติหลังการเกบ็ ผลผลิต - กอ่ นนำ� มาปรงุ อาหารบรโิ ภคนำ� ตวั หนอนดว้ งสาคเู ลย้ี งในกาก ศัตรูทส่ี �ำคัญและการป้องกนั ก�ำจัด มะพร้าวขูด 1-2 วนั 1.ศตั รู ไดแ้ ก่ มด นก ไก่ ป้องกันโดยสรา้ งโรงเรอื นมีหลังคา มีตาข่ายม้งุ ลวดโดยรอบโรงเรอื นเพอื่ ปอ้ งกันตัวเตม็ วยั ออก 2.โรคทางเดินอาหาร เกดิ จากอาหารไมส่ ะอาด วธิ ปี อ้ งกนั ตอ้ งทำ� ความสะอาดกะละมัง อาหารผสมและนำ้� ทุกครงั้ - น�ำตวั หนอนมาล้างนำ�้ และแช่นำ�้ เกลอื ทง้ิ ไว้ 10-30 นาที - นำ� มาลวกนำ้� รอ้ นหรอื นง่ึ กอ่ นนำ� ไปปรงุ อาหารไดต้ ามใจชอบ

เทคนคิ การเลย้ี งและการจัดการเลี้ยงดว้ งสาคู 1. การเตรียมการก่อนการเล้ียง ดว้ งสาคเู ปน็ สตั วช์ นดิ หนง่ึ จำ� พวกแมลงทม่ี ชี อื่ เรยี กอนื่ ๆวา่ ดว้ งงวง ดว้ งไฟ ดว้ งมะพรา้ ว ทางภาคใตเ้ รยี กดว้ งสาคู หรอื ดว้ งลาน เปน็ แมลงกนิ ไดช้ นดิ ใหมท่ กี่ ำ� ลงั มาแรง มกี ารเพาะเลยี้ ง กนั มากในแถบจงั หวดั ภาคใต้ เปน็ ทน่ี ยิ มบรโิ ภคทงั้ ชาวไทยและชาวตา่ งประเทศ มวี งจรชวี ติ สนั้ เพาะเล้ียงง่าย เจริญเติบโตเร็ว และมีคุณค่าทางอาหารท่ีมีโปรตีนสูง ปัจจุบันนิยมน�ำมา ประกอบเปน็ อาหารของสิ่งมีชวี ติ ทัง้ มนษุ ยแ์ ละสัตว์ 1.1 การเตรยี มอุปกรณแ์ ละโรงเรอื น การเลีย้ งด้วงสาคมู ีหลายรปู แบบ จะเปน็ แบบ ดั้งเดมิ โดยใชท้ อ่ นสาคหู รอื ท่อนลาน(แบบธรรมชาติ) หรอื แบบพัฒนา (ใช้กะละมัง) ดงั นี้ 1.1.1 โรงเรอื นแบบดงั้ เดมิ โดยใชท้ อ่ นสาคหู รอื ทอ่ นลาน (แบบธรรมชาต)ิ ดงั ภาพ (1) - สถานทเี่ ลยี้ งดว้ งสาคู ควรเปน็ ทน่ี ำ้� ไมท่ ว่ มขงั บรเิ วณท่ีเล้ยี งสามารถวางตากแดดตากฝนได้ แตต่ ้องมี 1 กระดานท�ำจากกาบต้นไม้ท่ีเลี้ยงครอบปิด ปรับพื้นท่ี ก�ำจัดมดและศตั รูด้วงสาคู - เตรยี มทอ่ นสาค/ู ทอ่ นลาน ขนาดความยาว ทอ่ นละ 50 เซนตเิ มตร ตงั้ เรยี งไวบ้ รเิ วณทจี่ ะทำ� การเลยี้ ง 2 มคี วามหา่ งพอเหมาะแกก่ ารดแู ลและเขา้ ไปเกบ็ ตวั หนอน 3 ไดส้ ะดวก สำ� หรบั ใชเ้ ปน็ ทอ่ นเลย้ี งดว้ งสาคหู รอื ดว้ งลาน (2) - พอ่ พนั ธ-์ุ แมพ่ นั ธด์ุ ว้ งสาคหู รอื ดว้ งลาน (3) - ฝักบวั หรือสายยางส�ำหรบั รดน�้ำ 1.1.2 โรงเรือนแบบพฒั นา (ใชก้ ะละมงั ) 5 - ควรเลย้ี งบรเิ วณใตถ้ นุ บา้ นหรอื ทำ� โรงเรอื น 4 มีหลังคาและควรมีตาข่ายมุ้งลวดโดยรอบโรงเรือนเพ่ือ ป้องกันตัวเตม็ วัยเล็ดลอดไปในธรรมชาตดิ งั ภาพ (4) - กะละมัง ขนาดกว้าง x ยาว x สูง 6 (38 x 38 x 15 เซนตเิ มตร ) พร้อมฝาปดิ พลาสตกิ แบบ 7 มีชอ่ งระบายอากาศได้ (5) - ตน้ สาคบู ด ขยุ มะพรา้ ว มนั สำ� ปะหลงั และ เปลอื กมะพร้าวสบั - กง่ิ ปาล์มสดและออ่ น ต้องมีตน้ ปาล์มในทอ้ งถ่นิ เพอ่ื ลดต้นทนุ การผลิต (6) - เครื่องบดกิ่งปาล์ม (7) - ถังพลาสตกิ ทรงกระบอกขนาด บรรจุ 150 ลติ ร สงู 95 เซนตเิ มตร เส้นผ่า ศนู ยก์ ลาง 54 เซนติเมตร (95 x 54 ซม. ) พร้อมฝาปดิ ส�ำหรบั หมักปาล์มสดสบั 83

- พอ่ พันธุ์ - แม่พันธ์ดุ ้วงสาคูหรอื ด้วงลาน - อาหารผสม เชน่ หัวอาหารทใี่ ช้เล้ยี งหมู กากน�้ำตาล รำ� ข้าว และน้ำ� สะอาด - ฝักบวั หรือสายยางสำ� หรบั รดนำ้� ตน้ สาคบู ด - ไมไ้ ผ่ผ่าซีกสำ� หรบั วางแถวซ้อนกาละมงั 1.2 การเตรยี มพันธ์ุ 1.2.1 ด้วงสาคูหรือด้วงลาน ชื่อวิทยาศาสตร์ (Rhynchophorus ferrugineus) Oliver วงศ์ Curculionidae อับดับ Coleoptera ชือ่ สามัญ Pin-hole borers, trueweevils มี ขนาดตวั ยาว 2.2 - 3.5 เซนตเิ มตร สีน�ำ้ ตาลอมสม้ หรอื สนี ำ�้ ตาลปนดำ� ปากยาวแบบบาง มีงวงโค้ง มีจุดแต้มสีน�้ำตาลเข้มกระจายบริเวณด้านบนของอกปล้องแรก ซึ่งจุดแต้มน้ีมี หลายรูปแบบ ปีกคหู่ นา้ มีร้วิ รอยเปน็ เสน้ ๆ ตามความยาวของปีก สว่ นปกี คลมุ ไมม่ ดิ สว่ น ปลายท้อง ตัวผแู้ ละตัวเมียมคี วามแตกต่างกนั โดยทตี่ ัวเมียจะมีงวงเรียวเลก็ ไม่มีแผงขนที่ ปลายงวง ตัวผู้จะมีแผงขนที่ปลายงวงมีลักษณะเป็นแนวบริเวณส่วนกลางตามความยาว ของงวง มองเห็นแผงขนได้ชัดเจน และมงี วงส้ันอ้วน ชว่ งตวั หนอนและชว่ งตวั เตม็ วยั จะกนิ บริเวณยอดอ่อนของพืช ตัวหนอนมีสีเหลืองปนน้�ำตาล ช่วงดักแด้เป็นปลอกท�ำด้วยเศษ ชน้ิ สว่ นจากพชื ทก่ี ินเป็นอาหาร เช่น กาบมะพร้าว เป็นตน้ 1.2.2 วงจรชวี ิตของดว้ งสาคู ระยะไข่ 2 - 3 วนั พ่อพนั ธ์-ุ แมพ่ นั ธเุ์ ร่มิ ผสมพันธ์ุ จากนั้นตัวเมยี จะเร่ิมไขใ่ ชเ้ วลา 2 - 3 วนั ระยะตวั หนอน 35 - 39 วัน ตัว หนอนสร้างรงั เขา้ ฝักดักแด้ 3 - 7 วนั อยใู่ นรงั ดกั แด้ 6 วนั ถงึ เปน็ ตวั เตม็ วัย 90 - 184 วนั รวมวงจรชวี ติ ด้วงสาคูหรือ ดว้ งลาน จำ� นวน 150 - 259 วนั ระยะตวั หนอน สร้างรงั 3 - 7 วนั เข้าดักแด้ 9 - 10 วัน ระยะตวั เตม็ วยั 35 - 39 วัน อยใู่ นรัง 6 วัน ออกดักแด้ 5 - 10 วนั 90 - 184 วนั 84

2. การเลีย้ งด้วงสาคู 2.1 วธิ เี ลยี้ ง โดยใชท้ อ่ นสาคหู รอื ทอ่ นลาน(แบบธรรมชาต)ิ 2.1.1 น�ำท่อนสาคูหรือท่อนลาน ขนาดความยาว ท่อนละ 50 เซนติเมตร ต้ังเรียงไว้บริเวณท่ีจะท�ำการเลี้ยง มคี วามหา่ งพอเหมาะแกก่ ารดแู ล และเขา้ ไปเก็บตัวหนอนได้ สะดวก ส�ำหรับใชเ้ ป็นทอ่ นพันธเ์ุ ลยี้ งดว้ งสาคูหรือด้วงลาน 2.1.2 คดั เลอื กพอ่ พนั ธ-์ุ แมพ่ นั ธ์ุ ดว้ งสาคหู รอื ดว้ งลาน ตวั เตม็ วยั ทแี่ ขง็ แรง มอี วยั วะ ครบทกุ สว่ น 2.1.3 ปลอ่ ยพอ่ พนั ธ์-ุ แม่พนั ธ์ุลงทอ่ นพันธส์ุ าคหู รือทอ่ นลาน จำ� นวนทอ่ นละ 3 คู่ อัตราตัวผู้ 2 : ตัวเมยี 4 ตัว 2.1.4 ปดิ ดา้ นบนของทอ่ นสาคหู รอื ทอ่ นลาน ดว้ ยกระดานทำ� จากกาบตน้ ไมท้ เี่ ลย้ี ง ครอบปดิ 2.1.5 ปรบั พน้ื ท่ีก�ำจดั มด และศตั รดู ้วงสาคู 2.1.6 รดนำ�้ ด้วยฝกั บัวหรือสายยางรดนำ้� สัปดาห์ละ 2 - 3 ครงั้ ตงั้ ท้งิ ไวป้ ระมาณ 40 - 45 วัน สามารถจบั ดว้ งสาคูหรือด้วงลานออกขายได้ 2.2 วธิ ีเลยี้ งแบบพฒั นา (ใช้กะละมงั ) 2.2.1 เตรียมกะละมังพร้อมฝาปิดพลาสติก แบบมี ช่องระบายอากาศได้ ใช้เป็นที่เลี้ยงด้วงสาคูหรือด้วงลาน ตงั้ เรยี งไวบ้ รเิ วณทจ่ี ะทำ� การเลย้ี งมคี วามหา่ งพอเหมาะแกก่ าร ดแู ล และเขา้ ไปเกบ็ ตวั หนอนได้ 2.2.2 น�ำทางปาล์มน้�ำมันสด มาลอกเปลือกออก แล้วนำ� ไปใสเ่ ครื่องสับบดจะไดป้ าล์มสดละเอียดออกมา 2.2.3 น�ำปาล์มสดที่สับบดละเอียดไปฉีดน้�ำสะอาด นำ� มาหมกั ในถงั หมกั ทงิ้ ไวจ้ ำ� นวน 3 วนั 3 คนื จากนน้ั เทนำ�้ ออก 2.2.4 น�ำปาล์มสดละเอียดไปผสมกับ กากน้�ำตาล นำ้� รำ� ขา้ ว มนั สำ� ปะหลงั และอาหารหมผู สมคลกุ เคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั ตามอัตราส่วนที่ก�ำหนด ผสมแช่ท้ิงไว้ก่อน 20 - 30 นาที เพื่อให้อาหารหมูละลายเข้ากัน น�ำส่วนผสมท้ังหมด ใสเ่ ครอื่ งบดจะไดอ้ าหารผสมสำ� หรบั ใชเ้ ลยี้ งดว้ งสาคู จากนนั้ น�ำมาเทใส่กะละมัง 2.2.5 ปลอ่ ยพอ่ พนั ธ์ุ - แมพ่ นั ธด์ุ ว้ งสาคหู รอื ดว้ งลาน ทแ่ี ขง็ แรงสมบรู ณ์ ลงในกะละมงั เล้ยี ง จำ� นวน 10 คู่ (หลังแยกค่ผู สมพันธ์ุแลว้ 1 - 2 วนั ) อัตรา ตวั ผู้ 4 : ตัวเมีย 6 ตัว จากนน้ั ฉดี นำ้� ใหพ้ อชมุ่ ปดิ ฝากาละมงั พอ่ พนั ธ์ุ - แมพ่ นั ธ์ุ ดว้ งสาคจู ะทำ� การผสมพนั ธแ์ุ ละวางไข่ 85

2.2.6 น�ำไม้ไผ่ทผ่ี ่าซกี แล้วยาว 70 เซนติเมตร 2 ช้นิ ต่อ1 กะละมงั มาวางบนฝา กะละมังแถวท่ีหนงึ่ แลว้ นำ� กะละมัง ท่ีพรอ้ มเล้ยี งซอ้ นวางเป็นแถวที่สองเป็นการประหยดั พืน้ ท่ีเลยี้ งดว้ งสาคู ปิดฝากะละมังพลาสติก 2.2.7 ทงิ้ ไวป้ ระมาณ 25 - 30 วนั สามารถจบั ดว้ งสาคหู รอื ดว้ งลานออกจำ� หนา่ ยได้ 3. การจัดการเลี้ยง 3.1 การให้นำ้� และอาหาร ตอ้ งฉดี พน่ น�้ำใหส้ ม่ำ� เสมออย่าให้อาหารผสมส�ำหรับใช้เลี้ยงด้วงสาคแู หง้ 3.2 ขั้นตอนการผลติ พอ่ พันธุ์ - แมพ่ นั ธุ์ดว้ งสาคู 3.2.1 เตรียมอาหารผสม คือทางใบปาล์มน�้ำมันสดสับหมักแล้ว หรือต้นสาคูบด ผสมกบั อาหารหมู จ�ำนวน 1 กะละมงั แล้วน�ำอาหารผสมส�ำหรบั ใช้เล้ียงด้วงสาคใู ส่รองก้น กะละมงั หนา ประมาณ 1 นว้ิ 3.2.2 นำ� เปลอื กมะพรา้ วปอกแชน่ �้ำมาวางเรยี งในกะละมงั และใสอ่ าหารผสมลงไป ท�ำอย่างนี้ ให้ได้ 2 ชัน้ ใน 1 กะละมัง ปล่อยตัวหนอนด้วงสาคู อายุ 35 – 40 วัน ใสใ่ น กะละมงั ทีเ่ ตรยี มไวป้ ระมาณ 100 ตัว 3.2.3 ปล่อยทง้ิ ไวร้ อให้ตัวหนอนเขา้ ฝกั ดักแด้ ประมาณ 20 – 30 วนั 3.2.4 เก็บฝักดักแด้ออกมารวมกันอีกกะละมัง เพ่ือรอให้ตัวด้วงเจาะออกจากฝัก ดกั แด้ ประมาณ 5 – 10 วนั 3.2.5 จบั ตวั ดว้ งรวบรวมอกี กะละมงั คัดแยกเพศเพ่อื รอผสมพันธุ์ สามารถจบั ดว้ ง สาคหู รอื ดว้ งลานออกจำ� หนา่ ยไดห้ รอื นำ� ไปปลอ่ ยในกะละมงั เลย้ี งตอ่ ไป ระหวา่ งการรวบรวม ตวั ด้วงเพ่ือรอการผสมพนั ธ์ุ ให้กล้วยและน�ำ้ เป็นอาหาร 3.2.6 หลังเกบ็ เกี่ยวผลผลิตแลว้ ตอ้ งท�ำความสะอาดภาชนะที่ใชเ้ ลย้ี งทุกคร้ัง 3.3 สูตรอาหารสำ� หรบั เล้ียงดว้ ง 1 กะละมงั - ทางใบปาลม์ นำ�้ มันสบั 1/2 กะละมัง - ต้นสาคูบด 1/2 กะละมัง - อาหารหมรู ่นุ 0.3 กิโลกรัม - น้�ำ 2 ลิตร - เปลือกมะพร้าวสับ 2 ลิตร - ขยุ มะพร้าว 2 ลติ ร - กากน้ำ� ตาล 1 ช้อนโตะ๊ 86

4. การปอ้ งกันก�ำจดั ศตั รูด้วงสาคู 4.1 ควรปดิ ฝากะละมงั พลาสตกิ แบบมชี อ่ งระบายอากาศ กนั ศตั รดู ว้ งสาคู ไดแ้ ก่ นก หนู และไก่ 4.2 โรคทางเดนิ อาหาร เกดิ จากอาหารไม่สะอาด วิธปี อ้ งกนั ต้องทำ� ความสะอาด ถาดอาหาร และน�ำ้ ทกุ ครัง้ ที่เปลย่ี นอาหารและควรท�ำความสะอาดบ่อ และตากบ่อก่อน เลี้ยงร่นุ ใหมท่ ุกครงั้ ๕. การปฏิบตั กิ ่อนและหลงั การเกบ็ เกย่ี ว การนำ� ดว้ งสาคมู าบรโิ ภค กอ่ นนำ� มาปรงุ อาหารบรโิ ภคใหน้ ำ� ตวั หนอนดว้ งสาคเู ลยี้ ง ในกากมะพรา้ วขดู 1-2 วนั แลว้ นำ� ตวั หนอนมาลา้ งน�ำ้ และแช่น�้ำเกลอื ทิ้งไว้ 10 - 30 นาที เพอื่ ล้างส่ิงสกปรกทั้งภายในและภายนอกตัวหนอนออก จากน้ันจึงน�ำมาลวกนำ้� รอ้ นหรอื น่ึงกอ่ นน�ำไปผดั หรือทอด และปรุงอาหารได้ตามใจชอบ 6. ข้อมลู อนื่ ๆ ด้วงสาคูเป็นแมลงศัตรูพืชท่ีเข้าท�ำลาย ต้นปาล์มน้�ำมัน มะพร้าว ลาน และสาคู ดังนั้น โรงเรือนควรมีหลังคาและตาข่ายมุ้งลวดโดยรอบโรงเรือนเพื่อป้องกันตัวเต็มวัย เลด็ ลอดไปในธรรมชาติ แนวทางการเพม่ิ ประสิทธภิ าพการผลิต และแหลง่ สืบค้นข้อมลู เพม่ิ เติม แนวทางการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลิต 1. ควรเปลยี่ นพอ่ พนั ธ-์ุ แมพ่ นั ธ์ุ เมอ่ื เลยี้ งไปแลว้ ประมาณ 1 - 3 รนุ่ เพอื่ ปอ้ งกนั เลอื ดชดิ 2. การเลีย้ งดว้ งสาคูเน้นเร่อื งความสะอาด และการจดั การอยา่ งเปน็ ระบบ 3. ควรเปลี่ยนอาหารหลักและอาหารเสริม และภาชนะท่ีใส่อาหารให้สะอาดทุกคร้ัง 4. ควรมพี ืชอาหารหลกั และอาหารรองในพืน้ ทีเ่ พอื่ ลดต้นทุนการผลิต 5. ในช่วงอากาศหนาวควรให้ความอบอุ่นกับด้วงสาคูโดยเปิดไฟฟ้า เพื่อผสมพันธุ์ และวางไขป่ กติ 87

ข้อมูลสภาพแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสมต่อการเจรญิ เตบิ โต และให้ผลผลติ ของดว้ งสาคู สภาพแวดลอ้ ม ความเหมาะสม ข้อจำ�กัด 1. สภาพภมู ิอากาศ อณุ หภมู ิ 25 - 35 0C ด้วงสาคูสามารถ อุณหภูมิต�่ำกวา่ 10 - 20 0C ดว้ งสาคูไมผ่ สม ออกหากนิ ไดป้ กตแิ ละสามารถวางไขเ่ พมิ่ พนั ธแ์ุ ละวางไข่ จงึ ควรใหค้ วามอบอนุ่ โดยใชห้ ลอด ประชากรดว้ งสาคไู ดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ ถา้ อากาศ ไฟส่องให้อณุ หภูมริ ะหวา่ ง 25 - 35 0C ด้วงสาคู หนาวด้วงสาคูส่วนใหญ่จะไม่ผสมพันธุ์ จะผสมพนั ธแุ์ ละวางไข่ปกติ และวางไข่เพิ่มประชากร 2. สภาพพื้นที่ โรงเรือนควรมหี ลังคาและน�้ำไม่ทว่ มขัง ดว้ งสาคเู ปน็ แมลงศตั รพู ชื ทเ่ี ขา้ ทำ� ลาย ตน้ ปาลม์ นำ�้ มัน มะพรา้ ว ลาน และสาคู จงึ ไม่ควรปล่อย ตวั เตม็ วัยให้เลด็ ลอดสู่ธรรมชาติ 3. สภาพดิน - - 4. ธาตุอาหาร - - 5. สภาพนำ�้ /การจดั การ น�้ำทีใ่ ชเ้ ลี้ยงดว้ งสาคูต้องเปน็ น้�ำสะอาด - แหล่งสืบคน้ ขอ้ มูลเพ่มิ เติม 1. กลุ่มส่งเสริมการเล้ียงผ้ึงและแมลงเศรษฐกิจ ส�ำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริม การเกษตร เขตจตจุ กั ร กรงุ เทพฯ 10900 โทรศัพท/์ โทรสาร 0-2940-6102 2. ศนู ยส์ ง่ เสริมและพัฒนาอาชพี การเกษตร(ผ้ึง) จังหวัดชมุ พร 22/1 หมูท่ ี่ 6 ตำ� บลขุนกระทิง อำ� เมือง จังหวดั ชุมพร โทรศัพท์ : 0-7757-4519 โทรสาร : 0-7757-4520 Email : [email protected] 3. เอกสารของอุทยานแห่งชาติทับลาน/เวปไซด์โรงเรียนวัดนิโครธาราม จังหวัดสงขลา/เว็บไซด์จังหวัด พทั ลุง http://www.trekkingthai.com/ส�ำนกั หอสมดุ และศนู ย์สารสนเทศวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. นติ ยสาร เทคโนโลยีชาวบ้าน คอลัมน์ หามาใหร้ ู้ ชาวบา้ น วนั ที่ 15 ธนั วาคม พ.ศ. 2553 ปีท่ี 23 ฉบับที่ 493 ที่มา : http://info.matichon.co.th ภาพจาก : http://www.velamall.com 5. เอกสารของอุทยานแหง่ ชาตทิ ับลาน/เวปไซดโ์ รงเรยี นนิโครธาราม จังหวดั สงขลา 6. รายการช่องทางทำ� มาหากนิ “การเลยี้ งดว้ งสาคใู นกาละมงั ” อำ� เภอสวี จงั หวดั ชมุ พร 7. ศริ ิณี พูนไชยศรี กองกีฎและสัตววทิ ยา กรมวิชาการเกษตร จตุจกั ร กทม. 8. อุทัย สกลุ พานชิ แผนกกฏี วิทยา กองพชื พรรณ กรมกสิกรรม 9. http://www.oknation.net/blog/suankikran/2008/12/17/entry-1 10. http://th.wikipedia.org/wiki/ 88

ภาคผนวก

ข้อมูลสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตและให้ผลผลติ ของผ้งึ และแมลงเศรษฐกจิ สภาพภูมิอากาศ สภาพพน้ื ทต่ี ้งั รัง/พชื อาศัย คณุ สมบตั ิ สภาพน้ำ� สุขอนามัย อณุ หภมู ิ ความชืน้ ลม แสงไฟ การคมนาคม pH ความหนาแนน่ ทางกายภาพ ปริมาณ รม่ เงา สัมพทั ธ์ นำ้ �ฝน น้ำ�เล้ียง ของน้ำ�เลีย้ ง ของดนิ พืชอาศัย พชื อาศยั ผ้งึ พันธ์ุ 25-30 0C ไม่เกิน ไม่เกิน24 ไม่ต้องการ ตอ้ งการรม่ เงา ไมต่ ้องการ รถยนต์สามารถ ไมม่ ีผลตอ่ การ สะอาดไมม่ ี โรงบรรจุนำ้� ผึง้ 80 % กม./ชม. ฝนตกชุก และแสงแดด แสงไฟในเวลา เข้าถงึ พน้ื ทีแ่ หล่งพืช เล้ียงผง้ึ แตม่ ผี ล สง่ิ ปนเป้ือน ควรมสี ขุ อนามยั อ่อนในตอนเช้า กลางคนื อาหารได้สะดวก ตอ่ การตั้งวางรังผ้ึง ทดี่ ี ผ้งึ โพรง 25-30 0C ไมเ่ กนิ ไม่เกนิ 24 ไมต่ ้องการ ไมม่ ีผลต่อการ สะอาด ไมม่ ี โรงบรรจุนำ้ �ผ้ึง 80 % กม./ชม. ฝนตกชกุ เล้ียงผ้ึง แตม่ ผี ล สิง่ ปนเป้ือน ควรมสี ุขอนามัย ต่อเนื่องกัน ต่อการตั้งวางรังผ้งึ ท่ดี ี ชันโรง 25-30 0C สะอาดไม่มี ข้ันตอนการเก็บ สิ่งปนเปอ้ื น ผลผลติ ควรมี สขุ อนามัยทดี่ ี ครงั่ >20 0C 5.8–6.0 0.14 – 0.173 จ้ิงหรดี 25-35 0C ไม่ตอ้ งการ บอ่ เล้ียงจิ้งหรีด จำ�เป็นตอ้ งใชใ้ น ดินที่ใสใ่ นขันไข่ สะอาดไมม่ ี ขน้ั ตอนการเกบ็ ฝนตกฟ้า ตอ้ ง ช่วงทอี่ ุณหภมู ิ เพ่ือใหจ้ ิ้งหรดี สิง่ ปนเปือ้ น ผลผลิตควรมี คะนอง อย่ใู นร่มเงา ตำ่ �เพ่อื เพิ่ม วางไข่ ควรเป็นดนิ สขุ อนามัยที่ดี ร่วนปนทราย ประสทิ ธภิ าพ การวางไข่ ด้วง 25-350C โรงเรือนต้องมี จำ�เป็นต้องใชใ้ น สะอาดไม่มี ขัน้ ตอนการเก็บ สาคู หลงั คา ช่วงทอ่ี ณุ หภูมิต่ำ� สงิ่ ปนเปอื้ น ผลผลติ ควรมี เพอ่ื เพ่ิม ประสทิ ธิภาพ สุขอนามัยท่ดี ี การวางไข่

การแปรรปู ผลติ ภณั ฑ์ การแปรรูป คือ การเปล่ียนแปลงสถานะของผลิตภัณฑ์จากผ้ึงและชันโรงให้แตก ต่างไปจากเดิมเพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ เน่ืองจากผลิตภัณฑ์ผึ้งบางชนิดไม่สามารถ คงสภาพ หรอื คณุ ภาพอยไู่ ดน้ านจำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารแปรรปู เพอื่ ใหเ้ กดิ ผลดตี อ่ ผลติ ภณั ฑน์ น้ั ๆ วตั ถปุ ระสงคข์ องการแปรรปู สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) เพื่อการรกั ษาคณุ ภาพ โดยปกตคิ ณุ ภาพของผลติ ภณั ฑผ์ งึ้ จะผกผนั กบั เวลา กลา่ วคอื คณุ ภาพของผลติ ภณั ฑ์ ผงึ้ จะลดลงเรอื่ ยๆ เมอ่ื เวลาเพม่ิ ขนึ้ ดงั นนั้ การแปรรปู ใหอ้ ยใู่ นรปู ทเี่ หมาะสม ทำ� ใหผ้ ลติ ภณั ฑ์ นั้นอยู่ได้นานและมคี ณุ ค่ามากข้นึ 2) เพอ่ื เปลย่ี นลกั ษณะของผลติ ภณั ฑ์ผ้งึ ให้อยู่ในรูปท่เี หมาะสมกบั การค้า หรอื การนำ� ไปใชป้ ระโยชน์ เชน่ นมผงึ้ (royal jelly) มรี สชาตแิ ละกลนิ่ ทที่ ำ� ใหร้ บั ประทานไดย้ าก จำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารแปรรปู ทำ� ใหผ้ งแหง้ ใสใ่ นแคปซลู หรอื ทำ� เปน็ เมด็ เพอ่ื ใหร้ บั ประทานไดง้ า่ ย ยิง่ ข้ึน 3) การแปรรปู ผลิตภณั ฑผ์ ึง้ เพ่อื เพ่มิ มลู คา่ ของผลติ ภัณฑ์ เปน็ กรรมวธิ ที ถี่ กู นำ� มาใชใ้ นการเพมิ่ มลู คา่ ของผลติ ภณั ฑใ์ หส้ งู ขน้ึ เชน่ การแปรรปู น้�ำผึ้งเป็นไวนน์ ำ้� ผึง้ เครอ่ื งส�ำอางทม่ี สี ่วนผสมของนำ�้ ผง้ึ และนมผึง้ (royal jelly) เปน็ ตน้ ดงั นน้ั การแปรรปู ผลติ ภณั ฑจ์ ากผง้ึ ไดม้ กี ารนำ� มาแปรรปู เปน็ ผลติ ภณั ฑท์ มี่ ปี ระโยชน์ ทางการคา้ ทั้งในด้านอาหารเสริม และเครอ่ื งส�ำอาง ท�ำใหผ้ ู้บริโภคมโี อกาสในการเลือกซ้อื ผลิตภณั ฑ์ทมี่ ีคณุ ภาพและมคี วามหลายหลายมากยง่ิ ขึน้ 91

ตัวอย่างการแปรรปู ผลิตภัณฑจ์ ากผึ้ง 1. สบู่ก้อนนำ�้ ผึ้ง สว่ นผสม อุปกรณ์ 1) หวั เชือ้ สบู่ 1,000 กรมั 1) พมิ พ์ทำ� สบู่ 2) น้ำ� ผง้ึ 80 กรัม 2) เตาไฟฟ้า หรอื เตาแกส๊ 3) สารสกดั ขม้นิ ชัน (ตามความชอบ) 3) ภาชนะสำ� หรบั ตนุ๋ เชน่ หมอ้ ตนุ๋ สแตนเลส 4) กลน่ิ น�้ำหอม (ตามความชอบ) 4) ภาชนะสำ� หรบั ใส่สว่ นผสม และทพั พี วธิ ที ำ� 1. นำ� หวั เช้อื สบ่ไู ปตุ๋นดว้ ยไฟออ่ นๆ จนละลาย(พยายามไมใ่ หเ้ กิดฟอง) 2. ใส่สารสกัดขมิ้นชันตามใจชอบ คนให้สารสกัดเข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้วเติม น�้ำผ้งึ ลงไป คนใหเ้ ป็นเนอื้ เดยี วกัน ยกลงจากเตา 3. เตมิ กล่ินน้�ำหอมตามใจชอบ คนให้ละลายเข้าเป็นเนอ้ื เดยี วกนั 4. เทใสพ่ ิมพ์ ทงิ้ ไว้ให้เย็น ประมาณ 3 - 4 ช่วั โมง แล้วจึงแกะออกจากพิมพ์และ หมุ้ ดว้ ยพลาสติกห่ออาหาร 12 3 4 92

2. สบู่เหลวน�้ำผึ้ง ส่วนผสม อุปกรณ์ 1) หวั เชื้อสบู่เหลว 1,000 กรัม 1) เตาไฟฟ้า หรือเตาแกส๊ 2) นำ�้ ผึง้ 100 กรมั 2) ผา้ ขาวบาง 3) มะขาม 75 กรมั 3) ภาชนะส�ำหรบั ตม้ เชน่ หม้อสแตนเลส 4) ผงขน้ 75 กรัม 4) ภาชนะส�ำหรับใส่ส่วนผสม และทัพพี 5) ขม้ินสด 20 กรัม 5) ขวดบรรจุ 6) นำ�้ เปลา่ 1,500 กรัม วิธที ำ� 1. ตม้ น้�ำเปล่า มะขาม ขมิน้ สด รอให้เดือดประมาณ 1 นาที ยกลงจากเตา 2. กรองด้วยผ้าขาวบาง แบง่ นำ้� เป็น 2 ส่วน 3. ส่วนทห่ี นึง่ ทงิ้ ไวใ้ หอ้ ่นุ ใสห่ วั เช้อื สบเู่ หลว นำ�้ ผง้ึ คนใหล้ ะลาย พักไว้ 4. ส่วนท่ี 2 ท้งิ ไว้ให้เยน็ ละลายผงขน้ จนหมด (ค่อยๆ เติม) 5. น�ำส่วนผสมท้งั สองรวมเข้าด้วยกนั คนให้ละลาย แลว้ วัดความเปน็ กรด-ดา่ ง(pH) ควรอยรู่ ะหว่าง 5.5-6.0 เทา่ น้ัน 6. บรรจุขวด 12 3 45 6 93

3. ยาหม่องไขผึ้ง ส่วนผสม อุปกรณ์ 1) ไขผึง้ 80 กรมั 1) เตาไฟฟา้ หรือเตาแกส๊ 2) วาสลนิ 80 กรมั 2) ภาชนะส�ำหรบั ตม้ เชน่ 3) เมนทอล 10 กรัม หม้อหรอื กาตม้ นำ�้ สแตนเลส 4) การบูร 100 กรมั 3) ภาชนะส�ำหรับใสส่ ่วนผสม 5) น�้ำมนั ระก�ำ 50 มล. 4) ขวดบรรจุ 6) น�้ำมนั ยคู าลิปตัส 50 มล. วธิ ที ำ� 1. นำ� ไขผ้ึง และวาสลิน ละลายด้วยไฟออ่ นๆ 2. น�ำส่วนผสมในขอ้ 2) 4) 5) และ 6) คนให้ละลายเปน็ เนอื้ เดยี วกนั 3. นำ� ส่วนผสมทง้ั หมดรวมกัน เทใส่ขวดบรรจุ รอใหเ้ ยน็ ก่อนปดิ ฝา 12 33 94


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook